ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1
ผู้เขียน : Todayspring (오늘봄)
แปลโดย : มิลค์พลัส
ผลงานเรื่อง : 무령의 혼 (SOUL OF MURYEONG)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 1-1
ยามอาทิตย์อัสดง
แกรก…แกรก…
แสงอาทิตย์อัสดงเริ่มปกคลุมห้องเรียนที่ว่างเปล่า เงาของกรอบหน้าต่างทอดยาวออกไปบนพื้น แสงอาทิตย์สีส้มแดงอาบไล้ใบหน้าของเขา ท่ามกลางภาพตรงหน้าที่ชวนพิศวงราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ มูรยองเอ่ยขึ้นเสียงยานด้วยสีหน้าลำบากใจ
“คือว่า…”
แกรก…แกรก…
นักเรียนชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเม้มปากรอฟังคำพูดที่เหลือ ริมฝีปากที่เม้มจนปิดสนิทเป็นเส้นตรงทำให้บรรยากาศดูเงียบสงัดและวังเวงอย่างบอกไม่ถูก เส้นผมที่ยาวปรกดวงตา สายตาที่ดูหม่นหมอง รวมถึงผิวที่ขาวจนซีดนั้นก็เช่นกัน
แกรก…แกรก…
“…นายกำลังบอกว่า…รู้สึกหนักที่ไหล่…งั้นสินะ?”
เขาดูไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ กับคำพูดที่หลุดออกจากปากอย่างยากเย็น ทำเพียงทอดสายตามองมูรยองด้วยดวงตาสีดำสนิทราวกับแอ่งน้ำหมึก เส้นผมที่ปรกลงมาพาดยาวอยู่บนไหล่ของเขา
“อืม”
แกรก…แกรก…
“…”
ทำไมกันนะ ทำไมหน่วยเสียงเพียงเสียงเดียวที่อีกฝ่ายพูดออกมาถึงทำให้ความรู้สึกของเขามันแจ่มชัดขึ้นได้มากขนาดนี้ จะว่าเป็นเสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูก็ไม่ใช่ แต่ทำไมถึงชวนให้รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้จนขนลุกได้ขนาดนี้
แกรก…แกรก…
มูรยองฝืนหลุบตาลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ป้ายชื่อที่ติดอยู่ตรงหน้าอกมีชื่อ ‘คีฮวานยอง’ สลักไว้ ทว่าป้ายนั้นกลับมีเส้นผมที่ยาวสยายบดบังไปครึ่งหนึ่ง
“รู้สึกหนักที่ไหล่ก็ต้องไปโรงพยาบาลสิ…”
แกรก…แกรก…
ทำยังไงดีล่ะเนี่ย
มูรยองรู้สึกเหมือนในลำคอแห้งผาก แม้เขาจะลองกำมือแน่นและคลายออกพลางคิดๆ ดูเท่าไหร่ แต่ก็ยังหาทางออกเหมาะๆ ไม่เจอ แม้แต่คำพูดที่เอ่ยออกไปเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็ยังไม่อาจทำให้ฮวานยองมีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมาได้
แกรก…แกรก…
“…”
มูรยองลอบกลืนน้ำลาย ก่อนจำใจเงยหน้าขึ้นโดยไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่เป็นมิตรที่สุดเพื่อไม่ให้ฮวานยองรู้สึกหวาดระแวง ในจังหวะเดียวกันนั้นเขาก็เลื่อนสายตามองไปยังบริเวณเหนือไหล่ของฮวานยอง
แกรก…แกรก…
“…”
แกรก…แกรก…
“…”
แกรก…แกรก…
“…”
แกรก…
“…”
แกรก…
ความเงียบโรยตัวลงมาระหว่างพวกเขา แม้แต่เสียงเข็มของนาฬิกายังดังฟังชัดราวเสียงฟ้าผ่า เส้นผมที่ยาวยุ่งเหยิงพาดผ่านไหล่ของฮวานยองลงมาแผ่สยายอยู่บนโต๊ะเรียน
แกรก…
“…”
สายตาของเขาและมันสบกัน
กร่อบ…
เมื่อศีรษะที่โงนเงนไปมากลับมาตั้งตรงอีกครั้ง สายตาที่เคลื่อนมองมาก็ทำให้มูรยองเห็นตาขาวอันแดงก่ำเต็มตา เลือดที่หยดติ๋งๆ จับตัวกันเหนียวหนืดอยู่ตรงปลายเล็บรูปร่างประหลาด
แกรก…
“…”
มูรยองค่อยๆ ปรับการหายใจทั้งที่พูดอะไรไม่ออกอยู่อย่างนั้น แม้ฮวานยองจะชำเลืองมองมา เขาก็ทำได้เพียงกำมือแน่น
ฉันจะพูดออกไปยังไงดีนะว่ามีผีผมยาวสยายกำลังขี่หลังและใช้เล็บครูดไหล่ของนายแกรกๆ อยู่มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
⛥ ⛥ ⛥
สองวันก่อน | อาคารใหม่ | โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอน
เช้ามืดที่ดวงจันทร์ทอแสงรำไร ทางเดินหน้าห้องเรียนในเวลาที่ยังเช้าอยู่มากเช่นนี้เงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมพัดมาจากที่ไหนสักแห่ง เหล่าใบไม้เสียดสีกันอยู่ด้านนอก หน้าต่างที่ถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนาสั่นเป็นพักๆ และมีเสียงดังครืดคราด
นักเรียนคนหนึ่งกำลังเดินเอื่อยไปตามทางเดิน ก้าวหนึ่งและตามด้วยอีกก้าวหนึ่ง การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้านั้นช่างดูไม่มั่นคงราวกับเจ้าตัวไม่ได้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดี สายตาที่เหม่อมองออกไปไกลๆ อย่างไร้จุดโฟกัสนั้นก็เช่นกัน
“…อยู่ที่ไหน…หาไม่เจอ…”
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังพูดกับตัวเองหรือกำลังครวญครางอยู่กันแน่ เสียงพึมพำนั้นฟังดูไร้เรี่ยวแรง ริมฝีปากขยับพูดอยู่ตลอด แต่เกือบทุกคำแผ่วเบาราวกับเสียงลมหายใจที่ฟังแทบไม่ออก แต่แล้วคนที่เดินโซซัดโซเซเหมือนคนเมาผู้นี้จู่ๆ ก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่างสุดปลายทางเดิน
“ที่นี่…”
ขนาดของหน้าต่างใหญ่ประมาณคนลอดได้หากคู้ตัวสักหน่อย มันเป็นหน้าต่างเตี้ยๆ ที่คนตัวสูงปีนขึ้นไปได้อย่างสบายๆ เพียงแค่ยกขาขึ้น
แกร๊ก…
ตัวล็อกถูกปลดออกโดยไม่ต้องยื่นมือไปแตะเอง อากาศชื้นๆ พัดเข้ามาทางช่องว่างของหน้าต่างที่เปิดออก
“…ที่นี่สินะ?”
ช่วงเวลาของความลังเลนั้นช่างแสนสั้น
พริบตาเดียวนักเรียนคนนั้นก็ใช้มือจับกรอบหน้าต่างและยกขาขึ้น เป็นการเคลื่อนไหวที่ทั้งรวดเร็วและแม่นยำเหมือนก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เดินโซเซมาก่อน เขายกขาอีกข้างขึ้นตามแล้วโผตัวไปด้านนอกอย่างไม่รีรอ
จังหวะที่ร่างกายท่อนบนโอนเอนโน้มลงไปนั้นให้ความรู้สึกราวกับเป็นภาพสโลว์โมชั่น มือที่จับขอบหน้าต่างคลายออก สายตาที่ดูว่างเปล่ามีประกายยินดีปรากฏขึ้น
“ใช่แล้ว ตรงนี้แหละ” นักเรียนคนนั้นพูดพึมพำพลางหลับตาลงอย่างช้าๆ
“ไม่ได้นะ!”
พึ่บ!
เปลวไฟสีฟ้าพลันลุกโชนขึ้น แสงไฟที่วูบไหวไล่เกาะมือ เท้า และกระเป๋าของนักเรียนคนนั้นให้วุ่น ร่างที่ควรจะตกลงไปแล้วกลับหยุดลอยคว้างกลางอากาศในชั่วขณะ
ในตอนนั้นเอง…
“…!”
สัมผัสจากมือที่ออกแรงเต็มที่ได้คว้าจับต้นคอเอาไว้แน่น ไม่เพียงเท่านั้นเขายังใช้แขนอีกข้างรวบกอดเอวของนักเรียนคนนั้นเอาไว้ด้วย ร่างที่ถูกจับเอาไว้มั่นจึงหงายหลังล้มเข้ามาด้านในแทนที่จะเป็นนอกหน้าต่าง
ตุ้บ!
ในจังหวะเดียวกับเสียงดังนั้นร่างของนักเรียนก็นอนแผ่ลงกับพื้นของโถงทางเดินหน้าห้องเรียน แต่หากจะพูดให้ถูกเขาใช้ร่างของใครอีกคนเป็นเบาะรองและแค่ล้มก้นกระแทกพื้นเบาๆ ส่วนคนที่ทิ้งตัวลงไปทั้งตัวและโอบกอดเขาเอาไว้นั้นได้แต่ส่งเสียงร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดระหว่างลุกขึ้น
“อ๊าก…เจ็บชะมัด”
“…”
“โอ๊ย…ให้ตายสิ เอาหินใส่กระเป๋ามาด้วยหรือไงเนี่ย…”
เปลวไฟล่องลอยขึ้น มันเพิ่มเป็นสองดวง จากนั้นก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นสามดวง พวกมันลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาราวกับกำลังเป็นกังวล นักเรียนเหม่อมองไปในอากาศอันว่างเปล่านิ่ง ก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองดังขึ้นจากคนทางด้านหลัง
“ฉันไม่เป็นไร แค่ข้อศอกกระแทกน่ะ”
น้ำเสียงสดใสนั้นให้ความรู้สึกคล้ายกับเด็กที่ยังไม่โตเป็นหนุ่มเต็มวัย เสียงพูดที่อยู่ตรงเส้นแบ่งระหว่างเด็กผู้ชายและชายหนุ่มทำให้บรรยากาศที่อึมครึมและเย็นเยียบค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขาถอนหายใจเสียงดังฟู่แล้วหันไปพูดกับนักเรียนที่อยู่ทางฝั่งศีรษะของตน
“เป็นอะไรไหมครับ ช่วยตั้งสติ…”
“…”
เมื่อสายตาสบประสาน ในแววตาของนักเรียนคนนั้นไม่มีทั้งความตกใจหรือความไม่พอใจ ทำให้คนที่สบตากับนักเรียนตรงหน้า…ซึ่งคนที่ว่านั้นก็คือมูรยองย่นหว่างคิ้วด้วยสีหน้าลำบากใจ
“อา…ถูกสิงเข้าเต็มๆ เลยแฮะ”
ใบหน้าของนักเรียนดูไร้ชีวิตจิตใจ ต่อให้ผิวขาวมาตั้งแต่เกิดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะซีดจนไร้สีเลือดฝาดขนาดนี้ ไหนจะสายตาว่างเปล่าไร้จุดโฟกัสนั่นอีก แถมล้มขนาดนี้แต่กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ
มูรยองถอนหายใจเบาๆ ขณะใช้มือปิดเปลือกตาของนักเรียนคนนั้น
“ออกมาเถอะครับ อย่ารังแกนักเรียนผู้บริสุทธิ์เลย”
“…”
แก้มของนักเรียนเกิดอาการกระตุกเบาๆ แม้ดวงตาจะถูกปิดไว้ แต่มูรยองสัมผัสได้ว่าเขาคนนี้กำลังรู้สึกเสียใจ
ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้กันนะ
ท่ามกลางความสงสัยเช่นนั้น ริมฝีปากขาวซีดก็ขยับปากเอื้อนเอ่ยอย่างช้าๆ
“ที่นี่…หาไม่เจอ…”
“…”
“…ของฉัน…”
มูรยองเงี่ยหูไปทางริมฝีปากของอีกฝ่ายโดยที่ยังไม่ละมือออกมา ในตอนนั้นเองเขาถึงได้ยินถ้อยคำแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบที่พรั่งพรูออกมาเป็นประโยคครบถ้วน นักเรียนตรงหน้าพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า…
“ไม่รู้ห้องเรียนของฉันอยู่ไหน…มันต้องเป็นตรงนี้สิ มันเคยอยู่ตรงนี้…แต่ฉันหาไม่เจอเลย…”
“…”
มูรยองที่ปิดปากไม่พูดอะไรหลุบตาลงเงียบๆ ไม่จำเป็นต้องถามซ้ำเลยว่านั่นหมายความว่าอย่างไร เพราะมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้เสียงงึมงำของเขาคนนี้ฟังดูคับข้องใจอยู่ตลอดเวลา
“…ชั้นเรียนอะไร ห้องไหนครับ”
“หืม…?”
