X
    Categories: everYคดีลับใต้หมู่ดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 2 บทที่ 61-62 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 61

เมื่อตระหนักว่าตนเผลอหลุดปากไปเสียแล้ว เหอโย่วอันก็รีบปิดปากสนิทไม่พูดจาทันที

เยวี่ยติ้งถังก็ไม่ได้รีบร้อน เขานั่งลงตรงข้ามเหอโย่วอัน บนเก้าอี้ที่คุณเฉิงนั่งตอนที่มาเมื่อสักครู่นี้

สองมือประสานกัน ยกขาขึ้นไขว่ห้าง คงความนิ่งสงบเอาไว้ด้วยท่าทางสง่างามอย่างที่สุด

ทั่วทั้งตัวของเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั้นคล้ายสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อคำว่า ‘ศาสตราจารย์’ โดยเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้นเพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็นศาสตราจารย์ที่กลับมาจากการศึกษาในต่างประเทศด้วย เพราะเหล่าบัณฑิตที่เกิดและเติบโตในบ้านเดิมของตนนั้น ปกติจะสวมเสื้อจีนตัวยาวกับเสื้อคลุมยาว คนสองประเภทนี้แยกออกจากกันชัดเจน ไม่ปะปนกันอย่างเด็ดขาด

เหอโย่วอันพบเห็นผู้ชายหล่อเหลาภูมิฐานมามาก

พวกผู้ชายที่ถ่ายหนังด้วยกันนั้น ยกตัวอย่างเช่นเว่ยหงเซวียน ก็จะเป็นคนที่หล่อเหลาหน้าตาโดดเด่นไม่ธรรมดาที่จะพบได้เพียงหนึ่งคนในระยะร้อยลี้ ไม่อย่างนั้นซูเถาภรรยาของเขาก็คงไม่ต้องมาคอยกันผู้หญิงคนอื่นราวกับกันขโมยเช่นนี้ เพราะเธอกลัวว่าเว่ยหงเซวียนจะพัวพันกับพวกเธอแม้เพียงเล็กน้อย

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเยวี่ยติ้งถังก็ดี หลิงซูก็ดี ก็นับว่าเป็นคนที่ดูโดดเด่นเหนือใครในละแวกนี้ทั้งสิ้น

ความหล่อเหลาของหลิงซูกับเยวี่ยติ้งถังนั้นก็แตกต่างกัน

หลิงซูต่างจากคนนิ่งสุขุมอย่างเยวี่ยติ้งถัง เขาดูเจ้าสำราญ ปล่อยตัวตามสบาย มีอิสรเสรี ดวงตาเหมือนดอกท้อคู่นั้นเพียงปรายมองอย่างไม่ใส่ใจก็เรียกให้ดอกท้อ มากมายเป็นกองวิ่งเข้าใส่เองโดยไม่ต้องเชื้อเชิญ ไม่ต้องสนใจหรอกว่าบนตัวเขาจะสวมเสื้อจีนตัวยาว เสื้อคลุมยาว หรือว่าจะสวมเสื้อโค้ตเสื้อกั๊กก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็สวมออกมาแล้วทำให้บรรยากาศต่างออกไปจากคนอื่นทั้งสิ้น

ทว่าตอนนี้เหอโย่วอันไม่ได้มีแก่ใจจะมาชื่นชมสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด

ความรู้สึกของเธอวุ่นวายสับสนไปหมด ถึงขนาดไม่สามารถสบตากับเยวี่ยติ้งถังเหมือนปกติ พวกเขายื้อเกมกันไปมา

“คุณเยวี่ย ฉันค่อนข้างเหนื่อยน่ะค่ะ คงไม่สะดวกพูดคุยกับคุณ พรุ่งนี้คุณค่อยมาใหม่เถอะนะคะ”

“ความสัมพันธ์ของสาวใช้แซ่เฉียนกับคุณ ที่จริงก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น”

เยวี่ยติ้งถังเอ่ยช้าๆ พลางปรับท่านั่งของตนไปด้วย เขาเปลี่ยนมานั่งท่าที่สบายกว่าเดิม

“ผมให้คนไปสืบมาแล้ว สาวใช้เฉียนมือไม่ค่อยสะอาดสักเท่าไหร่ ระหว่างที่รับใช้อยู่ข้างกายคุณ เธอเคยขโมยเงินกับทรัพย์สินของคุณหลายครั้ง คุณเคยคิดจะไล่เธอออกไปแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เพราะงั้นการตายของเธอ ก็ใช่ว่าคุณจะพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยไปเสียทีเดียว

หลิงซูมีภาพจำที่ดีกับคุณมากๆ ไม่เคยสงสัยคุณสักนิดเดียว คุณพูดอะไรเขาก็เชื่อหมด เขาสืบคดีตามทิศทางที่คุณให้เขามาตลอด แต่ผมไม่ได้ทำอย่างนั้น…ผมคิดว่าในคดีนี้ คุณทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์มากเกินไป สมบูรณ์แบบเกินไป ทำให้รู้สึกว่ามันไม่จริง ดังนั้นระหว่างที่หลิงซูช่วยคุณหาตัวคนร้าย ผมก็เริ่มลงมือจากมุมอื่นเพื่อลองเปิดกล่องแห่งความจริงดู”

“…”

“คุณ…เป็นดาราหนังคนหนึ่ง ก็ต้องมีชื่อเสียงในวงกว้าง มีคนมากมายชื่นชอบและเกลียดชังคุณ แต่พูดกันให้ชัดเจนก็คือถ้าคุณตายไป อย่างมากหนังสือพิมพ์ก็คงพาดหัวข่าวให้คุณสักหนึ่งวัน พอเวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็คงมีคนที่สวยกว่าคุณ สาวกว่าคุณ เป็นดาราสาวที่แสดงได้อย่างโดดเด่นกว่าคุณ มาแทนที่คุณ ยึดพื้นที่สายตาของผู้คนทั้งหลายแทนคุณ”

“…”

