ตัดรากถอนโคน
เมิ่งเสวี่ยหลี่กลับมาแล้ว
ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีเหยี่ยวดำสยายปีก ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างอย่างโกรธขึ้ง กรงเล็บคมกริบไม่ต่างอันใดกับตะขอเหล็ก จะงอยปากแหลมเฉกกระบี่เหล็กกล้า
เมื่อร่างอสูรใหญ่โตของเหยี่ยวดำปรากฏก็ทำให้เงาร่างของเมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ่งดูเล็กกระจ้อยร่อย เทียบไม่ได้แม้เพียงกรงเล็บของมัน ทว่าเขากลับไม่นึกหวาดหวั่น ทะยานร่างออกจากกระบี่เหินเวหา ทำเหมือนคิดปะทะกับมันซึ่งๆ หน้า แทงกระบี่ใส่ตาของเหยี่ยวดำ
เหยี่ยวดำพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว จะงอยปากแหลมคมอ้ากว้าง!
ในตอนนั้นเองปี้โหยวที่ถูกฟาดสลบตอนบุกเจดีย์เจิ้นเยาและถูกพาตัวกลับเข้าแขนเสื้อของเมิ่งเสวี่ยหลี่ก็ตื่นขึ้น มันยื่นหัวน้อยๆ ออกมาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ พอเห็นปากใหญ่ราวกับชามเลือด กลิ่นคาวพุ่งปะทะใบหน้า มันก็ ‘เอิ้ก’ สลบไปอีกคราว
ในขณะเดียวกันเหยี่ยวดำก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะปล่อยอาวุธลับในแขนเสื้อ มันเบี่ยงหัวหลบ ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็วูบไหว แผ่นหลังของมันหนักอึ้ง
เมิ่งเสวี่ยหลี่พลิกกายขึ้นไปอยู่บนหลังเหยี่ยวดำ มือทั้งสองข้างราวกับปลอกเหล็ก พลังปราณล้นทะลัก รัดลำคอตรงจุดอ่อนของอีกฝ่ายพอดี
ลำคอถูกรัดแน่น เพราะหันหัวไม่ได้เหยี่ยวดำจึงยิ่งโมโหหนัก มันสะบัดปีกเป็นพัลวัน ประเดี๋ยวก็หมุนตัวบินสูง ประเดี๋ยวก็ทิ้งดิ่งพุ่งชนต้นไม้ ใช้ทุกหนทางที่มีหมายสลัดเมิ่งเสวี่ยหลี่ให้หลุด
แขนเสื้อเมิ่งเสวี่ยหลี่สะบัดไหว มวยผมถูกสายลมโถมกระหน่ำจนยุ่งเหยิงไปหมด เส้นผมสีดำขลับไหวพลิ้วราวกับน้ำตก ขยับร่างแคล่วคล่องว่องไวไปตามแรงเหวี่ยงของอีกฝ่าย ไม่ยอมห่างจากหลังของเหยี่ยวดำแม้เพียงน้อย
สมัยก่อนตอนเชวี่ยเซียนหมิงพาเพียงพอนบินขึ้นท้องนภา มันจงใจโอ้อวดทักษะเหินเวหาของตน ประเดี๋ยวหยุดกะทันหัน ประเดี๋ยวเลี้ยวฉับพลัน บ้างเร็วบ้างช้า ทรมานเมิ่งเสวี่ยหลี่จนอาเจียนหน้ามืดตาลาย บ่อยครั้งเข้าเพียงพอนก็ค่อยๆ คุ้นชินจนไม่นึกหวาดกลัวอีก
แม้เหยี่ยวยักษ์จะแข็งแกร่ง แต่กลับสะบัดสัมภาระบนหลังไม่หลุด ได้แต่คลุ้มคลั่งอยู่กลางอากาศ เงาคนดูเล็กจนคล้ายเรือน้อยกลางสมุทรคลั่งที่กระเพื่อมขึ้นลงตามกระแสคลื่น เหมือนจะพลิกคว่ำในบัดดล แต่กลับรอดพ้นอันตราย หยัดยืนอยู่เหนือคลื่นลูกแล้วลูกเล่า
จิ้งจอกม่วงกับกระสาขาวยืนอยู่บนกระบี่เหินเวหา สายตามองตามแทบไม่ทัน ได้แต่ส่งเสียงอุทานไม่ขาดปาก
กระสาขาวคิด “ไม่เสียทีที่เป็นถึงจอมอสูรเขาเสวี่ยซาน ทักษะจับยึดร้ายกาจ! หากข้าเป็นเหยี่ยวดำก็ไม่รู้จะสลัดเขาหลุดได้เช่นไร”
จิ้งจอกม่วงครุ่นคิดละเอียดกว่ากระสาขาว “สู้กับอสูร เหตุใดถึงไม่กลายร่างเป็นอสูร ดูแล้วกระบี่เหินเวหานี้ก็เป็นเวทศัสตราแดนมนุษย์ สามปีที่ผ่านมาไม่มีข่าวคราวอันใดของเขาเลย คาดว่าคงไปซ่อนตัวอยู่แดนมนุษย์กระมัง พรรคพวกใช้กระบี่ของเขา ไม่สิ สหายของเขาผู้นี้ทักษะความสามารถสูงส่ง หนำซ้ำบนกายยังไม่มีกลิ่นอายของอสูรเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปเช่นไร…”
เหยี่ยวดำถูกรัดคอทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ มันหน้ามืดตาลายพาเมิ่งเสวี่ยหลี่พุ่งกระแทกไปทั่ว ปีกยาวเฉกมีดตัดต้นไม้เก่าแก่สะบั้นไปไม่รู้กี่ต้น ป่าเขาหักโค่นเป็นวงกว้างราวกับถูกพายุพัดผ่าน
มันเอียงปีก เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน พุ่งไปยังหน้าผาสูงชัน
กระสาขาวร้องออกมาคราหนึ่ง สายตาวิตกกังวล “แย่แล้ว เหยี่ยวดำถูกสถานการณ์บีบบังคับ เกรงว่ามันอาจคิดใช้วิธีตายตกไปพร้อมกัน!”
จิ้งจอกม่วงบอก “พวกเรารีบไปรับจอมอสูรเขาเสวี่ยซานกันเถอะ”
กระบี่เหินเวหาไม่ต่างอันใดกับลำแสงไล่ตามติดอยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ห่างจากหน้าผาหนึ่งจั้งสองฉื่อ จี้เซียวยืนนิ่งอยู่บนกระบี่ ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเข้าไปใกล้อีกแม้เพียงก้าว
หากเป็นผาหินธรรมดา มันย่อมไม่อาจสร้างภัยอันตรายใดๆ แก่เมิ่งเสวี่ยหลี่ได้ ทว่ายามนี้พวกเขาอยู่ในเขตของจอมอสูรเขาเฮยซาน ผนังผาดำทะมึนปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
ก้อนหินที่ใช้สร้างเจดีย์เจิ้นเยาคือหินดำอันเป็นผลิตผลพิเศษจากเขาเฮยซานซึ่งขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดชนิดนี้ หากเหยี่ยวดำใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งเข้าชนผาหินดำ สิ่งที่เกิดตามมาย่อมไม่แคล้วแรงปะทะมหาศาล ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะปราณคุ้มกายของเมิ่งเสวี่ยหลี่หรือกระดูกอสูรแข็งแกร่งของเหยี่ยวดำล้วนไม่อาจทนรับไหว
เหยี่ยวดำหมายใช้จังหวะที่ตนพุ่งเข้าใส่หน้าผา บังคับให้มนุษย์ชั่วบนหลังกระโดดออกไปเอง หลังจากนั้นมันก็จะใช้ทักษะการบินที่สูงส่ง ฉวยโอกาสตอนกำลังจะชนหน้าผาหันกลับไปเล่นงานพวกอสูรทรยศ
สามจั้ง หนึ่งจั้ง สามฉื่อ ภาพของผาหินสูงชันชะโงกง้ำคล้ายขยายใหญ่ขึ้นต่อสายตา ลมแรงพัดโถมเข้าใส่จนเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่วายต้องหรี่ตา
ในตอนนั้นเองหร่วนฮุยที่อยู่ในแขนเสื้อก็สะลึมสะลือตื่น มันงุนงงยื่นหัวเล็กๆ เต็มไปด้วยขนฟูๆ ออกมา ทว่าสิ่งที่มันเจอกลับเป็นพายุพัดกระพือ ผาหินใกล้พุ่งชนเข้ามา มันสองตาเหลือกค้างเป็นลมหมดสติกลับเข้าไปในแขนเสื้อ ทุกสิ่งเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วพริบตา
หนึ่งฉื่อ เมิ่งเสวี่ยหลี่ยังคงรัดคอเหยี่ยวดำแน่น ไม่คลายมือ
ผาหินใกล้แค่ปลายขนตา เสียง ‘ตึง’ ดังขึ้นคราหนึ่ง เมิ่งเสวี่ยหลี่ย่ำเท้าใส่หลังของเหยี่ยวดำ ถ่ายพลังปราณสู่เท้า ส่งร่างของเหยี่ยวดำขึ้นหน้า
โครม!…
ผาหินพังทลาย แผ่นฟ้าผืนพสุธาสะเทือนเลื่อนลั่น ฝุ่นควันม้วนตลบ
เหยี่ยวดำผ่อนแรงไม่ทัน กระแทกเข้ากับหน้าผา หัวแตกเลือดอาบร่างหล่นร่วง เลือดขนปลิวว่อนทั่วฟ้า
ผาหินพังถล่มไปกว่าครึ่ง จิ้งจอกม่วงกับกระสาขาวเห็นเศษกรวดหินปลิวว่อนมาทางตนเอง ขณะกำลังคิดจะหลบ พวกมันกลับพบว่าตำแหน่งที่หยุดยืนอยู่ในเวลานี้นั้นรอดพ้นจากผลพวงการต่อสู้ได้พอดิบพอดี จะมีก็แต่ขนเหยี่ยวสองสามอันที่ลอยตามสายลมยามค่ำตลบม้วนผ่านชายเสื้อไป
อสูรทั้งสองหันมองไปทางจี้เซียว ใจคิด หรือคนผู้นี้จะรู้อยู่ก่อนแล้ว นี่คือทักษะล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของพวกมนุษย์กระนั้นหรือ
เมิ่งเสวี่ยหลี่อาศัยแรงย่ำเท้า พาร่างกระโดดขึ้นไปเหนือยอดผา ชูแขนทั้งสองข้างขึ้น โบกไม้โบกมือมาทางกระบี่เหินเวหาเต็มแรง ราวกับเป็นนักแสดงกายกรรมที่เพิ่งทำการแสดงเสร็จสิ้น รอผู้ชมให้คะแนนเตรียมแสดงความขอบคุณ
จี้เซียวยิ้ม ส่วนกระสาขาวและจิ้งจอกม่วงก็อดตะโกนชื่นชมไม่ได้
หลังจากนั้นเพียงครู่ เสียงวัตถุหนักๆ ตกกระทบพื้นก็ดังลอยมาจากก้นผา
กระสาขาวตะลึง “นี่…เหยี่ยวดำตายแล้วหรือ”
จี้เซียวตอบ “ตายแล้ว”
จี้เซียวควบคุมกระบี่เหินเวหา มุ่งตรงไปยังยอดสุดของหน้าผา
กระสาขาวได้สติ “ช้าก่อน พวกเราไปหาศพของเหยี่ยวดำที่ใต้หน้าผาก่อน ให้มั่นใจก่อนว่ามันตายแล้วจริงๆ หากยังไม่ตายพวกเราจะได้ลงมือซ้ำอีกรอบ ถึงตอนนั้นค่อยไปรับจอมอสูรเขาเสวี่ยซานก็ยังไม่สาย”
กระบี่เหินเวหายังคงมุ่งไปตามทางเดิม
จิ้งจอกม่วงสีหน้าเคร่งขรึม “สหายท่านนี้ ท่านย่อมต้องรู้จักคำว่า ‘ขุดรากถอนโคน แม้นทิ้งไว้จะเป็นภัยภายหลัง’! เกิดเหยี่ยวดำยังไม่ตาย เกรงว่าวันหน้าเขาจะตามมาล้างแค้น!”
กระสาขาวนิสัยใจร้อน มันกางปีกเตรียมบินไปใต้หน้าผา แต่เพราะปีกทั้งสองข้างของมันเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ จึงไม่อาจดึงพลังอสูรออกมาใช้ กระพือปีกแค่เพียงสองทีก็เสียสมดุลร่วงตกจากกระบี่
จี้เซียวไม่แม้แต่จะมอง เขายื่นมือคว้าดึงตัวมันกลับขึ้นมาบนกระบี่ใหม่อีกครั้งพลางขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลจำพวกนี้ “เช่นนั้นก็ให้มันมาเถิด มีอันใดต้องกลัว”
ถึงจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ทว่าวิธีจัดการเรื่องราวต่างๆ ของเขากลับยังคงมีหลักการ มิได้เปลี่ยนไปเหมือนคนที่ลอบทำร้ายเขา
อาจพูดว่าจี้เซียวรู้สึกว่าคนพวกนั้นไม่คู่ควรที่จะเปลี่ยนแปลงเขา และไม่มีค่าให้ต้องเปลืองสมองอันใด
กระสาขาวกับจิ้งจอกม่วงต่างตะลึงงัน
หากอสูรคู่อริลอบเตรียมการอยู่ลับๆ ตั้งปณิธานมุ่งมั่นล้างแค้น ไม่น่ากลัวอย่างนั้นหรือ
นึกถึงสามสิบปีฝั่งน้ำตะวันออก สามสิบปีฝั่งน้ำตะวันตก ยามนี้ปล่อยอสูรคู่อริไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะย้อนหวนกลับมาอีก หากเป็นเช่นนั้น คืนค่ำจะหลับตานอนได้เช่นไร
เพียงวาจาเบาโหวงอย่าง ‘มีอันใดต้องกลัว’ ก็ไม่ต้องกลัวแล้วกระนั้นหรือ
อสูรทั้งสองนึกสงสัยในใจ ตกลงสหายของจอมอสูรเขาเสวี่ยซานผู้นี้มีที่มาที่ไปเช่นไรกันแน่
กระสาขาวทอดถอนใจ “น่าเสียดายปีกข้ามันไม่รักดี ข้ายามนี้ไม่ต่างอันใดกับนกพิการ!”
จี้เซียวบอก “พวกเจ้ายังมีเรื่องอื่นที่ทำได้”
จิ้งจอกม่วงถาม “อันใด”
จี้เซียวเชิดคางขึ้นน้อยๆ เป็นสัญญาณบอกให้พวกมันมองไปที่ริมผา
เมิ่งเสวี่ยหลี่กระโดดร่าเริงอยู่ที่เดิม โบกมือรับสายลมยามค่ำ เสื้อผ้าอาภรณ์สะบัดไหว เส้นผมดำขลับปลิวไสว
จี้เซียวยิ้มน้อยๆ กล่าว “จำไว้ว่าต้องชมเขา”
กระสาขาวจิ้งจอกม่วงรู้สึกอับจนคำพูดเล็กน้อย
เมิ่งเสวี่ยหลี่กระโดดขึ้นบนกระบี่เหินเวหา “ไปกันเถอะ!”
จิ้งจอกม่วงกัดฟันพูด “จอมอสูร ท่านร้ายกาจยิ่งนัก…ไม่รู้ว่าเหยี่ยวตัวนั้นลมหายใจขาดสะบั้นแล้วหรือยัง พวกเรามิสู้ลงไปดูสักหน่อย”
เมิ่งเสวี่ยหลี่รู้สึกประหลาดใจ เขาย้อนถาม “ยังต้องดูอันใด มันไม่ส่งผลอันใดต่อการเดินทางพวกเราอีกแล้ว!”
กระสาขาวกับจิ้งจอกม่วงสบตากันอีกคราว ใจคิด พวกเขาสองคนคงตกลงกันก่อนล่วงหน้าแล้วกระมัง
ติดตามบทที่ 3 ได้ในวันที่ 20 พ.ย. 63
Comments
comments
No tags for this post.