เฝ้ากรงรอนก
คืนค่ำมืดมิด หิมะน้ำแข็งเหนือยอดเขาหานซานสว่างกระจ่างอยู่ใต้แสงจันทร์ เทือกเขายาวเหยียด ยอดเขาแต่ละลูก เรือนพำนักแต่ละหลังกลับกลายเป็นเงียบงัน ผู้คนบนเขาหานซานบ้างก็หลับอยู่ในห้องนอน บ้างก็นั่งสมาธิอยู่ในห้องเงียบ
แสงไฟที่หอเก็บคัมภีร์หรุบหรู่ ลานสำแดงกระบี่ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนคึกคักเมื่อกลางวันยามนี้กลับว่างเปล่า สิงสาราสัตว์ในป่าล้วนกลับรังพักผ่อน เสียงลมเสียงน้ำดังเอ็ดอึงชัดแจ้ง สานุศิษย์ผลัดเวรเข้ายามถือโคมไฟไว้ในมือ เดินลาดตระเวนอยู่บนทางเขา หากมองดูไกลๆ พวกเขาล้วนไม่ต่างอันใดกับหิ่งห้อยที่บินไปมาอยู่กลางเขา นี่คือทัศนียภาพยามค่ำบนเขาหานซานที่พบเห็นได้อยู่เป็นประจำ
ทว่าค่ำคืนเช่นนี้ยอดเขาจ้งปี้กลับมีอาคันตุกะน้อยผู้หนึ่งมาเยือน แขกคนดังกล่าวที่แท้ก็คือเด็กถือกระบี่ที่อยู่คอยรับใช้เจ้าสำนักนามเสี่ยวหยวน
นักพรตน้อยท่าทีเร่งร้อน เขามุ่งหน้าไปยังเรือนพำนักของประมุขยอดเขา แต่ระหว่างทางกลับถูกสานุศิษย์ดื้อรั้นกลุ่มหนึ่งขวางไว้ ห้อมล้อมกลั่นแกล้งเขา
เขาพูดอย่างร้อนรน “ข้ามีเรื่องสำคัญเร่งด่วน เปิดทางให้ข้าไปพบประมุขยอดเขาด้วย”
“นี่ เสี่ยวหยวนมาแล้ว!”
“คนอย่างเจ้าจะมีธุระเร่งด่วนอันใดได้ มานวดไหล่ให้ศิษย์พี่ก่อนดีกว่า!”
“ไม่นวด? เช่นนั้นศิษย์พี่จะนวดให้เจ้าเอง!”
เสี่ยวหยวนแม้จะไม่ได้ขี้ขลาดกลัวคนเหมือนหลิวเสี่ยวไหวนักพรตน้อยจากยอดเขาฉางชุน แต่พวกเขาก็อดนึกสนุกอยากหยอกเย้าอีกฝ่ายเล่นไม่ได้ ส่วนเสี่ยวหยวนพอเห็นคนพวกนั้นไม่ยอมเลิกราก็หน้าแดงก่ำร้อนรนโมโห ทว่าจู่ๆ เขาก็เหมือนเห็นดาวช่วยชีวิต ตะโกนเสียงดัง
“ศิษย์พี่จางมาแล้ว!”
เหล่าสานุศิษย์ที่กำลังกระเซ้าเย้าแหย่เสี่ยวหยวนกันอย่างสนุกสนานต่างพากันหยุดมือ รีบเปิดทางให้ศิษย์ผู้พี่พลางทักทายอีกฝ่ายอย่างว่านอนสอนง่าย “ศิษย์พี่จาง”
จางซู่หยวนพูดเสียงขรึม “ค่ำมืดดึกดื่นแทนที่จะนั่งสมาธิฝึกเพียรบำเพ็ญ พวกเจ้ากลับออกมารังแกชาวบ้าน?”
สานุศิษย์พวกนั้นต่างพากันสำนึกผิด แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
นักพรตน้อยรีบเอ่ยปาก “ศิษย์พี่จาง ข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องพบประมุขยอดเขาจริงๆ!”
จางซู่หยวนยิ้ม “ยามนี้ประมุขยอดเขากำลังอยู่ในห้องเงียบฝึกฝนศึกษาภาพอักษร ว่ากันตามกฎแล้วห้ามมิให้คนนอกรบกวน เจ้ามีธุระร้อนอันใด ลองบอกให้ข้าฟังก่อน”
นักพรตน้อยกระหืดกระหอบจิตใจว้าวุ่น พูดจาวกวนสับสน จางซู่หยวนอดทนฟังอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ กว่าจะรู้เรื่องก็ไม่ใช่ง่าย “เจ้าบอกว่าเจินเหรินเจ้าสำนักไปหุบเขาจิ้งซือตั้งแต่บ่าย จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับ?”
เสี่ยวหยวนพูดอย่างไม่สบายใจ “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เวลาปรมาจารย์มีเรื่องพูดคุยกับเจ้าสำนัก อย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม เช่นนี้ข้าจึงได้เป็นกังวล”
จางซู่หยวนพบเจอกับภัยพิบัติในแดนสนธยามาด้วยตนเอง ไม่เหมือนกับสานุศิษย์คนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักหนักเบา เขารีบเข้าไปรายงานเรื่องนี้ต่อผู้เป็นอาจารย์
ประมุขยอดเขาจ้งปี้ในเวลานี้กำลังนั่งชื่นชมผลงานล่าสุดของตนเองอยู่ที่หน้าโต๊ะ ภาพหิมะเหนือหานซานยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ร่องรอยน้ำหมึกแห้งไปแล้วกว่าครึ่ง จางซู่หยวนอาศัยจังหวะตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ทันเก็บภาพแอบชำเลืองดู ก่อนจะพบว่านามที่เขียนไว้ที่มุมล่างของภาพวาดกลับเป็น ‘จี้เซียวเจินเหริน’
หลังเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ผู้คนทั่วเขาหานซานก็สะดุ้งตื่นจากฝัน นอกจากเจินเหรินเจ้าสำนักกับประมุขยอดเขาจื่อเยียนที่ไม่อยู่แล้ว ประมุขยอดเขาจ้งปี้ ประมุขยอดเขาหลิวหลัน ประมุขยอดเขาเยวี่ยเชวีย รวมถึงผู้อาวุโสจากยอดเขาทั้งห้าอีกยี่สิบกว่าท่าน ต่างพาสานุศิษย์ของตนมารวมตัวกันอยู่หน้าอีเสี้ยนเทียน ทางเข้าหุบเขาจิ้งซือ
แต่ไรมาการรวมตัวของประมุขยอดเขาก็ไม่เคยเอิกเกริกเช่นนี้มาก่อน มือของผู้คนนับพันต่างแตะอยู่บนกระบี่ สานุศิษย์หนุ่มทั้งหลายต่างรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ในสมองเต็มไปด้วยการคาดเดาต่างๆ นานา ส่วนผู้อาวุโสที่มีอายุค่อนข้างมากต่างรับรู้ได้ถึงจิตกระบี่สิ้นสูญดับขันธ์ภายในหุบเขา นึกถึงคืนค่ำยามหานซานทำลายเก่าสร้างใหม่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ความรู้สึกตึงเครียดเฉกเช่นยามนั้นเกิดขึ้นในใจพวกเขาอีกคราว
ประมุขยอดเขาจ้งปี้เคลื่อนพลังปราณ พูดด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด “พวกข้ามาเยี่ยมเยือนดึกดื่นมืดค่ำ เสียมารยาทยิ่งนัก ขอปรมาจารย์อนุญาตให้พวกเราเข้าพบสักครั้ง…”
แสงจันทร์ส่องสว่าง สายลมพัดแซกซ่า เสียงของเขาดังก้องไปทั่วหุบเขา
ทันทีที่พูดจบ จู่ๆ เขาก็ชักกระบี่ตวาด “ระวัง ทุกคนถอย!”
จู่ๆ ก้อนหินบนภูเขาที่อยู่ด้านหน้าก็แตกออกเป็นเสี่ยง ทุกคนต่างแยกย้ายถอยกันไปคนละทิศละทาง ราวกับยันต์ทำลายล้างจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดขึ้นพร้อมกัน ก้อนหินขนาดยักษ์บนทางเขาถูกระเบิดแหลก ป่าเขาสองข้างทางราวเกิดฝนอุกกาบาต
หลังฝุ่นควันสงบ ทุกคนถึงเห็นภาพตรงหน้าชัดแจ้ง ไม่มีอีเสี้ยนเทียนอีกต่อไป
วันที่จี้เซียวกลายเป็นปรมัตถ์ ปรมาจารย์ไท่หังใช้พลังอภินิหารสร้างอีเสี้ยนเทียนขึ้น จนกระทั่งถึงคืนนี้เส้นทางเชื่อมต่อเข้าไปยังหุบเขานี้ถึงได้ถูกเขาทำลายลง
ลึกเข้าไปในหุบเขา เสียงแหบพร่าของเฒ่าชราดังลอยออกมา “เข้ามา”
โคมไฟในหุบเขาสุกสว่าง ทุกคนเดินอย่างระแวดระวังเรียงแถวเข้าไปในหุบเขา สานุศิษย์หนุ่มจำนวนมากมาที่นี่เป็นครั้งแรก เพราะไม่คุ้นชินกับบรรยากาศเงียบสงัดราวกับความตายนี้จึงยิ่งเดินยิ่งหวาดวิตก
เหิงทงจวี้หยวน เมืองหานเหมิน
เฉียนอวี้จือที่ห่มคลุมร่างไว้ด้วยอาภรณ์ยาวบางๆ กำลังนั่งพลิกอ่านหนังสืออยู่ที่หน้าโต๊ะ ตะเกียงวิญญาณของอวี๋ฉี่ซูที่มุมโต๊ะลุกไหม้อย่างสงบนิ่ง
ก่อนนอนบางคนชอบคัดคัมภีร์สงบจิตใจ บ้างชอบอ่านบทกวีช่วยให้เข้าสู่ห้วงนิทราได้โดยง่าย ส่วนเฉียนอวี้จือก่อนนอนชอบทำเพียงดูสมุดบัญชี เขาเปิดดูบัญชีรายรับทีละหน้าราวกับอ่านคัมภีร์เต๋า จิตใจสุขสงบไร้กังวลหวาดหวั่น กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีฟ้าก็สว่างแล้ว
เวลาผ่านผันไปช้าๆ เขาปิดสมุดบัญชีลุกขึ้นยืน เตรียมเข้าห้องนอน คืนค่ำเงียบสงัดเช่นนี้ สรรพสิ่งร้างไร้สิ้นสำเนียง ดับเทียนแสงจันทร์อาบหับห้อง น้ำค้างอาบเปียกชื้นอาภรณ์
เดินไปได้เพียงสองก้าว เฉียนอวี้จือก็เหมือนรับรู้อะไรได้บางอย่าง ครั้นหันกลับไปเขาก็พบว่าตะเกียงวิญญาณบนโต๊ะกำลังริบหรี่ใกล้ดับ ไม่ต่างอันใดกับหญ้าป่าเรียวบางกลางสายลมโถมกระหน่ำ
เขาหรี่ตามอง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “แย่แล้ว!” จากนั้นก็รีบหยิบเสื้อขึ้นสวม
พ่อบ้านใหญ่ถือเชิงเทียนรีบเดินเข้ามา มีองครักษ์กับคนงานโรงรับจำนำกลุ่มหนึ่งเดินอยู่ทางด้านหลัง พอเห็นเฉียนอวี้จือผมเผ้ายาวสยายสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายเช่นนั้น ก็อดตกใจถามออกมาไม่ได้ “เจินเหริน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เฉียนอวี้จือถาม “กระบี่ข้าเล่า”
พ่อบ้านใหญ่ยังไม่ทันได้สติ เขาสะลึมสะลือตอบ “…ท่านลองหาดูอีกทีหรือยัง”
เฉียนอวี้จือได้แต่ถามขึ้นอีกคราว “กระบี่ของข้าเล่า!” คราวนี้เขาไม่ได้ถามผู้เป็นพ่อบ้าน
ลานลึกเงียบสงัด ไม่มีเสียงตอบรับอันใด องครักษ์กับคนงานทั้งหมดต่างมองหน้ากันไปมา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเสียงตึงตังโครมครามดังลั่นราวกับเสียงอสุนีบาตคำรามก็ดังลอยออกมาจากทางห้องเก็บของใต้ดินที่อยู่ห่างออกไปหกสิบกว่าจั้ง
พ่อบ้านใหญ่ได้สติขึ้นมาทันที เขาตะโกน “เจินเหรินช้าก่อน อย่า!”
ช้าไปแล้ว ท่ามกลางเสียงอสุนีบาตทุ้มต่ำ ลำแสงสายหนึ่งพุ่งกระแทกห้องเก็บของ เห็นผนังพุ่งใส่ผนัง เห็นประตูพุ่งใส่ประตู
ผนังห้องเก็บสินค้าแหลกยับ กำแพงลานพังทลาย ท้องฟ้าเหนือเหิงทงจวี้หยวนเต็มไปด้วยเถ้าธุลีตลบฟุ้ง
ลำแสงพุ่งแหวกอากาศเข้ามาในสวน ทุกคนต่างวิ่งกันอลหม่าน จู่ๆ คลื่นแสงก็ลดความเร็วลง เผยให้เห็นถึงกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง มันหยุดนิ่งค้างอยู่ตรงหน้าเฉียนอวี้จือ
เฉียนอวี้จือคว้ากระบี่ด้วยมือข้างเดียว ก่อนจากไปเขาเอ่ยปากกำชับ “ของสำคัญเช่นนี้ วันหน้าเก็บไว้ในที่ที่สะดวกหยิบใช้!”
พ่อบ้านใหญ่นึกตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในใจ ท่านจุดตะเกียงขัดกระบี่ครั้งล่าสุดก็เมื่อหกสิบปีที่แล้วโน่น
แค่เพียงครู่ ทั่วท้องถนนผู้คนในเมืองหานเหมินกว่าครึ่งก็ถูก ‘เสียงอสุนีบาตดังลั่น’ ปลุกตื่น ชาวบ้านตามตรอกทั้งหลายต่างงัวเงียเปิดหน้าต่าง ชะโงกหน้ามองดูลานด้านหลังที่พังยับไม่เหลือชิ้นดีของเหิงทงจวี้หยวน กับลำแสงกระบี่ที่บินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือเส้นขอบฟ้าพลางวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
ลำแสงกระบี่พุ่งตรงไปยังหานซานราวกับดาวตก
ทุกคนยืนตะลึงมองท้องฟ้าอยู่ที่กลางลาน พ่อบ้านหนุ่มกระซิบ “เฉียนเจินเหรินเป็นผู้ฝึกกระบี่จริงหรือ”
พ่อบ้านใหญ่พยักหน้า เมื่อหลายปีก่อนเฉียนอวี้จือยังเป็นผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มขี่กระบี่อาภรณ์ขาวสะบัดไหว ท่วงทำนองไม่มีอันใดสอดคล้องกับพ่อค้านับเงินยามนี้เลยแม้แต่น้อย
อีกคนถาม “ดึกป่านนี้แล้ว เฉียนเจินเหรินไปทำอะไร”
พ่อบ้านใหญ่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาตอบไปอย่างไม่แน่ใจนัก “ไปเก็บบัญชีกระมัง”
เขาคิด นับแต่เปิดเหิงทงจวี้หยวนเป็นต้นมา ทุกครั้งที่ประมุขยอดเขาจ้งปี้มาเอาของที่ร้านก็เอาแต่จดบัญชีไว้ตลอดไม่เคยจ่ายเงิน หรือว่าเฉียนเจินเหรินทนต่อไปไม่ไหว คืนนี้ตัดสินใจบุกหานซานคิดบัญชี?
ยอดเขาฉางชุน
สายลมยามวสันต์ไม่อบอุ่นเหมือนเคย คลื่นน้ำในสระกระเพื่อมไหวรุนแรง อุษาไร้เขตขัณฑ์ตื่นขึ้นทีละน้อย ผืนน้ำสีครามเข้มสั่นสะเทือนป่วนปั่น เจียวสามตัวว่ายวนขึ้นด้านบน หลบหลีกคมกระบี่พลางพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงเชื่องช้ายืดยาว ก่อนหน้านี้ยามพวกมันพูดคุยกัน อวี๋ฉี่ซูล้วนยืนอยู่ริมสระมองดู ‘ปลาไน’ สามตัวว่ายวนพ่นพรายฟองไปมา แสงจันทร์สาดส่องผืนน้ำใสกระจ่าง ปลาแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางใบบัว สงบสุขไร้สิ้นเรื่องทุกข์ร้อนใดๆ
ตอนนี้เขาคุกเข่าอยู่กลางดินเลนใต้สมุทร ฟังเจียวสามตัวพูดคุยกัน หัวสมองมึนงงวิงเวียน สองหูเริ่มชาราวกับถูกค้อนหนักๆ ฟาดใส่
เจียวตัวที่สามถาม “เขากำลังทำอะไร คุยอยู่กับกระบี่รึ”
เจียวตัวที่สองพูดทับถม “กระบี่นั่นนิสัยเสียสุดๆ ตอนเพิ่งตื่นนี่ดุดันเสียยิ่งกว่าอะไร รับรองได้ฟันเจ้านั่นตายในคราเดียวแน่”
เจียวตัวที่สามหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆ ฟันให้ตายไปเลย ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้มีเนื้อกิน!”
เจียวตัวที่หนึ่ง “เหลวไหล! คนผู้นั้นเป็นศิษย์น้องของจี้เซียว! เกิดเขาถูกฟันตายอยู่ใต้เปลือกตาเรา เจ้าลองคิดดูว่าหากจี้เซียวกลับมา ตอนนั้นพวกเรามิถูกฆ่าตายเป็นเพื่อนศิษย์น้องของเขาหรือ” คิดถึงตรงนี้ร่างกายใหญ่โตของมันก็สั่นสะท้าน
เจียวตัวที่สามเปลี่ยนจากหัวเราะกลับกลายเป็นร้องไห้ขึ้นมาทันควัน มันโอดครวญ “ข้าไม่อยากตาย ข้ายังอยากกลายร่างเป็นมังกร! จี้เซียวบอกว่าขอเพียงพวกเราสำนึกตนยินดีแก้ไขความผิดในอดีต ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ถึงตอนนั้นเขาจะช่วยพวกเรากลายเป็นมังกรบินขึ้นสู่แดนเซียน!”
มนุษย์ต่างมีชะตาชีวิตของตน เจียวแต่ละตัวก็มีนิสัยแตกต่างกัน เดิมพวกมันทั้งสามเป็นอันธพาลเจ้าถิ่นคอยเรียกลมเรียกฝนอยู่ที่ทะเลซีไห่ ไม่กินมังสวิรัติ กินก็แต่วาฬปลาฉลามใต้ทะเลลึกกับชาวประมงในทะเล ไม่รู้จักวิธีดูดซึมไอทิพย์ ไม่เหมือนเซิ่นโซ่วที่เกียจคร้านอืดอาด รู้จักก็เพียงหายใจพ่นไออสูร แม้เจียวทั้งสามจะมีพลังอสูรลึกล้ำ แต่ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญพรตที่ไม่มีความสามารถขึ้นสู่แดนเซียน บนโลกร้างไร้มังกรนานมากแล้ว มีก็แต่มุกมังกรใต้สมุทร คัมภีร์โบราณมีบันทึกถึงเรื่องตำนานสามภพ ยืนยันว่าโลกนี้เคยมีเจียวกลายร่างเป็นมังกรมาก่อน
หลังพวกมันสยบต่อจี้เซียว หรือจะบอกว่าถูกจี้เซียวเล่นงานจนศิโรราบ เจียวทั้งสามก็ฝากความหวังในการกลายร่างเป็นมังกรไว้กับ ‘แดนมนุษย์ไร้พ่าย’ จี้เซียวเจินเหรินผู้มีโอกาสบรรลุมรรคาขึ้นสู่แดนเซียนมากที่สุด
เจียวตัวที่หนึ่ง “แล้วจะให้ทำอย่างไร กระบี่นั่นรับฟังเหตุผลเสียที่ใด!”
พวกมันสามตัวอุปนิสัยแตกต่าง ทว่าพวกมันกลับเห็นพ้องเป็นหนึ่งเดียวกันว่าจี้เซียวมีเหตุผลที่สุด ส่วนกระบี่ของจี้เซียวนั้นไร้เหตุผลยิ่งยวด ในเมื่ออุษาไร้เขตขัณฑ์ตื่น นั่นก็แปลว่าหานซานกำลังมีภัย อวี๋ฉี่ซูเด็กหนุ่มโชคร้ายรายนี้เพียรบำเพ็ญต่ำต้อย ร่างเนื้ออ่อนแอปวกเปียก อุษาไร้เขตขัณฑ์มีฤทธานุภาพเช่นไร แค่ไอกระบี่ที่แผ่ออกมาก็สามารถเฉือนเขาให้แหลกกลายเป็นเศษเลือดเศษเนื้อได้แล้ว
เจียวตัวที่สอง “พวกเราต้องช่วยเขา! ช่วยเขาเท่ากับช่วยตัวเอง!”
เจียวตัวที่สาม “ช่วยเขาได้พวกเราก็จะกลายเป็นมังกร!”
เจียวตัวที่หนึ่งยกกรงเล็บที่อยู่ใต้ท้องขึ้น ชี้ไปยังเจียวตัวที่สาม “พูดได้ดี เอาญาณอสูรของเจ้าให้เขาใช้ปกป้องร่างกาย!”
เจียวตัวที่สองยกกรงเล็บขึ้นพูดสนับสนุน “ใช่!”
เจียวตัวที่สามยกกรงเล็บชี้ไม่ถึงตัวเอง “ใช่…ไม่ใช่ เหตุใดต้องเป็นข้าด้วย!”
ใต้สมุทร อวี๋ฉี่ซูถ่ายเสียงคุยกับอุษาไร้เขตขัณฑ์ “เจ้าอยากออกมาหรือ ข้าช่วยเจ้าเอง!”
พอเจียวทั้งสามเห็นอวี๋ฉี่ซูกล้าจับด้ามกระบี่เช่นนั้น ภาพตรงหน้าก็พลันมืดดำ
อุษาไร้เขตขัณฑ์เคลื่อนออกจากดินโคลนทีละน้อย ตัวกระบี่สว่างไสวส่องประกายไปทั่ว แรงดันน้ำในสมุทรกว้างเพิ่มสูง อวี๋ฉี่ซูรู้สึกว่ากระแสน้ำแฝงไว้ซึ่งคมดาบจำนวนมาก กำลังถากเนื้อเขาออกเป็นชิ้นๆ เขากุมด้ามกระบี่แน่นไม่ยอมปล่อย สายตารางเลือน ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าตนเองกำลังเลือดออกเจ็ดทวาร เห็นก็แต่ประกายแสงสีทองวาบผ่าน กระแสอบอุ่นสายหนึ่งไหลเข้าสู่ทุกอณูภายในร่าง จิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
เจียวตัวที่หนึ่งมองดูเจียวตัวที่สามพูดกับเจียวตัวที่สอง
“พวกเราพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว หากเจ้าเด็กนี่ตายไป จี้เซียวย่อมมิอาจกล่าวโทษพวกเรา!” เจียวตัวที่สามโอดครวญ “ข้าพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว!”
เดิมทีคืนนี้แสงจันทร์สุกสว่าง ทว่าไม่รู้ว่ายามใด สายลมกลับเริ่มโถมกระหน่ำ เมฆดำบดบังดวงจันทร์หมดสิ้น ยอดเขาฉางชุนแผ่นดินขุนเขาไหวสั่น
น้ำในสระกลับกลายเป็นพวยน้ำพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ต้นไม้เรือนพำนักที่อยู่ข้างสระถูกเหวี่ยงขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน พังทลายลงในพริบตา
กลางพวยน้ำหมุนวน กระบี่เล่มหนึ่งราวกับอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ลอยขึ้นมาทีละน้อย ตัวกระบี่ไม่เปื้อนแม้แต่หยดน้ำ ส่องประกายอาบยอดเขาฉางชุนจนดูไม่ต่างอันใดกับยามกลางวัน
หากเพ่งตามองดูดีๆ จะพบว่าที่ด้ามกระบี่มีคนผู้หนึ่งแขวนค้างอยู่ ไม่รู้ได้ว่าเป็นหรือตาย
อวี๋ฉี่ซูไม่ต่างอันใดกับสุนัขตาย เสียงน้ำดังก้องอยู่ข้างหู เขาจับอุษาไร้เขตขัณฑ์แน่น “พี่กระบี่ ใจเย็นหน่อย ท่านคิดจะไปที่ใด”
กระบี่พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้ายามราตรี วาดเป็นรัศมีงดงาม หากมองดูจากไกลๆ อาจเข้าใจว่ามีผู้บำเพ็ญพรตที่มีสภาวะสูงส่งกำลังขี่กระบี่อยู่
ณ แดนสนธยาฮั่นไห่ เค้าโครงสูงๆ ต่ำๆ ของสิ่งปลูกสร้างในเมืองจงยางปรากฏขึ้นต่อสายตาของพวกเมิ่งเสวี่ยหลี่
จี้เซียวบอก “ข้าเชื่อ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่เห็นเขาสีหน้าจริงจัง ไม่คล้ายกำลังปลอบใจตนเช่นนั้นก็พูดออกมาด้วยความซาบซึ้ง “ถิงอวิ๋น ขอบใจ”
เชวี่ยเซียนหมิงกำลังคุยโวอยู่กับพวกของจิงตี๋ ทว่าพอหันกลับมาเห็นคนทั้งสองยิ้มจ้องตากันเช่นนั้น เขาก็รีบวิ่งกลับมาอยู่ข้างกายเมิ่งเสวี่ยหลี่
“พวกเจ้าสองคนคุยอะไรกัน”
“พวกเราคุยกันว่าบางทีจี้เซียวอาจยังไม่ตาย”
เชวี่ยเซียนหมิงคิดว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่ล้อเล่น “ข้าว่าเจ้าต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ!” ก่อนจะถ่ายเสียงคุยกับเขาเบาๆ “สารภาพกับพี่น้องมาเสียดีๆ เจ้าชอบจี้เซียวหรือเซียวถิงอวิ๋น เจ้าชอบแก่หรือเด็ก”
เมิ่งเสวี่ยหลี่นึกอยากกระหน่ำหมัดใส่อีกฝ่าย “ชอบบ้าอะไร!”
เมืองจงยางไม่อาจนับเป็นเมือง กลางแดนสนธยามันเป็นก็แค่หมู่ตำหนักร้างบนพื้นที่ราบที่ถูกห้อมล้อมด้วยแม่น้ำและภูเขาก็เท่านั้น สิ่งปลูกสร้างต่างๆ มิได้สร้างจากไม้เชื่อมต่อกันด้วยเบ้าเดือย หากสร้างขึ้นจากการตัดเฉือนหินขาวแข็งแกร่ง ก่อสลักมันจนกลายเป็นตำหนัก หลังถูกพายุทรายกัดเซาะ สงครามกร่อนทำลายนานปี สุดท้ายก็เหลือเพียงเค้าโครงตำหนัก สวนดอกไม้ ระเบียงทางเดิน ลานช่องแสงให้เห็นเพียงรางๆ
ว่ากันว่านอกจากบนพื้นแล้ว ใต้พื้นดินยังมีตำหนักอยู่อีกแห่ง เซิ่นโซ่วพ่นลมหายใจอยู่ในนั้น ทว่านอกจากจี้เซียวแล้วก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นเซิ่นโซ่วกับตา
ตอนเป็นจอมอสูรเขาเสวี่ยซาน เมิ่งเสวี่ยหลี่เคยพบเห็นมันมาก่อน เมิ่งเสวี่ยหลี่ลูบคลำเสาหินตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองจงยาง คิดถึง ‘อสูรอื่น’ ที่จี้เซียวแอบเลี้ยงไว้ใต้เท้าตนในเวลานี้
เมิ่งเสวี่ยหลี่ถ่ายเสียงถามผู้เป็นศิษย์ “ถิงอวิ๋น เจ้าว่าระหว่างตำหนักใต้ดินเหลืองอร่ามงดงามที่เซิ่นโซ่วพำนัก กับยอดเขาฉางชุนอันมีทัศนียภาพวิจิตรตระการตา หากให้เจ้าเลือกเจ้าจะเลือกอยู่ที่ใด”
จี้เซียวไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ อีกฝ่ายถึงถามออกมาเช่นนี้ เขาสีหน้างุนงง เกรงว่าจะทำคู่ร่วมบำเพ็ญตัวน้อยโมโหขึ้นมาอีก “แน่นอนว่าข้าต้องเลือกอยู่กับเจ้า…”
เมิ่งเสวี่ยหลี่อารมณ์สงบนิ่ง ไม่นึกอิจฉาริษยา เขาคิด ก็ใช่ หากจี้เซียวให้เซิ่นโซ่วพำนักในที่ที่ดีกว่าข้า บุตรของจี้เซียวก็ต้องอยู่กับมัน มิใช่ข้า
พวกจิงตี๋เข้าเมืองจงยางกันเป็นครั้งแรก เชวี่ยเซียนหมิงแม้จะท่องแดนมนุษย์นานปี แต่ก็มาแดนสนธยาครั้งแรกเช่นกัน พอเห็นสิ่งปลูกสร้างสลักจากหิน เขาก็นึกอยากรู้อยากเห็นจนลืมกระเซ้าเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่ ‘ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกผ่านทางสายตา’ อยู่กับผู้เป็นศิษย์
ซ่งเฉี่ยนอี้พลิกเปิดแผนที่ “นี่คือลานช่องแสง เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ลับตาผู้คนที่สุดในเมืองจงยาง ร้างไร้ผู้คน พวกเราต้องมุ่งไปทางหมู่ตำหนักถึงจะพบกับผู้เข้าร่วมประลองคนอื่นๆ”
ก่อนเดินทางเมิ่งเสวี่ยหลี่ชี้แผนที่ เลือกมายังสถานที่แห่งนี้ก่อน นางไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดถึงต้องเป็นที่ลานช่องแสงด้วย
เสาหินสูงตระหง่านหกต้นโอบล้อมลานกว้างเรียบทรงกลมไว้ รอยขีดเขียนต่างๆ บนเสาหินบนพื้นลานยามนี้ล้วนเลือนรางไปแทบสิ้น เห็นได้ก็แต่เพียงร่องรอยจางๆ จำนวนหนึ่งเท่านั้น
เชวี่ยเซียนหมิงถาม “ลานช่องแสงนี้มีไว้เพื่อการใด”
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา พิจารณาอยู่รอบเสาหินต้นหนึ่ง เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็เอ่ยขึ้น
“ข้าเองก็ไม่รู้”
จิงตี๋ “จะสนใจไปไย ละแวกนี้ไม่มีผู้คน พวกเราเดินทางต่อกันดีกว่า!”
จี้เซียวตอบ “ใช้ดูฟ้า บันทึกเงาตะวันจันทรา ดาราคล้อยเคลื่อน”
เมิ่งเสวี่ยหลี่เอ่ยปากชมผู้เป็นศิษย์ “ความรู้เจ้ากว้างขวางดีแท้”
จิงตี๋ “…”
ซ่งเฉี่ยนอี้เอ่ยขึ้นบ้าง “ว่ากันว่าทั่วทั้งแดนสนธยาคือเรือนพำนัก เป็นโลกใบเล็กที่ผู้แข็งแกร่งในอดีตบุกเบิกไว้ หลังจากที่เขาขึ้นสู่แดนเซียน เศษพื้นที่ร้างไร้เจ้าของนี้ก็ถูกปล่อยให้ลอยละล่องอยู่ในแดนนอกพิภพ…ที่แท้ผู้แข็งแกร่งที่ว่าก็ชอบดูดวงดาว”
สวีซานซาน “ข้ารู้สึกว่ามีก็แต่พวกเราเท่านั้นที่สนใจของพวกนี้”
เมิ่งเสวี่ยหลี่บอกกับผู้เป็นศิษย์ “เจ้าดู จี้เซียวเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสนามประลองก็เพราะปรารถนาดี มีผู้แข็งแกร่งบรรลุมรรคาขึ้นสู่แดนเซียนได้ นั่นก็เท่ากับยืนยันให้รู้ว่าการขึ้นสู่แดนเซียนมิได้เป็นเพียงฝัน ไม่ว่าผู้ใดหากมาถึงที่นี่ย่อมจดจำเรื่องนี้ได้ ขอเพียงฝังเมล็ดพันธุ์ไว้ ย่อมมีโอกาสแตกหน่อผลิใบ ขอเพียงอนุชนรุ่นหลังเชื่อว่าสามารถบรรลุมรรคาขึ้นสู่แดนเซียนได้ ไม่ว่าจะมนุษย์หรืออสูร ช้าเร็ววันนั้นย่อมต้องมาถึง”
เชวี่ยเซียนหมิงเองก็ได้ยิน เขากระซิบ “พูดเสียลึกลับซับซ้อน ข้าว่าจี้เซียวต่อให้ขุดหลุมส้วม เจ้าก็ยังคุยโวบุปผาผลิบานได้!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ถลึงตาใส่อีกฝ่าย เชวี่ยเซียนหมิงทำท่าปิดปาก
หลิวจิ้งขยับชนวนเวทในมือ “อาวุโสเมิ่ง ตอนนี้พวกเราจะมุ่งหน้าไปทางใด ตะวันตกตะวันออกล้วนมีกลิ่นอายมนุษย์”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ถาม “เจ้าคงตั้งค่ายเวทขยายเสียงเป็นกระมัง”
หลิวจิ้งตบอกรับรอง “แน่นอน ค่ายเวทพื้นฐานง่ายๆ ต่อให้หลับตาข้าก็ยังทำได้ ที่แห่งนี้เหมาะที่จะตั้งค่ายเวทขยายเสียงที่สุด”
ค่ายเวทขยายเสียงไม่มีพลังทำลายล้างอันใด ทำได้แค่เพียงขยายเสียงที่ถ่ายทอดออกไปเท่านั้น อันที่จริงผู้บำเพ็ญพรตเพียงเคลื่อนพลังปราณพูดจา เสียงก็สามารถถ่ายทอดออกไปไกลได้แล้ว ทว่าหากมีค่ายเวทขยายเสียงเพิ่มเติมเข้าไป เสียงย่อมถ่ายทอดออกไปได้ไกลยิ่งกว่า กระจ่างชัดยิ่งขึ้น
ซ่งเฉี่ยนอี้สงสัย “จริงหรือ เจ้ามั่นใจว่าทำได้? ไม่ไหวก็อย่าได้…”
ผู้ใช้เวทโมโห “เมื่อครู่ข้าจัดการกับค่ายเวทสะบั้นจิตของอาจารย์ไม่ได้ก็เพราะข้าด้อยสามารถ เรื่องนี้ไม่ผิด! ทว่าคราวนี้ข้าให้เจ้าจุดธูปดอกหนึ่ง หากภายในหนึ่งก้านธูป ค่ายเวทขยายเสียงยังตั้งไม่เสร็จ ข้ายินดีเอาหัวโขกเสาหินตาย! กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ในแดนสนธยา!”
จิงตี๋รีบปราม “เจ้าก็พูดแรงไป หาจำเป็นต้องทำเช่นนี้ไม่”
เจิ้งมู่ “อมิตาภพุทธ ระงับโทสะเถิด”
ซ่งเฉี่ยนอี้ไม่สนใจพวกเขา “อาวุโสเมิ่งต้องการค่ายเวทขยายเสียงเพื่อการใด”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบ “ข้าอยากพูดคุยกับทุกคน ข้าอยากให้ทั่วแดนสนธยาได้ยินเสียงข้า”
จิงตี๋ประหลาดใจ คิดว่าเขาถูกกดดันจนเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่ “หากทุกคนรวมถึงหนิงเวยกับศัตรูที่พวกเราไม่รู้ได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ถึงตอนนั้นเจ้าไม่เท่ากับเป็นเป้านิ่งที่ยังมีชีวิตหรือไร”
ซ่งเฉี่ยนอี้ “อาวุโสเมิ่งต้องการประกาศให้ผู้ร่วมการประลองทุกคนรู้ว่าการประลองครั้งนี้มีแผนการชั่วร้ายแอบแฝง ให้พวกเขารีบหาค่ายเวทเคลื่อนย้ายที่ยังใช้การได้ออกจากที่นี่ไปโดยไว หลังจากนั้นพวกเราก็รีบย้ายตำแหน่ง! พวกเราไม่รู้ว่ายังมีคนอยู่ในแดนสนธยาอีกกี่มากน้อยและอยู่ที่ใดกันบ้าง ดังนั้นใช้ค่ายเวทขยายเสียงจึงเร็วกว่า”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ถาม “หากข้าพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ พวกเจ้าที่กำลังชิงตำแหน่งอยู่ในแดนสนธยาจะยอมเชื่อกระนั้นหรือ”
ซ่งเฉี่ยนอี้ครุ่นคิด สุดท้ายก็ได้แต่ยอมรับความจริง “หากไม่เห็นเองกับตาข้าไหนเลยจะเชื่อ ไม่แน่อาจคิดว่าท่านมีแผนชั่วตั้งใจหลอกให้ข้าถอนตัวออกจากการแข่งขัน ถึงตอนนั้นข้าย่อมไม่ยอมไป ตรงกันข้ามกลับจะอยู่จนถึงช่วงสุดท้ายของการประลอง ต่อให้ไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าตนเองฝีมือสูงส่ง ก็หมายจะรักษาศักดิ์ศรีของตน…เฮ้อ แต่ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องมีคนเชื่ออยู่บ้าง เตือนได้คนหนึ่งก็คนหนึ่ง”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ “ดังนั้นข้าต้องเปลี่ยนวิธีพูด”
เขาเล่าแผนการของตัวเองออกมาคร่าวๆ หลังฟังจบทุกคนก็ต่างพากันนิ่งอึ้ง
ซ่งเฉี่ยนอี้ “…อันตรายเกินไป ข้าว่าลองคิดหาวิธีอื่นเถิด”
จิงตี๋ “ข้าไม่เห็นด้วย!”
สวีซานซาน เจิ้งมู่ หลิวจิ้งสบตากันปราดหนึ่ง ไม่พูดอันใด
เชวี่ยเซียนหมิง “ข้าอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
เมิ่งเสวี่ยหลี่จ้องเซียวถิงอวิ๋นอย่างกระวนกระวาย
จี้เซียวเอ่ยตอบ “ข้าเห็นด้วย”
จี้เซียวให้ท้ายเมิ่งเสวี่ยหลี่แต่ใช่ว่าจะไม่มีขีดจำกัด หากเมิ่งเสวี่ยหลี่คิดทำการชั่วร้าย เขาย่อมต้องขัดขวาง ทว่าเรื่องนี้หาใช่เรื่องล้ำเส้นแต่ประการใด ขอแค่คู่ร่วมบำเพ็ญตัวน้อยสบายใจก็พอแล้ว
“มีก็แต่เจ้าเท่านั้นที่เข้าใจข้า เชื่อข้า เจ้าช่างดียิ่งนัก”
อันที่จริงจิงตี๋คิดตกแล้ว รู้ดีว่าเรื่องราวระหว่างตนกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่มีทางเป็นไปได้ ทว่าพอเห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่สนิทสนมกับเซียวถิงอวิ๋นถึงเพียงนั้น เขาก็ให้รู้สึกอึดอัดใจ จึงบอก “ข้าเองก็เห็นด้วย!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่พยักหน้า หันไปบอกหลิวจิ้ง “ตั้งค่ายได้”
เพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้น จิงตี๋จุดธูปขึ้นดอกหนึ่งจริงๆ
หลังผ่านไปครึ่งก้านธูป หลิวจิ้งก็ตั้งค่ายเวทเสร็จสิ้น “อาวุโสเมิ่ง เสียงของท่านปกคลุมครึ่งแดนสนธยาได้ไม่มีปัญหาแน่ ทว่าจะไปได้ทั่วแดนสนธยาหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับพลังปราณของท่านแล้วว่าฝึกถึงขั้นใด”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ย่างเท้าเข้าไปในค่ายเวทขยายเสียง ยืนอยู่กลางลาน ถือกาลมิสิ้นผ่านผันไว้ในมือ
ความมืดเริ่มปกคลุมแดนสนธยา เงาของเสาหินทั้งหกต้นทอดยาว แสงดาวระยิบระยับเกลื่อนฟ้าจับอยู่บนร่างของเมิ่งเสวี่ยหลี่
จี้เซียวมองดูอยู่ห่างๆ รู้สึกแม้กระทั่งตอนก่อเรื่องอีกฝ่ายก็ยังคงดูงดงาม
เมิ่งเสวี่ยหลี่สูดหายใจเข้า “ทุกท่าน!”
พวกจิงตี๋ปิดหู
เมิ่งเสวี่ยหลี่ได้ยินเสียงตนเองก้องดัง “ทุก…ท่าน…”
“ได้ยินเสียงของข้าแล้วไม่ต้องตกใจ ข้าเมิ่งเสวี่ยหลี่ คู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียว ประมุขยอดเขาฉางชุนคนปัจจุบัน ยามนี้กำลังพูดคุยกับทุกคนอยู่ที่ลานช่องแสงในเมืองจงยาง…”
ฟากฟ้าเหนือแดนสนธยา สูงพ้นชั้นเมฆขึ้นไปใต้จันทร์สุกสว่าง
นาวาสีชาดของประมุขแดนสรวงยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม ราวเมฆสีแดงสุกสว่างอยู่กลางทางช้างเผือก
ทุกคนบนเรือต่างคุ้นชินกับชีวิตเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหูซื่อจะกลับมหรรณพแดนสรวงเมื่อใด และไม่มีผู้ใดซักถาม ทำเพียงตามเขาย้ายจากมหรรณพแดนสรวงมาชื่นชมทัศนียภาพอยู่ที่ฮั่นไห่เท่านั้น
ทว่าคืนนี้กลับไม่เหมือนกัน ตอนชุนสุ่ยและชิวกวงเดินผ่านประตูเข้ามา ก็เห็นหูซื่อผลักเปิดหน้าต่าง
เขายืนอยู่ข้างหน้าต่างฉลุลาย เส้นผมยาวสยาย แสงจันทร์วาดเค้าโครงอยู่บนรูปร่างเพรียวระหงของเขา ขับดุนจนดูราวเซียนเทพนอกพิภพที่กำลังค้อมมองสรรพชีวิตในฮั่นไห่
ประมุขแดนสรวงถือกรงนกว่างเปล่ากรงหนึ่งไว้ในมือ กรงนกส่องประกายสีทองวับวาว งดงามละเอียดอ่อน
“ท่านประมุข แดนสนธยาเกิดเรื่องอะไรขึ้นกระนั้นหรือ” ชิวกวงถาม
หูซื่อยิ้ม “ไหนเลยจะมีเรื่องอันใดใหม่”
ชุนสุ่ยเอ่ยปากชื่นชม “กรงนกนี้งดงามยิ่งนัก”
หูซื่อหันร่างแขวนกรงนกไว้ริมหน้าต่าง “ข้าทำมันขึ้นเอง แข็งแกร่งยิ่ง”
ชิวกวงถามด้วยความอยากรู้ “ท่านประมุข ท่านคิดจะเลี้ยงนก?”
หูซื่อพยักหน้า “ถูกต้อง”
ชิวกวงพูดอย่างยินดี “ท่านคิดจะเลี้ยงนกอะไร ผู้น้อยไปจับมาให้ท่านดีหรือไม่”
หูซื่อยิ้มส่ายหน้า “จับมาไม่ได้ นกที่จับมาไหนเลยจะเลี้ยงได้นาน ต้องปล่อยให้มันบินเข้ามาเองถึงจะดี”
ชุนสุ่ยปิดปากหัวเราะ “นกอะไรถึงยินดีบินเข้ากรงเอง”
“นกโง่”
“ฮ่าๆ! นกโง่!”
“ผู้น้อยเคยได้ยินก็แต่เฝ้าตอรอกระต่าย แต่ท่านประมุขกลับเฝ้ากรงรอนก!”
โฉมสะคราญทั้งสองกับสาวใช้สี่นางต่างถูกหูซื่อกระเซ้า เสียงหัวเราะดั่งกระดิ่งเงินกังวานอยู่ในหอห้อง สตรีทั้งหลายหัวเราะครื้นเครงอยู่ด้วยกัน ทันใดนั้นหูซื่อก็เอ่ยปากพูดออกมาประโยคหนึ่ง
ไม่มีผู้ใดฟังเข้าใจ เสียงหัวเราะเงียบสงัดลงฉับพลัน
หูซื่อบอก “ใกล้แล้ว รออีกหน่อย”
ชุนสุ่ยไปจุดกำยาน ชิวกวงทำท่าบอกให้สาวใช้ทั้งหมดถอยออกไป หลังทุกอย่างเงียบสงบ โฉมสะคราญทั้งสองก็เดินไปหยุดอยู่ข้างตั่งเตียง ช่วยหูซื่อถอดเสื้อ
หูซื่อโบกมือ ทั้งสองยืนกระสับกระส่าย ไม่กล้าเดินขึ้นหน้าต่อ
หูซื่อยิ้มบอก “มา นั่งลง ข้าจะเล่าอะไรให้พวกเจ้าฟัง”
ชิวกวงยิ้มสบายใจ “วันนี้ท่านประมุขอารมณ์ดียิ่งนัก มีเรื่องเล่าให้พวกเราฟังอีกแล้ว”
หูซื่อกล่าวช้าๆ “ตอนยังเล็กข้ามีสหายผู้หนึ่ง วันนี้เล่าเรื่องของเขาก็แล้วกัน”
ชุนสุ่ยชิวกวงคนหนึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายคนหนึ่งนั่งอยู่ทางขวาขนาบอยู่ข้างกายหูซื่อ ท่าทางผ่อนคลาย พวกนางรู้ว่าหูซื่อในยามนี้โอนอ่อนผ่อนตามเป็นที่สุด แทบจะถามสิ่งใดตอบสิ่งนั้น ร้องขอสิ่งใดไม่มีปฏิเสธ บรรยากาศภายในห้องงดงามเงียบสงบ ควันกำยานลอยละล่อง ม่านโปร่งทับซ้อน
หูซื่อกล่าว “สหายของข้าผู้นี้สืบเชื้อสายจากตระกูลใหญ่ในแคว้นเล็กๆ ทางตอนเหนือของแดนมนุษย์ ชอบเล่าเรียนเขียนอ่านมาตั้งแต่เล็ก อีกทั้งยังชอบอ่านบันทึกเรื่องราวลี้ลับจำพวกภูตผีปีศาจเซียนเทพ มีอยู่คืนหนึ่งเขานั่งจุดตะเกียงพลิกอ่านหนังสืออยู่หน้าโต๊ะ จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นจากกลางลาน คล้ายมีวัตถุขนาดใหญ่หล่นร่วง เขาทั้งหวาดหวั่นทั้งอยากรู้ สุดท้ายก็อดแง้มหน้าต่างออกดูไม่ได้…พวกเจ้าลองทายดูซิว่าเขาเจอกับอะไรเข้า”
ชุนสุ่ยถาม “อะไรหรือ”
“นกยูงขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง!”
ชิวกวงสงสัย “เหตุใดถึงเป็นนกยูง มิใช่จิ้งจอกเล่า เรื่องเล่าในแดนมนุษย์มิใช่ชอบเขียนถึงบัณฑิตหนุ่มกับเซียนจิ้งจอกหรือภูตผีงดงามเย้ายวนหรือไร”
หูซื่อเล่าต่อว่า “นกยูงตัวนั้นพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ว่า ‘เด็กน้อย ไม่ต้องกลัว ข้าเป็นเซียนเทพจากสรวงสวรรค์’ ”
ชุนสุ่ย “ฮ่าๆๆๆ ดูท่าไม่ใช่พบเจอภูตผี หากแต่เป็นอสูรแทน!”
ชิวกวงถามอย่างอยากรู้ “เหตุใดถึงเรียกเขาว่าเด็กน้อย ยามนั้นสหายของท่านอายุเท่าใด”
“เจ็ดขวบครึ่ง”
ชุนสุ่ยยิ้มกล่าว “ที่แท้ก็ยังเป็นสหายตัวน้อย มิน่าถึงได้ไม่มีวาสนาพบพานเซียนจิ้งจอกภูตผีงดงาม”
“ถูกแล้ว สหายตัวน้อยพบพานนกยูงพูดภาษาคนได้ เขาทั้งตกใจทั้งสงสัย รีบวิ่งไปปิดประตูหน้าต่าง ขนาดในลานไร้สิ้นความเคลื่อนไหวใดๆ แล้ว เขาก็ยังนอนคลุมโปงไม่กล้าหลับตา จวบจนฟ้าสางเขาถึงออกมาดู ทว่าไม่พบนกยูงตัวนั้น มีแต่ขนนกยูงหลากสีส่องประกายวับวาวอยู่ในกอหญ้าเส้นหนึ่ง!”
ชุนสุ่ยบอก “ขนอสูรนกยูง สำหรับเด็กน้อยแล้วย่อมเป็นของหายากยิ่ง”
“คืนที่สอง เขายังคงไม่กล้าหลับ พอถึงเที่ยงคืนนกยูงตัวนั้นก็มาหาเขาอีก มันถาม ‘เจ้าชื่ออะไร’ ”
ชุนสุ่ยถาม “เขาตอบหรือไม่”
“แน่นอนว่าเขาไม่กล้าตอบ ทว่านกยูงมาทุกวัน วันนี้มอบขนนกยูงสีสันงดงามให้เขา พรุ่งนี้มอบมุกมังกรใต้ทะเล ดวงดาวเหนือนภา หนึ่งเดือนให้หลังเขากับนกยูงก็กลายเป็นสหายสนิทกัน”
ชิวกวง “มุกมังกรกับดวงดาว? เป็นไปได้อย่างไร!”
หูซื่อหัวเราะ “อันที่จริงก็แค่ศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นต่ำ มุกวิเศษชั้นกลาง ส่องประกายเปลี่ยนสีได้ก็เท่านั้น ทว่าเด็กน้อยจากแคว้นเล็กๆ ในแดนมนุษย์ไม่รู้ประสีประสาอันใด ย่อมถูกหลอกลวงง่ายๆ อันที่จริงแค่ใช้สมองคิดสักนิดก็รู้ได้แล้ว อสูรกับมนุษย์ไหนเลยจะเป็นสหายกันได้”
ชุนสุ่ยถาม “หลังจากนั้นเล่า”
“มีอยู่คืนหนึ่ง ทางช้างเผือกระยิบระยับตระการตา นกยูงบอก ‘ข้าจะพาเจ้าบินขึ้นฟ้าไปเด็ดดวงดาว!’ เด็กน้อยดีใจ ขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังนกยูง นกยูงกางปีกทั้งสองข้าง บินตามสายลมผ่านกำแพงลาน ผ่านประตูเมือง ผ่านป่า บินสูงขึ้นไปทีละน้อย ไม่มีผู้ใดพบเห็น พวกเขาบินไปเรื่อยๆ เด็กน้อยราวกับตกอยู่ในความฝัน…”
ชิวกวงยิ้ม “พวกเขาจะไปเด็ดดวงดาวจริงกระนั้นหรือ”
หูซื่อยิ้มเช่นกัน “นกยูงนำเขาไปยังยอดเขานอกเมือง บอกเขาว่าที่นี่อยู่ใกล้ดวงดาวมากที่สุด รอตนเองบินขึ้นไปเด็ดดวงดาวก่อน แล้วจะนำมันกลับลงมาให้ เด็กน้อยบอกว่าเขาไม่ต้องการดวงดาวแล้ว ขอไม่ให้มันไป ที่นี่ลมแรง อยู่คนเดียวเขากลัวยิ่งนัก ทว่านกยูงกลับบอก ‘กลัวอะไร ในมือเจ้าไม่ใช่มีขนของข้าหรอกหรือ ขอเพียงตะโกนชื่อข้าต่อดวงดาว ข้าก็จะปรากฏตัวขึ้นทันที ก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือไร’ ”
ชิวกวงถาม “นกยูงตัวนั้นชื่ออะไร”
หูซื่อครุ่นคิดจริงจัง “ข้าลืมแล้ว”
ชุนสุ่ยถาม “อสูรนกยูงไปขโมยศิลาศักดิ์สิทธิ์หรือ เช่นนั้นก็ต้องกลับมาให้เร็วหน่อย หากญาณอสูรที่เขาทิ้งไว้บนร่างเด็กน้อยสลาย เด็กน้อยไม่แคล้วได้หนาวตาย”
หูซื่อเล่าต่อ “เด็กน้อยต้องลมหนาวอยู่บนยอดเขามืดมิดตลอดทั้งคืน ตะโกนเรียกชื่อนกยูงทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับ สุดท้ายก็ตะโกนจนเสียงแหบพร่า รุ่งเช้ากว่าคนรับใช้ประจำตระกูลจะขึ้นเขามาเจอ เขาก็เนื้อตัวแข็งทื่อหมดสิ้น สติสัมปชัญญะรางเลือน หลังกลับถึงบ้านไข้ขึ้นสูงไม่มีลด ฝันร้ายละเมอไม่หยุด อีกทั้งยังตะโกนเรียกชื่อนกยูงนั่น…”
น้ำเสียงของเขาเริ่มกลับกลายเป็นห่อเหี่ยว
ชิวกวงอดซักถามต่อไม่ได้ “หลังจากนั้นเล่า”
“หลังจากนั้นเด็กน้อยก็สิ้นใจ ป่วยตาย” หูซื่อบอก
ชุนสุ่ยตะลึง “ตาย? แล้วนกยูงตัวนั้นเล่าหายไปที่ใด”
“ไม่รู้ นกยูงนั่นบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เคยกลับมาอีกเลย”
ชิวกวงพูดออดอ้อน คล้องแขนหูซื่อ “เรื่องเล่านี้ไม่สนุก ไม่มีเค้ามูล ทั้งยังรันทดหดหู่ ท่านประมุข ท่านเปลี่ยนตอนจบได้หรือไม่”
“ก็ได้ เด็กน้อยไม่ตาย นับแต่นั้นเขาก็ไม่คิดจะสอบขุนนางเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตอันใดอีก หากแต่เปลี่ยนมาศึกษามรรคาวิถี ด้วยโอกาสประจวบเหมาะ โตขึ้นได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญพรต สุดท้ายก็รู้ว่านกยูงตัวนั้นไม่ใช่เซียนเทพ หากแต่เป็นอสูร ดวงดาวที่ส่องประกายอยู่ในอุ้งมือที่แท้เป็นก็แค่เพียงศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นต่ำสองสามก้อนเท่านั้น แท้จริงดวงดาวอยู่ยังท้องนภาไกลโพ้น อาจมีสะเก็ดดาวหล่นร่วงลงมาบ้างเป็นครั้งคราว ก่อเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ทำลายเมืองทั้งเมืองพังพินาศ…” หูซื่อเอ่ย
ไม่เกี่ยวกับดวงดาว ชิวกวงคิด บทสรุปเช่นนี้ก็ยังคงเป็นแบบขอไปทีอยู่ดี “นกยูงตัวนั้นเล่า”
หูซื่อส่ายหน้า “ไม่มีนกยูงแล้ว เรื่องจบลงเพียงเท่านี้”
โฉมสะคราญทั้งสองพึมพำพร่ำบ่นอยู่ในใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่มีหัวไม่มีหางเลยสักนิด
หูซื่อโอบซ้ายกอดขวา “พวกเจ้าไม่พอใจ อยากได้ยินบทสรุปเช่นไร”
ชิวกวงคิด “ผู้น้อยอยากให้เด็กน้อยคนนั้นเติบใหญ่ หนึ่งคนหนึ่งอสูรพบกันอีกครั้ง”
หูซื่อถาม “พบกันแล้ว ยังจะพูดอันใดได้”
ชิวกวงตอบ “ถามนกยูงว่าไยต้องโกหก…”
“นกยูงเป็นอสูร นึกอยากโกหกก็โกหก ไม่มีทางพูดคุยเหตุผลอันใด”
มือข้างหนึ่งของชิวกวงเท้าอยู่ที่แก้ม “ผู้น้อยรู้สึกว่าเด็กน้อยออกจะน่าสงสาร”
หูซื่อส่ายหน้า “ไม่น่าสงสาร เรื่องนี้ข้าแต่งขึ้นเอง”
ชิวกวงเกาะแขนเขาพลางเอ่ยปากตำหนิ “เหตุใดท่านประมุขถึงต้องกลั่นแกล้งโกหกพวกเราด้วย!”
หูซื่อตอบอย่างสบายๆ ว่า “เพราะข้ากำลังคิดหาเหตุผลเลี้ยงนก”
เหนือแดนสนธยาฮั่นไห่มิได้มีเรือล่องเมฆาเพียงลำเดียว เรือล่องเมฆาของกุยชิงเจินเหรินแห่งสำนักหมิงเยวี่ยหูเองก็มิได้จากไปที่ใด ยังคงแขวนตัวนิ่งอยู่บนชั้นเมฆ เสมือนใบไม้ปิดบังผืนฟ้าบดบังดวงตะวัน เรือลำสีแดงดูเอ้อระเหยงดงาม ส่วนเรือลำสีเขียวเข้มดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม
เรือนพำนักที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในของเรือล่องเมฆาสีเขียวเข้ม อวิ๋นซวีจื่อผู้เป็นเจ้าสำนักกับกุยชิงเจินเหรินนั่งกันอยู่คนละฝั่ง อวิ๋นซวีจื่อประคองถ้วยชาอย่างนอบน้อม นี่นับเป็นครั้งแรกที่กุยชิงเจินเหรินสั่งให้เขาชงชาหลังแผนปลิดชีพเซิ่นโซ่วล้มเหลว แสดงให้เห็นว่าในที่สุดอีกฝ่ายก็มีอารมณ์ดื่มชาแล้ว
กลุ่มคนที่บุกเข้าไปสังหารเซิ่นโซ่วไม่ใช่สานุศิษย์รุ่นใหม่ แต่หากเป็นผู้บำเพ็ญพรตรุ่นกลางฝีมือร้ายกาจที่บรรลุถึงสภาวะยานต่ำแล้ว
เซิ่นโซ่วไม่ตาย ทว่าพวกเขากลับตายหมดสิ้น ก่อนตายข่าวคราวสุดท้ายที่พวกเขาส่งกลับมามีเพียงสามคำ ‘อสูรนกยูง’
ทันทีที่ได้รับข่าวอวิ๋นซวีจื่อก็สบถออกมาคราหนึ่ง ‘เจ้าพวกไม่เอาไหน!’
กุยชิงไม่พูดอันใด ตาข่ายนั้นอาบไว้ด้วยพลังอภินิหารของเขา เขาจึงพอรับรู้ได้อยู่เลาๆ
อวิ๋นซวีจื่อ ‘ข้าจะส่งคนไปอีก…’
กุยชิงส่ายศีรษะ ‘ไม่จำเป็น อสูรนกยูงตนนั้นมาเพื่อช่วยเมิ่งเสวี่ยหลี่ สหายของอสูรย่อมเป็นอสูร’
อวิ๋นซวีจื่อตระหนักได้ทันที ‘อาจารย์อาปราดเปรื่องยิ่งนัก คาดการณ์ได้แต่แรกว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่มิใช่อสูรนอกแดนมนุษย์ แต่หากเป็นปีศาจเฒ่าที่กลับมาเกิดใหม่! ใครจะนึกว่าที่แท้คู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียวก็คืออสูรตนหนึ่ง!’ เขาชะงักไปชั่วขณะ มองดูท่าทีของอีกฝ่ายก่อนจะถามหยั่งเชิง ‘เช่นนั้นพวกเราในเวลานี้…’
กุยชิงเขียนยันต์ส่งข่าวแผ่นหนึ่ง ไม่รู้ส่งออกไปที่ใด หลังจากนั้นเขาก็ไม่ทำอันใดอีก ในใจอวิ๋นซวีจื่อนึกหงุดหงิด อยากเอ่ยปากหลายต่อหลายครั้งทว่ากลับได้แต่หยุดค้างไว้แค่นั้น
เห็นเช่นนั้นกุยชิงก็พูดด้วยน้ำเสียงเมินเฉย ‘ใจเจ้าไม่สงบ สองสามวันนี้ไม่ต้องต้มชาแล้ว เปลืองใบชาเปล่าๆ’
อวิ๋นซวีจื่อเหงื่อเย็นไหลพราก ‘ขอรับ อาจารย์อา’
กุยชิงยิ้ม ‘เผชิญหน้ากับเรื่องใหญ่ใจต้องสงบ ยิ่งอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ออกกระบี่มือยิ่งต้องนิ่ง ข้าว่าเจ้ายังฝึกฝนได้ไม่ถึงขั้น’
อวิ๋นซวีจื่อขานรับ ‘ขอบคุณอาจารย์อาที่สอนสั่ง’
จนกระทั่งคืนนี้เขาจัดวางเครื่องมือชงชาใหม่อีกครั้ง น้ำชาสีอำพันถูกรินใส่แก้วชา กุยชิงชิมพลางขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่พูดอันใด
อวิ๋นซวีจื่อถอนหายใจ ท่าทางเช่นนี้แสดงว่าอีกฝ่ายยังคงไม่พอใจชาที่ได้ดื่ม แต่ถึงจะอย่างนั้นอารมณ์เขากลับจัดได้ว่าไม่เลว ดังนั้นจึงไม่ได้ตำหนิอะไรออกมา
หลังดื่มชาเสร็จ กุยชิงก็หยิบเอาคันฉ่องแปดเหลี่ยมบานหนึ่งออกมา ตัวคันฉ่องหนาหนัก ไม่เหมือนคันฉ่องแต่งหน้าของสตรี
อวิ๋นซวีจื่อรับรู้ได้ถึงไออสูรที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวคันฉ่อง เขาถามอย่างใคร่รู้ “อาจารย์อา มิทราบว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร”
กุยชิงตอบช้าๆ “ไม่ว่าจะเป็นอสูรหรือมาร คลุมหนังมนุษย์เข้าไปก็ล้วนคล้ายมนุษย์ ร่างเนื้อสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ ทว่าจิตใจไม่อาจปลอมแปลง คันฉ่องนี้เป็นอาวุธวิเศษแดนอสูร นามว่า ‘คันฉ่องสะท้อนเงา’ นอกจากจะใช้มันโจมตีศัตรูแล้ว ยังสามารถใช้มันสะท้อนให้เห็นถึงเงาจิตที่ซ่อนลึกอยู่ภายในได้ ไม่ว่าจะอสูรหรือมาร แค่มองดูเพียงปราดเดียวก็รู้ได้ทันที ไม่ว่าจะในแดนมนุษย์หรือแดนอสูรล้วนมีผู้ปรารถนาจะเห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่ตายมากกว่าข้า”
อวิ๋นซวีจื่อมองดูคันฉ่องด้วยความประหลาดใจ “คันฉ่องสะท้อนเงาของจอมอสูรในอดีตกระนั้นหรือ!”
กุยชิงยิ้ม “เก็บรักษามันไว้ให้ดี”
อวิ๋นซวีจื่อปลื้มปีติ ประคองมันไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง เก็บลงถุงสัมภาระก่อนจะแสดงคารวะ “ขอบคุณอาจารย์อาที่ไว้ใจ ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
แววตาของกุยชิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม มองดูอีกฝ่าย “เก็บมันไว้ให้ดี ตอนนี้เอามันไปให้ไท่หังได้แล้ว”
อวิ๋นซวีจื่อหน้าซีด พยายามสะกดน้ำเสียงให้เป็นปกติ “สิ่งวิเศษเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง แล้วไยต้องยอมให้ตาเฒ่าอย่างไท่หังได้มันไปง่ายๆ ด้วย”
กุยชิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เรื่องบางเรื่องให้คนของหานซานจัดการได้ผลดีกว่าเราลงมือเอง มีเพียงไท่หังเท่านั้นที่เข้าใจว่าจะจัดการกับ ‘พลพรรคอสูร’ ของจี้เซียวเช่นไร แค่เรื่องเมิ่งเสวี่ยหลี่คืออสูร ไท่หังก็สามารถสร้าง ‘หลักฐาน’ อื่นได้แล้ว”
อวิ๋นซวีจื่อลังเล “ผู้อื่นจะเชื่อหรือ”
กุยชิงยิ้มตอบ “ไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด”
อวิ๋นซวีจื่อเข้าใจแล้ว ขอเพียงมีการโต้แย้ง จี้เซียวย่อมไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ที่ติได้อีก
ชื่อเสียงของมนุษย์ดั่งเงาของต้นไม้ ชื่อเสียงแม้จะเป็นสิ่งลวง ไม่เหมือนทักษะกระบี่ที่สามารถจับต้องใช้ได้จริง ทว่าสำหรับสำนักใหญ่ตระกูลใหญ่ ผู้บำเพ็ญพรตที่มีชื่อเสียงแล้วกลับสำคัญยิ่ง
อวิ๋นซวีจื่อยังคงไม่วางใจ “ตาเฒ่าไท่หังผู้นั้นทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองนานปี ที่มีชีวิตอยู่ได้นานถึงห้าร้อยปีก็เพราะทำตัวขี้ขลาด! ข้าเกรงว่าเขาจะไม่อาจบรรลุภารกิจสำคัญนี้ได้ หากถึงคราอับจน ไม่แน่อาจหันกลับมาเล่นงานพวกเรา!”
แม้ภายนอกจะนอบน้อม แต่ในใจกลับครุ่นคิดฉับไว กุยชิงเจินเหรินไปเอาคันฉ่องสะท้อนเงานี้มาจากที่ใด หากมีอยู่ตั้งแต่แรก แล้วเหตุใดถึงเพิ่งเอามันออกมา เป็นไปได้มากว่าวันนั้นหลังส่งข่าวออกไป มีผู้อื่นนำมันมามอบให้กับเขา สหายของอสูรคืออสูร เป็นไปได้ว่าคนที่สามารถส่งอาวุธวิเศษแดนอสูรมาให้เขาได้น่าจะเป็นอสูรเช่นกัน บางทีนี่อาจหมายความว่ามีอสูรตนหนึ่งคิดฉวยโอกาสขณะที่แดนมนุษย์กำลังวุ่นวายเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สังหารเมิ่งเสวี่ยหลี่ จึงยินดีมอบคันฉ่องสะท้อนเงาออกมาให้อย่างไม่นึกเสียดาย
ทว่ากุยชิงกลับมองดูเขาด้วยสายตาผิดหวัง “ไท่หังทำการไม่สำเร็จ เกี่ยวอันใดกับข้า”
อวิ๋นซวีจื่อกัดฟัน “อาจารย์อา ข้าเกรงว่าเขาจะใส่ไคล้หาว่าท่านสมคบกับอสูร บอกว่าที่ตนเองทำไปทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเพราะท่านบีบบังคับ!”
กุยชิงยิ้ม “ไม่ต้องรอให้เขาถึงทางตันแว้งกลับมาทำร้ายพวกเรา ข้าเดินหมากตามจังหวะและโอกาส หากมีอันใดผิดพลาด ถึงตอนนั้นข้าจะลงมือสังหารไท่หัง ปกป้องชื่อเสียงของสำนักหมิงเยวี่ยหูและจี้เซียว ช่วยหานซานชำระสำนัก อย่าได้โง่งมคิดว่าพวกเรายังคงเป็นพันธมิตรกัน”
อวิ๋นซวีจื่อก้มหน้า “อาจารย์อาสอนสั่งได้ถูกต้องแล้ว ทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือท่าน”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.