แผนการชั้นยอด
“ไม่หรอก” กุยชิงพูดอย่างเคร่งขรึม “ธรรมชาติผันแปรมิเคยหยุดนิ่ง! ยามคนผู้หนึ่งคิดว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือ นั่นย่อมหมายความว่าวันตายของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว จี้เซียวตายไปก็มิใช่เพราะเหตุนี้หรือไร”
อวิ๋นซวีจื่อรีบแสดงคารวะ “ศิษย์น้อมรับคำชี้แนะ”
น้ำเสียงกุยชิงกลับกลายเป็นอ่อนโยน “ไปเถอะ รีบเอาคันฉ่องสะท้อนเงาไปมอบให้กับไท่หัง บอกเขาว่าแผนเดิมมีการเปลี่ยนแปลง บอกหนิงเวยด้วยว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่จะตายในแดนสนธยามิได้ แต่เจ้าต้องจำไว้ พวกเรากับไท่หังไม่เคยเป็นพันธมิตรต่อกัน”
ด้วยชิงชัง หวาดกลัว อิจฉาริษยาจี้เซียว คนจำนวนมากจึงเพียรระงับความไม่พอใจด้วยการหันมาร่วมมือกันชั่วคราว ความสัมพันธ์เช่นนี้หามั่นคงไม่ ทันทีที่จี้เซียวสิ้น พวกเขาย่อมแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน ความบาดหมางที่เคยมีต่อกันสุดท้ายก็ยังคงอยู่
ยามนี้แม้จี้เซียวจะสิ้นแล้ว ทว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่คู่ร่วมบำเพ็ญของเขายังมีชีวิตอยู่ หากที่หูซื่อพูดมาเป็นความจริง อาวุธวิเศษอีกสองชิ้นที่ชื่อ ‘เบื่อพิรุณ หน่ายวายุ’ ที่จี้เซียวทิ้งไว้ก็เป็นไปได้มากว่าอาจตกอยู่ในกำมือของเมิ่งเสวี่ยหลี่
ดังนั้นเมิ่งเสวี่ยหลี่จึงเป็นไพ่ใบสุดท้ายของจี้เซียว เป็นผู้สืบทอดของเขา เป็นความมุ่งหมายสุดท้ายของเขาที่เหลือไว้ในแดนมนุษย์
ตราบใดที่เมิ่งเสวี่ยหลี่ยังไม่ตาย เรื่องสังหารจี้เซียวย่อมไม่อาจจบสิ้น
ให้เมิ่งเสวี่ยหลี่ตายอยู่ในแดนสนธยาหาใช่แผนการชั้นสูงอันใดไม่ มีอาวุธวิเศษอย่างคันฉ่องสะท้อนเงาอยู่ในมือทั้งอัน ย่อมทำให้เมิ่งเสวี่ยหลี่เผยร่างอสูรออกมา รอฟังคำพิพากษาก่อนแล้วค่อยฆ่าทิ้ง ให้ผู้คนทั่วหล้าได้รู้ว่าคู่ร่วมบำเพ็ญคนโปรดของจี้เซียวคืออสูรตนหนึ่ง นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าแผนการชั้นยอด
อวิ๋นซวีจื่อจากไปพร้อมกับคำสั่ง ในใจรู้สึกกระวนกระวาย
หลังแผน ‘ปลิดชีพเซิ่นโซ่ว’ ล้มเหลว กุยชิงเจินเหรินก็ได้รับอาวุธวิเศษ แผนที่วางไว้แต่แรกเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะเซิ่นโซ่วทำให้นกยูงปรากฏ ส่วนนกยูงก็ทำให้คันฉ่องสะท้อนเงาปรากฏตามมา แผนการเหมือนจะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะ ก่อนจะได้พบกับแผนการชั้นเลิศในขั้นสุดท้าย แต่แท้จริงแล้วการนี้มีคนคอยจูงจมูกอยู่ต่างหาก
เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลซ่อนงำความจริงชวนประหวั่นไว้เบื้องหลัง คันฉ่องสะท้อนเงามิใช่ได้มาจากความว่างเปล่า หากแต่มีคนมอบมันให้กุยชิงเจินเหริน
เจ้าของคันฉ่องสะท้อนเงาไม่เคยแสดงตน อาศัยเพียงคันฉ่องบานหนึ่งก็สามารถทำให้หมากที่พวกเขาวางไว้อย่างแน่นหนาเปลี่ยนได้ทั้งกระดาน
คันฉ่องมิได้มาเร็วไปเพียงเสี้ยว มิได้มาช้าไปเพียงคืบ หากแต่มาได้จังหวะพอดี ไม่มีเวลาเหลือให้พวกเขาได้ครุ่นคิดพิจารณาอันใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังงดงามสมบูรณ์จนพวกเขาไม่อาจปฏิเสธ ‘แผนการชั้นเลิศ’ นี้ได้ ชื่อเสียงงดงามของจี้เซียวกำลังจะแปดเปื้อนเพราะคู่ร่วมบำเพ็ญชาวอสูร โอกาสดีเช่นนี้จะหาจากที่ใดได้อีก
อวิ๋นซวีจื่อทำตามคำสั่งที่กุยชิงมอบหมาย ทว่าในใจกลับครุ่นคิด ข้ายืนอยู่ที่สูง ค้อมมองดูจิงตี๋ หนิงเวย ผู้คนนับร้อยพันในสำนักหมิงเยวี่ยหูกับผู้คนในแดนมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วน เฉกหมากดำขาวบนกระดาน เข้าใจว่าข้ากับกุยชิงเป็นผู้เดินหมาก เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าของคันฉ่องสะท้อนเงานี้ก็กำลังมองดูข้าอยู่เช่นกัน
ตอนได้รับคันฉ่องสะท้อนเงา ไท่หังไม่รู้เรื่องราวนอกในแม้แต่น้อย เหมือนอย่างที่กุยชิงคาด เขารู้แค่ว่าควรทำเช่นไร
ยามนี้เส้นทางอีเสี้ยนเทียนถูกเปิดออกแล้ว แสงสว่างเยี่ยมเยือนทางเชื่อมต่อหุบเขาจิ้งซือกับโลกภายนอกใหม่อีกครา หุบเขาที่เคยเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าสับสนหนาแน่น หุบเขาจิ้งซือไม่เคยคึกคักเช่นคืนนี้มาก่อน
เจ้าสำนักได้ยินเสียงประมุขยอดเขาจ้งปี้เอ่ยว่า “ศิษย์เดินทางมาขอพบปรมาจารย์!”
โจวอี้แสดงคารวะต่อปรมาจารย์ไท่หังก่อนจะเดินออกจากตำหนักไปรับหน้าผู้มาเยือน ตอนปิดประตู อนุชนรุ่นหลังสกุลโจว สานุศิษย์ของไท่ซั่งจั่งเหล่าล้วนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบอยู่ที่ลานหน้าตำหนัก
เจ้าสำนักนิ่งรอ เสียงฝีเท้านอกตำหนักยิ่งใกล้ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นทุกที ราวกับกองกำลังนับพันทัพม้านับหมื่นเคลื่อนพลพร้อมกันก่อนจะหยุดลงในเวลาเดียวกัน ทุกอย่างกลับกลายเป็นสงบนิ่ง เขาฟังประมุขยอดเขาจ้งปี้กล่าวเสียงขรึม “ปรมาจารย์! นี่หมายความเช่นไร!”
โจวอี้ตวาด “ปรมาจารย์ตามเจี้ยนเวยเจินเหรินมาเป็นแขก ค่ำมืดดึกดื่นพวกเจ้าถือมีดดาบบุกหุบเขา หารู้จักเคารพยำเกรงปรมาจารย์ไม่!”
ลานนอกตำหนักใหญ่ของหุบเขาจิ้งซือ กลุ่มของไท่ซั่งจั่งเหล่ากับประมุขแต่ละยอดเขายืนประจันหน้ากัน กำลังคนของทั้งสองฝ่ายต่างมีจำนวนสูสี หากว่ากันถึงเพียรบำเพ็ญของสานุศิษย์แล้ว ฝ่ายหลังเหมือนจะเหนือกว่า แต่หากลงมือกันจริงๆ ฝ่ายแรกมีผู้แข็งแกร่งถึงสภาวะเทพจำแลงเพียงหนึ่งเดียวนั่งบัญชาการรบ…แพ้ชนะยากทำนาย ที่พอคาดเดาได้คือผลลัพธ์การต่อสู้ สุดท้ายย่อมไม่แคล้วเลือดนองเป็นสายธาร
ส่วนผู้นำของทั้งสองฝ่าย ปรมาจารย์ไท่หังกับเจี้ยนเวยเจินเหรินยังคงอยู่ในตำหนัก ถึงจะมีประตูปิดสนิทกั้นขวาง แต่ก็ยังคงได้ยินการเคลื่อนไหวภายนอกชัดแจ้ง แม้จะบาดเจ็บสาหัส ทว่าสติสัมปชัญญะของเจ้าสำนักกลับยังคงกระจ่างชัด เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องมีลูกไม้อื่นแอบแฝงอยู่อีกแน่
เจี้ยนเวยรักสันติ ไม่ปรารถนาเห็นหานซานแตกแยก ครั้นคิดว่าหานซานที่ยิ่งใหญ่กำลังพังทลายลงในน้ำมือตน ใจเขาก็ให้เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าบาดแผลที่ท้องเสียอีก “เพียงเพราะเห็นจี้เซียวเป็นศัตรู ท่านถึงกับยินดีชักศึกเข้าบ้าน ท่านชิงชังเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ปรมาจารย์ไท่หังส่ายศีรษะ “ความคิดอ่านของเจ้าคับแคบยิ่งนัก ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของข้า แต่ไหนแต่ไรก็มิเคยใช่จี้เซียว จี้เซียวตายไปคนหนึ่ง วันหน้าย่อมมี ‘จี้เซียว’ คนใหม่ ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของข้าแท้แล้วคือเวลาต่างหาก…มีคนพูดว่าข้าเป็นตาเฒ่าไม่รู้จักตาย เป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องนี้หรือ ข้ารู้ ทว่าเวลาเป็นเครื่องตัดสินชี้ขาดที่ยุติธรรมที่สุด กาลเวลาผ่านผันมาห้าร้อยปี โลกนี้มีผู้ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แล้วเหตุใดตอนนี้พวกเขาถึงตายไปกันหมดสิ้นเล่า พวกเขาก็แค่ช่วงชิงแพ้ชนะคราหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายกลับมีแต่ข้าเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่นี่ ยังมีอนาคต เจี้ยนเวย เจ้าลองคิดดูให้ดี ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก”
เจ้าสำนักเลือดไหลออกมุมปาก เขายิ้มพูด “เวลา? มีชีวิตยืนยาว? จริงอยู่ที่ตอนข้าเริ่มบำเพ็ญเพียรก็เพื่อยืดอายุขัย คิดว่าพวกเราบำเพ็ญเพียรไปเพื่อมีชีวิตยืนยาว เป็นอมตะ มีพลังวิเศษ แต่แท้ที่จริงแล้วปัญหานี้ง่ายมาก ท่านอยากเป็นเต่าหดหัวอายุยืนร้อยปี หรือต้องการใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์เปิดเผยยึดมั่นในความเป็นธรรมทว่ากลับมีอายุขัยเพียงยี่สิบปีเล่า วันนี้หากข้าต้องตายอยู่ที่นี่ ไม่อาจบรรลุเป้าหมายอันใด แต่ก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องนึกเสียใจ ไม่มีทางรักตัวกลัวตายบอกท่านให้รู้ว่าแกนเวทอยู่ที่ใด…ข้าเข้าใจแล้ว วิถีมรรคาท่านข้าแตกต่าง ไม่อาจและไม่จำเป็นต้องเข้าใจกัน”
“โง่เขลายิ่งนัก!” ปรมาจารย์ไท่หังมิโกรธ ตรงกันข้ามกลับถอนหายใจกล่าว “ที่ข้าต้องการแกนเวทจากเจ้า มิใช่เพื่อตนเอง แต่เพราะต้องการให้โอกาสเจ้าและคนที่อยู่นอกตำหนักพวกนั้น เปิดทางรอดให้กับพวกเจ้า! ขอเพียงข้าได้แกนเวท พวกเจ้าส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ต้องตาย หาไม่แล้ว พวกเจ้าต้องตายกันทั้งหมด…ในหานซาน นอกจากอุษาไร้เขตขัณฑ์แล้ว ยังมีกระบี่ใดทำข้าบาดเจ็บได้อีก ไม่มี! กระบี่สัจธรรมของเจ้าทำไม่ได้ ต่อให้หยวนจื่อเยี่ยกลับมาจากฮั่นไห่ กระบี่คืนนิทราของนางก็ไม่อาจทำอันใดข้าได้เช่นกัน”
ปรมาจารย์ไท่หังคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หากยามนั้นเฉียนอวี้จือไม่ละทิ้งกระบี่ อดทนฝึกฝนจนถึงบัดนี้ กระบี่เพียงเสี้ยวของเขาอาจเข้าขั้น สามารถเทียบชั้นกับกระบี่ทะเลสงัดของข้าได้ หานซานในเวลานี้ นอกจากอุษาไร้เขตขัณฑ์กับกระบี่ของข้าแล้ว ก็ไม่มีกระบี่ใดมีค่าให้อวดอ้าง…”
ส่วนประมุขยอดเขาและอาวุโสทั้งหลายที่ยืนวิตกกังวลกลั้นลมหายใจเตรียมพร้อมรับมืออยู่นอกตำหนักนั้น กระบี่ของคนพวกนั้นล้วนไม่เคยอยู่ในสายตาเขา
สถานการณ์เช่นนี้แม้จะเคยคาดคะเนอยู่ในใจแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทว่ายามนี้ครั้นได้พูดออกไป ทั้งยังพูดต่อหน้าเจี้ยนเวย ระบายความรู้สึกอัดอั้นที่ถูกบีบให้ต้องหลบลี้หนีหน้าผู้คนนานแรมปี เขาก็รู้สึกพึงพอใจขึ้นมาเล็กๆ
ปรมาจารย์ไท่หังเบิกบานใจมากขึ้นเรื่อยๆ “น่าเสียดายจี้เซียวตายไปแล้ว อุษาไร้เขตขัณฑ์แม้ไร้ผู้ควบคุม ก็ใช่ว่าจะตกจากฟ้าลงมาให้ผู้ใดเป็นเจ้าของได้ง่ายๆ”
เขาหลับตา จิตกระบี่สิ้นสูญดับขันธ์สายหนึ่งพุ่งออกนอกตำหนักราวกับสายน้ำหลาก
อุษาไร้เขตขัณฑ์ทะยานขึ้นจากสระน้ำ บินฉวัดเฉวียนรอบยอดเขาฉางชุน ราวกับราชันสำรวจดินแดนในปกครอง
นักพรตน้อยหลิวเสี่ยวไหวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาสะดุ้งตกใจตื่นรีบวิ่งออกจากเรือนพำนัก ลืมแม้กระทั่งจะใส่รองเท้า เขายืนเท้าเปล่าแหงนหน้ามองดูลำแสงวาดผ่านเหนือฟากฟ้าพลางตะโกนอย่างตื่นเต้น
“ศิษย์พี่อวี๋! ท่านหัดขี่กระบี่ได้แล้ว?”
สายลมโถมกระหน่ำจนอวี๋ฉี่ซูลืมตาไม่ขึ้น พูดจายากลำบาก ในใจคิด ตาข้างใดของเจ้าเห็นข้าขี่กระบี่ นี่มันกระบี่ขี่ข้าชัดๆ!
ตอนอุษาไร้เขตขัณฑ์ออกพ้นสมุทรกว้าง เพราะสลัดสัมภาระรูปมนุษย์บนหลังไม่หลุด จึงได้แต่ขี่มนุษย์ออกเดินทาง บินผ่านหลักศิลาที่มีอักษรคำว่า ‘ฉางชุน’ สลักไว้ หายลับไปท่ามกลางความมืด
หลิวเสี่ยวไหวชักเท้าออกวิ่ง ไล่ตามไปจนถึงข้างสะพานแขวน โบกไม้โบกมืออย่างสุดกำลัง “ศิษย์พี่อวี๋! ท่านร้ายกาจจริงๆ…”
อวี๋ฉี่ซูเจียนร่ำไห้ ข้าร้ายกาจ…บ้านเจ้าน่ะสิ!
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน กระบี่คู่หานซาน เล่ม 2 ฉบับเต็ม
Comments
comments
No tags for this post.