X
    Categories: everYคน • สื่อ • วิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 4-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 4

เมื่อไอโม่ซินก้าวเข้าไปในสำนักงานก็ตอบข้อความของเจียงเฉิงฟางเสร็จพอดี และแจ้งไปว่าตัวเองอยู่ที่กรมแล้ว

ดูเวลาแล้วยังไม่ถึงเก้าโมง วันนี้นับว่าเขามาค่อนข้างเช้า ขณะนั้นอวี๋จิ้งเอินกำลังดูข้อมูลคดีอยู่ในห้องทำงาน เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็แปลกใจนิดหน่อย “วันนี้มาเช้าจัง”

“ถูกขุดขึ้นมาจากเตียงตั้งแต่ตีสามน่ะครับ” ไอโม่ซินหาว อยากไปชงกาแฟสักแก้วแต่กลับหาเมล็ดกาแฟไม่เจอ

“เมื่อวานฝ่ายธุรการยืมไปรับรองแขกน่ะ ยังไม่ได้เอากลับมาคืนเลย” อวี๋จิ้งเอินทำปากยื่น “ดูแล้วน่าจะไม่คืนด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไปซื้อสักแก้วแล้วกัน” ไอโม่ซินลูบคลำต้นคอที่รู้สึกปวดเมื่อยเล็กน้อย ทันทีที่เข้าไปในห้องทำงานเขาก็รู้สึกว่าสามารถผ่อนคลายได้ ทั้งร่างเริ่มรู้สึกปวดแปลบ ความเหนื่อยล้าก็พรั่งพรูขึ้นมา

“ฉันไปเอง นายกินข้าวเช้าหรือยัง ฉันจะได้ซื้อมาให้ด้วย” อวี๋จิ้งเอินเห็นเขาขอบตาดำคล้ำจึงลุกขึ้น ตั้งใจจะไปทำให้

เดิมทีไอโม่ซินอยากจะปฏิเสธ แต่ทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้เขาก็เริ่มง่วง สุดท้ายเลยขยี้ตาพลางกล่าว “งั้นรบกวนด้วยนะครับ”

“จะมาเกรงใจอะไรฉัน” อวี๋จิ้งเอินเห็นเขาฟุบลงกับโต๊ะไปแล้วจึงหยิบเสื้อโค้ตและกระเป๋าเงินวิ่งออกไป

จะว่าไปแล้วภายในห้องทำงานแห่งนี้ก็มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นข้าราชการธรรมดา ทำงานแปดโมงเลิกงานหกโมง แต่ไอโม่ซินนั้นไม่เหมือนกัน ตั้งแต่เขาเข้ามาในกรมฯ ก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเข้างานก่อนแปดโมงเช้าตามปกติเลย บางครั้งก็ไม่เห็นเข้ามาเลยสามสี่วันด้วยซ้ำ นอกจากนี้ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนของทุกปียังต้องลาหยุดไปสองเดือนด้วย คนจากหน่วยอื่นก็พูดด้วยน้ำเสียงอิจฉาว่า ‘รุ่นน้องคนนั้นของนายน่ะมาเอาบำนาญเฉยๆ ล่ะมั้ง’

‘นั่นน่ะรุ่นพี่ฉัน ตอนที่เขาเริ่มทำคดี นายยังไม่ได้เข้าโรงเรียนตำรวจเลย’ อวี๋จิ้งเอินถลึงตามองเขา ขี้เกียจคุยกับอีกฝ่ายให้มากความ ถึงยังไงถ้ามีคนนินทาในที่สาธารณะจริงๆ หัวหน้าก็คงออกมาจัดการเองแหละ

อวี๋จิ้งเอินวิ่งไปยังร้านอาหารเช้าที่ตัวเองไปเป็นประจำ ปกติไอโม่ซินจะกินข้าวที่บ้านแล้วค่อยออกมา ไม่อย่างนั้นเขาก็จะเอาอาหารมาที่กรมฯ ด้วย น้อยครั้งมากที่เขาจะมาทำงานโดยที่ท้องว่าง แม้จะไม่มั่นใจว่าไอโม่ซินชอบอันไหน แต่อย่างน้อยก็จำได้ว่าหัวหน้าเคยบอกว่าเจ้าตัวไม่เลือกกิน เขาจึงซื้อแซนด์วิชที่เป็นอาหารแนะนำในร้าน จากนั้นค่อยไปซื้อกาแฟอีกสองแก้วถึงได้กลับไปที่ห้อง

เมื่ออวี๋จิ้งเอินกลับมาก็พบว่าเจียงเฉิงฟางยังไม่เข้ามา เขานำกาแฟกับแซนด์วิชไปวางไว้บนโต๊ะของไอโม่ซินแล้วสะกิดอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความระมัดระวัง “เสี่ยวไอ กินอะไรก่อนแล้วค่อยนอนเถอะ”

ไอโม่ซินตื่นขึ้นมาเพราะถูกสะกิด เมื่อพบว่าตัวเองเผลอหลับไปช่วงสั้นๆ ก็ต้องรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เขาลูบหน้าลูบตาแล้วรับกาแฟมา “ขอบคุณครับ”

“คดีตอนเช้าวุ่นวายมากเหรอ ทำไมหัวหน้าถึงไม่เข้ามาล่ะ” อวี๋จิ้งเอินถามด้วยความสงสัย

“ความแค้นสามร้อยปี จัดการยาก…” ไอโม่ซินกัดแซนด์วิช ตอนเช้าที่บ้านสกุลเกาก็กินไปแค่สองคำ ตอนนี้จึงรู้สึกหิวนิดหน่อยจริงๆ

“โห สามร้อยปีเลยเหรอ คงไม่ต้องหาบันทึกแล้ว” อวี๋จิ้งเอินหลุดปากตอบกลับไป

ไอโม่ซินพยายามตั้งสมาธิ พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นเขาก็นึกได้ว่ามีอย่างหนึ่งที่น่าจะค้นหาได้ “พี่อวี๋ ผมมีเรื่องจะรบกวนให้พี่ช่วยตรวจสอบหน่อย เมื่อประมาณยี่สิบห้าปีก่อนมีเหตุการณ์ใหญ่อะไรที่มีจำนวนคนตายมากกว่าร้อยคนบ้างหรือเปล่าครับ ไม่ก็สักสิบสามปีก่อนหน้านี้”

“โรคซาร์ส” อวี๋จิ้งเอินตอบอย่างรวดเร็วแล้วมองไอโม่ซินด้วยใบหน้ามีลับลมคมใน ก่อนพูดขึ้น “มีคดีใหญ่ขนาดนั้นจะตรวจสอบไม่ได้ได้ยังไง คนตายมากกว่าร้อยคน แถมยังไม่ใช่คนบาดเจ็บ อีกอย่างต่อให้มีจริงก็น่าจะเป็นพวกโรคระบาด ไม่งั้นก็ภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่นอะไรพวกนั้น”

ไอโม่ซินอึ้งไปเล็กน้อย คำถามที่ถามออกไปมันโง่มาก แบกรับชีวิตของคนเกือบร้อยชีวิตไม่ได้หมายความว่าเขาฆ่าคนมากมายขนาดนั้นให้ตายด้วยมือของตัวเอง แต่น่าจะเป็นการทำอะไรสักอย่างจนก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบนี้

โรคซาร์ส…โรคระบาดน่าจะเป็นไปไม่ได้ งั้นก็ภัยธรรมชาติเหรอ ภัยธรรมชาติ…

อวี๋จิ้งเอินเห็นไอโม่ซินขมวดคิ้วครุ่นคิด เคี้ยวอาหารในปากช้าๆ และกลืนลงไป ทันใดนั้นเขาก็คิดออกแล้วลุกขึ้นยืนเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

อวี๋จิ้งเอินมองไอโม่ซินพุ่งไปที่ซิงก์และอาเจียนออกมาจนทำให้เขาตกอกตกใจ

“นายเป็นอะไรไป มีอะไรหรือเปล่า แซนด์วิชไม่สดเหรอ ฉันไปดูเจ้าของร้านทำเลยนะ เมื่อเช้าฉันก็ยังกินอยู่เลย!” อวี๋จิ้งเอินรีบเข้าไปลูบหลังเขา ไอโม่ซินโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร

ในตอนนั้นเองเจียงเฉิงฟางก็เข้ามาพอดี เขาอึ้งไปสองวิก่อนจะพุ่งเข้ามาตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวไอ นายเป็นอะไรไปน่ะ”

“เอ่อ…เหมือนจะกินแซนด์วิชที่ผมเพิ่งซื้อมาเข้าไปแล้วก็อาเจียนออกมาน่ะครับ…” อวี๋จิ้งเอินเองก็งุนงงนิดหน่อย

เจียงเฉิงฟางหันกลับไปมองแซนด์วิชบนโต๊ะที่เขาเพิ่งกัดไปได้สองคำทันที ปฏิกิริยาแรกก็คือมีใครวางยาพิษหรือเปล่า?!

“ไม่มีอะไรครับ แค่อาเจียนเอง ไม่มีใครวางยาพิษหรอก” ไอโม่ซินอาเจียนเสร็จก็บ้วนปาก ทำความสะอาดซิงก์ให้เรียบร้อย จากนั้นก็หันกลับไปมองเจียงเฉิงฟางที่ดูท่าทางเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู

เจียงเฉิงฟางยังคงพิจารณาแซนด์วิชอันนั้นอยู่ เขาขมวดคิ้วแล้วหันกลับมามอง “คงไม่ได้ไปจับของสกปรกอะไรมาใช่มั้ย”

“เมื่อเช้าผมก็กินร้านนั้นนะครับ เป็นแซนด์วิชแบบเดียวกันเลย เจ้าของร้านเขาดีมากนะครับ” อวี๋จิ้งเอินพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ไอโม่ซินรับไม่ได้จนต้องแย่งของที่ตัวเองกินไปครึ่งหนึ่งในมือของเจียงเฉิงฟางมาโยนทิ้งลงถังขยะ “ของกินไม่ถูกกับกระเพาะน่ะครับ อาเจียนออกมาก็โอเคแล้ว ผมไม่ได้เป็นอะไรด้วย ถ้าแซนด์วิชมีพิษเขาจะปล่อยให้ผมกลืนลงไปได้ยังไงล่ะครับ”

ท่านลุงเล็กที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ค่อนข้างกังวลเช่นกัน พอเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วก็ถลึงตาไปทางเจียงเฉิงฟางด้วยใบหน้าดูถูก

เจียงเฉิงฟางคิดดูก็เห็นด้วย ของที่ไอโม่ซินจะกิน ชนเผ่าเถี่ยนย่อมตรวจสอบมาแล้ว หลายครั้งเขายังเห็นว่ามีคุณยายคนหนึ่งฉวยโอกาสตอนที่ไอโม่ซินไม่ทันสังเกตหยิบเข็มเงินออกมาทดสอบพิษในอาหารด้วย ทำเอาเขาตะลึงจนตาค้างไปเลย

ไอโม่ซินอาเจียนจนเหนื่อยจึงนั่งลงหวังจะหยิบกาแฟมาดื่ม แต่ก็ถูกอวี๋จิ้งเอินแย่งไป “อาเจียนออกมาหมดแล้วอย่าดื่มกาแฟเลย เดี๋ยวจะปวดท้องเอา กินน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปซื้อนมร้อนๆ มาให้”

“แต่ผมหิวแล้วนี่นา” กระเพาะของไอโม่ซินถ้าไม่บิดก็เริ่มส่งเสียงร้องแล้ว

“ไม่ต้องเอานมหรอก นายรอเดี๋ยวนะ ลุงจะไปเอาของดีมาให้นาย” เจียงเฉิงฟางตบไหล่ไอโม่ซินแล้วเดินออกไปจากห้องทำงาน ไม่ถึงห้านาทีเขาก็เอากล่องอาหารกลับมา

