Chapter 12-2
“ฮวานยองอา”
“…”
ฮวานยองสะดุ้งจนไหล่กระตุก มันคือปฏิกิริยาตอบรับที่มีต่อเสียงเรียกอันอ่อนโยนที่เอ่ยขึ้นมาโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว และเมื่อหันช้าไปจังหวะหนึ่งเขาก็พบว่าแม่ของมูรยองเองก็กำลังเอียงคอมองเขาอยู่
“เหม่ออะไรอยู่เหรอจ๊ะ”
“เอ่อ เปล่าครับ…”
ฮวานยองส่ายหน้าไวๆ พร้อมกับอ้อมแอ้มตอบ ความจริงแล้วเขาเหม่อมาตลอดทางที่เดินตามแม่ของมูรยองมายังห้องเก็บของ หากจะพูดให้ถูกก็คือเขาไม่ได้เหม่อลอย เพียงแต่กำลังครุ่นคิดเรื่องบางเรื่องอยู่เท่านั้น
“พอดีป้าต้องยกอันนี้ออกไป แต่มันใหญ่น่ะจ้ะ ป้ายกคนเดียวไม่ไหว”
ทำไมถึงต้องตัวติดกันขนาดนั้นด้วยนะ
ตอนออกมาจากตัวบ้านหลักและเดินตัดผ่านสนามหน้าบ้าน ฮวานยองมองผ่านหน้าต่างเข้าไปเห็นคนสองคนที่ตัวแนบชิดติดกัน
ถึงอาจจะแค่แกล้งกันเล่นก็เถอะ แต่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องกอดซอซึงจูด้วยหรือไง
แต่ไหนแต่ไรมูรยองก็เป็นคนชอบสกินชิปชาวบ้านเขาไปเรื่อยอยู่แล้ว แต่พักหลังมานี้ฮวานยองกลับเริ่มคิดมากจนแทบจะอดรนทนไม่ไหว
“ฮวานยองกับป้ายกกันคนละลังแล้วกัน พอไหวไหมลูก”
“ไหวครับ ยกลังนี้ใช่ไหมครับ”
ฮวานยองเลือกยกลังที่ใหญ่กว่าในบรรดาลังสองลังที่แม่ของมูรยองชี้ไปอย่างไม่ลังเล ถึงมันจะหนักกว่าที่เขาคิดพอตัว แต่ก็ยังดีกว่ากองหนังสือเรียนที่อาจารย์วานให้ช่วยยกที่ห้องพักอาจารย์เมื่อไม่นานมานี้เป็นไหนๆ
“จ้ะ ขอบใจนะ ต้องขอบคุณเธอเลย ฮวานยอง ป้าเลยยกแค่รอบเดียว”
ฮวานยองคิดว่าตัวเองไม่มีภูมิคุ้มกันกับคำชมอันอ่อนโยนเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะต้องใช้เวลาพักใหญ่เหมือนกันกว่าที่จะคุ้นเคยกับมูรยอง (ตอนนี้เองก็ยังปรับตัวไม่ได้ขนาดนั้น) แต่เขากลับไม่มีภูมิต้านทานต่อความเมตตาจากผู้ใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยกันเลยสักนิด เขาทั้งรู้สึกคันยุบยิบอยู่ข้างในและอยากจะกระแอมออกมาอย่างไม่มีเหตุผล แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่เลย
“ว่าแต่ทั้งหมดนี้คืออะไรเหรอครับ”
ฮวานยองถามแม่ของมูรยองระหว่างเดินออกจากห้องเก็บของ เธอใช้ลำตัวกันประตูไว้เพื่อให้เขาเดินออกไปได้และยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ข้าวของที่พ่อของเด็กๆ เขาเคยใช้น่ะจ้ะ”
ใบหน้าของฮวานยองเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่คาดคิด เดิมทีเขาก็ไม่ได้ถือลังอย่างไม่ระมัดระวังอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืดตัวตรงและกระชับลังให้แนบอกมากขึ้นอีกโดยไม่จำเป็น พอเห็นอย่างนั้นแม่ของมูรยองก็หลุดหัวเราะออกมา
“พอดีว่าใกล้ถึงวันครบรอบวันตายแล้ว จะให้มาทำพิธีไหว้หรืออะไรพวกนี้ก็คงจะตลกไปหน่อย ป้าเลยแค่จะเอาข้าวของมาจัดเพื่อระลึกถึงเขาน่ะจ้ะ”
“ในลังนี้เป็นของใช้ทั้งหมดเลยเหรอครับ”
“ใช่จ้ะ ของใช้ทั่วไปกับของที่ใช้ตอนปราบวิญญาณ”
มูรยองเคยบอกว่าตระกูลของตนเองเป็นตระกูลมือปราบวิญญาณ พ่อที่เสียไปแล้วของเขาก็คงจะเป็นมือปราบวิญญาณเช่นกัน ฮวานยองคาดเดาเอาเองว่าถ้าเป็นคนที่เลี้ยงมูรยองมาก็คงต้องเป็นคนดีแน่ๆ
“ตลกดีนะ ทั้งที่เห็นวิญญาณได้ แต่กลับยังต้องมาจัดพิธีไหว้ครบรอบวันตาย”
“…”
ฮวานยองหลุบตาลงโดยไม่ได้พูดอะไร ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่ามันตลก แต่เป็นเพราะเขาเหมือนจะรับรู้ได้ถึงจิตใจที่อยากจะจัดพิธีไหว้รำลึกในวันครบรอบ มันไม่ใช่ว่าเธอรำลึกถึงคนที่จากไปเพียงเพราะเชื่อว่าดวงวิญญาณมีอยู่จริงเท่านั้น
“ก็แค่ทำไปตามพิธีน่ะจ้ะ ไม่ได้เคร่งครัดอะไรหรอก”
ความจริงแล้วฮวานยองไม่เคยได้จัดพิธีครบรอบวันตายของคนในครอบครัว เพราะไม่เคยมีใครสอนวิธีไหว้ให้เขา เขาจึงไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไง กระดูกของพ่อแม่และฮวานฮีถูกเก็บรักษาอยู่ที่อัฐิสถาน แต่เขาไม่ได้มีเวลามากพอที่จะเดินไปถึงที่นั่น
เราเก็บความตายของคนในครอบครัวไว้ไกลตัวเกินไปหรือเปล่านะ
ในระหว่างที่ฮวานยองกำลังคิดแบบนั้นก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น
“เรื่องของความทรงจำ…มันก็แบบนี้แหละ ไม่ต่างอะไรกับข้าวของหรอก”
แม่ของมูรยองมองฮวานยองด้วยสายตาอ่อนโยน เธอมีภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสุขุมเยือกเย็นต่างจากมูรยอง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ปฏิบัติกับฮวานยองอย่างอบอุ่นอ่อนโยนอยู่เสมอ
“แค่เก็บรักษาเอาไว้ให้ดีแล้วเอาออกมาในเวลาที่ต้องการ ถึงบางวันอาจจะหลงลืมไปบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก”
“…”
