X
    Categories: everYกระบี่คู่หานซานทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 3 บทที่ 11 #นิยายวาย

 ไม่พูดเรื่องน้ำใจ

ชื่อชูชอบร่ำสุรา ขนาดถูกขังอยู่ในคุกแดนสุขาวดีในเจดีย์เจิ้นเยาก็ยังไม่ลืมแสวงหาความสุขอยู่ท่ามกลางความทุกข์ ขุดหลุมหมักสุรากลางกระท่อมฟาง

ตามมาด้วยเสียงตื่นเต้นของเฟยอวี่ “หวา สุราดีๆ ทั้งนั้น! ย้ายสุราขึ้นมาบนดาดฟ้าก่อน หลังจากนั้นค่อยก่อแท่นย่าง ข้าจะไปจับปลามาสักสองสามตัว!”

ข้างทางเดินไม้ไผ่ คูน้ำปูลาดไว้ด้วยหินกรวดหลากสี ธารน้ำใสไหลอ้อมหอไผ่ ปลาไนห้าสีว่ายไปมาอย่างอิสระราวกับลำแสงหลากสี พวกเขาจ้องมองดูปลาที่ถูกเถ้าแก่หอคณิกาเลี้ยงไว้เพื่อประดับบารมีสร้างเสริมความมีหน้ามีตา และเพราะใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้อย่างสงบสุข เต็มเปี่ยมไปด้วยไอทิพย์ พวกมันจึงอวบอ้วนงดงามเป็นพิเศษ

กระสาขาวลุยน้ำจับปลาเยี่ยงจิ้งจอกขโมยไก่ในไร่ แค่ชายตามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเนื้อปลาตัวใดดีที่สุด ตัวใดเหมาะจะเอาไปนึ่ง ตัวใดเหมาะจะเอาไปปิ้ง

ชื่อชูรินสุรา เฟยอวี่แล่เนื้อ ปี้โหยวและหร่วนฮุยก่อกองไฟ เพียงไม่นานดาดฟ้าเรือนจู๋หลี่ก็มีควันไฟตลบฟุ้ง กลิ่นหอมตลบอบอวล แค่คืนแรกในเมืองเฟิงเยวี่ย พวกเขาก็รวบรวมวัตถุดิบ ล้อมวงก่อกองไฟปิ้งย่างอยู่บนดาดฟ้าแล้ว

เมิ่งเสวี่ยหลี่จนใจ ปล่อยเซิ่นโซ่วออกมา บอกให้มันพ่นไออสูรกลบควันไฟกับกลิ่นสุรา

ชื่อชูชะโงกหน้าเรียก “รีบขึ้นมากินเร็ว!”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ขานรับคราหนึ่ง ยื่นมือออกไปหาจี้เซียว เผยให้เห็นโซ่เส้นเล็กๆ ตรงหว่างนิ้ว กระซิบอ้อนวอน “เหลือแต่พวกเราแล้ว ปลดมันออกก่อนเถอะ”

หากมองเผินๆ ‘จอมอสูรเขาคุนซาน’ พันธนาการบีบบังคับผู้บำเพ็ญพรตชาวมนุษย์ แต่อันที่จริงแล้วอำนาจควบคุมโซ่ตรวนกลับอยู่ในมือจี้เซียว เมิ่งเสวี่ยหลี่กลัวคู่ร่วมบำเพ็ญรอสบจังหวะคิดบัญชีย้อนหลัง ย้อนถามว่า ‘ตอนกลางวันเจ้าเล่นสนุกมามิใช่หรือ’ โชคดีที่จี้เซียวมิได้ถาม กลับยอมปลดมันออกแต่โดยดี นวดรอยแดงจางๆ บนนิ้วให้ด้วยอย่างอารมณ์ดี

เมิ่งเสวี่ยหลี่ถอนหายใจโล่งอก วางใจเต็มร้อย

ดาดฟ้าเรียบง่ายงดงามที่สร้างขึ้นเพื่อชมจันทร์ฟังเสียงไผ่ยามนี้ถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางควันไฟจางๆ ชื่อชู เฟยอวี่ ปี้โหยวกินกันจนปากมันแผล็บ

หร่วนฮุยกินมังสวิรัติ เขาปอกเปลือกรากตี้สุ่น สดใหม่เพื่อต้มน้ำแกง ชื่อชูเรียกเซิ่นโซ่วมากิน แต่เซิ่นโซ่วกลับไม่ขยับ ทำเพียงมองจันทร์พ่นลมหายใจอยู่อีกด้าน ทำตามวิธีที่จี้เซียวสอนไว้ ดูดซับส่วนที่ยอดที่สุดของไอทิพย์แห่งฟ้าดินกับจันทร์กระจ่างยามค่ำคืน

เซิ่นโซ่วบอก “วันหน้าข้าจะตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียร ไม่เอาแต่เสวยสุขเกียจคร้านอีก หลังอายุพันปีข้าก็จะมีเกล็ดที่แข็งแกร่งกรงเล็บที่แหลมคม พ่นลมหายใจเปลวไฟลุกโชนท่วมฟ้า ขยับตัวพื้นดินภูเขาสั่นไหว…”

เมิ่งเสวี่ยหลี่นึกขบขัน ยอดเขาฉางชุนไม่มีหินหลอมเหลวร้อนแรง ต่อให้อีกพันปี อย่างมากเจ้าก็ตัวโตขึ้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นดอกจินซือเถา

ทว่าเขามิได้ปริปาก ให้บอกความจริงกับเซิ่นโซ่วไม่เอาไหนที่กว่าจะกระตือรือร้นฮึกเหิมขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่ง่ายนั้นออกจะเป็นการหักหาญกันเกินไป อย่างไรความฝันของมันก็มีค่าควรแก่การนับถือ

เฟยอวี่กับชื่อชูอยู่ในอารมณ์สนุกสนาน คล้ายลืมเรื่องอกสั่นขวัญแขวนถูกไล่ล่าเอาชีวิตมาตลอดทาง รวมถึงความโดดเดี่ยวและโหดร้ายทารุณยามอยู่ในเจดีย์เจิ้นเยาหมดสิ้น พวกเขาต่างชูจอกสุราขับขานบทเพลงแห่งแดนอสูร

อาหารว่างยามดึกที่ปราศจากการคุยโวโอ้อวด ไหนเลยจะมีรสชาติอันใดได้ ทว่ายามอยู่ต่อหน้าจอมอสูรเขาเสวี่ยซานกับจี้เซียวเจินเหริน สองอสูรไหนเลยจะกล้าอวดโอ้ ทั้งใจเหลือก็แต่ความรู้สึกปลงอนิจจัง

เฟยอวี่กล่าว “หากหลิงซานรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ มีสุรามีเนื้อกิน เกรงว่าคงโมโหอกแตกตาย”

ชื่อชูยิ้ม “อสูรพ่อเล้านั่นพูดอยู่มิใช่หรือไรว่าระยะนี้เขาอารมณ์ย่ำแย่สุดๆ เจดีย์เจิ้นเยาพังทลาย เท่านั้นก็มากพอให้เขาโมโหตายได้หนหนึ่งแล้ว”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ส่ายหน้า “เรื่องที่เขาไม่อาจทนรับได้มากที่สุด ไม่ใช่เรื่องเจดีย์เจิ้นเยาพังทลาย หากแต่เป็นเรื่องนอกเหนือการควบคุม ไหนจะเรื่องทหารอสูรที่ไล่ล่าหมายเอาชีวิตพวกเราค้นหาไม่พบเบาะแสร่องรอยของพวกเราอีก”

จี้เซียวแกะก้างปลาให้คู่ร่วมบำเพ็ญ เขาทำเพียงนั่งฟังพลางยิ้มน้อยๆ

หลังดื่มสุราด้วยกัน เรื่องราวบางอย่างก็เอ่ยปากพูดคุยกันได้ง่าย ชื่อชูทอดถอนใจ

“สามปีก่อน หลิงซานบอกลูกน้องคนสนิทว่าจอมอสูรเขาเสวี่ยซานตัดสินใจร่วมเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญกับมนุษย์ ตั้งใจจะใช้ดินแดนทางตอนใต้ของเขาเสวี่ยซานศักดิ์สิทธิ์เป็นของหมั้น รับอริยกระบี่แดนมนุษย์เป็นภรรยา ร้อยปีก่อนตอนพบเจอกันครั้งแรกที่เมืองหานเหมิน จอมอสูรเขาเสวี่ยซานก็เอาแต่คิดถึงอีกฝ่าย แผ่นดินเพิ่งเริ่มมั่นคงก็อดทนรอไม่ไหวชิงลงมือแล้ว…”

