บทที่ 5
ไอโม่ซินกลับไปนอนต่อ เมื่อออกจากบ้านไปทำงานก็เห็นรถของเจียงเฉิงฟางมารออยู่ที่ประตูแล้ว เขาถอนหายใจ หลังจากนำกล่องที่สือหมิงมอบให้เขาไปวางไว้ที่เบาะหลังเรียบร้อยก็ขึ้นรถและคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จสรรพ
“ลุงสั่งเสี่ยวอวี๋ไว้แล้ว พวกเราจะไปที่บริษัทผูกวาสนาเลย” เจียงเฉิงฟางเองก็ไม่ได้ถามว่ามันคืออะไร เขาติดเครื่องยนต์ขับออกไปพลางเอ่ยปากถาม “กินข้าวแล้วหรือยัง ถ้าเอาข้าวเช้ามาด้วยก็รีบกินซะ ไม่ต้องสนใจลุงหรอก”
ไอโม่ซินคิดแล้วก็ตอบกลับไป “ยังไม่ได้กินครับ พวกเราไปหาที่กินข้าวเช้ากันก่อนเถอะ”
เจียงเฉิงฟางงุนงง เจ้าเด็กนี่ไม่น่าจะไม่ได้กินข้าวเช้าและไม่ได้เอาข้าวเช้าออกมาด้วย คิดไปคิดมาเขาก็ยกยิ้มก่อนเอ่ยตอบรับความหวังดีของอีกฝ่าย “ได้เลย งั้นไปกินข้าวเช้าก่อนแล้วกัน”
รถหยุดตรงที่ประตูร้านน้ำเต้าหู้เก่าแก่แห่งหนึ่ง ทั้งสองคนนั่งลงสั่งอาหารเช้ามากิน
“ลุงเจียง ความจริงการที่ผมเข้ามาในหน่วยคดีพิเศษเป็นการทำให้ลุงยุ่งยากหรือเปล่าครับ” ไอโม่ซินกัดต้านปิ่ง* และลังเลอยู่สักพักกว่าจะเปิดปากพูด
เจียงเฉิงฟางได้ยินเขาเปลี่ยนคำเรียกก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเขาถึงถามแบบนี้ เจ้าตัวพูดพร้อมรอยยิ้ม “จะเป็นงั้นได้ไง เพราะนายยอมเข้ามาในหน่วยคดีพิเศษลุงเลยสบายขึ้นไม่รู้ตั้งเท่าไร แถมยังมีเวลาปลูกผักเพิ่มด้วย”
ไอโม่ซินอยากพูดอะไรสักอย่าง สุดท้ายก็คิดว่าต่อให้ถามไปเจียงเฉิงฟางก็คงไม่สะดวกจะตอบอยู่ดี เขาส่งเสียงตอบรับคลุมเครือและละทิ้งความคิดที่จะถามความจริงจากอีกฝ่าย
“อย่าคิดมากเลย นายไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้ที่นายยังไม่มาลุงผ่านมันมายังไง” เจียงเฉิงฟางถอนหายใจหนักๆ แล้วพูดกับเขาอย่างจริงจัง “ชื่อเสียงของคนก่อนที่มารับผิดชอบตำแหน่งของลุงไม่ค่อยดีเท่าไร พอเจอคดีก็แก้ไขไปโดยไม่สนวิธีการอะไรทั้งนั้น จะทำร้ายใครก็ไม่สนใจ ถ้าไม่ใช่ว่าโชคดีจับแพะรับบาปสกุลเจียงอย่างลุงได้ คงไม่มีใครแปลกใจถ้าเขาจะไปตายโหงอยู่ข้างถนนเข้าสักวัน”
เจียงเฉิงฟางนึกถึงหัวหน้าคนก่อนของเขาก็รู้สึกช่วยไม่ได้ “ตอนนั้นคนไม่พอ เบื้องบนยังไม่ได้เห็นความสำคัญของหน่วยคดีพิเศษขนาดนี้ ลุงถึงกับต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อไขคดีเลย แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าหน่วยคดีพิเศษจะมีตำแหน่งมั่นคงในวงการ แต่ก็ล่วงเกินคนในวงการไปทั่ว ความจริงก็ถือว่าเขาฉลาดอยู่นะ ทันทีที่รู้ว่าลุงเป็นตำรวจเขาก็ย้ายลุงมา ปีต่อไปเขาก็เกษียณออกไปเงียบๆ พอลุงหาเขาไม่เจอตลอดทั้งสัปดาห์ก็คิดว่าเขาไปตายที่ไหนแล้ว เลยไปถามฝ่ายบุคคลจนรู้ว่าเขาทำเรื่องเกษียณออกไป แถมยังปิดโทรศัพท์ย้ายบ้านไปในชั่วข้ามคืนอีกต่างหาก”
ไอโม่ซินจำเรื่องหน่วยคดีพิเศษที่เคยฟังสมัยยังเด็กได้ แต่หลังจากที่ได้รู้จักเจียงเฉิงฟางเขาก็ต้องเปลี่ยนมุมมองไป “งั้น…หัวหน้าคนก่อนสร้างความแค้นเอาไว้ขนาดนั้น ไม่มีใครมาก่อกวนลุงเหรอครับ”
“ใครจะกล้า” เจียงเฉิงฟางถามกลับพร้อมรอยยิ้ม ไอโม่ซินชะงักไปชั่ววินาทีก็เข้าใจได้ทันที
เจียงเฉิงฟางดูดน้ำเต้าหู้ของเขารวดเดียวจนหมด พอคิดถึงจิ้งจอกเฒ่าในอดีต สิ่งแรกที่คนคนนั้นสอนเขาในตอนที่รับเขาเข้ามาก็คือ…
‘จำไว้นะ พอเจอคนในวงการให้ประกาศชื่อสกุลไปเป็นอย่างแรกเลย ต้องบอกอีกฝ่ายว่านายแซ่เจียงนะ’
‘แต่แซ่ที่หัวหน้าบอกคนอื่นก็ต่างกันทุกครั้งเลยนะครับ’
ตอนนั้นเขาถามด้วยความงุนงงจนถูกหัวหน้าเหลือบมองไปแวบหนึ่ง เหมือนอยากจะยกมือตบหัวเขาแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่พูดด้วยความเคือง ‘นั่นไม่ใช่เพราะฉันไม่ได้มีชาติกำเนิดดีๆ หรอกเหรอ ถ้าฉันแซ่เจียง เจอใครฉันก็ต้องบอกแน่ แกมันโง่’
