Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 63
ชั่วพริบตานั้นเยวี่ยติ้งถังนึกถึงคนคนหนึ่ง
เฉินโหย่วหวา
ในรายชื่อมรณะที่เสิ่นสือชีส่งให้เจียงเหอนั้นมีชื่อของเขาอยู่
เขาหลุดรอดจากการตามไล่ฆ่าของเจียงเหอมาได้ แต่สุดท้ายกลับไม่อาจรอดพ้นมีดเดียวที่แทงอย่างกะทันหันในตรอกมืดๆ นั้นได้
แต่ชื่อนี้กลับไม่เคยหายไปจากสายตาของพวกเขาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อวาน หลิงซูไปที่ร้านหนังสือหมิงเต๋อ เขาได้พบกับเฉินโหย่วหวา จากนั้นเฉินโหย่วหวาก็โดนฆ่า
ก่อนหน้านั้น เสิ่นสือชีถูกวางยาที่โรงแรมหย่วนตง คนร้ายหลบซ่อนตัวอย่างไร้ร่องรอย
มันเป็นเวลาที่ต่อเนื่องกันพอดี เพราะเมื่อผ่านไปครึ่งค่อนคืนฝนก็เริ่มตก จากฝนเม็ดเล็กละเอียดไปจนถึงพายุฝนสาดซัด จากเซี่ยงไฮ้ไปถึงหางโจว ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่หยุด ดังนั้นหลิงซูจึงเปียกปอนจนป่วยไข้
เมื่อเยวี่ยติ้งถังได้ยินตำรวจที่ทำคดีนี้บ่นเรื่องฝนตกทำให้หาหลักฐานยาก เขาจึงเชื่อมโยงสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันทันที
ทว่าแม้เวลาจะประจวบเหมาะกัน แต่ก็ไม่เพียงพอจะพิสูจน์ได้ว่าเฉินโหย่วหวาคือฆาตกร
เยวี่ยติ้งถังต้องหาหลักฐานมากกว่านี้
“คุณเยวี่ยจะให้ผมหาใครครับ”
อีกฝ่ายมองเขาอย่างประหลาดใจ และยังคงรอคำตอบจากเขา
เยวี่ยติ้งถังเพิ่งตระหนักได้ว่าตนจะให้ตำรวจไปหาคนไม่ได้
เพราะชื่อเฉินโหย่วหวาก็ใช่ว่าจะเป็นชื่อจริง สถานะพนักงานบริษัทหนังสือพิมพ์ที่ว่าก็อาจจะเป็นสิ่งที่ใช้ปกปิดตัวตน คนธรรมดาๆ คนหนึ่งจะมีค่าพอให้เสิ่นสือชีไปไหว้วานคนอื่นมาลอบฆ่าได้อย่างไรกัน
หากเทียบกันเรื่องพลังอำนาจในแวดวงบนดินแล้ว บางทีไปตามหาเจียงเหออาจจะมีประโยชน์กว่า
แต่เยวี่ยติ้งถังไม่ได้รู้จักสนิทสนมอะไรกับเจียงเหอ คนที่รู้จักสนิทสนมคือหลิงซู
คิดมาถึงตรงนี้ เยวี่ยติ้งถังก็อดถอนหายใจไม่ได้
เดิมเขาไม่อยากให้หลิงซูไปติดต่อใกล้ชิดอะไรกับเจียงเหอมากนัก แต่ไม่คิดว่าวนไปวนมาก็กลับต้องมาตามหาคนอื่นโดยผ่านทางหลิงซูจนได้
“ไม่ต้องแล้วล่ะ”
เขาพูดกับอีกฝ่ายเพียงเท่านั้นแล้วก็ก้าวเร็วๆ จากไป
ตอนแรกหลิงซูว่าจะไปหาเหอโย่วอันสักหน่อย
แต่เขาก็ไปไม่ทันเพราะคนมาเยี่ยมไข้เขาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ก่อนอื่นคือเฉิงซือ
เฉิงซือเป็นคนคุ้นเคย ไล่ไปง่าย หลิงซูแค่ทักทายถามไถ่เฉิงซือไม่กี่คำก็ไล่เขากลับไปได้
จากนั้นก็เป็นสาวเต้นรำ หย่าฉี
เธอคนนี้เรียกได้ว่าค่อนข้างทุ่มเทความรู้สึกให้เขาอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่เขาเข้าไปที่กรมตำรวจประจำนครก็เกิดคดีขึ้นต่อเนื่องสองคดี หันเหความสนใจและความใส่ใจของหลิงซูไป เขาจึงไม่ได้ไปที่ฟลอเรนซ์นานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าหย่าฉีได้ยินเรื่องที่เขาป่วยเข้าโรงพยาบาลมาจากไหน เธอหอบอาหารว่างมาเต็มสองมือเพื่อมาเยี่ยมเขาอีกแล้ว
บุญคุณคนงามยากต้านทาน หลิงซูหักใจไล่เธอไปไม่ลง ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถให้สิ่งที่เธอต้องการได้ เขาได้แต่ปล่อยให้เธอน้ำตาคลอเบ้ารำพึงรำพัน สุดท้ายค่อยจากไปอย่างแสนอาลัยอาวรณ์
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่คนเยี่ยมไข้คนสุดท้าย
หย่าฉีเพิ่งจากไปไม่นาน กลิ่นหอมชวนให้หวั่นไหวก็ลอยตามมาติดๆ มีคนงามผลักประตูเข้ามาอีกแล้ว
เมื่อเห็นคนงามคนนี้ หลิงซูยอมคุยกับหย่าฉีต่ออีกสักสองสามนาทียังจะดีเสียกว่า
“ดูท่าทางคุณจะไม่อยากพบฉันนะคะ”
เพียงคนงามกะพริบตา เธอก็ให้บรรยากาศที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป
เธอหิ้วกระเป๋าชาแนลใบเล็ก สวมชุดตะวันตกเดินเข้ามา ท่วงท่าและย่างก้าวนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากหย่าฉีโดยสิ้นเชิง เป็นกลิ่นอายที่คนสมัยนี้เรียกว่ากลิ่นอายแบบตะวันตก
หลิงซูสอดตัวอยู่ในผ้าห่ม โผล่มาแค่ศีรษะ
“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงกันครับ แค่เห็นคุณหนูเจินให้เกียรติมาเยี่ยม ผมก็คิดว่าทั้งห้องนี้เหมือนมีแสงทองส่องออกมาแล้ว เพียงแต่ผมป่วยก็เลยไม่มีแรง ลุกขึ้นนั่งทักทายไม่ได้เท่านั้นเอง ตามสบายนะครับ บนโต๊ะมีแอปเปิ้ล ล้างสะอาดแล้ว”
เดิมเขาก็แค่พูดเป็นมารยาท ใครจะคิดว่าเจินฉงอวิ๋นจะยื่นมือออกไปหยิบแอปเปิ้ลมาจริงๆ เขาจึงรีบเอ่ยเสริมอีกประโยค
“คุณอย่าลืมเหลือไว้ให้ผมสักสองลูกนะครับ หมอบอกว่าผมต้องกินแอปเปิ้ลวันละสองลูกขึ้นไปถึงจะดี”
เจินฉงอวิ๋นเหลือบมอง
ในตะกร้ามีแอปเปิ้ลทั้งหมดสามลูก หนึ่งในนั้นลูกค่อนข้างเล็ก เหมือนเป็นลูกชายของอีกสองลูกที่เหลืออย่างไรอย่างนั้น
“กินแอปเปิ้ลวันละสองลูก นี่มันตำราหมอมองโกเลียที่ไหนกันคะ ไหนลองบอกให้ฉันฟังซิ”
หลิงซูหัวเราะฮาๆ “ก็หมอที่นี่น่ะสืบทอดวิชามาไม่เหมือนกัน ก็ต้องมีข้อควรปฏิบัติต่างๆ ที่แตกต่างกันไปตามบุคคลน่ะครับ”
เจินฉงอวิ๋นคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง “คราวก่อนฉันเชิญคุณเต้นรำเปิดฟลอร์ ทำให้คุณกลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วทีเดียว คุณยังโกรธแค้นฉันอยู่หรือเปล่าคะเนี่ย”
คำว่าเนี่ยของเธอลากเสียงออกไป ฟังดูนุ่มนวลอ่อนโยนคล้ายพวกขนมนั่วหมี่ฉือ* ในฤดูร้อน เมื่อเข้าปากก็ละลายกลายเป็นน้ำตาล
น่าเสียดายที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว
หลิงซูพูด “โกรธแค้นที่ไหนกันล่ะครับ คุณหนูเจินให้เกียรติขนาดนั้นก็ถือเป็นเกียรติของผมต่างหาก”
“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนั้นทำไมคุณถึงกลับก่อนล่ะคะ ฉันยังอยากจะพาคุณไปแนะนำกับพวกคนดังอย่างพวกผู้อำนวยการวังอยู่เลยแน่ะ!”
“พอดีเจอคนคุ้นเคยกันน่ะครับ อยากจะพูดคุยกับเขาให้มากหน่อยก็เลยกลับไปก่อน ลืมไปลาคุณเลย คราวนี้ผมต้องชดใช้ให้คุณแล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะครับ!”
เจินฉงอวิ๋นเอ่ยว่า “คนคุ้นเคยอะไรกันคะ แม้แต่ฉันคุณก็ยังลืมไปได้ ดูท่าฉันคงจะไม่สวยพอ ไม่อย่างนั้นคุณจะว่างไปคิดเรื่องอื่นได้ยังไงกันล่ะ”
ถ้อยคำเย้าแหย่ถูกเอ่ยออกมาประโยคแล้วประโยคเล่า เจินฉงอวิ๋นใจกล้าเปิดเผยมากกว่าหย่าฉีเสียอีก
ถ้าเป็นหย่าฉี หลิงซูยังพอจะมีรุกมีรับได้บ้าง ไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายเหนือกว่า
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเจินฉงอวิ๋น เขากลับไม่กล้าคลายความระแวดระวังเลย อย่างไรเสียบทเรียนจากเรื่องก่อนหน้านี้ก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัดอยู่แล้ว คุณหนูสกุลเจินคนนี้ไม่ได้เป็นคนที่จะหลอกได้ง่ายๆ เหมือนกับคุณหนูผู้ร่ำรวยทั่วไป เธอกลับทำให้รู้สึกว่าหากไม่ระวังสักนิดก็อาจจะตกลงไปในหลุมที่เธอขุดเอาไว้ได้
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของเขาดูเรียบนิ่ง เจินฉงอวิ๋นก็หัวเราะเล็กน้อย คล้ายเดาความคิดของเขาได้
“คุณโดนฉันขุดหลุมดักจนกลัวไปแล้วเหรอคะ วางใจเถอะค่ะ วันนี้ฉันได้ยินว่าคุณไม่สบาย ก็เลยมาเยี่ยมคุณเท่านั้นเอง”
เจินฉงอวิ๋นหยิบกล่องเครื่องประดับหนังกลับใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เธอวางเอาไว้บนตู้ข้างเตียง
“น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ อย่ารังเกียจเลยนะคะ”
เขาเคยเห็นแต่คนเอาดอกไม้เอาของกินมาเยี่ยมไข้ ไม่เคยเห็นคนเอาเครื่องประดับมาเยี่ยมไข้มาก่อน
หลิงซูว่า “ของขวัญที่คุณหนูเจินให้คงล้ำค่ามากแน่นอน ผมไม่กล้ารับหรอกครับ คุณเอากลับไปเถอะ วันนี้แค่คุณมาผมก็ดีใจมากแล้ว”
เจินฉงอวิ๋นหน้าง้ำทันที คล้ายอากาศเดือนหกที่จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกะทันหัน
“ของขวัญที่ฉันให้ไปแล้วไม่เคยรับคืนค่ะ ถ้าคุณไม่ชอบ เอาไว้ฉันไปแล้วค่อยทิ้งก็ได้ ไม่ต้องบอกฉันหรอก แล้วก็ที่ฉันทำความรู้จักกับคุณก่อนหน้านี้เพราะรู้สึกว่าคุณน่าสนใจมาก คุณไม่เหมือนคนอื่นที่พอเห็นสถานะของฉันก็มีท่าทีกล้าๆ กลัวๆ แต่วันนี้ทำไมพอคุณป่วยแล้วถึงได้กลายเป็นคนทำตัวสงวนท่าทีไม่สนุกสนานแล้วล่ะคะ”
ตอนที่มุมปากของเธอโค้งลง ให้ความรู้สึกเย็นชาไม่เหมือนเวลาปกติ
หลิงซูเคยพบพ่อของเจินฉงอวิ๋นมาก่อน เขาเคยเห็นแค่เพียงไกลๆ เดิมเขาคิดว่าเจินฉงอวิ๋นเหมือนแม่ แต่ตอนนี้พอดูแล้วกลับคล้ายคลึงผู้เป็นพ่อมากทีเดียว
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ยังคงยิ้มแย้มเหมือนปกติ
“คุณก็รู้ว่าผมป่วย เวลาป่วยจะมีแก่ใจมาเล่นอยู่ได้ยังไงล่ะครับ เอาไว้ผมหายป่วยแล้วค่อยไปเที่ยวเล่นกับคุณดีไหมครับ”
เจินฉงอวิ๋นพลันยกมุมปากขึ้นอีกครั้ง มุมปากนั้นโค้งขึ้นเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ดูสว่างสดใส
“ก็ดีอยู่หรอกค่ะ แต่วันนี้ฉันมาเยี่ยมคุณก็เพื่อมาบอกเรื่องหนึ่งกับคุณโดยเฉพาะ ฉันเห็นคุณเป็นเพื่อนที่ดีกับฉัน เพราะฉะนั้นฉันจึงจะบอกข่าวนี้แก่คุณเป็นคนแรกนะคะ”
หลิงซูใจเต้นโครมคราม เขารีบพูด “อย่าครับ! พ่อแม่คือคนใกล้ชิดที่สุด คุณเอาเรื่องนี้ไปบอกพวกท่านก่อนดีกว่าครับ!”
แต่ไม่ว่าเขาพูดอะไร เจินฉงอวิ๋นก็จะพูดของเธอต่อไป
“ฉันไปหลงรักผู้ชายที่มีภรรยาแล้วคนหนึ่ง อยากจะหนีไปด้วยกันกับเขาค่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีหนทางจะทำอย่างนั้น ที่บ้านก็เร่งให้ฉันแต่งงาน ฉันได้แต่คิดหาวิธียืดเวลาออกไปให้มากที่สุด ตั้งแต่วันนี้ไปเกรงว่าฉันจะยุ่งมาก คงไม่มีเวลาว่างมาพบคุณแล้วล่ะค่ะ!”
“ผมเหนื่อยแล้ว ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”
หลิงซูหลับตานอนลง เขาห่มผ้า ทำท่าเหมือนหลับไปอย่างสงบสุข
เจินฉงอวิ๋นก็ไม่ได้ใส่ใจ เธอโบกมือทำท่าบ๊ายบายแล้วก็หิ้วกระเป๋าจากไป
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็พักผ่อนมากๆ นะคะ!”
ทันทีที่เปิดประตู แสงแฟลชจากข้างนอกก็สว่างวาบขึ้นทันที
มีนักข่าวหลายคนรออยู่ข้างนอก พวกเขาชะเง้อชะแง้แล้วยังอยากจะยื่นกล้องเข้ามาด้วย
“คุณหนูเจิน! พูดอะไรสักหน่อยครับ ทำไมจู่ๆ วันนี้ก็มาเยี่ยมไข้ที่โรงพยาบาลนี้ล่ะครับ!”
“นั่นสิครับคุณหนูเจิน งานแต่งงานของคุณใกล้เข้ามาแล้ว เตรียมงานแต่งไปถึงไหนแล้วครับ”
“คุณหนูเจิน ให้สัมภาษณ์หน่อยได้ไหมครับ…”
หลิงซูได้ยินเจินฉงอวิ๋นยืนตอบนักข่าวเหล่านั้นอยู่หน้าประตู
“ฉันไม่ได้พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้เสียหน่อย มันเป็นสิ่งที่พ่อแม่กำหนดมาให้ทั้งนั้นล่ะค่ะ ยุคนี้แล้วสิ่งที่พ่อแม่จัดการให้ยังเป็นที่นิยมที่ไหนกันล่ะคะ คนที่ฉันชอบมานอนโรงพยาบาลฉันก็ต้องมาเยี่ยมเขาสิ!”
หลิงซู “…”
แน่นอนว่าตอนนี้เขาพุ่งออกไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจินฉงอวิ๋นก็คงจะทำให้คำโกหกนี้กลายเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ใครต่อใครรู้กันไปทั่วได้อย่างแน่นอน
แล้วเขาก็ยิ่งไปบอกนักข่าวตรงๆ ไม่ได้เข้าไปใหญ่ว่าเจินฉงอวิ๋นชอบคนอื่นอยู่ เพราะแม้แต่ชื่อของคนคนนั้นเขาก็ยังไม่รู้ เรื่องพวกนี้ต่อให้พูดไปก็ไม่มีความหมายอะไร
หลิงซูแค่ไม่คิดแม้แต่น้อยว่าผู้หญิงคนนี้จะบ้าระห่ำได้ถึงขนาดนี้ เธอนัดนักข่าวให้มาสุมหัวอยู่ข้างนอกเอาไว้ก่อนแล้ว เมื่อวินาทีก่อนยังพูดกับเขาอยู่เลยว่าเธอไปชอบผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว แต่วินาทีต่อมากลับพูดจาเหลวไหลกับนักข่าวเสียนี่
พวกนักข่าวฮือฮาขึ้นมาดังคาด พวกเขาผลัดกันถามถึงสถานะของหลิงซู
ที่จริงไม่ต้องมาไล่ถามอยู่ตรงนี้หรอก เพียงแค่ไปถามเอาจากทางพยาบาล ชื่อของหลิงซูก็คงจะลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำแล้ว
ถึงเวลานั้นทุกคนก็จะรู้ว่าคนรู้ใจที่คุณหนูเจินบอกว่ามาเยี่ยมด้วยตัวเองที่โรงพยาบาลนั้นก็คือเจ้าหน้าขาวที่เธอเชื้อเชิญอย่างมุ่งมั่นให้ไปเต้นรำเปิดฟลอร์ด้วยเมื่อคราวก่อนนั่นเอง
หลังจากงานเลี้ยงเต้นรำฉลองวันเกิดของเธอ เจินฉงอวิ๋นกับหลิงซูก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก คนนอกจึงค่อยๆ ลดความสนใจลงไป ตอนนี้เจินฉงอวิ๋นสร้างเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีแต่จะดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ กลับมาอีกเท่านั้น
เมื่อเรื่องนี้ลงหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าใครก็คงไม่เชื่อว่าจริงๆ แล้วระหว่างหลิงซูกับเจินฉงอวิ๋นนั้นเรียกว่าคนคุ้นเคยกันไม่ได้ด้วยซ้ำ
เจินฉงอวิ๋นทิ้งเพียงสองประโยคที่ฟังดูคล้ายจะจริงแต่ก็คล้ายไม่จริงนั้นเอาไว้แล้วก็จากไปอย่างสบายๆ
ทิ้งไว้เพียงนักข่าวกระเหี้ยนกระหือรือหลายคนที่อยากจะพุ่งเข้ามาหาหลิงซูเสียเหลือเกิน โชคดีที่พยาบาลรุดมาทันเวลาแล้วก็ไล่พวกเขาออกไป
ทำเอาหลิงซูเหงื่อตกเปียกชุ่มไปทั้งตัวทีเดียว
เจินฉงอวิ๋นคิดจะทำอะไรกันแน่ จู่ๆ ก็มาเยี่ยมเขาอย่างไม่ชอบมาพากล แล้วยังพูดอะไรไม่ชอบมาพากลแบบนั้นอีก
ถ้าเธอเพียงแค่อยากจะใช้หลิงซูเป็นระเบิดควันหลอกล่อ ตอนนี้ก็คงสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย
พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์น้อยใหญ่ก็คงจะลงข่าวว่าคุณหนูเจินไม่พอใจการแต่งงานที่ทางบ้านกำหนดให้ คนรู้ใจของเธอคืออีกคนหนึ่ง ผู้คนทั่วทั้งถนนใหญ่หรือตรอกซอกซอยเล็กๆ ก็คงจะสงสัยใคร่รู้ว่าหลิงซูที่คุณหนูเจินชอบนั้นวิเศษวิโสมาจากไหนกันแน่
ตอนนี้หลิงซูชักจะเสียใจอยู่หน่อยๆ แล้ว
ถ้ารู้แต่แรกว่าผู้หญิงคนนี้จะวุ่นวายขนาดนี้ เริ่มแรกที่เยวี่ยติ้งถังให้เขาไปเอาใจคุณหนูเจินให้พอเป็นพิธีนั้น เขาก็ควรจะหาข้ออ้างปฏิเสธไปเสีย
ถ้าไม่ได้ติดต่อพูดคุย เรื่องก็จะไม่เกิด แล้วก็จะไม่มีเรื่องราวในภายหลังตามมาเป็นพรวนเช่นนี้
มิน่าเล่าเยวี่ยติ้งถังจึงไม่สนใจการแต่งงานผูกสัมพันธ์กับคุณหนูเจินแม้แต่น้อย จะมีใครคบหากับผู้หญิงคนนี้แล้วยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกหรือไง
แต่ก็ไม่แน่ เพราะมักจะมีผู้ชายประเภทหนึ่งที่ไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นหรือตาย ยิ่งเป็นผู้หญิงที่ควบคุมได้ยากเท่าไหร่ก็ยิ่งปรารถนาจะควบคุมเธอ
เขาคิดฟุ้งซ่านไปพลางเหลือบมองตู้ข้างเตียงไปพลางโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตรงนั้นมีเครื่องประดับกล่องหนึ่งวางอยู่ ของขวัญที่เจินฉงอวิ๋นนำมาให้
หลิงซูค่อยๆ ยื่นมือไป เขาหยิบกล่องนั้นมาถือไว้ในมือ อยากจะเปิดแต่ก็ลังเล
เขามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่ตนถือเอาไว้ในมือนั้นคือกล่องแพนโดร่า หากไม่ระวังก็อาจจะมีภูตผีปีศาจออกมาจากกล่องนั้นได้
อย่างไรเสียมันก็คือของที่เจินฉงอวิ๋นนำมา อย่างไรก็อดระแวดระวังไม่ได้จริงๆ
นิ้วของเขาบีบฝากล่องเอาไว้ ค่อยๆ ดึงเปิดขึ้น ทว่าเพิ่งจะแง้มกล่องออกมาเท่านั้น ประตูห้องพักผู้ป่วยก็พลันเปิดออก!
หลิงซูตกใจ เขาเกือบโยนกล่องนั้นลงพื้น
คนที่เข้ามาไม่ใช่เจินฉงอวิ๋น
และไม่ใช่เยวี่ยติ้งถัง
แต่เป็นเจียงเหอ
วันนี้เขาเห็นผีเข้าแล้วจริงๆ
แขกที่ไม่คาดคิดยิ่งเป็นคนที่คาดไม่ถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ทีละคนๆ
บทที่ 64
“คุณเจียง คุณมาทำอะไร”
“ผมมาเยี่ยมไข้” เจียงเหอถอดหมวกจากนั้นก็วางไว้ข้างๆ “ดูคุณไม่ค่อยยินดีต้อนรับผมเลยนะ”
หลิงซูยิ้มเสแสร้ง “จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะครับ แต่คนอื่นเขามาเยี่ยมไข้ก็มักจะเอาของเยี่ยมมาด้วย คุณมามือเปล่า ดูไม่เหมือนมาเยี่ยมไข้เลย”
“ผมมีเหตุผล พอดีรีบ ก็เลยลืม” เจียงเหอคิดครู่หนึ่งก่อนล้วงเอาเงินดอลลาร์สหรัฐปึกเล็กๆ ออกมาวางบนโต๊ะ “ถือว่าเป็นความเคารพจากผมแล้วกัน รับไว้เถอะ”
คนคนนี้เป็นคนมือใหญ่ใจกว้างจริงๆ
หลิงซูยกนิ้วโป้ง ชื่นชมอย่างเปิดเผย “สาแก่ใจดีแท้!”
คนเราไม่มีเรื่องก็คงไม่ไปไหว้พระ เขายังไม่เชื่อว่าเจียงเหอจะมาเพียงแค่เยี่ยมไข้เขาเฉยๆ แต่อีกฝ่ายไม่เอ่ยปากก่อน หลิงซูก็ไม่ถาม
เจียงเหอเดินวนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยรอบหนึ่ง เขาก้าวไปถึงริมหน้าต่าง ซ่อนตัวเอาไว้หลังผ้าม่านครึ่งหนึ่งแล้วก็มองลงไปด้านล่าง
หลิงซูคิดว่าบางครั้งตนมองเห็นความเคยชินและคมดาบคมมีดที่ผ่านมาของเจียงเหอในกิริยาเหล่านั้นของอีกฝ่าย
หากคนทั่วไปยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ก็คงเพียงแค่มองออกไปกว้างๆ คงจะไม่ซ่อนตัวอยู่ครึ่งหนึ่งเหมือนพร้อมจะเร้นกายอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ ศัตรูอยู่ที่มืดฉันอยู่ที่สว่าง เหมาะแก่การลอบทำร้าย
มีแต่คนที่คมดาบเปื้อนเลือดบ่อยครั้งเท่านั้นที่จะเคยชินกับการเร้นกายในความมืด มีแต่คนประเภทนั้นที่จะระวังภัยอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
เจียงเหอคล้ายรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองเขาอยู่ด้านหลังจึงหันกลับไป
หลิงซูกำลังนั่งห่อตัวอยู่ในผ้าห่มบนเตียง พร้อมนับเงินดอลลาร์ปึกนั้น
เจียงเหอ “…”
เขาไม่เคยเห็นคนที่ยืดอกทำตัวไม่เกรงใจอย่างเปิดเผยแบบหลิงซูมาก่อน
แน่นอน เขายังไม่เคยเห็นใครเป็นฝ่ายปรี่เข้าไปเอาตัวคลุกคลีกับเรื่องไม่ดีตามชาวบ้านชาวช่อง อย่างที่ช่วยเขาหนีจากการไล่ฆ่าเพียงเพื่อจะสืบคดีด้วย
“ดูเหมือนคุณจะไม่สงสัยเลยนะว่าผมมาทำอะไร” เจียงเหอว่า
“ก็มาเยี่ยมผมไม่ใช่เหรอ” หลิงซูชูเงินในมือ “น้ำใจนี้ผมรับเอาไว้แล้วนะ บนโต๊ะมีแอปเปิ้ล ตามสบายเลย”
“นอกจากเงินดอลลาร์นั่นแล้ว ผมยังเอาข่าวสำคัญข่าวหนึ่งมาบอกคุณด้วย คุณต้องสนใจแน่”
หลิงซูไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ขอทราบรายละเอียด”
“เฉินโหย่วหวาตายแล้ว”
หลิงซูเงยหน้า ดูตกใจ “อะไรนะ!”
เจียงเหอว่า “คุณดูประหลาดใจมาก”
“แล้วทำไมผมจะไม่ประหลาดใจล่ะ”
“ผมคิดว่าคุณรู้นานแล้ว”
ตีให้ตายอย่างไรหลิงซูก็คงไม่ยอมบอกอีกฝ่ายหรอกว่าตัวเองน่ะไม่เพียงแต่ได้เห็นเฉินโหย่วหวาโดนฆ่ามากับตาตัวเอง แต่ยังเอาของบางอย่างมาจากตัวของเฉินโหย่วหวาด้วย
“ผมก็ต้องไม่รู้อยู่แล้วสิ ต้องขอบคุณที่คุณบอกผม! ถ้าอย่างนั้นก็แย่แล้วล่ะ เบาะแสอย่างหนึ่งขาดไปเสียแล้ว ถ้าอยากจะสืบว่าเหอโย่วอันโกหกหรือเปล่า ก็คงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสืบได้ความ”
เจียงเหอเอาเอกสารซองหนึ่งออกมาจากในเสื้อโค้ต เขาโยนมันลงบนเตียง
“นี่คือข้อมูลของเฉินโหย่วหวา คุณอาจจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้”
หลิงซูเปิดซองดึงเอกสารออกมา เขาพลิกดูเล็กน้อย
เอกสารในนั้นบันทึกคดีตอนที่เฉินโหย่วหวาทำงานในบริษัทหนังสือพิมพ์กับประสบการณ์ที่ผ่านมาเล็กน้อย มีประโยชน์จริงๆ ด้วย
“ขอบคุณนะ!”
หลิงซูโยนกล่องเครื่องประดับที่เมื่อครู่ไม่ทันได้เปิดดูไปให้เจียงเหอ
เจียงเหอรับไว้ เขาทำหน้าสงสัย
หลิงซูว่า “เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ นี่คือของขวัญตอบแทนของผม”
เจียงเหอขมวดคิ้ว
ที่เขาเอาเอกสารชุดนี้มาให้หลิงซูก็เพื่อตอบแทนน้ำใจในคืนนั้น
บุญคุณที่ช่วยชีวิต จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เจียงเหอไม่ชอบติดค้างหนี้น้ำใจใคร ถ้าคืนได้เขาก็ต้องคืนเสมอ แต่คนอย่างหลิงซูก็น่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ เพราะคนที่จืดชืดน่าเบื่อมากๆ ก็คงจะไม่เลือกหนีตายไปกับเขาตลอดทางอย่างนั้นหรอก
เจียงเหอเปิดกล่องเครื่องประดับ สีหน้าดูแปลกประหลาดทันที
“คุณให้ไอ้นี่ผมเหรอ”
“หือ?”
หลิงซูไม่อยากจะเปิดดูข้อมูลต่อหน้าอีกฝ่ายจึงเก็บเอกสารกลับเข้าซอง เขาเงยหน้า แล้วก็เห็นเจียงเหอหันกล่องเครื่องประดับมา
แหวนเพชรวงหนึ่งเด่นสะดุดตา
หลิงซู “…”
เจินฉงอวิ๋นคงจะไม่ให้แหวนหมั้นเขาหรอกใช่ไหม!
สตรีที่ยากคาดเดามีนับพันนับหมื่น คุณหนูเจินคนนี้คงจะถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่หญิงสาวเหล่านั้น
หลิงซูพบเจอผู้หญิงที่หลงใหลในตัวเขามามาก แต่น้อยนักที่จะพบเจอคนอย่างเจินฉงอวิ๋นคนนี้ เธอใช้เขาเป็นเกราะกำบังลูกธนู แต่ที่จริงกลับมีจุดประสงค์อื่น
ผู้ชายมีภรรยาแล้วที่เธอไปหลงรักนั้นเป็นใครกันแน่ ผู้ชายที่ทำให้เจินฉงอวิ๋นถูกตาต้องใจได้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนใหญ่คนโตมีอำนาจบาตรใหญ่ตำแหน่งสูงส่งก็ได้ แต่คนใหญ่คนโตอย่างนั้นจะมาเสี่ยงให้ชื่อเสียงพังพินาศโดยการไปจีบคุณหนูลูกเศรษฐีที่มีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้วได้อย่างไร
ผู้หญิงคนนี้ทิ้งแหวนเอาไว้ที่เขา หรือว่าจะคิดหนีการแต่งงานจริงๆ ผู้ชายที่เธอชอบคนนั้นจะไปกับเธอด้วยงั้นเหรอ
แหวนของเจินฉงอวิ๋นย่อมไม่ใช่ของห่วยๆ อยู่แล้ว ประกายของเพชรนั้นวิบวับจับตา สว่างจ้าจนหลิงซูต้องกะพริบตาด้วยความทนไม่ไหว หากดูจากการออกแบบแหวนแล้ว น่าจะเป็นฝีมือของนักออกแบบที่มาจากต่างประเทศ
แหวนที่ราคาไม่น้อยเช่นนี้ คุณหนูเจินนึกจะไม่เอาก็ไม่เอา เธอโยนมาให้เขาเหมือนเผือกร้อนลวกมืออย่างไรอย่างนั้น
“บุปผาโปรยมีใจ ธาราไหลไร้รัก ผมไม่ชอบผู้ชาย แหวนวงนี้คุณเอาไปให้คนอื่นเถอะ”
เจียงเหอเอ่ยอย่างเย็นชา พร้อมวางกล่องนั้นลง
หลิงซู “…”
แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่เข้าใจว่าเจินฉงอวิ๋นให้แหวนวงนี้มาด้วยจุดประสงค์อะไร แต่หลิงซูก็รู้สึกอยู่เนืองๆ ว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน สมองของเขาถึงกับมีคำต่างๆ ผุดขึ้นมามากมายด้วยซ้ำ อย่างเช่นคำว่ารับเคราะห์แทน หรือว่าเรียกร้องความสนใจทางหนึ่งเพื่อโจมตีอีกทางหนึ่ง
เขาไม่อยากให้ตัวเองเป็นเจ้าคนดวงซวยคนนั้นเลยสักนิด
ขณะกำลังคิดแต่งเรื่องราวอันน่าซาบซึ้งใจอย่างที่สุดเพื่อมาโน้มน้าวให้เจียงเหอรับแหวนวงนั้น ให้เขากลายเป็นแพะรับบาปตัวใหม่ ก็มีคนผลักประตูเข้ามา
หลิงซูกับเจียงเหอแทบจะหันไปมองที่ประตูพร้อมๆ กันทันที
ในสายตาของเยวี่ยติ้งถัง เขาเห็นคนหนึ่งนั่งพิงหัวเตียงอยู่ อีกคนยืนอยู่ข้างเตียง ในมือเปิดกล่องเครื่องประดับยื่นให้อีกฝ่ายครึ่งๆ กลางๆ
เยวี่ยติ้งถัง “…”
หลิงซู เจียงเหอ “…”
เยวี่ยติ้งถังเงียบไปครู่หนึ่ง
“ผมต้องออกไปจากที่นี่สักสองสามนาทีเพื่อให้เวลาพวกคุณอยู่กันเป็นการส่วนตัวไหม”
“ไม่ต้อง” คนที่ตอบคือเจียงเหอ เขายัดกล่องเครื่องประดับใส่มือหลิงซู “ผมไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน!”
เจียงเหอได้ยินที่หลิงซูเรียกเขาเอาไว้แต่ก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เขาก้าวยาวๆ หายลับประตูไปอย่างรวดเร็ว
เยวี่ยติ้งถังถาม “ในกล่องมีอะไร”
หลิงซูตอบอย่างมีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง “แหวนเพชร”
เยวี่ยติ้งถังมีสีหน้าแปลกประหลาดเหมือนกับเจียงเหอเมื่อครู่ไม่มีผิด
“ไม่คิดเลยนะว่านายจะโปรยเสน่ห์ใส่ผู้ชายแล้วด้วย”
“ไม่ใช่นะ ฉันเปล่า เหลวไหลทั้งเพ แหวนวงนี้ของเจินฉงอวิ๋นต่างหาก”
เยวี่ยติ้งถังขมวดคิ้ว “เจินฉงอวิ๋น? เธอมาทำไม”
หลิงซูเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ฟังรอบหนึ่ง
“นายรู้หรือเปล่าว่าผู้ชายมีภรรยาแล้วที่เธอชอบคือใคร”
เยวี่ยติ้งถังว่า “ไม่แน่ใจ บ้านฉันกับสกุลเจินไม่เคยไปมาหาสู่สนิทสนมกัน แค่เจอหน้าทักทายกันเท่านั้น ที่พี่สามแนะนำเธอให้ฉันก็มาจากการแนะนำของคนอื่นอีกต่อหนึ่ง พี่สามก็แค่ไม่สะดวกใจจะปฏิเสธเท่านั้นเอง”
หลิงซูมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ก็ต้องขอบคุณที่นายไม่ถูกใจเธอล่ะนะ ถ้านายไปชอบคุณหนูเจินคนนี้เข้าล่ะก็ เดี๋ยวเธอก็คงจะสวมเขาให้นายแน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นนายจะทำยังไง”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเย็นชา “ตอนนี้ดูเหมือนคนที่เธอสวมเขาให้จะเป็นนายนะ”
หลิงซูสำลัก
“เรามาคุยเรื่องอื่นกันเถอะ เจียงเหอเอาข้อมูลหนึ่งมาบอก เกี่ยวกับเฉินโหย่วหวา”
เหมือนง่วงแล้วมีคนเอาหมอนมาให้ อย่างไรอย่างนั้น
ที่เยวี่ยติ้งถังไปแล้วกลับมาใหม่ก็เพราะอยากให้หลิงซูไปคุยกับเจียงเหอ สอบถามเรื่องของเฉินโหย่วหวา
แต่ไม่คิดว่าเจียงเหอจะเป็นฝ่ายมาหาเอง
“เขารู้ว่าเฉินโหย่วหวาตายแล้ว?”
“รู้”
“ถ้าอย่างนั้นเขาคงจะไม่สงสัยนายหรอกใช่ไหม”
หลิงซูย้อนนึกดูแล้วก็ส่ายหน้า
“เขาถามแล้วล่ะ แต่ก็แค่พูดไปอย่างนั้น ที่เขามาวันนี้หลังจากรู้ข่าวการตายของเฉินโหย่วหวาแล้ว เพราะรู้ว่าฉันกำลังสืบคดีเหอโย่วอันอยู่ ก็เลยไม่อยากติดหนี้น้ำใจฉันน่ะ”
เยวี่ยติ้งถังดึงเอกสารข้อมูลปึกหนึ่งออกมา เขาพลิกดูเล็กน้อยแล้วก็อดเลิกคิ้วไม่ได้
“เจียงเหอนี่ก็เก่งอยู่เหมือนกันแฮะ”
หลายๆ อย่างหากสืบไปด้วยวิธีบนดินปกติก็อาจจะสืบไม่ได้ แต่เจียงเหอนั้นต่างออกไป คนที่อยู่ในมือของเขานั้นก็เหมือนกับสมาชิกสมาคมชิงปังที่มีอยู่ในทุกสาขาอาชีพทั่วนครเซี่ยงไฮ้อันกว้างใหญ่ โดยเฉพาะที่ท่าเรือ บ่อนพนัน โรงเต้นรำ โรงรับจำนำ สถานที่เหล่านี้มีทั้งคนดีคนเลวปะปนกัน จะยิ่งช่วยให้สืบหาข่าวต่างๆ ได้ง่ายดายที่สุด
บางทีลู่ถงชางอาจจะคิดว่าแขนขาของตัวเองคนนี้แข็งแกร่งเกินไป ตัวเขาเองอาจจะควบคุมไม่อยู่ จึงได้คิดจะฆ่าเสีย
“เฉินโหย่วหวาไม่ใช่ชื่อของเขาจริงๆ ชื่อจริงของเฉินโหย่วหวาคือเฉิงเฟิง เป็นอาจารย์สอนวิชาเคมีอยู่ที่โรงเรียนมัธยมซั่งไห่จิ่วอิง ตอนหลังเขาเอื่อยเฉื่อยไม่ก้าวหน้า เมื่อเกิดเหตุทะเลาะเบาะแว้งกับอาจารย์คนอื่นๆ จึงถูกเชิญออกไป หลังจากนั้นก็ไปทำงานที่บริษัทหนังสือพิมพ์ เปลี่ยนชื่อเป็นเฉินโหย่วหวา จนกระทั่งมาโดนไล่ฆ่าแล้วก็หายตัวไป”
“แล้วคนในครอบครัวของเขาล่ะ”
“ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนมัธยม ในประวัติเขียนเอาไว้ว่าเขาเป็นคนเมืองจี๋อัน มณฑลเจียงซี พ่อแม่ของเขามีลูกคนเดียวคือตัวเขาเอง เขายังไม่แต่งงาน การศึกษาจบชั้นมัธยมศึกษา แต่ไม่ได้บอกละเอียดว่าจบจากโรงเรียนอะไร ตอนที่เข้ามาทำงานอาจารย์ต้องสัมภาษณ์ เขาคงจะสัมภาษณ์ผ่าน ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นอาจารย์ไม่ได้ แต่คนคนนี้ก็คงจะมีปัญหาแน่ๆ ปกติแล้วถ้าจะสมัครงาน เขียนประวัติละเอียดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่เฉินโหย่วหวากลับทำอีกอย่าง นี่คือหนึ่งในจุดที่แปลก
นอกจากนี้แล้วจากที่เพื่อนอาจารย์ในโรงเรียนนั้นบอกมา เฉินโหย่วหวาจะพูดถึงคนในครอบครัวของตัวเองน้อยมากเวลาอยู่โรงเรียน นิสัยก็รักสันโดษไม่ชอบอยู่รวมกลุ่มกับคนอื่น แต่พอเขาไปทำงานที่บริษัทหนังสือพิมพ์กลับกลายเป็นคนที่ใจดีกับคนอื่น หน้าตาเป็นมิตรสนิทสนมได้ง่าย นายดูสิ เพื่อนร่วมงานที่บริษัทหนังสือพิมพ์ประเมินเขาเอาไว้ดีมาก บอกว่าเฉินโหย่วหวาเป็นคนมองโลกในแง่ดี ใจดี เป็นคนดีคนหนึ่ง นิสัยที่แตกต่างกันคนละขั้วแบบนี้ทำไมถึงปรากฏขึ้นในคนคนเดียวกันได้ล่ะ
ถ้าเฉินโหย่วหวาคือเฉิงเฟิงจริงๆ ก็มีคำอธิบายแค่อย่างเดียวแล้วล่ะ นั่นก็คือลักษณะนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเขาจงใจแกล้งทำ หรือไม่อย่างนั้น ความรักสันโดษกับความเป็นมิตรมองโลกในแง่ดีของเขาก็เป็นสิ่งที่เสแสร้งขึ้นทั้งหมด ไม่มีใครรู้นิสัยที่แท้จริงของเขา แล้วก็ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเขาก็เหมือนกับปริศนา มาตอนนี้เขาตายไปแล้ว ก็มีแต่จะต้องตามหาคนที่เกี่ยวข้องกับเขาเท่านั้น หรือไม่แน่ แม้แต่ชื่อเฉิงเฟิงก็อาจจะเป็นชื่อปลอมก็ได้”
เยวี่ยติ้งถังจมอยู่ในห้วงความคิด
หลิงซูเองก็ต้องการเวลาสำหรับจัดการความคิดเช่นกัน
ในเมื่อเจียงเหอเอาข้อมูลนี้มาตอบแทนน้ำใจของเขา ความน่าเชื่อถือของมันก็น่าจะมีไม่น้อยกว่าแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
“นายก็เลยสงสัยร้านหนังสือหมิงเต๋อ?” เยวี่ยติ้งถังถามขึ้นกะทันหัน
“ใช่ เจียงเหอกับฉันคาดเดาไว้ก่อนแล้ว เขาก็ให้คนสืบไปถึงร้านหนังสือหมิงเต๋อนั่นเหมือนกัน แล้วก็บังเอิญมากที่หลังจากเฉินโหย่วหวาตาย ฉันกลับมาจากหางโจว คืนนั้นร้านหนังสือหมิงเต๋อก็ปิดร้าน ที่หน้าประตูแปะประกาศเอาไว้ว่าเจ้าของร้านไปที่อื่น กำหนดกลับยังไม่แน่นอน ขอให้ลูกค้าเปลี่ยนไปอุดหนุนร้านอื่น”
แม้ว่าอย่างนี้จะเท่ากับร้านหนังสือหมิงเต๋อก็มีปัญหาบางอย่างเหมือนกัน แต่พวกเขาก็ไม่อาจสืบไปตามเส้นทางนี้ต่อได้อีกแล้ว
หลังจากวกไปวนมา ก็ยังคงเหลือเหอโย่วอันเพียงคนเดียว
เบาะแสทั้งหมดอยู่ที่ตัวเหอโย่วอันแค่คนเดียวเท่านั้น
“จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคิดไม่ตกเลยว่าทำไมเหอโย่วอันถึงต้องไหว้วานให้พวกเราสืบเรื่องจดหมายขู่ ถ้าทุกอย่างนี้มันเกี่ยวข้องกับตัวเธอเอง เธอทำแบบนี้ก็มีแต่จะทำให้เรื่องที่ไม่มีคนสนใจอะไรตั้งแต่แรก กลับดึงให้พวกเราสนใจขึ้นมา”
“มีความเป็นไปได้สองอย่าง” เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเรียบ “หนึ่งคือเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเหอโย่วอัน เธอไม่รู้ว่าเสิ่นสือชีอยากจะฆ่าเฉินโหย่วหวา แล้วก็ไม่รู้ว่าเฉินโหย่วหวาหลบหนีจากการลอบฆ่าไปได้ ทั้งคู่ปรากฏตัวขึ้นต่อเนื่องกันที่ร้านหนังสือแห่งนั้นเพราะความบังเอิญล้วนๆ”
“…”
“ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือเธอกับเฉินโหย่วหวาเป็นพวกเดียวกัน เธอดึงพวกเราเข้าไปเกี่ยวเพราะคิดว่าอาจจะลากพวกเราให้ซวยไปด้วยได้ถ้าถึงเวลาจำเป็น พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คงต้องบอกว่าผลักไสภาระบางอย่างให้มาอยู่บนหัวพวกเรา”
หลิงซูกล่าว “ฉันว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ภาพจำที่นายมีต่อเธอมันห่างไกลจากจุดที่ควรจะเป็นกลางไปมากแล้ว”
หลิงซูเอ่ยอย่างใสซื่อ “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าภาพจำที่นายมีต่อเธอมันดูมีอคตินะ”
“นายเคยพูดเองนี่ว่าถ้าเอาความบังเอิญทุกอย่างมารวมกัน มันก็ไม่ใช่ความบังเอิญแล้ว ตอนที่เฉินโหย่วหวาไปร้านหนังสือหมิงเต๋อ ทำไมเธอถึงได้ไปที่หางโจวพอดี แล้วหางโจวก็ใหญ่ออกขนาดนั้น ทำไมเธอต้องเลือกไปที่หมิงเต๋อด้วยล่ะ”
หลิงซูว่า “เฉินเหวินต้งอยากจะฆ่าฉัน กระดาษแผ่นนั้นเดิมทีเธอจะไม่ส่งมาก็ได้ แสดงว่าเธอก็ยังประสงค์ดีกับพวกเราอยู่บ้าง”
“นายใสซื่อเกินไป”
“เหล่าเยวี่ย ถึงจะบอกว่านิสัยคนเราอาจจะไม่ได้มีพื้นเพที่เป็นคนดีเสมอไป แต่จนถึงตอนนี้เหอโย่วอันก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการทำร้ายพวกเราเลยนะ ฉันคิดว่าเรื่องนี้เราน่าจะยังสืบหาเบาะแสจากตัวเธอได้อีกหน่อย”
“ไหนลองว่ามาซิ”
“ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ เฉินโหย่วหวาต้องมีพวกอีกแน่ ถ้าเขาเป็นคนฆ่าเสิ่นสือชีจริง พวกพ้องของเฉินโหย่วหวาน่ะอาจจะลงมือกับเหอโย่วอันก็ได้ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปเตือนเหอโย่วอัน ดูซิว่าเธอจะมีปฏิกิริยายังไง”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “ถ้าเธอไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ”
“เรื่องมองคนน่ะ ฉันมั่นใจเสมอแหละ”
ประโยคนี้เพิ่งจะพูดออกไปไม่กี่นาที หลิงซูก็เริ่มจะเสียใจเสียแล้ว
เขายืนอยู่นอกห้องพักฟื้นของเหอโย่วอัน ยืนจ้องตาอยู่กับบอดี้การ์ดสองคน
ในห้องมีเสียงความเคลื่อนไหวเหมือนกำลังย้ายของ ฟังดูเหมือนเหอโย่วอันไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ประตูปิดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลย คนที่เฝ้าประตูก็ไม่ยอมรายงานคนข้างใน หลิงซูได้แต่ยืนเสียเวลาอยู่ตรงนั้นต่อไป
จนกระทั่งนางพยาบาลมาเปลี่ยนยา เคาะประตูและเปิดประตู หลิงซูจึงใช้โอกาสนี้ตะโกน
“คุณเหอ ผมหลิงซูครับ ผมมาเยี่ยมคุณ!”
“ไอ้เวรนี่!”
“ทำอะไรน่ะ!”
บอดี้การ์ดสองคนโกรธใหญ่ พวกเขาเข้ามาหิ้วตัวหลิงซูทั้งซ้ายขวาเพื่อจะโยนออกไป โชคดีที่เหอโย่วอันได้ยินเข้าพอดี
“คุณหลิงเหรอคะ เชิญค่ะ”
หลิงซูผ่อนลมหายใจ เขารีบผลุบเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาจ้องเขม็งของบอดี้การ์ด
แต่เมื่อเขาเข้าไปแล้วจึงพบว่าในห้องนั้นมีกระเป๋าสัมภาระใบโตวางอยู่สองใบ คนรับใช้สองคนกำลังช่วยเหอโย่วอันเก็บข้าวของวุ่นวาย ของบางส่วนต้องรอให้เธอบอกว่าจะทิ้งหรือจะเก็บเอาไว้
“คุณเหอ จะเดินทางไกลหรือครับ”
“ใช่ค่ะ อีกไม่นานฉันจะไปจากเซี่ยงไฮ้แล้วล่ะค่ะ”
“ไปไหนครับ” หลิงซูถามทันที
“ยังไม่แน่นอนเลยค่ะ อาจจะเป็นฮ่องกงหรือต่างประเทศ คงเดินทางไปเรื่อยๆ ผ่อนคลายจิตใจน่ะค่ะ”
ไม่พบกันหลายวัน เหอโย่วอันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย และความเปลี่ยนแปลงนี้ยากที่จะพูดออกมาได้ชัดเจนด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำ
เหอโย่วอันก็ยังคงเป็นเหอโย่วอันคนนั้น หน้าตางดงามดังเดิม เรียบร้อยสุขุมดังเดิม
ถ้าบอกว่าเหอโย่วอันเมื่อก่อนนี้เหมือนกับดอกไม้ละลานตาที่กิ่งห้อยระย้าลงในธารน้ำ ดูงดงามสดใสและอ่อนโยน ดอกไม้ร่วงลงธาราไร้ที่พึ่งพิง บัดนี้เธอกลับเหมือนก้อนหินกลางกระแสธาร ไม่ว่าน้ำจะไหลเรื่อยผ่านข้างกายไปมากมายสักกี่ครั้ง ก้อนหินก็จะกักกั้นสายน้ำท่ามกลางจันทร์เต็มดวง เงาทอดกายแน่นิ่งแข็งแกร่ง ไม่เคยขยับไหว
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ช่างเล็กน้อยยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะหลิงซูไม่พบเธอหลายวันและสังเกตเธอเป็นพิเศษล่ะก็ เขาก็คงจะไม่รู้สึกถึงมันอย่างแน่นอน หรือถ้าเป็นคนที่หยาบกระด้างสักหน่อยก็คงจะไม่สังเกตเห็นเช่นกัน
“ทำไมถึงกะทันหันอย่างนี้ล่ะครับ คุณถ่ายหนังไปครึ่งเดียวเองไม่ใช่เหรอ” หลิงซูว่า
เหอโย่วอันชี้ผ้าพันแผลบนศีรษะตัวเอง
“คุณดูสิคะ ฉันเป็นอย่างนี้ยังจะถ่ายต่อได้อีกเหรอ หนังเรื่องนี้คงจะถ่ายไม่จบเสียแล้วล่ะค่ะ คงต้องเปลี่ยนตัวกะทันหัน คุณเฉิงกลัวว่าฉันจะหดหู่ก็เลยให้ฉันไปเที่ยวให้ทั่ว อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ ฉันน่ะอยู่เซี่ยงไฮ้มานานพอแล้ว ควรจะออกไปเปิดหูเปิดตาที่อื่นบ้าง”
“อย่างนี้ก็ดีครับ แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่ล่ะครับ”
“ภายในสองวันนี้ค่ะ”
หลิงซูประหลาดใจมาก
“รีบร้อนขนาดนี้เชียวเหรอครับ อาการบาดเจ็บของคุณยังไม่หายดีเลย น่าจะต้องพักฟื้นอีกหน่อยนะครับ”
เหอโย่วอันยิ้ม “ไปพักผ่อนบนเรือกลไฟก็เหมือนกันนั่นแหละค่ะ คุณเฉิงพาหมอประจำตัวไปด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็คงจะรักษาฉันได้ทันท่วงที”
“แต่…เครื่องมือแพทย์ต่างๆ ก็คงไม่เพียบพร้อมสะดวกสบายเหมือนที่โรงพยาบาลนะครับ”
“ก็พอใช้ได้อยู่ค่ะ ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว แค่ไม่หักโหมแบบตอนถ่ายหนังก็พอ ฉันทนได้ค่ะ”
หลิงซูรู้ในที่สุดว่าความเปลี่ยนแปลงของเหอโย่วอันอยู่ตรงไหน
เธอเย็นชาขึ้น สีหน้าแววตาก็ไม่ได้ดูมีชีวิตชีวาอีกแล้ว
หลิงซูไม่รู้ว่าเธอปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร แต่อย่างน้อยสำหรับเขา เธอก็ไม่ได้ดูอ่อนโยนเข้าถึงง่ายเหมือนกับก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก่อนจากกันผมก็มีอะไรอยากจะพูดกับคุณเหอสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณสะดวกไหมครับ”
เหอโย่วอันมองเขา จากนั้นก็สั่งสาวใช้สองคน “ฉันอยากกินส้มกับเกาลัดคั่วน้ำตาล พวกเธอออกไปซื้อมาให้หน่อยเถอะ เดี๋ยวค่อยกลับมาเก็บของก็ได้”
รอกระทั่งสาวใช้สองคนออกไป เหอโย่วอันก็หยิบถุงผ้าแพรใบเล็กออกมาจากกระเป๋าถือของตน
“คุณหลิงวางใจเถอะค่ะ เงินตอบแทนที่เคยรับปากเอาไว้ฉันไม่คืนคำแน่นอน นี่คือกุญแจตู้นิรภัยหมายเลข 7708 ของธนาคารฮุ่ยเฟิง ห้าวันให้หลังพวกคุณค่อยไปพบผู้จัดการธนาคารนะคะ เขาจะพาพวกคุณไปถอนเอาของในตู้นี้ออกมา”
“ทำไมต้องอีกห้าวันล่ะครับ”
เหอโย่วอันยิ้ม “ฉันกลัวว่าจะเตรียมให้ไม่ทันน่ะค่ะ เดี๋ยวจะไม่เหมาะสมกับความลำบากของพวกคุณสองคน รออีกสักสองวันให้เงินครบเรียบร้อยหน่อยดีกว่า”
หลิงซูว่า “พูดกันตรงๆ เลยนะครับ ตอนแรกที่ผมสืบคดีนี้ ผมทำเพื่อเงินรางวัลตอบแทนที่คุณเหอรับปากเอาไว้ก็จริง แต่หลังจากนั้นไม่ว่าคุณจะให้เงินตอบแทนหรือไม่ ที่จริงมันก็ไม่สำคัญแล้วล่ะครับ”
“ฉันเข้าใจค่ะ ตอนที่คุณช่วยชีวิตฉันที่งานฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ คุณก็คงไม่ได้ทำเพื่อเงินตอบแทนหรอก คุณหลิงเป็นคนจิตใจดีเอื้อเฟื้อ ฉันทราบมาตลอดและก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่นอกจากพวกเงินๆ ทองๆ ฉันก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะมีของอะไรอีกที่จะใช้แสดงความขอบคุณของฉันได้”
“แล้วถ้าผมอยากได้ความจริงล่ะครับ”
เหอโย่วอันตกใจมาก “ความจริงอะไรคะ”
หลิงซูมองเธอตรงๆ จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา “เฉินโหย่วหวาตายแล้ว”
เขาคิดว่าคำพูดของตัวเองจะทำให้เหอโย่วอันเปลี่ยนสีหน้าได้บ้าง
แต่ไม่มีเลย เหอโย่วอันยังคงดูงุนงง
“เฉินโหย่วหวาเป็นใครเหรอคะ”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เสิ่นสือชีก็ตายแล้วเหมือนกัน คุณรู้หรือเปล่าครับ”
“ฉันรู้ค่ะ”
“ใครบอกครับ”
เหอโย่วอันพูด “คุณเฉิงค่ะ เมื่อครู่เขาเพิ่งมา”
“คุณไม่มีอะไรอยากจะพูดเลยเหรอครับ”
เหอโย่วอันถอนหายใจ เธอเผยสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อย
“ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะคะ ความสัมพันธ์ของคุณเสิ่นกับฉันผู้คนก็รู้กันทั่ว ไม่ว่าตอนที่เขามีชีวิตอยู่จะเป็นอย่างไร อย่างน้อยคนตายไปก็เหมือนกับไฟดับมอด ฉันก็ได้แต่แสดงความเสียใจ ได้แต่สวดมนต์อธิษฐานให้เขา ขอให้เขาได้ไปสู่สุคติ ตายตาหลับ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 22 มี.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.