Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 65
เยวี่ยติ้งถังไม่ได้รีบไปไหน เขายังรออยู่ในห้องพักผู้ป่วยของหลิงซู รอผลการพูดคุยระหว่างหลิงซูกับเหอโย่วอัน
แต่เยวี่ยติ้งถังรู้ว่าแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์หลิงซูจะต้องกลับมามือเปล่า เหอโย่วอันคงจะแบ่งรับแบ่งสู้ แล้วก็ดึงตัวเองออกไปจากเรื่องนี้อย่างสะอาดสะอ้าน
ทว่าหลิงซูก็ไม่ได้โง่งม อย่างไรเสียก็คงจะได้อะไรมาบ้าง
เยวี่ยติ้งถังไม่มีอะไรทำ เขาจึงหยิบนิยายต่างประเทศขึ้นมานั่งอ่านอยู่ในห้อง
เขาเพิ่งจะอ่านนิยายถึงตอนที่มิสมอร์สแตน มาเยี่ยมเยียน หลิงซูก็กลับมาพอดี
ตอนที่ไป หลิงซูไปมือเปล่า ไม่ว่าของขวัญของเยี่ยมอะไรก็ไม่ได้เอาไปทั้งนั้น แต่ตอนกลับมาเขามีถุงเล็กถุงใหญ่ติดมือมาด้วยเต็มไปหมด
หลิงซูวางของทั้งหมดลง มีซี่โครงเป็ดตุ๋นซอส ม่ายหยาถัง ส้ม แล้วก็ดอกไม้สด ของเล็กน้อยหลายอย่างวางกองจนเต็มโต๊ะเล็กๆ ได้เลยทีเดียว
ในห้องพักผู้ป่วยมีแจกันดอกไม้เปล่าๆ อยู่ หลิงซูนำมาล้างให้สะอาดแล้วปักดอกไม้ลงไป ทำให้ห้องดูอ่อนหวานหอมละมุนขึ้นมากทีเดียว
“เหอโย่วอันให้นายมาหรือไง”
ไม่ว่าอย่างไรเยวี่ยติ้งถังก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเหอโย่วอันผู้สูงส่งจนดูไม่น่าลงมาเกลือกกลั้วในโลกมนุษย์จะหิ้วซี่โครงเป็ดตุ๋นซอสมาให้หลิงซู
หลิงซูบอกว่า “จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ ของพวกนี้ระหว่างทางที่เดินกลับมาฉันแวะหยิบมาจากห้องพักผู้ป่วยห้องต่างๆ ต่างหากล่ะ”
เมื่อเห็นเยวี่ยติ้งถังยังทำท่าเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หลิงซูก็อธิบายละเอียดยิบเหมือนนับทรัพย์สินตระกูลให้ฟัง
“ห้องข้างๆ ห้องเหอโย่วอันมีคุณนายคนหนึ่งอยู่ ครอบครัวของเธอฐานะดีมาก หัวใจมีปัญหานิดหน่อยหมอเลยให้เธอนอนโรงพยาบาล คนในครอบครัวของคุณนายไม่อยู่ มีคนรับใช้คนหนึ่งคอยรับใช้อยู่ข้างกาย คุณนายไม่สบายก็เลยอารมณ์ไม่ดี เธอยังด่าทอคนรับใช้ของเธออีกด้วย ฉันผ่านไปได้ยินเข้าก็เลยเข้าไปพูดกล่อมให้เธอเย็นลงนิดหน่อย คุณนายเธอเห็นฉันแล้วถูกชะตาก็พยายามจะพูดคุยกับฉันให้ได้ นอกจากนั้นก่อนออกมาเธอยังให้ส้มมาอีกสองถุง”
เยวี่ยติ้งถังว่า “นายกินไปถุงหนึ่งระหว่างเดินกลับมาเหรอ”
“ฉันไปที่ห้องข้างๆ อีกห้อง คนป่วยเป็นนายทหารที่ลาออกมาทำธุรกิจ เขาทำการค้าอยู่ในเซี่ยงไฮ้ กิจการรุ่งเรือง แถมมีทรัพย์สมบัติของตระกูลอยู่เล็กน้อย น่าเสียดายที่ไม่มีลูก เลยเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย พอเห็นฉันหิ้วส้มเข้าไปเยี่ยมก็อดรู้สึกดีใจขึ้นมาไม่ได้ บวกกับหน้าตาของฉันก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอยู่แล้ว คุยกันไปสักพักเขาก็เอาของเยี่ยมที่คนอื่นให้มาให้ฉันครึ่งหนึ่ง ทั้งยังทิ้งช่องทางการติดต่อเอาไว้ให้ฉันด้วย เรานัดกันแล้วว่าต่อไปถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้วมีเวลาว่างก็จะนัดพบกันอีก”
เยวี่ยติ้งถัง “…”
“ต่อจากนั้นฉันก็ไปห้องพักผู้ป่วยอีกห้อง พยาบาลเพิ่งจะฉีดยาให้คนไข้ห้องนั้นเสร็จกำลังออกไปพอดี คุณหนูลูกเศรษฐีน่ารักอ่อนหวานคนหนึ่งกำลังร้องไห้น้ำตาตกอยู่ในนั้น แม่กับคนรับใช้ปลอบยังไงก็ไม่ยอมหยุด พอฉันเข้าไปคุณหนูคนนั้นก็หยุดร้องไห้ทันที ฉันปลอบเธอจนเธอยิ้มแย้มเบิกบาน เอาแต่ดึงมือฉันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย จะเอาดอกไม้ให้ฉันให้ได้ สุดท้ายต้องให้แม่ของเธอกล่อมจนหลับไป ฉันเพิ่งจะปลีกตัวมาได้เมื่อกี้นี่ล่ะ”
เยวี่ยติ้งถังถามว่า “คุณหนูคนนั้นอายุเท่าไหร่”
“สี่ขวบ”
เยวี่ยติ้งถังไม่มีอะไรจะพูดกับอีกฝ่าย
หลิงซูเอ่ยอย่างมีความหมาย “นายคิดดูสิ คนที่จะเข้ามานอนโรงพยาบาลในชั้นเดียวกับเหอโย่วอันได้เนี่ยจะต้องรวยหรือไม่ก็สถานะดีเท่านั้นล่ะ ฉันไปเที่ยวดูมารอบนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลยแน่ๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือฉันทำความรู้จักกับพวกเขามาหมดแล้ว แล้วฉันยังแบ่งของพวกนี้ให้พยาบาลด้วย ต่อไปถ้าเข้ามานอนโรงพยาบาลอีกก็เท่ากับคุ้นเคยทั้งคนทั้งสถานที่แล้วไงล่ะ”
“…นายยังอยากจะมีครั้งหน้าอีกหรือไง”
หลิงซูหาว “พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดไปได้ กันไว้ดีกว่าแก้ล่ะน่า!”
เยวี่ยติ้งถังปิดหนังสือ เขาดึงบทสนทนาออกจากเรื่องไร้สาระ
“นายกับเหอโย่วอันพูดคุยกันเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ได้อะไร แต่ก็ไม่ถือว่าไม่ได้อะไรไปเสียทีเดียว” หลิงซูพูดคำที่เป็นไปได้ทั้งสองทาง จากนั้นก็เอากุญแจดอกนั้นมาวางบนโต๊ะ “ธนาคารฮุ่ยเฟิง ตู้นิรภัยหมายเลข 7708 เหอโย่วอันใส่ค่าตอบแทนของพวกเราไว้ในนั้น”
เยวี่ยติ้งถังมองกุญแจ “นอกจากนี้ล่ะ”
“เธอบอกว่าตัวเองไม่รู้จักเฉินโหย่วหวา เรื่องการตายของเสิ่นสือชีเธอก็เพิ่งรู้ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องราวทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับเธอเลย เธอเรียกตัวเองเป็นผู้เสียหาย นอกจากเรื่องเขียนกระดาษแผ่นนั้นเพื่อเตือนให้พวกเราระวังเฉินเหวินต้งแล้ว เธอก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เธอยังพูดด้วยว่าอีกสองวันจะออกเดินทางจากเซี่ยงไฮ้ไปพักผ่อนหย่อนใจที่ต่างแดนและยังไม่มีกำหนดกลับ”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “ถ้าอย่างนี้ก็เท่ากับไม่ได้อะไรเลยน่ะสิ”
“แต่ก่อนฉันจะไป เธอพูดอะไรแปลกมากๆ ออกมาอย่างหนึ่ง”
พูดมาถึงตรงนี้หลิงซูก็หยุด คล้ายจะคิดทบทวนคำพูดของเหอโย่วอันอีกครั้ง
“เธอบอกว่าคุณหลิงคะ ฉันแสดงหนังมาหลายปี แสดงมามากมายหลายเรื่อง และทิ้งรูปภาพจากในหนังเอาไว้ไม่น้อย รูปภาพทั้งหมดนั้นอยู่ที่คุณเถิงซื่อผิง ถ้าฉันไปแล้วพี่เขยของคุณสนใจล่ะก็ คุณไปถามเอากับประธานเถิงได้เลยนะคะ ฉันบอกเขาเอาไว้แล้ว ฉันให้คุณได้ทั้งหมดเลย”
เยวี่ยติ้งถังครางในลำคอ “พี่เขยนายเป็นแฟนภาพยนตร์ของเหอโย่วอันงั้นเหรอ”
“ที่แปลกก็อยู่ตรงนี้ล่ะ พี่สาวฉันต่างหากที่เป็นแฟนคลับของเธอ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ฉันไม่เคยพูดถึงพี่เขยเลย และถ้าดูจากอายุของเหอโย่วอันแล้ว ว่ากันตามเหตุผลก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องความจำนะ”
“ฉันคิดว่าเธอกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง”
หลิงซูพูดว่า “เธอเป็นคนฉลาดที่เข้าใจจิตใจของคนเป็นอย่างดี คงจะไม่พูดจาเหลวไหลก่อนที่จะจากกันหรอก ยิ่งไปกว่านั้น เท่าที่ฉันฟังดู เธอน่าจะไม่กลับเซี่ยงไฮ้อีกนาน หรือถ้าจังหวะเหมาะก็อาจจะอยู่ที่ฮ่องกงระยะยาวไปเลยก็ได้”
เหอโย่วอันยังเตือนเขาเป็นพิเศษด้วยว่าเมื่อเธอไปแล้วค่อยไปเอามา
ทั้งรูปถ่ายในภาพยนตร์ แล้วก็ของในตู้นิรภัยด้วย
เธอมีคำพูดอะไรที่ไม่สะดวกจะพูดต่อหน้าเขาหรือเปล่า อาจจะได้แต่ทิ้งถ้อยคำเอาไว้อย่างลึกลับและไม่ตรงไปตรงมา รอให้เขาตระหนักถึงมันได้ด้วยตัวเอง
หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเธอทนการดูถูกของเสิ่นสือชีไม่ได้อีกต่อไปจึงวางแผนฆ่าเขา จากนั้นก็หนีไปไกลแสนไกลพร้อมกับคุณเฉิง ไปจากผืนแผ่นดินนี้ แล้วตั้งแต่นี้ไปเธอจะเป็นอิสระท่ามกอีกฝ่ายลางท้องทะเลและท้องฟ้ากว้างใหญ่ แต่เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนเธอจึงทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้เขา เพื่อไม่ให้เขาเอาแต่ครุ่นคิดทั้งวันทั้งคืนจนลุ่มหลงขาดสติ
หลิงซูคิดว่าสมองของเขานั้นไม่นับว่าโง่เง่าเลย ทว่าเมื่อพบกับเหอโย่วอันเขาก็มักจะคิดไม่ออกไปเสียทุกครั้ง
ผู้หญิงคนนี้กอดผีผาบังหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง* ทุกครั้งที่เขารู้สึกว่ามองเห็นท่าทีของเธอชัดเจนแล้วก็จะกลับกลายเป็นเลือนรางไปอีก
เมื่อเธอไปจากเซี่ยงไฮ้ การตายของเสิ่นสือชีกับสาวใช้เฉียนก็อาจจะถูกกลบฝังอยู่ใต้พื้นดิน ไม่อาจตามสืบต่อไปได้อีก
“ดูท่านายคงจะได้แต่รอให้เธอไปก่อนแล้วค่อยหาคำตอบล่ะนะ”
หลิงซูหาว แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นจานเปล่าข้างๆ
“แอปเปิ้ลล่ะ”
เยวี่ยติ้งถังว่า “ฉันกินไปแล้ว เมื่อวานแอปเปิ้ลตั้งถุงใหญ่ทำไมเหลือลูกเดียวล่ะ”
“เมื่อวานฉันหิว ตอนบ่ายไม่มีอะไรกิน ตอนกลางวันแขกมาก็กินไปเยอะเลย”
“ส่วนใหญ่นายกินไปมากกว่าล่ะมั้ง แบบนี้ยังคิดจะออกจากโรงพยาบาลเร็วๆ อยู่ไหม”
หลิงซูยิ้มพลางว่า “ไม่ออกจากโรงพยาบาลก็ได้นะ เพราะลุงโจวเอาข้าวเอาซุปร้อนๆ มาให้ฉันทุกวัน ฉันว่ามันก็ไม่ต่างจากอยู่บ้านเท่าไหร่”
ได้อยู่โรงพยาบาลคราวนี้ชักจะติดใจแล้วล่ะสิ
เยวี่ยติ้งถังขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย เขาลุกขึ้นโดยหยิบหนังสือไปด้วย
“ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวลุงโจวคงจะไปต่อรองกับหมอ ถ้านายไม่เป็นอะไรมากก็จะจัดการทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้”
“หัวหน้าเยวี่ย” หลิงซูเรียกเขาเอาไว้ “มีเรื่องหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรจะถามดีหรือเปล่า”
เยวี่ยติ้งถังชะงักฝีเท้าแล้วหันมา
หลิงซูพูดด้วยท่าทางใสซื่อ “พรุ่งนี้ฉันยังต้องไปทำงานหรือเปล่า”
เยวี่ยติ้งถังไม่อยากจะพูดอะไรอีกแม้แต่ครึ่งประโยค เขาหันกายจากไปทันที
เมื่ออีกฝ่ายไปแล้วหลิงซูก็หัวเราะพรืด เขาส่ายหน้า หยิบส้มขึ้นมาแกะเปลือกช้าๆ
ก็เหมือนกับที่เยวี่ยติ้งถังพยายามจะสืบเสาะรู้เรื่องของเขาโดยละเอียดทุกวิถีทางนั่นล่ะ เขาเองก็ชอบหยอกอีกฝ่ายอยู่บ่อยๆ คอยสืบเสาะเรื่องเกี่ยวกับเยวี่ยติ้งถังไปทีละก้าวๆ
สองคนมีปฏิสัมพันธ์กันราวกับการเต้นแทงโก้ ถ้าไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งก้าวเข้ามา อีกฝ่ายหนึ่งก็ก้าวเข้าไป
คล้ายมิตรแต่ก็คล้ายศัตรู หัวหน้ากับลูกน้อง เพื่อนเก่าสมัยก่อน สถานะมากมายซับซ้อน ขยับย้ายไปมาระหว่างชิดใกล้กับหนีห่าง ราวกับรักษาสมดุลเล็กๆ เอาไว้
หลังจากเยวี่ยติ้งถังไปได้ไม่นาน แพทย์กับลุงโจวพ่อบ้านชราก็มา
คาดว่าเพราะสองวันมานี้เขาไม่รู้จักควบคุมตัวเอง กินอะไรมั่วซั่ว แพทย์วินิจฉัยแล้วก็บอกว่าร่างกายของเขายังไม่ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ อุณหภูมิยังขึ้นลงอยู่ที่ 38 องศา ยังต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการอีกสองวัน
พ่อบ้านส่งสายตาตำหนิมาให้ หลิงซูจึงยอมคืนซี่โครงเป็ดตุ๋นซอสกับส้มที่ยังไม่ทันได้กินไปแต่โดยดี สายตาของพ่อบ้านนั้นราวกับเหยี่ยว แม้แต่ส้มที่เขาซ่อนเอาไว้ใต้หมอนก็ยังค้นเจอได้ เป็นอันว่าสมบัติที่หลิงซูซ่อนเอาไว้ทั้งหมดถูกค้นออกไปจนเกลี้ยง สุดท้ายก็ได้แต่อาศัยโจ๊กอ่อนๆ กับผักดองประทังชีวิต ทำให้เขายิ่งรู้สึกหดหู่ขึ้นไปอีก
ผลของการกินโจ๊กก็คือหลังจากเข้าห้องน้ำไปสองสามรอบเขาก็เริ่มจะหิวอีกแล้ว แต่ค้นทั่วห้องก็ไม่เจอของกิน ได้แต่รีบเอนกายลงนอนแล้วห่มผ้าเสีย ในหัวจินตนาการอย่างลมๆ แล้งๆ ถึงอาหารโอชะเต็มโต๊ะ ทั้งปลิงทะเล เป๋าฮื้อ หูฉลาม กระเพาะปลา เขาได้แต่ทนหิวแล้วเข้านอนไป
หลังจากสะลึมสะลืออยู่ครึ่งค่อนคืน หลิงซูก็ตื่นขึ้นมาเพราะปวดปัสสาวะ
รอบด้านไร้เสียง นอกหน้าต่างว่างเปล่าเงียบสงบ มีเพียงพื้นที่ตรงข้างเตียง…คล้ายมีคนอยู่
ความรู้สึกนี้ลึกลับอย่างมาก ยากจะใช้ถ้อยคำมาอธิบายให้ชัดเจน แต่เมื่อเราหลับตาแล้วข้างกายมีคนอื่นอยู่ เราก็จะรู้สึกได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้หลิงซูกำลังรู้สึกแบบนั้น
เขาว่ากันว่าโรงพยาบาลมีคนเป็นเข้ามาคนตายออกไป งานศพก็มีให้ได้เห็นที่นี่จนเป็นเรื่องปกติ เมื่อนานวันเข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีดวงวิญญาณกี่ดวงที่วนเวียนอยู่ในยามค่ำคืน ไม่อาจทำใจจากโลกมนุษย์ไป
แล้วเขาก็ว่ากันอีกว่าโรงพยาบาลนี้เมื่อก่อนเคยเป็นสุสาน ภายหลังค่อยสร้างเป็นโรงพยาบาล วิญญาณเร่ร่อนมากมายไม่มีที่ไป ก็ถือเอาโรงพยาบาลนี้เป็นบ้าน ยามดึกดื่นไร้ผู้คนก็ย่อมเป็นเวลาที่ ‘พวกเขา’ จะออกมาเคลื่อนไหว
ขนทุกเส้นในร่างกายลุกชัน
หลิงซูหยุดหายใจ ตั้งใจจะไม่เผลอพลิกตัวไปง่ายๆ ดวงตาที่หลับอยู่ค่อยๆ หรี่เปิดเป็นช่องเล็กๆ
ตรงขอบเตียงที่แสงจันทร์ส่องเข้ามา คล้ายมีเงาดำเลือนรางอยู่เงาหนึ่ง
แล้วมือข้างหนึ่งก็เคลื่อนลงมากะทันหัน
หลิงซูอยากจะขยับ แต่กลับขยับไม่ได้เสียแล้ว!
เขาถูกบีบคอ!
บทที่ 66
ความรู้สึกขาดอากาศหายใจที่มาเยือนอย่างกะทันหันทำให้หลิงซูหายใจไม่ออก!
เขาเหวี่ยงขาเตะอีกฝ่ายโดยไม่ต้องคิด แต่เขาลืมไปว่าร่างกายท่อนล่างยังห่มผ้าอยู่ การเตะครั้งนี้จึงลดทอนแรงลงไปมาก
อีกฝ่ายเพิ่มแรงขึ้นอีกจนแทบจะโถมทั้งตัวลงมากดบนร่างของหลิงซู
เสี้ยววินาทีนั้น เขารู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีดวงดาวสีทองพร่าพราย เกือบจะอ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง ทว่าสติสัมปชัญญะตึงเปรี๊ยะที่อยู่ลึกลงไปในสมองก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา
เขาดีดตัวเป็นร้อยเป็นพันครั้งราวกับปฏิกิริยาธรรมชาติของร่างกาย ปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ฝึกฝนขึ้นจากการผ่านความเป็นความตายหลายต่อหลายครั้ง และมันก็เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้นับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน
หลิงซูใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางจิ้มเข้าไปที่ลิ้นปี่ของอีกฝ่าย!
ฉับพลันเหมือนกระแสไฟตรงเข้าจุดอ่อน!
ไม่ใช่ผี แต่เป็นคน
เงาตะคุ่มนั้นเจ็บปวด มันส่งเสียงร้องก่อนจะถอยไปข้างหลัง แรงที่ส่งมานั้นก็คลายลงด้วย
หลิงซูอาศัยโอกาสนี้เปิดขีดจำกัดพลังของตัวเองออก เขาดีดตัวขึ้นมาจากเตียงแล้วพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้าม
อีกฝ่ายถูกกระโจนเข้าใส่จนล้มลงไปทันที ทั้งคู่ลงจากเตียงมาอยู่ที่พื้น
เมื่อหลิงซูแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผีแล้วย่อมไม่ต้องเกรงใจอีกต่อไป เขาเหวี่ยงหมัดออกไปโดยใช้แรงเก้าส่วน
แต่เมื่อหมัดพุ่งไปถึงกลางทางก็พลันหยุดชะงัก!
หลิงซูอาศัยแสงสลัวทำให้มองเห็นปืนกระบอกหนึ่ง ปากกระบอกปืนจ่ออยู่ที่หว่างคิ้วของเขา
ส่วนคนที่ถือปืนอยู่นั้น…
“เฉินเหวินต้ง!”
เดิมทีคนนี้เป็นคนขับรถที่เสิ่นสือชีส่งมาขับรถให้เหอโย่วอัน เขาไม่ได้เป็นเพียงคนขับรถเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่คอยช่วยเสิ่นสือชีทำงานสกปรกด้วย รายชื่อคนที่ต้องการลอบฆ่าซึ่งส่งให้เหอโย่วอันนั้นน่าจะไม่ใช่ฉบับแรก และคงจะไม่ใช่ฉบับสุดท้าย
หลิงซูยังจำได้อีกว่าเขาเคยคุยกับเยวี่ยติ้งถังเอาไว้ เรื่องที่เสิ่นสือชีเป็นคนค้าขายและยังเป็นถึงพวกลูกคนรวย หากรู้สึกขัดหูขัดตาใครก็แค่ให้สมุนในแก๊งไปจับคนนั้นใส่กระสอบถ่วงแม่น้ำหวงผู่ก็พอ เท่านี้ก็นับว่าเป็นการแก้แค้นที่รุนแรงที่สุดแล้ว การลงทุนไปให้พวกคนในวงการอันธพาลลอบฆ่านับว่าเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนเสียเปล่าๆ ไม่แน่ว่าหนึ่งในคนที่จะลอบฆ่าอาจมีเงาของคุณเฉิงคนนั้นพาดทับอยู่ก็เป็นได้
การตายของสาวใช้เฉียนเป็นจุดเปลี่ยนจุดหนึ่ง
เหอโย่วอันเริ่มสงสัยเฉินเหวินต้ง เธอเอาข้อสงสัยนั้นมาบอกพวกหลิงซู จากนั้นก็ยังส่งคำเตือนมาอีก บอกให้พวกหลิงซูระวังเฉินเหวินต้ง
เรื่องราวดำเนินมาเรื่อยๆ เหมือนจะยืนยันคำพูดของเธอ เหอโย่วอันได้รับบาดเจ็บ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด และวันนั้นจุดตรงใต้คานที่พังลงมาก็เป็นตำแหน่งที่คุณเฉิงยืนอยู่ก่อนหน้านั้นพอดี หลังจากนั้นเฉินเหวินต้งก็เหมือนไอน้ำลอยหายไปในฝูงชน ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ไม่ได้ไปหาเหอโย่วอัน แต่ปรากฏตัวขึ้นในห้องพักผู้ป่วยของหลิงซู
“อย่าขยับ อย่าส่งเสียง ไม่อย่างนั้นฉันยิงแน่!”
น้ำเสียงโหดเหี้ยมที่จงใจกดให้เบาลงนั้นฟังดูน่ากลัวในค่ำคืนมืดมิดอันสงบเงียบ มันฟังดูคล้ายสัตว์ป่าจนตรอกตัวหนึ่ง
“ฉันไม่ขยับก็ได้” หลิงซูถอนหายใจ “แต่นายกับฉันไม่ได้มีเรื่องแค้นเคืองกัน นายฆ่าฉันแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
“ตอนนี้ฉันโดนไล่ฆ่า!” เฉินเหวินต้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหด “มันเป็นเพราะแกทั้งนั้น!”
“พี่เฉิน นายก็มาโทษฉันเสียได้ เรื่องนี้น่ะคุณเหอไหว้วานให้ฉันตามสืบแท้ๆ เลยนะ ฉันได้รับการไหว้วาน เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อคนอื่น แล้วฉันจะไม่ทำอย่างสุดความสามารถได้ยังไงกันล่ะ ความแค้นมีคนก่อ ทำไมนายไม่ไปหาคุณเหอแต่กลับมาหาฉันได้เล่า”
คืนนี้ไม่มีลม หลังเมฆมีพระจันทร์ นอกหน้าต่างมีแสงไฟ
แสงส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา หลิงซูเห็นว่ามือของอีกฝ่ายที่ถือปืนอยู่นั้นกำลังสั่น ไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่เพราะความประหม่า
ตอนนี้เฉินเหวินต้งกำลังประหม่าอย่างมาก เนื่องจากที่หน้าผากของเขามีเหงื่อออกเล็กน้อย แม้แต่ปลายจมูกก็ยังไม่เว้น ฝ่ามือคงจะชุ่มเหงื่อจนลื่นแน่นอน
เขากำลังประหม่าเรื่องอะไร
หลิงซูคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากฆ่าเขาหรอก ไม่อย่างนั้นก็คงจะยิงเขาแต่แรกแล้ว
ไม่อยากฆ่า หมายความว่าเฉินเหวินต้งยังไม่ได้ขาดสติไปเสียทีเดียว ยังพอเหลือพื้นที่ให้ต่อรองได้บ้าง
หลิงซูไม่อยากเสี่ยงกับฝีมือการยิงปืนของอีกฝ่าย
เวลานี้เฉินเหวินต้งกำลังถอยหลังไปทีละนิด สองคนห่างกันในระยะปลอดภัย เพียงพอจะให้หลิงซูกระโจนเข้าไปโจมตีแล้วถูกอีกฝ่ายยิงตายได้
ดูจากวิธีที่เฉินเหวินต้งจับปืน อีกฝ่ายก็น่าจะเป็นมืออาชีพด้านการใช้ปืนคนหนึ่ง เมื่อครู่การใช้มือของเขาไม่เลวเลย ยิ่งพิสูจน์ได้ดีว่าเขาไม่ได้เป็นแค่คนขับรถธรรมดา
คนขับรถของดาราภาพยนตร์คนหนึ่ง มีฝีไม้ลายมือเก่งกาจเด็ดขาดขนาดนี้ ก็นับว่าตัวตนของเขาแปลกประหลาดพออยู่แล้ว
พักนี้หลิงซูนอนโรงพยาบาลหลายครั้งเข้า เขาก็ไม่อยากจะเห็นเข็มน้ำเกลือและไม่อยากดมกลิ่นยาฆ่าเชื้ออีกต่อไปแล้ว ต่อให้นางพยาบาลสวยแค่ไหนก็ไม่ไหวหรอก
ที่น่ากลัวที่สุดก็คืออีกไม่นานหลิงเหยาพี่สาวของเขาก็จะกลับมาแล้ว ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บอะไรอีกล่ะก็ คงจะต้องเจอกับคำบ่นผสมอาการร้องไห้สะอึกสะอื้นของหลิงเหยาอีกแน่ๆ
“มีอะไรก็นั่งลงพูดจากันดีๆ ดีกว่า ฉันพอจะช่วยอะไรนายได้บ้างไหมล่ะ”
หลิงซูพยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงเพื่อไม่ให้ไปกระตุ้นอีกฝ่าย
“นายดูสิ ฉันยังไข้ขึ้นนอนโรงพยาบาลอยู่เลยนะ ให้ฉันใส่เสื้อทับอีกชั้นก่อนได้ไหม”
เฉินเหวินต้งไม่ขยับเขยื้อน
หลิงซูได้แต่พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันก่อน ใครจะฆ่านาย เหอโย่วอันงั้นเหรอ ฉันขอคิดก่อนนะ เธอไม่น่าจะมีอิทธิพลขนาดนั้นนี่นา เสิ่นสือชีก็ตายไปแล้ว อย่างนั้นก็เหลือแค่คุณเฉิง เขาส่งคนมาฆ่านายเหรอ ทำไมล่ะ”
เขาเห็นเฉินเหวินต้งยังคงไม่ส่งเสียงเช่นเดิม แต่เขาก็พูดต่อไป
“ฉันว่านะ นายมาหาฉันกลางดึกอย่างนี้ น่าจะไม่ได้มาเพื่อเอาปืนจ่อฉันแล้วก็ยิงทิ้งในนัดเดียวหรอกใช่ไหม ชีวิตต่ำต้อยของฉันมันคงไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่ แต่ในใจนายมีความโกรธที่ไม่สามารถสงบลงได้ มีแต่ความเคียดแค้นอยู่เต็มอก อย่างนี้ก็คงจะหาทางออกไม่ได้แล้วล่ะ”
“…”
“คุณเฉิงเป็นคนที่มีอิทธิพลมากคนหนึ่ง ถ้าเขาสั่งให้คนมาไล่ฆ่านาย อย่างนี้เรื่องก็คงไม่ง่ายแล้ว เว้นเสียแต่ว่านายจะอธิบายความเข้าใจผิดนี้ให้ชัด…”
พูดมาถึงตรงนี้หลิงซูก็พลันมีความคิดวาบขึ้นในสมอง
“เพราะฉะนั้นที่นายมาถึงโรงพยาบาลก็ไม่ได้จะมาหาฉัน แต่ว่านายจะมาหาเหอโย่วอันต่างหาก หรือว่ามาหาคุณเฉิงล่ะ คุณเหอออกจากโรงพยาบาลแล้วงั้นเหรอ นายถึงหาเธอไม่เจอแล้วมาหาฉันที่นี่แทน!”
ในที่สุดชื่อเหอโย่วอันก็ทำให้เฉินเหวินต้งมีปฏิกิริยาขึ้นมา
“ที่วันนี้ฉันร่วงลงมาถึงจุดนี้ได้ เป็นเพราะเหอโย่วอันคนเดียว! ฉันไม่ได้มีเรื่องอะไรกับคุณเฉิง แล้วก็ไม่เคยวางแผนลอบฆ่าอะไรนั่นด้วย เหอโย่วอันต่างหากที่ทำแล้วก็โยนทุกอย่างมาให้ฉัน ให้คุณเฉิงเชื่อว่าฉันเป็นหนอนบ่อนไส้คนนั้น!”
เฉินเหวินต้งมีสีหน้าเคียดแค้น ราวกับตรงหน้าของเขาคือเหอโย่วอัน
หลิงซูสังเกตได้ว่าท่าทางของเขาดูทรุดโทรมราวกับเพิ่งรอดตายมาจากสมรภูมิ อาการตื่นตระหนกยังไม่คลายลง จิตวิญญาณยังยากจะสงบได้
“ถ้าอย่างนั้นคนที่คิดจะฆ่าฉันก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่นายน่ะสิ”
เฉินเหวินต้งสะดุ้ง
“เสิ่นสือชี เขาให้ฉันทำ!”
หลิงซูว่า “ทำไมเสิ่นสือชีถึงคิดจะฆ่าฉัน”
“นายไปล่วงเกินเขาในงานเลี้ยง เขาก็เกลียดนายเข้ากระดูกดำแต่แรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีสกุลเยวี่ยขวางอยู่เขาก็คงฆ่านายไปนานแล้ว!”
หลิงซูไล่ถามไม่เลิกรา “แล้วเฉินโหย่วหวากับเซียวจวิ้นล่ะ สองคนนี้คนหนึ่งเป็นพนักงานบริษัทหนังสือพิมพ์ อีกคนหนึ่งเป็นช่างตัดเสื้อ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับเสิ่นสือชีสักนิด ทำไมเขาต้องฆ่าสองคนนั้นด้วย”
เฉินเหวินต้งหอบหายใจแรง แต่ไม่พูดอะไร
หลิงซูพูดต่อ “พี่เฉิน ตอนนี้คนของคุณเฉิงตามหาตัวนายให้ทั่วไปหมด เขาคงไม่ฟังนายอธิบายหรอก อีกไม่นานคุณเหอก็จะตามเขาไปไกลแล้ว อย่าว่าแต่จะไปหาเลย แม้แต่จะพูดอะไรสักคำนายก็อาจจะไม่ทันได้พูดด้วย มีแต่จะตายด้วยปืนของคนที่คุณเฉิงส่งมานั่นแหละ ถ้าตอนนี้นายยังอยากจะมีชีวิตอยู่ วิธีเดียวคือต้องบอกทุกเรื่องให้ฉันฟัง เบื้องหลังฉันมีสกุลเยวี่ย มีกรมตำรวจประจำนคร ไม่ว่ายังไงก็ยังพอจะคานกับทางคุณเฉิงได้ รักษาชีวิตนายเอาไว้ได้อยู่นะ”
หลิงซูย่อมไม่ได้มีกรมตำรวจประจำนครเป็นหลักให้พึ่งพิงอยู่แล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเยวี่ยติ้งถังจะยื่นมือมาช่วยหรือไม่ แต่เวลานี้วินาทีนี้เขาได้แต่พูดโม้ไปให้น่าเชื่อถือ ถ้าจะดึงหนังเสือมาทำธงผืนใหญ่ก็ต้องทำให้อีกฝ่ายนิ่งเสียก่อน
แต่ใครจะรู้ว่าเฉินเหวินต้งกลับไม่ซาบซึ้งกับคำพูดของเขาสักนิด
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้! พวกนายคานอำนาจคุณเฉิงไม่ได้หรอก! อิทธิพลของเขาไม่ใช่สิ่งที่นายจะจินตนาการได้เลย!”
หลิงซูสงสัย เขาพูดไปตามที่อีกฝ่ายพูด “ไม่หรอกมั้ง ต่อให้คุณเฉิงเส้นสายใหญ่โตแค่ไหน ยังไงก็คงมีอิทธิพลอย่างคนค้าขายคนหนึ่ง อย่างมากก็คงพอจะมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกทหารญี่ปุ่นอยู่บ้าง จะไปมีอิทธิพลคับฟ้าขนาดนั้นได้ยังไง อย่าบอกนะว่าเขาเป็นอาคนเล็กของคุณเจี่ยง เขาไม่ได้สกุลซ่ง เสียหน่อย!”
เฉินเหวินต้งหัวเราะเสียงเย็น “คุณเจี่ยงแล้วยังไง เขาไม่ได้แซ่เฉิงด้วยซ้ำ! เขาแซ่เฉิงเถียน ชื่อจริงคือเฉิงเถียนกง!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 24 มี.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.