อสูรชั้นสูงเข้าเมือง
สองอสูรเหลือแค่ข้อสงสัยประการสุดท้าย เฟยอวี่อดเอ่ยปากถามเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่ได้
“ท่านอยู่ในแดนมนุษย์มาสามปี ไยจึงไม่มีสมญานามใดๆ”
เมื่อครู่พวกเขาเห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่ประจันหน้าสู้กับเหยี่ยวดำ รู้สึกว่าอีกฝ่ายทักษะการต่อสู้องอาจห้าวหาญเป็นที่สุด ทว่าในหนังสือนิยายพวกนั้นฝ่ายหลังกลับปรากฏตัวอยู่เพียงในฐานะ ‘คู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียว’ เป็นเพียงเด็กหนุ่มไร้เดียงสาน่าเวทนาเท่านั้น น่าประหลาดใจจริงๆ
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “หนังสือประโลมโลกพวกนั้นล้วนปั้นเติมเสริมแต่งขึ้นตามจินตนาการ ผู้เขียนรู้ก็แต่เขียน หาได้รู้ความจริงทั้งหมดไม่ ข้าอยู่แดนมนุษย์จริงๆ ก็มีสมญานาม พวกเจ้าลองไปสืบดู ตอนอยู่ในแดนสนธยาฮั่นไห่ สานุศิษย์หนุ่มสาวทุกสำนักล้วนเรียกข้าว่า ‘อาวุโสเมิ่งผู้ใช้คุณธรรมสยบใจคน’ สมญานามนี้มิใช่สมญานามจอมปลอม พวกเจ้าจะเรียกข้าเช่นนี้เหมือนคนอื่นๆ ก็ได้”
“อาวุโสเมิ่งผู้ใช้คุณธรรมสยบใจคน?” ชื่อชูนับนิ้ว “ยาวเพียงนี้เชียว?”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ “สมญานามยิ่งยาวก็ยิ่งร้ายกาจ”
จี้เซียวกระแอมกระไอออกมาติดๆ ยิ้มอย่างจนใจ
เฟยอวี่ถาม “เมื่อครู่ไป๋เหอบอกว่าหลิงซานต้องส่งทหารอสูรมาจับตัวพวกท่านแน่ เส้นทางไปเมืองเฟิงเยวี่ยไม่แคล้วเต็มไปด้วยแหฟ้าตาข่ายดิน หน้าขวางหลังไล่ แล้วพวกเราจะไปเช่นไร”
เมิ่งเสวี่ยหลี่บอก “ไปกับข้า”
ถึงเวลานี้อสูรทั้งสองล้วนเลื่อมใสศรัทธาแบบที่เรียกว่าแทบจะก้มกราบ คน อสูร และครึ่งอสูรต่างเดินทางข้ามเขากันอย่างหามรุ่งหามค่ำ มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเฟิงเยวี่ย
เมิ่งเสวี่ยหลี่แม้จะได้ยินคำเตือนของจอมอสูรแม่น้ำไป๋เหอ ทว่าเขากลับไม่นึกใส่ใจ เอาชนะเหยี่ยวดำได้ มันก็แค่เพิ่งเริ่มยืดเส้นยืดสายเท่านั้น จิตใจกำลังฮึกเหิม รู้สึกว่าตนเองจากไปสามปี อสูรชั้นสองในแดนอสูรไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นสักเท่าไร ไม่เอาไหนเลยสักนิด
ตอนอยู่ในป่าทึบกลางเขาเฮยซานกับป่าหงหลินพวกเขายืมไออสูรจากเซิ่นโซ่วปกปิดฐานะ รอดพ้นจากสายตาของทหารอสูรบนฟ้า แต่ใครจะรู้ว่าเพียงระยะเวลาสั้นๆ แค่สามวันสองคืนพวกเขากลับต่อสู้อยู่กลางป่ามาแล้วถึงหกครั้ง ทหารอสูรที่ออกตามค้นหาพวกเขาแบ่งกันเป็นกลุ่มย่อยหนึ่งกลุ่มสิบตน ปูพรมออกค้นหา แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เป็นภัยคุกคามอันใดต่อเมิ่งเสวี่ยหลี่และจี้เซียว แต่ก็ทำให้เสียเวลาไม่น้อย
ทันทีที่ทหารอสูรพบเจอเบาะแสอันใดก็จะส่งสัญญาณบอกตำแหน่งออกไป เรียกทหารอสูรตนอื่นๆ มาช่วย คล้ายแมลงวันที่คอยบินวนไปมาอยู่ข้างหู ทำเอาเมิ่งเสวี่ยหลี่นึกรำคาญ
วันที่สี่ทหารอสูรก็รวมกลุ่มกันคล้ายรู้ชัดแล้วว่าพวกเขากำลังจะเดินทางไปทางใด การไล่ตามนับวันก็ยิ่งประสบผลสำเร็จ แม่นยำขึ้นเรื่อยๆ
สายลมพัดผ่าน ต้นไม้ในป่าหงหลินมีเสียงดังแซกซ่า เมิ่งเสวี่ยหลี่กับจี้เซียวนั่งล้างกระบี่อยู่ที่ริมลำธาร คราบเลือดบนกาลมิสิ้นผ่านผันถูกชำระล้าง เผยให้เห็นตัวกระบี่สีเงิน ส่องประกายวับวาวอยู่ใต้แสงตะวันกลางฤดูร้อน
ปี้โหยวพูดอย่างละอายใจว่า “หากไม่เพราะข้าบินส่งเดช พวกเราก็คงไม่ถูกทหารอสูรพบเจอ วันนี้เดิมไม่จำเป็นต้องต่อสู้ ทั้งหมดเพราะข้าลากขาหลัง ท่าน”
“มีเรื่องเช่นนั้นที่ใดกัน” เมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ้ม “ข้าเป็นคนแล้ว มีขาหลังขาหน้าเสียที่ใด”
เขาชี้ไปไม่ไกล เฟยอวี่ หร่วนฮุย เซิ่นโซ่วนั่งล้อมวงก่อไฟอยู่ริมลำธาร ชื่อชูมองดูไก่ป่าเหนือกองไฟน้ำลายสอ เมิ่งเสวี่ยหลี่บอก “เจ้ารีบไปกินข้าวเถอะ”
หลังปี้โหยวเดินจากไป เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็กระซิบถอนหายใจ “หากเป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมไร้วิธี ข้าเข้าใจเขาที่สุด เขาเองก็เข้าใจข้าที่สุดเช่นกัน หนทางบนแดนอสูรมีอยู่พันหมื่นสาย ข้าจะเลือกเส้นทางใด ล่องแม่น้ำสายใด ไม่ว่าจะใช้เส้นทางเล็กคดเคี้ยวลึกลับเพียงใด เขาล้วนคาดเดาได้แม่นยำ”
‘เขา’ ที่เมิ่งเสวี่ยหลี่กล่าวถึงคือจอมอสูรเขาหลิงซาน
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นติดๆ กันทำให้เมิ่งเสวี่ยหลี่เข้าใจได้ในที่สุด แต่ไหนแต่ไรนี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเขากับทหารอสูรเฝ้าเจดีย์ อสูรเหยี่ยวดำ จอมอสูรเขาเฮยซาน อสูรพฤกษาป่าหงหลิน หากแต่เป็นการเดินหมากวางเดิมพันระหว่างเขากับจอมอสูรเขาหลิงซาน
หลิงซานวางแผนการรบอยู่ในกระโจม นั่งบัญชาการออกคำสั่งอย่างสุขุมมั่นคงอยู่ในเมืองเฟิงเยวี่ย เพียงเท่านี้ก็สามารถเหวี่ยงแห จัดวางเส้นทางค้นหาอยู่ไกลๆ ได้ พวกเขาเผชิญหน้ากับการไล่ล่าขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องฝ่าฟันอันตรายความยากลำบาก ความรู้สึกของการถูกอีกฝ่ายควบคุมการเคลื่อนไหวได้ทุกฝีก้าวเช่นนี้ไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย
หากการเดินทางครั้งนี้มีเพียงเขากับจี้เซียวก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร ก็แค่ลับกระบี่เท่านั้น ทว่าครึ่งอสูรขี้กลัว ตื่นตระหนกซ้ำๆ เช่นนี้ ทำให้เกิดอาการวิตกจริตได้ง่าย ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพกายและใจของเหล่ากรรมกรน้อย
“เจ้าคล้ายไม่วิตกกังวล” จี้เซียวถาม
“มีท่านอยู่ ข้าต้องกังวลอันใดอีก ยิ่งข้าคิดมาก เรื่องที่ตัดสินใจทำก็ยิ่งมาก หลิงซานก็ยิ่งทายถูก เดิมข้าตั้งใจคิดหาทางอื่น อ้อมเขาเสวี่ยซานศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้าคิดว่าเรื่องนี้เขาเองก็คงคิดได้ เตรียมการรอพร้อมอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน” เมิ่งเสวี่ยหลี่เช็ดกระบี่จนแห้ง เอียงคอยิ้มให้กับคู่ร่วมบำเพ็ญ “ไม่เป็นไร ถึงเขาจะเข้าใจข้า แต่ก็ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของท่าน นับแต่นี้ข้าตัดสินใจโยนความคิดในสมองทิ้ง ทั้งหมดล้วนรับฟังคำเสนอแนะของท่าน ท่านว่าไปเช่นไร พวกเราก็จะไปกันเช่นนั้น!”
“ข้าว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องอ้อมเขาเสวี่ยซานศักดิ์สิทธิ์และไม่ต้องคิดหาทางลัด พวกเราลงเขา ใช้ถนนสายหลักที่เชิงเขามุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเฟิงเยวี่ย รีบเข้าเมืองให้ทันก่อนวันชุมนุมหมื่นอสูร ซื้อเรือนขนาดใหญ่สักหลังบำเพ็ญเพียร พลางสืบดูสถานการณ์ในเมือง หาเบาะแสของเชวี่ยเซียนหมิง”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ลังเลเล็กน้อย “เช่นนี้…” แผนการนี้ฟังดูเรียบง่ายสมบูรณ์แบบ ติดอยู่ก็ตรงที่มันฟังดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้
จี้เซียวลูบหลังคอเขา พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่เป็นไร เชื่อข้า”
กลางฤดูร้อน แสงอาทิตย์แผดเผา ไอร้อนคุระอุ
ชุมนุมหมื่นอสูรใกล้เข้ามาทุกขณะ อสูรจากทุกหนแห่งล้วนมุ่งหน้ามารวมตัวกันยังเมืองเฟิงเยวี่ยที่ตั้งอยู่ใจกลางแดนอสูร ประหนึ่งร้อยวิหคน้อมคำนับพญาหงส์ ร้อยอสูรกราบกรานราชัน
แต่เพราะเรื่องเจดีย์เจิ้นเยาพังทลาย อสูรนักโทษหลบหนี บรรดาแม่ทัพอสูรของจอมอสูรเขาหลิงซานจึงต่างพากันมีสีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศอึมครึม
หน้าประตูเมืองชั้นในมีทหารอารักขาเข้มงวด เดินลาดตระเวนกันอย่างหนาแน่น อสูรที่เป็นที่ต้องสงสัยล้วนถูกตรวจค้น ทำให้บรรยากาศคึกคักสนุกสนานถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแปลกประหลาด
ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดิน ประตูเมืองชั้นนอกค่อยๆ ลดต่ำลง แสงสายัณห์อาบไล้หอคอยบนกำแพงเมืองให้สว่างไสวด้วยแสงสีเหลืองส้ม จู่ๆ ลำแสงสีขาวสายหนึ่งก็ลอดผ่านจากนอกประตูเมืองเข้ามา ประตูเหล็กหนาหนักชะงักค้างไปชั่วครู่ ก่อนจะตกลงกระแทกพื้น
เหล่าอสูรบนถนนต่างพากันตกตะลึง รีบถอยหลังหลบ ท่ามกลางฝุ่นควันตลบฟุ้ง เงาสีขาวนั้นพุ่งตรงไปยังประตูเมืองชั้นใน
อสูรสารถีตะโกน “หลีกทางๆ!”
ล้อขนาดยักษ์ทั้งสี่หมุนผ่านผืนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น เกิดเป็นเสียงดังกระหึ่ม
ทหารอสูรที่ยืนเฝ้าประตูเมืองชั้นในต่างชะโงกหน้าออกมามองดู พวกเขาต่างมองเห็นเงาร่างขนาดยักษ์สีขาวอยู่หลังฝุ่นละอองได้รางๆ ทว่ากลับได้ยินเสียงตะโกนร้องของอสูรชั้นต่ำนอกเมืองดังลั่น
“ขอบคุณในเมตตาของอสูรผู้ยิ่งใหญ่!”
“ต้อนรับอสูรผู้ยิ่งใหญ่เข้าเมือง!”
ทหารอสูรที่เพิ่งเข้ามารับหน้าที่ไม่เข้าใจ “นี่มันอะไรกัน เหตุใดถึงเอิกเกริกเช่นนี้”
“รถลากของอสูรชั้นสูงแล่นผ่าน หากอารมณ์ดีพวกเขาจะโปรยมุกวิเศษลงมาจากบนรถ อสูรชั้นต่ำเก็บได้ย่อมต้องขอบคุณ!” ทหารอสูรเฒ่าตอบ “เงินทองมากมายเช่นนี้ ดูท่าคงเป็นอสูรชั้นสูงแน่!”
ทหารอสูรเฒ่าอีกตนกระซิบ “อสูรต่างถิ่นเข้าเมืองเฟิงเยวี่ยมาย่อมอดอวดโอ้ทำใหญ่โตไม่ได้”
พลบค่ำใกล้ได้เวลาผลัดเวร ทหารอสูรเฝ้าประตูเมืองเดิมเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ทว่าพอได้ยินคำพูดดังกล่าว พวกเขาก็ทยอยกันทำตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า
จบคำพูดไม่กี่ประโยค ฝุ่นควันบนถนนก็ฟุ้งตลบมา เงาร่างขนาดยักษ์มาถึงในชั่วพริบตา
ในที่สุดทหารอสูรหน้าใหม่ก็เห็นประจักษ์ชัดกับตา หรูหรายิ่งนัก
นั่นเป็นรถลากขนาดใหญ่ที่มีกวางขาวสี่ตัวลาก ตัวรถสีขาวสูงเกือบสองจั้ง มีการลงรักปิดทองตกแต่งอยู่ทางด้านบน ร่มเฉกเมฆแดง กวางขาวลากรถแม้จะยังไม่ตื่นรู้ ทว่าร่างกายกลับสูงใหญ่กำยำ ทั่วทั้งตัวขาวเนียนไร้ตำหนิราวกับหยกชั้นเลิศ ขาของพวกมันยกสูง กีบเท้าทั้งสี่ย่ำพื้นองอาจน่าเกรงขาม
สารถีเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในอาภรณ์สีม่วง มีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง คิ้วตาสีหน้าท่าทางหยิ่งยโส โปรยมุกวิเศษไปตามทาง ล่อให้พวกอสูรชั้นต่ำวิ่งกรูกันเข้ามาแย่งชิง
บนตัวรถมีผ้าโปร่งกั้น ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของอสูรชั้นสูงที่อยู่ภายในรถลากได้ชัดแจ้ง
ทหารอสูรเฝ้าเมืองรีบขึ้นหน้ามาต้อนรับ ต่างแสดงคารวะอย่างนอบน้อมระแวดระวัง “ผู้น้อยยินดีต้อนรับใต้เท้า”
น้ำเสียงน่ายำเกรงราบเรียบดังมาจากในรถ “ตกรางวัล”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหยิบเอามุกวิเศษชั้นยอดออกมา ตกรางวัลมือเติบ
พอได้รับรางวัล ทหารเฝ้าประตูเมืองก็ยิ้มหน้าบานกล่าวขอบคุณ ทหารอสูรที่เป็นหัวหน้าประคองถาดวิจิตรงดงาม “ขอใต้เท้าได้โปรดสำแดงเทียบเชิญ”
ติดตามบทที่ 6 ได้ในวันที่ 27 พ.ย. 63
Comments
comments
No tags for this post.