เปลวไฟที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เริ่มลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนมันกำลังต่อต้านคำถามเมื่อกี้ของมูรยองอย่างหนัก มูรยองยกมือข้างที่ไม่ได้ใช้ปิดตานักเรียนชูนิ้วชี้ขึ้นราวกับจะขอให้มันลองดูสักครั้ง
“ถ้าบอกชั้นปีกับห้องมา ผมจะพาคุณไปครับ”
“…จริงเหรอ”
“ครับ ผมเป็นนักเรียนของที่นี่”
“อืม…อืม…”
“แต่ก่อนอื่นรบกวนออกจากร่างนั้นก่อนเถอะนะครับ โอเคไหมครับ”
“…”
แก้มของนักเรียนขยับเล็กน้อยเหมือนลังเลใจ และแทนที่จะเอ่ยปากเร่งเร้า มูรยองกลับหันไปพลิกสำรวจดูกระเป๋าที่นักเรียนคนนี้สะพายอยู่แทน
น้ำหนักไม่ใช่เล่นๆ เลยแฮะ ลำพังแค่หนังสือแบบฝึกหัดอย่างเดียวก็มีอยู่เกินห้าเล่มแล้ว
“…ฉันไม่รู้วิธีออก…”
“ครับ?”
“เรื่องนั้น…ฉันทำไม่ได้หรอก…”
ท่าทางการพูดที่ดูอ้อมแอ้มนั้นไม่ว่าใครฟังก็รู้ว่าโกหก แม้แต่เหล่าเปลวไฟที่ล่องลอยอยู่รอบตัวมูรยองเองก็ลอยหมุนวนเหมือนจะบอกว่า ‘ดูเอาเถอะ’ มูรยองจึงลอบเลียริมฝีปากก่อนยื่นข้อเสนอให้ด้วยน้ำเสียงประนีประนอม
“งั้นก็ไปกันทั้งแบบนี้แหละครับ”
“…”
“แต่ต้องหลับตาเอาไว้จนกว่าจะถึงนะครับ โอเคไหม”
ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมา แต่นั่นก็ถือเป็นการตกลงในอีกแบบแล้ว มูรยองเอามือออกอย่างไม่ไว้ใจนัก หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่านักเรียนยังหลับตาอยู่เขาก็ลุกขึ้นยืน ทันทีที่เขาช่วยจับแขน นักเรียนก็โงนเงนลุกขึ้นตาม
“จะไปชั้นเรียนปีไหนนะครับ”
“ปีสาม”
“ห้องล่ะครับ”
“ห้องหนึ่ง…”
“อ๋า…ปีสามห้องหนึ่ง”
รอยยิ้มสว่างไสวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมูรยอง เขายิ้มจนตาหยีดูอบอุ่น ก่อนสะพายกระเป๋าขึ้นบนไหล่พร้อมกับหันไปขยิบตาให้กับลูกไฟที่ลอยอยู่ในอากาศ
“ตรงเผง”
[3-1]
นั่นคือเลขห้องที่เขียนไว้บนสมุดแบบฝึกหัดพอดี
มูรยองเป็นลูกคนสุดท้องของตระกูลมือปราบวิญญาณอันรุ่งโรจน์และมีชื่อเสียง ครอบครัวเขามีทั้งพ่อแม่ที่รักใคร่กันดี พี่ชายที่ขี้เล่น พี่สาว และลูกหมาหนึ่งตัว เขาเติบโตมาด้วยความรักจากคนทั้งบ้าน ทั้งยังได้รับการทำนายว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ในรอบร้อยปีจะมีสักคน
พลังวิญญาณที่มูรยองมีนั้นเหนือกว่าระดับพลังวิญญาณของพวกผู้ใหญ่มาตั้งแต่แรกเกิด และแม้จะไม่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ แต่เขาก็รู้วิธีจัดการกับพลังเหล่านั้นได้ดั่งใจนึก ไหนจะความสามารถในการสัมผัสวิญญาณอันโดดเด่นนั่นอีก พรสวรรค์ระดับนี้ต้องบอกว่าเขาไม่ใช่แค่คนธรรมดาอยู่แล้ว
พลังของเขานั้นถึงกับมีคำที่กล่าวกันไปทั่วว่า ‘ถ้าจะเอาชนะคิมมูรยองคงต้องเกิดวันอธิกวาร* ให้ได้เสียก่อน’ แต่แน่นอนว่าพูดไปก็เท่านั้น เพราะมูรยองเกิดในเดือนอธิกมาส**
อย่างไรก็ดีทุกวันนี้มูรยองผู้มีอนาคตสดใสก็กำลังเดินไปบนเส้นทางของการเป็นมือปราบวิญญาณอย่างราบรื่นไร้ปัญหา ตอนกลางวันไปโรงเรียนมัธยมปลายตามปกติ ตอนกลางคืนฝึกควบคุมจิตอยู่ที่บ้าน และในบางครั้ง…
“ผี”
เขาก็มีงานอดิเรกเป็นการจับผี
“…ว่าไงนะ”
“ฉันไม่ได้นอนเพราะผี…”
เดือนพฤษภาคมที่การสอบกลางภาคได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว ตอนที่ทุกคนกำลังอยู่ในช่วงเวลาว่างเพราะยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน มูรยองกลับฟุบหน้าลงกับโต๊ะพลางร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง ตาที่ใกล้จะปิดอยู่รอมร่อแบบนั้น ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นอาการของคนง่วงนอน
“อ๋า…ผีนี่เอง”
ซอซึงจูที่นั่งอยู่ข้างเขาผงกศีรษะอย่างเข้าใจสถานการณ์ ในฐานะคนที่เห็นมูรยองมาตั้งแต่เด็กอย่างเขา เพียงได้ยินคำว่า ‘ผี’ คำเดียวก็มากพอให้เดาสถานการณ์คร่าวๆ ได้แล้ว บางทีเพื่อนของเขาคนนี้อาจถูกใครสักคนว่าจ้าง หรือไม่อย่างนั้นคิมมูรยองก็อาจแค่กำลังแสดงคุณสมบัติเฉพาะตัวด้านการสอดรู้สอดเห็นอยู่ก็เท่านั้นเอง
“รับงานมาสินะ?”
“…”
การเดาครั้งแรกผิดไปอย่างน่าเสียดาย มูรยองหลบตาเงียบๆ แทนการตอบ ซึงจูเลยเดาะลิ้นเป็นเชิงบอกว่า ‘พ่อมือปราบผีอาสาสมัครคนเก่ง’
“คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“…”
มูรยองยู่หน้าทันควัน ดวงตากลมจึงหรี่ลงอย่างไม่เข้าใจ ถึงมูรยองจะทำหน้าเหมือนหนักใจ แต่ซึงจูรู้ดีว่าอีกเดี๋ยวมูรยองก็จะเล่าออกมาเอง
“ก็แบบว่า…เรื่องที่พวกรุ่นพี่หมดสติกันที่ตึกใหม่น่ะ”
มูรยองเล่าความจริงออกมาโดยที่ยังทำหน้าหงิกหน้างออยู่แบบนั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ซึงจูก็รู้ดีอยู่แล้ว
“เรื่องแปลงดอกไม้ของอาจารย์สอนภาษาอังกฤษสินะ?”
ที่ตึกใหม่ของโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนมีแปลงดอกไม้ที่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษสูงวัยเป็นคนดูแล เป็นสถานที่ที่ใช้ปลูกดอกไม้ตามฤดูกาลทั้งในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ไม่นานมานี้ที่แห่งนั้นได้กลายเป็นสถานที่ที่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะทุกเช้าจะมีนักเรียนมัธยมปลายปีสามผลัดเปลี่ยนกันมาหมดสติอยู่ตรงแปลงดอกไม้นั้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ดีที่เมื่อวานฉันลองไปเฝ้าที่นั่นไว้ก่อน”
เมื่อคืนมูรยองถ่างตาเฝ้าตึกใหม่เพื่อหาสาเหตุของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทั้งคืน เขาซ่อนตัวอยู่ในห้องเรียนที่มองเห็นแปลงดอกไม้ได้ชัดเจนและอดทนรออย่างใจจดใจจ่อจนถึงเช้า ถึงแม้ความง่วงจะถาโถมเข้ามาเป็นระยะๆ แต่การโต้รุ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับเขาอยู่แล้ว
“ก็เป็นไปตามคาดนั่นแหละ เด็กปีสามคนหนึ่งถูกผีเข้าแล้วก็พยายามจะกระโดดหน้าต่าง”
“บ้าน่า…หน้าต่างเนี่ยนะ”
“อืม หน้าต่างตรงหน้าแปลงดอกไม้นั่นแหละ”
“แล้วไงต่อ? นายได้จับเขาไม่ให้กระโดดไว้ไหม”
“ก็ต้องจับไว้สิ เนี่ย ฉันจับรุ่นพี่คนนั้นไว้แล้วโดนล้มทับเข้าเต็มๆ ข้อศอกช้ำไปหมดแล้วเนี่ย”
มูรยองเด้งตัวขึ้นนั่งพลางทำหน้าเหยเกระหว่างยื่นแขนขวาออกมาให้ดู มันเป็นส่วนที่ถูกกระแทกอย่างแรงระหว่างที่เขาจับนักเรียนคนนั้นเอาไว้แล้วล้มกลิ้งไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน พอลองไปดูในห้องน้ำก็เห็นว่ามีรอยช้ำสีเข้มตั้งแต่ข้อศอกลามลงมาถึงท่อนแขนด้านล่าง
“นายทำดีแล้วล่ะ ถ้าเกิดเขาตกลงไป…ไม่สิ เดี๋ยวนะ หน้าต่างที่ว่านั่นชั้นไหนน่ะ”
“…”
คำพูดของซึงจูทำให้มูรยองชะงักการเคลื่อนไหวไปครู่หนึ่ง ซึงจูขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกับว่ามีบางอย่างแปลกๆ ซึ่งมันแปลกตรงที่แม้คราวนี้คิมมูรยองจะเล่าว่าจับไว้ทัน แต่ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เคยได้ยินว่าที่ตรงนั้นมีนักเรียนคนไหนได้รับบาดเจ็บเลยสักคน
และแล้วมูรยองก็ตอบกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบาหลังเงียบอยู่นาน
“…ชั้นหนึ่ง”
พอจับนักเรียนคนนั้นไว้แล้ว เขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจุดที่เขานั่งเฝ้าอยู่มันแค่ชั้นหนึ่งเท่านั้น
“ก็เห็นว่าเขาจะกระโดดลงไป เป็นใครก็ตกใจกันทั้งนั้นแหละ…”
มูรยองไม่ได้บอกไปว่าความจริงแล้วเป็นเพราะเขากำลังเคลิ้มจวนจะหลับอยู่ก็เลยยิ่งตกใจหน้าตาตื่นเป็นพิเศษ ด้วยความที่ไม่อยากทนฟังคำถามที่ว่ายังจะอดหลับอดนอนไปทำเรื่องพรรค์นั้นอยู่อีกเหรอ แต่แล้วซึงจูก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกตามคาด
“เดี๋ยวนี้นายถึงขั้นละเมอช่วยคนที่จะข้ามหน้าต่างออกจากชั้นหนึ่งจนตัวเองได้รับบาดเจ็บเลยสินะ?”
“…”
เขาไม่ได้พูดต่อว่า ‘โชคดีนะที่เป็นชั้นหนึ่ง ไม่งั้นได้งานเข้าแน่’ เพราะมูรยองที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับทุกเรื่องก็จัดว่ายังพอมีไหวพริบอยู่เหมือนกัน ซึงจูถอนหายใจดังแล้วหยิบยาทาแผลออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง
“แล้วทำไมไอ้ผีบ้านั่นถึงได้มาฆ่าตัวตายที่ชั้นหนึ่งล่ะ”
“นี่ ฆ่าตัวตายอะไรกัน ไม่ได้จะฆ่าตัวตายสักหน่อย”
มูรยองยื่นแขนไปหาซึงจูโดยไม่พูดอะไร ทีแรกเขาลองพับแขนเสื้อขึ้นแต่สภาพมันออกมายับเยินดูประหลาด เขาเลยตัดสินใจถอดเสื้อออกแทน คงต้องขอบคุณเสื้อยืดที่สวมไว้ด้านใน เขาจึงไม่อายที่จะปลดกระดุมออก ซึงจูช่วยทายาให้ด้วยนิ้วมือสากด้านพลางถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ถ้าไม่ใช่ฆ่าตัวตายแล้วอะไร”
“เธอก็แค่อาจารย์ที่มีความรับผิดชอบมากคนหนึ่ง”
หางตาของมูรยองตกลงแลดูเศร้า เวลาเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบนี้ทีไร ซึงจูเองก็พลอยใจอ่อนยวบโดยไม่รู้ตัวทุกที ในวินาทีเดียวกันนั้นเขาก็นึกสงสัยว่าเจ้าคนที่มีนิสัยเข้าใจหัวอกคนอื่นนี่ไปได้ยินเรื่องราวแบบไหนมาอีก
“ตรงที่ที่เป็นตึกใหม่เคยเป็นพื้นที่ของตึกร้าง เธอเป็นอาจารย์ที่เคยทำงานที่นั่นเมื่อนานมาแล้ว”
ไม่นานมานี้มีงานก่อสร้างโดยทุบตึกร้างที่มุมหนึ่งของโรงเรียนทิ้งเพื่อสร้างตึกใหม่ การก่อสร้างถูกวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ก่อนมูรยองเข้าเรียนที่นี่ แต่เพิ่งมาเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังตอนที่พวกเขาอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสอง เหล่านักเรียนต่างพากันไม่พอใจว่าทำไมถึงได้ล่าช้านัก แต่มูรยองคิดว่าอย่าไปยุ่งวุ่นวายกับที่แห่งนั้นน่าจะดีกว่า
“เพิ่งได้เป็นอาจารย์ประจำชั้นครั้งแรกก็ดันกลายเป็นแบบนั้นไปเสียได้…เธอเองก็รู้ว่าตัวเองตายแล้ว แถมรู้อยู่แล้วด้วยว่าการทำแบบนี้มันผิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกติดค้างในใจเลยไปสิงร่างของเด็กที่เธอมองเห็น”
“…งั้นเข้าไปในห้องเรียนดีๆ ก็ได้นี่ ทำไมต้องโดดหน้าต่างด้วยเล่า”
“ฉันลองดูผังตึกก่อนที่จะทุบแล้ว ตรงนั้นคือห้องของปีสามห้องหนึ่ง”
เนื่องจากเป็นตึกที่สร้างขึ้นใหม่ ตำแหน่งของห้องเรียนจึงไม่เหมือนเดิม ผีที่ความรู้สึกนึกคิดไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ย่อมไม่มีทางหาห้องเรียนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วเจอ จึงทำได้แค่ล่องลอยไปมาไม่รู้จบ หรือไม่ก็วนเวียนอยู่ในที่ที่ตัวเองรู้จักอยู่แล้วเท่านั้น
“พอได้เข้าห้องเรียนและไปยืนอยู่หน้าโต๊ะอาจารย์ เธอถึงได้ไปสู่สุคติ”
อันที่จริงเธอได้แนะนำตัวและบอกชื่อกับเขาด้วย แต่มูรยองไม่ได้เล่าไปถึงขั้นนั้น เพราะถ้าลงรายละเอียดไปมากกว่านี้ ซอซึงจูก็จะเริ่มบ่นเขาตามความเคยชินของเจ้าตัวทันที แล้วมูรยองก็รู้ดีเลยว่านิ้วมือที่ทายาให้เขาอยู่ตอนนี้จะสามารถทำให้เขาเจ็บได้มากขนาดไหน
“ดีแล้วล่ะ ทีนี้อาจารย์สอนภาษาอังกฤษจะได้เลิกร้องไห้ว่าแปลงดอกไม้พังหมดแล้วสักที”
ซึงจูที่ทายาอย่างเบามือเสร็จแล้วเช็ดนิ้วกับเสื้อของมูรยอง นับเป็นการกระทำที่หน้าไม่อายเอามากๆ เพราะเจ้าตัวก็มีกระดาษทิชชูอยู่ในล็อกเกอร์แท้ๆ แต่มูรยองก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ทำปากบ่นงุบงิบเท่านั้น
หลังจากนั้นมูรยองก็หลับไปจนถึงเวลาพักเที่ยง เขาหลับทั้งในคาบโฮมรูมและคาบเรียนแรกของวัน แม้แต่ระหว่างที่กำลังเดินไปยังห้องดนตรีที่ไม่น่าจะหลับได้ เขาก็ยังเดินสัปหงกไปตลอดทาง
นั่นถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถึงแม้เขาจะอธิบายให้ซึงจูฟังไปแค่คร่าวๆ แต่ที่จริงนี่คือวันที่สามแล้วที่มูรยองโต้รุ่งติดกัน แม้จะถูกเรียกว่าเป็นผู้มีความสามารถด้านวิญญาณที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ แต่อย่างไรเสียการอดหลับอดนอนขนาดนี้ มนุษย์เราย่อมต้องง่วงเป็นธรรมดา
“คิมมูรยอง ตื่นสักทีเถอะน่า ไปกินข้าวกันได้แล้ว”
“อือออ…”
“อืออะไรกันเล่า นายนี่นะ บอกให้ตื่นได้แล้วไง”
ซึงจูเขย่าปลุกมูรยองอย่างไม่ลังเลใจท่ามกลางเสียงออดบอกเวลาพักเที่ยง มูรยองที่งัวเงียปรือตาขึ้นมาโบกมือไล่เหมือนรำคาญ สื่อเป็นนัยว่า ‘นายไปกินคนเดียวเถอะ’ แต่ซึงจูก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“นี่ กินข้าวกลางวันก่อนแล้วค่อยมานอน”
หากเป็นเวลาเรียนก็ไม่แน่ แต่ถ้าเป็นเวลาพักเที่ยงเช่นนี้ ซึงจูไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้แน่นอน ในพจนานุกรมของซอซึงจูไม่มีคำว่า ‘อดข้าวกลางวัน’ ในฐานะที่มูรยองเองก็เป็นคนที่ต้องใช้พลังจิต เพราะอย่างนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องรักษาพลังงานในร่างกายไว้ไม่ให้หมดแรง
สุดท้ายแล้วซึงจูจึงต้องลากถูลู่ถูกังมูรยองไปที่โรงอาหาร นักเรียนทุกคนที่มองมาเห็นมูรยองในสภาพที่กึ่งๆ จะถูกแบกขึ้นหลังต่างพากันกลั้นขำ
มูรยองคืนสติตั้งแต่กลางทาง แต่ก็ยังเกาะหลังซึงจูเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจเกินกว่าจะเดินด้วยเท้าของตัวเอง
“พวกนั้นพากันมาในสภาพนั้นอีกแล้ว”
“มูรยองยังหลับอยู่อีกเหรอ”
“ซอซึงจูนี่ก็โคตรใจดีเลย ถ้าเป็นฉันป่านนี้คงทิ้งมูรยองไปแล้ว”
“คนเป็นพ่อจะทิ้งลูกลงได้ยังไงกัน”
“ไอ้คนที่เรียกฉันว่าพ่อน่ะ ออกมานี่เลยนะเว้ย”
ประโยคหลังสุดนั้นโพล่งออกมาจากปากของซึงจู ในขณะที่มูรยองกลับยิ้มอย่างสดใสพลางแกว่งขาไปมาต่างจากซึงจูที่กำลังหัวร้อนอย่างสิ้นเชิง ท่าทางแบบนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าตัวนึกชอบใจแค่ไหน ไม่เพียงเท่านั้นเขายังทำให้สถานการณ์นี้น่าอายมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
“พ่อค้าบ ป้อนผมหน่อย หม่ำๆ”
“ไอ้บ้านี่”
ซึงจูสลัดเจ้าลูกชายที่เกาะหนึบติดหลังเหมือนหมากฝรั่งทิ้งอย่างไม่ลังเล มูรยองที่ลงสู่พื้นเต็มสองเท้าอย่างมีทักษะยืดตัวขึ้นยืน ด้วยความที่ได้นอนอย่างเต็มอิ่มมาตลอดเช้า ร่างกายเลยเบาสบายขึ้นเยอะ
“คิมมูรยอง นายทำอะไรทุกคืนถึงได้หลับตลอดเลย นายออกไปจับผีจริงดิ”
ระหว่างทางเดินไปยังโรงอาหารเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ถามขึ้นมาอย่างแหย่ๆ ซึ่งใครดูก็รู้ว่าแค่ล้อเล่น มูรยองเลยตอบว่า “รู้ได้ไงน่ะ” ไปแบบไม่ได้คิดมาก มีเพียงซึงจูเท่านั้นที่ขมวดคิ้วและถอนหายใจ
“โลกนี้มีผีที่ไหนกัน”
“ทำไมล่ะ ฉันเชื่อเรื่องผีนะ”
“ฉันด้วย ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอก แต่พอเห็นมูรยองแล้วก็ดูท่าว่าจะมีจริงๆ”
แล้วหัวข้อการสนทนาก็ตามมาด้วยเรื่องผีที่ถูกโพสต์เล่าเรื่องราวบนอินเตอร์เน็ตเป็นซีรี่ส์ อย่างเช่นมีอะไรบางอย่างออกมาจากตู้เสื้อผ้า มีใครมาเคาะประตูแต่ด้านนอกกลับไม่มีคนอยู่ ไปจนกระทั่งมองเห็นยมทูตในความฝัน ซึ่งเป็นหัวข้อการสนทนาที่ไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่สำหรับมูรยองที่ถูกผีก่อกวนจนเช้า
“มูรยอง ไหนๆ ก็พูดแล้ว ฉันขอรบกวนเรื่องหนึ่งสิ”
จู่ๆ คนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็คว้าแขนมูรยองไว้แล้วพูดขึ้น อีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่เคยพูดมาตลอดว่าไม่เชื่อเรื่องผี แต่แทนที่จะชี้ให้เห็นถึงความจริงข้อนั้น มูรยองกลับคิดอะไรในใจไปเรื่อยเปื่อย
“อืม…”
หลังเข้าโรงเรียนมัธยมปลายมา มูรยองก็เริ่มรับงานปราบผีแบบง่ายๆ อย่างเช่นช่วงนี้ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากห้องดนตรี ช่วงนี้ลิฟต์ที่คอนโดฯ ดูแปลกๆ หรือแม้แต่การฝันร้ายในตอนกลางคืน
ตอนแรกเขาก็รับเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ แต่มันก็ค่อยๆ ผิดเพี้ยนไป จนตอนนี้กลายเป็นว่าเขารับงานจำพวกไล่สตอล์กเกอร์หรือสวมบทเป็นแฟนหนุ่มไปด้วยแล้ว นับเป็นการถูกจ้างที่คล้ายการเป็นนักแก้ปัญหามากกว่าจะเป็นนักปราบผี แต่มูรยองไม่เคยนึกเกี่ยงหากมันเป็นงานที่ได้ช่วยเหลือผู้คน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ค่าตอบแทนจากงานพวกนี้เรื่อยๆ อีกต่างหาก
สิ่งที่น่าแปลกคือค่าจ้างนั้นไม่ใช่เงิน แต่เป็นสิ่งของ
“มินจี พอดีว่าฉันไม่มีอะไรจะรับจากเธอน่ะ…”
“จ่ายเป็นเงินไม่ได้เหรอ”
“เงินฉันเยอะแล้วน่า”
มูรยองมักขอของเก่าๆ ชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากผู้ว่าจ้าง ของจำพวกดินสอกดที่ใช้มาตั้งแต่เด็ก ยางลบทู่ๆ หรือแหวนคู่สำหรับมิตรภาพแบบขำๆ ยิ่งเล็กและยิ่งเก่าได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“ว่าแต่เธอพอจะมีของเก่าๆ บ้างไหมล่ะ เก่าแบบที่เกินสิบปีน่ะ”
“แหวนคู่ที่เคยใส่คู่กับแฟนเก่าได้ไหม”
“…แล้วนั่นมันเกินสิบปีหรือไงล่ะ”
มูรยองหัวเราะคิกคัก มินจีจึงยกยิ้มแหยๆ พร้อมกับตอบว่า “คิดไว้แล้วเชียวว่าคงไม่ได้”
ในวินาทีที่มูรยองตั้งท่าจะถามต่อว่า ‘ถ้างั้นเธอพอมีของคล้ายๆ พวกยางรัดผมที่ใช้ตอนสมัยเด็กไหม’
“…”
จู่ๆ มูรยองก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยจากที่ไหนสักที่ มันเป็นกลุ่มก้อนความหนาวยะเยือกรุนแรงชนิดที่ทำให้เสียวสันหลังวาบจนเขาต้องหันไปมองอย่างลืมตัว ในตอนนั้นเองที่มีใครบางคนออกมาจากโรงอาหารและเดินเฉียดผ่านมูรยองไป
“มีอะไร”
“เปล่า…”
เขาคนนั้นเป็นนักเรียนที่ตัวสูงใหญ่กว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกันคนอื่น ไหล่ของเขากว้างจนไม่เหมือนนักเรียนมัธยมปลาย ท่าทางการเดินดูเนือยๆ มูรยองมองดูเขาเดินห่างออกไปช้าๆ พลางส่ายหัวทั้งที่ยังคงหรี่ตามอง
“ไม่มีอะไร”
“แต่ฉันว่ามีนะ”
แน่นอนว่าซึงจูไม่เชื่อคำพูดของมูรยอง เขาจึงย้อนด้วยน้ำเสียงระอาพร้อมกับหันมองไปในทิศทางเดียวกัน ใครคนนั้นเดินผ่านไปไกลแล้ว เขาเลยต้องกะพริบตาถี่รัวเพื่อเพ่งมองชั่วครู่ ก่อนจะหลุดพูดชื่อหนึ่งที่แสนคุ้นเคยออกมา
“คีฮวานยอง?”
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าถึงได้เห็นคนที่เดินอยู่ไกลๆ หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ระยะห่างขนาดนี้ไม่มีทางที่คีฮวานยองจะได้ยินแน่ๆ เขาน่าจะแค่ตาฝาดไปเอง
“คีฮวานยองเหรอ ไหนๆ”
“โห ตัวสูงใหญ่ทุกครั้งที่เห็นเลยแฮะ”
“ตัวสูงจัง อิจฉาชะมัด”
“ฉันว่าสูงขนาดนั้นก็ไม่ดีหรอก…”
“ไร้สาระน่า ที่พูดแบบนี้เพราะนายเตี้ยน่ะสิ”
หัวข้อสนทนาจากที่ตอนแรกเป็นเรื่องผี ตอนนี้กลับข้ามไปเป็นเรื่องคีฮวานยองอย่างรวดเร็ว บ้างก็ว่าเขาหล่อมากแต่ไร้มารยาท บ้างก็ว่าพวกเด็กเรียนเก่งก็เป็นแบบนี้กันหมดแหละ
ขณะที่บทสนทนาใกล้จะกลายเป็นการนินทาลับหลังไปทุกทีๆ ด้วยความเห็นที่เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยเรียนร่วมห้องกับเขาเล่าออกมาอย่างออกรส ซึงจูก็หันมาถามมูรยอง
“จู่ๆ หมอนั่นมันทำไม”
มูรยองสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงโดยไม่ได้ตอบอะไร ปลายนิ้วของเขาสัมผัสเข้ากับพลาสติกแข็งๆ พอแน่ใจว่าฮวานยองเลี้ยวตรงมุมตึกในจังหวะที่คิดไว้แล้วจึงละสายตาออกมาเหมือนไม่ได้สนใจอะไร
“เปล่า แค่เห็นว่าสูงเลยอิจฉาน่ะ”
คำตอบแบบหน้าตายนั้นทำให้ซึงจูเลิกสงสัย พร้อมกับตบไหล่ปลอบเขาด้วยสีหน้าเห็นใจพลางบอกว่า “ไม่เป็นไรนะ นายแค่ยังอยู่ในวัยกำลังโต” เป็นการปลอบที่ไม่ค่อยมีความจริงใจเจือปนอยู่สักเท่าไหร่ แต่มูรยองก็จะยอมเชื่อแล้วกัน
หลังจากนั้นหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนเป็น ‘ทำไมคีฮวานยองถึงได้ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว’ บางคนเดาว่าเพราะเขาไม่มีเพื่อน บางคนก็เดาไปในแง่ลบว่าเขาดูเหมือนไม่คิดจะคบเพื่อนเลยด้วยซ้ำ มูรยองตัดบทการสนทนาพวกนั้น ก่อนจะเอ่ยปากถามเพื่อนคนที่มีเรื่องจะขอร้องก่อนหน้านี้
“สรุปว่าเรื่องที่จะให้ช่วยคือ?”
* วันอธิกวาร (Leap Day) คือวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ซึ่งในรอบสี่ปีจะมีหนึ่งครั้ง
** อธิกมาส เป็นคำจากภาษาบาลีสันกฤต โดยอธิก แปลว่าเกิน มาก ส่วนคำว่ามาส แปลว่าพระจันทร์หรือเดือน อธิกมาสจึงหมายถึงเดือนที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ กล่าวคือในปีนั้นจะมีสิบสามเดือน โดยมีเดือนแปดสองหน เมื่อหมดเดือนแปดแล้วก็จะนับซ้ำอีกครั้ง เรียกว่าเดือนแปดแรกและเดือนแปดหลัง
Chapter 1-2
เรื่องที่มินจีกังวลก็คือการที่ห้องสมุดมักเละเทะในทุกเช้า ต่อให้จัดไว้อย่างเป็นระเบียบแค่ไหน พอวันรุ่งขึ้นมาดูอีกทีก็จะพบกองหนังสือระเนระนาดอยู่ที่พื้น หรือไม่ตำแหน่งก็สลับกันมั่วไปหมด
ถึงตอนแรกจะแค่นึกสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่และสุดท้ายก็ปล่อยผ่านไป แต่พอเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นครั้งที่สองครั้งที่สาม เธอจึงเริ่มคิดแล้วว่าดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ
‘เหมือนโดนใครแกล้งเลย ไม่ว่ายังไงก็ต้องจับให้ได้นะ’
มูรยองตัดสินใจตกลงรับงานโดยไม่ถามความให้ยืดยาว แม้ไม่มีของอะไรที่จะรับจากเพื่อนคนนี้ แต่ก็ตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าค่อยคุยกันในภายหลังอีกที
ช่วงเวลาในการตรวจสอบเรื่องนี้คือหนึ่งอาทิตย์ แต่ถ้ามูรยองตัดสินใจจะลงมืออย่างจริงจัง เขาก็สามารถที่จะคลี่คลายมันได้ภายในคืนเดียว
วันนี้ต้องกลับไปนอนที่บ้านให้เต็มอิ่มซะแล้วสิ
ดูเหมือนซึงจูจะอ่านความคิดของมูรยองออกแบบทะลุปรุโปร่ง เขาเลยกำชับหลายครั้งระหว่างกินข้าวกลางวัน
“รอบนี้ไม่ใช่งานรีบเร่งอะไร วันนี้พักได้ก็ช่วยพักหน่อยเถอะ”
ถึงมูรยองจะยิ้มให้เห็น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมตอบคำว่า ‘รู้แล้วน่า’ กลับไป
“ทำไงได้ รีบจับให้ได้เร็วๆ มันสบายใจกว่านี่นา”
ช่วงหัวค่ำที่ทุกคนกลับบ้านไปกันหมดแล้ว มูรยองกำลังยืนหรี่ตาสำรวจอยู่ตรงหน้ากำแพงโรงเรียน
ลูกไฟดวงหนึ่งซึ่งเคยหมุนวนอยู่รอบตัวเขาลอยไปมาซ้ายทีขวาทีราวกับจะตอบว่า ‘ไม่เอาด้วยหรอก’ แต่มูรยองก็ยิ้มอย่างสดใสไร้ซึ่งความไม่พอใจ
“รีบจัดการให้เสร็จภายในวันนี้ก็สบายแล้วน่า”
ในเมื่อแน่ใจเรื่องสถานที่เกิดเหตุแล้ว และยังรู้แน่ชัดว่าต้องทำอะไรบ้าง เขาก็พอมีเรื่องที่เดาไว้คร่าวๆ ในหัวแล้ว ดังนั้นงานนี้คงใช้เวลาจัดการไม่นานนัก ถ้ามินจีไม่ได้เล่าแบบเกินจริง คืนนี้ก็น่าจะมีเรื่องแบบเดิมเกิดขึ้นที่ห้องสมุดอีก
มูรยองกระโดดเบาๆ อยู่กับที่พลางประเมินความสูงของกำแพงอย่างรอบคอบ บนขอบกำแพงสูงที่ต่อให้เอื้อมมือทั้งสองข้างจนสุดก็แตะไม่ถึงมีรั้วลวดหนามที่สูงพอๆ กับช่วงตัวของมูรยองติดตั้งไว้อยู่ นับเป็นความสูงที่ปกติแล้วไม่สามารถปีนข้ามได้ แต่มูรยองก็กระโดดขึ้นไปอย่างไม่ลังเล
หมับ
มูรยองกระโดดขึ้นคว้าขอบกำแพงเอาไว้ได้อย่างเคยพร้อมกับใช้เท้าข้างหนึ่งยันกำแพงเรียบๆ เอาไว้ จากนั้นใช้แรงส่งพาตัวเองขึ้นไปในรวดเดียว หลังขึ้นมาบนกำแพงได้สำเร็จด้วยท่วงท่าที่ดูเป็นธรรมชาติเหมือนสายน้ำไหล เขาก็โยนกระเป๋าที่สะพายอยู่ลงไปผ่านรั้วลวดหนาม
ตุ้บ
เมื่อได้ยินเสียงกระเป๋าตกลงสู่พื้นด้านใน คราวนี้มูรยองกระโดดเบาๆ แล้วจับขอบบนสุดของรั้วเอาไว้ แม้ความสูงนั้นจะไม่ได้สูงเท่ากับกำแพงเมื่อครู่ แต่เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดนี่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยเลยสักนิด
“ฉันล่ะเกลียดการปีนกำแพงที่สุดเลย”
ดูเหมือนโจรยังไงก็ไม่รู้แฮะ
มูรยองพึมพำแบบนั้นและกระโดดขึ้นรั้วลวดหนามอย่างสบายๆ คราวนี้ไม่มีที่ให้ยืน เขาเลยต้องทิ้งตัวลงสู่พื้นด้านล่างโดยฉับพลัน การลงสู่พื้นในท่าสองขาคู่นั้นดูทุลักทุเลไม่เป็นธรรมชาติเลยสักนิด
จุดที่มูรยองข้ามกำแพงมาคืออาคารเสริมซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องสมุด ที่นี่มีสิ่งปลูกสร้างมากมาย ทั้งอาคารเรียนหลักหนึ่ง อาคารเรียนหลักสอง อาคารใหม่ อาคารเสริม โรงยิม ไปจนถึงหอประชุม ทุกสิ่งปลูกสร้างของที่นี่ล้วนมีพื้นที่ภายในกว้างขวางสมกับเป็นโรงเรียนที่มีผู้อำนวยการผู้ร่ำรวยสร้างขึ้นมา
มูรยองที่ยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าอาคารเสริมมองสำรวจรอบตัวอยู่สองสามครั้งราวกับหัวขโมย แม้หลังจากดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว บรรดานักเรียนรวมไปถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยจะถูกห้ามไม่ให้เข้าออกโรงเรียน แต่ระวังตัวไว้ก่อนก็ไม่มีอะไรเสียหาย
หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เขาก็ขยับไม้ขยับมือออกคำสั่งกับเจ้าลูกไฟที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“ทำได้ใช่ไหม”
เจ้าลูกไฟหมุนติ้วเป็นวงกลมราวกับบอกว่า ‘เชื่อมือได้เลย’ มูรยองยื่นมือไปแตะโซ่ที่คล้องมือจับประตู ก่อนมองดูผลงานของเจ้าลูกไฟ
ลูกไฟสีฟ้าลอยวนอยู่รอบๆ แม่กุญแจอย่างอ้อยอิ่ง ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปลดล็อกดังกริ๊ก
“เก่งมาก”
มูรยองยกยิ้มมุมปากพลางหยิบเหรียญสิบวอนออกมาจากกระเป๋า ก่อนที่เจ้าลูกไฟจะโอบกอดเหรียญที่ลอยขึ้นในอากาศไว้แน่น ภาพเปลวไฟที่ลุกโชนนั้นดูท่าเจ้าตัวจะดีอกดีใจสุดๆ
ด้านในของอาคารเสริมวังเวงกว่าที่มองเห็นจากด้านนอก สิ่งเดียวที่ทำให้ทางเดินสว่างคือแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ภาพเบื้องหน้าอันเงียบสงัดนั้นว่างเปล่าจนรู้สึกหลอนแปลกๆ แต่มูรยองที่คุ้นชินกับมันดีก็เดินก้าวยาวๆ ไปแบบไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ทุกๆ ย่างก้าวของมูรยองมีลูกไฟคอยส่องแสงสลัวไปรอบบริเวณ เหล่าลูกไฟที่ลอยขึ้นสองฝั่งดูเหมือนกับไฟส่องทาง มูรยองคอยโยนเหรียญสิบวอนขึ้นหนึ่งครั้งทุกๆ ห้าก้าว และแล้วเขาก็มาถึงหน้าห้องสมุดที่อยู่สุดทางเดินชั้นหนึ่ง
[ห้องสมุด-ความฝันของแฮยอน]
ทันทีที่มาถึงหน้าประตู ลูกไฟดวงหนึ่งในกลุ่มก็รีบมุดเข้าไปในรูกุญแจอย่างรู้งาน มูรยองหัวเราะอย่างเอ็นดู จากนั้นก็หยิบลูกกุญแจออกมาแล้วยื่นมือไปทางด้านบนของประตู
“ทำไงดีล่ะ คราวนี้ฉันเปิดเองได้”
กริ๊ก
ตัวล็อกคลายออก ก่อนที่เจ้าลูกไฟจะหรี่แสงลงคล้ายบึ้งตึง แสงที่หรี่กะพริบจวนจะดับนั้นเหมือนกับกำลังประท้วงว่า ‘ทำไมไอ้ของสิ่งนั้นถึงไปอยู่ในมือของเจ้าได้’
แทนที่จะบอกว่าได้มันมาจากนักเรียนคนที่มาขอให้ช่วย มูรยองกลับยิ้มตาหยีอย่างสดใส
“อย่าห่วงเลยน่า”
เขาสัมผัสได้ถึงพลังหยินเป็นระลอกๆ ผ่านช่องว่างของประตูที่เปิดออก ด้านในห้องสมุดเงียบสงัดจนแทบจะได้ยินเสียงมดเดิน แต่มูรยองก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของสิ่งอื่นในนี้
คา…นา…ทา…รา*…
หลังไล่ดูชั้นวางหนังสือไปตามตัวอักษรทีละชั้น มูรยองก็มาหยุดอยู่ที่หน้าชั้น ‘ซา’
“วันนี้พวกนายได้กินกันจนอิ่มแน่”
หลังพูดจบเหล่าลูกไฟก็ลอยหมุนติ้วทันที มูรยองตรวจดูบรรดาหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นนักเรียนคนหนึ่งหอบหนังสือไว้ในอ้อมแขนและร้องไห้โฮปรากฏออกมาตรงหน้า
“…แล้วไง?”
น้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดเอ่ยถามมูรยอง ซึ่งฟังดูเหมือน ‘นี่นายกำลังพูดบ้าอะไรของนาย’ มากกว่า ‘แล้วไง?’
มูรยองที่ยังอยู่ในท่าฟุบตะแคงหน้ากับโต๊ะขยับปากอย่างเนือยๆ
“ฉันจัดหนังสือทั้งคืนจนไม่ได้นอน…”
“…”
สีหน้าไม่อยากจะเชื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าของซึงจู ดูเหมือนมีหลายสิ่งที่เขาอยากจะพูด แต่มูรยองกลับชิงโบกมือคล้ายขอร้องให้เขาช่วยอดทนไว้ก่อน
“ขอร้องล่ะ วันนี้ไม่ไหวจริงๆ ฉันจะนอน”
“…เฮ้อ”
ซึงจูกลั้นหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะโยนเสื้อวอร์มไปคลุมหน้าของมูรยองไว้ ทำเหมือนไม่อยากมองเห็นสภาพนั้นของอีกฝ่าย แต่กลับกลายเป็นว่ามันดันไปช่วยบังแสง ทำให้เจ้าตัวนอนสบายขึ้นเสียอย่างนั้น เขามองมูรยองที่หลับไปอย่างรวดเร็วพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหน้า
‘เขาเป็นนักเรียนที่เคยทำงานในห้องสมุดน่ะ’
จู่ๆ เจ้าเพื่อนคนนี้ก็มาพูดพล่ามเรื่องอะไรก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้า ซึ่งเรื่องนั้นก็คือเรื่องที่มินจีซึ่งอยู่ห้องข้างๆ มาไหว้วานเมื่อวานนั่นเอง มูรยองยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะรับอะไรเป็นค่าตอบแทน ถึงจะยังเหลืออีกตั้งหกวันตามเวลาที่ตกลงกันไว้ แต่จนแล้วจนรอดเจ้าบ้านี่ก็ใช้เวลาไล่จัดการเรื่องนั้นทั้งวัน แถมยังไปนั่งคุยเล่นกับวิญญาณนั่นทั้งคืน
‘อาจารย์ที่ดูแลห้องสมุดดุมาก พวกนักเรียนก็เลยมาแกล้งสลับปกหนังสือเล่นกัน เขาที่เป็นเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์เลยต้องรับผิดชอบอยู่คนเดียว บ้านก็ไม่ได้กลับเพราะต้องคอยจัดการกับหนังสือพวกนั้น’
มูรยองไม่ได้บอกสาเหตุการตายของวิญญาณอย่างเคย ไม่สิ…พูดให้ถูกคือมูรยองเองก็คงไม่รู้สาเหตุนั้นมากกว่า เพราะส่วนมากพวกผีเร่ร่อนมักจำไม่ได้ว่าตัวเองตายแบบไหน
‘ไม่ใช่ผีร้ายอะไรหรอก…แถมพลังวิญญาณก็อ่อนมาก แค่ดวงอาทิตย์ขึ้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว’
มูรยองไม่ได้ลงรายละเอียดลึกไปมากกว่านั้น แต่ก็มากพอให้ซึงจูเดาได้แล้วว่าไปทำอะไรมา เขาก็คงจะจัดหนังสือทั้งหมดตามที่เล่าเพื่อช่วยผีที่ยังคงเศร้าโศกตนนั้น เท่านั้นยังไม่พอดูท่าเขาคงช่วยจัดมันกลับเข้าชั้นตามลำดับที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้มินจีต้องลำบากด้วย
“เฮ้อ…”
เสียงถอนหายใจดังอย่างไม่จบไม่สิ้น ซึงจูที่มีจิตใจเห็นแก่ตัวในระดับพอดีๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมมูรยองต้องใช้ชีวิตอย่างทุ่มเทขนาดนี้ ถึงมูรยองจะไม่ได้บอกเขา แต่เหตุผลที่เมื่อวานเจ้าตัวรีบแก้ปัญหาในทันทีน่าจะเป็นเพราะคำคำหนึ่งที่มินจีพูดเสริมตอนกำลังจะเดินผ่านไป
‘เรื่องนั้นทำฉันเครียดจนปวดท้องเลยเนี่ย’
คิมมูรยองเป็นคนที่ต่อให้ตัวเองจะลำบากแค่ไหนก็ไม่อาจทนเห็นคนอื่นตกที่นั่งลำบากได้ แม้คนอื่นๆ จะแค่บ่นเล่นไปตามประสาก็ตาม
“ไอ้คนซื่อบื้อเอ๊ย”
ซึงจูตบศีรษะของมูรยองผ่านเสื้อวอร์มดังปุๆ เจ้าคนที่พอได้หลับไปครั้งหนึ่งแล้วก็จะหลับสนิทกลับยังคงไม่ยอมตื่น สัมผัสจากแรงมือแค่นี้ย่อมไม่ทำให้เจ้าตัวตื่น แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าจะตื่นหรือไม่ตื่น เขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้น
“…อะไรเนี่ย”
“หมอนั่นมาห้องเราทำไมอะ”
ตอนนั้นเองที่เสียงเอะอะดังเข้ามาในหูเขา ซึงจูเงยหน้าขึ้นและหันมองไปยังจุดศูนย์รวมความสนใจของเพื่อนร่วมห้อง ตรงประตูหลังของห้องเรียนที่เปิดกว้างอยู่ เขาเห็นคนที่สวมชุดนักเรียนอย่างเรียบร้อยตามระเบียบ
“…”
เขาคนนั้นคือคีฮวานยอง คีฮวานยองที่ทั้งสูงทั้งหน้าตาดีจนต้องพบเจอกับความยากลำบากจากการเป็นคนดังตั้งแต่วันพิธีปฐมนิเทศ คีฮวานยองที่มีบรรยากาศน่ากลัวโอบล้อมอยู่โดยรอบและไม่มีแม้แต่มารยาท คือคีฮวานยองคนเดียวกับที่คิมมูรยองมักมองด้วยสายตาระแวดระวังตอนที่เขาเดินผ่านตรงทางเดินหน้าห้องเรียน
มูรยองคงคิดว่าตัวเองไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่ซึงจูมองออกมาตั้งแต่แรกแล้ว แถมพอเห็นมูรยองระแวงหมอนั่นขนาดนั้น เขาก็เลยดูออกไปถึงขั้นที่ว่าหมอนั่นไม่ใช่คนธรรมดา
คิมมูรยองน่ะเหมือนใครซะที่ไหน หมอนั่นแค่เห็นคนสักคน (หรือแม้กระทั่งคนตาย) ก็วิ่งกระดิกหางดุ๊กดิ๊กเป็นลูกหมาแล้วไม่ใช่หรือไง
เอาเหอะ…เรื่องนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย
พอคิดแบบนั้นซึงจูก็ละความสนใจที่มีต่อฮวานยอง ใช่ว่าหมอนั่นจะมาที่นี่ไม่ได้นี่นะ เขาไม่เห็นจำเป็นต้องคิดอะไรให้มากมายเหมือนคนอื่นเลย
“เรียกคิมมูรยองให้หน่อยสิ”
เขาคิดแบบนั้นจนกระทั่งชื่ออันคุ้นเคยหลุดออกมาจากปากของฮวานยอง
ครืด
ซึงจูพลันลุกพรวดจากที่นั่งเสียงดังจนสายตาของนักเรียนในห้องต่างหันมองมาทางเขา เขาหันไปมองมูรยองที่ยังหลับไม่ตื่น ก่อนจะก้าวยาวๆ ไปยังประตูหลัง
“…”
“…”
สายตาที่อ่านไม่ออกกวาดมองไปในอากาศ ฮวานยองขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยให้กับบรรยากาศแปลกๆ นั้น ซึงจูสบตากับอีกฝ่ายพลางพูดออกมาห้วนๆ
“คิมมูรยองทำไม”
“นายชื่อคิมมูรยองเหรอ”
นั่นไม่ใช่การถามว่าเขาคือคิมมูรยองหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะเป็นการบอกว่านายไม่ใช่คิมมูรยองแล้วมาเกี่ยวอะไรด้วยมากกว่า
“คิมมูรยองหลับอยู่ นายคุยกับฉันก่อนได้”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันมาใหม่ก็แล้วกัน”
ฮวานยองหมุนตัวหันหลังให้อย่างไร้เยื่อใยก่อนจะก้าวจากไป ไม่สิ…เขากำลังจะก้าวจากไป ถ้าซึงจูไม่จับไหล่ของเขาไว้ เขาคงเดินจากไปโดยไม่ลังเล
“บอกฉันมาก็…”
พลั่ก
ฮวานยองสะบัดซึงจูออกอย่างแรงจนซึงจูที่ปกติแล้วไม่ค่อยตกใจอะไรยังเบิกตากว้าง เพื่อนๆ ในห้องเองก็พากันหันมามองพวกเขาอย่างตื่นๆ เมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูแล้วท่าจะเจ็บไม่น้อย
“…”
“…”
ซึงจูหันไปดูก่อนว่ามูรยองตื่นขึ้นมาหรือไม่ แต่มูรยองที่เดิมทีเป็นคนหลับลึกอยู่แล้วก็ยังคงนอนหลับนิ่งไม่ไหวติงด้วยความเพลียจากเมื่อคืน โชคดีที่เขาเอาเสื้อวอร์มคลุมไว้ ต่อให้แถวนี้เสียงดังแค่ไหน เจ้าตัวก็คงไม่ตื่นอยู่ดี
“ออกไปข้างนอกกันก่อน”
ซึงจูลดเสียงลงพลางส่งสายตาไปด้านนอกประตูแทนที่จะแตะต้องตัวฮวานยองเหมือนเมื่อครู่ คราวนี้ฮวานยองจึงถอยหลังออกจากห้องไปก้าวหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร ซึงจูรีบปิดประตูหลังของห้องเรียนและยืนเอาหลังพิงมันไว้
“มาหาคิมมูรยองทำไม”
“…”
ซึงจูเอ่ยถามอีกครั้งแต่ฮวานยองก็ยังคงไม่ตอบ เขาทำเพียงทอดสายตามองมือของซึงจูข้างที่ใช้จับเขา และในจังหวะที่ซึงจูคิดจะถามซ้ำ อีกฝ่ายก็ขยับริมฝีปากพูดเบาๆ
“นายเป็นเพื่อนคิมมูรยองใช่ไหม”
ซึงจูผงกศีรษะด้วยสีหน้าเนือยๆ
แหงสิ ทีนี้ก็บอกฉันมาได้แล้ว
เขาตั้งใจจะพูดอย่างนั้น ทว่าฮวานยองก็ชิงพูดอย่างอื่นออกมาก่อน
“งั้นวันนี้ตอนกลับบ้านก็กลับพร้อมคิมมูรยองล่ะ”
“ว่าไงนะ”
“อย่าเดินริมถนนใหญ่ ระวังทางในซอยด้วย”
“…”
“แล้วก็คอยมองให้ดีว่าจะไม่มีอะไรตกลงมาจากข้างบน”
“…”
ซึงจูพลันเสียวสันหลังวาบเพราะผมด้านหน้ายาวๆ ทำให้ดวงตาที่เหมือนมีเงามืดปกคลุมนั้นชวนขนลุกแปลกๆ ดวงตาสีดำสนิทที่แตกต่างจากดวงตาของมูรยองคู่นี้ดูหมองหม่นราวกับคนที่ตายไปแล้ว
“แล้วก็อย่ามาแตะตัวฉัน”
“เดี๋ยวสิ เฮ้ย…”
บทสนทนาตัดจบอย่างฉับไว ไม่รู้ว่ามันคือการเตือนให้ระวังหรือเป็นแค่การแสดงความรำคาญกันแน่ แต่ก่อนที่ซึงจูซึ่งมัวแต่งงจะทันได้พูดอะไร ฮวานยองก็ก้าวขายาวๆ จากไปและทิ้งเขาไว้ข้างหลัง
“…อะไรของหมอนี่วะ พิลึกคน”
ไม่ใช่ว่ามาเพราะมีธุระหรอกเหรอ
ซึงจูข่มความเคลือบแคลงใจที่พุ่งขึ้นมาในหัวเอาไว้ระหว่างมองแผ่นหลังของฮวานยอง ไม่นานนักอีกฝ่ายก็เดินห่างออกไปจนถึงสุดปลายโถงทางเดินหน้าห้องเรียน
มูรยองตื่นขึ้นมาอีกทีตอนใกล้จะหมดคาบสุดท้าย เขาที่นอนหลับลึกเหมือนตายเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะในตอนที่อาจารย์เดินออกจากห้องไปพอดี ดวงตาสองข้างที่ใสสว่างเสมอตอนนี้ยังปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
“ตื่นแล้วเหรอ”
“งืมมม…”
ซึงจูเก็บเสื้อวอร์มที่พาดอยู่บนศีรษะของมูรยองคืนมา อุณหภูมิในตัวของเขาคงร้อนขึ้นระหว่างที่นอน ความอุ่นจากร่างกายเลยยังคงหลงเหลืออยู่บนเนื้อผ้า จากนั้นซึงจูก็สะบัดเสื้อวอร์มอย่างเคยชินแล้วพับมันเก็บอย่างเรียบร้อย
“เมื่อกี้มีใครมาหรือเปล่า”
คำถามของมูรยองทำให้ซึงจูชะงักไปแวบหนึ่ง ขณะที่คนถามกำลังอ้าปากหาวหวอดพลางใช้มือขวาขยี้ตา ไม่ช้าเขาก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่มีอะไร
“เปล่า ก็ไม่เห็นมีใครมานี่”
ถ้าบอกว่าคีฮวานยองมาหา มูรยองคงต้องออกไปตามหาแน่ๆ ตามลางสังหรณ์ของซึงจูแล้ว เหตุผลที่หมอนั่นมาหามูรยองคงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากมาขอให้ช่วย นั่นหมายความว่าวันนี้เจ้าตัวเปี๊ยกนี่อาจต้องโต้รุ่งอยู่ที่โรงเรียนอีกวัน
ถึงจะเป็นคิมมูรยองก็เถอะ แต่ถ้าจะให้อดหลับอดนอนติดกันหลายวันก็คงเกินไปหน่อย วันนี้ปล่อยให้เจ้านี่ได้พักผ่อนเต็มอิ่มหน่อยท่าจะดีกว่า
“งั้นเหรอ”
โชคดีที่มูรยองพยักหน้ารับโดยไม่สงสัยอะไรเป็นพิเศษ ถึงจะพึมพำออกมาว่า ‘เหมือนจะได้ยินชื่อฉันเลย…’ แต่น้ำเสียงนั้นก็ไม่ได้ฟังดูคาใจอะไร เขากะพริบตาปริบๆ พลางขยี้ผมด้านหลังแล้วอ้าปากกว้างหาวออกมาอีกครั้ง
“ซึงจู วันนี้เวรนายใช่ปะ ให้ฉันรอไหม”
ถึงจะไม่ได้ตัวติดกันจนถึงขั้นไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่ถ้าไม่มีเรื่องอะไรพวกเขาสองคนก็มักกลับบ้านด้วยกันเสมอ ไม่ใช่ว่าสนิทกันเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะบ้านของพวกเขาอยู่ติดกันก็เท่านั้น
“ไม่เป็นไร นายกลับก่อนเลย ฉันต้องทำความสะอาดอีกนาน”
ซึงจูพูดแบบนั้นแต่ในใจก็นึกถึงสิ่งที่ฮวานยองพูดขึ้นมา มันเป็นคำพูดอย่างกับพวกคนทรงที่สั่งว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องกลับกับมูรยองให้ได้
เอาเถอะ คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก
ซึงจูคิดเช่นนั้นพลางตั้งท่าจะปิดหนังสือเรียน
“…”
แต่จู่ๆ มูรยองก็คว้ามือขวาของซึงจูไว้อย่างว่องไวด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดอย่างกับก่อนหน้านี้ไม่ได้ง่วงเหงาหาวนอน ซึงจูพลันเบ้หน้าโดยอัตโนมัติพร้อมกับพยายามดึงมือที่โดนจับไว้ออก
“ทำอะไรเนี่ย ขนลุกน่า”
“นายไปจับอะไรมา”
“หืม?”
มูรยองที่มีเรี่ยวแรงเยอะเกินตัวยังคงไม่ยอมปล่อยมือซึงจู แถมยังใช้สองมือดึงไว้แน่นและมองจ้องมาอย่างจริงจัง ไม่รู้ทำไมสายตานั้นถึงดูคล้ายกับฮวานยองนัก ซึงจูจึงทำหน้าแหยงๆ ก่อนจะยักไหล่
“ก็ไม่ได้จับอะไรสักหน่อย”
เขาดึงมือออกสุดแรง หนนี้มูรยองไม่ได้ดึงดันที่จะจับมือของซึงจูเอาไว้อีก และในตอนนั้นเองอาจารย์ประจำชั้นก็เข้าห้องมาแบบได้จังหวะพอดี บทสนทนาเลยจบลงแค่นั้น
“เดี๋ยวฉันรอ ค่อยกลับบ้านพร้อมกัน”
จนแล้วจนรอดหลังจบคาบโฮมรูมรอบบ่ายมูรยองก็อยู่รอเขาอยู่ดี แม้ซึงจูจะพยายามห้ามไว้แล้ว แต่ความหัวรั้นของมูรยองสูงมากจนเขาทำอะไรไม่ได้
แต่แล้วสิ่งที่ทำให้คนหัวรั้นอย่างมูรยองยอมออกจากโรงเรียนไปได้ก็คือโทรศัพท์สายหนึ่งจากที่บ้าน
“หืม? เจ้าซอลกีกินอะไรแปลกๆ เข้าไปงั้นเหรอครับ”
‘ซอลกี’ คือชื่อของลูกหมาตัวน้อยสีส้มอมน้ำตาลที่มูรยองเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กๆ แม้เวลานี้จะอายุเกินสิบขวบแล้ว แต่มันก็ยังมีชีวิตชีวาและซุกซนเหมือนตอนเป็นเด็ก
มูรยองหันมามองซึงจูด้วยแววตาที่ดูลำบากใจ สุดท้ายเขาก็บอกทิ้งท้ายไว้ก่อนจะวิ่งออกจากห้องเรียนไป
“อย่าไปเถลไถลที่ไหน ตรงกลับบ้านทันทีเลย เข้าใจไหม”
ทำไงได้ล่ะ ก็คนในครอบครัวของคิมมูรยองป่วยนี่นา
ซึงจูโบกมืออย่างไม่ใส่ใจอะไรนักให้มูรยองที่รีบวิ่งออกไป
ในเมื่อคิมมูรยองเตือนซะขนาดนั้น สงสัยคงต้องระวังสักหน่อยแล้ว
เขาคิดในใจเช่นนั้น และในวันรุ่งขึ้นซึงจูก็ไม่ได้มาโรงเรียน
เสียงเอะอะดังไปทั่วห้องเรียน มีทั้งเสียงพูดคุยจ้อกแจ้ก เสียงฝีเท้าที่เดินกันวุ่นวาย เสียงเปิดปิดประตู รวมถึงเสียงลากเก้าอี้ที่ดังให้ได้ยินเป็นระยะๆ เพราะอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังจะสายเลยมีนักเรียนหลายคนเข้าห้องเรียนมาแบบกระหืดกระหอบ
ท่ามกลางความชุลมุนเหล่านั้นมูรยองเอาแต่นั่งจิ้มโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้ายุ่งๆ เมื่อซึงจูที่ปกติต้องมานั่งประจำที่ก่อนมูรยองทุกวันยังคงไม่โผล่หน้ามาให้เห็นจนป่านนี้ซึ่งใกล้จะสายแล้ว
“มูรยอง! ทำไมซึงจูถึงยังไม่มาอีกล่ะ”
“นั่นสิ ไม่รู้หรอกนะว่าคิมมูรยองเป็นยังไง แต่ถ้าเป็นซอซึงจู หมอนั่นไม่เคยมาสายเลยนะ”
“วันนี้พวกนายไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”
ความสงสัยไล่ถามตามหลังมาเป็นชุดหลังคำถามของเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น มูรยองเกาท้ายทอยอย่างเก้อๆ พลางทำหางตาตกลู่ ใบหน้าที่อ่อนโยนอยู่เสมอตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ดูสิ้นหวัง
“ไม่รู้อะ…ยังติดต่อไม่ได้เลย”
เช้านี้มูรยองมาโรงเรียนด้วยความสดชื่นอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน เพราะได้นอนหลับสนิทใต้ผ้าห่มนุ่มๆ หลังจากต้องหลับๆ ตื่นๆ โต้รุ่งอยู่ตลอดเวลา พวกมือปราบวิญญาณที่ใช้พลังจิตจะฟื้นคืนพละกำลังได้รวดเร็วเป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นการนอนหลับสนิทเต็มอิ่มเพียงครั้งเดียวจึงสามารถละลายความอ่อนเพลียในช่วงที่ผ่านมาได้เหมือนกับละลายหิมะ
ส่วนเจ้าซอลกีที่ทำให้มูรยองกังวลใจแทบตายก็ขับถ่ายสิ่งที่กินเข้าไปออกมาในสภาพเดิมโดยไม่มีปัญหายุ่งยากตามมา สิ่งที่ซอลกีกลืนลงไปคือลูกตาปลอมที่ติดอยู่บนตุ๊กตา มันคงทั้งกัดทั้งฟัดลองชิมตุ๊กตาตัวโปรดและกลืนสิ่งที่หลุดเข้าปากไปในทันที เมื่อวานมูรยองอุ้มเจ้าซอลกีวิ่งหน้าตั้งตรงไปยังโรงพยาบาลแถวบ้าน ก่อนจะได้ฟังจากปากหมอว่าแค่รอให้มันอึออกมาก็หายห่วงแล้วเพราะไม่มีปัญหาอะไรกับร่างกาย
พอกลับถึงบ้านอีกครั้งตุ๊กตาที่มีลูกตาทั้งหมดก็ถูกย้ายไปไว้ในจุดที่ซอลกีเข้าไปไม่ถึง ตุ๊กตาที่มันชอบมากและโตมาพร้อมกับมันจะต้องถูกแกะเอาของตกแต่งออกอย่างไม่มีทางเลือก พอเห็นเจ้าซอลกีร้องครางหงิงๆ มูรยองก็บอกว่า ‘พี่ชายขอโทษนะ’ พร้อมกับดึงมันมากอดอยู่พักใหญ่
แต่ปรากฏว่าซึงจูคนที่ไม่ควรจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกลับไม่มาโรงเรียนแทน ไม่ว่าจะลองโทรไปหาสักกี่ครั้งก็ได้ยินแต่เสียงจากระบบตอบกลับอัตโนมัติที่แจ้งเตือนว่าไม่สามารถติดต่อได้ แน่นอนว่าข้อความที่ส่งไปก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีการตอบกลับเช่นกัน
เกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ งั้นเหรอ
ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจคิดว่าหมอนั่นคงแค่นอนตื่นสาย แต่ปกติซึงจูตื่นแต่เช้าตรู่เสมอ ไม่เหมือนมูรยองที่นอนขี้เซาจนถึงขนาดที่พอได้หลับแล้วต่อให้ฟ้าผ่าลงมาก็จะไม่ตื่น นอกจากนี้ซึงจูยังเป็นคนที่ขยันมากถึงมากที่สุดชนิดที่ไม่ยอมขาดเรียนเลยสักวันหากไม่ป่วยหนักจริงๆ
มูรยองหันมองที่นั่งว่างเปล่าข้างตัวพลางกัดริมฝีปากล่างอย่างพะวักพะวน ระหว่างที่ใช้ฟันหน้าขบริมฝีปากซ้ำๆ เขาก็พลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ทีละน้อย ตอนที่ลืมตาตื่นหลังนอนหลับไปพักหนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ยากเกินกว่าจะบรรยายจากซึงจู
นายไปจับอะไรมากันแน่นะ
มันคือพลังวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังทางจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในตัวผู้คนหรือแม้กระทั่งสิ่งของใดๆ เป็นพลังระดับสูงที่หากไม่ใช่ผู้มีความสามารถทางด้านวิญญาณอย่างเช่นมูรยองก็จะไม่อาจสัมผัสถึงมันได้
จริงๆ แล้วมูรยองรู้ว่าใครเป็นเจ้าของพลังวิญญาณที่ว่านั่น ตลอดชีวิตการเป็นมือปราบวิญญาณที่ผ่านมา คนที่มีพลังใสบริสุทธิ์และสวยงามขนาดนั้น นอกจากเขาคนนั้นแล้ว มูรยองก็ไม่เคยเห็นจากที่ไหนอีกเลย ถึงแม้เขาคนที่ว่าดูเหมือนจะไม่ใช่มือปราบวิญญาณก็เถอะ
แต่มันก็ดูไม่ได้อันตรายอะไรสักหน่อย…
โดยพื้นฐานแล้วการมีพลังวิญญาณติดตัวก็คือการมีจิตวิญญาณที่ใสบริสุทธิ์ ซึ่งในอีกมุมหนึ่งก็คือพลังวิญญาณนั้นจะสามารถล่อใจพวกภูตผีวิญญาณได้ หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือพลังดังกล่าวอาจทำให้ผู้ถือครองตกอยู่ในอันตรายได้ตลอดนั่นเอง ยิ่งพลังวิญญาณแข็งแกร่ง จิตวิญญาณบริสุทธิ์มากแค่ไหน โอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อของพวกที่ตายแล้วก็จะยิ่งสูงขึ้น
แต่พวกดวงวิญญาณที่ยังไม่อาจไปสู่สุคติได้ก็ยังพอมีสิ่งที่เรียกว่า ‘การไตร่ตรอง’ อยู่บ้าง เป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดที่พวกมันจะไม่เหลียวแลหรือเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยแม้แต่น้อยหากคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดูมีอันตราย
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่พวกภูตผีวิญญาณไม่เคยลุ่มหลงมัวเมากับเหล่ามือปราบวิญญาณผู้มีพลังวิญญาณแก่กล้าอย่างมูรยอง เพราะพวกเขาสามารถควบคุมพลังวิญญาณของตนและใช้มันเป็นพลังจิตได้นั่นเอง
เมื่อเป็นอย่างนั้นอย่าว่าแต่เนตรสัมผัสวิญญาณเลย แม้แต่พลังวิญญาณเพียงสักนิดซึงจูก็ยังไม่มี ดังนั้นต่อให้มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขนาดไหนปนเปื้อนอยู่บนร่างกาย แต่ก็ไม่น่าจะมีผีซื่อบื้อตนไหนเข้าใจผิดไปว่าซึงจูมีพลังวิญญาณ และถ้าจะตกอยู่ในอันตรายด้วยเหตุผลแบบนั้น ป่านนี้ซึงจูคงตายไปตั้งแต่ตอนที่มาเป็นเพื่อนกับมูรยองแล้ว
“บ้าเอ๊ย…คงไม่มีอะไรหรอกน่า”
มูรยองพยายามสลัดความกังวลทิ้งและเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋า เขาคงคิดมากไปเองอย่างที่ซึงจูชอบบอก
วันนี้หมอนั่นอาจจะแค่ตื่นสายก็ได้
เขาคิดอย่างนั้นพลางสะกดกลั้นความกระวนกระวายใจเอาไว้
แกร๊ก
ประตูหน้าห้องเปิดออก อาจารย์ประจำชั้นก้าวเข้ามาเพื่อเช็กชื่อรอบเช้า เขาใช้แปรงลบกระดานลบชื่อซอซึงจูใต้คำว่า ‘นักเรียนมาสาย’ ที่ถูกเขียนไว้บนกระดานดำทิ้งไป จากนั้นก็ไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะอาจารย์ประจำชั้นพลางกวาดตามองนักเรียนในห้องจนทั่ว ก่อนจะพูดขึ้น
“ซึงจูประสบอุบัติเหตุบนถนน วันนี้เลยมาโรงเรียนไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวลกันนะ ไม่ใช่อุบัติเหตุร้ายแรงอะไรหรอก ยังไงพวกเธอจะไปไหนมาไหนก็ระวังรถกันด้วยล่ะ”
“…”
ดวงตาของมูรยองสั่นไหวอย่างรุนแรง ถ้าถืออะไรอยู่ในมือเขาคงทำมันตกแน่ๆ ใบหน้าสดใสพลันซีดเผือดด้วยความตกใจ เสียงพูดคุยอื้ออึงรอบด้านค่อยๆ ดังไกลออกไป
ทำไมกัน…
จะบอกว่ามันเป็น ‘สัมผัสพิเศษ’ ในฐานะมือปราบวิญญาณก็ว่าได้ เริ่มจากความสงสัยที่ผุดขึ้นมาในหัวอย่างไร้สาเหตุ บอกว่าเป็นอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างนั้นเหรอ…เบื้องลึกเบื้องหลังนั้นเขามั่นใจเลยว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับใครบางคนแน่
เมื่อคิดได้ดังนั้น ทันทีที่จบคาบโฮมรูมรอบเช้ามูรยองก็ลุกพรวดจากที่นั่งและเดินตามอาจารย์ประจำชั้นออกจากห้อง เขาตามอาจารย์ต้อยๆ เหมือนลูกเป็ดที่กลัวหลงกับแม่ ก่อนจะรีบเดินไปดักหน้าดักหลังไว้อย่างร้อนใจ
“จารย์ครับ ซึงจูบาดเจ็บตรงไหนเหรอครับ”
“หืม? มูรยอง นี่เธอเองก็ไม่รู้เรื่องที่เขาบาดเจ็บเหรอ”
“พอดีเขาไม่รับโทรศัพท์ผมเลยน่ะครับ”
มูรยองที่ขมวดคิ้วมุ่นโชว์หน้าจอโทรศัพท์ให้อาจารย์ดู ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้แต่แรก เมื่อเช้าเขาจะลองแวะไปดูที่บ้านของซึงจู แต่ด้วยความที่เจ้าหมอนั่นมักออกจากบ้านก่อนตลอด มูรยองเลยคิดว่าวันนี้อีกฝ่ายก็คงมาถึงก่อนแล้วเหมือนกับทุกวัน
“อ๋อ…จริงสิ เห็นเขาบอกว่าโทรศัพท์มือถือพังน่ะ แขนหักนิดหน่อย น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้วันนี้แหละ จะว่าไปแล้วพวกเธออยู่บ้านข้างกันนี่ ถ้าเป็นห่วงก็ลองแวะไปเยี่ยมหลังเลิกเรียนสิ”
อาจารย์ประจำชั้นบอกแบบนั้นและตบไหล่มูรยองปุๆ มูรยองที่หน้าซีดไปเมื่อได้ยินเรื่องโทรศัพท์มือถือพังพลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกหลังได้ฟังคำพูดต่อมาของอาจารย์ประจำชั้น ถ้าออกจากโรงพยาบาลวันนี้ได้ดูท่าจะบาดเจ็บไม่เยอะจริงๆ ค่อยโล่งใจขึ้นหน่อย
“มูรยอง เธอเองก็ระวังด้วยเวลาเดินตามถนน แล้วเนกไทน่ะ ถ้าใส่ได้ก็ช่วยใส่หน่อยเถอะ เจ้าเด็กนี่หนิ”
ถ้าเป็นเรื่องที่บอกให้ระวังแล้วระวังได้จริงๆ ก็ดีน่ะสิ
มูรยองพยักหน้าตอบแบบส่งๆ ไปว่า ‘เข้าใจแล้วครับ’ แล้วก้มศีรษะบอกลา เขานึกเสียดายอยู่ในใจว่าน่าจะเขียนยันต์ให้ซึงจูสักแผ่น
และในจังหวะที่กำลังจะกลับไปที่ห้อง เขาก็สบตากับใครบางคนที่กำลังเดินมาตามทางเดินหน้าห้องเรียนพอดี
“…”
“…”
เนกไทที่ผูกอย่างเรียบร้อย เสื้อที่ติดกระดุมจนถึงคอ และส่วนสูงที่สูงกว่านักเรียนคนอื่นหนึ่งช่วงศีรษะ แม้จะมองเห็นจากระยะไกลๆ แต่ฮวานยองก็ยังโดดเด่นจนสะดุดตาเขาอยู่ดี
มูรยองทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติและพยายามละสายตาจากฮวานยอง เขาไม่ได้หันหน้าหนี แต่ก็หมุนตัวหลบแบบเนียนๆ ได้สำเร็จ
แต่น่าเสียดายที่ความพยายามนั้นเปล่าประโยชน์เพราะฮวานยองเดินเข้ามาขวางอยู่ตรงหน้าเขาในชั่วพริบตา
“คิมมูรยอง”
“…”
คนเราสามารถเดินดุ่มมาแบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียงแบบนี้ได้ด้วยเหรอ
มูรยองที่กำลังเครียดกะพริบตาอย่างช้าๆ พลางถอนหายใจเบาๆ เขาซ่อนสีหน้าลำบากใจเอาไว้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของฮวานยองที่อยู่สูงกว่า
“เอ่อ…นายมีอะไรเหรอ”
ความสูงนั่นมัน…สูงชะมัดเลยแฮะ
แม้จะคิดว่าเป็นเพราะตนเองตัวเล็ก แต่ฮวานยองก็ยังสูงเกินกว่าระดับสายตาของเขาไปมากอยู่ดี ดูท่าอีกฝ่ายน่าจะสูงกว่าซึงจูเสียอีก แถมยังสูงจนทำให้รู้สึกกลัวอยู่หน่อยๆ ด้วย
“มีอะไรจะพูดงั้นเหรอ”
ในขณะที่ปากถามออกไปแบบนั้น มูรยองก็ค่อยๆ ตีเนียนก้าวถอยหลังออกมา ฮวานยองหลุบตามองรองเท้ากีฬาที่ครูดกับพื้นจนได้ยินเสียงเอี๊ยดๆ ดังอยู่เบื้องล่าง
คีฮวานยองกับคิมมูรยอง เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็เป็นคนดัง ผู้คนที่อยู่รอบด้านเลยพากันหันมามองด้วยสายตาสนอกสนใจ
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูด…”
“ฉันมีเรื่องจะขอให้นายช่วย”
“…”
มูรยองกะพริบตากลมโตราวกับจะถามว่า ‘มีเรื่องจะขอให้ช่วย?’
“เลิกเรียนแล้วเดี๋ยวฉันไปหา”
ฮวานยองพูดแค่ธุระของตัวเองแล้วหมุนตัวหันหลังขวับทันที พอเห็นภาพอีกฝ่ายที่กำลังจะเดินห่างออกไป มูรยองก็รีบคว้าแขนที่เห็นอยู่ตรงหน้าเอาไว้อย่างลืมตัว จังหวะที่สองมือกำรอบแขนแกร่งผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาว พลังอันสดชื่นและเย็นสบายก็ถาโถมเข้าใส่เขา
“…เอ่อ”
ถึงจะอ้าปากได้แล้วแต่มูรยองก็ยังพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ ไม่ใช่เพราะอุณหภูมิร่างกายของฮวานยองเย็นเกินไป แต่เป็นเพราะสายตาที่หันกลับมามองเขานั้นเต็มไปด้วยความตกใจต่างหาก ฮวานยองที่ดูเหมือนพร้อมจะสะบัดมูรยองออกได้ทุกเมื่อพลันชะงักค้างอยู่ในท่ายกแขน
“ขอโทษนะ…พอดีวันนี้ฉันมีที่ที่ต้องไปหลังเลิกเรียนน่ะ”
มูรยองละมือจากแขนที่จับไว้อย่างเชื่องช้า หลังปล่อยมือออกแล้วเขาก็ขยับนิ้วพลางเดินถอยห่างออกมาก้าวหนึ่ง ซ่อนมือนั้นไว้ด้านหลังก่อนจะขยับมือกำแบสลับกันไปมา
“ไว้พรุ่งนี้แทนได้ไหม”
“…”
ฮวานยองพลันเม้มปากกับคำพูดของมูรยอง ริมฝีปากสวยได้รูปขบเม้มเข้าหากันแน่นเป็นเส้นตรง หลังผ่านไปพักหนึ่งเขาก็ถามออกมาเสียงเบา
“วันนี้เพื่อนนายไม่มาโรงเรียนสินะ?”
“…”
ไม่มีคำตอบใดตอบกลับคำถามนั้น เพราะสิ่งที่ฮวานยองพูดคือความจริง และไม่รู้ว่าเขาเข้าใจการนิ่งเงียบของมูรยองว่าอย่างไรถึงได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าแค่แป๊บเดียวก็ได้อยู่ใช่ไหม ฉันมีเรื่องจะคุยไม่นานหรอก”
มูรยองยังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป โชคไม่ดีที่เสียงออดบอกเวลาเตรียมตัวเข้าเรียนคาบแรกดันดังขึ้นมาเสียก่อน ในตอนนั้นเองเหล่านักเรียนที่เฝ้ามองพวกเขาอยู่ต่างก็รีบแยกย้ายกันกลับเข้าห้อง ส่วนมูรยองก็ได้แต่พยักหน้าช้าๆ ให้ฮวานยองที่รอคำตอบ
“ถ้างั้น…นายรออยู่ที่ห้องแล้วกันนะ”
“ห้องฉัน?”
“อืม เลิกเรียนแล้วเดี๋ยวฉันไปหา”
สีหน้าสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮวานยอง ทีแรกมูรยองนึกว่าอีกฝ่ายจะถามว่า ‘ทำไม’ แต่คำถามที่เอ่ยออกมากลับเป็นคำถามอื่น
“…นายรู้เหรอว่าฉันอยู่ห้องไหน”
มูรยองหัวเราะออกมาราวกับลืมความประหม่าก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น เพราะสีหน้าตอนที่อีกฝ่ายถามออกมานั้นดูจริงจังมาก
ถามมาได้ ขนาดนายยังรู้เลยว่าฉันอยู่ห้องไหน
“รู้สิ นายอยู่ห้องสามไง”
“…”
“ฉันทำเวรแทนเพื่อนเสร็จแล้วจะแวะไปหานะ นายรออยู่ที่ห้องไปก่อนแล้วกัน”
ตรงสุดโถงทางเดินหน้าห้องเรียน อาจารย์ที่สอนคาบแรกกำลังเดินมา มูรยองกัดปลายลิ้นเบาๆ ด้วยสีหน้าราวกับไม่ได้ดั่งใจ ก่อนจะตบแขนฮวานยองแปะๆ พลางเอ่ย
“นายเองก็รีบกลับห้องเถอะ ไว้เจอกัน”
พริบตาเดียวมูรยองก็เดินหายเข้าไปในห้องเจ็ด
ปัง
ตรงหน้าบานประตูที่ปิดลง ฮวานยองกำรอบแขนตัวเองแน่นราวกับตกอยู่ในภวังค์ความคิด
มันคือบริเวณที่มือของมูรยองสัมผัสเมื่อครู่นี้
“อืม ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แต่พ่อกับแม่ฉันคงทำตัวตื่นตูมไปอีกสักวันสองวันแหละ”
หลังกินอาหารกลางวันของโรงเรียนเสร็จ มูรยองคุยกับซึงจูผ่านโทรศัพท์ของแม่เจ้าตัว โชคดีที่เสียงพูดของซึงจูฟังดูปกติดี เพราะวิธีการพูดแบบเฉยเมยไม่รู้ร้อนรู้หนาวนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากวันอื่นๆ
จากที่ซึงจูเล่าเจ้าตัวไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แค่เข้ารับการตรวจอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลก็เลยต้องนอนค้าง เลยทำให้ต้องหยุดเรียนไปด้วยนั่นเอง ลูกชายคนเล็กที่เลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมบาดเจ็บ จึงไม่แปลกที่ความกังวลของคนในครอบครัวจะสูงเสียดฟ้าเช่นนี้
“แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นได้ล่ะ”
“สายกระเป๋ามันไปเกี่ยวกับกระจกมองข้างของรถ พอล้มแล้วเอาแขนยันผิดท่าก็เลยบาดเจ็บน่ะ แล้วโทรศัพท์มือถือก็แตกกระจายไปด้วย”
หมอนี่ซวยอะไรแบบนี้นะ
มูรยองนวดขมับเบาๆ กับคำพูดของซึงจู
สายกระเป๋าไปเกี่ยวกับกระจกมองข้างเนี่ยนะ
มันเป็นเหตุการณ์ที่ฟังดูเลวร้ายเกินกว่าจะเรียกได้ว่า ‘ดวงซวย’ แต่มูรยองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะดวงจริงๆ หรือเป็นเพราะอย่างอื่นกันแน่
“ยังไงอาการฉันก็ปกติดี ไม่ได้ถึงขั้นต้องกังวลหรอกน่า”
“มือซ้ายใช่ไหมที่เจ็บ”
“เปล่า มือขวา”
“…”
สงสัยคงต้องเขียนยันต์ให้สักแผ่นจริงๆ แล้วมั้งเนี่ย
“นี่ ฉันต้องกินข้าวแล้ว แค่นี้นะ”
สิ้นคำพูดนั้นซึงจูก็ตัดสายไปอย่างไร้เยื่อใยทันที มูรยองเองก็วางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะแบบไม่ได้นึกติดใจอะไร อย่างไรเสียซึงจูก็บอกว่าโอเคดีแล้ว ก่อนอื่นเขาคงต้องจัดการกับปัญหาที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ก่อน
ชั่วโมงเรียนคาบบ่ายผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับมีใครแกล้ง มูรยองนั่งตั้งใจเรียนด้วยดวงตาใสแจ๋วอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานและได้ยินคำชมจากอาจารย์ถึงสามครั้ง พอได้ยินอาจารย์ชมเรื่องที่เขาไม่นอนหลับในคาบแล้วก็คิดขึ้นมาว่าถ้าซึงจูมาเห็นฉากนี้เข้าคงได้งงเป็นไก่ตาแตกและพูดว่า ‘ชีวิตวัยเรียนนั้นช่างง่ายดายเสียจริง’ แน่ๆ
“เอาล่ะ ทุกคนก็ระวังรถกันด้วยนะ ไว้พรุ่งนี้เจอกัน”
หลังจบคาบโฮมรูมรอบบ่าย มูรยองก็พยายามทำความสะอาดให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้จนเสร็จก่อนจะออกจากห้องเรียนมา เรื่องที่จะขอให้ช่วยนั้นเขารู้สึกว่ามันน่าจะสะดวกกว่าถ้าคุยกันตอนไม่มีนักเรียนคนอื่นอยู่ในโรงเรียนแล้ว แต่ดูท่าเขาคงจะเอ้อระเหยไปหน่อย จนเวลานี้แม้แต่โถงทางเดินหน้าห้องเรียนตลอดแนวยังว่างเปล่า
เขาเห็นท้องฟ้ายามดวงอาทิตย์ตกผ่านหน้าต่างตรงทางเดิน ดวงอาทิตย์ที่กำลังคล้อยตกดินทอแสงไปทั่วฟ้าราวกับระบายท้องฟ้าด้วยสีน้ำ มูรยองล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วลูบคลำวัตถุพลาสติกที่อยู่ในนั้น
มีเรื่องอะไรจะให้ช่วยกันนะ…
โดยพื้นฐานแล้วมูรยองไม่ค่อยปฏิเสธคำขอร้องเวลามีใครมาขอความช่วยเหลือ เพราะส่วนมากมักเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตที่เขาต้องช่วยในฐานะมือปราบวิญญาณอยู่แล้ว หรือต่อให้ไม่ใช่เรื่องแบบนั้นก็ยังเป็นเรื่องที่เขาสามารถจัดการให้ได้อยู่ดี ยิ่งเมื่อคิดถึงความกล้าของอีกฝ่ายในการเปิดใจเล่าความทุกข์ให้ผู้อื่นฟังด้วยแล้ว แค่คิดว่าจะปฏิเสธในใจเขายังรู้สึกผิดเลย
แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้มูรยองกลับรู้สึกอยากปฏิเสธคำขอร้องนั่นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายมา ซึ่งก็ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดเป็นพิเศษ แค่เพราะอีกฝ่ายคือคีฮวานยองก็เท่านั้น
คนอย่างหมอนั่นไม่น่ามีเรื่องอะไรที่ต้องมาขอให้เราช่วยเลยนี่นา
ในตอนที่ฮวานยองเข้ามาใกล้ มูรยองสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณชนิดที่ทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ พลังที่ทั้งสดชื่นและเย็นสบายนั้นบริสุทธิ์และชัดเจนกว่าพลังวิญญาณใดๆ ที่เขาเคยสัมผัสมาจนถึงตอนนี้ แม้แต่แม่ของเขาที่เป็นมือปราบวิญญาณแนวหน้าก็ยังไม่มีพลังที่ใสสะอาดเท่าหมอนั่น
ทำไมฮวานยองที่มีพลังขนาดนั้นถึงต้องให้เราช่วยกันนะ
ที่จริงไม่ใช่แค่เรื่องของพลังวิญญาณเพียงอย่างเดียว ในเมื่อตัวเองก็มีความสามารถขนาดนั้น…และถ้าเป็นพลังวิญญาณระดับนั้นแล้วล่ะก็ เขามั่นใจได้เลยว่าเนตรสัมผัสวิญญาณของอีกฝ่ายจะต้องเบิกออกแล้วแน่ๆ
[2-3]
มูรยองหยุดยืนหน้าประตูห้องเรียน ก่อนจะจัดระเบียบการหายใจอยู่สักพัก เขาวางมือลงแถวๆ หน้าอกและพยายามจดจ่ออยู่กับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นอย่างสงบ มันเป็นวิธีที่พ่อของเขาสอนให้ทำเวลารู้สึกไม่สบายใจ
เวลาผ่านไปพักใหญ่นับจากที่เขาจับลูกบิดประตู
เขามองเข้าไปในห้องผ่านกระจกตรงประตูด้านหน้า แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของฮวานยอง
หมอนั่นนั่งอยู่หลังห้องหรือเปล่านะ
จังหวะที่เปิดประตูเข้าไปพร้อมความคิดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนหัวใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“…”
มูรยองก้าวขาเข้าไปในห้องช้าๆ ราวกับถูกสะกด ลางสังหรณ์ของสัมผัสพิเศษในฐานะมือปราบวิญญาณส่งสัญญาณเตือนเขาซ้ำๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีมวลพลังหยินมหาศาลที่เกาะติดอยู่ตามผิวของเขาราวกับละอองไอของความชื้นอีกด้วย
“มาช้าจังนะ”
แกรก…แกรก…
แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่อง ในห้องที่นักเรียนกลับบ้านกันไปหมดแล้วมีเพียงฮวานยองที่กำลังนั่งรอมูรยองอยู่คนเดียวตรงริมหน้าต่าง ตรงโต๊ะตัวที่สองนับจากหลังห้องซึ่งเป็นที่นั่งที่มีเงาทอดยาวออกมา อีกฝ่ายที่นั่งหลังตรงเปิดปากพูดกับมูรยองด้วยท่าทีเรียบเฉย
“มานั่งสิ จะได้คุยกัน”
แกรก…แกรก…
“…”
มูรยองหยุดยืนนิ่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้นในสภาพที่พูดอะไรไม่ออก ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตะลึงงัน ลูกกระเดือกที่คอขยับขึ้นลงอึกอัก ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหายใจมีเสียงน่าขนลุกดังขึ้นในหู
แกรก…แกรก…
“นาย…”
แม้เขาจะเปิดปากอย่างยากลำบากได้แล้ว แต่คำพูดที่เหลือกลับไม่ยอมดังลอดออกมา เขาทำได้เพียงสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ในขณะที่หางตากระตุกรัว
เส้นผมที่สยายยาว เล็บที่มีเลือดไหลลงมาเป็นหยดๆ และเรียวแขนแห้งเหี่ยวเหลือแต่กระดูกที่โอบรอบคอของฮวานยองในท่าที่ราวกับกอดเอาไว้
นายมองไม่เห็นมันจริงๆ น่ะเหรอ
คำพูดที่พูดออกมาไม่ได้ยังติดค้างอยู่ในปาก ส่วนผีที่เกาะติดอยู่กับฮวานยองนั้นเหมือนจะกำลังอ้าปากแสยะยิ้มกว้าง
* การเรียงพยัญชนะของภาษาเกาหลี
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.