ไอโม่ซินมองดูแวบเดียวก็จำได้ว่านี่คือกล่องอาหารที่ท่านแม่ทำให้เฉินซื่อจวิน เขาพูดอย่างจนปัญญา “ทำไมถึงไปแย่งกล่องข้าวของลุงเฉินล่ะครับ”

“นานๆ ทีเอง นายไม่สบายท้อง กินของที่แม่นายทำดีที่สุด” เจียงเฉิงฟางช่วยเขาเปิดกล่องข้าวด้วยรอยยิ้ม

ไอโม่ซินเห็นกล่องข้าวที่คุ้นตาก็หิวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามได้กลิ่นที่คุ้นเคย เขาจึงได้แต่กินไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

ไม่นานเฉินซื่อจวินก็ถือกระติกเก็บความร้อนเข้ามา “ลืมซุปแล้ว แม่นายต้มซุปไว้น่ะ”

ไอโม่ซินเห็นทุกคนรุมล้อมเขากินอาหารก็รู้สึกว่ามันเกินไปหน่อยเลยพูดด้วยสีหน้าจนใจ “ผมไม่เป็นไรครับ แค่ไม่สบายท้องนิดเดียวเอง ลุงเฉินน่าจะยุ่ง เดี๋ยวตอนเที่ยงผมจะซื้อมาคืนให้นะครับ”

“ไม่เห็นต้องคืนเลย ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องแบบนี้กับฉันหรอก แล้วก็ไม่ต้องรีบกินด้วย” เฉินซื่อจวินตบไหล่เขาด้วยความขบขันแล้วหมุนตัวเดินจากไป

“นี่กำลังเรียนรู้การเป็นพ่ออยู่สินะ” เจียงเฉิงฟางกอดอกจับคางพูด

ไอโม่ซินถลึงตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง เจียงเฉิงฟางนั่งลงเทซุปให้เขา กลิ่นหอมฟุ้งไปรอบๆ จนอดรินแก้วเล็กๆ ให้ตัวเองไม่ได้ “ทำไมท่านบรรพบุรุษถึงไม่มาล่ะ นายอาเจียนเลยนะ”

ไอโม่ซินกลอกตาใส่เขา “อาเจียนนะครับไม่ได้ตาย ทำไมต้องตื่นตูมด้วย”

“ถุยๆๆ อัปมงคล อย่าพูดจาซี้ซั้วนะ” เจียงเฉิงฟางชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็แกะส้มให้เขากินเป็นผลไม้หลังอาหาร

“ช่วงนี้เขากลับไปหาของที่รังเก่าน่ะครับ” ไอโม่ซินเองก็ได้รับสายตาถมึงทึงจากท่านลุงเล็กเช่นกัน จึงทำได้เพียงตอบกลับไปแต่โดยดี

“รังเก่า?” เจียงเฉิงฟางครุ่นคิด ในความทรงจำท่านบรรพบุรุษก็เคยบอกว่ามีบ้านเดิมอยู่จริงๆ “ของสำคัญมากเลยเหรอ”

“ไม่รู้สิครับ เขาไม่ได้บอกผม” ไอโม่ซินดื่มน้ำซุป ซุปไก่น้ำข้นรสจัดไหลไปตามลำคอและลงไปในกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกสบายสุดๆ

เจียงเฉิงฟางคิดในใจว่าท่านบรรพบุรุษยังมีเรื่องที่ไอโม่ซินไม่รู้ด้วย แต่ในเมื่อท่านบรรพบุรุษไม่พูดก็น่าจะมีเหตุผลของท่าน เขาอย่าไปถามเลยดีกว่า ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “เมื่อเช้านายไปไหนมา ทำไมไม่กลับบ้านล่ะ”

“คิดแล้วก็โมโห” ไอโม่ซินกลอกตา เล่าเรื่องที่ถูกสือหมิงหลอกเมื่อเช้านี้ให้เขาฟัง และยังถือโอกาสส่งต่อข้อมูลโรงพยาบาลที่เกาเฉิงย่วนส่งมาให้เจียงเฉิงฟางดูด้วย

“นายถูกคนอื่นหลอกกับเขาเป็นด้วยเหรอ” เจียงเฉิงฟางแปลกใจนิดหน่อย สือหมิงมีนิสัยที่ชัดเจนตรงไปตรงมาในระดับที่สามารถเทียบกับท่านบรรพบุรุษของเขาได้ ไม่นึกเลยว่าจะหลอกคนอื่นได้ด้วย เขาคิดไปคิดมาก็พูดอีกครั้ง “เขาน่าจะไม่ได้ตั้งใจมั้ง”

“แหงอยู่แล้ว” ไอโม่ซินเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน “แต่ดูจากผลลัพธ์แล้ว ผมก็ถูกเขาหลอกอยู่ดี”

“ธงโลหิต…ลุงไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” เจียงเฉิงฟางรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เขาหยิบสมุดบันทึกออกมาเน้นประเด็นสำคัญที่ไอโม่ซินพูด อวี๋จิ้งเอินก็เข้ามาถกด้วย

“รุ่นพี่ไอ ก่อนที่นายจะอาเจียนออกมาเมื่อกี้นี้นายกำลังจะพูดอะไรน่ะ”

ไอโม่ซินขมวดคิ้ว เขาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกจริงๆ แต่ตอนที่อาเจียนเมื่อกี้นี้เขาลืมไปหมดแล้ว “จำไม่ได้แล้วครับ…”

ทันใดนั้นเจียงเฉิงฟางก็ใจกระตุกวูบ มองไปที่สมุดบันทึกอยู่สักพักถึงค่อยปิดลง “เรื่องสำคัญแบบนี้ค่อยๆ ตรวจสอบเถอะ เย็นนี้ฉันจะไปดูน้องชายคนนั้นกับนายด้วย”

เจียงเฉิงฟางพูดจบก็ลุกขึ้นพูดโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “เห็นนายกินแล้วก็หิว ฉันไปซื้อของมากินนะ”

“หัวหน้าครับ ให้ผมไปเถอะ หัวหน้าอยากกินอะไรครับ” อวี๋จิ้งเอินลุกขึ้น ถึงยังไงการวิ่งเต้นทำงานเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นหนึ่งในเนื้อหางานของเขาอยู่แล้ว

“ไม่ต้องๆ ฉันจะไปซื้อของที่ฉันชอบกินเอง” เจียงเฉิงฟางตบไหล่เขาแล้วลุกออกไปเอง

เจียงเฉิงฟางเดินออกไปนอกกรมตำรวจ เดินอ้อมทางเท้าของสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยืนอยู่ด้านนอกร้านขายซาลาเปาแห่งหนึ่งสักพัก สุดท้ายก็ได้เห็นคนที่เขาคาดไว้จริงๆ

“ผู้อาวุโส” เจียงเฉิงฟางก้มศีรษะลงทักทายอีกฝ่าย

ไอเฉินยืนมองเขาอยู่ตรงนั้นก่อนเอ่ยปากพูดช้าๆ “นายรู้แล้วเหรอ”

“ความจริงผมไม่รู้หรอกครับ แค่ลองดูว่าผมจะคิดมากไปเองหรือเปล่า” เจียงเฉิงฟางตอบกลับอย่างสุภาพ “ถ้าจะบอกว่าในช่วงสิบสามปีนี้เกิดเรื่องอะไรที่ทำให้คนตายเป็นร้อยแต่กลับไม่มีใครรู้เลย งั้นก็คงมีแค่เรื่องเผ่าเถี่ยนของพวกคุณแล้วล่ะครับ โม่ซินอาจจะยังนึกไม่ถึงอยู่สักพัก คุณเองก็ไม่ได้เตือนเขา ผมเลยกังวลว่าตัวเองอาจจะคิดมากไปหรือเปล่า”

ไอเฉินรู้ว่าเจียงเฉิงฟางมีความฉลาดเฉลียวไม่สมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ซื่อตรงของเขาเลย “ฉันไม่อยากให้เยวี่ยเจินกับโม่ซินสังเกตเห็นเรื่องนี้”

“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ เรื่องคุณเยวี่ยเจินเองก็คงไม่ต้องให้ผมพูดมาก แต่โม่ซินไม่ได้อยู่ในวัยที่จะไม่บอกเขาเพราะหวังดีกับเขาได้หรอกนะครับ อีกอย่างคนคนนั้นก็ไม่ได้ติดต่อมาสักระยะแล้ว เดี๋ยวโม่ซินก็คงสังเกตเห็นแน่” เจียงเฉิงฟางเข้าใจความรู้สึกที่ไอเฉินไม่อยากให้สองแม่ลูกไอหวนนึกถึงเรื่องนั้น แม้ไอเฉินจะทำแบบนี้ได้ ทว่าตัวเขาทำไม่ได้ ต่อให้เป็นท่านบรรพบุรุษของเขาก็คงไม่ทำแบบนี้เหมือนกัน

ไอเฉินขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าไม่น่าดูเอาซะเลย แต่เจียงเฉิงฟางก็พอจะแน่ใจได้ว่านี่ไม่ได้เป็นเพราะกำลังโมโหเขา ดังนั้นเจ้าตัวจึงตัดสินใจพูดอีกสักสองสามประโยค “ผู้อาวุโสครับ คุณเล่าเรื่องในตอนนั้นให้ผมฟังไม่ดีกว่าเหรอ โม่ซินไม่เคยเล่าเรื่องในอดีตของพวกเขาสองแม่ลูกให้ผมฟังเลย มีแต่พูดแบบคลุมเครือว่าพ่อเหมือนจะเป็นคนเนรคุณ ทำให้เผ่าเถี่ยนเกิดเหตุร้าย ถ้าเขาคือคนที่เจ้าของธงโลหิตกำลังตามหาอยู่จริงๆ ผมจะได้รู้ล่วงหน้าแล้วเตรียมการป้องกันไงครับ”

ไอเฉินมองเขาแวบหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจจางลงเล็กน้อย เขามั่นใจว่าไอโม่ซินคงไม่มีทางบอกตรงๆ ว่าพ่อของตัวเองเป็นคนเนรคุณแน่นอน แต่ฟังดูแล้วก็รื่นหูดีเหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะเล่าให้นายฟัง”

บทที่ 5

ไอโม่ซินสืบเรื่องที่เกี่ยวกับเกาเฉิงย่วนและเกาเซิ่งเฟิงผู้เป็นพ่อมาตลอดทั้งวัน สือซิ่นเรียลเอสเตตของครอบครัวพวกเขาก็ไม่ได้ซื่อสัตย์และเชื่อถือได้มากนัก งานก่อสร้างในช่วงแรกๆ ก็เกิดข้อพิพาทมากมาย มีข่าวเรื่องการบังคับรื้อถอน วางเพลิง และข่มขู่แพร่สะพัดออกมาไม่ขาดสาย เกาเซิ่งเฟิงและเกาเซิ่งอวิ๋นพี่ชายของเขาก็ขึ้นศาลอยู่ตั้งหลายครั้งเพราะทรัพย์สินของตระกูล จนกระทั่งตอนนี้คดีความก็ยังไม่ถูกตัดสิน เกาเซิ่งอวิ๋นไม่สามารถแย่งชิงมาจากน้องชายได้ ดังนั้นจึงมีความสุขไปกับการฟ้องร้องน้องชาย วุ่นวายอยู่เกือบยี่สิบปีเหตุการณ์ก็ยังคงไม่สงบลง

ตอนนี้เกาเซิ่งเฟิงทำให้สือซิ่นเรียลเอสเตตยิ่งใหญ่ ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ในช่วงยี่สิบปีนี้เขาก็ค่อยๆ วางมือและไม่ได้ทำการวางเพลิงบังคับรื้อถอนอีก แต่สิ่งที่ผู้คนชื่นชมตัวเขามากที่สุดก็คือความรักที่เขามีต่อภรรยาอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าเขาจะมีคนรักมากมายนับไม่ถ้วนหลังจากภรรยาตายจากไป แต่เขาก็ไม่เคยแต่งงานอีกเลย ทั้งยังรักใคร่เอ็นดูลูกชายเพียงคนเดียว

“…แบบนี้เรียกว่าความรักลึกซึ้งงั้นเหรอ” ไอโม่ซินไม่ค่อยเข้าใจ

“สำหรับมาตรฐานสังคมแบบดั้งเดิม คนอย่างเขาก็ถือว่ามีความรักลึกซึ้งเหมือนมหาสมุทรแล้ว” อวี๋จิ้งเอินกัดบิสกิตพลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ยกตัวอย่างราชวงศ์ที่มีบัลลังก์ต้องสืบทอด ก็ต้องรักษาอำนาจของรัชทายาทนั่นแหละ”

พออวี๋จิ้งเอินอธิบายแบบนี้ เขาก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง บัลลังก์สินะ…”

ไอโม่ซินเอียงศีรษะใช้ความคิด ก่อนจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “งั้นสำหรับรัชทายาท เกาเฉิงย่วนไม่ใช่ว่า…อ่อนโยนเกินไปเหรอครับ ถ้าเกาเซิ่งเฟิงตั้งใจอบรมสั่งสอนเขาจริงๆ ทำไมคนที่มีพื้นเพมาจากเส้นทางสีเทาถึงได้สอนให้ลูกชายเป็นเหมือนศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยแบบนี้ล่ะครับ”

“มีรัชทายาทที่เชื่อฟังดีกว่ามีรัชทายาทที่จะมาแย่งอำนาจไม่ใช่หรือไง” อวี๋จิ้งเอินงุนงง แถมยังตอบอย่างจริงจังอีกด้วย

ไอโม่ซินไม่ได้คิดไปในแง่นั้น เขายังคงมึนงงและรู้สึกสับสนอยู่ดี “แต่เขาสอนให้ลูกชายของเขาโอนอ่อนผ่อนตามแบบนี้ ในอนาคตถ้าเขาเป็นอะไรไป สกุลเกาของเขามีพลังไปก็ไร้ประโยชน์ สมบัติของบรรพบุรุษคงถูกแย่งชิงแบ่งเฉือนไปแล้วล่ะครับ”

“ถึงยังไงตอนนั้นเขาก็ตายไปแล้วนี่นา” อวี๋จิ้งเอินตอบไปส่งๆ

ไม่นึกว่าไอโม่ซินจะคิดว่ามันมีเหตุผลอยู่มาก ขณะที่กำลังจะถามต่ออีก ฝ่ายธุรการก็ถือพัสดุกล่องหนึ่งเข้ามา “ไอโม่ซิน พัสดุของนายน่ะ”

พออวี๋จิ้งเอินเห็นคนที่มาก็กระโดดเข้าไปแย่งพัสดุและพูดด้วยน้ำเสียงซักไซ้ไล่เลียง “เมล็ดกาแฟของพวกเราล่ะ?!”

“แขกยังไม่ไปเลย! พรุ่งนี้ก็ยังมีมาอีกชุด!” พูดจบคนคนนั้นก็หนีไปทันที

“ใครจะปล่อยแกไปฮะ! ฝ่ายธุรการมีแขกผีน่ะสิ! ไอ้หัวขโมยเมล็ดกาแฟ!” อวี๋จิ้งเอินพุ่งไปตะโกนเสียงดังอยู่ที่ประตู ไอโม่ซินเลยไปหยิบพัสดุด้วยความตลกขบขัน

“เอาเถอะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเอามาอีกถุงแล้วกัน” ไอโม่ซินก้มหน้ามองก็เห็นว่าเป็นตราประทับศาลคนกระดาษ

“เอามาสามร้อยกรัมก็พอแล้ว! ไม่งั้นพวกนั้นก็จะมาแย่งไปทุกสามวัน” อวี๋จิ้งเอินถลากลับมานั่งลงด้วยความโมโหแล้วพิมพ์ข้อมูลของเขาต่อ

ไอโม่ซินเปิดห่อพัสดุ ด้านในเป็นกล่องไม้เล็กๆ ส่งกลิ่นหอมของไม้จันทน์ออกมา พอเปิดออกดูก็พบว่าเป็นกำไลลูกประคำสีแดงออกม่วงเส้นหนึ่ง มันเป็นประกายราวคริสตัล ลูกประคำทุกเม็ดสะท้อนแสงละมุนละไม เป็นสีแดงออกม่วง

ไอโม่ซินมองดูด้วยความตกตะลึงอยู่สักพัก ถึงค่อยหยิบกำไลลูกประคำเส้นนั้นมาถูไปมาระหว่างนิ้ว เขาจำสิ่งนี้ได้ และจำลักษณะของแสงสว่างที่เต็มเปี่ยมอยู่บนกำไลข้อมือได้เป็นพิเศษ

“ของดีนี่นา นี่มันไม้ต้นจันทน์แดงใช่มั้ย ลุงขอดูหน่อยได้หรือเปล่า” เจียงเฉิงฟางโผล่มาด้านข้าง จ้องมองกำไลที่อยู่ในมือของเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภ ไอโม่ซินยื่นส่งให้เขา

“วัตถุเวทชั้นดีนี่ ท่านบรรพบุรุษให้นายเหรอ” เจียงเฉิงฟางลูบคลำนิดหน่อยก็คืนให้เขาด้วยความอาลัยอาวรณ์

“สือหมิงส่งมาน่ะครับ” ไอโม่ซินขมวดคิ้ววางกำไลข้อมือกลับเข้าไปในกล่อง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ก้าวฉับๆ ออกไป “ผมจะไปโทรศัพท์นะครับ”

ไอโม่ซินเดินไปถึงสุดปลายทางเดินก็กดโทรหาสือหมิง

[ฉันให้นาย ถือเป็นการขอโทษ]

ทันทีที่รับสายสือหมิงก็พูดประโยคนี้

“นายไปเอาของนี่มาจากไหน” ไอโม่ซินถามเสียงเบา

[ฉันได้มาตอนยังเด็ก ไต้ซืออู้ตั้นแบ่งลูกประคำของตัวเองออกเป็นสองเส้นก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านบอกให้ฉันมอบให้กับคนที่มีวาสนา เส้นที่อยู่กับฉันเป็นเส้นที่ท่านให้มา ส่วนอีกเส้นคุณลุงของฉันบอกว่าอยู่ในมือของท่านตานาย เส้นนี้ให้นายจะได้ครบสมบูรณ์]

ไอโม่ซินเงียบไปอยู่นาน เขาจำของสิ่งนี้ได้ ตอนที่ยังเด็กเขาชอบสัมผัสกลมเกลี้ยงและกลิ่นหอมของไม้จันทน์มาก เพราะกำไลข้อมือเส้นนั้นสวมติดอยู่กับมือพ่อแท้ๆ ของเขา

เขายังจำได้ว่าตัวเองนั่งอยู่บนตักพ่อ และคว้าข้อมือของพ่อมาจับลูกประคำเล่นอยู่เลย

[มีอะไรหรือเปล่า]

“ฉันเคยเห็นมันมาก่อน…” ไอโม่ซินพูดไปได้ครึ่งประโยคก็หยุดลง เรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายในตอนนี้ “งั้นเอางี้แล้วกัน อีกสักสองสามวันฉันจะไปหานาย”

ไอโม่ซินพูดจบก็ตัดสายทิ้ง ใบหน้าของพ่อในความทรงจำเลือนรางไปแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถจดจำความรู้สึกที่อยู่บนตักของพ่อได้ ความอบอุ่นที่สัมผัสได้ตอนจับมือใหญ่โตคู่นั้น นั่นเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘พ่อแท้ๆ’ เพียงเรื่องเดียวที่เขายอมจดจำ ถึงยังไงคนคนนั้นก็เป็นแค่คนที่มีหน้าตาเบลอๆ คนหนึ่ง ความทรงจำเหล่านี้ถือว่าเป็นการสร้างความทรงจำเชิงบวกให้คนเป็นพ่อในก้นบึ้งของหัวใจเท่านั้น เขาไม่อยากมีความรู้สึกต่อต้านคำว่า ‘พ่อ’ เพราะประสบการณ์ของตัวเอง

แต่ตอนนี้เขากลับตื่นตระหนกและตกตะลึงพรึงเพริดไปเพราะความทรงจำเหล่านี้ เนื่องจากจู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ผู้คนกว่าร้อยชีวิตที่ตายไปอย่างเงียบงันและไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากเผ่าเถี่ยนของเขาแล้วจะเป็นใครไปได้อีก

ถ้าหากกำไลข้อมือเส้นนี้เคยอยู่ที่มือของท่านตาเขา ถ้าหากไม่ได้มอบให้ท่านแม่ ก็คงมอบให้พ่อของเขา

ถ้าหากคนที่มู่จ้งไป๋ตามหาคือพ่อของเขา เช่นนั้นวัตถุเวทที่อีกฝ่ายพูดก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นกำไลข้อมือเส้นนั้น

แต่ในความทรงจำของเขา พ่ออาจจะเป็นคนที่ทอดทิ้งภรรยา เป็นผู้ชายที่ทิ้งครอบครัวและลูก แต่เพราะเหตุนี้เขาจึงเป็นคนที่สุดแสนจะธรรมดาเช่นกัน

ท่านแม่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เผ่าเถี่ยนล่มสลายหลังจากที่ตัวเองหนีมาอยู่เสมอ จนถึงวันนี้ก็ยังสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวเพื่อไว้ทุกข์อยู่ทุกวัน ท่านแม่มักจะคิดว่าตัวเองต้องแบกรับบาปกรรมส่วนนั้นไว้ แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านแม่ เผ่าเถี่ยนตั้งแต่คนแก่ไปจนถึงเด็กน้อยล้วนรู้ดีว่าที่เผ่าเถี่ยนล่มสลายเป็นเพราะภัยธรรมชาติ มันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่ใช่ความผิดของเธอและไม่ใช่บาปของเธอ

แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าพ่อของเขาแค่หนีไปกับท่านแม่เฉยๆ คนคนนั้นก็ไม่ต้องมาแบกรับบาปกรรมในการฆ่าล้างตระกูล พ่อของเขาไม่มีทางรู้ล่วงหน้าหรอกว่าเผ่าเถี่ยนจะล่มสลาย

แต่มู่จ้งไป๋ถือธงโลหิต กรรมชั่วบนตัวของคู่แค้นย่อมเผยออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องพูดโกหกเลย

ความจริงแล้วพ่อของเขาทำอะไรลงไปกันแน่ ถึงต้องแบกรับบาปกรรมที่เผ่าเถี่ยนล่มสลายแบบนี้

นั่นมันชีวิตคนตั้งหนึ่งร้อยสามสิบสองคนเชียวนะ…

ไอโม่ซินยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นใจ เขายินดีที่จะคิดว่าพ่อเป็นแค่ผู้ชายที่ไม่อาจรักเดียวใจเดียวและไร้ความรับผิดชอบ เขายอมรับได้ถ้าพ่อจะเป็นผู้ชายสำส่อน แต่เขารับไม่ได้เด็ดขาดถ้าพ่อเป็นตัวการที่ทำให้เผ่าเถี่ยนล่มสลาย

พ่อผู้มีสายเลือดเชื่อมโยงกับเขาเป็นคนที่ทำลายล้างครอบครัวท่านแม่เขาทั้งเผ่า

เขาเคยยินดีเก็บมันไว้ในหัวใจ ความทรงจำอันงดงามเล็กๆ น้อยๆ นั่น ราวกับน้ำมันดิบเหม็นเน่าบ่อหนึ่งสาดเข้ามาที่หัวใจ กัดกร่อนจุดที่อ่อนนุ่มมากที่สุดในส่วนลึกของหัวใจเขา

ไอโม่ซินรู้สึกว่าลมหายใจจุกอยู่ที่หน้าอก กระเพาะอาหารปั่นป่วนไปหมด เขาทนไม่ไหวจนต้องปิดปาก รีบกลับไปที่ห้องทำงานแล้วโก่งตัวอาเจียนอยู่หน้าซิงก์น้ำอีกครั้ง

เจียงเฉิงฟางตกอกตกใจ รีบกระโจนเข้ามาลูบหลังให้เขา “นายเป็นอะไรไป ทำไมถึงอาเจียนอีกแล้วล่ะ”

ไอโม่ซินพูดไม่ออก ในหัวพร่าเบลอ ไม่ว่าจะในกระเพาะหรือในหัวใจก็ปั่นป่วนไปหมด

ถ้าหาก…ถ้าหากท่านแม่รู้เข้า…

ไอโม่ซินคิดถึงตรงนี้ก็แทบจะหายใจไม่ออก ใบหน้าขาวซีดไปทั้งหน้า

“โม่ซิน สูดหายใจสิ”

น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูเขา เมื่ออ้อมกอดเย็นเยียบเล็กน้อยโอบกอดมาจากด้านหลังของตนเอง เขาถึงจำได้ว่าต้องหายใจ

ที่จริงเจียงเฉิงฟางจะเรียกรถพยาบาลแล้ว มือที่กำลังถือโทรศัพท์นั้นสั่นเทา ก่อนจะวางมันลง ถอยออกมาสองก้าวและส่งสัญญาณให้อวี๋จิ้งเอินออกไป

อวี๋จิ้งเอินถือน้ำอุ่นแก้วหนึ่งรออยู่ตรงนั้น เจียงเฉิงฟางส่งซิกอยู่สองครั้งเขาถึงเข้าใจ รีบวางแก้วน้ำเดินออกไปทันที

“เกิดอะไรขึ้น อะไรทำให้เจ้าตกใจเช่นนี้” เจียงหลีโอบกอดแผ่นหลังของเขาเอาไว้พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ไอโม่ซินหอบหายใจเล็กน้อย รู้สึกตัวว่ายังไม่ได้ปิดก๊อกน้ำก็รีบบ้วนปากล้างหน้าล้างตาถึงค่อยปิดก๊อก เขาดึงทิชชูสองสามแผ่นมาเช็ดหน้า รู้สึกเหมือนลำคอตีบตัน ต้องใช้เวลาสักพักก่อนจะพูดออกมาอย่างคลุมเครือว่า “ไม่มีอะไรครับ”

“นี่เรียกว่าไม่มีอะไรเหรอ!” เจียงเฉิงฟางฟ้องเจียงหลี “วันนี้โม่ซินอาเจียนมาสองครั้งแล้วครับ!”

เจียงหลีขมวดคิ้ว เอื้อมมือไปจับชีพจรเขา

สิ่งที่แปลกประหลาดเอามากๆ ก็คือตอนที่เจียงหลีกดลงบนข้อมือของเขา ความรู้สึกที่เหมือนอวัยวะภายในปั่นป่วนไปหมดเมื่อครู่นี้กลับหายวับไปทันที ลมปราณของเจียงหลีโคจรอยู่ในร่างกายของเขารอบหนึ่ง ดูเหมือนอวัยวะภายในจะสงบลงแล้ว และตอนนี้เขาก็ชินกับความรู้สึกนี้แล้ว

“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ” ไอโม่ซินฝืนยิ้มออกมา “คุณจัดการธุระของคุณเสร็จแล้วเหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก” หว่างคิ้วของเจียงหลียังไม่คลาย เขาหันไปมองแวบหนึ่ง ท่านป้าของไอโม่ซินก็มายืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว เจียงหลีเอียงศีรษะ เธอถึงได้เดินเข้ามาตรวจชีพจรให้ไอโม่ซิน

ท่านป้าตรวจอยู่สามนาทีเต็มๆ ถึงได้ปล่อยมือ “กระเพาะอาหารอ่อนแอนิดหน่อย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”

“เห็นมั้ยครับ บอกแล้วว่าไม่เป็นไร” ไอโม่ซินใช้น้ำเสียงปลอบโยนและกุมมือเจียงหลีไว้

“ไม่งั้นไปถ่ายเอ็กซเรย์อะไรนั่น…มั้ย” เจียงเฉิงฟางเสี่ยงพูดออกไป เขาคิดว่าไปหาแพทย์แผนตะวันตกน่าจะเชื่อถือได้มากกว่า

ท่านป้ามองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่ไม่นึกว่าเธอจะพยักหน้าพูดว่า “คนตะวันตกก็มีความสามารถของคนตะวันตก ไปตรวจให้สบายใจก็ได้”

เจียงหลีหันไปมองอีกครั้ง เขาเงียบไปสองวิก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไปโรงพยาบาลดีหรือไม่”

ไอโม่ซินไม่สามารถต้านทานสายตาของเจียงหลีและพวกผู้อาวุโสเป็นโขยงที่อยู่ด้านหลังนั่นได้ จึงทำได้แค่พยักหน้า “…ก็ดีครับ”

เจียงเฉิงฟางรีบไปขับรถและถือโอกาสส่งข้อความให้อวี๋จิ้งเอินกลับมา แล้วเจียงหลีก็จับมือไอโม่ซินเดินไปพร้อมกัน

หลังจากขึ้นรถไปแล้วถึงได้ยกมือขึ้นทำการปิดกั้นเสียงก่อนเอ่ยถามเขา “ในครอบครัวมีเรื่องอันใดหรือ”

ไอโม่ซินไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงไปชั่วขณะ ทั้งยังสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมเจียงหลีถึงถามแบบนี้

“ข้าไม่เห็นไอเฉิน” เจียงหลีมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “อีกอย่างก็ไม่มีเรื่องอันใดที่สามารถทำให้เจ้าตกใจได้”

ไอโม่ซินเงียบไปสักพัก ในใจรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง สุดท้ายก็พูดตะกุกตะกักออกมา “ผมเพิ่งพบว่า…พ่อของผมอาจจะต้องรับผิดชอบต่อการตายของเผ่าเถี่ยน”

เจียงหลีมองเขาอย่างจริงจังเอามากๆ เหมือนกำลังรอประโยคถัดไป แต่ไอโม่ซินไม่มั่นใจว่าตัวเองควรจะพูดอะไรเป็นประโยคถัดไปดี

เจียงหลีรออยู่หลายวินาทีกว่าจะเข้าใจได้ เขาถามไอโม่ซินตาปริบๆ “เจ้าคงไม่ได้กำลังคิดเรื่องพันธุกรรมนั่นใช่หรือไม่”

ไอโม่ซินอยากจะบอกว่าไม่ใช่ แต่ก็คิดว่าตัวเองยังคงแคร์เรื่องนี้จริงๆ ถึงได้กลัวแบบนั้น

เจียงหลีจับมือของเขามาวางลงบนหน้าอกพร้อมยกยิ้มอ่อนโยน “เจ้าพิสูจน์แล้วมิใช่หรือว่าเจ้าไม่ได้รับพันธุกรรมมาจากบิดาของเจ้า”

เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา ไอโม่ซินก็อึ้งไป ในใจผ่อนคลายลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวและพูดพร้อมรอยยิ้มจาง “ตอนนี้ผม…ไม่ได้กลัวว่าผมจะเหมือนเขา แต่ว่า…ถึงยังไงผมก็มีเลือดของเขาไหลเวียนอยู่ ถ้าหากนี่เป็นความจริง ผมก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคนในเผ่าของผมยังไง”

เจียงหลีทำหน้าสงสัยเล็กน้อย เขาเอียงศีรษะครุ่นคิดและพอจะนึกอะไรบางอย่างออก “มนุษย์อย่างพวกเจ้าค่อนข้างให้ความสำคัญกับสายเลือด แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากเจ้ากังวลมาก ข้าช่วยเจ้านำเลือดออกมาได้ แต่ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปสำหรับสุขภาพร่างกายของเจ้า หากเจ้าพยายามอีกนิด สักยี่สิบปีให้หลังก็น่าจะพอได้แล้ว…”

“เดี๋ยวนะครับ!” ไอโม่ซินห้ามเขาไว้อย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “คุณสามารถเอาเลือดของคนอื่นออกมาได้ด้วยเหรอครับ”

“แน่นอน หากข้าอยากเลี้ยงทายาทสักคน ข้าก็สามารถมอบโลหิตให้เขาได้ และยังสามารถริบกลับมาได้เช่นกัน” เจียงหลีมองเขาด้วยความสงสัย “สิ่งสำคัญสำหรับข้าก็คือจะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเขาอย่างไร ไม่ใช่ว่าเขามีสายเลือดของข้าไหลเวียนอยู่หรือไม่”

ไอโม่ซินมองอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง เจียงหลีคลี่ยิ้มอ่อนโยน ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของเขาเบาๆ “มารดาเจ้าอบรมเลี้ยงดูเจ้ามาจนโต พวกผู้อาวุโสในเผ่าเถี่ยนของเจ้าก็สั่งสอนและดูแลเจ้ามาจนถึงตอนนี้ เจ้าจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับพวกเขาได้อย่างไร หากคิดเช่นนี้พวกผู้อาวุโสของเจ้าคงเสียใจ ไม่เห็นหรือว่าไอเฉินหลบหน้าไปแล้ว เขาคงไม่อยากให้เจ้าเสียใจนั่นล่ะ”

เมื่อคิดถึงท่านตา ไอโม่ซินก็เสียใจขึ้นมานิดๆ เจียงหลีเอื้อมมือไปโอบเขาและลูบเบาๆ ที่ใบหน้าของเขา “พวกเขาล้วนเข้าใจเจ้า รู้ดีว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร เจ้าเองก็ต้องเข้าใจตัวเองด้วยสิ”

“…ครับ” ไอโม่ซินสูดลมหายใจลึกๆ ซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอของอีกฝ่ายก่อนส่งเสียงตอบรับแผ่วเบา

เจียงหลีลูบแผ่นหลังเขาเบาๆ เป็นการปลอบโยน ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้พูดขึ้น “เจ้ายังอยากไปหาหมออยู่หรือไม่”

ไอโม่ซินได้สติกลับมาก็นึกได้ว่าเจียงเฉิงฟางรออยู่นานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เขาจึงรีบลงจากรถไปขอโทษขอโพย เจียงเฉิงฟางชินแล้ว เลยติดต่อหมอไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อพาไอโม่ซินไปตรวจดูสักหน่อย

สุดท้ายก็ทำการอัลตราซาวนด์และเอ็กซเรย์ เนื่องจากเจียงหลีค่อนข้างต่อต้านเรื่องการสอดท่อผ่านลำคอไปดูกระเพาะ ดังนั้นจึงไม่มีการส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหาร

“ดูแล้วทุกอย่างก็โอเคนะครับ กระเพาะน่าจะอักเสบนิดหน่อย” คุณหมออาวุโสประคองแว่นตาดูรายงานผลตรวจ จากนั้นก็มองไอโม่ซินอีกครั้ง “แล้วก็น่าจะมีความเครียดมากเกินไปด้วย ทำงานเหนื่อยเกินไปหรือเปล่าครับ นอนไม่หลับหรือเปล่า”

