X
    Categories: everYทดลองอ่านมือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง

ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 3 Chapter 12.3 #นิยายวาย

Chapter 12-3

 

บ้านของมูรยองมีห้องน้ำถึงสามห้อง หนึ่งในนั้นอยู่ในห้องนอนใหญ่ของบ้าน ส่วนอีกสองห้องอยู่คนละฝั่งของห้องนั่งเล่น หลังการฝึกทั้งหมดของแต่ละวันจบลงแม่ของมูรยองมักจะอาบน้ำในห้องนอนใหญ่ ส่วนมูรยองกับฮวานยองมักจะอาบน้ำที่ห้องน้ำคนละฝั่งจนเสร็จก่อนเข้านอน

ถ้าขอให้เขาเรียกก่อนนอนจะยอมเรียกไหมนะ

ตลอดเวลาที่อาบน้ำมูรยองไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้เลยอย่างที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เขาตั้งตารอที่จะได้พูดคุยกับฮวานยองมาเสมอ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เขารู้สึกได้มาตลอดตั้งแต่ตอนเริ่มสนิทกับฮวานยองแรกๆ เพราะปฏิกิริยาตอบรับของฮวานยองนั้นน่าสนใจสุดๆ แถมยังทำให้เขาอยากเอาชนะกำแพงของเจ้าตัวด้วย

หลังเปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ อย่างเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นขากว้าง มูรยองก็ออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูพาดคอเอาไว้ ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นดูเหมือนว่าฮวานยองจะยังอาบน้ำอยู่

ก่อนอื่นเราต้องเข้าห้องไปปูที่นอนไว้ก่อน

ในระหว่างที่คิดเช่นนั้นและกำลังจะเดินตัดผ่านห้องนั่งเล่น มูรยองก็ได้ยินเสียงดังมาแว่วๆ

“ดิฉันเคยแจ้งไปแล้วนี่คะว่าจะไม่รับ”

นั่นคือเสียงแม่ของเขา มูรยองเบาเสียงการมีอยู่ของตัวเองและเดินตรงไปยังต้นเสียงโดยอัตโนมัติ ภายในห้องครัวที่เปิดไฟสว่างต่างจากในห้องนั่งเล่นที่มืดสนิท เสียงของแม่เขาดังออกมาจากในนั้น

“ผมขออนุญาตรบกวนคุณแค่ครั้งเดียวเท่านั้นครับ ถ้าต้องกลับไปทั้งแบบนี้ผมคงเสียหน้าแย่”

เสียงที่มูรยองเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกพูดขึ้นอย่างวิงวอนขอร้อง ดูท่าแล้วน่าจะมีแขกมาระหว่างที่เขาอาบน้ำ

เจ้าซอลกีอยู่ในห้องไหมนะ

จังหวะที่กำลังคิดเรื่องนั้นมูรยองก็ได้ยินเสียงตอบกลับอย่างเย็นชาของแม่

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดิฉันจะต้องใส่ใจค่ะ ดิฉันไม่มีความจำเป็นจะต้องรับในสิ่งที่บอกไปแต่แรกแล้วว่าจะไม่รับเพียงเพราะเรื่องหน้าตาของคุณ”

ถ้อยคำที่เอ่ยออกมานั้นสุดแสนจะสุภาพ ทว่าท้ายที่สุดแล้วมันก็คือคำพูดที่มีความหมายว่า ‘นี่ไม่ใช่เรื่องของฉัน กลับไปเสียเถอะ’ มูรยองรับรู้ได้อย่างไม่ยากเย็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพราะในช่วงเวลานี้ แถมยังเป็นตอนกลางดึกแบบนี้ คนที่จะแวะมาหาเพื่อขอให้ช่วยรับอะไรสักอย่างก็มีอยู่แค่คนกลุ่มเดียวเท่านั้น

ถึงเวลานั้นแล้วสินะ

แน่นอนว่ามูรยองไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเขาเป็นพิเศษ จะอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำๆ แบบเดิมอยู่ทุกปี และสุดท้ายแม่ก็จะหาวิธีส่งเขากลับไปจนได้ และในตอนที่มูรยองขยับขาเตรียมกลับไปที่ห้องของตนนั้นเอง…

แปะ

“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ”

ใครบางคนแตะมือลงบนไหล่เขา หากเป็นคนทั่วไปคงตกใจกับสถานการณ์นี้ แต่มูรยองกลับเงยหน้าขึ้นมองอย่างไร้ซึ่งความสั่นไหวใดๆ เพียงแค่ได้สัมผัสพลังวิญญาณที่ใสสะอาด เขาก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นฮวานยอง

“ใครมาเหรอ”

ฮวานยองเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบ หากจะพูดให้เกินจริงหน่อยคงต้องบอกว่าเขาพูดเสียงเบาราวกับมด และในตอนนั้นเองเสียงที่เมื่อครู่ได้ยินจากห้องครัวก็พลันชะงักลง มีเสียงลากเก้าอี้ดังครืด ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าพร้อมเงาที่ทอดยาวบนพื้น

“…?”

ฮวานยองหันขวับไปมองทางต้นเสียง มูรยองซึ่งยืนบังด้านหน้าของฮวานยองเอาไว้อยู่ก็มองไปทางนั้นเช่นกัน เมื่อชายที่เดินออกมาจากห้องครัวมองมาเจอทั้งคู่เข้าก็ขมวดคิ้วฉับ

“…”

พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งนั้นทำให้รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นมือปราบวิญญาณ บางทีแม้แต่ฮวานยองที่ไม่รู้ว่าเขาคือใครก็น่าจะรับรู้ได้เช่นกัน ชายที่สวมแว่นตากันแดดสีดำแม้จะเป็นยามวิกาลหันมองเข้าไปในห้องครัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันใด

“…คุณผู้นำตระกูลครับ”

นั่นเป็นคำที่คนจากสมาพันธ์มือปราบวิญญาณใช้เรียกแม่ของมูรยอง เนื่องจากแม่ของเขาเป็นผู้นำตระกูลมือปราบวิญญาณที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน มือปราบวิญญาณระดับทั่วไปจึงไม่อาจเอ่ยเรียกด้วยชื่อโดยตรงได้

เมื่อแม่ของมูรยองไม่ตอบ ชายคนนั้นก็ถามเสียงกระด้างด้วยใบหน้าที่ยังคงตึงเครียด

“ทำไมเด็กคนนี้ถึงมาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้เหรอครับ”

“…”

มูรยองลอบสังเกตสีหน้าฮวานยอง สิ่งที่มูฮึนบอกเขาดูท่าจะจริงไม่น้อย เรื่องที่ว่าไม่มีทางที่สมาพันธ์จะไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับผู้มีความสามารถทางด้านวิญญาณผู้เกิดในวันอธิกวาร แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่ามันจะถูกพูดถึงขึ้นมาต่อหน้าเจ้าตัวเช่นนี้

“ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราเองก็ลำบากใจนะครับ”

ชายคนนั้นส่ายหน้าไปมาอย่างมีมาดราวกับกำลังข่มขู่พร้อมเหลือบมองฮวานยองตั้งแต่หัวจรดเท้า ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ฮวานยองมุ่นคิ้ว แม่ของมูรยองก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“พวกเรางั้นเหรอคะ”

เสียงที่ทุ้มต่ำลงนั้นฟังดูเย็นชากว่าก่อนหน้า เสียงที่ใช้ในคำพูดถัดมาก็เช่นกัน

“พูดเหมือนกำลังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเลยนะคะ ถ้าคำว่า ‘พวกเรา’ ที่คุณพูดหมายถึงสมาพันธ์มือปราบวิญญาณ ตระกูลของดิฉันเองก็สังกัดอยู่ภายใต้สมาพันธ์เหมือนกัน”

ชายคนนั้นผงะไปก่อนจะปิดปากฉับลงทันที และก่อนที่เขาจะทันได้แก้ตัวอะไร แม่ของมูรยองก็พูดเสริมขึ้นอีก

“และถ้าคุณทำตัวไร้มารยาทกับเพื่อนที่ลูกชายของดิฉันพามาบ้าน ดิฉันก็ไม่มีอะไรจะคุยกับคุณอีก เชิญกลับไปได้แล้วค่ะ”

“…ผมคงไม่กล้าหรอกครับ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ คุณผู้นำตระกูล”

ชายคนนั้นเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนน้อมลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับกล่าวคำขอโทษออกมา เขาขยับแว่นตาดำก่อนถอนหายใจด้วยสีหน้าอึดอัดใจ หลังได้ยินเสียงลากเก้าอี้อีกครั้ง แม่ก็เดินมาหาพวกเขาที่ยืนอยู่ด้วยกัน

“อาบน้ำกันเสร็จแล้วสินะจ๊ะ เนื้อตัวสะอาดเอี่ยมกันทั้งคู่เลย”

น้ำเสียงนั้นใจดีต่างจากตอนที่พูดกับชายคนนั้น แม่ของมูรยองยิ้มละไมพลางจับไหล่ของฮวานยองกับมูรยองให้หมุนตัวหันออกไปด้านนอก สัมผัสจากมือที่ตบไหล่เบาๆ นั้นอ่อนโยนเกินกว่าจะหาใดเปรียบ

“รีบเข้านอนได้แล้ว วันนี้คงเหนื่อยกันน่าดู”

“แม่เองก็รีบเข้านอนนะครับ พวกผมขอตัวไปนอนก่อน”

มูรยองบอกลาอย่างว่องไวก่อนคว้าตัวฮวานยองไว้ ฮวานยองจึงได้แต่โค้งตัวลงบอกลาด้วยสีหน้างงๆ

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”

“จ้ะ ฮวานยองก็ด้วยนะ”

ชายคนนั้นยังคงมุ่นคิ้วอย่างไร้ซึ่งคำพูดใดจนกระทั่งตอนนั้น คงต้องโทษแว่นตากันแดดที่ทำให้มองไม่เห็นดวงตาของเขา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคิ้วของเขาขมวดมุ่นอยู่

มูรยองกลับเข้าห้องโดยที่ยังจับแขนของฮวานยองไว้จนแทบจะเหมือนลากตัวเขาเข้ามา

แกร๊ก

ประตูห้องปิดลง เจ้าซอลกีที่นอนหลับสบายอยู่งัวเงียตื่นขึ้นมามองดูพวกเขา มูรยองมองหางที่กระดิกไหวๆ ไปมาของมัน ก่อนจะหันไปมองฮวานยองพลางพูดขึ้น

“คนจากสมาพันธ์น่ะ”

คนผู้นั้นคือมือปราบวิญญาณที่สมาพันธ์จะส่งมาในช่วงนี้ของทุกปี แม้ว่าแต่ละรอบจะเปลี่ยนคน แต่ธุระที่มาเยือนนั้นก็ยังเป็นเรื่องเดิมตลอด

“พอถึงวันครบรอบวันตายของพ่อ พวกเขาจะเอาดอกไม้มาให้”

มูรยองพูดอย่างสบายๆ ทำเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก่อนจะดึงฮวานยองที่ยืนทำตัวไม่ถูกให้ลงมานั่งบนฟูกด้วยกัน พอฮวานยองนั่งลงกับที่ เจ้าซอลกีก็ค่อยๆ เข้ามาหาแล้วเอาคางเกยกับต้นขาของเขา

“ที่ผ่านมาสมาพันธ์ทำแบบนั้นตลอดเลยเหรอ”

ฮวานยองลูบหัวเจ้าซอลกีช้าๆ หางนุ่มฟูของมันแกว่งไปมาอย่างชอบใจ

“ไม่ได้ทำตลอดหรอก…”

แม้พวกเขาพยายามจะใส่ใจเหล่ามือปราบวิญญาณที่ตายไปอย่างดีและมีวันไว้อาลัยให้อย่างเป็นทางการ แต่พ่อของเขาน่าจะเป็นคนเดียวที่ได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษแบบนี้ ไม่ใช่เพราะเหตุผลใดอื่น แต่เป็นเพราะความผิดพลาดที่ทางสมาพันธ์ทำไว้กับพ่อของเขา

“พ่อฉันตายเพราะทำงานหนักเกินไป มันคือความผิดของทางสมาพันธ์ พวกเขาเลยมาเพื่อขอให้ยกโทษให้”

แม้กระทั่งมือปราบวิญญาณที่เกิดมาพร้อมร่างกายแข็งแรงทนทานเป็นทุนเดิมก็ยังเกิดความขัดข้องในชีวิตได้หากความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ไม่ได้รับการเติมเต็ม นั่นคือเหตุผลที่มูรยองกินข้าวพูนชามและไม่ว่าอย่างไรก็จะแบ่งเวลาให้การนอนเสมอ เพราะยิ่งใช้พลังวิญญาณมากเท่าไหร่ ความอ่อนเพลียของร่างกายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

“สมาพันธ์…ใช้ให้ทำงานหนักขั้นนั้นเลยเหรอ”

“ปกติก็ไม่นะ แต่พ่อฉันคงไปเจรจาบางเรื่องไว้ เหมือนจะไปขอให้ช่วยรับฟังอะไรสักอย่างแลกกับการรับงานที่มอบหมายมาให้ทั้งหมดน่ะ”

เพราะมูรยองยังเด็กเกินไปจึงไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่ละเอียดกว่านั้น เขารู้แค่ความจริงที่ว่าสมาพันธ์ใช้งานพ่อของเขาจนถึงขีดจำกัด สุดท้ายพ่อที่กล้ำกลืนฝืนทนมาตลอดจึงได้เสียชีวิตลง และเพราะทุกคนที่เกี่ยวข้องในตอนนั้นมีคำสั่งให้ถูกลงโทษทางวินัยไปหมดแล้ว คนที่รู้เรื่องราวจึงมีน้อยลงกว่าเดิมไปมาก

“เพราะแบบนั้นช่วงเวลานี้ของปีพวกเขาเลยจะส่งคนมาหา บางทีก็อาจจะมาจนกว่าแม่ฉันจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็นะ…แม่ฉันคงไม่พูดอะไรแบบนั้นหรอก”

“…”

ฮวานยองก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไร มูรยองก็เหมือนจะรู้ว่าเขาคิดอะไรเลยวางมือลงบนต้นขาอีกข้างของเขาที่เจ้าซอลกีไม่ได้นอนเกยอยู่เงียบๆ

“เรื่องนี้น่ะฉันก็แค่อยากเล่าให้ฟังไว้เฉยๆ ทุกคนในครอบครัวฉันไม่ได้อะไรกันแล้วล่ะ แต่เรื่องที่บอกว่าไม่รับคำขอโทษของทางสมาพันธ์นั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องคล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต”

พ่อของมูรยองเสียชีวิตไป แต่คนในครอบครัวเขาก็ยังคงทำงานสังกัดอยู่ในสมาพันธ์เช่นเดิม เพราะนอกจากมันจะไม่ใช่ที่ที่นึกอยากจะออกก็ออกได้ตามใจชอบแล้ว ขอบเขตอำนาจการดูแลของทางสมาพันธ์ก็ยังพอมีประโยชน์อยู่เหมือนกัน ในเมื่อมูรยองเองก็ได้รับการบรรจุรายชื่อไปแล้ว สำหรับผู้เป็นแม่อย่างเธอนี่จึงอาจเป็นหลักประกันเพียงหนึ่งเดียว

ถึงจะได้ฟังคำอธิบายนั้นจนจบ แต่ฮวานยองก็ยังไม่พูดอะไรอยู่อีกพักใหญ่ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก มูรยองเลยนิ่งรอให้เขาพูดขึ้นเอง ไม่นานหลังจากนั้นฮวานยองก็มองมูรยองด้วยสายตามืดมน

“ฉันไม่ควรมาอยู่ที่นี่สินะ”

“หืม?”

มูรยองกะพริบตาปริบๆ เขากำลังจะถามว่าฮวานยองหมายความว่าอย่างไร แต่เสียงพูดที่จริงจังกว่าเดิมก็ดังขึ้นก่อน

“ก็ผู้ชายคนเมื่อกี้เขาถามว่าทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ”

“อ๋า”

มือปราบวิญญาณที่สวมแว่นตาดำถามว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ทั้งยังบอกว่าถ้าเป็นแบบนี้ก็จะลำบากและถึงกับส่ายหน้าอีกด้วย

“ฉันก็ไม่รู้อะไรหรอกนะ…แต่ฉันรู้สึกเหมือนว่าจะทำให้ครอบครัวนายลำบากไปด้วยเลย”

“โอ๊ย ไม่หรอก”

มูรยองยิ้มสดใสเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ว่าคนจากสมาพันธ์มือปราบวิญญาณจะว่าอย่างไร มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฮวานยองต้องใส่ใจอยู่ดี ซึ่งมูฮึนเองก็เคยบอกแบบนั้นหนหนึ่งว่ามันไม่จำเป็นเลยที่เด็กๆ อย่างพวกเขาจะต้องมาวุ่นวายไปกับเรื่องของพวกผู้ใหญ่

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันคงพานายมาบ้านแต่แรกไม่ได้แล้ว”

แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เป็นแบบนั้นเขาก็จะยังดื้อพาฮวานยองมาอยู่ดี ทว่ามูรยองก็ไม่ได้บอกความคิดนั้นออกไป เพราะถ้าตำแหน่งภายในสมาพันธ์เกิดระส่ำระสายขึ้นมา มันก็ไม่ใช่ความผิดของฮวานยอง แต่เป็นปัญหาจากระบบของทางสมาพันธ์เอง

“ไม่ต้องไปสนใจหรอก เดี๋ยวแม่ฉันก็จัดการเองแหละน่า”

“…”

หนนี้ฮวานยองก็ไม่อาจตอบอะไรได้ เดิมทีเจ้าตัวก็เป็นคนละเอียดอ่อนมากอยู่แล้ว ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ในใจก็ยังคงกังวลอยู่ดี ซึ่งมูรยองเองก็รู้เรื่องนั้น เขาเลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องแทนที่จะดึงดันปลอบใจฮวานยองต่อ

“นอกจากนั้นนะ ฮวานยองอา…”

เพราะขานเรียกแบบนี้มาทั้งวัน เขาจึงไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนกับการเรียกชื่อแบบนี้เลยสักนิด เนื้อเสียงที่นุ่มนวลอย่างน่าแปลกยังคงติดอยู่ที่ปาก มูรยองเคาะนิ้วโดยที่ยังวางมือไว้บนต้นขาของฮวานยอง

“เรามีเรื่องต้องคุยกันไม่ใช่เหรอ”

“…”

ไม่รู้ว่าฮวานยองกำลังคิดอะไรอยู่ หูเขาถึงได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงแบบนั้น ทั้งที่เจ้าตัวมีผิวที่ขาวจัดจนถึงขั้นซีด ทว่าช่วงนี้ดูเหมือนจะได้เห็นมันเปลี่ยนเป็นสีชมพูบ่อยชอบกล มูรยองเร่งเร้าเขาด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย

“เรียกเร็วเข้าสิ”

ไม่จำเป็นต้องอธิบายลงรายละเอียดอะไร ทว่าแม้แต่จะสบตากันเขายังทำไม่ได้นั้นก็บอกได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่มูรยองกำลังพูดอยู่ดี ฮวานยองมุ่นคิ้วอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าลังเล

“…ต้องเรียกแบบนั้นด้วยเหรอ”

ทำไมถึงได้ขี้อายขนาดนี้นะ

อย่างกับตอนอยู่ประถมที่เข้าใจไปว่าถ้าเรียกเพื่อนต่างเพศแบบละนามสกุลจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้ว่าในตอนนั้นมูรยองจะเข้ากับเพื่อนผู้หญิงได้อย่างดีก็ตามที

“ก็ไม่ถึงกับต้องหรอก…”

ถ้าฮวานยองไม่อยากทำ เขาก็ไม่ได้คิดจะบังคับ การจะเรียกหรือไม่นั้นเป็นทางเลือกของเจ้าตัว และมูรยองก็ไม่ได้คิดว่าการเรียกกันเช่นเดิมอย่างที่เรียกมาตลอดจะหมายความว่าฮวานยองไม่ได้ชอบเขา แค่ท่าทางตอนฮวานยองเขินมันออกจะน่ารักก็เท่านั้นเอง

“แต่มันก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะเรียกไม่ได้นี่ ใช่ไหม ซอลกียา”

เจ้าซอลกีตอบรับโดยขยับแค่หางไปมาเบาๆ ถึงแม้ว่ามันจะง่วงมาก แต่เพราะทั้งคู่ยังคุยกันอยู่ มันเลยเหมือนจะนอนหลับไม่สนิท ทว่าระหว่างนั้นมันเองก็คงอยากมีส่วนร่วมด้วย จึงส่งเสียงครางหงุงหงิงออกมาทุกครั้งเวลามูรยองพูดอะไร

“ถ้าเรียกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไว้ค่อยๆ เรียกก็ได้”

มูรยองคิดว่าจะลองขอดูอีกครั้งหลังเวลาผ่านไปอีกหน่อย เพราะความจริงแล้วเขาแค่นึกสงสัยอยู่นิดๆ เท่านั้น ด้วยความที่เดิมทีฮวานยองเป็นคนพูดจาแข็งๆ มูรยองเลยอยากเห็นภาพที่อีกฝ่ายพูดอย่างนุ่มนวลดูบ้าง ทั้งๆ ที่ตอนบอกชอบกันตอนนั้นเจ้าตัวทำได้ดีมากแท้ๆ แต่มาตอนนี้กลับเขินอายกับทุกเรื่องไปหมดเสียได้

“จะปิดไฟแล้วนะ”

มูรยองลุกจากที่ไปปิดสวิตช์ไฟ เมื่อความมืดเข้าปกคลุมภายในห้อง เจ้าซอลกีที่นอนพิงตัวฮวานยองอยู่ก็กลับไปยังที่ของมันเงียบๆ หลังจากดูจนแน่ใจว่าฮวานยองนอนลงที่ฟูกของตัวเองแล้ว มูรยองถึงได้นอนตะแคงเพื่อแบ่งที่ให้เจ้าซอลกี

“นอนกันเถอะ”

ทั้งที่มูรยองเป็นฝ่ายชวนให้นอนก่อน แต่ตัวเขาเองกลับยังไม่หลับตา เขาเหม่อมองฮวานยองท่ามกลางความมืด มองดวงตาสองข้างที่หลับพริ้มกับสันจมูกโด่งเกลี้ยงเกลาที่ทอดตัวลงมา

หล่อชะมัด

มูรยองไม่สนใจรูปร่างหน้าตาของคนอื่นก็จริง แต่สายตาที่ใช้มองของสวยงามของเขาก็ยังจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เขารู้ความจริงที่ว่าซึงจูหล่อแบบสบายตา รู้ว่าตัวเองมีภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนโยนกว่าคนอื่น และก็แน่นอนอีกเช่นกัน เขารู้ว่าคีฮวานยองมีภาพลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นมากไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับใคร

“หยุดมองได้แล้ว”

การมองเห็นพลันมืดสนิทลงในชั่วพริบตาเมื่อฮวานยองใช้ฝ่ามือของตัวเองปิดตามูรยองเอาไว้

แค่มองนิดมองหน่อย หน้านายไม่สึกหรอหรอกน่า ชอบทำตัวขี้งกไปได้

“ฝันดีนะ ฮวานยองอา”

มูรยองพูดเสียงเบาโดยที่ยังหลับตาอยู่ ปกติพวกเขามักจะจูบกันในเวลานี้ แต่ดูเหมือนวันนี้บรรยากาศจะไม่ได้เอื้อแบบนั้น เขาเลยพยายามข่มตาหลับ และในตอนนั้นเองเสียงทุ้มต่ำก็ดังเข้ามาในหูของเขา

“…นายก็ด้วย”

เปลือกตาของมูรยองพลันกระตุกทันที เสียงแผ่วเบาราวกับลมหายใจนั้นดังก้องอยู่ในหู และในระหว่างที่มูรยองกำลังคิดว่าวันนี้เสียงของอีกฝ่ายนุ่มทุ้มยิ่งกว่าทุกวันนั้นเอง ฮวานยองก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ฝันดีนะ มูรยองอา”

“…”

ราวกับได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตักดังอยู่ข้างหู โชคดีที่ฮวานยองหลับตาอยู่ ไม่อย่างนั้นคงจับได้ว่าใบหน้าของมูรยองตอนนี้ได้กลายเป็นสีแดงแจ๋ไปแล้ว

มูรยองพยายามเบาเสียงลมหายใจอย่างยากเย็นและคิดกับตัวเองท่ามกลางความเงียบ

มาเรียกกันอ่อนโยนแบบนี้มันชักจะขี้โกงไปหน่อยแล้วแฮะ

 

หลายวันมานี้มีคนจากสมาพันธ์แวะเวียนมาทุกวัน ซึ่งคนที่ได้รับมอบหมายในปีนี้ก็คือมือปราบวิญญาณสวมแว่นตาดำที่มักจะมานั่งอยู่ในห้องครัวเวลาที่พวกเขาอาบน้ำเสร็จออกมา แม้แม่ของมูรยองจะออกปากปฏิเสธด้วยคำเดิมอยู่ตลอด แต่คนที่ถูกส่งมากลับไม่ยอมรามือไปง่ายๆ

“พรุ่งนี้คือวันครบรอบวันตายของคุณลุงใช่ไหม”

บ่ายวันนี้ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากที่ผ่านมา ซึงจูยังคงแวะมาเที่ยวเล่นและกินข้าวกลางวันด้วยเหมือนทุกที หลังจากทั้งสามกินจนอิ่มหนำแล้วก็พากันอุ้มเจ้าซอลกีไว้ในอ้อมแขนก่อนไปนอนแผ่หลาในห้องนั่งเล่น หรือหากจะพูดให้ถูก มีเพียงซึงจูเท่านั้นที่เอนตัวลงนอน ส่วนฮวานยองกับมูรยองนั่งเอาหลังพิงกับโซฟา

“…พรุ่งนี้คือวันครบรอบวันตาย?”

ฮวานยองถามอย่างตกใจเมื่อได้ยินคำว่า ‘วันครบรอบวันตาย’ เพราะเขาเพิ่งได้ยินจากแม่ของมูรยองว่ามันใกล้มาถึงแล้ว แต่พักนี้ก็ไม่เห็นใครพูดอะไร และข้าวของที่เอามาจากห้องเก็บของก็เพียงแค่ถูกวางไว้อย่างง่ายๆ ที่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นเท่านั้น

“อืม พรุ่งนี้แล้วล่ะ ปกติที่ผ่านมาเราจัดกันเงียบๆ น่ะ”

“แล้วจะเอาของออกมาจัดตอนไหนเหรอ”

“ไม่รู้สิ…น่าจะช่วงเย็นๆ วันนี้มั้ง”

มูรยองลูบคางตัวเองพลางเอียงคอ มีสิ่งที่เขาต้องทำเสมอในวันครบรอบวันตายของพ่อ นั่นคือการเอาข้าวของออกมาเช็ดทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย มันเป็นกิจกรรมกึ่งพิธีการ แต่ก็มีจุดประสงค์เพื่อดูให้แน่ใจเผื่อมีวิญญาณแอบแฝงอยู่ในข้าวของ เพราะบางครั้งพลังวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่หลังมือปราบวิญญาณคนนั้นตายจะยังคงเรียกวิญญาณมาได้เสมอ

“ทำตอนนี้เลยไหมล่ะ เดี๋ยวฉันช่วย”

ซึงจูบอกขณะลูบฝ่าเท้าปุยหนาของเจ้าซอลกี ส่วนที่เคยเป็นสีชมพูตอนมันยังเด็ก ตอนนี้ได้กลายเป็นสีดำด้านไปเสียแล้ว เจ้าซอลกีที่นอนอยู่นิ่งๆ ตอนเขาลูบขาหน้าของมันสะบัดขาหนีเหมือนรู้สึกจั๊กจี้พอเขาจับขาหลังของมัน

“เริ่มทำตอนมีเวลาว่างๆ มันก็สบายกว่าไม่ใช่หรือไง”

“ก็จริงนะ”

มูรยองลังเลอยู่อึดใจหนึ่งก่อนผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แม่ของเขาอยู่ในบ้านหลังเล็ก จะเอาของมาจัดเรียงก่อนล่วงหน้าตอนนี้ก็คงไม่เป็นไร แต่ฮวานยองก็ยังถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสับสน

“ว่าแต่ของพวกนั้นน่ะ…พวกเราแตะต้องมันได้ใช่ไหม”

“ได้สิ ไม่เป็นไร”

ซึงจูเป็นคนตอบให้ มูรยองที่กำลังลากลังสองลังมาจากมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นก็ช่วยพยักหน้ารับอีกคน มีแค่อัลบั้มรูปที่ถูกหยิบออกไป ส่วนของที่เหลือยังถูกปล่อยเอาไว้แบบนั้น

“ใช่ ไม่เป็นไรหรอก”

อย่างไรเสียก็แค่จัดเรียงและเช็ดถูเฉยๆ ใครเป็นคนทำหาใช่เรื่องสำคัญ หากเป็นคนที่เหมาะจะเป็นคนจัดการดูแลข้าวของพวกนี้ก็คงไม่เป็นไร แม้ซึงจูหรือฮวานยองดูจะไม่น่าใช่คนประเภทนั้นก็ตาม ถ้าจะลองเอาทุกอย่างออกมาเช็ดทำความสะอาด แม่ก็น่าจะกลับมาระหว่างที่กำลังทำพอดี

“พี่ชายกับพี่สาวนายบอกว่าจะมาเมื่อไหร่”

“คงจะคืนนี้มั้ง เห็นตอนแรกบอกว่าจะรีบมา แต่ช่วงนี้น่าจะยุ่งกันมาก”

มูรยองเริ่มหยิบข้าวของออกมา มันน่าจะเป็นลังที่รวบรวมของที่พ่อของเขาเคยใช้ตอนทำงานปราบวิญญาณ เลยมีของจำพวกยันต์กับกำไลข้อมือที่พ่อเขาใช้ แต่เนื่องจากเวลาผ่านมาถึงแปดปีแล้ว มันเลยแทบไม่มีพลังวิญญาณหลงเหลืออยู่

ไม่มีอะไรแปลกไปเลยแฮะ…

ในจังหวะที่มูรยองคิดเช่นนั้นพลางหยิบหน้ากากที่วางอยู่มุมหนึ่งในลังออกมา…

“…”

ฉับพลันนั้นสีหน้าฮวานยองก็ดูแปลกไปอย่างบอกไม่ถูก เขามองไปยังหน้ากากที่มูรยองถืออยู่ด้วยสายตาเหม่อลอยราวกับมองเหม่อไปไกล มันคือหน้ากากไม้ที่พ่อของมูรยองเคยใช้เวลาออกไปทำงาน ฮวานยองมองวัตถุแข็งๆ นั้นก่อนอึกอักถามออกมา

“…นั่นของพ่อนายเหรอ”

ท่าทางนั้นแสดงออกราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ มูรยองมองพิจารณาหน้ากากที่ตนถืออยู่ด้วยสีหน้าสงสัย มันเป็นหน้ากากไร้ลวดลายซึ่งมีเพียงช่องตรงดวงตา จมูก และปากที่ฉลุเอาไว้ พ่อของเขาเป็นคนทำมันขึ้นมาเอง

“อืม พ่อฉันเป็นคนทำเอง…ทำไมเหรอ”

“…”

ฮวานยองหรี่ตาลงด้วยใบหน้าที่ดูจริงจังมาก ไม่เพียงแค่มูรยอง ซึงจูเองก็มองออกถึงบรรยากาศที่เคร่งเครียดนั้น ฮวานยองขยับปากอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ

“คุณลุง…”

พอฮวานยองพูดคำว่า ‘คุณลุง’ ใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของมูรยองทันที ใครคนนั้นคือมือปราบวิญญาณผู้ใจดีที่คอยช่วยสอนวิธีควบคุมและใช้พลังวิญญาณให้กับฮวานยองในตอนเด็ก เพียงชั่วอึดใจที่มูรยองกะพริบตา น้ำเสียงสงบก็พูดเสริมออกมา

“มันคือหน้ากากที่คุณลุงใส่ตอนมาหาฉัน”

 

ในบ้านหลังเล็กที่ไม่มีใครอยู่ ฮวานยองนั่งขัดสมาธิและตั้งสติเพ่งสมาธิอยู่เงียบๆ เขาเปิดประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกาย รวบรวมพลังวิญญาณที่แผ่ออกมาจากทุกทิศทุกทางไว้ภายในช่องท้อง แม่ของมูรยองบอกว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องควบคุมร่างกายและจิตใจให้สงบก่อนเข้ารับการฝึก

ทว่าวันนี้เขากลับไม่อาจรวบรวมสมาธิได้เลย ฮวานยองทำพลังวิญญาณที่รวบรวมมากระจัดกระจายไปหลายหนแล้ว เขาได้แต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า และความคิดฟุ้งซ่านอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวที่ไม่อาจทำให้โล่งว่างได้เลยของเขา

พ่อของคิมมูรยองงั้นเหรอ

ถ้าเช่นนั้นก่อนหน้าคิมมูรยองก็มีคุณลุงคนนี้ที่เป็นคนมาเปลี่ยนชีวิตเขาไปอย่างสิ้นเชิง คุณลุงผู้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจอบอุ่นคนแรกที่เขาได้พบเจอในชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นคนที่เว้นระยะห่างจากเขาอย่างน่าสงสัย

‘เจ้าหนู เมื่อกี้เธอทำแบบนั้นได้ยังไงน่ะ’

ฮวานยองบังเอิญได้พบกับคุณลุงในวันที่เขาทำให้พ่อกับแม่สลายไปตอนอายุราวๆ สิบขวบ พอเห็นปีศาจหายวับไปในพริบตา คุณลุงก็กระโดดพรวดข้ามกำแพงเข้ามาหาเขา ร่างนั้นสูงอย่างกับเสาชังซึง* แถมบนหน้าก็มีหน้ากากที่ทำจากไม้สวมอยู่ด้วย ฮวานยองเลยคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นผีก็ได้

‘…อย่างนั้นหรอกเหรอ’

ทว่าคุณลุงกลับมีน้ำเสียงที่ใจดีเกินกว่าจะเป็นผีได้ ดวงตาที่มองเห็นได้จากใต้หน้ากากนั้นก็ดูอ่อนโยนอบอุ่น และที่สำคัญที่สุดคือการที่คุณลุงยังอยู่ตรงนั้นไม่หายไปไหนแม้จะโดนฮวานยองแตะตัวไปแล้ว

‘เธอคงกลัวการอยู่คนเดียวสินะ’

ฮวานยองยังจำไออุ่นที่โอบกอดเขาเอาไว้ได้ดี ยามที่คุณลุงลูบหลังเขาอย่างทะนุถนอมขณะกอดเขาเอาไว้ในอกกว้างก็เช่นกัน น้ำเสียงที่เอ่ยอย่างสุขุมนุ่มนวลนั้นอ่อนโยนมาก ทำเอาเขารู้สึกท่วมท้นจนอยากร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ว่าทำไม

‘ก่อนอื่นเธอต้องรับรู้ถึงพลังที่อยู่ในร่างกายเธอก่อน’

หลังจากนั้นฮวานยองก็ได้เรียนรู้วิธีควบคุมพลังวิญญาณจากคุณลุง เขาได้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างการไปสู่สุคติกับการโดนกำจัด และได้รู้ว่าอสูรทั้งหลายที่เขาเคยเจอนั้นแท้จริงแล้วล้วนเคยเป็นมนุษย์มาก่อน

‘คนเราน่ะควรใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนนะ’

นั่นคือประโยคที่คุณลุงพูดจนติดปาก เมื่อฮวานยองทำท่าเหมือนจะถอดใจยอมแพ้แม้เพียงสักนิด คุณลุงก็จะปลอบโยนเขาด้วยคำพูดเดิมๆ ทุกครั้ง แม้ว่าคุณลุงเองจะปรากฏตัวแค่ตอนกลางคืนและไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูไม่เหมือนคนที่จะเข้ากับผู้คนได้ดีก็ตามที

‘โลกใบนี้คือที่ที่คนเป็นใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เช่นเดียวกันกับคนตายที่ต้องเดินทางไปปรโลก เรามีหน้าที่อำนวยความช่วยเหลือในเรื่องนั้น และมีชีวิตอยู่โดยพึ่งพาอาศัยกัน’

พึ่งพาอาศัยกันตรงไหนนะ

ฮวานยองไม่กล้าถามคำถามนั้นออกไป พอได้พบคุณลุงเขาก็รู้สึกว่าบรรดามือปราบวิญญาณดูเหมือนจะเป็นผู้เสียสละอยู่ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า ทว่ามือปราบวิญญาณที่เขาเคยเจอมาจนกระทั่งตอนนี้กลับไม่ได้ดูเหมือนคนดีกันเลย

‘เอาล่ะ ฮวานยองอา ทำแบบนี้นะ’

ฮวานยองในวัยเด็กมักจะแสดงพฤติกรรมแปลกๆ ออกมาบ้างในบางครั้ง ทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่ามันไม่มีอะไร แต่เขาก็ยังตื่นกลัวเพราะทนต่อความรู้สึกไม่สบายใจที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันไม่ได้ คุณลุงที่ได้เห็นภาพนั้นเข้าครั้งหนึ่งจึงวางฝ่ามือใหญ่ไว้บนอกฮวานยองพลางเอ่ยสอน

‘แบบนี้นะ…จดจ่อกับเสียงหัวใจตัวเองแบบนี้’

แม้จะเป็นเพียงการสัมผัสผ่านเสื้อยืด แต่เขาก็รู้สึกถึงอุณหภูมิอันอบอุ่นนั้นได้ดี ฮวานยองคิดอยู่เสมอว่าคุณลุงเป็นคนที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงเป็นพิเศษ ไม่สิ นั่นอาจเป็นเพราะรู้สึกร้อนจากการใส่หน้ากากแบบนั้นไปไหนมาไหนแม้แต่ในฤดูร้อนก็ได้

‘เวลารู้สึกกังวลมากๆ หรือไม่สบายใจ ทำแบบนี้แล้วจะดีขึ้น หรือเธอจะจดจ่อกับเสียงหัวใจของคนอื่นก็ได้เหมือนกัน ลูกคนเล็กของลุงหลับปุ๋ยเลยล่ะเวลาลุงกอดเขาเอาไว้’

พอมาลองคิดดูแล้ว คุณลุงเคยบอกว่ามีลูกคนสุดท้องอายุเท่าเขา เป็นเด็กที่น่ารักและนิสัยดีมาก แต่ถึงอย่างนั้นบางครั้งก็ชอบทำให้คุณลุงเป็นห่วง เขายังคลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้ยินคำพูดที่ว่าถ้าลูกคนเล็กฉลาดหลักแหลมเหมือนฮวานยองก็คงจะดีอยู่บ่อยๆ ฮวานยองไม่เคยจินตนาการเลยว่าลูกคนเล็กที่ว่านั้นจะเป็นคิมมูรยองไปได้

‘ผมขอเห็นหน้าคุณลุงหน่อยได้ไหมครับ’

‘หน้า?’

‘ครับ หน้ากากมันพิลึกน่ะครับ’

‘…หน้ากากพิลึก?’