บางทีฮวานยองก็แอบคิดว่าคนในครอบครัวนี้อาจจะอ่านใจคนได้ ขนาดพี่ชายของคิมมูรยองยังมองเห็นอนาคต การจะอ่านใจคนได้ด้วยจึงไม่ได้น่าตกใจอะไรขนาดนั้น เขาเลยแค่พยักหน้าอย่างเงียบๆ ก่อนที่แม่ของมูรยองจะคลี่ยิ้มออกมา
“มีรูปมูรยองตอนเด็กๆ อยู่ในนี้ด้วยนะลูก อยากดูไหม”
อัลบั้มหนาเล่มหนึ่งถูกวางลงตรงหน้าพร้อมกับคนสี่คนและหมาหนึ่งตัวที่มารวมกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ในลังยังมีอัลบั้มหน้าตาแบบเดียวกันอีกสองเล่ม แต่ละเล่มมีชื่อ ‘มูฮึน’ และ ‘มูยอน’ เขียนอยู่บนหน้าปก และบนปกอัลบั้มที่แม่ของมูรยองวางลงบนโต๊ะก็มีชื่อ ‘มูรยอง’ เขียนไว้เช่นกัน
“เล่มนี้เป็นอัลบั้มที่ป้ารวมรูปตั้งแต่มูรยองเกิดเอาไว้”
แม่ของมูรยองบอกแบบนั้นพลางพลิกเปิดหน้าแรก ทั้งสามคนสุมหัวดูอัลบั้มรูปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ จังหวะที่สายตาของทุกคนจับจ้องอัลบั้มรูปเป็นตาเดียวกัน ภาพทารกแรกเกิดซึ่งอยู่ในผ้าห่อเด็กเหมือนกับรังไหมก็ปรากฏสู่สายตา
“โห คิมมูรยองตัวเล็กมาก”
เด็กทารกในรูปคือคิมมูรยองที่ยังไม่ลืมตา ตัวเขาเล็กจ้อยเสียจนหากฮวานยองวางมือสองข้างต่อกันก็น่าจะวางมูรยองไว้บนนั้นได้ ฮวานยองมองดูมูรยองสลับกับเด็กทารกในรูปด้วยความรู้สึกเหมือนกับเห็นภาพทับซ้อน
“ตัวเล็กมากจริงด้วยแฮะ…”
พอถูกถามว่าอยากดูรูปตอนเด็กของมูรยองไหม ฮวานยองก็พยักหน้าตอบไปอย่างไม่ลังเล แม้ว่าจะแอบตกใจกับตัวเองหลังตอบคำว่า ‘ครับ’ ทันทีที่ถูกถามก็ตาม โชคดีที่แม่ของมูรยองไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกตินั้น และบอกว่านานๆ เอาออกมาเปิดดูบ้างก็น่าสนุกดีเหมือนกัน ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินนำไป
“มูรยองตัวเท่านี้ แต่ตอนคลอดออกมานี่ก็ถือว่าตัวโตมากแล้วนะ”
เธอหลุดหัวเราะพลางพลิกอัลบั้มไปอีกหน้า หน้านี้ต่างจากหน้าก่อนเพราะมันเป็นรูปของมูรยองที่กำลังลืมตาใสแจ๋วอยู่ ผมของเขาดูนุ่มปุกปุยเหมือนขนนก และใบหน้าก็ขาวราวกับต๊อกข้าวเหนียว
“ดูแก้มตุ้ยนุ้ยนั่นสิ”
ซึงจูพูดแทนใจในสิ่งที่ฮวานยองไม่กล้าพูด ก่อนแกล้งบอกว่ามูรยองตอนนั้นน่ารักจริงๆ พลางเดาะลิ้นพร้อมสายตาเสียดาย แม่ของมูรยองฟังแล้วก็ระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนได้ยินอะไรที่ตลกมาก
“ตอนนั้นซึงจูยังไม่เกิดเลย”
เมื่อพลิกอัลบั้มเปลี่ยนหน้าอีกหนก็มีรูปที่ดูหลากหลายขึ้น มีทั้งรูปที่มูรยองกำลังดูดนิ้ว รูปที่เขานอนกางแขนกางขาโดยนุ่งแค่ผ้าอ้อม รูปที่เขานอนคว่ำและพยายามจะเงยหน้าขึ้น รวมถึงรูปที่เขาถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเดาได้ว่าน่าจะเป็นมูฮึน
“เหมือนตอนเด็กใช่ไหมล่ะ”
เป็นอย่างที่แม่เขาว่า ใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างสดใสแทบไม่ต่างอะไรจากมูรยองในตอนนี้ หากต้องชี้ให้เห็นความแตกต่างก็คงจะเป็นตรงที่ผมของเขาหนาขึ้นและตัวก็โตขึ้นเท่านั้น
“ดูพวกพี่ชายพี่สาวเอ็นดูคิมมูรยองกันสิ ทั้งที่ตอนนั้นตัวเองก็ยังเด็กเหมือนกันแท้ๆ”
ซึงจูมองดูเด็กสี่คนที่อยู่ใกล้ๆ มูรยองแล้วพูดขึ้น คนหนึ่งคือมูฮึน อีกคนคือมูยอน ส่วนอีกสองคนที่เหลือคือใบหน้าที่ฮวานยองเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ระหว่างที่เขากำลังนึกสงสัย แม่ของมูรยองก็พลิกอัลบั้มไปอีกหน้า
“มาถึงหน้านี้ซึงจูน่าจะเกิดแล้วนะ…”
น่าตกใจที่ในหน้าถัดไปจู่ๆ ก็มีรังไหมเพิ่มขึ้นมาอีกรังข้างมูรยองที่นอนคว่ำอยู่ ทารกแรกเกิดผิวขาวน้อยกว่าและตัวเล็กกว่า มูรยองยิ้มกว้างระหว่างชี้ไปยังเด็กทารกคนนั้น
“ดูนี่สิ เจ้าตัวเล็กนั่นคือนายนี่ ซึงจู”
“…นี่คือซอซึงจูเหรอ”
ฮวานยองเพ่งมองรูปนั้นด้วยสายตาตกตะลึง ถึงทั้งคู่จะเคยบอกว่าครอบครัวสนิทกัน แต่เขาไม่นึกเลยว่าทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ตอนที่ยังเดินไม่ได้แบบนี้ นอกจากนี้เด็กทั้งสองในรูปยังดูต่างจากทั้งคู่ในปัจจุบันมากตรงจุดที่ว่ามูรยองในตอนนั้นตัวโตกว่าซึงจูอยู่มากทีเดียว
“ตอนเด็กอายุห่างกันตั้งเจ็ดเดือน แถมตอนแรกเกิดซึงจูก็ตัวเล็กมากด้วย เหมือนจะตัวเล็กกว่ามูรยองอีกไหมนะ”
รูปถัดมาเป็นภาพเด็กทั้งหกคนโดยมีซึงจูอยู่ตรงกลางและอีกห้าคนกำลังล้อมวงดูเขา แม่ของมูรยองหยีตายิ้มอย่างอารมณ์ดีขณะอธิบายถึงรูปนั้น
“ซึงจูเป็นน้องเล็กสุดจากทั้งสองบ้านรวมกัน เด็กๆ เลยเอ็นดูมากเป็นพิเศษ นี่ก็เป็นภาพที่ป้าเห็นเข้าพอดีเลยรีบถ่ายไว้”
“ได้ยินว่าพอถ่ายรูปนี้เสร็จซอซึงจูก็ร้องไห้ออกมาทันทีเลยนี่”
มูรยองเอ่ยเสริมและเล่าเพิ่มอีกว่าตอนเด็กๆ ซึงจูกลัวคนแปลกหน้ามาก แค่มีใครมาแตะตัวก็จะร้องไห้จ้า พอฮวานยองทอดสายตามอง ซึงจูก็ขมวดคิ้วฉับทันที
“เอาจริงๆ ต่อให้ไม่กลัวคนแปลกหน้า แต่ถ้าเจอแบบนั้นเด็กที่ไหนก็ต้องร้องไห้เหอะ”
“แต่ฉันว่าฉันไม่ร้องนะ?”