ไอโม่ซินยังไม่ทันได้ตอบ หมอก็มองเขาอีกครั้ง “ดูจากขอบตาดำคล้ำของคุณ ผมจะจ่ายยาให้คุณนะครับ คนหนุ่มๆ น่ะต้องออกไปเที่ยวเยอะๆ หน่อย ผ่อนคลายสักนิด อย่าเครียดเกินไปเลยครับ”

“…ครับ ขอบคุณครับคุณหมอ” ไอโม่ซินเห็นท่านป้ากลอกตาอยู่ด้านหลังคุณหมอก็ไม่กล้าพูดอะไรมากมาย ได้แต่หยิบยาแล้วจากไปแต่โดยดี

“อย่ากินยาตะวันตกมากไปนะ” ท่านลุงเล็กเดินเข้ามาก็แย่งใบสั่งยาของเขาไปพินิจพิจารณากับท่านป้าใหญ่ ผู้อาวุโสหลายคนเองก็แขวะยาตะวันตกอยู่ตรงนั้นด้วย

ไอโม่ซินมองดูกลุ่มคนที่กำลังสนุกสนานแล้วถอนหายใจแผ่วเบา ยังไม่ทันจะถอนหายใจเสร็จก็ถูกตีเบาๆ พอเงยหน้าก็เห็นท่านตากำลังถลึงตามอง “ยังหนุ่มยังแน่นจะถอนหายใจอะไร”

“ทำไมต้องมาตีหลานฉันด้วย” ท่านยายโผล่ออกมาตีท่านตา แล้วยกมือลูบหัวเขาพร้อมยกยิ้มตาหยี

“อย่าถอนหายใจสิจ๊ะ เดี๋ยวโชคลาภวาสนาก็หายหมดพอดี”

ท่านตามักจะมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังมาแต่ไหนแต่ไร แต่ตอนที่กำลังมองดูเขา ลึกลงไปในดวงตาก็มีความรู้สึกที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นอยู่เสมอ ส่วนท่านยายก็มักมีรอยยิ้มรักใคร่เมตตาและความเป็นกันเองประดับอยู่บนใบหน้า ท่านยายจะมองมาที่เขาด้วยความรักใคร่เอ็นดูเหลือล้น ความรักที่พวกผู้อาวุโสมีต่อเขาล้วนประทับอยู่บนใบหน้าและในหัวใจ

ไอโม่ซินคลี่ยิ้มให้พวกเขา ในที่สุดหัวใจก็ปล่อยวางได้ ต่อให้ภายในร่างกายมีเลือดของคนคนนั้นอยู่ พวกเขาก็ตัดสายสัมพันธ์ทางสายเลือดไปนานแล้ว เขาเองก็มีเลือดของเผ่าเถี่ยนไหลเวียนอยู่ นอกจากนี้ยังมีความสามารถแข็งแกร่ง ดังนั้นจะไปสนใจสายเลือดของพ่อที่มีอยู่น้อยนิดนั่นทำไม ในอดีตคนคนนั้นไม่มีค่าควรให้เอ่ยถึงสำหรับเขา ในอนาคตก็เช่นกัน

เรื่องนี้ก็เป็นเหมือนคดีทั่วไป เจอคดีก็ต้องสืบ เจอวิญญาณอาฆาตก็ต้องจัดการ เขาก็ทำแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

หลังจากปล่อยวางได้และคิดถึงคดีนี้ เขาก็นึกถึงเรื่องเกาเฉิงย่วนขึ้นมาได้ เขาหันไปหาเจียงเฉิงฟาง อีกฝ่ายเห็นสายตาของเขาก็เดินเข้ามาหาก่อนขมวดคิ้วถาม “มีอะไรเหรอ ยังไม่สบายอยู่หรือเปล่า”

“เปล่าครับ ผมต้องไปหาเกาเฉิงเหลียงที่โรงพยาบาลสักหน่อย”

“…ก็ที่นี่แหละ” เจียงเฉิงฟางมองเขาอย่างหมดคำพูด “นายเป็นคนส่งข้อมูลโรงพยาบาลให้ลุงเอง โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชน คนในบ้านลุงก็มาที่นี่บ่อยๆ ลุงกะจะบอกว่าไว้นายตรวจเสร็จแล้วค่อยถือโอกาสไปดูพวกเขาหน่อยก็ได้”

ไอโม่ซินยิ้มเขินๆ “ที่แท้หัวหน้าก็วางแผนรอบคอบเหมือนกันนะครับเนี่ย”

“เอาเถอะ ไม่ต้องพูดจาเกรงอกเกรงใจกันหรอก” เจียงเฉิงฟางพูดยิ้มๆ หันไปก็เห็นท่านบรรพบุรุษกำลังพูดคุยกับไอเฉินอยู่ เขาเลยถามไอโม่ซินเบาๆ “สร้อยข้อมือเส้นเมื่อกี้นี้มีปัญหาอะไรเหรอ”

ไอโม่ซินได้ยินเรื่องนี้ก็อยากถอนหายใจออกมาอีกรอบแต่ก็กลั้นเอาไว้ “เอ่อ ผมลืมสร้อยข้อมือไว้ที่สำนักงานน่ะครับ”

“อยู่กับลุงนี่ ของแพงแบบนี้จะทิ้งไว้ตรงนั้นได้ไง” เจียงเฉิงฟางหยิบกล่องไม้กล่องนั้นออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขาด้วยความเสียดาย

“ขอบคุณครับ” ไอโม่ซินกล่าวขอบคุณ เขายัดกล่องไม้ใบนั้นเข้าไปในกระเป๋าพลางพูดเสียงเบา “สือหมิงบอกว่านี่เป็นสร้อยข้อมือที่ไต้ซืออู้ตั้นมอบให้คนที่มีวาสนา มันทำมาจากการแบ่งประคำของท่านออกเป็นสองเส้น”

เจียงเฉิงฟางได้ยินแบบนั้นก็นึกขึ้นได้ว่ามีวัตถุเวทในตํานานแบบนี้อยู่จริงๆ เขาพูดด้วยใบหน้าตกตะลึง “งั้นนี่ก็เป็นของล้ำค่าจริงๆ ที่แท้ก็อยู่ที่ศาลคนกระดาษนี่เอง สือหมิงให้นายเป็นของขวัญแสดงการขอโทษเหรอ”

“ครับ ส่วนอีกเส้นผมก็เคยเห็นตอนเด็กๆ” ไอโม่ซินขยับเข้าไปพูดเสียงเบา “อยู่ที่มือของพ่อผม”

เจียงเฉิงฟางรู้ได้ทันทีว่าจุดเชื่อมโยงอยู่ที่ไหน และไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่นี้ไอโม่ซินจะตกใจจนกลายเป็นแบบนั้น เขาเอื้อมมือไปลูบหลังอีกฝ่ายและพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน เขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับนายสักนิด”

ไอโม่ซินไม่แปลกใจที่เจียงเฉิงฟางตอบสนองรวดเร็วขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าตอนที่พูดถึงเรื่องนี้เมื่อช่วงบ่าย เจียงเฉิงฟางคงจะตระหนักได้แล้ว พูดตามตรงก็คือการตอบสนองของเขาช้าเกินไปนั่นเอง

“ผมรู้ครับ” ไอโม่ซินพยักหน้า

เจียงเฉิงฟางเองก็รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทำให้เขาเสียใจ “แค่ทำเหมือนคดีธรรมดาก็พอแล้ว คดียุ่งยากอะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ไม่ต้องไปคิดมาก”

“จะว่าไป” เจียงเฉิงฟางเปลี่ยนเรื่องคุย “หมอก็บอกว่าคนหนุ่มต้องออกไปเที่ยวเล่นเยอะๆ นี่นา ปีที่แล้วตอนงานวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของคุณลุงของลุงนายก็ไม่มา ลุงเสียใจมากนะ วันเกิดก็ฉลองไม่สนุก ตาแก่ยังบอกว่าปีนี้อยากให้สนุกหน่อย”

“นี่ก็เดือนเก้าแล้ว วันเกิดของผู้อาวุโสคงผ่านไปแล้วมั้งครับ” ไอโม่ซินเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ไป ช่วงนั้นเขาเพิ่งจะแก้ไขเรื่องของเจียงอี๋อันได้ สภาพจิตใจเลยไม่ค่อยดีนัก พอคิดว่าจะต้องไปเจอคนแปลกหน้าเยอะแยะมากมายก็รู้สึกกระสับกระส่าย สุดท้ายก็เป็นเจียงหลีที่บอกไปตรงๆ ว่าไม่ไป จากนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจนิดๆ ที่ไม่ได้ไป แต่เมื่อคิดจะไปเยี่ยมอีกรอบก็โดนเจียงหลีถลึงตาใส่

‘ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ก็แค่ครบรอบสิบปี ผ่านไปอีกสิบปีเดี๋ยวก็มี’

ไอโม่ซินคิดว่าในเมื่อเจียงหลีพูดแบบนี้แสดงว่าอย่างน้อยผู้อาวุโสก็คงมีอายุอยู่ได้ถึงเก้าสิบปี เขาจึงสบายใจขึ้น

“อะแฮ่ม วันเกิดลุงเองน่ะ ปีนี้ก็ห้าสิบแล้ว คุณลุงบอกว่าไม่จัดไม่ได้” เจียงเฉิงฟางพูดด้วยความกระอักกระอ่วนนิดหน่อย

“ฮะ? ลุงอายุห้าสิบแล้วเหรอครับ” ไอโม่ซินอึ้ง พอสงบลงก็ลองนับดู “เพิ่งจะสี่สิบเก้าเองนี่นา”

“บ้านลุงไม่ฉลองเลขเก้า คุณลุงบอกว่าปีนี้ให้จัดครบรอบห้าสิบปี” เจียงเฉิงฟางพูดอย่างช่วยไม่ได้ “อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าลุง ไปเจอคนสกุลเจียงหน่อยเถอะ ลุงรู้ว่ามันค่อนข้างยุ่งยากวุ่นวาย แต่นายไม่ต้องรับมือกับใครหรอก ไม่ว่าจะพูดยังไงการไปเจอพวกเขาก็เป็นประโยชน์กับตัวนายนะ”

พูดถึงขั้นนี้แล้ว ไอโม่ซินคงปฏิเสธไม่ได้ “ครับ งั้นผมจะไปนะ”

“รับปากแล้วนะ งั้นนายก็รับผิดชอบท่านบรรพบุรุษด้วยแล้วกัน” เจียงเฉิงฟางรู้สึกดีใจนิดๆ และรีบให้เขารับรองว่าเจียงหลีจะไม่ขัดขวางไม่ให้เขาไปอีก

ไอโม่ซินเห็นว่าอีกฝ่ายดีใจจริงๆ ก็ยกยิ้มพยักหน้า เขายินดีไปเพื่อวันเกิดของเจียงเฉิงฟาง

ตั้งแต่รู้จักเจียงเฉิงฟางตอนอายุสิบห้า จนถึงตอนนี้ก็เกือบจะสิบปีแล้ว ถึงเจียงเฉิงฟางจะพูดอยู่เสมอว่าไอโม่ซินคงเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องมาช่วยเขาทำคดี แต่ความจริงถ้าไม่ใช่เพราะเจียงเฉิงฟาง ไอโม่ซินก็คงไม่ได้มีชีวิตราบรื่นแบบนี้มาตั้งสิบกว่าปีหรอก แม้แต่ด้านมืดของวงการก็ยังไม่เคยเจอเลย

เขาได้เรียนรู้จากเจียงเฉิงฟางไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับคน หรือหลักการและเล่ห์เหลี่ยมของคนเป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่ออีกฝ่ายดีต่อเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะเจียงหลี ถึงเขาจะไม่ค่อยมีสัมมาคารวะกับเจียงเฉิงฟางอยู่บ่อยๆ แต่อีกฝ่ายก็เป็นผู้อาวุโสที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวที่อยู่ข้างกายเขา

ความจริงวิธีคิดและทัศนคติในการจัดการเรื่องต่างๆ ของคนเป็นและคนตายนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นเขาจึงได้ปรับวิธีคิดและหลักการในการจัดการเรื่องต่างๆ ของตัวเองอย่างช้าๆ เพราะอยู่ข้างกายเจียงเฉิงฟางตลอดเช่นกัน

ความจริงเขาก็มีผู้อาวุโสที่เป็นเหมือนพ่ออยู่แล้ว ทำไมเขาจะต้องไปสนใจสายเลือดของพ่อผู้ให้กำเนิดด้วยล่ะ

ไอโม่ซินยกยิ้ม เขาตามไปข้างๆ เจียงเฉิงฟางและฟังอีกฝ่ายพร่ำบ่นเรื่องที่ครอบครัวจะจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ให้ตัวเอง ขณะเดินไปที่ห้องผู้ป่วยของเกาเฉิงเหลียง

บทที่ 6

ก่อนจะไปดูเกาเฉิงเหลียง เจียงเฉิงฟางก็พาไอโม่ซินไปหาหมอก่อน หลังจากได้รับการยืนยันเรื่องสภาพร่างกายของเด็กคนนั้นแล้วถึงได้ไปเยี่ยมเขาที่ห้องพักฟื้น

“คุณไอ” พอเกาเฉิงย่วนเห็นเขาก็ลุกขึ้นทันที และเขายังเห็นเจียงเฉิงฟางที่ตามมาด้านหลังอีกด้วย “คุณคนนี้คือใครเหรอครับ”

“นี่คือคุณเจียง เป็นผู้บังคับบัญชาของผมครับ” ไอโม่ซินแนะนำอย่างง่ายๆ

เจียงเฉิงฟางและเกาเฉิงย่วนทักทายกัน สายตาของไอโม่ซินเลื่อนไปที่หนุ่มน้อยร่างกายผอมบางบนเตียงผู้ป่วย ดูแล้วคงยังไม่หายตกใจ ดวงตาที่อยู่เหนือพวงแก้มซูบตอบคู่หนึ่งลืมตาแป๋ว ทั้งเนื้อทั้งตัวห่อหุ้มอยู่ในผ้าห่ม โผล่ออกมาแค่ใบหน้าครึ่งเดียวเท่านั้น

“น้องของคุณโอเคมั้ยครับ” ไอโม่ซินถามเขา

“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วครับ” เกาเฉิงย่วนยกยิ้มดีใจ หันไปพูดกับน้องชาย “เสี่ยวเหลียง คนนี้คือคุณไอที่หานายเจอที่พี่เล่าเมื่อตอนบ่ายไง”

เกาเฉิงเหลียงกะพริบตาปริบๆ ฝืนใจดึงผ้าห่มลงพร้อมกล่าวขอบคุณเสียงเบา “ขอบคุณครับ”

ไอโม่ซินคิดว่าเด็กคนนี้เหมือนกวางน้อยที่กำลังตื่นตกใจ พอนึกได้ว่าเขาคือแพะรับบาปที่พ่อของตัวเองใช้วิธีอะไรทำขึ้นมาไม่รู้ก็อดรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ จึงลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงข้างเตียง เอ่ยถามเกาเฉิงเหลียงอย่างนุ่มนวลพร้อมกับรอยยิ้มเป็นกันเอง “นายจำได้หรือเปล่าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ความจริงจนถึงตอนนี้เกาเฉิงเหลียงก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ตอนแรก…ก็เป็นเสียงฝีเท้าครับ”

ทุกคืนหลังเลยเที่ยงคืนไปแล้วเขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ที่โถงทางเดิน ค่อยๆ ลากเท้าเข้ามาใกล้ห้องของเขา ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองหูฝาดหรือไม่ก็อาจจะลืมปิดทีวีในห้องนั่งเล่น ซึ่งเขาเองก็เคยออกไปดูแล้วก็พบว่าด้านนอกประตูไม่มีอะไร แต่ทางเดินท่ามกลางความมืดมิดดูเหมือนจะยืดยาวกว่าปกติ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ในความมืดมิดเหมือนจะมีเงาดำสั่นไหว ทำให้เขาตกใจจนต้องปิดประตูลงกลอนพุ่งกลับขึ้นไปบนเตียง ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มจนฟ้าสางถึงสงบจิตสงบใจลงได้

หลังจากนั้นเขาก็วานให้คุณป้าไม่ต้องปิดไฟดวงเล็กในห้องนั่งเล่น ถึงกับซื้อโคมไฟดวงเล็กๆ หลายดวงมาวางไว้ที่โถงทางเดินด้วย เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้งก็จะเปิดประตูออกไปดูพร้อมมือที่สั่นเทา ในขณะที่โคมไฟทั้งหมดดับวูบลง เขาก็มองไปเห็นเงาคนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดกำลังลากเท้าเดินมาทางเขาช้าๆ

เขากรีดร้องแล้วล็อกประตูกลับไปซ่อนตัวบนเตียง จากนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่เลยเที่ยงคืนไปแล้วเขาก็จะไม่ออกจากประตูเด็ดขาด เขาเคยคิดจะบอกคุณป้า แต่ก็กลัวว่าจะทำให้คุณป้าตกใจ อยากจะบอกพี่ชายของเขา แต่ก็กลัวพี่จะไม่เชื่อ

เขาต้องหลบอยู่ในผ้าห่มทั้งเนื้อตัวสั่นเทาแบบนี้ทุกคืน คิดเพียงว่าอดทนไปให้ถึงเช้าก็โอเคแล้ว แต่ไม่นึกว่าวันหนึ่งเงาดำนั้นจะเปิดประตูห้องเขาและเข้ามาจริงๆ

เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังกว่าปกติ เข้ามาใกล้เขาช้าๆ เขาตัวสั่นไม่หยุด จากนั้นก็สลบไป

เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนเตียงนอน แต่เป็นช่องว่างชื้นแฉะ คับแคบ และมืดมิด เขานั่งงอเข่าอยู่บนพื้น ถูกบีบอยู่ระหว่างผนังที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง เขาสัมผัสได้ว่าบนผนังเปียกชื้นมาก มีน้ำไหลลงมาไม่หยุด ไหลจนเปียกเสื้อผ้าของเขา ความเย็นเสียดแทงไปถึงกระดูก เขาอยากกรีดร้องแต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ อยากขยับก็ขยับไม่ได้ อยากหมดสติหรือตายไปเลยก็ไม่สามารถทำได้ ตอนแรกเขายังเห็นว่าด้านหน้าไม่ไกลออกไปมีรูหนึ่งที่มีแสงลอดผ่านเข้ามา เขาอยากปีนเข้าไปมาก แต่ไม่ว่าจะใช้แรงมากแค่ไหนก็ขยับไม่ได้เลย เหมือนกับร่างกายไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป เขารอให้มีคนมาพบ จะได้ช่วยเขาออกไปจากตรงนั้น ถึงเขาจะได้ยินเสียงคน แต่กลับทำได้แค่มองดูรูนั้นถูกอุดไป แสงรำไรลดน้อยลงจนกระทั่งกลายเป็นความมืดมิด เขาเปล่งเสียงดังลั่น เขาตะโกนจริงๆ ทว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ยินเสียงตะโกนของตนเองเลย

เขาได้แต่ถูกขังอยู่ในช่องว่างที่มืดมิดและหนาวเหน็บเหมือนน้ำแข็ง ดื่มน้ำบนผนังอันเย็นเยียบชื้นแฉะ วันเวลาผ่านไปเนิ่นนานโดยไม่รู้วันรู้คืน จนกระทั่งเขาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง

แสงสว่างสาดส่องลงมาที่เขาเหมือนดวงดาว เจิดจ้าจนบาดตา ทำให้เขาต้องหลับตาลง เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้เห็นพี่ชายถามว่าเขาเป็นยังไงบ้างพร้อมดวงตาแดงก่ำ ฝ่ามืออุ่นร้อนและแข็งแรงกดลงบนไหล่ของเขา ทำให้เขาตระหนักได้ว่าตัวเองหลุดจากขุมนรกกลับมาที่โลกมนุษย์แล้ว

“เงาดำนั่นได้พูดอะไรกับนายหรือเปล่า” ไอโม่ซินถามเขา

เกาเฉิงเหลียงส่ายหน้า เสียงที่เอ่ยแหบแห้งเล็กน้อยเนื่องจากไม่ได้เปล่งออกมานานเกินไป “ผมไม่เคยเห็นหน้าเขาเลย”

ไอโม่ซินเดาว่ามู่จ้งไป๋ก็อาจจะรู้สึกสงสัยจึงไม่ได้ปรากฏตัวออกมาทรมานเขา “นายจำได้มั้ยว่าเสียงฝีเท้านั่นเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร”

ความจริงเกาเฉิงเหลียงไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไรกันแน่ ระหว่างที่อยู่ในผนังเขาก็สูญเสียการรับรู้ด้านเวลาไป เมื่อได้ยินพี่ชายบอกว่าเขาหายตัวไปสามวันจึงประหลาดใจมาก เขาคิดว่าตัวเองติดอยู่ในผนังสักสามหรือห้าเดือนแล้วซะอีก

“วันนั้น…ศาสตราจารย์กู้เล่าประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระเจ้าอโศกมหาราช” การตอบสนองของเกาเฉิงเหลียงยังค่อนข้างช้า เขาครุ่นคิดอยู่หลายนาทีกว่าจะตอบกลับ

เกาเฉิงย่วนรีบหยิบโทรศัพท์ไปเสิร์ชดูก่อนจะช่วยอธิบาย “นั่นเป็นรายการที่น้องชายผมฟังครับ จะมีศาสตราจารย์สูงวัยคนหนึ่งมาเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ ตำนาน และเรื่องราวของประเทศต่างๆ”

เกาเฉิงย่วนไถโทรศัพท์ ไม่นานก็หาเจอ “เป็นเรื่องเมื่อวันอังคารที่แล้วครับ”

ไอโม่ซินเขียนวันที่ลงในสมุดบันทึก “นายจำได้มั้ยว่าก่อนถึงวันนั้นนายได้เจอกับใครบ้าง หรือเจอเรื่องแปลกๆ อะไรหรือเปล่า”

เกาเฉิงเหลียงทำหน้างุนงง “ทุกวันผมจะ…อยู่ที่บ้านกับโรงเรียน เย็นวันพฤหัสบดีก็ไปเข้าคลาสโทอิก วันศุกร์ไปสมาคมวิจัยประวัติศาสตร์ยุโรป เช้าวันเสาร์ไปเข้าคลาสแบดมินตัน สองเดือนมานี้ผมไปที่ร้านหนังสือกับเพื่อนแค่วันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่านั้นเอง”

“น้องชายผมค่อนข้างติดบ้านน่ะครับ” เกาเฉิงเหลียงช่วยน้องชายอธิบาย “นอกจากไปเรียน เวลาส่วนใหญ่ก็จะเล่นอินเตอร์เน็ต อ่านหนังสืออยู่ในบ้าน แม้แต่ร้านหนังสือเขาก็ไม่ได้ชอบไปเป็นพิเศษ จะซื้อผ่านทางอินเตอร์เน็ตตลอด คลาสแบดมินตันผมก็เป็นคนบังคับให้เขาไป”

“เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ได้ครับ มีคนแปลกหน้ามาพูดคุยด้วย ไม่ก็มีคนรู้จักแต่ไม่ค่อยสนิทมาหานาย เอาของอะไรสักอย่างมาให้นาย หรือไม่ก็ได้รับพัสดุที่ไม่รู้แน่ชัดบ้างหรือเปล่า” ไอโม่ซินถามอีกครั้ง

เกาเฉิงเหลียงขมวดคิ้วคิดใคร่ครวญอยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางไอโม่ซิน บนใบหน้าที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีฉายแววสงสัย “…ทำไมผมต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วยล่ะครับ ผมทำอะไรผิดไปเหรอ”

ไอโม่ซินยกยิ้มจนใจ “คนเรามักมีช่วงเวลาที่ดวงตกเสมอ บางคนก็โดนรถชน บางคนก็โดนผีหลอก มันไม่ใช่ความผิดของนาย แต่เป็นเพราะนายดวงตกไปหน่อย หลังออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไปไหว้อารามหลวงเจิ้งหลงกับพี่ชายนายก็พอแล้ว”

ไอโม่ซินยังคงถือปากกาเอาไว้ในมือ เขายกมือขึ้นเขียนอักษรตัวหนึ่งบนหลังมือของอีกฝ่าย “อย่าเพิ่งรีบล้างออกนะ ให้ดีที่สุดคือปล่อยไว้ประมาณสามวัน”

เกาเฉิงเหลียงมองดูเส้นปากกาลูกลื่นสีดำบนหลังมือ มันมีแสงสีทองลอยขึ้นมาตามปากกาที่เขียนลงไป เหมือนกับแสงของดวงดาวที่สาดส่องมาหาเขา ช่วยเขาออกมาจากคุกใต้ดินอันมืดมิดแห่งนั้น เขามองดูสัญลักษณ์นั้นกระทั่งรู้สึกปลอดภัยในที่สุด จากนั้นก็หันไปมองเกาเฉิงย่วนก่อนเอ่ยถามด้วยใบหน้าคาดหวัง “พี่ ผมขอสักลายนี้ไว้บนมือได้มั้ยครับ”

เกาเฉิงย่วนอึ้งไปนิด “ได้สิๆ เดี๋ยวพี่จะเขียนใบรับรองไปให้คุณครูของนายเอง”

“อย่าเลยครับ สักไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” ไอโม่ซินยกยิ้ม พอเห็นสีหน้าผิดหวังนิดๆ ของเกาเฉิงเหลียง เขาก็เอ่ยปลอบเจ้าตัวอีกครั้งว่า “ไม่ต้องกังวลนะ พวกเรากำลังสืบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าได้ความแน่ชัดแล้วก็จะแก้ปัญหาได้เอง”

เกาเฉิงเหลียงเองก็ไม่ได้ถามเขาว่าจริงหรือเปล่า เมื่อไรถึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ เขาเพียงแค่มองดูไอโม่ซินและพูดว่า “ขอบคุณมากนะครับที่พาผมออกมา”

ไอโม่ซินแย้มยิ้มอ่อนโยน ก่อนลุกขึ้นลูบหัวอีกฝ่าย “พักผ่อนก่อนเถอะ ถ้าคิดอะไรออกก็บอกพี่ชายของนายนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุกจิกอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

เกาเฉิงเหลียงพยักหน้าอย่างว่าง่าย จากนั้นเกาเฉิงย่วนจึงเข้ามาพูด “เดี๋ยวผมไปส่งคุณเองครับ”

ไอโม่ซินรู้ว่าเกาเฉิงย่วนมีเรื่องจะพูดจึงไม่ได้ปฏิเสธและออกจากห้องพักผู้ป่วยพร้อมกับเขา

เกาเฉิงย่วนปิดประตูลง เขามองไปยัง ‘ผู้บังคับบัญชา’ ที่ยืนอยู่ข้างกายไอโม่ซินโดยไม่พูดไม่จาเหมือนบอดี้การ์ดคนหนึ่งแล้วก็รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะหลบไป เขาเลยลังเลอยู่สักพักก่อนจะกล่าวขอบคุณไอโม่ซิน “คุณไอครับ ขอบคุณคุณจริงๆ ที่ช่วยน้องชายของผมเอาไว้ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่ผมสามารถ…”

ไอโม่ซินรู้ว่าเขาอยากถามถึงค่าตอบแทนจึงโบกมือกล่าว “ถึงผมจะมีฐานะเป็นตำรวจ แต่สือหมิงก็ไม่ค่อยเอ่ยปากขอให้ผมช่วยใคร ในเมื่อเอ่ยปากแล้วว่าผมจะช่วยให้ถึงที่สุด คุณก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอกครับ พูดคุยกับน้องคุณให้เยอะๆ ดีกว่า การหาให้เจอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นสำคัญกว่านะครับ”

“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนเขา ขอบคุณคุณจริงๆ นะครับ” เกาเฉิงย่วนขอบตาแดงเล็กน้อยและก้มหัวให้ไอโม่ซิน “ผมมีแค่น้องชายของผมคนเดียว…ผมหมายถึงผมมีน้องชายแค่คนเดียวน่ะครับ เขาสำคัญสำหรับผมมาก ขอบคุณครับ”

ไอโม่ซินเหมือนจะไม่ได้ยินความผิดปกติในคำพูดของเขา จึงพยักหน้ายกยิ้มให้แล้วเดินจากมา

“นายชอบเด็กคนนี้มากเหรอ” ตอนนี้เองเจียงเฉิงฟางถึงได้เอ่ยปากพูด “ไม่ค่อยเห็นนายสนิทกับเจ้าของคดีขนาดนี้เลย”

“เขาเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาก แถมยังเด็กขนาดนั้น…ถ้าหาก…” ไอโม่ซินถอนหายใจยิ้มๆ และไม่ได้พูดจนจบประโยค แต่เจียงเฉิงฟางก็รู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไรเลยเปลี่ยนเรื่องคุย

“เกาเฉิงย่วนรู้สึกไม่ดีกับพ่อของเขาเหรอ”

ไอโม่ซินเล่าเรื่องที่เขาถกเถียงกับอวี๋จิ้งเอินเมื่อตอนบ่ายให้เจียงเฉิงฟางฟัง อีกฝ่ายลูบคางพลางครุ่นคิดว่าเรื่องนี้น่าจะตรวจสอบได้ “เกาเซิ่งเฟิงสร้างตัวขึ้นมาจากวงการมืด พรุ่งนี้ลุงจะไปถามเหล่าอู๋ที่แผนกปราบปรามอาชญากรรมดู”

ไอโม่ซินยังไม่ทันได้พูด จู่ๆ เจียงหลีก็โผล่มาจับมือเขาและถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กลับบ้านแล้วหรือ”

ที่จริงเขาอยากจะเข้ากรมฯ สักหน่อย เจียงเฉิงฟางเลยรีบเปิดปากพูดขึ้นก่อน “ต้องกลับบ้านแหงอยู่แล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ เมื่อวานนายก็ไม่ได้นอนเท่าไร เดี๋ยวลุงไปส่งนายกลับนะ”

ไอโม่ซินคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน และตอนเช้าก็ออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกท่านแม่ ทั้งยังมาเข้าโรงพยาบาลอีก ท่านแม่จะต้องกังวลมากแน่ๆ “งั้นกลับก่อนแล้วกันครับ”

เมื่อคิดถึงท่านแม่ของตนเอง เขาก็นึกถึงพ่อขึ้นมาอีกรอบจนขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เจียงหลียกมือขึ้นคลึงหว่างคิ้วของเขาพร้อมพูดเสียงเบา “เรื่องนี้มีแต่ท่านตาและท่านลุงใหญ่ของเจ้าเท่านั้นที่รู้ ตราบใดที่พวกเขาไม่พูด แม่เจ้าก็ไม่มีวันรู้หรอก”

“…ครับ” ไอโม่ซินเงียบไปหลายวินาทีกว่าจะส่งเสียงตอบกลับ หลังจากขึ้นรถไปก็พิงอยู่ข้างกายเจียงหลีและกุมมือของอีกฝ่ายกลับ ไอโม่ซินรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จึงถอนใจช้าๆ แล้วค่อยหลับตาลงเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรสักอย่าง

กระทั่งเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในบ้านก็มีแค่โคมไฟที่กำลังส่องแสงนวล เขาอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเจียงหลีโดยไม่รู้ตัว ก่อนรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากระชับกอดตนเองแน่นขึ้นอีกนิด

“…กี่โมงแล้วครับ” เขาซุกศีรษะเข้าไปในกลุ่มผมของเจียงหลีพลางถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“เที่ยงกว่าแล้ว”

“…อือ…”

ขณะที่เขากำลังจะหลับลงไปอีกครั้ง เจียงหลีก็ลูบคลำต้นคอด้านหลังของเขาพร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วันนี้ไม่ไปทำงานหรือ”

“หืม?” ไอโม่ซินสะลึมสะลือ ผ่านไปสักพักถึงตระหนักได้ว่าเขาถามอะไร ทันใดนั้นเจ้าตัวก็ตื่นเต็มตา “ตอนนี้เที่ยงครึ่งแล้วเหรอครับ?!”

“อืม” เจียงหลียกมือขึ้นสางผมเขา “เกือบจะบ่ายโมงแล้ว”

ไอโม่ซินตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียงทันที นึกสงสัยว่าทำไมบ่ายโมงแล้วยังมืดขนาดนี้อยู่อีก

เขาหันไปมองด้านนอกหน้าต่างก็พบว่าไม่ใช่ว่าฟ้าไม่สว่าง แต่หน้าต่างของเขาไม่มีแสงส่องเข้ามาเลยต่างหาก มันปรากฏสีดำทั้งแถบเหมือนแปะกระดาษสีดำเอาไว้ เขามองไปทางเจียงหลีด้วยความจนใจ อีกฝ่ายก็พูดด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “ข้ากลัวว่าเจ้าจะนอนไม่หลับ”

เขาเป็นคนนอนหลับไม่ค่อยลึก รู้สึกตัวได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือแสงก็ส่งผลกระทบทั้งนั้น ห้องของเขามีแสงค่อนข้างดีโดยเฉพาะในฤดูร้อน เขาจึงถูกแสงอาทิตย์ปลุกให้ตื่นอยู่ทุกเช้า ตั้งแต่เจียงหลีมานอนอยู่ที่นี่ก็มักจะทำให้หน้าต่างของเขาเป็นสีดำ ทำให้หลายครั้งเขาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าฟ้ายังไม่สว่างเลยนอนต่อไป และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เขามักจะไปทำงานสายบ่อยๆ

ไอโม่ซินไม่รู้จะทำยังไงกับเขาดี แต่คิดว่าถึงยังไงตอนนี้ก็เที่ยงแล้วจึงลงจากเตียงไปอาบน้ำ เจียงหลีบอกว่าจะกลับสกุลเจียงสักหน่อย ไอโม่ซินเลยเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปชั้นล่าง

“ท่านแม่ครับ” ไอโม่ซินลงมาชั้นล่างก็เห็นท่านแม่ของเขากำลังยกหม้อลงจากเตา “ผมทำให้ครับ”

ไอเยวี่ยเจินเองก็ไม่ได้แย้งลูกชาย ปล่อยให้เขาถือหม้อร้อนๆ ไปวางไว้บนโต๊ะอาหารและหยิบยำผักหลายจานออกมาจากตู้เย็น “ท้องของลูกไม่ค่อยสบาย วันนี้กินโจ๊กเถอะนะจ๊ะ”

“ได้ครับ” ไอโม่ซินไม่ได้กินโจ๊กที่ท่านแม่ต้มมาสักพักใหญ่แล้ว พอได้กลิ่นท้องก็ร้องขึ้นมา เขานั่งลงกินโจ๊ก มองดูท่านแม่ถอดผ้ากันเปื้อนเดินไปด้านนอก “ท่านแม่ครับ?”

“แม่จะไปชวนคุณเจียงเข้ามากินข้าวด้วยน่ะ” ไอเยวี่ยเจินยิ้มกล่าว

“แค่ก ลุงเจียงมาแล้วเหรอครับ มานานหรือยัง” ไอโม่ซินแทบจะสำลัก เขารีบลุกขึ้นยืนคิดจะเดินออกไป “ผมไปเองครับ”

“ไม่ต้องหรอก ถ้าลูกไปเขาอาจจะไม่สะดวกใจ” ไอเยวี่ยเจินพูดเสียงเบา “มาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว พอได้ยินว่าลูกกำลังหลับอยู่ น้องเก้าก็ลากเขาไปรดน้ำต้นไม้ด้านหลัง พูดคุยกันสนุกสนานเชียว”

“อ้อ…” ไอโม่ซินได้แต่กลับไปนั่งกินต่อไป เขาพบว่าเจียงเฉิงฟางมักจะนัดกับท่านน้าเก้าของเขาออกไปดูหนังเดินเล่นซื้อของอะไรพวกนั้นเป็นระยะๆ ถ้าจะบอกว่าพวกเขากำลังเดตกันอยู่ก็เหมือนจะไม่ใช่ แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ท่านน้าเก้าก็ดูเหมือนจะชอบเจียงเฉิงฟางมาก แถมทุกครั้งที่พูดถึงท่านน้าเก้า ใบหน้าแก่ๆ ของเจียงเฉิงฟางก็มักจะแดงก่ำและทำทีเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสียทุกครั้ง

แน่นอนว่าต่อให้พวกเขาอยากเดตกัน ไอโม่ซินก็ไม่มีความเห็นอะไร แต่เขาจำได้ว่าปีที่แล้วเจียงหลีบอกว่าบุพเพสันนิวาสของเจียงเฉิงฟางคืออีกสามปีข้างหน้า และไม่ใช่งานวิวาห์ผี ไอโม่ซินเลยรู้สึกกลุ้มใจนิดหน่อย

ระหว่างที่ไอโม่ซินกำลังกลุ้มอกกลุ้มใจ ก็เห็นทั้งสองคนเดินเข้าประตูมาจากสวนด้านหลัง บนใบหน้ามีรอยยิ้ม เจียงเฉิงฟางเห็นไอโม่ซินจ้องมองพวกเขาอยู่ก็หุบยิ้มทันที “นายตื่นแล้วเหรอ หลับสบายหรือเปล่า”

“หลับสบายดีครับ ผมไม่ค่อยได้หลับสบายขนาดนี้เลย” ไอโม่ซินตอบแล้วเรียกเจียงเฉิงฟางมากินด้วยกัน

“เรียกเขากิน แล้วไม่เรียกน้ากินบ้างเหรอ” ไอเยวี่ยหลันคลี่ยิ้มนั่งลงระหว่างพวกเขา

“น้าเก้า” ไอโม่ซินหัวเราะเสียงแห้ง รีบหยิบชามกับตะเกียบมาให้เธอ แน่นอนว่าปกติไอเยวี่ยหลันจะไม่นั่งกินอาหารเช้า และถึงจะกินก็กินไม่ได้ เธอกำลังอยู่ในขั้นตอนฝึกสร้างร่างวิญญาณให้มีตัวตน เมื่อกินอาหารเข้าไปก็สามารถย่อยให้หมดไปได้ แต่มันก็เสียเวลาและไม่มีประโยชน์ อย่างมากพวกท่านป้าก็เพียงแค่กินอาหารแก้อยากเท่านั้น ปกติจึงไม่ได้บอกว่าอยากกินอาหารเช้า

ไอเยวี่ยหลันดูเหมือนแค่อยากกินอาหารเป็นเพื่อนเจียงเฉิงฟาง ภายในชามจึงมีเพียงโจ๊กทัพพีหนึ่งและกินยำผักไปอีกหลายคำ เวลาส่วนมากจะช่วยคีบอาหารให้เขากับไอเยวี่ยเจินซะมากกว่า บางครั้งก็จะคีบให้เจียงเฉิงฟางหลายๆ คำด้วย

ทั้งโต๊ะมีมนุษย์สามวิญญาณหนึ่งกินอาหารเช้ามื้อนี้ด้วยความกลมเกลียว เมื่อไอโม่ซินลุกขึ้นตั้งใจจะเก็บชามกับตะเกียบก็ถูกไอเยวี่ยหลันตีเบาๆ “ไปทำงานของหลานเถอะ เดี๋ยวน้าทำเองก็ได้”

ไอโม่ซินจึงทำได้เพียงวางมือ แต่ขณะกำลังจะเดินไปพูดกับเจียงเฉิงฟาง ท่านแม่ของเขาก็เดินเข้ามาเรียกเขาไว้ “โม่ซิน”

“ครับ?” ไอโม่ซินหันไปมองเธอ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นความลังเลน้อยนิดบนใบหน้าของคนเป็นแม่ “ท่านแม่ มีอะไรเหรอครับ”

“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เมื่อคืนคุณเจียงส่งลูกกลับมา ลูกนอนหลับลึกมาก เพราะงั้นแม่ก็เลยเข้าไปดูลูกในห้องลูก…บนโต๊ะมีกล่องไม้กล่องหนึ่ง แม่คิดว่ามันมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยนิดหน่อย…”

ไอโม่ซินพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้สีหน้าเปลี่ยนไป เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ “อ้อ อันนั้นเป็นของสือหมิงครับ เขาขอให้ผมช่วยเอาไปส่งให้ท่านสือที่อารามหลวงเจิ้งหลง บอกว่ามันจะมีประโยชน์กับท่านสือ”

“แบบนี้นี่เอง” ไอเยวี่ยเจินดูเหมือนจะโล่งใจ “แม่แค่ถามดูน่ะ ลูกรีบไปทำงานเถอะ นี่ก็เลยเที่ยงมาแล้ว”

“ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ” ไอโม่ซินยกยิ้มให้เธอและออกจากบ้านไปพร้อมกับเจียงเฉิงฟาง

ทันทีที่ไอโม่ซินขึ้นไปนั่งบนรถก็หุบยิ้มและขมวดคิ้วพูด “ท่านแม่เหมือนจะรู้ว่ากำไลข้อมืออีกเส้นอยู่ที่ศาลคนกระดาษ”

“นี่ก็ไม่ใช่ความลับนะ คนที่อายุเท่าลุงส่วนใหญ่ก็รู้ทั้งนั้นแหละ” เจียงเฉิงฟางออกรถพลางซุบซิบนินทาให้เขาฟังไปด้วย “มันเป็นของขวัญวันเกิดที่ราชาผีมอบให้สือหมิงตอนที่เขาอายุสามขวบ”

“ไม่ใช่ว่ามันมีค่ามากเหรอครับ” ไอโม่ซินพูดด้วยความอึ้ง

“จะมีค่ามากหรือไม่มากก็ต้องดูว่าเจ้าของสนใจหรือเปล่า” เจียงเฉิงฟางยิ้มกล่าว “ทุกปีสือหมิงจะได้รับของขวัญวันเกิดจากราชาผี แล้วเขาก็โยนลงหีบทั้งหมด บางครั้งแม้แต่จะเปิดดูยังขี้เกียจเลย”

เจียงเฉิงฟางก็เคยเห็นกับตามาครั้งหนึ่ง แต่ของขวัญที่เขาเคยให้ในวันนั้นสือหมิงก็ยังหยิบมาใช้อยู่

“ลุงให้อะไรไปครับ” ไอโม่ซินไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาสนิทกันจนส่งของขวัญวันเกิดให้กันด้วย ส่วนตัวเขานั้นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าวันเกิดของสือหมิงคือวันไหน

“ก็ชุดชาเคลือบลายครามนั่นไง เขาวางเอาไว้บนโต๊ะเพื่อใช้รับรองแขก เป็นของที่เหมาะกับการใช้งานพอดี แค่เขายอมเอาออกมาใช้ก็นับว่าให้เกียรติลุงมากแล้ว” เจียงเฉิงฟางนับเวลาแล้วพูดขึ้น “มันเป็นปีแรกที่เขารับช่วงต่อศาลคนกระดาษ ถือเป็นการฉลองการรับช่วงต่อของเขา แล้วเขาก็มีอายุครบยี่สิบปีพอดี ลุงเลยส่งของขวัญไปให้ จากนั้นทุกปีก็จะเขียนการ์ดอวยพรแล้วส่งขนมไปให้แบบนี้นี่แหละ”

ไอโม่ซินจำชุดชานั้นได้ มันเป็นชุดเครื่องใช้สำหรับงานศพ สือหมิงจะวางเอาไว้บนโต๊ะเพื่อใช้รับรองแขกผี

“ที่แท้ลุงก็เป็นคนให้นี่เอง…แต่วันเกิดให้ชุดเครื่องใช้สำหรับงานศพมันจะไม่…แย่เกินไปหน่อยเหรอครับ” ไอโม่ซินถามด้วยความลังเล

“ก็มันเป็นของที่เขาใช้ได้นี่นา เขาเป็นลูกชายของราชาผี จะถืออะไรกับชุดเครื่องใช้ในงานศพ ทุกปีราชาผียังให้วัตถุเวทขับไล่ผีกับเขาเลย”

“ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเจอหน้ากันเหรอครับ” ไอโม่ซินจำได้ว่าสือหมิงเคยพูดว่าเขาไม่ได้ติดต่อกับพ่อแม่เลย อีกอย่างราชาผีก็หลับลึกอยู่ใต้ทุ่งดอกปี่อั้นมาหลายปี

“ก็ใช่น่ะสิ” เจียงเฉิงฟางถอนหายใจแทนสือหมิง “ของขวัญจากปรโลกส่งมาในนามของราชาผี ก็ไม่ใช่ว่าราชาผีจะเตรียมไว้ด้วยตัวเองสักหน่อย”

ไอโม่ซินคิดไปคิดมา คุณหนูใหญ่ตระกูลสือที่ไม่อยากมีลูกคงไม่มีทางซื้อมาหรอก แต่แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา “อ่า เป็นพญายมสินะครับ”

“ใช่แล้ว เพราะงั้นสือหมิงก็เลยเก็บเอาไว้ แต่จะใส่ใจหรือเปล่าก็พูดยาก” เจียงเฉิงฟางพูดยิ้มๆ “เพราะงั้นนายก็ไม่ต้องกังวลหรอกว่าของสิ่งนั้นมีค่ามาก นายลองไปถามดูสิว่าจะมีคนยินดีไปจัดการกับธงโลหิตเพื่อของล้ำค่านี่หรือเปล่า คงไม่มีใครรับหรอก แต่นายต้องไปยุ่งกับธงโลหิตก็เพราะเขา เพราะงั้นการที่เขาเอาของสิ่งนี้มาแสดงความขอโทษก็ไม่นับว่าเป็นอะไรหรอก”

ไอโม่ซินคิดไปคิดมาก็เห็นว่าจริง แต่พอนึกถึงมู่จ้งไป๋ก็อยากจะถอนหายใจ ตอนนั้นเองเสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก่อนพูดกับเจียงเฉิงฟาง “ลุงเจียง ไปที่โรงพยาบาลก่อนเถอะครับ”

“ทางเฉิงเหลียงมีเรื่องอะไรเหรอ” เจียงเฉิงฟางเพ่งมองโทรศัพท์ของเขา

“เขานึกออกแล้วว่าเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ไอโม่ซินส่งข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

เจียงเฉิงฟางพยักหน้าแล้วเปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้าตรงไปยังโรงพยาบาลทันที

 

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: