บทที่ 2
สองสามวันต่อมา ไอโม่ซินกำลังยุ่งอยู่กับการติดตามเบาะแสของคดีบางอย่าง ทีมนั้นไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเขา แต่เมื่อเขาได้อ่านข้อมูลแล้วรู้สึกว่าคดีนี้มีปัญหานิดหน่อยเลยเดินทางไปยังที่เกิดเหตุด้วยตนเอง จนสามารถจับผีอายุมากที่คอยสร้างความวุ่นวายอยู่ที่นั่นมานานนับสิบกว่าปีได้ แถมเขายังบังเอิญได้พบกับผู้ตายในคดีนี้ด้วย อีกฝ่ายจึงพยายามสุดชีวิตในการขอร้องให้เขาพาตนออกไปเพื่อแก้แค้นด้วยตัวเอง
แต่เป้าหมายการแก้แค้นที่ผู้ตายโหยหาอยู่ตลอดนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการตายของเขาโดยตรง ไอโม่ซินอธิบายเหตุผลให้ผู้ตายฟังอยู่ครึ่งค่อนวันเขาก็ยังคงดื้อดึงไม่ยอมละทิ้งความคิด สุดท้ายไอโม่ซินทำได้เพียงจากมาท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของอีกฝ่าย โดยวางแผนไว้ว่าจะจัดการต้นสายปลายเหตุของคดีนี้ให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน
คดีนี้สืบสวนมาห้าหกวันแล้ว ในวันที่สี่ เฉินซื่อจวินถึงได้รู้ว่าไอโม่ซินคอยตามเบาะแสคดีนี้อยู่ทุกวัน เขาจึงวิ่งไปถามไอโม่ซินว่าคดีนี้มีปัญหาหรือเปล่าด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแก้ปัญหาในที่เกิดเหตุหมดแล้ว ถึงคนตายจะยังจงใจก่อกวนอยู่ที่นั่น แต่เรื่องนั้นพวกคุณไม่ต้องยุ่งหรอก มันไม่เป็นอุปสรรคแน่นอน” ไอโม่ซินโงหัวที่กำลังมุดอยู่ในรายงานคดีขึ้นมาสารภาพแล้วก้มหน้าก้มตาพิจารณาต่อไป
เฉินซื่อจวินยิ้มแห้งพลางคิดว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้พวกเด็กในแผนกรู้เลยจะดีกว่า เมื่อเห็นไอโม่ซินตั้งอกตั้งใจอ่านเอกสารขนาดนั้นเขาก็ตบไหล่อีกฝ่ายก่อนพูดขึ้นว่า “อย่าหักโหมมากเกินไปเลย นายดูหัวหน้าหน่วยของพวกนายสิ เอาแต่พักผ่อนอยู่ตรงนั้นทุกวี่ทุกวัน ถ้าไม่โดดงานไปกินกาแฟก็ใช้คอมพิวเตอร์ในกรมเล่นเกมปลูกผัก จะขยับตัวก็ต่อเมื่อฉันเรียกเท่านั้นแหละ เพราะงั้นนายเลียนแบบเขาก็ได้”
“คุณไม่เคยกินกาแฟของผมหรือไง?!” เจียงเฉิงฟางโผล่หัวออกมาด่าสาดเสียเทเสียจากด้านในห้องทำงาน
“แค่ก ฉันไปก่อนนะ ถ้าคดีนี้มีปัญหาก็มาหาฉันได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” เฉินซื่อจวินพูดจบก็รีบเผ่นหนีไป
ไอโม่ซินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ หันไปก็เจออวี๋จิ้งเอินเอ่ยถามด้วยสีหน้าอิจฉาตาร้อน “หัวหน้าหน่วยครับ เมื่อไหร่ผมจะได้กินกาแฟบ้างล่ะ”
“พิมพ์รายงานให้เสร็จก่อนเถอะ!” ในที่สุดเจียงเฉิงฟางก็มีคนให้เรียกใช้แล้ว เขาถลึงตามองอีกฝ่ายโดยไม่เกรงใจสักนิด
อวี๋จิ้งเอินหดคอกลับแล้วหันไปพิมพ์รายงานต่อ ไอโม่ซินอยากจะถอนหายใจ อวี๋จิ้งเอินแทบจะเป็นคนจัดการเอกสารของหน่วยคดีพิเศษทั้งหมด เขาอยากทำงานเอกสารสักหน่อยเจียงเฉิงฟางก็ไม่ให้เขาทำ ไอโม่ซินจึงวางแผนว่าอีกเดี๋ยวจะออกไปข้างนอกแล้วเอากาแฟกลับมาปลอบใจอวี๋จิ้งเอิน
“ผมจะไปสถานที่เกิดเหตุอีกรอบนะครับ” ไอโม่ซินตะโกนเข้าไปในห้องทำงานหัวหน้าหน่วยและออกไปพร้อมกับสายตาอิจฉาตาร้อนของอวี๋จิ้งเอิน เขาลงมาจากชั้นสาม ยังไม่ทันถึงชั้นสองก็ได้พบกับเจี่ยงหนิงซวน
“…พอดีเลย ฉันจะได้ไม่ต้องเดินไป อันนี้ให้นาย” เจี่ยงหนิงซวนตกใจนิดหน่อยแต่ก็ยัดถุงพลาสติกบรรจุอาหารกลางวันมาให้เขาทันที ถุงใบนั้นร้อนผ่าว ไม่ต้องถือเอาไว้ในมือก็ยังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่แผ่ออกมา
ไอโม่ซินไม่ได้รับมา เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พอเลย นี่นายวางแผนจะไปกินกับอี๋อันสินะ”
เจี่ยงหนิงซวนเขินอายเล็กน้อย แต่ก็เก็บอาหารกลางวันของตัวเองกลับมาอย่างไม่เกรงใจ “หย่วนชวนบอกนายเหรอ”
“อี๋อันบอกฉันต่างหาก นายทำให้เธอสับสนจนไม่มีใครให้ปรึกษาด้วย เธอเลยต้องมาถามฉันนี่ไง” ไอโม่ซินตอบเขาคล้ายหยอกล้อ
เจี่ยงหนิงซวนมองเขาด้วยความอึ้งอยู่สักพักถึงได้ถามอย่างระมัดระวัง “งั้น…นายว่าไงบ้าง”
“ทำไมนายไม่ถามว่าเธอว่าไงบ้างล่ะ” ไอโม่ซินถามด้วยความสงสัย
เจี่ยงหนิงซวนอึ้งนานกว่าเดิม สีหน้าก็ไม่น่ามองนิดหน่อย “แล้ว…แล้วเธอว่าไงบ้าง”
ไอโม่ซินอดยิ้มไม่ได้ “ทำไมก่อนหน้านี้ฉันถึงไม่รู้ว่านายเป็นคนซื่อๆ แบบนี้นะ”
“เมื่อก่อนฉันก็ไม่รู้ว่านายเจ้าเล่ห์แบบนี้เหมือนกัน!” เจี่ยงหนิงซวนรู้สึกเหมือนตัวเองถูกปั่นหัวก็โกรธจนนึกอยากทุ่มอาหารกลางวันในมือทิ้งไปซะเลย
ไอโม่ซินแย่งถุงอาหารกลางวันของเขาไปอย่างสบายๆ “ไปกินกับฉันเถอะ วันนี้หมอซ่งพาคนในแผนกไปกินข้าวแล้ว”
ถึงแม้เจี่ยงหนิงซวนจะทำหน้าไม่เต็มใจ แต่เขาก็เดินตามไอโม่ซินไปแต่โดยดี
ไอโม่ซินพาเขาไปที่ห้องประชุมเล็กห้องหนึ่งบนชั้นหก ปกติจะไม่มีใครมาใช้ห้องนี้จึงมีคนนำอาหารกลางวันมากินที่นี่ไม่น้อย
เจี่ยงหนิงซวนกินอาหารไปเงียบๆ อย่างไม่รู้รสชาติ ไอโม่ซินปล่อยเขาไปสักพักถึงค่อยพูดขึ้นมา “เลิกคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว ฉันบอกให้อี๋อันปล่อยไปตามธรรมชาติ นายก็ตามสถานการณ์ตอนนี้ไป ไม่ต้องปุบปับไล่ตามเธอเกินไปก็พอ”
เจี่ยงหนิงซวนโล่งอกแต่พอคิดดูก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง “ทำไมเธอไม่ไปปรึกษาหย่วนชวนหรืออันฉีล่ะ”
“หย่วนชวนก็คงพูดแต่เรื่องดีๆ ของนายใช่มั้ยล่ะ” ไอโม่ซินชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “ถามอันฉีเหรอ นายคิดว่าอันฉีจะพูดอะไรล่ะ บอกว่านายเจอกับอีกคนแต่ไปจีบอีกคนงั้นเหรอ”
“ฉันเปล่านะ!” เจี่ยงหนิงซวนรู้สึกไม่ยุติธรรม “ตอนแรกฉันก็ชอบอันฉีนิดหน่อย แล้วฉันก็รู้ว่าเธอชอบหูเยี่ยนเจ๋อมาตลอด แต่…ฉันเดาว่าฉันคงโกรธเพราะคำพูดก่อนจากไปของหูเยี่ยนเจ๋อ เขาเอาอะไรมาพูดว่าฉันไม่คู่ควรกับอันฉี?!”
“…”
“อันฉีอาจจะรู้ว่าฉันแค่รับไม่ได้ เลยปฏิเสธฉันมาตลอด”
“สรุปคือ…นายจริงจังกับอี๋อันงั้นสิ”
เจี่ยงหนิงซวนอธิบายความคิดของตัวเองอย่างละเอียดอยู่นานก่อนมองไอโม่ซินด้วยสายตาคับแค้นใจ ไอโม่ซินจึงอดตอบกลับไปอย่างจนปัญญาไม่ได้ “เรื่องพวกนี้นายพูดกับอี๋อันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ มาพูดกับฉันจะมีประโยชน์อะไร”
“ใครให้เธอไปปรึกษานายล่ะ” เจี่ยงหนิงซวนเบะปาก “ฉันไม่พูดให้นายฟังแล้วจะไปพูดให้ใครฟัง”
ระหว่างที่เจี่ยงหนิงซวนกำลังโอดครวญ ไอโม่ซินก็กินไปได้พอสมควรแล้ว เขาเก็บกวาดอาหารของตัวเองให้เกลี้ยงอย่างไม่รีบร้อน “ตอนบ่ายหมอซ่งจะมีการเตรียมชันสูตรศพ เขาต้องกลับมาก่อนพักเที่ยงแน่ ถ้านายลงไปตอนนี้ก็น่าจะเจออี๋อันพอดี”
เจี่ยงหนิงซวนได้ยินแบบนั้นก็โยนกล่องอาหารทิ้งแล้ววิ่งไปทันที “ขอบใจ ช่วยจัดการข้าวที่ฉันจ่ายให้หน่อยนะ”
ไอโม่ซินยกยิ้มส่ายหน้าไปมา หลังจากช่วยจัดการอาหารเที่ยงที่ยังกินไม่หมดให้หมอนั่นแล้วถึงได้เดินลงไปช้าๆ เขาเองก็ไม่ได้เจอเจียงอี๋อันมาสองสามวันแล้วเหมือนกัน เมื่อสองวันก่อนเธอรีบพุ่งมาพร้อมกับพิซซ่าสามกล่อง หลังจากบอกว่าให้พวกเขาเป็นอาหารเที่ยงเสร็จก็วิ่งไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา ตอนนี้หมอซ่งกำลังจัดการคดีของทีมคดีอาญาอยู่ แต่เจียงอี๋อันคอยตามติดหมอซ่งเพราะคดีอื่น เธอเลยได้แต่เคารพตารางเวลาของหมอซ่ง ทำนองว่าหมอนิติเวชอาวุโสคนนี้เดินไปที่ไหนฉันก็จะตามไปที่นั่นด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาแซงคิว เพราะเธอต้องได้รับรายงานชันสูตรของเหยื่อในคดีของเธอก่อนถึงจะสามารถกลับไปได้ นอกจากนี้การได้ติดตามหมอนิติเวชอาวุโสสักสองสามวันก็เป็นโอกาสฝึกงานที่หาได้ยากด้วยเช่นกัน เทียบกับหน่วยว่างๆ สบายๆ อย่างหน่วยคดีพิเศษแล้ว เธอเรียกได้ว่ายุ่งมากจนไม่สามารถปลีกตัวมาได้เลย
ไอโม่ซินเดินไปถึงปากทางบันไดชั้นสอง ก็เห็นเจียงอี๋อันกำลังหันหลังให้เขาและพูดคุยอยู่กับเจี่ยงหนิงซวน เจี่ยงหนิงซวนเหมือนจะกำลังบ่นอะไรบางอย่างกับเธอ พอเห็นเขาเดินมาก็ปิดปากเงียบทันที
“นายบอกเธอว่าฉันหน้าด้านกินอาหารกลางวันของนายเหรอ” ไอโม่ซินเดินไปทางเจียงอี๋อัน
“ใช่น่ะสิ แถมยังบอกว่าฉันออกไปกินข้าวไม่ยอมบอกเขาเลยด้วย” เจียงอี๋อันยกยิ้มให้เขา
เจี่ยงหนิงซวนรีบพูดก่อนที่ไอโม่ซินจะเปิดปากพูดอีกครั้ง “วันก่อนฉันบอกไว้แล้วแท้ๆ ว่าฉันจะมากินข้าวที่สำนักงานใหญ่ด้วย เธอลืมเองต่างหาก ฉันเลยต้องเลี้ยงข้าวเสี่ยวไอไปฟรีๆ มื้อหนึ่งเลย”
“เป็นความผิดของฉันเอง วันนี้เวลาจวนตัวเกินไป ฉันคิดว่าจะกลับมาก่อนเที่ยง แต่ใครจะรู้ว่าหมอซ่งจะพาพวกเราไปกินข้าวล่ะ” เจียงอี๋อันยกยิ้มขอโทษ
“เลี้ยงข้าวสักมื้อจะเป็นไรไป ไม่คุ้มเหรอ” ไอโม่ซินมองเขาทั้งที่ยังมีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่
“…กล้าดียังไง ช่างเถอะ ฉันจะกลับแล้ว…” เจี่ยงหนิงซวนมองไอโม่ซินแวบหนึ่งด้วยความไม่สบายใจ แต่ในใจก็พอจะรู้อยู่ว่าไอโม่ซินไม่ได้คิดจะฉุดรั้งเขาจึงโบกมือแล้วเดินจากไป เขาเดินลงบันไดไปได้ไม่ถึงสองขั้นก็หันกลับมาพูดกับเจียงอี๋อันอีกครั้ง “งั้นวันหลังจะมาใหม่นะ?”