“ถ้าเปลี่ยนคุณเป็นพวกคนใหญ่คนโตในรัฐบาล บางทีอาจจะมีค่าพอแก่การขู่ฆ่าบ้าง แต่ว่า…คุณเหอ ถ้าให้ผมพูดตรงๆ นะ คนที่เกลียดคุณก็น่าจะฆ่าคุณไปเลย ส่วนคนที่ไม่มีทางฆ่าคุณได้ก็คงแค่ข่มขู่ให้พอแสบๆ คันๆ ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ไม่มีทางส่งคนที่มีฝีมือขนาดนั้นมาจัดการข่มขู่คุณครั้งแล้วครั้งเล่าแน่นอน ในเมื่อความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างไม่มีอยู่แล้ว มันก็คงเหลืออยู่แค่อย่างเดียว นั่นคือจดหมายข่มขู่พวกนั้นเป็นแผนการของคุณแต่เพียงผู้เดียว”

เหอโย่วอันฟังอยู่เงียบๆ จนจบ ไม่ได้เอ่ยขัดเขา

จนกระทั่งเยวี่ยติ้งถังหยุดพูด เธอจึงค่อยๆ เอ่ยว่า “ฉันคิดว่าคุณเยวี่ยจะมาเยี่ยมไข้ฉัน ไม่คิดเลยว่าคุณจะมาเพื่อกล่าวหาฉัน ขอถามคุณเยวี่ยหน่อยนะคะ ถ้าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมาเอง แล้วทำไมฉันต้องลงมือกับตัวเองด้วยล่ะคะ ถ้าวันนี้ฉันพลาดไปนิดเดียวชีวิตน้อยๆ ของฉันก็คงหาไม่แล้ว ตอนนี้หัวกับไหล่ของฉันบาดเจ็บ ต่อให้เรียกหมอคนไหนมาก็คงจะพิสูจน์ได้ว่าอาการบาดเจ็บของฉันสาหัสมาก แล้วทำไมคุณถึงต้องใส่ร้ายฉันแบบนี้ด้วยล่ะ”

เยวี่ยติ้งถังว่า “เรื่องนี้ก็คงต้องถามตัวคุณเองแล้วครับ เหมือนว่าผมเพิ่งจะพูดไปนะว่าคุณกับคุณเฉียนไม่ลงรอยกัน แต่หลังจากเธอเสียชีวิตคุณก็กลับไม่พูดถึงประเด็นนี้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณจงใจปิดบังแล้วมันจะเพราะอะไรล่ะครับ ผมถึงขั้นมีสาเหตุเพียงพอที่จะสงสัยด้วยซ้ำว่าคุณฆ่าคุณเฉียน ถึงได้สร้างเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา”

เหอโย่วอันขมวดคิ้ว “ตามที่คุณพูด ในเมื่อสาวใช้เฉียนก็ตายไปแล้ว ทำไมฉันถึงยังต้องสร้างเรื่องให้ตัวเองบาดเจ็บคราวนี้อีกล่ะคะ”

“บางทีคุณอาจจะอยากให้ตัวเองหลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยโดยสมบูรณ์ก็ได้ ยังไงถ้าเรื่องมันหยุดที่คุณเฉียนก็จะดูชัดเจนเกินไป เมื่อแผนทำลายตัวเองเริ่มแล้วก็ต้องหาทางลง มีจุดเริ่มต้นและจุดจบสักหน่อย”

เหอโย่วอันถอนหายใจ

เธอคล้ายจะรู้สึกวิงเวียนจึงหลับตาอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง

“คุณเยวี่ย ในใจของฉันคุณเป็นคนที่สุขุมและมีเหตุผล ไม่ควรจะรีบร้อนมากล่าวหากันอย่างนี้ สาวใช้เฉียนเป็นคนมือไม่สะอาดจริงๆ ฉันเองเคยคิดจะไล่เธอออก แต่เธอกลับขอร้องอย่างน่าสงสาร ฉันสงสารที่ครอบครัวของเธอยากลำบาก ตัวเธอก็มีชีวิตที่น่าเศร้า สุดท้ายฉันก็ทนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นยังมีคุณเสิ่นมาขอความเมตตาให้เธอด้วย”

เยวี่ยติ้งถังอดเลิกคิ้วไม่ได้ “คุณเสิ่น เสิ่นสือชีน่ะเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ”

เสิ่นสือชีเป็นคนแบบนั้น จะมาขอความเมตตาให้สาวใช้คนหนึ่งได้อย่างไร

อย่าว่าแต่เรื่องที่สาวใช้คนนี้ไม่ได้หน้าตาสะสวยอะไรเลย เธอไม่มีจุดใดที่ดูพิเศษด้วยซ้ำ

หากไม่ใช่เพราะเหอโย่วอันเป็นคนพูดออกมาเอง เยวี่ยติ้งถังก็คงไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้ซ่อนอยู่

“ทำไมเสิ่นสือชีถึงต้องขอความเมตตาให้เธอด้วยล่ะครับ”

“เพราะสาวใช้เฉียนคือคนที่เสิ่นสือชีส่งมาจับตาดูฉันค่ะ”

เหอโย่วอันไม่ได้มีสีหน้าตื่นตระหนกแต่อย่างใด เธอสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้า ราวกับไม่ได้ตระหนักว่าตนกำลังพูดสิ่งที่น่าตื่นตระหนกออกมา

แม้แต่เยวี่ยติ้งถังก็ยังอดตกใจไม่ได้

ทว่าเหอโย่วอันกลับหัวเราะ

“ทำไมคุณเยวี่ยต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะคะ เดิมทีฉันก็เป็นของรักของหวงของเสิ่นสือชีอยู่แล้ว มันก็เป็นความจริงที่คนทั่วไปเขารู้กันหมดไม่ใช่เหรอคะ”

“ถ้าอย่างนั้น แล้วเฉินเหวินต้งล่ะ”

เหอโย่วอันเงียบไปครู่หนึ่ง “ฉันบอกเรื่องภายในที่ฉันรู้ได้แค่ส่วนหนึ่งค่ะ”

เยวี่ยติ้งถังว่า “ลองบอกมาสิครับ”

“ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเสิ่นสือชี คนมากมายล้วนรู้ดี แต่เสิ่นสือชีมีความปรารถนาจะครอบครองมากเกินไป เขาไม่เพียงแต่อยากได้คนของฉันเท่านั้น แต่ยังไม่ยอมให้ฉันออกไปจากขอบเขตการควบคุมของเขาด้วย เพราะฉะนั้นสาวใช้เฉียนกับเฉินเหวินต้ง…คนหนึ่งคือสาวใช้ที่คอยดูแลฉันในบ้าน อีกคนคือคนขับรถ นี่คือหน้าที่แค่ในนาม…แต่ที่จริงสองคนนั้นเป็นคนที่เสิ่นสือชีส่งมาจับตาดูฉันทั้งหมดค่ะ

งานของฉันจำเป็นต้องพบปะผู้คนมากมาย ตอนแรกก็คิดว่าเสิ่นสือชีไม่เชื่อใจฉัน แต่ตอนหลังก็พบว่าบางเรื่องเขาไม่สะดวกออกหน้าด้วยตัวเอง ต้องการให้ฉันไปทำแทน เขาก็จะส่งเอกสารบางอย่างมาให้แล้วก็ให้ฉันเอาไปส่งให้คนอื่น เพราะสถานะของฉันมันเพียงพอที่จะปิดบังเอาไว้ได้ ไม่ทำให้คนอื่นสงสัยได้ง่ายๆ และตัวตนของเฉินเหวินต้งกับสาวใช้เฉียนก็จะสามารถรับรองได้ว่าฉันจะไม่ทำอะไรผิดพลาด”

“เอกสารอะไร เสิ่นสือชีไม่ได้เป็นแค่พ่อค้าเหรอครับ”

เหอโย่วอันเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่รู้ค่ะ ฉันเองก็ไม่เคยถาม ฉันเชื่อว่าคุณน่าจะรู้ดีกว่าฉัน ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ฉันก็จะยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมจู่ๆ คุณถึงบอกเรื่องพวกนี้กับผมล่ะ”

“เพราะเฉินเหวินต้งหายไปมั้งคะ”

เยวี่ยติ้งถังถามต่อ “เมื่อไหร่ครับ”

“วันนี้ตอนกลางวันเขายังอยู่ แต่หลังจากเกิดเรื่องที่สถานที่ถ่ายทำเขาก็หายไปค่ะ”

“มีอะไรแปลกไปบ้าง”

“พูดตรงๆ เลยนะคะ กระดาษแผ่นนั้นฉันเป็นคนเขียนเองจริงๆ เพราะฉันมองความไม่ชอบมาพากลของเฉินเหวินต้งออกแล้ว อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จับตาดูแต่ยังคิดจะฆ่าฉันด้วย ตอนนั้นฉันติดที่ไม่มีหลักฐาน ได้แต่เขียนกระดาษนิรนามแผ่นนั้นไปเตือนพวกคุณให้ระวัง ใครจะรู้ล่ะคะว่าต่อจากนั้นก็มาเกิดอุบัติเหตุในสถานที่ถ่ายทำขึ้น ตอนนั้นคุณเฉิงมาเยี่ยมฉัน เขายืนอยู่ใต้คานที่พังลงมาพอดี หลังจากเขาออกไปไม่นานคานนั้นก็พังลงมา เขาโชคดีมากที่ไม่เป็นอะไรเลย แต่ฉันกับอีกคนหนึ่งกลับได้รับบาดเจ็บ เพราะฉะนั้นพวกเขาก็เลยสงสัยว่าเฉินเหวินต้งคือคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังจดหมายขู่พวกนั้น เบื้องหน้าก็ทำเป็นว่าจะลงมือกับฉัน แต่ที่จริงคนที่อยากฆ่าคือคุณเฉิงต่างหาก”

เยวี่ยติ้งถังว่า “ผมไม่เข้าใจ เฉิงกงเป็นคนที่ทำการค้าไปทั่ว ต่อให้เป็นคนค่อนข้างกว้างขวาง รู้จักคนค่อนข้างมาก แต่จะมีอะไรให้เฉินเหวินต้งต้องลงทุนทำขนาดนั้น ถ้าเฉินเหวินต้งอยากจะฆ่าใครจริง เวลาอยู่บนรถคันเดียวกับคุณเฉิงและคุณ เขาแค่หันมายิงพวกคุณให้ตายก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรจะสนใจแล้วล่ะค่ะ ฉันรู้แค่ว่าแผนการของเฉินเหวินต้งมีข้อผิดพลาด เขาลนลานรีบหนีไป ไม่รู้ว่าหายไปไหน คุณเฉิงกำลังสั่งการให้คนไปตามหาร่องรอยของเขาทุกที่ คิดว่าคงต้องตามตัวเขาให้เจอก่อนถึงจะรู้คำตอบค่ะ”

“ไม่ใช่สิ” เยวี่ยติ้งถังไม่ได้หยุดคิดเพราะคำพูดของเธอ “ตอนที่คุณได้รับจดหมายขู่ครั้งแรก น่าจะยังไม่รู้จักคุณเฉิง ถ้าอย่างนั้นการสันนิษฐานว่าเฉินเหวินต้งจะฆ่าคุณเฉิงโดยผ่านทางคุณก็น่าจะฟังดูขัดแย้งกันแล้ว”

“ไม่ขัดแย้งกันเลยสักนิดเดียวค่ะ เป้าหมายในตอนแรกของเฉินเหวินต้งคือคุณเสิ่น ตอนหลังถึงเปลี่ยนมาเป็นคุณเฉิง ถ้าเขาคิดจะฆ่าเสิ่นสือชีกับเฉิงกงน่ะง่ายมาก แต่การที่จะไม่ให้คนอื่นมาสงสัยตัวเขาน่ะยาก เขาจึงต้องทำอะไรอ้อมๆ แบบนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงเหมือนอย่างที่คุณว่า ฉันก็แค่นักแสดงคนหนึ่ง จะตายก็ตายไป คงไม่ใช่เรื่องที่ใครต้องมาเปลืองแรงอย่างนี้หรอกค่ะ”

เหอโย่วอันส่ายหน้า คล้ายกำลังทอดถอนใจในความเลวร้ายนี้

“คุณเยวี่ยคะ ฉันรู้ว่าคุณกับคุณหลิงสองคนวิ่งวุ่นกับเรื่องของฉันมาโดยตลอด ฉันเองก็รู้สึกผิด รางวัลตอบแทนที่ควรให้ กลับไปฉันจะให้พวกคุณอย่างไม่ขาดไปแม้แต่เฟินเดียวค่ะ ส่วนเรื่องนี้ ในเมื่อตอนนี้คุณเฉิงก็รู้แล้ว เฉินเหวินต้งก็คงจะลงมือกับฉันไม่ได้อีก ก็คงจะหยุดลงเท่านี้ พวกคุณสองคนก็ไม่ต้องตามสืบต่อแล้วล่ะค่ะ”

เยวี่ยติ้งถังถาม “เรื่องพวกนี้ที่คุณพูดมา คุณเฉิงเป็นคนบอกคุณทั้งหมดเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ หลังจากคุณเฉิงรู้ว่าฉันถูกรบกวนด้วยจดหมายข่มขู่พวกนั้น ก็เริ่มส่งคนมาสืบ สุดท้ายสืบไปถึงตัวเฉินเหวินต้ง เฉินเหวินต้งถึงได้ร้อนรนขึ้นมาแล้วก็วางแผนให้เกิดอุบัติเหตุในสถานที่ถ่ายทำ ก่อนหน้านี้เขาถึงกับคิดจะโจมตีรถของคุณเฉิงระหว่างทางด้วยซ้ำ โชคดีที่คุณเฉิงระวังตัว จึงไม่ได้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น”

เยวี่ยติ้งถังเหมือนมีอะไรในใจ

“ดูท่าคุณเฉิงจะดีกับคุณจริงๆ นะครับ ตอนแรกที่เห็นคุณอยู่กับเขา หลิงซูยังสงสารคุณอยู่พักหนึ่ง”

เหอโย่วอันยิ้มขื่น “คนอย่างฉันจะมีอิสระในการเลือกอย่างแท้จริงได้อย่างไรกันล่ะคะ ได้เจอคุณเฉิงนี่ก็ถือเป็นความโชคดีของฉันแล้ว คุณหลิงดีกับฉันมากจริงๆ ฉันทราบดีค่ะ คนมากมายชื่นชอบฉันเพราะว่าหน้าตาของฉัน ชื่อเสียงของฉัน แต่คุณหลิงปฏิบัติต่อฉันเหมือนเพื่อนคนหนึ่งจริงๆ เคารพฉันอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ทั้งยังคิดเผื่อฉัน เวลาพูดคุยกับเขาฉันก็มักรู้สึกอุ่นใจ แต่น่าเสียดาย ฉันเป็นเพียงนักแสดงหลักลอย ไม่คู่ควรกับเพื่อนดีๆ อย่างนั้นหรอกค่ะ ฉันรบกวนคุณไปขอโทษคุณหลิงแทนฉันหน่อยนะคะ ตั้งแต่วันนี้ไปขอให้เขาอย่ามาสนใจเรื่องของฉันอีกเลยค่ะ”

เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเย็น “คำพูดนี้ของคุณ ถ้าเขาได้ยินก็คงจะมาช่วยคุณหาตัวคนร้ายแน่ๆ ครับ ไม่มีทางปล่อยไปโดยไม่สนใจไยดีหรอก”

เหอโย่วอันถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะค่ะ บอกแค่ว่าฉันไม่อยากสืบต่อไปแล้วก็พอ”

 

ตอนที่เยวี่ยติ้งถังกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย หลิงซูก็หลับสนิทไปนานแล้ว

ไฟยังเปิดสว่างจนแสบตา แต่เขาเอาผ้าห่มมาปิดดวงตาเอาไว้ ศีรษะทั้งหมดซุกอยู่ในผ้าห่ม นอนหลับสบายไปทั้งอย่างนั้น

เยวี่ยติ้งถังเดินเข้าไปดึงมือของหลิงซูที่อยู่ใต้ผ้าห่มให้ออกมานอกเตียงเพื่อไม่ให้เข็มบนหลังมือถูกดึงจนผิดตำแหน่ง

ไม่รู้ว่าหลิงซูกำลังฝันถึงอะไร มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ดูใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ในโลก

อุณหภูมิที่ส่งมาจากหน้าผากนั้นยังค่อนข้างสูง แต่หากเทียบกับก่อนหน้านี้ก็ถือว่าดีขึ้นมาก อีกสักสองวันก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้

แต่ก่อนอื่นคือหลิงซูต้องไม่ทรมานตัวเองแบบนี้อีกน่ะนะ

เยวี่ยติ้งถังรู้สึกว่าด้วยนิสัยของหลิงซูแล้วไม่มีทางที่จะไม่ไปหาเหอโยว่อันเพื่อถามหาความจริงแน่ และเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายพบกับคุณเฉิงแล้วกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรขึ้นอีก เยวี่ยติ้งถังจึงตัดสินใจนอนค้างที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าอีกฝ่ายไว้

บางครั้งเยวี่ยติ้งถังก็มักจะรู้สึกไปเองว่าตัวเองเหมือนมีลูกชายหลอกๆ เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งเสียเฉยๆ แล้วยังเป็นลูกชายประเภทที่ชวนให้วุ่นวายใจเป็นพิเศษด้วย

เยวี่ยติ้งถังโอบกอดความคิดอันชวนให้จนใจเช่นนี้แล้วก็พิงพนักเก้าอี้ ค่อยๆ หลับไปอย่างไม่สบายตัวนัก

หลังจากเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันซึ่งแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแสนแปลกประหลาดทั้งคืน เยวี่ยติ้งถังก็ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง แสงสว่างลอดผ่านช่องผ้าม่านเข้ามาแล้ว

เยวี่ยติ้งถังพบว่าตนกำลังนอนราบอยู่บนเตียง บนตัวเขามีผ้าห่มคลุมอยู่

ชุดสูทตัวนอกตัวในยังอยู่ครบ ขาดไปก็แต่รองเท้ากับหลิงซูที่เดิมควรจะนอนอยู่ตรงนี้

หลิงซูไม่อยู่แล้ว

เยวี่ยติ้งถังนวดหน้าผาก เขาอยากให้ตัวเองรู้สึกตื่นกว่านี้สักหน่อย

เวลานี้เองประตูห้องก็เปิดออก หลิงซูเดินสบายๆ เข้ามา บนตัวของอีกฝ่ายสวมเสื้อโค้ตของเขาอยู่ ท่อนล่างยังสวมชุดผู้ป่วยอยู่เลย

“อ้าว เหล่าเยวี่ย ตื่นแล้วเหรอ”

ยังจะมาทักทายอีก ทำเสียอย่างกับเยวี่ยติ้งถังเป็นผู้ป่วยอย่างนั้นล่ะ

“…นายไปไหนมา”

“ซื้อข้าวเช้าไง!” หลิงซูชูน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ในมือตัวเองขึ้นมา “อุตส่าห์เห็นแก่ที่นายเฝ้าฉันทั้งคืน น่าจะหิว ถ้านายตื่นขึ้นมาจะได้กินข้าวเช้าเลยไงล่ะ”

“ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆ แต่นายยังจำได้หรือเปล่าว่าตัวเองป่วยยังไงบ้างน่ะ”

หลิงซูทำท่าแปลกใจ “ก็เป็นไข้ไง ทำไม นายหลับไปตื่นหนึ่งแล้วความจำเสื่อมเหรอ”

เยวี่ยติ้งถังหายใจเข้าลึก เขาพบว่าเจ้าคนแซ่หลิงน่ะตั้งแต่เมื่อก่อนถึงตอนนี้ก็ยังคงมีพรสวรรค์ในการทำให้คนอื่นโมโหแบบไม่ห่วงชีวิตตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

“ในเมื่อยังจำได้ นายก็น่าจะรู้ว่าถ้ายังไม่หายป่วยแล้วออกไปโดนลมจะทำให้ป่วยหนักขึ้นนะ”

“ขอบพระคุณหัวหน้าเยวี่ยที่เอาใจใส่กระผมครับ ฉันหายดีแล้วน่า นี่นายรู้หรือเปล่าว่า…” หลิงซูโน้มตัวเข้ามาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “เกิดเรื่องใหญ่แล้วนะ!”

เยวี่ยติ้งถังเอ่ยรับ “เฉินเหวินต้งฆ่าคนแล้วก็หนีไป เหอโย่วอันบอกนายอย่างนั้นใช่ไหม”

หลิงซูนิ่งงัน “เฉินเหวินต้งหายไปงั้นเหรอ เหอโย่วอันพูดอะไร ฉันยังไม่ได้เยี่ยมเธอเลย ไม่มีของเยี่ยมก็เลยกระดากใจที่จะไปน่ะ งั้นเดี๋ยวฉันไปดูเธอหน่อยดีกว่า”

เยวี่ยติ้งถัง…เขาไม่ควรจะปากไวแบบนั้นเลย

“งั้นเรื่องใหญ่ที่นายว่าคืออะไร”

หลิงซูตอบว่า “เสิ่นสือชีตายแล้ว!”

 

บทที่ 62

เสิ่นสือชีตายแล้ว

สาเหตุการตายของเขาค่อนข้างประหลาด

ช่วงค่ำเมื่อวานซืนมีคนเหมาโรงเต้นรำเซียนเล่ออู๋กง เสิ่นสือชีไปที่นั่นด้วยความเบิกบาน เขาโอบสาวเต้นรำแสนสวยสองสามคนเต้นรำอยู่ที่นั่นทั้งคืน จากปากคำของพวกลูกคนรวยซึ่งไปด้วยกันกับเขา เสิ่นสือชีอารมณ์ดีมาก เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน สุดท้ายยัง ‘ซื้อเวลาออกไปข้างนอก’ ของสาวเต้นรำหนึ่งในนั้นแล้วพาเธอไปยังโรงแรมหย่วนตงซึ่งเป็นโรงแรมมีชื่อเสียงของเซี่ยงไฮ้

ครั้งสุดท้ายที่พนักงานโรงแรมเห็นเขาก็คือประมาณตีหนึ่ง เสิ่นสือชีโอบหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรมาเอาคีย์การ์ดเปิดห้อง จากนั้นก็ไม่ออกมาอีก

วันต่อมาช่วงเที่ยง พนักงานจะเข้าไปทำความสะอาด หลังจากกดกริ่งที่ประตูอยู่นานแล้วไม่มีใครมาเปิด พนักงานจึงได้แต่ใช้กุญแจสำรองเปิดเข้าไป ก่อนจะตกใจแทบสิ้นสติ…

เสิ่นสือชีร่างเปลือยเปล่านอนอยู่บนเตียง สองตาเบิกโพลง เลือดออกทุกทวาร สิ้นลมหายใจไปนานแล้ว

ส่วนสาวเต้นรำกึ่งเปลือยนอนคว่ำอยู่ข้างเตียง เธอยังมีลมหายใจอยู่ เพียงแค่สลบไปเท่านั้น

พนักงานจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รีบไปหาผู้จัดการโรงแรม ซึ่งเรื่องนี้ก็เพิ่งจะแพร่ไปทั่ว

“เลือดออกทุกทวาร มันคือการตายแบบไหนกัน” เยวี่ยติ้งถังถาม

“ไม่รู้สิ ฉันก็เห็นแค่ข่าวในหนังสือพิมพ์น่ะ ยังไม่ทันได้ไปถาม ศพน่าจะถูกนำไปที่กรมตำรวจประจำนครแล้ว ต้องให้หัวหน้าเยวี่ยออกโรงแล้วล่ะครับ!” หลิงซูเปิดถุงกระดาษ เขาหยิบปาท่องโก๋ออกมาตัวหนึ่งแล้วก็อ้าปากกัดคำโต ทำเอาเยวี่ยติ้งถังต้องมองแล้วขมวดคิ้ว

“หมอบอกว่ากระเพาะของนายไม่ดี ยังจะกินของมันๆ อีกหรือไง”

หลิงซูไม่สนใจ “ก็กินกับน้ำเต้าหู้เพื่อแก้ฤทธิ์กันแล้วไง อีกอย่าง แบบนี้น่ะเรียกว่าหนามยอกเอาหนามบ่ง”

ถึงจะบอกว่าเป็นชีวิตคนคนหนึ่ง แต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ ความประพฤติของเสิ่นสือชีก็ทำให้คนอื่นเสียใจในการตายของเขาไม่ลง แม้แต่จะเสแสร้งแกล้งทำเป็นเสียใจก็ยังยาก ดีไม่ดีหลายๆ คนได้ยินข่าวนี้แล้วอาจจะแอบจุดพลุฉลองด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่ามนุษยสัมพันธ์ของเสิ่นสือชีกับผู้อื่นนั้นแย่ขนาดไหน

แต่อย่างไรเสียเสิ่นสือชีก็ยังมีอำนาจอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลุงของเสิ่นสือชี เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปเขาต้องไม่ปล่อยไปแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะกดดันกรมตำรวจประจำนครให้เจ้าหน้าที่ไขคดีนี้ให้ได้ในระยะเวลาจำกัด

“คนเกลียดเสิ่นสือชีมีเยอะแยะ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น คนที่อยากฆ่าเขาให้ตายน่ะมีมากยิ่งกว่า ครั้งนี้คนร้ายหาตัวไม่ง่ายจริงๆ” หลิงซูกัดปาท่องโก๋ เขาพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ค่อยชัด “ว่าแต่ นายคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของคุณเฉิงนั่นหรือเปล่า”

เยวี่ยติ้งถังถาม “แรงจูงใจในการฆ่าล่ะ”

“เรื่องนี้มันซับซ้อน คุณเฉิงไปแย่งคนของเสิ่นสือชีมา ในใจเสิ่นสือชีก็ต้องเจ็บแค้นอยู่แล้วแต่ก็ไม่กล้าโต้กลับ คุณเฉิงเห็นก็รำคาญใจ เพื่อไม่ให้เสิ่นสือชีมาแก้แค้นภายหลังจึงชิงลงมือกำจัดเขาไปก่อน”

“เหอโย่วอันน่ะเสิ่นสือชีเป็นฝ่ายถวายให้คุณเฉิงเอง ฉันสงสัยด้วยซ้ำว่าเหอโย่วอันพยายามทำให้คุณเฉิงเห็นเธอ”

“นายหมายความว่าไง”

“นายจำได้หรือเปล่า ตอนที่พวกเราเจอคุณเฉิงคนนั้นครั้งแรกน่ะเป็นยังไง”

หลิงซูต้องจำได้อยู่แล้ว

วันนั้นเหอโย่วอันอาศัยเรื่องจดหมายข่มขู่นัดพวกเขาออกมาพบ เลี้ยงอาหารพวกเขาที่ภัตตาคารเก่าแก่ ซึ่งห้องรับประทานอาหารข้างๆ คือเสิ่นสือชีกับเฉิงกงพอดิบพอดี

“นายหมายความว่าเหอโย่วอันรู้นานแล้วว่าพวกเสิ่นสือชีจะไปกินข้าวที่นั่น ก็เลยจงใจจองห้องข้างๆ อย่างนั้นเหรอ”

เยวี่ยติ้งถังว่า “ไม่ใช่แค่นั้นนะ ตอนนั้นพวกเราออกมาก่อน เหอโย่วอันยังอยู่ข้างใน จริงๆ จะเลี่ยงไม่พบกันก็ได้ แต่เธอกลับโผล่หน้าออกมา”

“บางทีเธออาจจะกลัวว่าถ้าเสิ่นสือชีมาเจอเองแล้วจะยิ่งอธิบายยากก็ได้ ก็เลยเป็นฝ่ายออกมาเองเสียเลย”

เยวี่ยติ้งถังเหลือบมองหลิงซู เขาเอ่ยเสียงเรียบ “นายหาข้อแก้ตัวให้เธอจนได้นะ”

“ก็คนสวยน่ะ มักจะต้องมีความกังวลบ้างอยู่แล้ว” หลิงซูลูบจมูก “อีกอย่างฉันก็ไม่ได้หลงใหลในความงามหรอกนะ ฉันกำลังวิเคราะห์อย่างใจเย็นและมีเหตุผลกับนายนะเนี่ย ภัตตาคารมากมายทั่วเซี่ยงไฮ้ขนาดนั้น แต่สถานที่ที่เหอโย่วอันจองก็ดันบังเอิญเป็นที่เดียวกับเสิ่นสือชีเสียนี่ แล้วยังบังเอิญเป็นห้องข้างๆ เสิ่นสือชีอีก เป็นความบังเอิญที่ชวนให้คนไม่เชื่อจริงๆ ว่าบังเอิญ ถ้าทุกอย่างนี้เป็นการจัดการอย่างจงใจ งั้นจุดประสงค์ของเธอคืออะไร เพื่อสลัดเสิ่นสือชีทิ้งแล้วเปลี่ยนมาเป็นคุณเฉิงที่เป็นเรือใหญ่กว่ามั่นคงกว่าลำนี้น่ะเหรอ”

เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “ไม่ว่าเป้าหมายของเธอจะเป็นอะไร เจียงเหอก็พูดถูกอยู่นิดหน่อย เหอโย่วอันไม่ได้เป็นคนเรียบง่ายอย่างที่แสดงออกจริงๆ ที่เธอปฏิบัติต่อนายก็ไม่ได้เจตนาดีโดยบริสุทธิ์ใจ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าเธอรับบทบาทอะไรในเรื่องราวทั้งหมดนี้ เป้าหมายของเธอคืออะไร ถ้าแค่เข้าใกล้เฉิงกง เปลี่ยนแหล่งเงินที่จะใช้อุปถัมภ์ตัวเองเสียใหม่ ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรใหญ่โตเพื่อจุดประสงค์เล็กน้อยอย่างนี้”

“นายเอาหนังสือพิมพ์ที่อยู่กับเฉินโหย่วหวาให้เธอดูหรือยัง”

“ให้ดูแล้ว แต่เธอก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ไม่ได้มองนานๆ ด้วยซ้ำ”

หลิงซูพูดอย่างเกียจคร้าน “นายน่ะเรื่องคุยกับผู้หญิงนี่ไม่ไหวเลย ต้องให้ฉันออกโรง”

“ออกโรงแบบใส่ชุดคนไข้กับรองเท้าแตะน่ะนะ”

หลิงซูลูบผม “อาศัยแค่เสน่ห์กับมาดของฉัน ใส่อะไรมันจะต่างกันตรงไหนล่ะ”

เยวี่ยติ้งถังแทบอดใจไม่ไหว อยากบอกว่าอีกฝ่ายนอนซุกอยู่อย่างนั้นคืนหนึ่ง ผมเผ้าก็ถูหมอนไปมาจนยุ่งเหยิงเละเทะ ออกไปซื้ออาหารเช้ากลับมาผมก็โดนลมหนาวพัดปลิวอีก ยิ่งทำให้ดูชี้ตั้ง เห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้

หน้าซีดปากขาว สายตาดูเลื่อนลอย สภาพแบบนี้ถ้าเอาไปพบเหอโย่วอันล่ะก็ แปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะต้องเป็นว่ายังไม่ทันได้พบก็โดนกันเอาไว้นอกห้องแล้วแน่ๆ

“นอนลงไปดีๆ เลย หมอบอกแล้วว่าวันนี้ถ้าไม่มีอะไรร้ายแรงตอนค่ำก็ออกจากโรงพยาบาลได้”

เยวี่ยติ้งถังลุกขึ้นหยิบผ้าพันคอกับหมวก เขาสวมทีละอย่างแล้วก็หันมายื่นมือไปทางหลิงซู

หลิงซูถามว่า “จะทำอะไร”

“เสื้อโค้ตฉัน”

หลิงซูถอดเสื้อโค้ตส่งให้ก่อนบ่นว่าหนาวหนึ่งคำ เพียงครู่เดียวก็กลับเข้าไปซุกในผ้าห่มแล้วม้วนตัวเป็นก้อนอยู่ในนั้น เขาใช้ผ้าห่มพันตัวแล้วพลิกตัวขึ้นมากัดปาท่องโก๋ มองอย่างไรก็ดูเหมือนฟั่นถวน ไม่มีผิด

ท่าทางแบบนี้ อย่างไรก็ดูไม่เหมือนหลิงซูที่แพรวพราวเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิงเอาเสียเลย

เยวี่ยติ้งถังทนดูต่อไปไม่ได้ เขาหันหลังจากไป ไม่อยากจะอยู่ต่อแม้แต่เสี้ยววินาที

หรือจะพูดก็ได้ว่าเขารีบไปสืบให้รู้ความจริงเกี่ยวกับการตายของเสิ่นสือชีให้มากกว่านี้

ตั้งแต่เหอโย่วอันมาหาพวกเขา หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่เพียงแต่หลิงซูเท่านั้นที่มีใจอยากจะสืบสาวราวเรื่อง แต่เยวี่ยติ้งถังเองก็สนใจมากเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่รับปากเหอโย่วอันว่าจะช่วยเธอสืบหาความจริงหรอก

เพียงแต่ยิ่งขุดลึกลงไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าความจริงข้างล่างนั้นเหนือความคาดหมายยิ่งขึ้นไปอีก

คนที่เดิมคิดว่าเป็นคนร้ายก็มักจะมีเหตุเปลี่ยนแปลงกะทันหันให้พวกเขาเปลี่ยนทิศทางของความสงสัยไปเสียทุกครั้ง

ถ้าเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างที่เหอโย่วอันว่า ทุกอย่างล้วนเป็นแผนการของเฉินเหวินต้ง เช่นนั้นแล้วการตายของเสิ่นสือชีจะเกี่ยวข้องกับเฉินเหวินต้งด้วยหรือเปล่า แล้วทำไมเฉินเหวินต้งต้องฆ่าเสิ่นสือชีด้วย

ก้อนหิมะที่เหมือนกับปริศนานั้นยิ่งกลิ้งไปก็ยิ่งเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น มันไล่ตามหลังพวกเขาอย่างไม่ลดละ ทำให้พวกเขาอยากจะเปลี่ยนเส้นทาง ทว่าจะถอนตัวออกจากเกมนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ตั้งแต่พวกเขาเริ่มรับคำไหว้วานจากเหอโย่วอันมาก็ลงไปอยู่ในเกมนี้ทั้งตัวแล้ว

เมื่อเขารุดมาถึงกรมตำรวจประจำนคร ก็ได้รับข้อมูลว่าศพของเสิ่นสือชีถูกนำมาที่นี่จริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้น หากดูจากปฏิกิริยาหน้านิ่วคิ้วขมวดของอธิบดีหวงแล้ว โทรศัพท์จากคุณลุงเสิ่นเมื่อสักครู่นี้คงจะทำให้เขาไม่รู้สึกยินดีนัก

“คุณเยวี่ย คดีนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด เกรงว่าจะต้องให้คุณช่วยหน่อย”

อธิบดีกรมตำรวจประจำนครพบหน้าเขาก็ทอดถอนใจคล้ายหมดคำจะพูด

เยวี่ยติ้งถังจึงถามว่า “ทำไมเหรอครับ ไม่มีเบาะแสเลยเหรอ”

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีหรอก เรื่องเบาะแส…ก็มีอยู่บ้าง เพียงแต่ทางลุงของเสิ่นสือชีโทรศัพท์มา พูดอย่างไม่เกรงใจเอาเสียเลย เกรงว่าถ้าไขคดีนี้ไม่ได้ผมจะตกงานน่ะสิ คุณเยวี่ย เราก็นับว่ารู้จักกันมานาน คุณคงจะทนดูผมโดนปลดไม่ได้หรอกใช่ไหม ถึงเวลานั้นก็อาจจะต้องขอให้คุณช่วยอีก…”

อธิบดีหวงเป็นพวกคลั่งตำแหน่ง เยวี่ยติ้งถังมองออกนานแล้ว

ที่อีกฝ่ายเชิญเขามารับตำแหน่งที่ปรึกษาของกรมตำรวจประจำนคร ก็คงไม่ใช่แค่เรื่องที่เขาไขคดีคฤหาสน์สกุลหยวนได้หรอก แต่เพราะสกุลเยวี่ยที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างหาก

“ท่านอธิบดีหวงก็พูดเกินไปแล้วครับ ผมก็เป็นแค่คนสอนหนังสือธรรมดาๆ เท่านั้น ยังไงก็จะช่วยเท่าที่ช่วยได้ครับ ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือต้องไขคดีให้ได้ก่อน เท่านี้สกุลเสิ่นก็คงจะพูดอะไรไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้พวกเขาใช้เส้นสายถอดคุณออกไป คนที่มารับตำแหน่งต่อจะรับรองได้หรือไม่ว่าเขาจะไขคดีได้”

เมื่อไม่ได้รับการตกปากรับคำจากเขา อธิบดีหวงก็ดูจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็พูดอะไรไม่ได้

“ศพถูกนำกลับมาแล้ว จากการชันสูตรของแพทย์น่าจะเสียชีวิตเพราะสารพิษ เขาเรียกว่าอะไรนะ…สารพิษอะไรไซยาไนด์สักอย่าง ร้ายแรงยิ่งกว่าสารหนูเสียอีก”

“โพแทสเซียมไซยาไนด์ใช่ไหมครับ”

“ใช่ๆ ชื่อนี้แหละ คนเรียนเมืองนอกอย่างพวกคุณนี่เก่งจริงๆ! เอาอย่างนี้ คุณไปที่ชั้นสองก่อน คนที่รับผิดชอบเรื่องสอบปากคำทั้งหมดอยู่นั่น เขาบอกที่มาที่ไปคุณได้อย่างละเอียด ทางนี้เดี๋ยวผมต้องรับแขกสำคัญอีก ต้องทักทายแขกสักหน่อย ผมไม่รั้งคุณไว้แล้วล่ะนะ!”

เยวี่ยติ้งถังคาดว่าคราวนี้อธิบดีหวงคงจะโดนสกุลเสิ่นข่มขู่จนขวัญเสียไปแล้วจึงรีบหาที่พึ่ง เขาเองก็ไม่อยู่ต่อนาน หลังจากลาอีกฝ่ายแล้วก็ตรงไปยังชั้นสอง

โพแทสเซียมไซยาไนด์เป็นสารพิษชนิดหนึ่ง ถูกใช้ในการผลิตสารเคมีเชิงอุตสาหกรรมตั้งแต่เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน แต่คนทั่วไปหามันมาได้ยากมาก แม้แต่ชื่อของมันคนทั่วไปก็คงไม่เคยได้ยิน แสดงว่าจะต้องเป็นการเตรียมการอย่างดีมานานก่อนจะเอามาใช้กับเสิ่นสือชีโดยเฉพาะ

จากบันทึกคำให้การ คืนวานซืนประมาณตีสอง มีคนเห็นพนักงานของโรงแรมคนหนึ่งถือถาดอาหารขึ้นไปยังชั้นสี่ของโรงแรมที่เสิ่นสือชีอยู่ สุดท้ายก็เดินไปทางห้องสวีตหมายเลข 407 ซึ่งก็คือห้องที่เสิ่นสือชีเข้าพักนั่นเอง

แต่หลังจากเกิดเรื่องทางโรงแรมให้การรับรองว่าคืนนั้นเสิ่นสือชีไม่ได้เรียกรูมเซอร์วิสไปส่งอาหารเลย แม้แต่โทรศัพท์ก็ยังไม่เคยโทรลงมาสักครั้ง เมื่อเข้าห้องไปแล้วก็ตัดการติดต่อ ส่วนบอดี้การ์ดที่เขาพามาด้วยนั้น สาวเต้นรำที่มากับเขาบอกว่าไม่อยากให้มีคนเฝ้าอยู่นอกห้องเพราะรู้สึกไม่สะดวกใจ เสิ่นสือชีจึงไล่พวกบอดี้การ์ดออกไปกินมื้อดึก ตอนที่เกิดเรื่องจึงไม่ได้ประจำอยู่ที่หน้าห้อง

ส่วนเรื่องสาเหตุการตายของเสิ่นสือชีนั้น จากการสันนิษฐานเบื้องต้นเกิดจากการสูบบุหรี่ที่พนักงานปลอมคนนั้นเอาไปให้ เขาสูดเอาสารพิษที่แอบซ่อนไว้ในบุหรี่เข้าไป ส่วนสาวเต้นรำเพียงแค่กินอาหารในถาดเท่านั้น ดังนั้นจึงเพียงแค่สลบ ไม่ได้มีอันตรายร้ายแรง

เยวี่ยติ้งถังฟังแล้วก็คิด

“นั่นก็หมายความว่าในอาหารไม่มีพิษ มีแค่ยาสลบเท่านั้น ส่วนพิษอยู่ที่บุหรี่อย่างนั้นเหรอ”

ตำรวจผู้รับหน้าที่สอบปากคำเปิดดูบันทึกแล้วก็ชี้ให้เขาดู

“ใช่ครับ สาวเต้นรำคนนั้นไม่สูบบุหรี่ แค่รับประทานอาหารเท่านั้น ส่วนผู้ตายแตะต้องไปทั้งบุหรี่และอาหารครับ”

“แล้วทำไมถึงรู้เร็วนักล่ะว่าเป็นโพแทสเซียมไซยาไนด์”

“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ เป็นเพียงการสันนิษฐานเบื้องต้นของแพทย์นิติเวชเท่านั้นครับ ยังต้องรอผลการตรวจขั้นต่อไปอีก แต่ในบุหรี่นั้นมีสารพิษอยู่จริง ไม่ผิดแน่นอน เพราะทดสอบกับสัตว์ไปแล้วครับ”

เยวี่ยติ้งถังกังวลใจ ความคิดมากมายผุดขึ้นมาไม่หยุด บางครั้งก็คิดอะไรได้ บางครั้งก็คว้าจับความคิดนั้นเอาไว้ไม่อยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงตำรวจบ่น…

“คืนวานซืนจนถึงกลางวันเมื่อวานฝนตกตลอด หลักฐานหลายอย่างก็ตามเก็บยากทำให้ลำบากขึ้นมาก”

แล้วเขาก็มีความคิดวาบขึ้นอย่างฉับพลัน คล้ายเส้นตรงสองเส้นที่ไม่เคยบรรจบจู่ๆ ก็เกิดวิ่งมาตัดกัน

“คุณช่วยไปหาคนคนหนึ่งให้ผมหน่อย!”

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 19 มี.. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: