บทที่ 6
หลังไอโม่ซินจากไป เจี่ยงหนิงซวนเห็นว่าท่าทางของเจียงอี๋อันไม่ดีเท่าไรจึงอยู่กับเธอจนถึงเช้า
เจียงอี๋อันเองก็รู้สึกขอบคุณที่เจี่ยงหนิงซวนอยู่เป็นเพื่อนเธอได้จนถึงรุ่งสาง เธอไม่กล้ากลับไปนอนเลยได้แต่พูดคุยกับเขาไปเรื่อยๆ เจี่ยงหนิงซวนใส่ใจเธอมาก พูดคุยแต่เรื่องสมัยพวกเขายังอยู่ในโรงเรียน สถานะล่าสุดของพวกเพื่อนๆ และเรื่องที่เกี่ยวกับงานของเขาโดยไม่ได้ใช้โอกาสนี้พูดถึงเรื่องที่ว่าระหว่างพวกเขาจะเป็นไปได้หรือไม่
ความจริงเจียงอี๋อันก็แอบหวังว่าเขาจะพูดขึ้นมา แต่พอคิดอีกทีเธอก็นึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังถูกวิญญาณพัวพัน ถ้าพูดออกไปอาจจะนำอันตรายมาสู่เจี่ยงหนิงซวนได้ กระทั่งถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าเรื่องราวมันพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้ยังไง
เจี่ยงหนิงซวนเห็นว่าเธอกำลังรู้สึกแย่ก็พยายามคิดหาวิธีหยอกให้เธออารมณ์ดี กระทั่งถึงเวลาประมาณเจ็ดโมงก็มีคนหยิบกุญแจมาเปิดประตู ปฏิกิริยาแรกของเจียงอี๋อันย่ำแย่มาก พี่สาวของเธอกลับมาแล้ว เธอควรจะไปเปลี่ยนชุดนอนตั้งนานแล้ว แต่บนร่างของเธอยังคงสวมเสื้อโค้ตของเจี่ยงหนิงซวนอยู่
ขณะเดียวกันนั้นเธอก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องหลบซ่อน เธอชวนเพื่อนมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่บ้านอย่างบริสุทธิ์ใจ มีอะไรต้องกลัว
ความคิดสองอย่างนี้วนเวียนอยู่ในหัวเธอพร้อมกันทำให้ชั่วขณะหนึ่งเธอตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรดี ระหว่างที่ยังลังเลพี่สาวของเธอก็ถืออาหารเช้าเข้ามาแล้ว “อี๋อันรีบตื่นเร็ว พี่ซื้ออาหารเช้าจากร้าน PORK EGGS TOAST ของโปรดเธอมาด้วย…”
เจิ้งหมินซินเข้าประตูมาก็ถอดรองเท้าออก เมื่อเดินเข้ามาในห้องรับแขกก็เห็นน้องสาวของตัวเองกำลังขดตัวอยู่บนโซฟา มีผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ และเสื้อที่คลุมอยู่บนตัวของน้องสาวก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเสื้อโค้ตของผู้ชายคนนั้น
เธออึ้งไปสักพักถึงพูดขึ้น “อี๋อัน คนนี้ใครน่ะ”
“…เพื่อน…เพื่อนร่วมชั้น” เจียงอี๋อันลังเลแล้วอธิบายแบบง่ายๆ กระทั่งภายในห้องเงียบสนิทไม่มีใครพูดราวสิบวินาที เธอจึงตระหนักได้ว่าเธอต้องแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกันถึงจะถูก
เจิ้งหมินซินคิดว่าปฏิกิริยาของน้องสาวไม่ค่อยปกติ เธอพูดพลางยิ้มอ่อนคล้ายแก้เขิน “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นพี่สาวของอี๋อัน ชื่อเจิ้งหมินซิน”
เจี่ยงหนิงซวนตีหน้านิ่งตลอดตั้งแต่ที่เธอเข้ามา เจียงอี๋อันต้องสะกิดเขาเล็กน้อย เขาถึงได้กล่าวสวัสดีกลับไป
“เขาชื่อเจี่ยงหนิงซวน สนิทกับฉันและอันฉีมาก เมื่อวานฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย พอดีว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ก็เลยมาดูฉันน่ะ” ในที่สุดสมองของเจียงอี๋อันก็ทำงานเต็มที่ เธอลุกขึ้นยืนอธิบายกับเจิ้งหมินซิน
เจิ้งหมินซินมีนิสัยอ่อนโยนเลยไม่ค่อยสนใจท่าทางของเจี่ยงหนิงซวน ตอนที่เธอเอาอาหารเช้ามาให้เจียงอี๋อันก็ยังทำปากถามน้องสาวว่า “แฟนเหรอ”
“ไม่ ฉัน…นั่น…” เจียงอี๋อันอยากจะโต้แย้งออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อนึกได้ว่าถ้าพี่สาวรู้ว่าเธอมีแฟนแล้วยังจะเอาเธอไปแต่งงานกับคนตายตามใจชอบอีกเหรอ ขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกแปลกๆ ที่ตัวเองคิดแบบนี้ ทั้งที่คิดว่าพี่สาวของเธอจะต้องไม่มีทางรู้เรื่องแน่นอน
เจิ้งหมินซินเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่อยู่นาน ในใจก็พอจะคาดเดาได้เล็กน้อย เดิมทีเธอคิดจะหยอกล้อน้องสาวหน่อย แต่ปรากฏว่ามันกลับทำให้เจี่ยงหนิงซวนที่จ้องมองพวกเธอโดยตลอดโมโหขึ้นมา
“ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เธอไม่เต็มใจทำไมไม่กล้าพูดล่ะ?!” เจี่ยงหนิงซวนเห็นว่าเธอยังคงมีท่าทางเชื่อใจในตัวเจิ้งหมินซินอยู่ก็รู้สึกโกรธมาก ไหนจะเจิ้งหมินซินที่ทำเรื่องแบบนั้นลงไปแล้ว ทำไมยังมีหน้ามาทำท่าเป็นพี่สาวผู้แสนดีห่วงใยเรื่องความรักของเจียงอี๋อันอีกล่ะ
“ฉัน…ฉันไม่ได้…” เจียงอี๋อันปวดหัวจนแทบจะระเบิด เธอตื่นตกใจจนแทบไม่ได้นอนทั้งคืน สมองเลยไม่ค่อยแล่น ตอนแรกเธอไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงกับเจิ้งหมินซินดี พอถูกเจี่ยงหนิงซวนตวาดใส่ก็ยิ่งสับสน
เจี่ยงหนิงซวนเห็นใบหน้าเธอยังซีดอยู่เล็กน้อยก็นึกได้ว่าเธอคงตกใจมาก เจียงอี๋อันไม่กล้านอนตลอดทั้งคืน แถมเธอยังมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอยู่แล้ว จึงได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานด้วยเรื่องเล็กๆ อย่างพี่สาวเอาอาหารเช้ากลับมาให้
“เธอนั่งลงซิ” ตอนนี้เจี่ยงหนิงซวนรู้แล้วว่าทำไมทุกครั้งที่กินข้าวเช้าด้วยกันเว่ยอันฉีจะต้องคิดถึงเจียงอี๋อันตลอด
เจียงอี๋อันนั่งลงโดยไม่รู้ตัว ชั่วขณะนั้นเธอยังคิดว่าเว่ยอันฉีกำลังยืนด่าเธออยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ
“ทุกเช้าเธอจะมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ไม่กินข้าวเช้าอาจจะตายได้นะ! นั่งลงเลย!”
แต่ในสายตาของเจิ้งหมินซินทุกสิ่งกลับกลายเป็นอีกอย่างโดยสิ้นเชิง เธอมองน้องสาวผู้เข้มแข็ง เด็ดขาดและกล้าหาญของเธอด้วยความตกตะลึงตาค้าง พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นดุด่าและนั่งลงตามที่เขาบอก ไม่เหมือนน้องสาวที่พูดต่อหน้าคู่หมั้นของเธออย่างกับเด็กร้ายกาจว่า ‘ถ้านายกล้าทำไม่ดีกับพี่สาวของฉัน ฉันจะไม่ปล่อยนายไปแน่’
เจิ้งหมินซินเคยมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง เธอเป็นคนอ่อนโยนและใจดี ใช้ชีวิตกับสามีอย่างมีความสุข สามีจะมารับมาส่งเข้างานเลิกงานทุกวัน กระทั่งเธอกระโดดตึกฆ่าตัวตายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทุกคนถึงได้พบความจริงว่าเธอต้องรับความรุนแรงในครอบครัวมาตลอด เพราะสามีคอยควบคุมชีวิตและพฤติกรรมของเธอ ทำให้เธอเหมือนทาสรับใช้ในบ้านไปโดยสมบูรณ์ แต่ตอนกลางวันในเวลาทำงานกลับไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนมองออก เจิ้งหมินซินยังรู้สึกหดหู่อยู่พักใหญ่
เจิ้งหมินซินนึกถึงเรื่องนี้ก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เธอถลันเข้าไประหว่างพวกเขาก่อนพูดกับเจี่ยงหนิงซวนเสียงดัง “ทำไมคุณถึงต้องเสียงดังใส่น้องสาวฉันด้วย เชิญคุณออกไปเถอะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจนะ!”
ท่าทางปุบปับของเจิ้งหมินซินทำให้พวกเขาทั้งสองคนอึ้งไป เจียงอี๋อันรู้จักเจิ้งหมินซินดี เธอรู้ทันทีว่าพี่สาวเข้าใจผิดไป ขณะที่เธอคิดจะอธิบาย เจี่ยงหนิงซวนก็ได้สติกลับมาเช่นกัน เขาโต้กลับไปเสียงดัง “เธอก็แจ้งสิ! ฉันเป็นตำรวจ อี๋อันก็เป็นตำรวจ เธออยากแจ้งก็แจ้งเลย!”
เจิ้งหมินซินรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่ง แต่เธอก็ยังคงยืนขวางอยู่ตรงหน้าน้องสาว พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยแต่ก็ยังคงไม่สูญเสียความแน่วแน่ “อย่า…อย่าคิดว่าคุณเป็นตำรวจแล้วจะทำตามใจชอบได้นะ ไม่อายบ้างหรือไงที่รู้กฎหมายแต่ก็ยังทำผิดกฎหมาย?! น้องสาวฉันไม่มีทางอยู่กับคนอย่างคุณแน่ คุณรีบออกไปเลย ฉันจะแจ้งตำรวจจริงๆ แล้ว!”
เจิ้งหมินซินหยิบมือถือมากำไว้แน่นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเธอ ขณะที่เจี่ยงหนิงซวนกำลังจะโต้กลับไปอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง “…ฉันทำอะไรผิดกฎหมาย”
“พี่คะ มันไม่ใช่แบบที่พี่คิดนะ ฉันไม่ตีเขาก็บุญแล้ว พี่ยังคิดว่าเขาจะตีฉันได้อีกเหรอ” เจียงอี๋อันดึงเจิ้งหมินซินที่รู้สึกตกใจเล็กน้อยมาทางด้านหลังด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งตลก จากนั้นก็หันไปถลึงตาใส่เจี่ยงหนิงซวน “นายเป็นบ้าอะไร รีบไปทำงานเลย”
“ไม่สิ ฉันไปตีเธอตั้งแต่เมื่อไร” เจี่ยงหนิงซวนมึนงง ทอดมองสายตาของเจิ้งหมินซินที่เหมือนกำลังมองคนโรคจิต
“จะมาลีลาอะไร รีบไปเลย” เจียงอี๋อันหยิบอาหารเช้าของโปรดของพี่สาวยัดใส่มือเขา ก่อนคืนเสื้อโค้ตที่ยังสวมอยู่บนร่างให้เจ้าของไปและถือโอกาสผลักเขาออกไปนอกประตู จากนั้นเธอก็ต้องใช้เวลาถึงสี่สิบนาทีเต็มๆ เพื่ออธิบายให้เจิ้งหมินซินเชื่อว่าเธอไม่ได้คบหากับแฟนหนุ่มที่ชอบใช้ความรุนแรงในครอบครัว
พอพี่สาวเธอส่งเสียงเอะอะโวยวายเธอก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้นอีกแล้ว หลังจากเก็บของเรียบร้อยเจียงอี๋อันก็ออกไปทำงาน เธอยังจำได้ว่าไอโม่ซินให้เธอพยายามอยู่ในกรมตำรวจ กระทั่งใกล้จะถึงเวลาเลิกงาน เจี่ยงหนิงซวนก็มาอีกครั้ง มันทำให้เธอรู้สึกตื้นตันใจและขบขันนิดหน่อย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าก็ทำให้เธอรู้สึกขัดเขินขึ้นมา
เจี่ยงหนิงซวนคงจะกลัวเธอไม่พอใจ พอเปิดปากก็บอกว่ามาหาไอโม่ซิน โชคดีที่ใกล้จะถึงเวลาเลิกงานแล้วเช่นกัน เธอเลยไปบอกหมอซ่งแล้วพาเจี่ยงหนิงซวนออกไปรอไอโม่ซิน
เมื่อไอโม่ซินเจอพวกเขาทั้งสองคนก็เป็นตอนที่เจียงอี๋อันกำลังถลึงตาใส่เจี่ยงหนิงซวนอยู่ตรงบันไดสุดโถงทางเดิน
เขาทิ้งคำพูดดุดันเอาไว้ที่บริษัทผูกวาสนา ระหว่างทางกลับมาที่กรมตำรวจก็รู้สึกแย่เอามากๆ
เจียงเฉิงฟางจอดรถ พอเห็นเขามีสีหน้าไม่ดีก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ‘ช่วงนี้ปล่อยสกุลกัวไปก่อนเถอะ ถ้าอยากแก้ไขเรื่องเจียงอี๋อันก็คงต้องลงมือจากสกุลเซี่ย’
‘ผมรู้’ ไอโม่ซินสูดหายใจลึกๆ เขาไม่ได้ไปเจรจากับสกุลเซี่ยตั้งแต่แรกก็เพราะเจียงอี๋อันไม่อยากให้ส่งผลถึงเรื่องงานแต่งงานของเจิ้งหมินซิน ไอโม่ซินอดถอนหายใจไม่ได้ ‘ผมจะไปหาอี๋อันก่อนแล้วกันนะครับ อีกเดี๋ยวจะกลับไปตอกบัตร’
‘ไว้ลุงตอกบัตรให้นายเอง ถ้านายอยากไปหาสกุลเซี่ยก็มาเรียกลุงแล้วกัน’ เจียงเฉิงฟางกลัวว่าเขาจะไปหาสกุลเซี่ยด้วยตัวเองเลยรีบกำชับอีกประโยค
‘เข้าใจแล้วครับ’ ไอโม่ซินพยักหน้าอย่างจนปัญญาและเดินไปหาเจียงอี๋อันที่ห้องนิติเวช ปรากฏว่าเจียงอี๋อันไม่อยู่ เขาทักทายผู้อาวุโสนิดหน่อยก็นึกได้ว่าพวกเขาทั้งสองคนน่าจะยังไปได้ไม่ไกล เมื่อคิดได้ว่าหลายคนในกรมตำรวจมักออกไปสูบบุหรี่ตรงบันไดที่ใกล้ประตูหนีไฟบริเวณโถงทางเดินชั้นห้า เขาก็ขึ้นไปชั้นห้า สุดท้ายก็เห็นทั้งสองคนกำลังนั่งนิ่งอยู่ด้านบนสุดของบันได
“นายไม่ต้องไปทำงานเหรอ” ไอโม่ซินเห็นเจี่ยงหนิงซวนก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย การที่เขาเข้าใกล้เจียงอี๋อันบ่อยๆ ในช่วงนี้มีแต่จะเพิ่มอันตรายให้กับเขา
เจี่ยงหนิงซวนหยิบยันต์ที่ไอโม่ซินให้เขาไว้ออกมา “มันยังไม่ไหม้ อีกอย่างฉันก็เห็นว่าพวกนายใกล้จะเลิกงานแล้ว ก็เลยขอลามา”
เจียงอี๋อันนั่งอยู่ข้างๆ เขาโดยไม่ได้พูดอะไร ไอโม่ซินเห็นว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาผิดปกติเลยหันไปถามเจี่ยงหนิงซวน “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“…เปล่า” เจี่ยงหนิงซวนรู้สึกผิดนิดๆ และยังรู้สึกเหมือนถูกใส่ร้ายหน่อยๆ “เมื่อเช้าฉันอยู่เป็นเพื่อนอี๋อันสักพัก พี่สาวคนนั้นของเธอเอาอาหารเช้ากลับมาให้เธอ ฉัน…ทำตัวไม่ดี อี๋อันเลยโกรธน่ะ”
“ฉันไม่ได้โกรธ ฉันแค่คิดว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เธอ…เธอคงไม่รู้เรื่องอะไรแน่…” เจียงอี๋อันอดแก้ตัวแทนพี่สาวไม่ได้ และยังรู้สึกว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็รู้สึกโกรธเคืองนิดหน่อยด้วยเหมือนกัน การต้องเป็นตัวกลางคอยไกล่เกลี่ยระหว่างพวกเขาสองคนในบรรยากาศกระอักกระอ่วนแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกโมโหจริงๆ “ฉันไม่ได้พูดอะไรกับพี่ฉันเลย จู่ๆ นายก็โมโหขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล แล้วฉันจะไปทำให้เธอเชื่อได้ยังไงว่านายเป็นคนปกติ!”
ตอนนี้เจียงอี๋อันดูเหมือนจะอ่อนล้าและสิ้นหวัง เธอหันไปพูดกับไอโม่ซินด้วยความอารมณ์เสียอย่างไม่ปิดบัง “นายก็รู้ใช่มั้ยว่าเขาเว่อร์ขนาดไหน?!”
เจียงอี๋อันเล่าให้ไอโม่ซินฟังจบก็ถลึงตามองเจี่ยงหนิงซวนไปอีกที “ทำให้เมื่อเช้าฉันเกือบมาทำงานสายเลย”
ไอโม่ซินเห็นสีหน้าหดหู่ของเจี่ยงหนิงซวนก็แทบจะหัวเราะออกมา เขาส่งเสียงกระแอมเบาๆ เพื่อปกปิดมันไว้ เจียงอี๋อันดุด่าด้วยความโมโหเสร็จก็ถือว่าได้ระบายอารมณ์แล้ว ในใจจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เธอพูดกับไอโม่ซินด้วยใบหน้าคาดหวัง “พี่สาวของฉันปกป้องกันขนาดนี้ เรื่องนี้เธอคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอนใช่มั้ย”
ไอโม่ซินไม่อยากสาดน้ำเย็นใส่เธอเลยได้แต่บอกออกไปอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ “พี่สาวเธอไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลเสียกับเธอ”
ทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนบันไดอึ้งไป ทันใดนั้นเจียงอี๋อันก็หน้าซีด เจี่ยงหนิงซวนผุดลุกขึ้นมาทันทีและพูดว่า “เพราะงั้นเธอก็เป็นคนทำจริงๆ สินะ”
“นั่งลง นายอย่าเพิ่งแสดงความเห็นอะไรทั้งนั้น” ไอโม่ซินถลึงตาใส่เขา สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือความรู้สึกของเจียงอี๋อัน ไม่ใช่เจี่ยงหนิงซวน
เจี่ยงหนิงซวนดึงดันอยู่สักพัก สุดท้ายด้วยความสงสารเจียงอี๋อันที่มีใบหน้าซีดเซียวจึงนั่งลงเงียบๆ เขาเอื้อมมือไปด้วยความลังเลเล็กน้อยก่อนจะจับมือเธอเอาไว้ เขารู้สึกได้ว่าทั้งฝ่ามือนั้นเย็นเยียบ เลยได้แต่กุมมือเธอไว้แน่นและพยายามปลอบโยนเธอ
ไอโม่ซินเล่าสถานการณ์ในบริษัทผูกวาสนาที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้ให้ฟังคร่าวๆ “พี่สาวของเธอไม่รู้ว่าวิวาห์ผีนั่นจะมีผลกับเธอ พี่เธอคิดว่าเธอจะใช้ชีวิตตามปกติได้เหมือนเดิม แถมยังจะได้รับการคุ้มครองที่สามารถเพิ่มโชคลาภวาสนาได้ด้วย ชีวิตจะได้ราบรื่นและสมบูรณ์ยิ่งกว่าเดิม พี่เธอคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดี”
เจียงอี๋อันฟังไอโม่ซินอธิบายอยู่เงียบๆ พร้อมความรู้สึกปั่นป่วน หัวใจที่เคยเต้นโครมครามในทีแรกเชื่องช้าลงจนกลับมาสงบนิ่งภายในไม่กี่นาทีเท่านั้น เธอสูดหายใจลึกๆ หลังจากรู้สึกสงบลงแล้วจึงเอ่ยเสียงต่ำ “เพราะงั้น…เธอ…เธอถูกว่าที่แม่สามีหลอกเหรอ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ไอโม่ซินรู้ว่าถ้าเจียงอี๋อันคิดว่าพี่สาวของเธอถูกหลอก และไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเธอ หญิงสาวก็คงจะรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าเจิ้งหมินซินไม่มีส่วนรับผิดชอบเพราะเรื่องนี้
“แต่ไม่ว่าพี่สาวของเธอจะทำเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกแบบไหน ผลสุดท้ายก็ยังทำร้ายเธออยู่ดี พี่เธอก็ต้องรับผิดชอบ…” ไอโม่ซินพูดเพียงเท่านี้ ถ้าเจียงอี๋อันรู้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะส่งผลกระทบไปถึงการแต่งงานของตัวเจิ้งหมินซินเอง เธอจะต้องรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมแน่นอน
เจียงอี๋อันรู้สึกเศร้าเล็กน้อยจึงขยับเข้าไปหาเจี่ยงหนิงซวนโดยไม่รู้ตัว เธอกัดริมฝีปากอยู่สักพักก่อนเอ่ยถาม “งั้น…งั้นจะทำยังไงดีล่ะ”
ไอโม่ซินกำลังรอให้เธอถามอยู่พอดี เขาพูดอย่างสงบนิ่ง “พี่สาวของเธอคงวางตัวอยู่วงนอกไม่ได้แล้ว ฉันต้องไปที่สกุลเซี่ยเพื่อเจรจากับเซี่ยเจิ้งจง”
เจี่ยงหนิงซวนคิดว่าอุณหภูมิร่างกายของเจียงอี๋อันลดลงเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้สวมเสื้อโค้ตมาเลยเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของไอโม่ซินแทน ไอโม่ซินจึงถอดเสื้อโค้ตไปคลุมให้เจียงอี๋อัน
เจียงอี๋อันงอขากอดอก ลมหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อยขณะที่ถามเสียงสั่น “ไม่มีทางเลี่ยงพี่สาวฉันได้เลยเหรอ ฉันไม่อยากให้มันกระทบกับงานแต่งงานของเธอ…”
เจี่ยงหนิงซวนเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อถูกไอโม่ซินถลึงตาใส่ไปหนึ่งทีก็เก็บคำพูดกลับไป
“นอกซะจากสกุลเซี่ยจะไม่เซ่นไหว้เซี่ยเจิ้งจงอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางเลี่ยงพี่สาวของเธอได้หรอก พี่สาวเธอเป็นคนเซ็นทะเบียนสมรสของเธอ เพราะงั้นพี่สาวเธอต้องรับผิดชอบ” ไอโม่ซินเดินเข้าไปนั่งลงบนขั้นบันไดที่ต่ำกว่าเจียงอี๋อันหนึ่งขั้นพร้อมพูดเรียบๆ “อี๋อัน ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นฉันจะบอกผลที่ตามมาให้เธอรู้ก่อน”
เจียงอี๋อันหันไปมองเขา ไอโม่ซินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่สาวของเธอเซ็นทะเบียนสมรสแทนเธอด้วยตัวเอง วิวาห์ผีครั้งนี้ก็เลยสำเร็จ พอถึงวันชิงหมิงเธอก็จะถูกบันทึกลงในผังสกุลเซี่ย และต่อให้ตายเธอก็จะไม่มีทางแยกจากเซี่ยเจิ้งจงได้ วิวาห์ผีสำหรับคนตายคือการขอเครื่องเซ่นไหว้ สำหรับคนเป็นก็คือการขอความสงบสุข คนที่ถูกลากเข้าไปในวิวาห์ผีแบบงงๆ อย่างเธอจะไม่ได้แต่งงานอีกเลยตลอดชีวิต เธอจะถูกเซี่ยเจิ้งจงก่อกวนไปจนตาย พอตายแล้วก็ยังเป็นคนของสกุลเซี่ย”
เจียงอี๋อันได้ยินดังนั้นก็หนาวเหน็บไปทั้งร่าง ในที่สุดเจี่ยงหนิงซวนก็ทนไม่ไหว เขากัดฟันถาม “กำจัดเขาไม่ได้เหรอ ยังไงเขาก็ตายไปแล้วนี่นา!”
ไอโม่ซินมองเขาอย่างจนปัญญา “ถ้าแบบนั้นอี๋อันจะไม่ใช่แค่ไม่มีบุพเพสันนิวาสอีก แต่ไม่ว่าเธอจะอยู่กับใครเธอก็จะเป็นหม้ายไปตลอดชีวิต นายอยากลองดูมั้ยล่ะ”
เจี่ยงหนิงซวนดูเหมือนอยากจะพูดว่าลอง แต่กลับต้องถอยร่นกลับไปเพราะสายตาของไอโม่ซิน หลังจากสงบลงแล้วเขาก็เข้าใจว่าไอโม่ซินหมายความว่ายังไง เจียงอี๋อันก็คงไม่ยอมเช่นกัน
เจียงอี๋อันเงียบไปครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “นายบอกว่าชิงหมิง…ดังนั้นช่วงก่อนชิงหมิงเขาไม่มีทางทำอะไรฉันได้ใช่มั้ย”
“ใช่ แต่เขาสามารถเข้าฝันเธอได้ทุกวันและเข้าใกล้เธอได้มากขึ้นเรื่อยๆ” ไอโม่ซินมองเห็นตาแดงก่ำและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเธอก็หวนนึกถึงวันที่ได้รู้จักเจียงอี๋อัน ตอนที่เผชิญหน้ากับหูเยี่ยนเจ๋อเธอออกจะกล้าหาญขนาดนั้น ถึงจะตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อก็ยังไม่ลืมคว้าเว่ยอันฉีไว้แน่นเพื่อไม่ให้เว่ยอันฉีเข้าไปใกล้หูเยี่ยนเจ๋อ เจียงอี๋อันที่เขารู้จักมักจะร่าเริงและมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ อาจจะขี้งอนไปบ้างแต่ก็นิสัยตรงไปตรงมาทำให้สนิทสนมได้ง่ายมาก ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนของเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้เจียงอี๋อันถูกทำร้าย
สุดท้ายไอโม่ซินก็ถอนหายใจ “ฉันจะพยายามยื้อเวลาให้มากที่สุด เธอก็ไปคิดให้ดีแล้วกัน เปิดอกคุยกับพี่สาวของเธอไปเลยก็ดี ถ้าเธออยากจะเสียสละบุพเพสันนิวาสของตัวเองเพื่อรักษาบุพเพสันนิวาสของพี่สาวเธอไว้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการกระทำที่พี่สาวเธอเซ็นทะเบียนสมรสแทนเธอเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีต่อเธอเหมือนกัน เธอไปคิดดูให้ดีเถอะ อี๋อัน ต่อให้ความผูกพันของพวกเธอดีแค่ไหน มันก็เป็นเส้นทางที่มีรอยแตกร้าว ตอนนี้เธอจะไม่สนใจก็ได้ แต่เธอจะไม่สนใจไปตลอดชีวิตได้เหรอ”
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าทนต่อไป ผลที่ตามมาก็ไม่ได้กระทบแค่ชาตินี้
ไอโม่ซินไม่ได้พูดประโยคนี้ออกไป เขาเพียงมองดูเจียงอี๋อันก้มหน้าซุกศีรษะเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างเงียบๆ ก่อนเธอจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ขอฉันคิดก่อนนะ”
เจี่ยงหนิงซวนทำหน้าบึ้งอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าเธอรู้สึกย่ำแย่ก็เอื้อมมือไปโอบหญิงสาวให้เธอเอนเข้ามาใกล้กับร่างของตัวเอง
ไอโม่ซินเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อลุกขึ้นก็กดไหล่เธอเป็นการปลอบใจ ก่อนจะส่งสายตาให้เจี่ยงหนิงซวนลงไปด้านล่าง
ภายในหัวใจของไอโม่ซินรู้สึกได้ถึงความอัดอั้นตันใจจนไม่อาจบรรยายได้ เขาช่วยเจรจากับผีแทนคนมาตั้งแต่เด็ก ระหว่างนั้นก็เคยเห็นทั้งคนดีและคนเลว เคยเห็นวิญญาณร้ายและวิญญาณที่ผูกอาฆาต เคยเจอสถานการณ์ที่น่าเกลียดเหลือทนและเลวร้ายบิดเบี้ยวยิ่งกว่านี้ แต่เขาไม่เคยรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้มาก่อนเพราะเจ้าของเรื่องไม่เคยเป็นเพื่อนของเขานั่นเอง
เมื่อไอโม่ซินเดินไปที่ห้องนิติเวชด้วยความกลัดกลุ้มก็เห็นว่าหมอซ่งยังอยู่ เขาถอนหายใจโล่งอก “อาจารย์ซ่ง”
“หืม? อี๋อันยังไม่กลับมาเลย นายหาเธอไม่เจอเหรอ” หมอซ่งกำลังเก็บของ ดูเหมือนเตรียมตัวจะเลิกงานแล้ว
“เจอครับ ผมหาเธอเจอแล้ว” ไอโม่ซินเดินเข้าไปยกยิ้มให้หมอซ่ง “อาจารย์ซ่งครับ ผมขอยืมของของอาจารย์อีกครั้งได้มั้ยครับ”
“หืม? อีกแล้วเหรอ” หมอซ่งเลิกคิ้วจ้องมองมาที่เขา “คราวก่อนที่นายยืมไป พอกลับมาเขาก็ขุ่นไปเลย กว่าจะดูแลให้เขากลับมาเหมือนเดิมได้นี่ไม่ง่ายเลยนะ”
“หยวนๆ ให้ผมอีกครั้งเถอะครับ ผมจะเอาไปให้อี๋อัน เธอมีปัญหานิดหน่อย” ไอโม่ซินพูดด้วยความจริงใจ “หนึ่งอาทิตย์ก็ได้ครับ ไม่ใช่ของที่รุนแรงมากนัก แค่สร้างความยุ่งยากเท่านั้น”
หมอซ่งได้ยินว่าเขาจะยืมไปให้เจียงอี๋อันก็มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย “ฉันก็ว่าทำไมสองวันมานี้เธอดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ร้ายแรงหรือเปล่า”
“ไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากบางอย่างน่ะครับ ผมยื้อเอาไว้สักหนึ่งอาทิตย์ก็น่าจะพอ แต่จะต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนวันชิงหมิงครับ” ไอโม่ซินพนมมือไหว้หมอซ่ง
“ก็ได้ เธอเป็นลูกศิษย์ที่น่าภูมิใจของเหล่าเฉา ถ้ามาเกิดเรื่องตอนอยู่กับฉัน หมอนั่นคงมาโวยวายเอากับฉันแน่” ถึงปากหมอซ่งจะบ่นกระปอดกระแปด แต่มือขวาก็รูดลูกประคำไม้เส้นหนึ่งออกจากข้อมือซ้าย
“ผมจะบอกให้เธอลงมารับกับอาจารย์ อาจารย์จะได้ถือโอกาสโน้มน้าวเธอไปด้วย เธออาจจะฟังอาจารย์ก็ได้” ไอโม่ซินลังเลอยู่สักพักก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับญาติของเธอน่ะครับ”
หมอซ่งได้ยินก็ถอนหายใจ ปัญหาใหญ่หลวงอะไรก็ไม่เท่ากับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับญาติพี่น้อง “เข้าใจแล้ว ฉันจะพูดกับเธอสักสองสามประโยคตามสมควรก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับอาจารย์” ไอโม่ซินขอบคุณหมอซ่ง เมื่อหมุนตัวเดินออกไปก็ส่งข้อความให้เจี่ยงหนิงซวนพาเจียงอี๋อันมาเอาสร้อยข้อมือ
หมอซ่งมีนิสัยละเอียดรอบคอบและยังเป็นผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์ชีวิตโชกโชน ได้เห็นความเย็นชาต่างๆ นานาบนโลกนี้มาหมดแล้ว หลายเรื่องไม่ต้องพูดมากมายเขาก็รู้ว่าควรจะโน้มน้าวใจคนอย่างไร ถึงคนแก่อย่างเขาจะไม่มีความสามารถพิเศษอะไร แต่ในฐานะที่เป็นหมอนิติเวชมาทั้งชีวิตและเคยชันสูตรศพมามากกว่าพันศพ ต้องอาศัยรายงานของเขาในการไขคดีมานับไม่ถ้วน เขาเองก็เคยเห็นผีอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยกลัวเลย กลิ่นอายพลังบนร่างของเขารุนแรง ดวงชะตาก็แข็ง จึงใส่สร้อยประคำเอาไว้ที่มือมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน ตอนเริ่มชันสูตรศพแรกก็สวม กระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังสวม นอกจากตัวเขาเองแล้ว วัตถุเวทอะไรก็ไม่สามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ดีกว่าประคำเส้นนี้
ถ้าเจียงอี๋อันสวมลูกประคำไม้เส้นนี้ ถึงแม้ว่าเซี่ยเจิ้งจงจะมีเส้นสมรสก็ไม่สามารถเข้าใกล้ตัวเจียงอี๋อันได้อยู่ดี
แต่มันก็แค่ชั่วคราว ไอโม่ซินยังต้องหาวิธีแก้เส้นสมรสโดยจ่ายค่าตอบแทนให้น้อยที่สุด ไหนจะยังสกุลเซี่ยอีก…ถึงแม้จะสามารถแก้ไขเรื่องของเจียงอี๋อันได้ แต่ตราบใดที่สกุลเซี่ยยังไม่ยอมรามือก็ต้องมีคนอื่นถูกทำร้ายอยู่ดี เขาจะต้องหาวิธีที่เหนื่อยครั้งเดียวแต่จบสิ้นอย่างเด็ดขาด
ไอโม่ซินขมวดคิ้วเดินกลับไปที่ห้องทำงานด้วยความหงุดหงิด เขาแค่หวังว่าเจียงอี๋อันจะคิดตกภายในหนึ่งอาทิตย์ ไม่อย่างนั้นเวลาจะยิ่งจวนตัวขึ้นเรื่อยๆ
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts /
comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.