“ก็นั่นมันนายไง คิมมูรยอง”
แม่ปล่อยให้ทั้งคู่เถียงกันอยู่อย่างนั้นก่อนจะลุกขึ้นเพราะใกล้เวลาที่จะต้องไปเตรียมอาหารแล้ว พอเธอบอกให้พวกเขาค่อยๆ ดูรูปกันต่อ ฮวานยองก็พลิกเปิดอัลบั้มไปอีกหน้าอย่างเบามือ
“คิมมูรยองนี่โตขึ้นแต่ตัวจริงๆ”
“จริงเหรอ ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ย”
อัลบั้มนี้รวบรวมภาพในวัยเด็กของมูรยองเอาไว้อย่างครบถ้วน ทั้งช่วงเวลาที่มูรยองยืนเกาะกับกำแพงและเริ่มหัดเดิน ภาพที่เขาในวัยเตาะแตะกำลังวิ่งเล่นอยู่ตรงลานบ้าน รวมถึงภาพที่เขาอุ้มเจ้าซอลกีซึ่งดูเหมือนก้อนสำลีเอาไว้อย่างทะนุถนอม
“นั่นพ่อนายเหรอ”
ฮวานยองชี้ไปยังชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างมูรยอง ชายร่างผอมสูงและมีดวงตาอ่อนโยนคนนี้ดูละม้ายคล้ายคิมมูรยองมากแม้จะมองเพียงแค่ปราดเดียว และคงเพราะแบบนั้นเอง พอมองใกล้ๆ อย่างละเอียดแล้วเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้อย่างน่าประหลาด
มูรยองพยักหน้าพลางลูบตัวเจ้าซอลกีที่อยู่ข้างกาย
“ตอนนั้นพ่อเก็บเจ้าซอลกีมาน่ะ”
“แพ็กซอลกีของพวกเราถูกเก็บมาจากข้างถนน”
ซึงจูจับเจ้าซอลกีที่นอนหมอบอยู่ให้พลิกตัวหงายขึ้น เจ้าซอลกีที่เคลิ้มหลับไปก่อนหน้าจึงกระดิกหางไม่หยุดเหมือนไม่เคยเผลอหลับ แต่แน่นอนว่าพอซึงจูเกาพุงให้มันก็เริ่มง่วงขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วนี่ใคร”
หนนี้ฮวานยองชี้ไปยังคนสองคนที่เขาสงสัยมาสักพักแล้วว่าเป็นใคร เผลอเดี๋ยวเดียวภาพเด็กสี่คนก่อนหน้านี้ก็ได้กลายเป็นภาพนักเรียนมัธยมปลายสี่คนในชุดนักเรียนของโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนเสียแล้ว คนที่จับมือเด็กน้อยมูรยองอยู่คือมูฮึนและมูยอน แต่อีกสองคนที่จับมือซึงจูอยู่ข้างๆ คือใบหน้าที่เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“พี่สาวกับพี่ชายฉันเองแหละ”
คำตอบนั้นมาจากซึงจู จากนั้นเขาก็พูดเสริมอย่างไม่ได้คิดอะไรก่อนที่ฮวานยองจะทันได้ถามว่า ‘นายมีพี่สาวกับพี่ชายด้วยเหรอ’
“หลังจากหน้านี้ไปก็คงไม่มีแล้วล่ะ”
และก็เป็นอย่างที่ซึงจูบอก รูปต่อๆ มาภาพของทั้งสองคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับกลายเป็นรูปของเจ้าซอลกีที่มีมากขึ้น แล้วในไม่ช้าก็ไม่มีพ่อของมูรยองให้เห็นอีกเช่นกัน เด็กที่เคยมีหกคนกลับลดลงเหลือเพียงสี่คนภายในแค่สองหน้า
ฮวานยองมองออกว่ามันไม่ใช่การหายไปตามปกติ แต่เป็นการหายไปเพราะความตาย มันเป็นสิ่งที่หากรู้จักสังเกตเพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกได้เองแม้ไม่ต้องถาม สมาชิกในครอบครัวของเขาจากโลกนี้ไปพร้อมกันถึงสองคน ช่างเป็นเรื่องที่โชคร้ายเสียเหลือเกิน
“นี่ เรื่องมันก็เกิดขึ้นตั้งแต่ฉันยังเด็ก ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว อย่ามาทำตัวอึดอัดเกินเหตุไปหน่อยเลยน่า”
ซึงจูบ่นงึมงำเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ ซึ่งก็เหมือนจะจริงอย่างที่เขาว่า เพราะสีหน้าของเจ้าตัวไม่มีความเศร้าปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะเขาไม่เสียใจ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับเรื่องการตายนั้นได้แล้วเช่นเดียวกับมูรยอง
“…มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ด้วยเหตุนั้นฮวานยองจึงกล้าเอ่ยคำถามที่ปกติแล้วเขาจะไม่ถามแน่นอน อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะเรื่องครอบครัวของทั้งคู่ที่เขาเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้มักจะหวนมาให้นึกถึงอยู่บ่อยๆ เรื่องธรรมเนียมที่คล้ายกับจะเป็นความเชื่อเรื่องโชคลางที่ครอบครัวของมูรยองจะต้องคอยคุ้มกันครอบครัวของซึงจู
“จะว่ายังไงดีล่ะ มันก็…”
ถึงปากจะว่าอย่างนั้น แต่แทนที่จะตอบออกมาได้ในทันที ซึงจูกลับลังเลที่จะพูด สีหน้าละล้าละลังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาครู่หนึ่ง หลังลอบสบตากับมูรยอง ซึงจูก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยออกมา
“มันก็แค่อุบัติเหตุแหละ ความตายมันจะไปมีอะไรมากมายกัน”
ฟังผ่านๆ ยังดูเหมือนว่าซึงจูกำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ และมันก็ยิ่งตอกย้ำเช่นนั้นมากขึ้นไปอีกเมื่อซึงจูไม่กล้าสบตาฮวานยอง จากนั้นซึงจูก็ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นว่าฮวานยองมองตัวเองไม่เลิก
“มองอะไรของนาย”
ไม่ว่าอย่างไรซึงจูก็คงไม่ยอมบอก ฮวานยองเองก็ไม่ได้คิดจะซักไซ้เลยตอบกลับไปว่าไม่มีอะไรพลางหันมองไปทางอื่น แต่แน่นอนว่าถึงจะทำแบบนั้นแล้ว ความรู้สึกอึดอัดก็ไม่ได้ถูกลบเลือนออกไป
อาหารกลางวันเตรียมเสร็จเรียบร้อยในตอนที่พวกเขาดูรูปกันจนหมดอัลบั้มพอดี ก่อนจะปิดอัลบั้ม ฮวานยองดูรูปถ่ายวันพิธีจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นของมูรยองอย่างละเอียดอีกครั้ง มันเป็นรูปมูรยองซึ่งมีใบหน้าที่ดูเด็กกว่าตอนนี้กำลังกอดคอซึงจู
ดูท่าจะสนิทกันจริงๆ แฮะ…
คิมมูรยองในช่วงเวลาที่เขายังไม่รู้จักมักจะตัวติดกันกับซอซึงจูเสมอ แม้จะรู้ว่าเขาไม่สามารถไล่ตามทั้งคู่ทัน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดมากขึ้นมาเอาดื้อๆ พวกเขาสองคนต่างรู้จักกันดี พูดคุยกันอย่างสนิทสนม อีกทั้งยังสัมผัสตัวกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
และในตอนนั้นเองนิ้วเรียวก็ชี้ที่รูปพิธีจบการศึกษา ฮวานยองสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ระหว่างนั้นซึงจูเดินไปที่ห้องครัวแล้ว เหลือเพียงมูรยองที่ยังอยู่ข้างเขา
“ไว้เราเรียนจบมาถ่ายรูปแบบนี้กันนะ”
เสียงพูดกระซิบกระซาบนั้นฟังดูตื่นเต้น เสียงใสแบบเด็กๆ เฉพาะตัวแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่นุ่มทุ้มลงอีกขั้นจากตอนที่เจอกันครั้งแรก นั่นเป็นหลักฐานที่บอกว่ามูรยองโตขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างที่เขาไม่ทันสังเกต
“ฉันจะเลือกมาสองรูปแล้วให้นายรูปหนึ่ง”
“…”
ความรู้สึกเศร้าๆ จางหายเหมือนกับหิมะที่ละลาย หัวใจที่ผ่อนคลายลงนั้นคล้ายกับสีหน้าของคิมมูรยองที่ผ่อนคลายลงเช่นกัน มูรยองขยิบตาร้องขอด้วยใบหน้าที่ดูอบอุ่นเกินกว่าจะหาใดเปรียบ
“ไว้ครั้งหน้าเอาอัลบั้มของนายมาให้ฉันดูบ้างสิ”
“…อืม”
ฮวานยองแอบหลบตาระหว่างพยักหน้ารับคำ หลังคบกับมูรยอง ลำพังแค่สบตากันเขายังคุมสีหน้าของตัวเองไม่ได้เลย เมื่อหัวใจเขารู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ถ้าเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปเพียงแค่เล็กน้อย เขาคงได้กระชากตัวมูรยองเข้ามากอดแน่
“ไปกินข้าวกันเถอะ”
ระหว่างที่ฮวานยองกำลังข่มความรู้สึกอันหลากหลาย มูรยองก็ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินนำไปห้องครัว ฮวานยองจึงปิดอัลบั้มรูปแล้วลุกจากที่นั่งตามไป
เขาหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีรูปของเขากับมูรยองถูกใส่ไว้ในอัลบั้มนั้นด้วย ทั้งยังหวังว่าอนาคตที่จู่ๆ ก็คาดหวังขึ้นมานั้นจะไม่ห่างไกลเกินไปนัก
ซึงจูกลับบ้านไปในตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ส่วนฮวานยองกำลังรับการฝึกเพิ่มเติมจากแม่ของมูรยองในระหว่างที่เจ้าตัวพาเจ้าซอลกีออกไปเดินเล่น ผ่านไปไม่นานมูรยองก็กลับมาก่อนนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติข้างๆ ฮวานยองพลางฟังสิ่งที่แม่ของตนพูด
“วันนี้พอเท่านี้ก่อนแล้วกันจ้ะ”
พอตกดึกแม่ก็จบการฝึกเร็วกว่าปกติด้วยเหตุผลที่ว่าวันนี้มีงานที่จะต้องออกไปทำข้างนอก ก่อนบอกทิ้งท้ายไว้ว่าให้รีบเข้านอนในวันนี้ ซึ่งมูรยองกับฮวานยองก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่ได้ตอบอะไร
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็แยกกันไปอาบน้ำที่ห้องน้ำคนละฝั่งและมาอยู่ด้วยกันที่ห้องของมูรยอง พอฮวานยองเปิดประตูเข้ามา มูรยองที่กำลังเช็ดผมเปียกๆ อยู่ก็เอ่ยถามขึ้น
“…อาบเสร็จแล้วเหรอ”
เขาเองก็เพิ่งอาบน้ำมา กลิ่นหอมของแชมพูจึงลอยฟุ้งไปทั่วห้อง ฮวานยองมองเจ้าซอลกีที่หลับอยู่ตรงมุมหนึ่ง ก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนฟูกของตัวเอง
“อืม…นายก็อาบมาเหมือนกันนี่”
อันที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ เพราะระหว่างที่ฮวานยองมาอยู่ที่บ้านของมูรยอง พวกเขาก็นอนห้องเดียวกันตลอด แม่ของมูรยองเสนอจะทำความสะอาดห้องที่ยังว่างอยู่ให้ แต่ฮวานยองก็ปฏิเสธพลางให้เหตุผลไปร้อยแปด
ทว่าปัญหาตอนนี้คือมีอยู่แค่ไม่กี่อย่างที่คนสองคนจะทำได้ในบรรยากาศแบบนี้
ไม่ชินเลยแฮะ…
ฮวานยองลูบหลังคอระหว่างลอบสังเกต เขาเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศกระอักกระอ่วนและชวนให้รู้สึกว้าวุ่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ อีกเดี๋ยวพวกเขาก็จะนอนมองเพดานอยู่ข้างกัน จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ แล้วก็จะเริ่มสบตาหยั่งเชิงกันไปมา และหลังจากนั้น…เหตุการณ์เดิมๆ ที่เขาคาดการณ์ไว้ก็น่าจะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง
“เอ่อ…รีบนอนกันดีกว่าเนอะ?”
ฮวานยองพยักหน้าตอบคำถามของอีกฝ่าย ก่อนที่มูรยองจะลุกจากที่นอนและเดินไปหน้าสวิตช์ไฟ
“ปิดไฟแล้วนะ”
แป๊ก
ความมืดพลันเข้าปกคลุมภายในห้อง มูรยองก้าวเท้าอย่างเคยชินมานอนลงบนฟูกของตัวเอง เขานอนตะแคงเอียงตัวเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ไปรบกวนเจ้าซอลกีที่หลับอยู่ตรงปลายเท้า
“…”
“…”
และแล้วความเงียบก็ได้โรยตัวลงมาอีกครั้ง ฮวานยองแอบลืมตาขึ้นมา ก่อนจะพบว่ามูรยองเองก็เหม่อมองเขาอยู่เหมือนกัน การมีสายตาที่มองเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางคืนนั้นถือเป็นเรื่องดี แต่ในตอนที่สบตากันแบบนี้กลับทำให้เขาไม่อาจข่มความรู้สึกเขินอายเอาไว้ได้เลย
“…ไม่นอนเหรอ”
“นอนสิ…”
ฮวานยองถาม มูรยองตอบ แน่นอนว่ายังไม่มีใครหลับตาลง ด้วยความที่วันนี้ฮวานยองรู้สึกเขินอายกับสายตานั้นมากกว่าเดิม เขาเลยยื่นมือออกไปปิดตาของมูรยองเอาเสียดื้อๆ
“เลิกมองได้แล้ว หลับตานอนไปสิ”
“…”
สัมผัสของขนตาผ่านฝ่ามือนั้นช่างชัดเจน แม้ปากจะบ่นงึมงำว่า “ทีนายยัง…” แต่มูรยองก็ยอมหลับตาลงอย่างว่าง่าย เดิมทีฮวานยองควรจะต้องดึงมือออก แต่เขากลับยังคงลูบคลำแก้มใสๆ ของมูรยองอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์
เหมือนตอนเด็กเลยจริงๆ
ดวงตาอ่อนโยนไร้ซึ่งตาสองชั้นกับแก้มขาวใส (ถึงผิวจะออกแทนกว่าปกติเล็กน้อยเพราะเป็นช่วงฤดูร้อนก็ตามที) แทบไม่ต่างอะไรจากตอนที่เขายังเด็กเลย เว้นเสียแต่สันจมูกที่โด่งขึ้นเล็กน้อยกับสันกรามเรียวที่คมชัดขึ้น และด้วยความที่เป็นผู้ชาย ลูกกระเดือกแถวลำคอจึงนูนขึ้นมาหน่อยๆ ด้วย
หมอนี่คงไม่รู้หรอกมั้งว่าฉันคิดอะไรอยู่…
พอถึงเวลานี้ทีไร ในหัวของฮวานยองก็จะคิดอะไรไม่ออกเลยนอกจากเรื่องพวกนี้ เขาอยากจะแนบชิดกว่านี้ อยากจะเข้าไปจูบ อยากจะถ่ายพลังวิญญาณให้…ไม่สิ เขาแค่อยากจะแบ่งปันอุณหภูมิในร่างกายกับมูรยองโดยไม่ต้องมีข้ออ้างพวกนั้น
หมอนี่คงจะไม่หลบอยู่แล้วนี่นะ…
ฮวานยองจูบมูรยองอยู่ทุกคืนด้วยความคิดนั้น เขาบดเบียดริมฝีปากตัวเองเข้ากับริมฝีปากนุ่มของมูรยอง ลุ่มหลงมัวเมาไปกับความนุ่มหยุ่นและร้อนผ่าวภายในโพรงปาก ความปรารถนาที่ลุกโชนอัดแน่นอยู่ภายในช่องท้องจนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าแบบนี้เขายังโอเคดีอยู่หรือเปล่า
“คิมมูรยอง”
มูรยองเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ฮวานยองบีบแก้มนุ่มนิ่มของเขาคล้ายหยอกเย้า ก่อนจะไล้นิ้วหัวแม่มือไปใต้ริมฝีปากแถวช่วงคาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใบหน้าของมูรยองนั้นเล็กเอง หรือว่าเป็นเพราะมือเขาที่ใหญ่ไป ไม่ว่าจะแตะตรงไหน เขาถึงได้รู้สึกว่าเครื่องหน้าแลดูเล็กไปเสียหมด
“…วันนี้ไม่อยากได้พลังวิญญาณเหรอ”
สายตาของพวกเขาต่างจับจ้องอยู่ที่กันและกัน ฮวานยองคิดว่าดวงตาที่มองมานั้นอาจกำลังร่ายเวทมนตร์ใส่เขาอยู่ก็เป็นได้ เวทมนตร์ที่ทำให้ในหัวเขากลายเป็นสีขาวโพลนและมีแต่คิมมูรยองอยู่ในนั้น
“อยากได้สิ”
ทันทีที่ได้รับคำอนุญาตฮวานยองก็เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้อย่างไม่ลังเล เปลือกตาปรือปิดลงอย่างช้าๆ ก่อนที่ไออุ่นจะแผ่ซ่านไปทั่วกายเขา
ความรู้สึกนี้นี่มัน…
สิ่งที่ร่ายเวทมนตร์ใส่เขานั้นไม่ใช่ดวงตา แต่ดูท่าจะเป็นตัวคิมมูรยองเอง เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน เขาก็รู้สึกขนลุกไปทั่วสันหลัง สติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไปไกลทำให้เขาต้องจดจ่ออยู่กับมูรยองในขณะที่หลงลืมทั้งเรื่องพลังวิญญาณและเรื่องอื่นๆ ไปจนหมดสิ้น
“…”
เมื่อจูบนั้นดูท่าจะยาวนานขึ้น มูรยองก็จะคว้าข้อมือของฮวานยองเอาไว้อย่างติดเป็นนิสัย มันเป็นสัมผัสจากมือที่เต็มไปด้วยความเหนียวแน่นราวกับจะคว้าจับเชือกเอาไว้ ซึ่งเจ้าตัวคงไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งทำให้ฮวานยองตื่นตัวมากขึ้นไปอีก
“…”
“…”
ริมฝีปากของทั้งคู่ผละออกจากกันเสียงดังจุ๊บ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เรียวขาของพวกเขาเกาะก่ายพันกันอยู่ใต้ผ้าห่ม ทั้งคู่สวมกางเกงที่ยาวถึงแค่เข่าโดยที่ขาช่วงล่างเปล่าเปลือย ดูเหมือนว่าหากใกล้กันมากกว่านี้อีกเพียงนิด ทุกส่วนก็คงจะถูกเผยให้เห็นทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่อยากห่างจากกันเลย
ในตอนนั้นเองมูรยองก็ค่อยๆ ซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดของฮวานยอง เขาวางศีรษะลงบนท่อนแขน ซบใบหน้าเข้ากับหน้าอก และใช้แขนข้างหนึ่งกอดฮวานยองที่พยายามจะถอยหนีไปเองโดยอัตโนมัติเอาไว้แน่น
“…อยู่นิ่งๆ หน่อยสิ”
ไม่รู้ว่าคำพูดนี้มีแรงกดดันหรืออย่างไร ฮวานยองถึงได้ชะงักและหยุดขยับในทันที ลมหายใจอุ่นร้อนที่สัมผัสได้ผ่านเสื้อยืดบางๆ นั้นช่างปลุกเร้าอารมณ์ของเขาเสียเหลือเกิน มูรยองก่ายขาที่พันกันอยู่ให้แนบแน่นยิ่งกว่าเก่า ก่อนจะพึมพำด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ฮวานยองอา”
“…”
เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกจากอก น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนนั้นดังก้องอยู่ในหูของเขาอย่างนุ่มนวลจนภายในอกรู้สึกโล่งว่างไปหมด พอส่วนลึกในช่องท้องรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา ตรงท้องน้อยก็พลอยรู้สึกเกร็งไปด้วย
“ฉันบอกซึงจูแล้วว่าเราคบกันอยู่”
มูรยองพูดพลางซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดของฮวานยองมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ความจริงที่ว่าทั้งคู่ต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกันและกันได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างไม่อาจปกปิด
เฮ้อ…ไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่เป็นแบบนั้นสินะ
ฮวานยองโล่งใจกับความจริงข้อนั้นพลางกระชับกอดมูรยองเอาไว้แน่น
“…ซอซึงจู?”
ฮวานยองไม่ได้คิดจะเก็บเรื่องที่พวกเขากำลังคบกันเป็นความลับอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนอยู่ข้างนอกก็อาจจะต้องระวังเอาไว้บ้าง แต่ถ้าเป็นซอซึงจูก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กลับกันแล้วเขาไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะโบกไม้โบกมือทำท่าบอกว่า ‘ไม่ได้รู้เรื่องด้วยสักหน่อย’ หรือเปล่า
“อืม…บอกตอนนายกับแม่ไปที่ห้องเก็บของน่ะ”
ลมหายใจที่รินรดอยู่บนแผ่นอกคอยแต่จะรบกวนความอดทนของเขา ฮวานยองจึงระบายลมหายใจออกมาแผ่วๆ ก่อนจะถูไถจมูกเข้ากับกลุ่มผมนุ่มของมูรยอง ทว่ากลิ่นหอมหลังอาบน้ำที่ลอยมาเตะจมูกกลับทำให้เขารู้สึกเกร็งจนต้นคอแข็งตึง
“…แล้วหมอนั่นว่าไงบ้าง”
“ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนะ”
เสียงของทั้งคู่ต่างกดต่ำลง หัวใจที่เต้นโครมครามทำให้ในหูของพวกเขาอื้ออึงไปหมด แข้งขาเองก็ชักจะพันกันหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่อาจคิดถึงเรื่องอื่นได้
เดือนสิงหาคมยังคงร้อนอบอ้าว แม้ด้านในตัวบ้านจะเย็นสบายเมื่อเทียบกับด้านนอก แต่อุณหภูมิภายในร่างกายของพวกเขาต่างก็ร้อนยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ฮวานยองใช้ฝ่ามือลูบหลังของมูรยองอย่างช้าๆ หัวไหล่ที่เกร็งแน่นกับกระดูกสะบักที่นูนขึ้นมาดูเหมือนว่าจะอยู่ภายใต้ฝ่ามือของเขาได้อย่างพอดิบพอดี
“แต่ก็เห็นว่าตกใจมากอยู่แหละ…”
ถ้าทำได้เขาก็อยากจะเกาะกุมทุกส่วนเอาไว้ด้วยฝ่ามือนี้ แม้การได้กักตัวมูรยองเอาไว้ในอ้อมแขนจะเป็นทุกอย่างสำหรับเขาในตอนนี้แล้วก็ตามที ไม่รู้ว่ามูรยองเริ่มจะหายใจไม่ออกหรืออย่างไร ถึงได้เงยหน้าขึ้นแล้วค่อยๆ ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ
“…ฮวานยองอา”
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เสียงใสแบบเด็กๆ นั้นเอ่ยเรียกชื่อเขา ฮวานยองถึงกับทนไม่ไหวและมอบจูบให้มูรยองอีกหน กลิ่นกายที่เคล้าไปด้วยกลิ่นหอมของสบู่กับโลชั่นทำเอาลำคอของเขาแห้งผาก
ในตอนที่กลับมาได้สติ ฮวานยองกำลังโถมตัวใส่มูรยองราวกับจะจับกดโดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว เพราะมูรยองโอบแขนไปรอบลำคอของเขาโดยไม่ขัดขืนอะไรเลยสักนิด ฮวานยองแทรกต้นขาไว้ตรงหว่างขาของมูรยองและคว้าจับเรียวแขนภายใต้แขนเสื้อของเจ้าตัวเอาไว้แน่น
ฮวานยองใช้มืออีกข้างหนึ่งยันหมอนเอาไว้ ขยับปรับเปลี่ยนองศาของใบหน้าแล้วจูบมูรยองอีกครั้ง พอถึงจุดหนึ่งมูรยองก็สอดมือเข้าไปในเสื้อยืดของฮวานยอง มือที่ค่อยๆ เคลื่อนจากด้านล่างขึ้นมาด้านบนอย่างเป็นธรรมชาตินั้นลูบไล้แผ่นหลังแกร่งอยู่เงียบๆ
แทบคลั่งเลยแฮะ…
ทุกอย่างช่างเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน ทั้งที่เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร แต่ก็อยากจะทำบางอย่างที่มันมากกว่านี้ ทว่าจู่ๆ เมื่อมูรยองชันเข่าขึ้น ฮวานยองก็ถึงกับสะดุ้งและถอนริมฝีปากออกมา
“…”
“…”
ลมหายใจอุ่นร้อนลอยฟุ้งไปทั่วอากาศ ทั้งสองที่สบตากันอยู่ไม่ห่างต่างก็กำลังรู้สึกแบบเดียวกัน มูรยองมุ่นคิ้วโดยที่ยังไม่วางเข่าที่ชันอยู่ลง
“…มีอะไรงั้นเหรอ”
ช่างเป็นคำถามที่ฟังดูเต็มไปด้วยความเสียดาย บางครั้งฮวานยองก็รู้สึกว่ามูรยองมีด้านที่ใสซื่อเกินไป เหมือนอย่างตอนนี้ที่มูรยองจ้องมองมาที่เขาราวกับจะถามว่าทำไมถึงได้หยุดจูบ
“อ่า…นายนี่มันจริงๆ เลย…”
ฮวานยองโน้มตัวลงไปซบหน้าผากบนลาดไหล่ของมูรยอง หัวใจเขาเต้นแรงราวกับจะระเบิดจนลมหายใจที่ระบายออกมาสะดุดไปเล็กน้อย ทุกครั้งที่คิมมูรยองทำเหมือนยินยอมพร้อมรับทุกอย่างไม่ว่าเขาจะทำอะไร แรงอารมณ์ทั้งหมดของเขาก็จะเชี่ยวกรากขึ้นมาราวกับกระแสน้ำวน
สำหรับฮวานยองแล้วมูรยองคือผู้ช่วยชีวิต แต่สำหรับมูรยอง เขาคงไม่ได้เป็นแบบนั้น ฮวานยองคิดว่าน้ำหนักของความรักที่แต่ละฝ่ายมีให้กันย่อมไม่เท่ากันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ลำพังแค่ได้คบและจูบกันแบบนี้ เขาก็ควรจะพอใจได้แล้ว ทว่าเขากลับยังโลภและคิดอยากครอบครองทุกอย่างที่เป็นมูรยอง
“ฉันชอบนาย…”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้มูรยองเป็นฝ่ายเอ่ยคำนั้นออกมาก่อนโดยทำเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรือเปล่า ฮวานยองถึงได้ไม่อายกับการสารภาพความรู้สึกของตัวเอง เมื่อได้รู้ว่ามันคือความรู้สึกที่จะไม่ลดน้อยถอยลงแม้จะถูกพูดออกมา ทุกครั้งที่ความรู้สึกนั้นท่วมท้นอยู่ในใจ คำพูดดังกล่าวก็จะถูกเอ่ยออกมาราวกับการหายใจ
“ชอบมาก…ชอบจริงๆ”
เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มจินตนาการเรื่องที่ว่าจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับมูรยอง เรื่องที่ว่าเจ้าคนน่าทึ่งที่สนิทกับคนทั้งโรงเรียนจะมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาแบบนี้
“ฉันก็เหมือนกัน…”
มูรยองให้คำตอบรับที่ฮวานยองต้องการอย่างเต็มอกเต็มใจ เขากระชับกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้พลางใช้แก้มถูไถไปมากับกลุ่มผมของฮวานยอง และคำพูดถัดมาหลังจากนั้นก็มากพอที่จะทำให้ใบหน้าของฮวานยองสุกงอมกลายเป็นสีแดง
“ชอบนะ…ฮวานยองอา”
หมอนี่ไปเรียนคำพูดน่ารักแบบนี้มาจากไหนกันนะ
ฮวานยองไม่อาจอดทนต่อความรู้สึกเขินอายเช่นนี้ได้ เขามอบจูบให้มูรยองอีกครั้งพลางคิดในใจ…ดูท่าความตั้งใจที่จะนอนไวคืนนี้คงจะล้มเหลวไม่เป็นท่าอีกแล้วสินะ
วันถัดมาทั้งคู่ตื่นนอนตอนตะวันอยู่กลางฟ้า แม่ของมูรยองที่กลับบ้านมาตอนเช้ามืดไม่อาจซ่อนความสงสัยเอาไว้ได้เมื่อเห็นทั้งสองงัวเงียลืมตาตื่น ในเมื่อการฝึกก็จบไว แล้วเหตุผลที่ทำให้เด็กสองคนนี้ทรมานจากการนอนไม่พอคืออะไรกันแน่
“เด็กๆ ออกมากินข้าวได้แล้วจ้ะ”
ฮวานยองจัดแจงเก็บเครื่องนอนในระหว่างที่มูรยองซึ่งยังไม่ได้สติหาวหวอดออกมา หลังจากพับเครื่องนอนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและวางมันไว้ที่มุมหนึ่งแล้ว เขาก็ช่วยปลุกมูรยองที่ยังคงง่วงงุนก่อนพาออกมา
กว่ามูรยองจะได้สติก็ตอนที่กินข้าวหมดไปครึ่งถ้วยแล้ว
“ฮวานยองอา”
“…”
ฮวานยองสะดุ้งโหยงพร้อมกับเงยหน้าขึ้น ขณะที่มูรยองกำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาสุกใสอยู่
“เดี๋ยวพาเจ้าซอลกีไปเดินเล่นด้วยกันไหม”
“…ไปสิ”
หลังจากที่ฮวานยองพยักหน้าตอบช้าไปอึดใจหนึ่ง มูรยองก็กินข้าวที่เหลืออยู่ต่อด้วยใบหน้าพออกพอใจ ก่อนที่จู่ๆ จะเงยหน้าขึ้นอีกรอบและเอ่ยเรียกฮวานยองอีกครั้ง
“ฮวานยองอา”
“…”
ฮวานยองสะดุ้งอีกหน มูรยองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าติ่งหูของเขากลายเป็นสีแดง
นี่มันได้ผลจริงๆ ด้วยแฮะ
มูรยองคิดเช่นนั้นพลางคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ซึงจูบอกว่าเดี๋ยวจะมานะ”
เหตุผลที่เขาเอาแต่เรียกฮวานยองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั้นมีเพียงอย่างเดียว ด้วยความช่างสังเกตของเขา เมื่อคืนถึงได้รู้ว่าฮวานยองชอบที่ถูกเขาเรียกแบบนี้ และปฏิกิริยาตอบรับของฮวานยองก็ทำให้เขารู้สึกชอบใจสุดๆ
มูรยองรู้สึกพึงพอใจจนยากเกินกว่าจะถ่ายทอดเป็นคำพูดทุกครั้งที่เห็นฮวานยองผู้มักจะทำสีหน้าไร้อารมณ์แสดงปฏิกิริยาออกมา มันเป็นความรู้สึกที่ต่างไปจากตอนที่ช่วยส่งฮวานฮีไปสู่สุคติและได้ฟังคำขอบคุณจากเจ้าตัวอย่างสิ้นเชิง
“มื้อเย็นกินอะไรอร่อยๆ กันดีกว่า”
ดังนั้นมูรยองเลยตัดสินใจว่าจะใส่ความรักเข้าไปเวลาเรียกอย่างที่ซึงจูบอก อย่างน้อยก็เพื่อทำให้ฮวานยองได้รู้ว่าเขาเห็นอีกฝ่ายพิเศษกว่าใครอื่น
ด้วยเหตุนี้มูรยองจึงตามติดฮวานยองตลอดทั้งวัน และเอ่ยเรียกเขากับทุกอย่างแม้แต่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
“ฮวานยองอา วันนี้อากาศร้อนมากเลยเนอะ”
“ฮวานยองอา เล่นกับเจ้าซอลกีหน่อยสิ”
“ฮวานยองอา แม่บอกว่าวันนี้จะฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไปนะ”
“ฮวานยองอา การฝึกวันนี้โอเคไหม”
“ฮวานยองอา นาย…”
“ฮวานยอง…อุ๊บ!”
หมับ…
ฝ่ามือใหญ่รีบตะครุบปิดปากมูรยองเอาไว้ ด้วยความที่มือนั้นใหญ่พอจะปิดได้ทั้งหน้า มูรยองเลยแหงนหน้ามองเขาโดยเหลือเพียงแค่ดวงตาที่โผล่ออกมา พอดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ ฮวานยองก็พลันขมวดคิ้วอย่างกระอักกระอ่วน
“รู้แล้วน่า…”
ฮวานยองที่ปิดปากเงียบมาตลอดพูดขึ้นอย่างใจเย็นระหว่างเดินกลับไปยังบ้านหลักหลังฝึกเสร็จ ใบหูของเขาแดงเรื่อและใบหน้าก็เหยเกราวกับกำลังพยายามข่มความเขินอายเอาไว้ หลังเว้นช่วงไปพักหนึ่งเขาก็พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมถอนหายใจเบาๆ
“เลิกเรียกฉันได้แล้ว”
“…”
มูรยองรับรู้ถึงความรู้สึกในใจของอีกฝ่ายได้ในทันที มันไม่ใช่เพราะฮวานยองไม่ชอบคำนี้ แต่เป็นเพราะเจ้าตัวกำลังเขินอยู่ต่างหาก ถึงอย่างนั้นคำพูดที่บอกให้หยุดเรียกก็เป็นสิ่งที่เอ่ยออกมาอย่างจริงจังไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด เพราะลำพังแค่วันนี้วันเดียวเขาก็สะดุ้งกับคำเรียกของมูรยองไปหลายหนแล้ว
สายตาของทั้งคู่สบประสานกัน มูรยองหยีตายิ้มแทนความหมายว่าเข้าใจแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่เจ้าตัวมักจะทำอยู่บ่อยๆ จนชินตา แต่ฮวานยองก็ยังต้องยอมแพ้ให้กับมูรยองในขณะที่สีแดงระเรื่อก็ลามลงมาจนถึงลำคอ
“…”
“…”
คงต้องโทษที่ฮวานยองหันหน้าไปด้านข้างเลยเห็นลูกกระเดือกที่เคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน มูรยองกลอกตาและขยับเข้าไปใกล้เขา จากนั้นก็ดึงชายเสื้อของเขาเบาๆ
“นายนี่ขี้อายจริงๆ เลยแฮะ…”
แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่มูรยองคิดว่าฮวานยองเป็นผู้ชายที่ยิ่งมองยิ่งน่ารัก ทั้งที่ตอนจูบกันฮวานยองยังดูไม่ได้สะทกสะท้านอะไรแท้ๆ (ว่ากันตามตรงแล้วก็ใช่ว่าจะไม่เขินอายอะไรเลย) แต่กับแค่การถูกเรียกชื่อนิดหน่อยเขากลับไม่กล้าสบตากันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เดี๋ยวสิ ก็นายน่ะ…”
ฮวานยองขยับปากบอกด้วยใบหน้าที่ออกจะเคืองอยู่หน่อยๆ แต่แล้วเขาก็ชะงักไปทั้งที่ยังเฟ้นหาคำพูดเหมาะๆ ไม่ได้ หลังจากลอบกลืนน้ำลายฝืดลงคอไปอีกครั้ง เขาก็พูดต่ออย่างใจเย็น
“มันเกินไปแล้วนะ…ก็นายเล่นเรียกกันแบบนั้น”
“แบบนั้น?”
“…ใช่ แบบนั้นนั่นแหละ”
‘แบบนั้น’ งั้นเหรอ
มูรยองเอียงคอด้วยสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ แม้จะได้ยินคำว่า ‘จั๊กจี้’ ผ่านๆ จากปากฮวานยอง แต่เขาก็คาดเดาไม่ได้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่ว่าของฮวานยองนั้นคือความรู้สึกแบบไหน เขาเลยเขย่าชายเสื้อฮวานยองเบาๆ ก่อนจะบอกออกไป
“งั้นนายก็ลองเรียกฉันแบบนั้นบ้างสิ”
“…”
ฮวานยองสะดุ้งก่อนจะนิ่วหน้า คิ้วได้รูปเลิกขึ้นสูง มูรยองแหงนมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับพลางเรียกร้องด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“มูรยองอา ไหนลองพูดสิ มูรยองอา”
มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก และเขาก็คิดว่าระดับนี้ฮวานยองน่าจะทำได้ ถึงตัวเขาเองจะขัดเขินเล็กน้อยในตอนแรกก็เถอะ แต่เขาก็เริ่มติดปากจากการเรียกในวันนี้แล้ว ถ้าคีฮวานยองลองเรียกเขาบ้าง อีกหน่อยก็คงจะชินเหมือนกัน มูรยองเสนอออกไปด้วยความคิดแบบนั้น ทว่าฮวานยองกลับไม่ยอมทำตามที่เขาบอกง่ายๆ
“รีบๆ เดินมาก่อนเถอะ”
ฮวานยองหมุนตัวขวับอย่างรวดเร็วและก้าวยาวๆ นำออกไป ชายเสื้อของเจ้าตัวจึงเลื่อนหลุดจากช่องว่างระหว่างนิ้วของมูรยองที่จับอยู่ทันที มูรยองเบิกตาโตด้วยสีหน้าเหมือนคนใจสลาย
“…โฮ่”
ทำกันเกินไปแล้วนะ
มันให้ความรู้สึกต่างไปจากตอนที่อีกฝ่ายโยนยันต์ทิ้งต่อหน้าต่อตาอย่างสิ้นเชิง มูรยองย่นจมูกให้กับความรู้สึกเสียใจที่ถาโถมเข้ามาและจ้องมองภาพด้านหลังของเขา
ไม่รู้เป็นเพราะรู้สึกได้ว่ามูรยองไม่เดินตามมาหรือเปล่า ฮวานยองถึงได้หันกลับไปมองด้านหลัง โดยที่เท้าเหยียบอยู่บนหินปูทางเดินกลางสนามหญ้า
“…ไม่มาล่ะ?”
แต่คิมมูรยองคือใครกันล่ะ เขาเป็นคนมั่นใจกว่าใครๆ ในการหยุดความคิดในแง่ลบ มูรยองส่ายศีรษะทีหนึ่งแล้วรีบเดินไปหาฮวานยอง ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยหางตาที่ลู่ตกลง
“รู้สึกผิดสินะ?”
“…”
นั่นคือคำตอบที่ถูกต้องโดยไม่ต้องถามซ้ำหลายหน เพราะแบบนั้นเขาถึงได้หันกลับมามองหลังจากสะบัดตัวเดินหนีไปได้ไม่เกินห้าก้าว
“ถ้างั้น ‘มูรยองอา’ ไหนลองเรียกดูสิ”
พอได้พูดพร้อมยิ้มอย่างสดใสไปด้วย ความรู้สึกเสียใจทั้งหลายก็พลันจางหายไปจนหมด เวลานี้เหลือเพียงความคาดหวังเกิดขึ้นแทนที่ตรงจุดที่เคยมีความเสียใจเอ่อล้นอยู่
“เร็วสิ”
พอถูกมูรยองเร่งเร้าเข้าหน่อย ฮวานยองก็ทำปากขมุบขมิบ เขาชะงักไปนิดเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด ก่อนจะหลบสายตาตอนตอบกลับ
“…เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน”
“คราวหน้านี่มันเมื่อไหร่กันล่ะ”
“เมื่อไหร่ก็ได้ที่ไม่ใช่ตอนนี้…”
ทั้งคู่ยังคงหยอกล้อกันจนกระทั่งเข้าไปในบ้าน มูรยองเดินตามตื๊อฮวานยองไม่ยอมหยุด แม้จะเป็นบทสนทนาที่มีแต่มูรยองวอแวบอกให้เขารีบพูด ในขณะที่ฮวานยองเอาแต่ปิดปากเงียบก็ตามที
“เด็กๆ หยุดคุยเล่นกันได้แล้ว รีบอาบน้ำเร็วเข้า”
ท้ายที่สุดเมื่อคุณแม่ที่มาถึงบ้านหลักก่อนเอ่ยปราม มูรยองถึงได้ยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง หากจะพูดให้ถูกมันคือกลยุทธ์ดักซุ่มโจมตีตอนเหลือแค่พวกเขาสองคนในห้องหลังอาบน้ำเสร็จต่างหาก มองผิวเผินเขาอาจจะดูเป็นคนยอมคนง่าย แต่แท้จริงแล้วเขาคือมูรยองผู้ที่ต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ ดังนั้นฝ่ายที่จะต้องยอมยกธงขาวในท้ายที่สุดดูท่าจะเป็นฮวานยองแน่
“เดี๋ยวไว้คุยกันในห้องแล้วกัน”
มูรยองพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นแล้วจึงเดินไปห้องน้ำก่อน ในใจก็นึกหวังอย่างจริงจังว่าขอให้ฮวานยองเตรียมใจให้พร้อมระหว่างอาบน้ำ
ในตอนนั้นเองฮวานยองถึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพลางใช้มือข้างหนึ่งปิดปาก โดยที่ใบหูของเขายังคงแดงแจ๋มาตั้งแต่เมื่อครู่
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.