Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีแล้ว”
เมื่อเข้าประตูมา เขาก็ได้ยินเยวี่ยติ้งถังพูด
หลิงซูชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
ถ้าเยวี่ยติ้งถังไม่ได้เอ่ยเตือนขึ้นมา เขาก็คงลืมไปแล้วจริงๆ ว่าคืนนี้เป็นคืนสิ้นปี
เพราะตัวเขานั้นต้องเข้าไปพัวพันกับคดีนี้ และเพราะการตายของตู้อวิ้นหนิง ทำให้สองวันมานี้เขาต้องวิ่งวุ่นไปมา หลิงซูเกือบลืมไปแล้วว่าก่อนออกจากบ้านวันนี้หลิงเหยาผู้เป็นพี่สาวยังกำชับให้เขารีบกลับบ้านมารับประทานอาหารพร้อมหน้ากันด้วย
ตอนนี้ที่บ้านคงทำอาหารเอาไว้เต็มโต๊ะ พี่เขยคงจะเลิกงานกลับมาบ้านแล้ว สองคนนั้นคงจะนั่งพร้อมอยู่ที่โต๊ะ เหลือเพียงที่นั่งของหลิงซูเท่านั้นที่ว่างเปล่า
หากพวกเขายังไม่อาจหาฆาตกรตัวจริงของคดีนี้ให้พบโดยเร็วแล้วดำเนินคดีตามกฎหมายล่ะก็ เกรงว่าสกุลหลิงอาจจะไม่สงบสุขยิ่งกว่านี้เสียอีก
อย่างไรเสียเวลานี้ก็ยังมีเยวี่ยติ้งถังอยู่ทั้งคน เอาไว้กลับไปบ้านก็ค่อยใช้เยวี่ยติ้งถังเป็นข้ออ้างแล้วกัน
ในร้านกาแฟนั้นเงียบเหงา มีชาวตะวันตกนั่งรับประทานอาหารอยู่โต๊ะเดียวเท่านั้น
ไม่ว่ามีเงินหรือไม่มีก็ล้วนกลับบ้านไปฉลองปีใหม่
ในฐานะที่เป็นเมืองอันเจริญรุ่งเรืองที่สุดในตะวันออกไกล วันสิ้นปีของเซี่ยงไฮ้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากวันสิ้นปีของที่อื่นๆ ในประเทศจีนมากนัก
ฟ้ายังไม่ทันมืด คนเดินไปมาบนท้องถนนก็เริ่มบางตาลง ตอนนี้ข้างนอกยิ่งเงียบสงบขึ้นไปอีก คล้ายกับว่าเพียงชั่วครู่เดียวผู้คนทั่วทั้งเซี่ยงไฮ้ต่างก็เร้นกาย ไม่ยอมแม้แต่โผล่หน้าออกมา
ทว่าร้านกาแฟซินเยวี่ยกลับยังคงเปิดให้บริการตามเวลาทำการปกติ
บริกรคนหนึ่งถือตะกร้าขนมปังเดินออกไป
หลิงซูหันไปมอง เขาเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ริมถนน กำลังแบ่งขนมปังให้ขอทานสองสามคน
“คุณครับ นี่เมนูนะครับ คุณทั้งสองลองดูก่อน ถ้าต้องการอะไรก็กดกริ่งบนโต๊ะเรียกพนักงานได้เลย ผมจะรีบมาครับ อันนี้น้ำมะนาวแบบอุ่น ดื่มแก้กระหายก่อนนะครับ”
พวกเขาเพิ่งจะเข้าประตูมาก็มีบริกรสองคนมาต้อนรับ บริกรเหล่านั้นรับหมวก ผ้าพันคอ และเสื้อโค้ตของพวกเขาไป พร้อมพาไปมุมที่เงียบสงบ ทั้งจุดเทียนบนโต๊ะให้สว่าง และยังส่งเมนูอาหารให้อีกด้วย
เยวี่ยติ้งถังเปิดเมนูแล้วอ่านดูเล็กน้อย
อาหารตะวันตกแท้ๆ นั้นยากจะได้รับความนิยมจากลูกค้าในประเทศจีน แม้ว่าที่นี่จะเป็นเขตเช่าสาธารณะก็ตาม ร้านกาแฟซินเยวี่ยนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น ในเมนูล้วนเป็นอาหารที่ผสมผสานกันระหว่างแบบจีนกับแบบตะวันตก อย่างเช่นพาสต้าเนื้อวัวมะเขือเทศไข่ เขาไม่มีทางสั่งอาหารชนิดนี้แน่นอน แต่ก็พอจะจินตนาการได้ว่าอาหารชนิดนี้คงจะมีลูกค้าสั่งไม่น้อยแน่ ไม่อย่างนั้นเถ้าแก่คงไม่ใส่เอาไว้ในใบเมนูหรอก
“ขนาดวันสุดท้ายของปีพวกคุณก็ยังไม่ปิดร้านกันเหรอครับ” หลิงซูถามบริกร
บริกรยิ้มพลางว่า “เถ้าแก่ของพวกเราบอกว่าช่วงปีใหม่ทุกร้านก็คงจะปิดกันหมด แต่คงมีหลายคนที่ไม่ได้กลับบ้าน อย่างไรที่นี่ก็มีที่ให้หลบลมหลบหิมะ ให้ลูกค้าได้เข้ามาพักสักครู่น่ะครับ”
หลิงซูถามต่อ “งั้นพวกคุณก็ไม่ได้กลับบ้านกันด้วยสิ”
“พวกเราเป็นคนที่ไม่มีญาติพี่น้อง หรือไม่ก็มาดิ้นรนทำมาหากินกันที่นี่คนเดียวทั้งนั้น โชคดีที่เถ้าแก่รับพวกเราเอาไว้ จะกินจะนอนก็อยู่ที่นี่ สะดวกมากเลยครับ”
ระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยกัน เยวี่ยติ้งถังก็เลือกอาหารได้แล้ว
“เอาอาหารชุดนี้แล้วกัน สเต๊กเนื้อสตริปลอยน์ย่างถ่าน สุกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ของหวานเอาเป็นไอศกรีมแตงน้ำผึ้ง”
“ได้ครับคุณผู้ชาย แล้วคุณผู้ชายท่านนี้รับอะไรดีครับ”
หลิงซูเงียบกริบ บริกรก็ไม่กล้าเร่งเร้า ยืนรออย่างอดทน
เยวี่ยติ้งถังมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็พบว่าหลิงซูข้ามหน้าอาหารชุดในเมนูไป เขาพลิกไปที่ตอนท้ายสุดของเมนูในหน้าของหวาน สายตาไม่ขยับไปไหนแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปทีละนาที ทีละวินาที หลิงซูก็ยังเหมือนยอดฝีมือที่ยืนนิ่งอยู่บนยอดเขา รอชักดาบพิฆาตเมือง ถ้าศัตรูไม่ขยับ เขาก็ไม่ขยับ คล้ายเป็นรูปสลักไม้ที่อยู่คู่ฟ้าคู่ดิน
เยวี่ยติ้งถังทนมองต่อไปไม่ไหว ในที่สุดเขาก็ทำลายความเงียบ
“มื้อนี้ฉันเลี้ยง”
แววตาของหลิงซูดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับตัวเขาได้ชีวิตใหม่อีกครั้ง
“เอาชุดบะหมี่อบกุ้งมังกร ของหวานเอาชีสมิลเฟย ไอศกรีมราสเบอรี่ พุดดิ้งสตรอเบอรี่ แล้วก็ขอแชมเปญสักขวดนะครับ”
เยวี่ยติ้งถัง “…”
บริกรเหมือนได้รับอิสระ เขารีบรับคำแล้วจากไปทันที
เยวี่ยติ้งถังจึงเอ่ย “ทำไมไม่สั่งของหวานที่นี่ห่อกลับบ้านด้วยเลยล่ะ”
หลิงซูเอนพิงพนักอย่างเกียจคร้าน “นายคิดว่าฉันจงใจเอาเปรียบนายเหรอ พี่สาวฉันทำอาหารเต็มโต๊ะรอฉันกลับไปกินอยู่นะ แต่ถ้าตอนนี้เราออกตัวถามหาเถ้าแก่เลยก็จะดูน่าสงสัยเกินไป แล้วก็ทำให้เขาระแวงง่ายด้วย ถ้าเขาเป็นคนดีแสนดีอย่างที่พวกเพื่อนบ้านพากันพูดถึงจริง เห็นพวกเราสั่งมากขนาดนี้ต้องออกมาห้ามแล้วล่ะ ถึงเวลานั้นเราก็จะได้มีโอกาสคุยไง”
เยวี่ยติ้งถังยังไม่ได้คิดไปถึงขั้นนี้ เขาไม่ทันตั้งตัวไปชั่วขณะ
หลิงซูเห็นดังนั้นก็ยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง เชิดหน้าเล็กน้อย “คิดไม่ถึงล่ะสิ คุณชายใหญ่ผู้สูงส่งกว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างนายจะเข้าใจวิธีการอะไรแบบนี้ได้ยังไง สุดท้ายก็ต้องให้ยอดฝีมือออกโรงอยู่ดี”
เหนือศีรษะของเขามีดาบแห่งดาโมเคลส ที่อาจจะหล่นลงมาได้ทุกเมื่อแขวนอยู่ แต่ก็ยังทำท่าลำพองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากเป็นคนอื่นที่เข้าใกล้ความตายขึ้นทุกขณะ แถมคดียังไม่มีเบาะแสอะไรเลยแบบนี้ คงมีแต่จะหวาดผวาจนทนไม่ได้อีกแม้แต่วันเดียว อย่าว่าแต่จะทำตัวใจเย็นหาทางออกอยู่อย่างนี้เลย
“ตอนนั้น” เมื่อเห็นท่าทางเขาเป็นแบบนี้ เยวี่ยติ้งถังก็ค่อยๆ เอ่ย “ที่สกุลหลิงเกิดเรื่อง สกุลตู้ซ้ำเติมให้บ้านนายยิ่งลำบากมากขึ้นใช่หรือเปล่า”
หลิงซูนิ่งงันหุบยิ้ม “ทำไมจู่ๆ ก็ถามเรื่องนี้ล่ะ ฉันลืมไปนานแล้ว อีกอย่างควรจะเคารพคนตาย ตู้อวิ้นหนิงตายไปแล้ว เรื่องพวกนี้ก็หายไปเหมือนหมอกควัน ไม่ต้องพูดถึงหรอก”
“หลายปีมานี้ชีวิตนายยังดีอยู่ใช่ไหม”
“ทำไม ศาสตราจารย์เยวี่ยจะหางานให้ผมงั้นเหรอครับ”
เยวี่ยติ้งถังว่า “ฉันช่วยฝากฝังให้นายได้ แต่นายจะไม่ยอมไปน่ะสิ”
“ก็ใช่ ฉันว่าตอนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรหรอก”
“นายก็เคยไปเรียนที่ต่างประเทศนี่ สุดท้ายกลับมาทำงานตำแหน่งเล็กๆ แบบนี้ ไม่เสียดายหรือไง”
“ก็เฉยๆ นะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่พ่อฉันยังอยู่ ตอนที่สกุลหลิงยังรุ่งเรือง พ่อก็คงจะช่วยจัดการอะไรให้ฉันอย่างที่ท่านอยากทำนั่นล่ะ ได้งานเงินเดือนดีๆ ที่หนานจิงก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าฉันไปเรียนต่างประเทศหลายปีก็ไม่ได้มีความรู้อะไรจริงจังเท่าไหร่หรอกนะ ไปๆ มาๆ ภาษาต่างประเทศก็ได้แค่ไม่กี่ประโยค ถ้าให้ทำงานตำแหน่งสำคัญๆ จริงๆ ฉันก็รับผิดชอบไม่ไหวหรอก ไม่สู้เป็นอย่างตอนนี้ ทำไปตามคำสั่ง ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในสถานีตำรวจ ใช้เวลาสบายๆ ไปวันๆ คนตั้งมากมายอยากทำตรงนี้ก็ทำไม่ได้หรอกนะ”
เมื่อโดนอากาศอุ่นๆ ในอาคารค่อยๆ ปรับอารมณ์ น้ำเสียงของหลิงซูก็นุ่มนวลขึ้น ไม่เร็วไม่ช้า เหมือนไม่มีเรื่องอะไรทำให้เขาเกิดคลื่นอารมณ์ที่เปลี่ยนสีหน้าได้
แต่เยวี่ยติ้งถังรู้สึกว่าสิ่งนี้อาจเป็นแค่การเสแสร้ง
หลิงซูในอดีตชอบเอาชนะ ตอนนี้แม้จะเก็บความทระนงเอาไว้ข้างใน ทำมาหากินรอวันตายไปเรื่อยๆ แต่คนเราตั้งแต่สามขวบไปจนแก่เฒ่านั้นแก้ไขพื้นนิสัยเดิมได้ยาก ในใจของหลิงซูอาจจะไม่ได้พอใจที่ต้องมีชีวิตไปวันๆ เช่นนี้
“ถ้าตู้อวิ้นหนิงคิดได้เหมือนกับนาย ก็อาจจะไม่มีจุดจบอย่างวันนี้ก็ได้”
หลิงซูในอดีตสปิริตแรงกล้า แถมยังเป็นคนที่โชคดี แม้จะถูกคาดเดาได้อย่างง่ายดาย
หลิงซูในตอนนี้ดูเหมือนไร้ชีวิตชีวา ทั้งยังเก็บบางอย่างลึกลงไปทำให้คนอื่นมองไม่ออก
หลิงซูเอ่ย “ตู้อวิ้นหนิงไม่เหมือนฉัน ต่อให้เธอไม่ได้ใจตรงกับหยวนปิง แต่เธอก็ชอบใช้ชอบกินของดีๆ สิ่งรบกวนใจทั้งหมดก็แค่เรื่องสามีรักหรือไม่รักเธอ กรงอันหรูหราจะมีโซ่ตรวนน้อยลงสักสองสามเส้นแล้วเพิ่มสีสันที่งดงามหน่อยได้หรือเปล่า ถ้าพูดจากหลายๆ มุมเธอก็ยังใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนกับเมื่อก่อน ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”
“ในเมื่อตอนนั้นเธอทำตามที่ครอบครัวจัดการให้โดยการแต่งงานกับหยวนปิง แล้วทำไมตอนหลังถึงได้แตกหักกับที่บ้านได้ล่ะ”
“หยวนปิงเป็นคนยังไงนายก็คงเห็นแล้ว พอแต่งงานไปแล้วสกุลตู้เกิดเรื่อง พวกเขาก็หวังว่าสกุลหยวนจะยื่นมือมาช่วย ตอนนั้นหยวนปิ่งเต้าตายไปแล้ว หยวนปิงก็ไม่ยอมช่วย ลูกชายคนโตสกุลตู้ก็ตรอมใจตายเพราะเรื่องนี้ ตั้งแต่นั้นมาสกุลตู้ก็ตัดขาดกับตู้อวิ้นหนิง ไม่ติดต่อไปมาหาสู่กันอีก”
เยวี่ยติ้งถังไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ตอนแรกเขายังคิดว่าคนในครอบครัวของตู้อวิ้นหนิงมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฆาตกร แต่ตอนนี้พอฟังหลิงซูเล่าเขาก็ตัดความเป็นไปได้นั้นออกไปเลย
ระหว่างพูดคุยกันอยู่นั้นอาหารก็มาเสิร์ฟ
ว่ากันตามจริงฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวที่นี่ก็ธรรมดา แต่เพราะทั้งคู่วิ่งวุ่นไปมาอยู่ครึ่งวันจึงหิวมาก อาหารมื้อนี้พวกเขากินหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ระหว่างกินก็ไม่ได้สนใจจะหารือกันเรื่องคดีอีก
จนกระทั่งของหวานมาเสิร์ฟ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็พาบริกรมา
“สวัสดีปีใหม่ทั้งสองท่านล่วงหน้าเลยนะครับ!”
อีกฝ่ายสุภาพเรียบร้อย แม้ว่าจะสวมชุดตะวันตกแต่ก็ยังประสานมือทักทายด้วยความเคยชิน ท่าทางดูเป็นแบบคนจีน
“ต้องขออภัยที่รบกวนนะครับ กระผมแซ่หลี่ เป็นเจ้าของที่นี่ ต้องขอขอบพระคุณทั้งสองท่านที่มาอุดหนุน ทั้งสองท่านคงจะเพิ่งมาครั้งแรกใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ พวกเราเป็นคนของมหาวิทยาลัย วันนี้ออกมาธุระข้างนอกกันน่ะครับ” เยวี่ยติ้งถังว่า
“ที่แท้ก็เป็นคนของมหาวิทยาลัยนี่เอง เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว!” เถ้าแก่หลี่รีบประสานมือ “ผมเห็นทั้งสองท่านสั่งของหวานกันค่อนข้างมาก เกรงว่าหากรับประทานหลายอย่างติดกันแล้วอาจจะเลี่ยนได้ จึงเสียมารยาทมาเตือนทั้งสองท่านสักหน่อย ทั้งสองท่านอย่าได้มองผมแปลกเลยนะครับ!”
เยวี่ยติ้งถังยิ้มพลางเอ่ย “คนอื่นค้าขายก็มีแต่พยายามขายให้ได้มากหน่อย แต่คุณกลับมาบอกให้พวกเราสั่งอาหารน้อยลงหน่อยเหมือนกลัวของจะขายออกมากเกินไป คนค้าขายที่คุณธรรมสูงส่งอย่างคุณมีไม่มากแล้วนะครับ”
เถ้าแก่หลี่เอ่ยอย่างเกรงใจ “ดูพูดเข้าสิครับ ค้าขายน่ะต้องรักษาความซื่อสัตย์น่าเชื่อถือเอาไว้อย่างเคร่งครัดที่สุด ถ้าผมไม่เตือนก็เท่ากับทำหน้าที่ไม่เต็มที่ หากลูกค้าได้สติขึ้นมาวันไหนอาจจะไม่กลับมาอุดหนุนร้านเราอีกเลยก็ได้ ถ้ามองกันในระยะยาวผมก็คงจะขาดทุนแล้วล่ะครับ”
หลิงซูว่า “อย่างนั้นของหวานหลายอย่างที่สั่งมาผมรบกวนคุณห่อกลับบ้านให้หน่อยได้ไหมครับ เดี๋ยวตอนกลับบ้านผมจะได้เอากลับไปให้คนที่บ้านลองชิม”
เถ้าแก่หลี่อึ้งไป “ไม่มีปัญหาครับ!”
ไม่นานของหวานทั้งหลายก็ถูกนำไปห่อและนำมาให้พวกเขา ที่ด้านนอกของกล่องใบเล็กมีเส้นไหมผูกเอาไว้ด้วย ยังมีการ์ดใบเล็กๆ เขียนว่าปีใหม่นี้ขอให้พบแต่สิ่งมงคล ดูใส่ใจเป็นอย่างมาก
ต่อให้คนที่พบเจอพวกชอบทำอะไรมากมายใหญ่โตเกินจริงมาจนเคยชินอย่างเยวี่ยติ้งถังก็ยังรู้สึกว่าถึงอาหารที่ร้านนี้จะไม่อาจเรียกได้ว่ารสเลิศ แต่ด้วยทัศนคติการบริการแบบนี้ของเจ้าของร้าน ก็คงจะทำให้มีลูกค้ากลับมาใช้บริการในครั้งต่อๆ ไปมากมายแน่นอน ลูกค้าพวกนี้พอจะเป็นตัวหนุนยอดธุรกิจของร้านกาแฟแห่งนี้ได้
ระหว่างนั้นเถ้าแก่หลี่ปลีกตัวออกไปทักทายคนต่างชาติอีกโต๊ะหนึ่ง เมื่อทั้งคู่รับประทานอาหารกันเกือบเสร็จแล้วจึงค่อยกลับมา
“ทั้งสองท่านล้วนเป็นคนที่มีการศึกษาสูง ไม่ทราบว่ากระผมจะรบกวนให้ทั้งสองท่านช่วยเขียนข้อความในสมุดเยี่ยมคนดังของทางร้านได้หรือเปล่าครับ”
“พวกเราคงไม่เหมาะกับคำว่าคนดังหรอกครับ แค่เป็นคนสอนหนังสือเท่านั้นเอง” เยวี่ยติ้งถังโบกมือ
เถ้าแก่หลี่ยิ้มพลางเอ่ย “ผมก็พูดอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวไปอย่างนั้น กระผมแซ่หลี่ความรู้ตื้นเขิน รู้แค่เรียนหนังสือมามาก ได้รับการอบรมมาสูงส่งก็ถือเป็นคนมีเกียรติ เลยอยากจะให้คนเหล่านี้ทิ้งรอยหมึกเอาไว้บ้าง เอาไว้กลับบ้านไปจะได้ให้พวกหลานๆ ดูและเรียนรู้กันน่ะครับ”
เยวี่ยติ้งถังจึงบอกว่า “ถ้าคุณไม่รังเกียจ พวกเราก็ไม่เกรงใจนะครับ”
เถ้าแก่หลี่ดีใจอย่างยิ่ง เขารีบไปหยิบสมุดเยี่ยมมาส่งให้ด้วยตัวเอง
เยวี่ยติ้งถังรับมาดูแล้วก็พบว่าในนั้นมีชื่อคนที่เขาคุ้นเคยอยู่หลายคนจริงๆ บางทีถ้ามองในระดับประเทศอาจจะไม่ได้นับว่าเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังนัก แต่สำหรับหาดเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ก็นับว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง
เขาใช้ปากกาหมึกซึมเขียนบนหน้าว่างเปล่าด้านหลังว่า ‘แขกมาเยือนเหมือนได้กลับบ้าน’ แล้วก็เซ็นชื่อตัวเองลงไป จากนั้นก็พลิกเรื่อยเปื่อยไปข้างหน้าสองสามหน้า
ลายเซ็นที่เขาคุ้นเคยสะท้อนเข้ามาในม่านตา
‘ดั่งได้รับความกรุณา
ตู้อวิ้นหนิง’
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 1
วางจำหน่ายที่ร้าน JamClub, เว็บไซต์ Jamsai Store และร้านหนังสือทั่วไป
Comments
comments
No tags for this post.