เจียงอี๋อันกำลังจะหันหลังกลับไปพูดกับไอโม่ซินพอดี เธอชะงักไปก่อนจะมองเจี่ยงหนิงซวนด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากนิ่งค้างไปหลายวินาทีถึงได้พยักหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ “ได้…วันหลังแล้วกัน”
เจี่ยงหนิงซวนก็คลี่ยิ้มออกมา “อืม ไว้เจอกันวันหลังนะ”
“ถึงจะไม่มีคนถามความเห็นของฉัน แต่คราวนี้ฉันไม่ขอเอี่ยวด้วยหรอกนะ”
ไอโม่ซินมองไปทางเจียงอี๋อันจนแทบจะทำให้เธอหน้าแดงและผลักเขาด้วยความขัดเขินเล็กน้อย “ไสหัวไปเลย”
ไอโม่ซินรีบจากไปอย่างว่าง่าย เจี่ยงหนิงซวนเลยยิ้มกริ่มเดินลงบันไดไป
ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นไอโม่ซินไม่ทันได้ตั้งตัวเลยจริงๆ เขาอยู่ห่างจากเจียงอี๋อันที่อยู่ด้านหลังประมาณสองสามขั้นบันได เจี่ยงหนิงซวนอยู่ห่างจากด้านหน้าของเขาประมาณสี่ห้าขั้นบันไดและยังคงยกยิ้มมาให้เขาด้วยความลำพองใจ
จู่ๆ เจี่ยงหนิงซวนที่อยู่ด้านหน้าไอโม่ซินก็ตกบันไดด้วยท่าทางแปลกๆ ชนิดที่ไร้ซึ่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า
ไอโม่ซินตกตะลึงไปเพียงชั่ววินาที ทันทีที่เจียงอี๋อันร้องตะโกนเขาก็ยกมือวาดวงกลมวงหนึ่งอย่างรวดเร็ว แต่มันกลับไม่สามารถคุมขังสิ่งที่ผลักเจี่ยงหนิงซวนเอาไว้ได้ เจ้าสิ่งนั้นดูเหมือนจะสังเกตเห็นว่าไอโม่ซินไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน ดังนั้นพอลงมือเสร็จมันก็หมุนตัวหนีไปทางหน้าต่างบานที่ใกล้ที่สุดทันที
“เสี่ยวหนาน!” ไอโม่ซินเคลื่อนไหวอย่างไม่รีบร้อนและเรียกลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยออกมาก่อน ไอหนานส่งเสียงตอบรับแผ่วเบาอย่างชัดเจน จากนั้นก็บินออกไปอย่างรวดเร็ว
“นายไม่เป็นไรใช่มั้ย” เจียงอี๋อันพุ่งเข้าไปด้านหน้าเจี่ยงหนิงซวนแล้วประคองเขาขึ้นมา เพื่อนร่วมงานที่เดินผ่านมาด้านข้างเห็นเหตุการณ์พอดีก็เข้ามาเช็กดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า “ทำไมถึงไม่ระวังแบบนี้ล่ะ ตกลงมาแรงมั้ย”
มีเพียงไอโม่ซินที่ยืนมองลงมายังเจี่ยงหนิงซวนจากด้านบนบันไดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุด คล้ายกำลังสังเกตอะไรบางอย่าง
เจี่ยงหนิงซวนแค่ขาแพลง เขาตอบสนองรวดเร็วจึงคว้าราวจับเอาไว้ได้ ที่ขาอย่างมากก็เขียวช้ำ แต่ที่มือกลับรู้สึกเจ็บเล็กน้อยจากการคว้าราวเมื่อครู่ เจียงอี๋อันพุ่งเข้าไปประคองเขา แต่เขายังไม่ทันได้ซาบซึ้งความรู้สึกเหมือนถูกคนผลักก็ทำให้สันหลังของเขาเย็นวาบขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าเจียงอี๋อันมีสีหน้ากังวลมากจริงๆ เขาก็ข่มความสับสนในใจเอาไว้ก่อนยกยิ้มปลอบเธอ “ไม่เป็นไร ฉันไม่ระวังเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ยืนไหวมั้ย” เจียงอี๋อันเองก็ไม่ได้บ่นเขา เธอประคองเขาขึ้นพร้อมกับเพื่อนร่วมงานที่ผ่านทางมา
เขาเพิ่งจะยืนขึ้นได้ก็เงยหน้าเห็นสายตาที่ไอโม่ซินกำลังจ้องมองมาที่ตัวเอง เขารู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งร่าง แต่ก็ยังฝืนยิ้มพูดกับเจียงอี๋อัน “บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เธอน่าจะกลับไปทำงานนะ ฉันออกไปเองก็ได้”
“แต่ว่า…” เจียงอี๋อันยังพูดไม่ทันจบไอโม่ซินก็เดินลงไปแล้ว เขาพูดด้วยสีหน้าปกติโดยไม่ได้จริงจังเหมือนก่อนหน้านี้อีก
“ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันจะพาเขาไปโรงพยาบาลเอง เธอกลับไปก่อนเถอะ เทียบกันแล้วฉันว่างกว่าเธอเยอะ”
เจียงอี๋อันได้ยินไอโม่ซินพูดแบบนั้นถึงได้วางใจปล่อยเจี่ยงหนิงซวนไป แต่ก็ยังคงขมวดคิ้ว “หาหมอเสร็จแล้วก็ส่งข่าวมาบอกฉันด้วยนะ”
“รู้แล้วน่า” เจี่ยงหนิงซวนยกยิ้มโบกมือให้เธอรีบไปเร็วๆ และยังขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่ช่วยประคองเขาครั้งแล้วครั้งเล่า คนอื่นเห็นว่าเขาดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้วก็แยกย้ายกันไป
เมื่อเจียงอี๋อันหมุนตัวจากไป ไอโม่ซินหันไปมองเธอแวบหนึ่ง เขาตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะเอื้อมมือไปดึงแขนเธออย่างแรงทันทีจนทำให้เธอตกใจ
“มีอะไรเหรอ” เจียงอี๋อันตกใจ
ไอโม่ซินจ้องหน้าเธอเขม็งด้วยสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง “ยื่นมือขวามาให้ฉันดูซิ”
เจียงอี๋อันยื่นมือขวาออกมาให้เขาดูด้วยความสับสนมึนงง ไอโม่ซินคว้าข้อมือของเธอไว้และจ้องมองมืออีกฝ่ายอยู่ประมาณครึ่งนาทีจนทำให้เจียงอี๋อันรู้สึกประหม่า
เจี่ยงหนิงซวนรู้สึกกังวล “เสี่ยวไอ มีอะไรเหรอ”
ไอโม่ซินรู้สึกตกใจมากที่มีผีมาก่อเรื่องต่อหน้าต่อตาเขา เดิมทีเขาคิดว่าเป็นปัญหาของเจี่ยงหนิงซวน แต่เมื่อเขาหันไปมองเจียงอี๋อันแวบหนึ่งก็เห็นสีแดงรำไรตรงหว่างคิ้วของเธอ มันดูเหมือนจะเป็นนิมิตแต่งงาน แต่ปกติเขาจะมองไม่เห็นนิมิตแต่งงาน ดังนั้นนี่จะต้องไม่ใช่การแต่งงานของคน แต่เป็นการแต่งงานของผีแน่นอน
ปรากฏว่าตอนนี้ไอโม่ซินมองเห็นเส้นสมรสสีแดงๆ บนฝ่ามือของเจียงอี๋อันจริงๆ มันเปล่งแสงวูบวาบ ซึ่งเมื่อสองสามวันก่อนยังไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เลย
ตอนนั้นเองเสี่ยวหนานก็ลอยกลับมาอยู่ข้างกายเขาพร้อมพูดขึ้น “พี่ชาย ฉันเข้าไปไม่ได้ เขามีคนเซ่นไหว้อยู่ค่ะ ครอบครัวนั้นใช้แซ่เซี่ย”
ไอโม่ซินปล่อยมือของเจียงอี๋อันก่อนเอื้อมมือไปลูบหัวไอหนานให้เธอกลับไป จากนั้นก็เงยหน้าถามเจียงอี๋อัน “คู่หมั้นของลูกพี่ลูกน้องเธอที่กำลังจะแต่งงานแซ่เซี่ยหรือเปล่า”
เจียงอี๋อันตกตะลึง ครู่หนึ่งถึงได้พยักหน้า “นั่น…เกี่ยวข้องกับฉันเหรอ”
ไอโม่ซินขมวดคิ้วมองเธอ “เธอได้เอาของใช้ติดตัวอะไรไปให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอหรือเปล่า”
“ลูกพี่ลูกน้องอะไร เจียงอี๋อันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ” เจี่ยงหนิงซวนรีบตัดบทพวกเขา
เจียงอี๋อันได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เนิ่นนานกว่าจะตอบกลับ “เมื่อสองสามวันก่อนเธอมาอยู่ที่บ้านของฉัน เธอเอาอะไรไปฉันก็ไม่ได้สังเกตเหมือนกัน แล้วก็ไม่ได้สนใจด้วย แต่เธอ…เธอไม่มีทางทำร้ายฉันหรอก พวกเราโตมาด้วยกัน เธอเป็นพี่สาวของฉันนะ”
เจียงอี๋อันเน้นย้ำอีกครั้งด้วยความระแวงเล็กน้อย “พี่สาวฉันไม่มีทางทำร้ายฉันหรอก”
ไอโม่ซินรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้จัดการได้ยากที่สุด เขาผ่อนน้ำเสียงลง “ฉันไม่ได้บอกว่าพี่สาวเธอทำร้ายเธอ แต่พี่สาวเธอจะต้องทำเรื่องอะไรบางอย่าง…ที่ไม่รู้ว่าเป็นการทำร้ายเธอแน่นอน”
เจียงอี๋อันหวนคิดถึงเย็นวันก่อน ตอนที่เจี่ยงหนิงซวนส่งข้อความมาถามว่าวันนี้จะมากินข้าวกับเธอดีหรือเปล่า พี่สาวของเธอกำลังหวีผมให้เธออยู่ จากนั้นก็ช่วยทำความสะอาดหวีให้แล้วดึงเส้นผมที่อยู่บนหวีของเธอไปวางไว้บนกระดาษทิชชู เธอยังพูดกับพี่อยู่เลยว่าไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอก แค่โยนทิ้งถังขยะไปก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวเธอจะทำความสะอาดเอง พี่สาวก็เพียงแต่พูดด้วยรอยยิ้ม
‘ทุกทีเธอก็เอาแต่พูดว่าไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น อีกเดี๋ยวค่อยทำ เพราะงั้นก็เลยไม่เคยได้ทำความสะอาดห้องเลยน่ะสิ’
เจียงอี๋อันแลบลิ้นโดยไม่ได้ปฏิเสธอีกฝ่ายและปล่อยให้พี่สาวเก็บกวาดห้องของเธอ พวกเธออยู่ด้วยกันแบบนี้มาตลอด
“ไม่เอาสิ พวกนายพูดมาให้รู้เรื่องนะ!” เจี่ยงหนิงซวนร้อนใจมาก เขาเคยเห็นคดีของไอโม่ซินมาก่อนและรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“…ฉันน่าจะกลับไปได้แล้ว…” เจียงอี๋อันไม่รู้ว่าควรจะอธิบายกับเจี่ยงหนิงซวนอย่างไร และไม่สามารถตอบคำถามของไอโม่ซินได้ จึงหมุนตัววิ่งออกไปจากสำนักงาน
ไอโม่ซินไม่ได้ไล่ตามเธอไป และรั้งเจี่ยงหนิงซวนที่คิดจะตามไปเอาไว้ “ให้เวลาเธอได้คิดสักหน่อยเถอะ”
“งั้นนายก็บอกฉันมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจี่ยงหนิงซวนสะบัดมือไอโม่ซินออกและถามเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ไอโม่ซินจ้องเจี่ยงหนิงซวนพลางขมวดคิ้ว “ฉันต้องไปสืบก่อน ไปโรงพยาบาลกันก่อนเถอะ ฉันจะเล่าให้นายฟังระหว่างทาง”
“แค่มือถูกดึงจนเจ็บเอง!” ถ้าขาเจี่ยงหนิงซวนไม่ได้เจ็บอยู่เขาอาจจะร้อนใจจนกระโดดขึ้นมาแล้ว
“ถ้าไม่ไปโรงพยาบาล ตอนเย็นอี๋อันถามนายขึ้นมานายจะตอบยังไง” ไอโม่ซินพูดอย่างจนปัญญา เขากวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง “อีกอย่างตอนนี้คนที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตรายก็คือนาย ฉันจะพานายไปโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะต้องทำยังไงถึงจะจัดการสถานการณ์ของนายได้”
เจี่ยงหนิงซวนได้ยินว่าตนเองค่อนข้างเสี่ยงอันตรายก็หวนนึกถึงช่วงเวลาที่ชวนให้รู้สึกหวาดผวาเมื่อกี้นี้ เขายังคงรู้สึกตกใจเล็กน้อย ได้แต่ไปโรงพยาบาลตามความเห็นของไอโม่ซิน
หลังจากไอโม่ซินส่งเจี่ยงหนิงซวนเข้าไปในห้องตรวจเรียบร้อย เขาก็หยิบโทรศัพท์มาเช็กเวลาก่อนจะกดหมายเลข
“ฉันเอง นายรู้จักเพื่อนร่วมวงการคนไหนที่กำลังช่วยคนทำพิธีวิวาห์ผีหรือเปล่า” หลังจากไอโม่ซินได้ยินอีกฝ่ายตอบรับมาสั้นๆ ก็เอ่ยว่า “ใช่ แบบที่ถูกต้องน่ะ”
อีกฝ่ายตอบกลับมาแค่ไม่กี่คำก็วางสายไป ไอโม่ซินไม่มีเวลาแม้แต่จะเอ่ยขอบคุณด้วยซ้ำ จึงได้แต่ส่งข้อความไปขอบคุณอีกฝ่ายแทน
เขาเก็บโทรศัพท์มือถือและครุ่นคิดอยู่สักพัก เมื่อนึกถึงคำพูดของเจียงอี๋อันที่ว่าพี่สาวไม่มีทางทำร้ายเธอเขาก็รู้สึกเสียใจแทนเธอนิดหน่อย เพราะเขาเคยเห็นมามากเกินไป ทั้งยังเคยได้ยินผู้คนมากมายพูดว่าพี่สาวพี่ชายน้องสาวน้องชายของเขาหรือเธอไม่มีทางทำร้ายพวกเขาหรอก แต่น่าเสียดายที่ความเป็นจริงกลับไม่ใช่แบบนั้น บางครั้งคนที่ลงมือก็เป็นพ่อแม่ด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นก็คือคนข้างหมอนที่อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน
ไอโม่ซินอยากเชื่อว่าพี่สาวของเจียงอี๋อันไม่มีทางทำร้ายเธอ แต่ถ้าไม่ได้ผ่านพี่สาวของเธอ อีกฝ่ายก็ไม่มีทางจัดงานวิวาห์ผีได้แน่นอน นอกจากนี้…
ไอโม่ซินมองดูนาฬิกาดิจิตอลที่มีปฏิทินรายเดือนบนพื้นหลัง หลังจากวันชุนเฟิงก็จะเป็นวันชิงหมิง เขาเองก็ไม่มีเวลามากพอจะค่อยๆ จัดการมันเหมือนกัน
ไอโม่ซินขมวดคิ้วมุ่นและอดถอนหายใจยาวๆ อีกครั้งไม่ได้
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 ม.ค. 66
Comments
comments
No tags for this post.