หลังจากนั้นเจียงเฉิงฟางก็จดจำเรื่องนี้ไว้ พอเจอคนมาหาเรื่องก็ป่าวประกาศชื่อสกุลของตัวเองไปเป็นอย่างแรก เขาพูดด้วยความรู้สึกปลงตกหน่อยๆ “เพราะงั้นถึงบอกว่าเขาฉลาดไง ทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไป เหลือไว้แค่เด็กโง่อายุยี่สิบกว่าๆ คนหนึ่ง ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว รู้แต่เปิดฉากมาก็ป่าวประกาศชื่อสกุลตัวเอง คนอื่นมาด่าก็ไม่กล้าต่อยตี สุดท้ายก็เอาแต่หนี แถมกฎสกุลของไอ้เด็กโง่นั่นยังเขียนไว้ว่าต้องสั่งสมบุญกุศลด้วย สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ทำได้แต่เรื่องดีๆ จะทำยังไงได้ล่ะ”
เจียงเฉิงฟางหวนนึกถึงตอนนั้นก็เต็มไปด้วยความจนปัญญา “คนอื่นมาก่อกวนลุงไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางที่คนจะเอาบุญคุณมาตอบแทนแค้นเพื่อช่วยลุงเหมือนกัน ตอนนั้นมันเหนื่อยมากจริงๆ นะ ลุงเลยได้แต่หาความช่วยเหลือจากข้างนอก”
ไอโม่ซินนึกถึงเรื่องที่สือหมิงพูด “ดังนั้นศาลคนกระดาษก็คือความช่วยเหลือจากภายนอกที่ลุงหามาเหรอครับ”
“ใช่แล้ว ท่านสือช่วยลุงน่ะ” เจียงเฉิงฟางยิ้มกล่าว “แต่ก็เพราะลุงแซ่เจียงหรอกนะ”
ไอโม่ซินรู้ดีว่าเจียงหลีค่อนข้างสนิทกับท่านเทพ ดูได้จากที่สือหมิงพาเขาไปอารามหลวงเจิ้งหลงแล้วเจ้าตัวออกมาด้วยตัวเอง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้มาเชิญอยู่หน้าประตู เจียงหลีก็ไม่เจอใครหรอก
“ตอนนั้นท่านบรรพบุรุษแนะนำให้ลุงไปที่อารามหลวงเจิ้งหลง ก่อนจะรู้จักนายลุงเคยเจอท่านบรรพบุรุษแค่ครั้งเดียว แต่เขาก็เอ็นดูลุงมากนะ พอลุงรับช่วงต่อสกุลเจียงก็ไม่เคยได้รับความขุ่นข้องหมองใจอะไรเลย แถมยังไม่เคยเจออันตรายด้วย ต่อให้ท่านบรรพบุรุษหลับใหลอยู่ตลอด ลุงก็รู้สึกได้ว่าท่านอยู่ข้างๆ” เจียงเฉิงฟางแย้มยิ้มอ่อนโยนมากและยังมีความภูมิใจนิดๆ “พอมาเจอนายก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง สกุลเจียงของลุงสั่งสมบุญกุศลไว้เยอะเลย แต่นายก็รู้ว่าความจริงลุงไม่มีเซ้นส์ด้านนั้น ตอนอยู่ในหน่วยนี้ลุงก็ต้องทำเรื่องจุกจิกควบไปกับการสร้างไฟล์และจัดการคดีไปด้วย แถมยังต้องคบค้าสมาคมกับคนในวงการอีก หลังจากที่นายมาลุงก็เหมือนได้พักผ่อนเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นคดีไหนนายก็สามารถจัดการได้ อย่างน้อยก็ช่วยลุงทำงานเบ็ดเตล็ดได้ ลุงแค่สร้างไฟล์และติดต่อกับคนในวงการก็พอแล้ว ชีวิตสบายสุดๆ”
ไอโม่ซินไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองมีประโยชน์มากขนาดนั้นจริงๆ ก่อนจะเข้ามาในหน่วยคดีพิเศษเขาพบเจออะไรก็จะจัดการกับอันนั้น ถ้ายุ่งมากก็ปัดตกไป เทียบกับชีวิตก่อนหน้านี้แล้ว พอเขาเข้ามาในหน่วยคดีพิเศษก็ว่างจนไม่มีอะไรทำ ที่เขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะท่าทีของเจียงหลี ไม่ใช่เพราะวิธีการทำงานของสมาชิกในหน่วยคดีพิเศษไปซะทั้งหมด
เจียงเฉิงฟางรู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงบอกเขาไปตามตรง “ท่านบรรพบุรุษก็คือบรรพบุรุษของลุง ท่านมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ก็เกือบพันปีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพันปีก่อนหน้านั้น ต่อให้เป็นร้อยปีก่อน ลุงก็มีแต่ต้องคุกเข่าพูดคุยเวลาอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสอย่างเขา ลุงไม่คิดว่าจะขอให้ท่านบรรพบุรุษละทิ้งแนวคิดล้าสมัยที่ไม่เหมาะจะใช้กับยุคปัจจุบันเพียงเพราะตัวเองอยู่ในยุคแห่งเสรีภาพและความเสมอภาคหรอกนะ ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับเทพ คนแก่กับเด็ก หรือผู้สูงศักดิ์กับคนต่ำต้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านบรรพบุรุษลุงก็ต้องมีท่าทางอย่างที่ควรจะเป็นนั่นแหละ”
เจียงเฉิงฟางพูดจนรู้สึกกระหายน้ำ เขาสั่งน้ำเต้าหู้แก้วที่สองมาดื่มและพูดกับไอโม่ซินที่กำลังครุ่นคิด “ท่านบรรพบุรุษเป็นเทพมังกรที่กำลังจะบรรลุในไม่ช้า ต่อให้ท่านเอ็นดูลุงมากขนาดไหนลุงก็เป็นแค่ผู้น้อยที่คอยรับใช้ท่านเท่านั้น นายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรที่ท่านบรรพบุรุษเลือก ก็ควรจะยกนายให้อยู่ที่สูงเหมือนท่านบรรพบุรุษ แต่นายกลับช่วยลุงได้มากขนาดนี้ แถมยังไม่ได้อาศัยอำนาจบาตรใหญ่ไปรังแกคนอื่นเพราะท่านบรรพบุรุษเอ็นดูนายด้วย แล้วลุงจะไปสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านบรรพบุรุษบอกให้ลุงทำไปทำไม ที่ลุงไปรับไปส่งนายเวลาเข้างานเลิกงานแล้วบางครั้งอาจจะถูกท่านบรรพบุรุษด่าว่าสองสามประโยคจะถือเป็นอะไรได้ ท่านไม่เคยทุบตีลุงจริงๆ สักหน่อย ถ้าการที่ลุงดีต่อนายทำให้ท่านบรรพบุรุษมีความสุข ทำไมลุงถึงจะไม่ทำล่ะ”
ไอโม่ซินได้ยินเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ก็พูดไม่ออก เขามักจะคิดว่าความสัมพันธ์กับเจียงหลีเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเขาสองคน สกุลเจียงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ความเป็นจริงหลายต่อหลายเรื่องก็ต้องขอบคุณที่เจียงเฉิงฟางช่วยเขาแก้ไข แต่เขาก็ไม่เคยคิดถึงความหมายของตัวแทนที่อยู่เบื้องหลังเลย กระทั่งรู้เรื่องหน่วยคดีพิเศษจากสือหมิง เขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าที่จริงตัวเองรู้เรื่องงานนี้รวมไปถึงเรื่องในวงการนี้น้อยเกินไป ไม่ใช่เพราะเขาได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเจียงหลีและเจียงเฉิงฟางจึงเริ่มหย่อนยาน แต่เพราะเพิ่งเรียนจบออกมาทำงานเขาจึงไร้เดียงสาเหมือนเด็กน้อยจอมซนคนหนึ่ง ทว่าในเมื่อเขาก้าวเข้าสู่วงการนี้อย่างแท้จริงแล้ว เขาก็ควรจะตระหนักได้ว่าตนเองกำลังอยู่ในวงการถึงจะถูก
“อืม” ถึงไอโม่ซินจะคิดแบบนั้น แต่เขาก็เพียงแค่ส่งเสียงเป็นการตอบกลับ
เจียงเฉิงฟางรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตนเองพูดไปสองสามประโยคแล้วไอโม่ซินจะสามารถยอมรับได้ จึงตบไหล่อีกฝ่ายพร้อมกล่าวว่า “สรุปคือไม่ต้องคิดมาก เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ลุงไม่แคร์หรอก ถ้านายแคร์ก็ไปคุยกับท่านบรรพบุรุษได้ แต่ลุงคิดว่าคงยากมากที่จะทำให้คนแก่อย่างท่านเข้าใจ”
เจียงเฉิงฟางพูดจบก็สัมผัสบรรยากาศโดยรอบด้วยความหวาดระแวง เมื่อมั่นใจว่าท่านบรรพบุรุษไม่คิดจะออกมาตบหัวเขาจริงๆ ก็กลับขึ้นไปบนรถด้วยความสบายใจ ทำให้ไอโม่ซินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ไอโม่ซินไม่ได้เอาแต่ฝ่าปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้ เวลางานสิ่งสำคัญก็คืองาน เมื่อขึ้นไปบนรถเขาก็ถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นไฟล์ที่ลุงสร้างมาตลอดเป็นไฟล์อะไรเหรอครับ ผมช่วยไม่ได้เหรอ”
“ก็เป็นไฟล์ของวงการน่ะ หัวหน้าคนก่อนเคยพูดกับลุงว่าเมื่อก่อนพวกเรามีห้องเก็บเอกสาร ข้อมูลในนั้นครบถ้วนสมบูรณ์จนแม้แต่ทูตรับใช้ก็ยังมาขอยืมอ่านบ่อยๆ เลย แต่เมื่อยี่สิบสี่ปีก่อนถูกพญายมล็อกเอาไว้ เพราะงั้นหัวหน้าคนก่อนก็เลยจัดการสร้างไฟล์เองมาตลอด พวกสกุลในอดีตที่ไม่อยู่แล้วก็แล้วไปเถอะ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถจดบันทึกได้ในช่วงเกือบหนึ่งร้อยปีนี้ก็ต้องสร้างไฟล์เอาไว้ เมื่อก่อนเขาแค่สร้างสารบัญเอาไว้ร้อยกว่าหน้า ส่วนเนื้อหาด้านล่างก็ปล่อยว่างให้ลุงค่อยๆ เติม” เจียงเฉิงฟางคิดถึงไฟล์เหล่านั้นก็รู้สึกปวดหัว “สร้างไฟล์ไม่สนุกเลยสักนิด นายอยากรู้อะไรก็มาถามลุงได้ มันก็แค่พวกบันทึกน่ะ”
ไอโม่ซินเข้าใจแล้วว่าทำไมเจียงเฉิงฟางถึงไม่บอกเขา นั่นเพราะเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญเลยสำหรับเจียงเฉิงฟาง “อ้อ วัตถุเวทพวกนั้น…?”
“วัตถุเวททำไมเหรอ” เจียงเฉิงฟางถามกลับ ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะเงยหน้ามองกระจกหลัง พอจำได้ว่ามันคือกล่องของศาลคนกระดาษก็พูดขึ้นมาทันที “อ้อ วัตถุเวทในนั้นเป็นการเขียนหนังสือรับรองให้วัตถุเวทที่ส่งมา ถ้ามากเกินไปลุงก็จะส่งไปให้ศาลคนกระดาษ ตอนนี้เสี่ยวอวี๋ช่วยดูได้น่ะ เป็นเรื่องเล็กๆ เหมือนกัน”
“…พี่อวี๋ดูวัตถุเวทได้ด้วยเหรอครับ” ไอโม่ซินถามด้วยความสงสัย
“เขารับหน้าที่ทดสอบว่าวัตถุเวทมีผลต่อคนธรรมดาหรือเปล่า” เจียงเฉิงฟางตอบกลับไปตรงๆ ไอโม่ซินถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างหมดคำพูด สักพักเจียงเฉิงฟางถึงสังเกตเห็นสายตาของเขา เจ้าตัวจึงเปิดปากอธิบายอีกครั้งด้วยความขบขัน
“ลุงก็แค่ให้เขาถือนิดหน่อย ให้เขาใส่เกราะป้องกันที่ท่านบรรพบุรุษมอบให้ลุงด้วยนะ ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ลุงจะโทษท่านบรรพบุรุษ”
ไอโม่ซินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความจริงเขาก็คิดว่าเจียงเฉิงฟางสมกับเป็นคนสกุลเจียงจริงๆ ต่อให้คิดว่าตัวเองธรรมดาสามัญแค่ไหนก็ยังไม่กลัวฟ้ากลัวดินและมีความกล้ามากมายมหาศาลอยู่ดี
“นายเพิ่งเข้ามาได้ครึ่งปี ไม่ต้องรีบหรอก” เจียงเฉิงฟางรู้สึกจนปัญญากับความกระตือรือร้นของไอโม่ซินนิดหน่อย เขาไม่เคยเห็นคนหนุ่มคนไหนรักงานขนาดนี้มาก่อนเลย
เจียงเฉิงฟางพูดจบก็จอดรถพอดี ไอโม่ซินลงจากรถแล้วเดินตามเจียงเฉิงฟางเข้าไปในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ในซอย บนประตูแขวนป้าย ‘บริษัทจัดงานแต่งผูกวาสนา’ แผ่นหนึ่งเอาไว้
เจียงเฉิงฟางผลักประตูเข้าไป กระดิ่งเล็กๆ ที่ถูกแขวนไว้เหนือประตูส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งขึ้นมาเบาๆ
วัยรุ่นอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งกำลังฟุบอยู่บนเคาน์เตอร์และเล่นมือถือ เขาพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “ต้องการอะไร”
“ปู่ของนายอยู่หรือเปล่า”
ชายหนุ่มได้ยินเขาถามแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณคือ?”
“กรมตำรวจนครบาล หน่วยคดีพิเศษ” เจียงเฉิงฟางยื่นเอกสารรับรองให้เขาดู
ชายหนุ่มได้ฟังก็อึ้งไป สายตาตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดแล้วถึงได้วางมือถือยืดตัวขึ้นพูดอย่างสุภาพ “ปู่ผมไม่ได้ทำอะไรแล้ว ตอนนี้ผมเป็นคนดูแลกิจการ”
ชายหนุ่มควานหานามบัตรมายื่นให้ “ผมชื่อกัวเหยียนฉี หัวหน้าเจียงมีเรื่องอะไรเหรอครับ”
เจียงเฉิงฟางมองดูนามบัตรของเขาแล้วเก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ไอโม่ซิน อีกฝ่ายก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวพร้อมถามด้วยความสุภาพ “คุณกัว ไม่ทราบว่าคุณเป็นคนรับผิดชอบวิวาห์ผีของเซี่ยเจิ้งจงหรือเปล่าครับ”
กัวเหยียนฉีได้ยินชื่อเซี่ยเจิ้งจงสีหน้าก็ฉายแววลุ่มลึกเล็กน้อย แต่เขากลับยอมรับโดยไม่ได้ลังเลนานนัก “ใช่แล้ว เรื่องนี้ผมรับทำเอง”
“ได้ยินว่ากฎของพวกคุณก็คือคนเป็นต้องยินยอมก่อนถึงจะสามารถจัดวิวาห์ผีกับคนได้ใช่มั้ยครับ” น้ำเสียงของไอโม่ซินยังคงนุ่มนวล
“ใช่แล้ว” กัวเหยียนฉีพยักหน้า
“คู่สมรสวิวาห์ผีของเซี่ยเจิ้งจงคือเจียงอี๋อันใช่หรือเปล่าครับ” ไอโม่ซินถามตรงๆ
กัวเหยียนฉีลังเลอยู่สักพัก “นี่เป็นความลับส่วนตัวของลูกค้า ถ้าสกุลเซี่ยตกลงผมถึงจะสามารถตอบได้”
“ผมมีข้อมูลการแจ้งความของคุณเจียง” ไอโม่ซินตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มปกติ “คุณอยากไปคุยกันที่กรมตำรวจนครบาลก็ได้นะครับ”
กัวเหยียนฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาอยากจะโต้เถียงกลับไปแต่ก็อดทนไว้ “ถ้ามีคนแจ้งความ งั้นพวกคุณก็น่าจะไปหาตัวคนทำผิดไม่ใช่เหรอ คุณไม่ไปหาสกุลเซี่ยแต่วิ่งมาหาผมจะมีประโยชน์อะไร ผมปิดบัญชีไปแล้ว”
“ฝืนผูกวิวาห์ผีบนตัวเธอโดยที่คู่กรณีไม่ยินยอม ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากฎสกุลกัวของคุณตั้งขึ้นมาได้ยังไง แต่สิ่งนี้ทำลายบุพเพสันนิวาสของเธอ คุณคิดว่าผมต้องมาหาคุณมั้ยล่ะ” ไอโม่ซินเก็บสีหน้าท่าทางสุภาพกลับไปและทำหน้าเย็นชา
“ผมไม่ได้แหกกฎ! พี่สาวของเธอตกลงแล้ว คุณไม่รู้จักธรรมเนียมที่ผู้อาวุโสสามารถตอบตกลงได้หรือไง” กัวเหยียนฉีไม่ได้ปิดบังความไม่พอใจอีกต่อไป
“พ่อแม่ของคุณเจียงยังอยู่ทั้งคู่ คนรุ่นเดียวกันจะสามารถตอบตกลงแทนเธอได้งั้นเหรอ คุณเรียกสิ่งนี้ว่าธรรมเนียมงั้นเหรอ” ไอโม่ซินรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างจริงจังก็ตอนนี้เอง เขานึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะใช้เหตุผลง่ายๆ แบบนี้มาทำลายบุพเพสันนิวาสของเจียงอี๋อัน
ขณะที่เขาเริ่มโกรธ ด้านหลังของเขาก็มีชนเผ่าเถี่ยนหกเจ็ดคนปรากฏตัวขึ้นมาและใช้สายตาชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือกจ้องมองไปที่กัวเหยียนฉี
กัวเหยียนฉีตื่นตระหนกและคว้าขวานไม้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว มือซ้ายก็คิดจะดึงห่วงล็อกที่อยู่บนผนัง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ชายชราคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาจากทางด้านหลังและตีมือกัวเหยียนฉี จากนั้นก็หันไปมองไอโม่ซินและเจียงเฉิงฟางพร้อมยกยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เข้าใจผิดแล้วครับ เข้าใจผิดแล้ว”
เจียงเฉิงฟางมองซ้ายมองขวาอยู่ในร้านโดยไม่คิดจะสนใจความขัดแย้งในครั้งนี้ ไอโม่ซินยืนอยู่ที่เดิม แต่ก็ไม่ได้ให้คนด้านหลังกลับไป
“พวกเด็กๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ถ้าไม่ใช่ว่าผมแก่แล้ว สุขภาพไม่แข็งแรง ลูกชายก็ไม่เต็มใจ เด็กคนนี้คงไม่ต้องออกมาดูแลกิจการ เขาไม่รู้กฎ ผมขอโทษพวกคุณทั้งสองคนแทนเขาด้วย” น้ำเสียงของชายชราสุภาพนอบน้อมมาก เขาหยิบนามบัตรออกมายื่นให้เจียงเฉิงฟาง “ผมกัวเจี้ยนเหนียน เป็นคนดูแลรุ่นก่อน ผมเคยติดต่อกับคุณโอวหยางด้วย”
หลังจากเจียงเฉิงฟางรับไปแล้ว กัวเจี้ยนเหนียนก็หยิบนามบัตรมายื่นให้ไอโม่ซินอีกใบพร้อมพูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ผู้นำไอสินะครับ ไม่เคยมีโอกาสได้พบชนเผ่าเถี่ยนเลย รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ”
“คุณกัวเกรงใจไปแล้ว” ไอโม่ซินรับนามบัตรมา เขาไม่สามารถลงมือกับคนที่มีใบหน้ายิ้มแย้มได้ กัวเจี้ยนเหนียนดูเหมือนจะเป็นคนรู้จักเอาตัวรอดทีเดียว ไอโม่ซินหันไปส่งสายตาทำให้พวกผู้อาวุโสทั้งหมดกลับไป
ตอนนี้เองกัวเจี้ยนเหนียนถึงได้ถอนหายใจโล่งอก ชนเผ่าเถี่ยนด้านหลังเมื่อครู่มีสองสามคนที่เป็นวิญญาณอาวุโสเมื่อหลายร้อยปีก่อน สิ่งของในร้านของเขาคงไม่สามารถทานทนได้ โชคดีที่วิญญาณเหล่านั้นจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นหลานชายผู้โง่เขลาคนนี้ของเขาคงดึงห่วงล็อกแล้วตั้งท่าต่อสู้ในร้านแน่ๆ และการทำแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการผูกแค้นเลยสักนิด
เขาปาดเหงื่อก่อนหันไปมองหลานชายและดุด่าอย่างรุนแรง “แกรับงานอะไรมาถึงต้องรบกวนคนอื่นเขามาสืบคดีถึงที่ รีบเอาออกมาซะ”
กัวเหยียนฉีถูกปู่ด่าก็หยิบแฟ้มออกมาจากลิ้นชักด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ ก่อนโยนลงบนเคาน์เตอร์และพูดอย่างโมโห “ตอนแรกผมก็ไม่อยากรับครอบครัวนี้หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะลูกชายปู่อยากซื้อบ้าน ผมจะรับเรื่องยุ่งยากแบบนี้ทำไม”
กัวเจี้ยนเหนียนเอื้อมมือไปตบท้ายทอยของกัวเหยียนฉี “ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ นั่นก็พ่อแกนะ เขาอยากซื้อบ้าน ในฐานะที่แกเป็นลูกก็ควรคิดหาวิธีสิ ไม่อย่างนั้นจะให้คนแก่อย่างฉันเลี้ยงดูเหรอ”
“ใครใช้ให้ปู่ไม่เหลือบ้านไว้ให้พ่อผมล่ะ” กัวเหยียนฉีลูบคลำท้ายทอยด้วยสีหน้าหดหู่
กัวเจี้ยนเหนียนกำลังเปิดแฟ้มยื่นไปให้ไอโม่ซินดู เมื่อได้ยินดังนั้นก็หันไปด่าเขาอีกรอบ “ก็ไม่ใช่เพราะฉันเหลือบ้านเอาไว้ให้แกหรือไง?! หมอนั่นอยากได้บ้านก็มารับช่วงต่อกิจการฉันสิ ไม่อยากรับช่วงต่อกิจการแต่อยากจะแบ่งสมบัติ ไม่มีลูกชายบ้านไหนเขาทำกันหรอก!”
กัวเจี้ยนเหนียนด่าเสร็จก็หันมายกยิ้มเต็มใบหน้า “ต้องมาสาวไส้ให้กากินแบบนี้น่าหัวเราะจริงๆ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ผิดพลาดตรงไหน หลานของผมไม่รู้เรื่องรู้ราว กลับไปผมจะสั่งสอนเขาให้ดีแน่นอนครับ”
ไอโม่ซินเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของกัวเจี้ยนเหนียน เขาเองก็ไม่สามารถทำหน้าไม่พอใจให้อีกฝ่ายเห็นได้ ตอนนั้นเองเจียงเฉิงฟางก็ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว พลิกแฟ้มข้อมูลดูและพูดด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าของเราเคยพูดกับฉันว่าการผูกวาสนาของนายเป็นที่หนึ่งในวงการเลย”
“ไม่กล้าครับไม่กล้า คุณโอวหยางชมเกินไปแล้ว” กัวเจี้ยนเหนียนปากพูดอย่างสุภาพ แต่ในใจกลับคิดว่าไอ้แก่โอวหยางหงเยี่ยนนั่นจะต้องพูดตรงกันข้ามแน่นอน
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าชมเกินไปหรือเปล่า แต่ฉันรู้ว่าสกุลกัวของพวกนายเข้มงวดเรื่องกฎ ‘คนเป็นไม่ยินยอมไม่จัดงานแต่ง’ มาก” เจียงเฉิงฟางยกยิ้มอ่อนโยน “หนึ่งข้อลดอายุขัยไปสิบปีเลยนะ เหล่ากัว”
ใบหน้ายิ้มแย้มของกัวเจี้ยนเหนียนแข็งค้าง ก้มหน้าอ่านเอกสารอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนหันไปถลึงตาใส่หลานชายทันที กัวเหยียนฉีได้แต่ขดตัวอยู่ในซอกหลืบ
“แกๆๆๆ ทำอะไรลงไป! ถึงขั้นกล้าทำเรื่องนี้เลยเหรอ?!”
“ก็เขาถือนามบัตรของปู่มา ผมก็ถามปู่ไปแล้ว ปู่บอกว่ารับไง…” กัวเหยียนฉีเห็นสีหน้าท่าทางของผู้เป็นปู่ก็รู้ว่าคราวนี้ปู่โมโหไม่น้อยจริงๆ
กัวเจี้ยนเหนียนเคยรับงานของสกุลเซี่ยมาเมื่อหลายปีก่อน แต่คุณนายเซี่ยจู้จี้จุกจิกมาก เซี่ยเจิ้งจงจู้จี้จุกจิกยิ่งกว่า เขาต้องเลือกคนให้ครอบครัวนี้กลับไปกลับมาตั้งหลายสิบคน ปรากฏว่าคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยเลือกไปเลือกมา จนตอนสุดท้ายถึงได้ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘ฉันไม่อยากแต่งงานกับคนตาย’ คุณนายเซี่ยเลยหันมาไหว้วานให้กัวเจี้ยนเหนียนช่วยเรื่องแต่งกับคนเป็น สุดท้ายเขาจึงอธิบายว่าถ้าจะแต่งกับคนเป็นก็ต้องให้อีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจถึงค่อยมาคุยกัน จากนั้นเขาก็ส่งคนพวกนั้นจากไปอย่างสุภาพ ไม่คิดเลยว่าผ่านไปสองสามปีหลังจากเขาส่งมอบกิจการให้หลานชาย แม่ลูกสกุลเซี่ยจะถือนามบัตรของเขามาหาถึงที่ กัวเหยียนฉีวิ่งมาถามความเห็นของเขา ในใจเขาก็คิดว่าแม่ลูกคู่นี้จู้จี้จุกจิกขนาดนั้นคงทำไม่ได้หรอก แต่ก็เพื่อให้หลานชายได้ฝึกฝนกับลูกค้าแม่ลูกคู่นี้ จึงพยักหน้าให้หลานชายรับงาน ส่วนตัวเองก็ไม่ได้ยุ่งวุ่นวายมากนัก ไม่คิดเลยว่าจะก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น
“ฉันให้แกรับงาน แต่ไม่ได้ให้แกไปจัดงานแต่งกับคนเป็นนะ! นี่แกทำอะไรลงไป?! พ่อแม่ของเขาก็ยังอยู่ครบ แต่ลูกพี่ลูกน้องบอกให้แต่งก็แต่งได้งั้นเหรอ นี่มันตรรกะอะไร! แกคิดว่าชีวิตของฉันยืนยาวเกินไปใช่มั้ย?!”
กัวเจี้ยนเหนียนผรุสวาทคำโต กัวเหยียนฉีรู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดก็ยอมโดนด่าแต่โดยดี รอกระทั่งชายชราด่าจบจึงได้อธิบายด้วยความคับข้องใจ
“ผมทำตามกฎจริงๆ นะครับ” กัวเหยียนฉีก้มหน้าก้มตา “ตอนแรกก็บอกว่าคู่หมั้นของน้องชายเจ้าของเรื่องยินยอมแต่งงาน ผมเองก็เคยเจอเธอมาก่อน เธอบอกเองกับปากว่าตกลง แต่ไม่คิดว่าพอจะเขียนทะเบียนสมรส คุณนายเซี่ยก็มาบอกว่าเปลี่ยนคนอีก เธอว่าน้องชายเจ้าของเรื่องไม่ยอม เธอไม่อยากให้มันส่งผลกับสามีภรรยา แต่น้องสาวของคู่หมั้นยินยอมเลยให้ผมเปลี่ยนคน ผมก็บอกไปว่าเจ้าตัวต้องมาพูดคุยกันต่อหน้าถึงจะได้ จะไปรู้ได้ไงว่าคู่หมั้นคนนั้นดันเอาเส้นผมของน้องสาวเธอมาให้ผม บอกว่าเธอยินดีให้น้องสาวแต่งให้เซี่ยเจิ้งจง แถมยังเขียนทะเบียนสมรสแทนน้องสาวด้วยตัวเอง ที่จริงผมก็ไม่คิดว่าแค่เธอบอกว่ายินยอมให้น้องสาวแต่งกับเซี่ยเจิ้งจงก็ได้เลย ว่าจะรอดูเรื่องสนุกแล้วค่อยคุยกับคุณนายเซี่ยดีๆ สักสองสามประโยค จากนั้นก็ถือโอกาสบอกปัดงานไป แต่ใครจะรู้ว่าดันทำทะเบียนสมรสได้สำเร็จ…ผมดูแล้วก็อึ้งไปเหมือนกัน…”
กัวเหยียนฉีพบว่าไม่ว่าจะมองอย่างไรคุณเจิ้งคนนั้นก็ถูกว่าที่แม่สามีกล่อมให้เขียนทะเบียนสมรส คุณนายเซี่ยพูดประโยคหนึ่งเธอก็เขียนประโยคหนึ่ง แถมยังกระซิบบอกเธอเรื่องสั่งสมบุญกุศลกับชีวิตดีๆ ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองอะไรนั่นไม่หยุดด้วย เขาได้ยินก็ยังแอบรู้สึกตกใจ แต่เพราะทะเบียนสมรสสำเร็จไปแล้ว ต่อให้กัวเหยียนฉีแอบหวั่นใจอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เขาช่วยเผาทะเบียนสมรสให้เรียบร้อยและบอกให้คนพวกนั้นอย่าลืมบันทึกคุณเจียงลงผังวงศ์ตระกูลในช่วงชิงหมิง ก่อนจะเก็บเงินแล้วส่งแขกไป
“ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน…แต่ถ้าคุณเจียงไม่ยินยอมจริงๆ ทะเบียนสมรสฉบับนั้นก็คงไม่สำเร็จหรอก…มาบอกว่าเธอไม่ยินยอมเอาตอนนี้ผมก็ช่วยไม่ได้แล้ว” กัวเหยียนฉีรู้ดีว่าตัวเองจะต้องทำผิดพลาดตรงไหนแน่นอน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยจัดวิวาห์ผีให้คนเป็นมาก่อน แต่นั่นก็เป็นคู่สามีภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งงานและแฟนหนุ่มสาวที่มีคนใดคนหนึ่งตายจากไป ทั้งสองฝ่ายย่อมยินดีจะแต่งงาน แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนจริงๆ พอบังเอิญทำสำเร็จขึ้นมาเขาก็จนปัญญาเช่นกัน
สีหน้าของไอโม่ซินไม่น่าดูมากขึ้นทุกขณะ เขารู้ว่าปัญหาก็คือความรักความผูกพันของเจียงอี๋อันและเจิ้งหมินซินนั้นดีมากจริงๆ ไม่ว่าเจียงอี๋อันจะรู้หรือไม่ ก็นับว่าเธอยินยอมมอบเส้นผมให้พี่สาว และบางทีเจิ้งหมินซินก็คงไม่รู้ว่าพิธีวิวาห์ผีมีอยู่จริง เธอจึงช่วยเซ็นทะเบียนสมรสให้เจียงอี๋อันด้วยความเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจากส่วนลึกของหัวใจ และเธอยินดีให้น้องสาวแต่งงาน ไม่อย่างนั้นทะเบียนสมรสก็คงไม่สำเร็จ
กัวเจี้ยนเหนียนมองดูท่าทางคับข้องใจของหลานชายตัวเอง แม้ไม่อยากจะคิดว่าเรื่องราวไปไกลขนาดไหน แต่เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเขาไม่ยอมรับ สิ่งที่จะถูกลดลงไปก็คืออายุขัยของกัวเหยียนฉี ดังนั้นเรื่องนี้สกุลกัวของเขาจำต้องยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“…ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็สันนิษฐานได้ว่าคุณเจิ้งและคุณเจียงเป็นพี่น้องที่รักกันอย่างลึกซึ้งถึงจะสามารถทำให้งานแต่งงานสำเร็จได้ ถึงแม้เรื่องนี้จะทำลงไปโดยมีข้อบกพร่องบางอย่าง แต่มันก็ไม่ได้ผิดกฎสกุลกัวของผม” กัวเจี้ยนเหนียนกัดฟันพูด
เจียงเฉิงฟางยกยิ้มขึ้นก่อนจะพูดอย่างเชื่องช้า “เหล่ากัวหมายความว่าเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ สกุลกัวจะยอมรับแทนสกุลเซี่ยอย่างนั้นสินะ”
“ทะเบียนสมรสสำเร็จแล้ว เรื่องสกุลกัวของผมจบลงแล้ว นี่ก็เป็นแค่ธุรกิจเล็กๆ เลี้ยงปากท้องไปวันๆ หัวหน้าเจียงเองก็อย่าทำให้พวกเราปู่หลานลำบากใจเลย” กัวเจี้ยนเหนียนโมโหขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงรู้สึกใจฝ่อเลยได้แต่หัวเราะเสียงต่ำ “หลานของผมไม่รู้เรื่องรู้ราว เป็นความผิดผมเองที่ไม่สั่งสอนเขาให้ดี ต่อไปสกุลกัวของพวกเรายินดีจะไม่จัดวิวาห์ผีให้คนเป็นอีก หัวหน้าเจียงโปรดเข้าใจและปล่อยพวกเราไปเถอะครับ”
เจียงเฉิงฟางหัวเราะเสียงเย็น “ฉันไม่กล้าหรอก ฉันจะไปเอาความสามารถที่ไหนมาทำให้สกุลกัวของพวกนายเลิกจัดวิวาห์ผีให้คนเป็นอีกในอนาคต นายอย่าทำให้ฉันลำบากใจสิ”
“ผมขอถามคุณอีกหนึ่งคำถาม” ไอโม่ซินมองกัวเจี้ยนเหนียนด้วยสีหน้าราบเรียบ “สกุลกัวของคุณจะยอมรับเรื่องการแต่งงานครั้งนี้แทนสกุลเซี่ยใช่มั้ยครับ”
กัวเจี้ยนเหนียนมีสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ กัวเหยียนฉีอดทนไม่ไหวจึงชิงพูดขึ้นมา “เรื่องนี้ผมเป็นคนทำเอง จะยอมรับก็ได้ ทะเบียนสมรสก็สำเร็จแล้ว เพราะงั้นอย่าทำให้อายุขัยของปู่ผมลดลงได้มั้ย?!”
กัวเจี้ยนเหนียนออกแรงทุบหัวหลานชายอย่างอดไม่ได้ แม้แต่เรื่องที่ว่าอายุขัยของใครจะถูกลดลงไปก็ยังไม่รู้ เขาสงสัยจริงๆ ว่าหลานชายคนนี้เป็นคนที่เขาสอนมาเองกับมือจริงๆ หรือเปล่า แต่เมื่อเห็นสีหน้าของไอโม่ซินในใจของเขาก็กระวนกระวายเล็กน้อย เขาไม่ได้กลัวเจียงเฉิงฟางเพราะถึงอย่างไรสกุลเจียงก็เป็นสกุลที่ต้องสั่งสมบุญกุศล ย่อมไม่สามารถทำเกินขอบเขตได้ แต่เผ่าเถี่ยน…เขาไม่เคยคบค้าสมาคมมาก่อนจริงๆ
“งั้นก็ดี ในเมื่อสกุลกัวของพวกคุณยอมรับแล้วก็ไม่มีอะไรต้องคุยอีก” ไอโม่ซินหันไปทางเจียงเฉิงฟาง “หัวหน้า พวกเราไปกันเถอะครับ”
เจียงเฉิงฟางพยักหน้าหมุนตัวเดินจากไป ไอโม่ซินไม่ได้ตามไปในทันที เขายืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์สักพักและจ้องมองกัวเจี้ยนเหนียนเขม็ง กระทั่งชายชราทนไม่ไหวละสายตาออกไปในที่สุดเขาถึงเปิดปากพูด “เผ่าเถี่ยนของผมไม่เคยผูกความแค้นกับใครมายี่สิบสามรุ่น เมื่อก่อนไม่เคยมี ต่อไปก็จะไม่มี” น้ำเสียงของไอโม่ซินแผ่วเบาและราบเรียบ ทว่ามันกลับเย็นเยือกชวนให้ขนลุกซู่ “แต่เผ่าเถี่ยนให้ความสำคัญกับความผูกพันและคำสัญญาเหนือทุกสิ่ง และบังเอิญว่าคุณเจียงกับแฟนหนุ่มของเธอเป็นเพื่อนสนิทของผมมาหลายปี”
ไอโม่ซินพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง มองดูสีหน้าของกัวเจี้ยนเหนียนที่ไม่น่าดูขึ้นทุกทีโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา “หวังว่าในอนาคตสกุลกัวของพวกคุณคงจะไม่มีช่วงเวลาที่ต้องการชนเผ่าเถี่ยนนะครับ”
* ต้านปิ่ง เป็นอาหารที่มีส่วนผสมหลักคือไข่ แป้ง และผัก มักจะนำไปทอดเป็นแผ่นคล้ายไข่เจียว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 1 ก.พ. 66
Comments
comments
No tags for this post.