จี้เซียวตะลึง เมิ่งเสวี่ยหลี่สำลักไอโขลกออกมาติดๆ “มิน่าช่วงนั้นถึงมีอสูรมาถามข้าเสมอว่าข้ารู้สึกกับจี้เซียวเจินเหรินเช่นไร ที่แท้พวกเขาก็คิดหยั่งเชิงข้านี่เอง”

จี้เซียวอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ “เจ้าบอกพวกเขาเช่นไร”

“บอกออกไปตามตรงว่าท่านน่ามองยิ่งนัก!”

จี้เซียวหมดคำพูด คำว่า ‘น่ามอง’ นี่มันคำวิพากษ์วิจารณ์แบบใดกัน ฟังดูเหมือนเป็นจอมอสูรที่ใช้รูปโฉมงดงามล่อลวงใจคนก็ไม่ปาน

เฟยอวี่พูดต่อ “หลิงซานบอกว่าเพื่อวันข้างหน้าของชาวอสูร เขาจำเป็นต้องชิงลงมือก่อน เขาบอกกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาไว้ใจ สัญญาว่าจะมอบตำแหน่งและความมั่งคั่งให้ ต่อมาอสูรชั้นต่ำที่เข้าร่วมแผนของเขาก็ต่างทยอยกันถูกฆ่าปิดปาก อสูรภายนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางต่างคิดว่าเขาท้าประลองกับท่าน สุดท้ายก็เป็นฝ่ายชนะและสังหารท่านได้อย่างเปิดเผย กุมชัยชนะอย่างถูกต้อง ผู้แข็งแกร่งกว่าเป็นราชัน”

เมิ่งเสวี่ยหลี่มองดูจันทร์กระจ่างในจอกสุรา “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าสุราที่เขาชวนข้าดื่มจะมีพิษงู”

คืนนั้นจอมอสูรเขาเสวี่ยซานได้รับคำเชิญจากหลิงซานสหายสนิท เข้าร่วมงานฉลองวันเกิดของหลิงซาน หลังดื่มสุราครบสามรอบ เหล่าอสูรในตำหนักก็เผยเขี้ยวคมกรงเล็บแหลม บุกตะลุยเข้ามา จอมอสูรเขาเสวี่ยซานถูกพิษในสุราเล่นงาน พลังอสูรถูกสกัด ได้แต่อาศัยร่างเนื้อแข็งแกร่งฝ่าออกไปจากตำหนัก เหล่าอสูรไล่ตามสังหารจนไปถึงยังแดนนอกพิภพ

ชื่อชูมองดูเมิ่งเสวี่ยหลี่ด้วยแววตาเวทนาสงสาร “แล้วท่านยังบอกว่าข้าโง่? แต่ไหนแต่ไรเขามันก็งูพิษ”

เมิ่งเสวี่ยหลี่คิด “ทว่าข้าไม่ได้สร้างคุกขึ้นมาขังตัวเอง หากดูจากเรื่องนี้ ยังไงเจ้าก็โง่กว่าข้า”

ชื่อชูหน้าคว่ำ

เฟยอวี่ไม่สนใจว่าพวกเขาทั้งสองใครจะโง่กว่า เพราะแต่ไหนแต่ไรการถกเถียงกันเรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องฉลาด “ดังนั้นพวกเราจึงต่างเป็นสหายเก่าของจอมอสูรเขาหลิงซาน ไม่ ต่างเป็นผู้รับเคราะห์เหมือนกัน แล้วหนี้แค้นนี้จะชำระกันปีใดเดือนใด”

ชื่อชูเริ่มเมาแล้ว “พวกเรามาใต้กำแพงเมืองเฟิงเยวี่ยแล้ว อย่างไรสงครามชำระหนี้แค้นก็ต้องเกิดขึ้นแน่ ต่อให้อีกฝ่ายแข็งแกร่ง แต่พวกเราก็มิใช่พวกกินแต่ผักหญ้า” พูดพลางมือซ้ายคว้าหูกระต่ายของหร่วนฮุยขึ้นมา “พวกเราทหารกล้า!” มือขวาคว้าปี้โหยว “นกแกร่ง!”

ปี้โหยวกลับร่างเดิม ลื่นหลุดบินออกจากอุ้งมือมาร ก่อนจะถูกเฟยอวี่ขวางไว้

เฟยอวี่ถาม “เจ้าข้าต่างเป็นนก แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราต่างกันตรงที่ใด”

ปี้โหยวตอบอีกฝ่ายเสียงแผ่ว “ท่านเป็นอสูรชั้นสูง ข้าเป็นครึ่งอสูร”

“ไม่ใช่!” เฟยอวี่นึกไม่พอใจที่อีกฝ่ายทำตัวไม่เอาไหน “เจ้าเป็นลูกนก ส่วนข้าเป็นนกล่าเหยื่อ เป็นอสูรวิหคต้องทำตัวเป็นนกล่าเหยื่อ ยามเดือดดาลโกรธขึ้งต้องรู้จักพองขนออกมา ลองดู!”

ปี้โหยวพองขนกลายเป็นลูกหนังกลมๆ ขนปุยๆ “ดุดันพอหรือไม่!”

หร่วนฮุยอยู่ในกำมือของชื่อชูกวัดแกว่งอุ้งเท้า แย้งอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่นเครือ “ทว่าข้ากินมังสวิรัติ”

เมิ่งเสวี่ยหลี่เอ่ยปากเตือน “อย่าเที่ยวคว้าตัวลูกน้องของข้าสุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากจะพาพวกเขาหลบหนีเอาชีวิตรอด”

ชื่อชูปล่อยมือ ลูบขนหูของหร่วนฮุย “พี่ชายขออภัยเจ้าก็แล้วกัน กระต่ายน้อย เจ้ามีครอบครัวแล้วหรือยัง”

หร่วนฮุยตอบ “ยัง ยังไม่มี”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ขว้างไม้เสียบปลาใส่ชื่อชู “เจ้ายังเป็นอสูรอยู่หรือ แม้แต่กรรมกรเด็กก็ยังไม่ละเว้น!”

ชื่อชูเอียงคอหลบ พลิกมือรับไม้เสียบปลาก่อนจะเอามันมาแคะฟัน “ข้าเห็นเขาไร้เดียงสา เลยเจตนาดีคิดเตือนเขาก็เท่านั้น! กระต่ายน้อย จำไว้ให้ดี ยิ่งพวกอสูรชั้นสูงวางท่าสนิทสนมอ่อนโยนมากเท่าใด ก็ยิ่งโกหกหลอกลวงเก่งมากเท่านั้น”

ครั้นนึกถึงตอนจอมอสูรเขาหลิงซาน ‘แสดงความจริงใจ’ กล่อมตนเองให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างเจดีย์เจิ้นเยา ชื่อชูก็เผยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายร้องไห้ออกมา “เฮอะ ไม่พูดเรื่องน้ำใจ เรื่องหยุมหยิมอันใดย่อมไม่มี!”

หร่วนฮุยไม่ค่อยเข้าใจ “รู้…รู้แล้ว”

“วันวานราร้างห่างไกล มิอาจรั้งไว้ให้อยู่” ชื่อชูยกจอกสุรา เหนี่ยวคอหร่วนฮุยไว้ “พวกเราสองพี่น้องดื่มสุราชามนี้ให้หมด วันหน้าเจ้าก็คือน้องข้า ข้าคือพี่ชายของเจ้า”

หร่วนฮุยไม่ได้หวาดกลัวปีศาจสุรา ทว่าอสูรกินพืชใกล้ชิดกับอสูรกินเนื้อย่อมหวาดกลัวตามสัญชาตญาณอย่างไม่อาจเลี่ยง ดังนั้นมันจึงเนื้อตัวสั่นงันงก “ท่านตั้งสติหน่อย ข้าเป็นแค่กระต่ายตัวหนึ่ง ไหนเลยจะร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับจิ้งจอกได้”

“ไม่ร่วมสาบานก็ได้” จิ้งจอกเชิญจันทร์ “ลูกพ่อ ดื่มหมดจอก!”

หร่วนฮุยคล้ายร่ำไห้ไร้น้ำตา ยกจอกสุราขึ้นดื่ม

จันทร์กระจ่างสาดแสงอยู่เหนือป่าไผ่ เหล่าอสูรบนดาดฟ้าเมามายเต็มคราบ โซซัดโซเซ เล็กใหญ่ล้วนกลายกลับร่างเดิม

กระสาขาวหมอบอยู่บนเสื่อไผ่เย็นสบาย กางปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้าง “รีบขึ้นมา ข้าจะพาพวกเจ้าบินขึ้นดวงจันทร์!”

จิ้งจอกม่วงกระโดดขึ้นหลังกระสาขาว “ข้าทรงตัวดีแล้ว บินได้เลย! ข้าจะเริ่มใหม่อีกครั้ง บินไปสู่ชีวิตใหม่!”

หร่วนฮุยบอก “ข้าเองก็อยากบินเหมือนกัน ครึ่งอสูรเองก็ต้องการชีวิตใหม่” มันทูนนกกินปลาสีเขียวไว้บนหัว กระโดดขึ้นหลังจิ้งจอกม่วง

นกกินปลาสีเขียวตัวโตไม่ถึงฝ่ามือ หร่วนฮุยเองก็ยาวแค่สองฉื่อ หร่วนฮุยนั่งอยู่ระหว่างหูจิ้งจอกทั้งสองข้าง ขนาดพอเหมาะราวกับพบรังนุ่มๆ พอดิบพอดี นกกินปลาสีเขียวก็ทำรังอยู่หว่างหูของกระต่าย

จิ้งจอกทูนกระต่ายไว้บนหัว หัวกระต่ายทูนนกกินปลา ซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ ด้านล่างสุดคือกระสาขาวหมอบนอนอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ กลิ่นสุราตลบฟุ้ง เสียงกรนดังลั่นราวกับเสียงอสุนีบาต

ชื่อชูตาปรือเมามาย “บินช้าหน่อย ข้าอยากอ้วก”

หร่วนฮุยกับปี้โหยวมองดูจันทร์กระจ่างเหนือเส้นขอบฟ้า “ข้าเกือบแตะถึงดวงจันทร์แล้ว!”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ถอนหายใจกลัดกลุ้ม “โรคโง่งมของชาวอสูรคงไม่แพร่สู่คนกระมัง” เขารู้ว่าคืนนี้ชื่อชูและเฟยอวี่อาศัยสุราดับทุกข์ จงใจปล่อยตนเองให้เมา เมิ่งเสวี่ยหลี่แม้จะดื่มสุราไปบ้าง แต่ก็ยังคงรักษาสติสัมปชัญญะได้อยู่

จี้เซียวถอนหายใจตาม “พูดยาก” เขาลูบหลังคอเมิ่งเสวี่ยหลี่เบาๆ ยิ้มน้อยๆ พูด “เดิมก็โง่อยู่แล้ว หาควรโง่กว่านั้นไม่”

เมิ่งเสวี่ยหลี่สองตาเบิกโพลง “ไม่ว่าข้าโง่เช่นไรก็เป็นคู่ร่วมบำเพ็ญของท่าน ท่านยังคิดแยกจาก?”

จี้เซียวตอบจริงจัง “ไม่กล้าคิด”

เมิ่งเสวี่ยหลี่พึงพอใจ ทิ้งเหล่าอสูรนอนอาบแสงจันทร์อยู่บนดาดฟ้า ส่วนตัวเองกอดคู่ร่วมบำเพ็ญกลับไปพักผ่อนอยู่ในห้อง

เงาไผ่จับอยู่บนม่านโปร่งสีขาวริมหน้าต่าง แสงจันทร์กระจ่างสาดส่องเข้ามาภายใน เสื่อไผ่ให้สัมผัสเย็นสบาย

เมิ่งเสวี่ยหลี่ดื่มสุราเข้าไป ยามนี้ไม่อยากนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร จึงนอนเคียงไหล่อยู่บนตั่งร่วมกับจี้เซียว ห่อคลุมร่างอยู่ใต้ผ้าห่มไหมนุ่มเบาผืนเดียวกัน

ดึกมากแล้ว เสียงร้องของเหล่าแมลงกลางป่าไผ่เริ่มแผ่วลงทีละน้อย ฝนโปรยละอองเล็กละเอียดราวกับเข็มปักผ้าหล่นร่วง สายฝนยามราตรีระคนด้วยกลิ่นสุราบางๆ เช่นนี้ แม้แต่เงาไผ่ก็ยังกลับกลายเป็นอบอุ่นอ่อนโยน

“นอนไม่หลับหรือ” จี้เซียวถาม

เมิ่งเสวี่ยหลี่ฟังเสียงไผ่เสียงฝน พลิกตัวพยักหน้า ซุกหน้าเข้ากับอกของคู่ร่วมบำเพ็ญ

“เป็นอะไรไป”

เมิ่งเสวี่ยหลี่กระซิบ “สามปีก่อนข้าตะลุยทำสงครามเหนือใต้ ขยายดินแดน คำสั่งเรื่อง ‘อสูรชั้นสูงไม่อาจกลืนกินอสูรชั้นต่ำ’ นับวันก็ยิ่งทำได้ยาก ทว่าข้ากลับยังคิดสร้างสำนักศึกษา ให้เหล่าอสูรได้ร่ำเรียนเขียนอ่านคัมภีร์โบราณทั้งของแดนมนุษย์และแดนมาร เรียนรู้จากพวกมนุษย์และชาวมาร ยิ่งเหล่าอสูรชั้นสูงจิตใจว้าวุ่น พวกเขาก็ยิ่งสวามิภักดิ์ต่อหลิงซาน ต่อให้เขาไม่บอกว่า ‘จอมอสูรเขาเสวี่ยซานหน้ามืดตามัวหลงใหลในกามคุณ อยากแต่งงานผูกสัมพันธ์กับมนุษย์’ สุดท้ายย่อมต้องมีเหตุผลอื่นให้จัดงานเลี้ยงสังหาร…เปลี่ยนแปลงแดนอสูร มิได้อยู่ที่เวลาใดเวลาหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง คำสั่งจะผิดหรือถูก มิได้อยู่ที่ความต้องการ หากแต่อยู่ที่การดำเนินการที่ค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น แดนอสูรกับแดนมนุษย์ไม่เหมือนกัน หากว่าด้วยเรื่องของการครอบครองใจอสูร สร้างความน่าเกรงขาม ข้าเทียบกับหลิงซานไม่ได้จริงๆ”

จี้เซียวตบหลังเขาเบาๆ คล้ายปลอบสัตว์เลี้ยงเข้านอน “หลังเข้าเมืองมา เมืองเฟิงเยวี่ยเป็นเช่นไรเจ้าก็เห็นด้วยตาตนเองแล้ว รู้สึกเช่นไรบ้าง”

“หลิงซานทุ่มเทไปกับเมืองเฟิงเยวี่ยมากมายเกินไป ไม่เพียงลำบากประชาสิ้นเปลืองเงินทอง หากยังทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีออกไปจนสิ้น ราวกับไม่ได้ต้องการเป็นจอมอสูรไปนานๆ หากคล้ายทำไปก็เพียงเรียกเหล่าอสูรทั้งหลายให้มาที่นี่เพียงเพื่องานชุมนุมครานี้เท่านั้น ด้วยนิสัยของเขาหาควรเป็นเช่นนี้ไม่ แต่ก่อนเขาชอบก็แค่ดนตรีศิลปะ ไม่เคยสนใจสิ่งหรูหราอันใด แดนอสูรยังไม่เป็นหนึ่ง อสูรที่น่าจะรู้จักฉวยคว้าโอกาส ค่อยๆ ดำเนินไปตามแผนการที่สุดน่าจะเป็นเขามิใช่หรือไร”

เรื่องราวผิดปกติเช่นนี้ เมิ่งเสวี่ยหลี่รู้สึกไม่สบายใจ

เขาช้อนตาขึ้น จากจุดนี้สามารถเห็นปลายคางเรียวของจี้เซียวได้พอดี เขาเหมือนย้อนกลับไปตอนเป็นอสูรเพียงพอน อิงแอบอยู่บนอกของคู่ร่วมบำเพ็ญ

“หลิงซานมีแผนการอื่นหรือไม่ รอชุมนุมหมื่นอสูรเริ่ม ตอนนั้นย่อมรู้เห็นได้เอง” เมิ่งเสวี่ยหลี่หันไปยิ้มตอบ “ข้าแค่หวังว่าเชวี่ยเซียนหมิงจะไม่บุ่มบ่ามเกินไป หากเขาติดกับดักถูกจับไปขังไว้ในคุกเมืองเฟิงเยวี่ย เช่นนั้นพวกเรามาแดนอสูรเพื่ออันใด เพื่อปล้นคุกโดยเฉพาะกระนั้นหรือ”

จี้เซียวบอก “ปล้นคุกเจ้าก็ไม่กลัว?”

“ไม่กลัว อยู่ด้วยกันกับท่าน แม้ปล้นคุกก็ยังเป็นเรื่องสนุก!”

นอกหน้าต่างมีเสียงฝนเล็กละเอียดแผ่วเบา

เมิ่งเสวี่ยหลี่ซบอยู่กับอกจี้เซียว พูดคุยเรื่องราวในปัจจุบัน เหตุการณ์ในอดีต จินตนาการถึงอนาคตอันไกลห่าง พูดคุยถึงแดนมนุษย์และแดนอสูร แม้จะไม่มีสัมผัสแนบชิด ทว่าระหว่างลมหายใจของคนทั้งสองกลับแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน คล้ายเป็นแค่คืนค่ำสายฝนโปรยปรายทั่วไป พวกเขาร่วมผ่านช่วงเวลาบำเพ็ญเพียรร่วมกันมายาวนาน และอนาคตก็ยังคงเป็นเช่นนั้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เสียงฝนค่อยๆ หยุดลง เมิ่งเสวี่ยหลี่หลับใหล

จี้เซียวเก็บลมปราณ ลุกขึ้นเงียบๆ เดินออกจากประตูไปเพียงลำพัง

 

ชุนสุ่ยกับชิวกวงกำชับนกยูงอีกครั้งว่าห้ามหนี แดนอสูรอันตราย หากถูกประมุขแดนสรวงพบเข้าจะยิ่งอันตรายใหญ่

เชวี่ยเซียนหมิงตบอกรับรอง “ข้าเหมือนนกยูงประเภทนั้นหรือไร” ก่อนจะบอกว่าคนกับนกยูงควรเชื่อใจกันให้มากสักหน่อย

เขาได้รับพลังอสูรอีกครั้ง กลายร่างเป็นมนุษย์ สบายไปทั้งเนื้อตัว หลังกลับมาถึงห้องของตัวเองก็ถอนหายใจออกมายาวๆ คราหนึ่ง พยายามระงับความตื่นเต้นอย่างสุดกำลัง เพราะคืนนี้ยังไม่ถึงเวลา

ทว่าในเมื่อตัดสินใจหลบหนี การปลอมตัวเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาย่อมเป็นเรื่องจำเป็น ยิ่งรูปร่างหน้าตาท่วงท่าต่างจากเดิมได้มากเท่าใดก็ยิ่งดี

เชวี่ยเซียนหมิงส่องคันฉ่อง พิจารณาดูหูตาจมูกคิ้วคางงดงามของตนเองอย่างละเอียด เขาขมวดคิ้วน้อยๆ ในหัวนึกถึงภาพคน อสูรมากมาย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังคงไม่พอใจ ทว่าจู่ๆ เขาก็นึกถึงปีที่แล้วตอนฤดูหนาวที่เขาบุกหานซานเข้าไปช่วยเมิ่งเสวี่ยหลี่ วันนั้นหิมะตกหนัก เมิ่งเสวี่ยหลี่หักกิ่งเหมยดอกตูม เดินอยู่บนอีกฟากของทางเดินไม้คับแคบ…

“ตกลงเป็นเจ้าก็แล้วกัน!”

ไออสูรแผ่ซ่านออกมาจากทั่วร่างของเชวี่ยเซียนหมิง กระดูกข้อต่อลั่นดัง ใบหน้าความสูงค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่ต่างอันใดกับเมิ่งเสวี่ยหลี่

เชวี่ยเซียนหมิงส่องคันฉ่องปรับรูปร่างหน้าตา สุดท้ายก็ได้ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเมิ่งเสวี่ยหลี่อยู่สามส่วน ทว่ากลับแลดูน่าสงสารยิ่งกว่า ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

ครั้นพบว่าพอใช้ได้เขาก็กลายร่างกลับสู่ร่างเดิม

 

ติดตามบทที่ 12 ได้ในวันที่ 11 .. 63

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: