เจ้าเชื่อหรือไม่
หลิวจิ้งเอ่ยขึ้น “ถามได้ดี เพราะเหตุใด…”
ทุกคนต่างหันมองไปทางเมิ่งเสวี่ยหลี่
จี้เซียวรู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะไม่คุ้นเคยกับอารมณ์เช่นนี้ เขาจึงได้แต่เม้มริมฝีปากเรียวบาง นัยน์ตาทอดมองไกลออกไป
ต่างกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่เขียนอักษรคำว่า ‘กระอักกระอ่วน’ ไว้บนใบหน้า เขาหน้าแดงหูแดง เก็บกาลมิสิ้นผ่านผันกลับ ไม่ต่างอันใดกับเด็กที่ทำผิด
“ข้าไม่รู้ ก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”
เขาเหวี่ยงกระบี่ลงไปด้วยท่วงท่างามสง่า ทว่าในใจกลับไม่มีความมั่นใจใดๆ เลยสักนิด ตอนคมกระบี่สัมผัสกับค่ายเวทเหมือนเกิดแรงมหาศาล คล้ายมีคนยืนคุ้มครองเขาอยู่ด้านหลัง จับกุมข้อมือของเขา ช่วยเขาฟันลงไปคราหนึ่ง
เมิ่งเสวี่ยหลี่กวาดตามองไปยังคนอื่นๆ ย้อนนึกไปถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาบอกว่าอยากลองดู ทุกคนล้วนเปิดทางให้ ถอยไปยืนอยู่ทางด้านหลัง ตอนนี้หากบอกว่าไม่ใช่ตนเป็นคนลงมือ หรือจะให้บอกว่าเป็นฝีมือของภูตผีปีศาจ?
จี้เซียวกระแอมออกมาเบาๆ ไม่ยอมสบตากับเมิ่งเสวี่ยหลี่ “อะแฮ่ม บางทีอาจเพราะเจ้าเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียว”
เมิ่งเสวี่ยหลี่คิดในใจ นี่มันเหตุผลเหลวไหลอันใดกัน ฐานะ ‘คู่ร่วมบำเพ็ญ’ สามารถทำลายทุกสิ่งได้กระนั้นหรือ
นึกไม่ถึงว่าซ่งเฉี่ยนอี้กลับพยักหน้า “ใช่ อริยกระบี่สร้างค่ายเวท อาวุโสเมิ่งเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญของอริยกระบี่ พวกเขาสองคนลมหายใจเชื่อมโยงเป็นหนึ่ง บางทีอาจเพราะไอกระบี่ร่วมรากเดียวกัน จึงทำลายค่ายเวทได้โดยง่าย…”
ตอนนางบอกว่า ‘ลมหายใจเชื่อมโยงเป็นหนึ่ง’ พรรคพวกของนางต่างเผยให้เห็นถึงสีหน้ากระจ่างแจ้ง ระหว่างคู่ร่วมบำเพ็ญมีการบำเพ็ญเพียรคู่ ลมหายใจของทั้งสองผสมผสานเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยกเจ้าข้า
“กระนั้นหรือ” เมิ่งเสวี่ยหลี่ยังคงไม่ค่อยเชื่อ เขาพึมพำ “เช่นนี้มิสู้บอกว่าจี้เซียวคุ้มครองข้าจากปรภพ”
จี้เซียวลอบถอนหายใจ เขาล้วงมือเข้าไปในถุงสัมภาระ หยิบเอาเมล็ดสนหอมกรุ่นออกมายัดใส่มือของเมิ่งเสวี่ยหลี่ “เลิกคิดเถอะ เปลืองสมองเปล่าๆ”
เขารู้ว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่ชอบปกป้องพรรคพวก มักต่อสู้เผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง และชอบให้ผู้อื่นยกย่องว่าตนเองร้ายกาจเหมือนตอนคุ้มครองส่งกลุ่มขุดแร่ออกจากแดนสนธยาก่อนหน้านี้
เขาคิดสนองความต้องการของผู้อื่น หมายทำดีให้คนผู้หนึ่งชื่นชอบ ทว่าผลที่ได้ตอนช่วยผู้อื่น ‘ทุจริต’ เป็นครั้งแรก ด้วยขาดประสบการณ์มือไม้เก้งก้าง สุดท้ายก็ทำทุกอย่างพังพินาศสิ้น ค่ายสะบั้นจิตค่ายเวทเคลื่อนย้ายล้วนถูกทำลาย สองตาของคู่ร่วมบำเพ็ญตัวน้อยมิได้เป็นประกายเอ่ยว่าข้าใช้คุณธรรมสยบใจคน แต่สีหน้ากลับฉงนสนเท่ห์ ไม่รู้ควรทำเช่นไร
หลิวจิ้งถาม “ค่ายเวทพังแล้ว ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรต่อ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่กินเมล็ดสนอยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่จา
จี้เซียวตอบ “เมืองจงยาง”
จิงตี๋พินิจพิจารณาดูเซียวถิงอวิ๋น ในใจนึกระแวดระวัง แม้ศิษย์อาจารย์ยอดเขาฉางชุนคู่นี้จะไม่มีความเคลื่อนไหวคลุมเครืออันใด แต่เขาก็อดรู้สึกประหลาดใจไปกับความสนิทสนมยากมีผู้ใดแทรกกลางระหว่างพวกเขาสองคนไม่ได้ เขาปลอบใจตัวเองมิให้คิดมาก เมิ่งเสวี่ยหลี่กับเซียวถิงอวิ๋น คนหนึ่งศิษย์คนหนึ่งอาจารย์ ไม่ว่าจะว่ากันด้วยฐานะชื่อเสียงหรือศีลธรรมจรรยา พวกเขาล้วนไม่ใช่คนที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้
เขาโต้ “ทำลายค่ายเวทเคลื่อนย้ายไปหนึ่ง ยังเหลืออีกสาม พวกเราควรรีบไปค่ายเวทอันต่อไป ทำตามแผนที่วางไว้แต่แรก พวกหนิงเวยผนึกค่ายเวททั้งสาม ไม่แน่ว่าอาจเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่ค่ายเวทสุดท้าย จับตาดูคนที่คิดจะไปจากแดนสนธยา”
ซ่งเฉี่ยนอี้ถาม “หลังจากนั้นเล่า เข้าไปให้ชาวบ้านเล่นงาน? สู้ได้ก็ไม่เป็นไร สู้ไม่ได้เล่าจะหนีกระนั้นหรือ แดนสนธยากว้างใหญ่ไพศาล ค่ายเวททั้งสี่แยกย้ายเหนือใต้ออกตก ห่างกันไกลโพ้น อีกฝ่ายนอกจากผนึกค่ายเวทเคลื่อนย้ายแล้ว พวกเขาต้องยังมีลูกไม้อื่นๆ อีกแน่ พวกเราจะปล่อยให้พวกเขาจูงจมูกเดินไม่ได้” นางนึกอยากจับจิงตี๋เขย่าหัว ฟังดูซิว่าในหัวมีแต่น้ำจากทะเลสาบหมิงเยวี่ยหูหรือไม่ “การประลองแดนสนธยาดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว ผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่เหลือ หากไม่มุ่งหน้าไปค่ายเวทเคลื่อนย้ายก็ต้องอยู่ที่เมืองจงยาง เตรียมการต่อสู้ครั้งสุดท้าย พวกเขาล้วนมีสิทธิ์รับรู้เรื่องนี้ ข้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นของสหายเซียว”
จิงตี๋รู้สึกว่าความคิดอ่านของนางไร้เดียงสา “ผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่น? ท่านยายซ่ง ขนาดจะเอาตัวเองให้รอดก็ยังยาก เจ้าจะไปสนใจคนอื่นทำไมกัน!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ยามนี้กลับมาได้สติแล้ว “ย่อมต้องใส่ใจ ข้ามีวิธีพาพวกเราไปเมืองจงยางแล้ว”
ต้องขอบคุณศิษย์ห้าสำนักพรรคพวกของจิงตี๋ที่ช่วยให้เขาไม่หูหนวกตาบอดไม่รู้เรื่องราวข่าวสารใดๆ หากพวกเขาไม่นึกใส่ใจ สุดท้ายอาจเกิดผลลัพธ์เลวร้ายเกินคาดเดา กลายเป็นว่าในหมู่หกสำนักใหญ่ ศิษย์ฝีมือดีที่สุดของห้าสำนักใหญ่ออกจากแดนสนธยาก่อนล่วงหน้าสามวันตามคำสั่งก่อนเข้าแดนสนธยาของผู้เป็นอาจารย์ ทิ้งไว้แต่ศิษย์หานซาน ศิษย์สำนักเล็ก ผู้บำเพ็ญพรตอิสระที่ไม่รู้เรื่องราวอันใด กลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับแผนการชั่วร้าย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นก็แต่เพียงการคาดคะเนของเขาเท่านั้น
เจิ้งมู่กล่าว “เช่นนั้นข้าฟังอาวุโสเมิ่ง”
สวีซานซาน “ข้าก็เช่นกัน”
เมิ่งเสวี่ยหลี่หนึ่งกระบี่ทำลายสองค่ายเวทในคราเดียว ใช้ความจริงพิสูจน์ความสามารถหลายต่อหลายครั้ง ทันทีที่พูดจบ จิงตี๋กับพรรคพวกก็ไม่มีอันใดโต้แย้งอีก
เชวี่ยเซียนหมิงนั่งชมทัศนียภาพอยู่บนเนินเขาห่างออกไปไม่ไกลเท่าใด ครั้นเห็นพวกเขาปรึกษาหารือเตรียมออกเดินทางกันเรียบร้อยก็ลุกขึ้นปัดฝุ่นบนตัว ตอนเดินผ่านเมิ่งเสวี่ยหลี่ เขาถ่ายเสียงบ่นกับอีกฝ่าย
“พวกมนุษย์ทำอันใดล้วนยุ่งยากวุ่นวายเช่นนี้อย่างนั้นหรือ แค่สู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลยไม่ได้หรือไรกัน เจ้าอยู่แดนมนุษย์นานเกินไป ถึงได้เริ่มมีนิสัยเหมือนกับคนพวกนี้!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ปลอบใจอีกฝ่าย “อีกไม่นานก็จะได้ลงมือแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน”
พวกเขาออกเดินทางกันอีกครั้ง จี้เซียวกับเมิ่งเสวี่ยหลี่เดินรั้งท้าย แม้จะเดินไปได้ประมาณหนึ่ง เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็ยังคงนึกถึงเรื่องค่ายเวทถูกเขาทำลาย จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“ถิงอวิ๋น”
“หืม?” จี้เซียวหันหน้า พอเห็นดวงตาวับวาวเป็นประกายแฝงไว้ซึ่งสายตาเฝ้าปรารถนาของคู่ร่วมบำเพ็ญตัวน้อย ในใจก็ให้อ่อนยวบขึ้นมาทันใด
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าจี้เซียวยังมีชีวิตอยู่” ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกจากปาก เขาก็รีบพูดเสริมขึ้นอีกประโยค “ข้ามิได้เสียสติ”
หานซานยามวสันต์ แม้เหนือเชิงเขาจะยังคงปกคลุมด้วยหิมะเหมือนเก่า ทว่าต้นไม้ก็แตกกิ่งก้านใบให้เห็นมากขึ้น ความเคลื่อนไหวต่างๆ ก็เช่นกัน
ธารน้ำและน้ำตกเริ่มกลับมาไหลรินอีกครั้ง การจำศีลของสรรพสัตว์สิ้นสุด พวกมันเริ่มออกจากถ้ำมาจับเหยื่อหาอาหาร นกบนกิ่งไม้ส่งเสียงร้องระงม บินขึ้นๆ ลงๆ ทว่าความคึกคักนี้กลับคืบคลานเข้าไปไม่ถึงหุบเขาจิ้งซือ
ที่พำนักของไท่ซั่งจั่งเหล่าตั้งอยู่ในหุบเขาเงียบสงัดหลังเขาหานซาน เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างต่ำ ยามนี้หิมะจึงละลายหมดสิ้น หากทอดตามองไกลออกไป ทุกหนทุกแห่งล้วนเขียวชอุ่ม ไม่เหมือนผาเจียเทียนอันเป็นที่พำนักเดิมของจี้เซียวที่พายุหิมะโถมถาตลอดปี แค่น้ำหยดลงมาก็กลับกลายเป็นน้ำแข็งได้แล้ว ทว่าเทียบกับผาเจียเทียนแล้วกลับเงียบสงัดยิ่งกว่า
เจ้าสำนักเดินตามโจวอี้เข้าไปบนทางอีเสี้ยนเทียน ผนังหินสองข้างเกิดจากการถล่มลงมาของหินขนาดยักษ์ พื้นที่เหนือศีรษะเหลือก็แต่ช่องพอให้แสงสว่างสาดส่องลงมาเป็นเส้น นับแต่จี้เซียวบรรลุเป็นปรมัตถ์ ไท่ซั่งจั่งเหล่าก็ตัดขาดจากทางโลกเนิ่นนาน นับแต่นั้นทางเข้าออกหุบเขาจิ้งซือจึงเหลือแค่ทางเดินเล็กๆ คับแคบเงียบสงัดนี้ ในทางเดินปกคลุมด้วยจิตกระบี่สิ้นสูญดับขันธ์ชวนอึดอัดของไท่ซั่งจั่งเหล่า เพราะก่อนหน้านี้เจ้าสำนักเคยมาที่นี่หลายต่อหลายครั้งจึงรู้สึกคุ้นชิน
ทันทีที่พ้นออกจากอีเสี้ยนเทียน ภาพตรงหน้าก็พลันกว้างโล่ง ท้องฟ้าสว่างไสว ทว่าตลอดทางที่ผ่านมาในหุบเขาเงียบสงัดชวนประหวั่น ภูเขาลำธารสิ่งปลูกสร้างนานาล้วนว่างเปล่า ร้างไร้เงาผู้คน
เจ้าสำนักนึกสงสัย เขาชะลอฝีเท้า
โจวอี้คล้ายมองออกถึงความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยของอีกฝ่าย “ใกล้ถึงช่วงกักตนใหญ่ ศิษย์น้องศิษย์หลานทั้งหมดต่างไปรวมตัวอยู่ที่ตำหนักหลัง คัดคัมภีร์สวดอธิษฐานให้กับปรมาจารย์”
เจ้าสำนักพยักหน้า แต่ไหนแต่ไรไท่ซั่งจั่งเหล่าก็ไม่เคยขาดศิษย์ปรนนิบัติรับใช้ข้างกาย สานุศิษย์รุ่นหลังส่วนใหญ่ล้วนยึดเอาการปรนนิบัติรับใช้เขาด้วยจิตกตัญญูเป็นความภาคภูมิใจสูงสุด หมายได้รับคำชี้แนะจากผู้เป็นปรมาจารย์ ส่วนจะแสดงความกตัญญูเช่นไรนั้น ย่อมไม่แคล้วการคัดลอกคัมภีร์เต๋า จุดธูปกินเจ นั่งสมาธิสวดอธิษฐานต่างๆ
ลึกเข้าไปในหุบเขา หลังเดินผ่านระเบียงทางเดินคดโค้งยืดยาว โจวอี้ก็ผลักเปิดประตูตำหนัก
“เชิญ”
ตำหนักเงียบสงัด ตะเกียงฉางหมิงสองข้างทางขมุกขมัว ม่านผืนหนึ่งแขวนอยู่ท้ายตำหนัก เจ้าสำนักเดินไปหยุดอยู่กลางตำหนัก ค้อมกายแสดงคารวะ
“ปรมาจารย์”
เสียงเฒ่าชราดังลอยมาจากหลังม่าน “เข้ามา”
เจ้าสำนักตอบรับ หางตาสังเกตเห็นสีหน้าของโจวอี้ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังเงยหน้า ลมหายใจถี่กระชั้น ต่างกับกาลก่อนที่ยามอยู่ต่อหน้าไท่ซั่งจั่งเหล่า เขามักก้มหน้าหลับตาอยู่เป็นนิตย์ โจวอี้กำลังตื่นเต้นอย่างนั้นหรือ เขาตื่นเต้นเรื่องใด เจ้าสำนักจ้องไปยังม่านที่อยู่เบื้องหน้า ขณะเดินขึ้นหน้าไปได้สามก้าว ภาพของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแดนสนธยา คำเตือนของเมิ่งเสวี่ยหลี่ ไท่หังกักตน หุบเขาว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นในหัว เชื่อมโยงต่อเนื่องถึงกัน
เพราะตระหนักได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาจึงรีบหันหลังกลับพร้อมชักกระบี่ “เจ้า!”
สวบ!
โจวอี้เคลื่อนไหวเร็วกว่า กระบี่ยาวของเจ้าสำนักออกจากฝักได้เพียงครึ่ง จู่ๆ ไอกระบี่ก็พลันสลาย มือกุมท้องคุกเข่าลงกับพื้น
มีดสั้นเล่มหนึ่งแทงทะลุปราณคุ้มกาย ปักลึกเข้าไปในท้องของเจ้าสำนัก เลือดสดๆ ไหลริน
ในเวลาเดียวกันตะเกียงฉางหมิงทั้งหมดก็พลันสว่างขึ้น ตำหนักใหญ่ทั้งตำหนักสว่างไสว กระเบื้องแก้วที่อยู่ใต้ร่างของเจ้าสำนักเย็นเยียบเสียดกระดูก ค่ายเวทสีม่วงแปลกประหลาดคลุมร่างเขาเอาไว้
คนที่อยู่หลังม่านลุกขึ้นยืน พร้อมยกระดับพลังคุกคามบีบคั้นน่าเกรงขามปกคลุมตำหนักใหญ่ไว้ราวกับสายน้ำขึ้นลงในมหาสมุทร เงาร่างของเขาฉายอยู่บนม่าน แลดูยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา
เจ้าสำนักคุกเข่าอยู่กับพื้น มีดสั้นเล่มนั้นเป็นศัสตราวุธวิเศษ อาบไว้ซึ่งอักขรเวทกับพลังอภินิหารหลายชั้น ไอเย็นแทรกซึมเข้าสู่ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ทำลายพลังปราณในร่างเขาจนแหลกละเอียด
เพียงพริบตาเขาก็เข้าใจถึงเรื่องราวก่อนหลังได้ทั้งหมด เพลิงโทสะลุกโชน “ค่ายสะบั้นจิตสำนักอู้อิ่นกวน? ไอกระบี่สำนักหมิงเยวี่ยหู? ปรมาจารย์ หรือท่านเฒ่าชราจนเลอะเลือนสิ้น ถึงได้ร่วมมือกับศัตรูนอกสำนัก ทำเช่นนี้ต่างอันใดกับชักศึกเข้าบ้าน!”
โจวอี้ก้มมอง สีหน้าเมินเฉย “เจ้ายังโง่งมไม่เปลี่ยน”
เพื่อลงมือว่องไวแม่นยำ เขาถึงกับยอมไม่ใช้กระบี่ยาวของตนเอง ฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขารู้ดีว่างานนี้ต้องบรรลุเป้าหมายให้ได้ภายในคราเดียว จะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายส่งสัญญาณเตือนออกไปหรือเคลื่อนค่ายเวทคุ้มครองหานซานไม่ได้เด็ดขาด
โจวอี้กล่าวต่อ “ปรมาจารย์มีคำสั่ง ขอเพียงมอบแกนเวทมา ปรมาจารย์ก็จะไม่เอาชีวิตเจ้า เจ้าอยู่กลางค่ายเวทสะบั้นจิต เก็บแกนเวทไว้ก็ไม่มีประโยชน์”
ผิดจากที่โจวอี้คาดไว้ นัยน์ตาของอีกฝ่ายระคนไปด้วยความรู้สึกสับสน ทั้งประหลาดใจ โกรธขึ้ง เสียใจ ทว่าเพียงไม่นานก็กลับกลายเป็นสงบนิ่ง
“ต้องขออภัยด้วยที่ข้ามิอาจทำตาม ค่ายเวทคุ้มครองหานซานเป็นรากฐานสำคัญของสำนัก ใช้ป้องกันภัยจากศัตรูภายนอก แต่ละยุคสมัยล้วนมีเจ้าสำนักเป็นผู้ดูแลแกนเวท”
หากจะบอกว่าค่ายเวทคุ้มครองหานซานคือกุญแจจำนวนนับไม่ถ้วนที่คล้องโยงเชื่อมต่อกัน เป็นกำลังปกป้องหานซาน เช่นนั้นแกนเวทก็คือลูกกุญแจที่จะใช้เปิดกุญแจเหล่านั้น มีแกนเวทอยู่ในมือย่อมสามารถควบคุมค่ายเวท ปกป้องตนเอง เล่นงานศัตรูได้ทั่วหานซาน พูดอีกอย่างก็คือหากไท่ซั่งจั่งเหล่าได้แกนเวทไป ต่อให้ประมุขยอดเขาทั้งห้าไม่ยอมจำนน เขาย่อมสามารถเคลื่อนค่ายเวทโจมตีประมุขยอดเขาทั้งหลายได้ ถึงตอนนั้นหานซานย่อมเกิดเหตุโกลาหล
โจวอี้สีหน้าหยันเย้ย เอ่ยวาจาเย่อหยิ่ง “แต่ละยุคสมัยล้วนมีเจ้าสำนักเป็นผู้ดูแล? เจี้ยนเวย เจ้าคิดว่าเหตุใดจี้เซียวถึงสนับสนุนเจ้าเป็นเจ้าสำนัก? สานุศิษย์ในเวลานั้นเต็มไปด้วยผู้มีความสามารถ ว่ากันด้วยสติปัญญา เจ้าเทียบหยวนจื่อเยี่ยไม่ได้เสียด้วยซ้ำ หากว่ากันด้วยการใช้คน เฉียนอวี้จือหรือก็เหนือกว่าเจ้า ว่ากันด้านทักษะกระบี่ เจ้าเทียบข้าก็ยังไม่ได้…แล้วเจ้ามีคุณสมบัติอันใดให้ครอบครองหานซาน”
หยวนจื่อเยี่ยคือชื่อทางโลกของประมุขยอดเขาจื่อเยียน หลังศึกใหญ่ระหว่างแดนมนุษย์กับแดนอสูรสิ้นสุด หานซานสูญเสียหนัก เจ้าสำนักคนใหม่กับประมุขยอดเขาต่างๆ ล้วนแต่จี้เซียวเป็นคนคัดสรร
เจ้าสำนักครุ่นคิด หยวนจื่อเยี่ยชอบเล่นไพ่ เฉียนอวี้จือหลงใหลในการค้า หานซานจะมีผีพนันพ่อค้าโฉดเป็นเจ้าสำนักได้เช่นไร ส่วนเจ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เขาย้อนถาม “เจ้าบอกว่าข้าสู้นั่นโน่นนี่ไม่ได้ เรื่องนี้ข้ายอมรับ ทว่าเจ้าคิดว่าข้าไม่เหมาะจะเป็นเจ้าสำนัก? ยามอริยกระบี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยบอกว่าเจ้าสำนักหานซานควรเห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ปฏิบัติตามกฎสำนักเป็นอันดับแรก ความปรารถนาส่วนตัวชื่นชอบชิงชังไว้ว่ากันทีหลัง เจ้าลองถามมโนธรรมของเจ้าดู หลายปีมานี้ข้าเคยใช้อำนาจหาผลประโยชน์ใส่ตัว เคยทำเรื่องชั่วช้าผิดต่อปรมาจารย์ไท่หัง ผิดต่อพวกเจ้าสกุลโจวแห่งไหวสุ่ยหรือไม่”
โจวอี้ราวกับได้ยินเรื่องขบขัน “เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว กฎสำนักหานซานอะไรกัน ทั้งหมดก็แค่กฎที่จี้เซียวตั้งขึ้นเองทั้งนั้น เขาก็แค่เห็นว่าเจ้าโง่งมที่สุด ง่ายต่อการควบคุม พูดอะไรเจ้าก็เชื่อถึงได้เลือกเจ้าเป็นเจ้าสำนัก เขาจะได้ควบคุมหานซานอยู่เบื้องหลัง จี้เซียวไม่หลงมัวเมาในอำนาจ? เขามันก็แค่พวกจอมปลอมเท่านั้น”
เจ้าสำนักถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้โต้เถียงอันใดต่อ ทำเพียงส่ายหน้ากล่าว “มิใช่เช่นนั้น”
ทว่าจี้เซียวลาโลกนี้ไปแล้ว เหตุผลที่เลือกเจี้ยนเวยขึ้นเป็นเจ้าสำนักในยามนั้นไหนเลยจะมีพยานหลักฐานอันใด
โจวอี้อัดอั้นตันใจอยู่นานปี ขณะกำลังคิดเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายต่อ จู่ๆ เขาก็ปิดปากไม่พูดไม่จา เพราะเงาร่างผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่หลังม่านท้ายตำหนักกำลังเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว มือผอมลีบข้างหนึ่งเลิกม่านออก
ชายชราเดินออกจากหลังม่าน เจ้าสำนักจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายเขม็ง
ปรมาจารย์ไท่หังถอนหายใจ “เจี้ยนเวย ข้าเห็นเจ้ามาแต่เล็ก ให้ตัดใจเอาชีวิตเจ้ามิใช่เรื่องง่าย นาม ‘เจี้ยนเวยจือจู้’ ของเจ้าข้าก็เป็นคนตั้งให้ เพราะฉะนั้นอย่าได้บีบคั้นข้า”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.