ฮวานยองเพิ่งมารู้เหตุผลเอาตอนนี้ว่าทำไมคุณลุงถึงได้ดูช็อกไปในตอนนั้น เขาคงรู้สึกเจ็บปวดในแบบของเขาเมื่อได้ยินว่าหน้ากากที่ตัวเองภูมิใจทำขึ้นมานั้นดูพิลึก ถึงแม้ว่ารสนิยมของเขาจะแปลก และหน้ากากนั้นก็แปลกพิลึกมากจริงๆ ก็ตามที

‘อืม…วันนี้เห็นทีจะไม่ได้’

‘ทำไมเหรอครับ’

‘พอดีลุงไม่ได้โกนหนวดมาน่ะสิ’

‘…’

ฮวานยองคิดว่าคุณลุงคงแค่ล้อเล่นแน่ๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ถอดหน้ากากออกจริงๆ แถมยังทำเพียงแค่ลูบศีรษะฮวานยองก่อนพูดขึ้น

‘ไว้ลุงจะให้ดูพรุ่งนี้นะ’

นั่นก็คือการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างเขากับคุณลุง เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง คุณลุงก็ไม่ได้มาปรากฏตัวที่สนามเด็กเล่นไม่ไกลจากละแวกบ้านเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขามักจะเจอกันตลอด และวันนั้นก็เป็นวันที่ฮวานยองรอคุณลุงอยู่ที่นั่นจนดึก

“…เพราะเขาตายแล้วสินะ”

แต่ไม่นึกเลยว่าความตายจะมาขวางกั้นคุณลุงเอาไว้ การพบกันครั้งสุดท้ายที่เขาเคยคิดว่าคุณลุงคงแค่ลำบากใจเลยไม่มาหา แท้จริงแล้วกลับเป็นเพราะสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ช่วงหนึ่งฮวานยองเคยขุ่นเคืองคุณลุงมาก เขาโกรธอยู่ในใจว่าทำไมคุณลุงต้องหนีเขาไปด้วย ถ้าไม่อยากให้เห็นหน้าก็แค่บอกว่าไม่อยากก็ได้ อีกทั้งเขายังรู้สึกไม่เป็นธรรมว่าถ้าหากมันเป็นความสัมพันธ์ที่นึกจะตัดก็ตัดฉับลงได้ง่ายๆ แบบนี้ก็ไม่เห็นจะต้องเข้ามาชวนคุยและทำความรู้จักกันตั้งแต่ทีแรก

‘พ่อฉันตายเพราะทำงานหนักเกินไป’

ทั้งที่งานหนักจนล้มป่วย แต่ก็ยังเจียดเวลามาหาเราอย่างนั้นสินะ?

ฮวานยองเคยคิดว่าจุดประสงค์ที่คุณลุงเข้าหาเขาคือการชวนเขาเข้าสมาพันธ์ แต่ถ้าคุณลุงเป็นพ่อของมูรยอง ดูท่าเหตุผลที่เขาคิดไว้จะผิด และสิ่งที่ทำให้เขากังวลกลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาได้ฟังจากมูรยอง

‘พ่อฉันคงไปเจรจาบางเรื่องไว้ เหมือนจะไปขอให้ช่วยรับฟังอะไรสักอย่างแลกกับการรับงานที่มอบหมายมาให้ทั้งหมดน่ะ’

ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนตัวเองจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นความรู้สึกโดยสัญชาตญาณ ถึงจะไม่รู้แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย

ฮวานยองคิดเรื่องเดิมวนไปวนมาแบบนั้นอยู่พักใหญ่ ถึงแม่ของมูรยองจะเคยบอกว่าเขาไม่ควรจมอยู่ในความคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่มันก็ไม่มีหนทางที่เขาจะหยุดความคิดไร้สาระที่กระแทกเข้ามาในหัวได้เลย

ไม่รู้ว่าเขานั่งอยู่แบบนั้นนานแค่ไหน แต่แล้วจู่ๆ ประตูบ้านหลังเล็กก็เปิดออก ท่าทางการเดินเข้ามาด้านในนั้นต่างจากมูรยองอย่างอธิบายไม่ถูก ฮวานยองลืมตาขึ้นในตอนนั้นแล้วหันไปมอง

“พร้อมหรือยังจ๊ะ”

แม่ของมูรยองนั่นเอง เธอสวมชุดฮันบกแบบประยุกต์ที่มักจะใส่เสมอเวลาฝึกพร้อมเกล้าผมขึ้นอย่างประณีต เธอนั่งลงตรงข้ามฮวานยองพลางมองพิจารณาเขาอย่างละเอียด

“วันนี้พลังวิญญาณดูกระจัดกระจายน่าดูเลยนะจ๊ะ”

“…”

ฮวานยองที่ไม่มีอะไรจะแก้ตัวได้แต่ปิดปากเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ของมูรยองก็ยังคงยิ้มให้เขาอย่างใจดีราวกับไม่ได้จะคาดโทษอะไร ใบหน้าที่ดูเย็นชาเวลาทำสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกนั้นยังคงอบอุ่นเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กๆ

“คิมมูรยองล่ะครับ?”

“ไปเดินเล่นกับเจ้าซอลกีอยู่น่ะจ้ะ”

วันนี้มูรยองพาเจ้าซอลกีออกไปเดินเล่นค่อนข้างช้าเพราะมัวแต่จัดข้าวของอยู่ และในเมื่อเพิ่งออกไปไม่นาน ดูท่าคงจะไม่กลับมาภายในหนึ่งชั่วโมงนี้แน่

“ป้าได้ยินจากมูรยองมาว่าตอนเด็กๆ ฮวานยองรู้จักกับพ่อของเขา”

แม่เปิดประเด็นขึ้นมาพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าระหว่างที่ฮวานยองอยู่ในบ้านหลังเล็ก เธอจะได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ มาจากมูรยองแล้ว

“จะสอนได้เรื่องไหมนะ ตาคนนั้นยิ่งเป็นคนไม่มีพรสวรรค์อยู่”

“…คุณลุงสอนดีมากครับ”

เขาเป็นคนที่แทบจะไม่ต่างอะไรจากผู้มีพระคุณในชีวิตของฮวานยองเลย ต้องขอบคุณคุณลุง ฮวานยองถึงได้ไม่ทำให้ฮวานฮีสลายไปด้วยการสร้างเกราะป้องกันล้อมตัวเอาไว้

“และเขาดีกับผมมากๆ เลยล่ะครับ…”

“โล่งใจไปที”

สีหน้าเธอดูโล่งใจจริงๆ ขณะที่ฮวานยองว้าวุ่นใจจนต้องก้มหน้าลงอย่างไม่มีเหตุผล ใจหนึ่งเขาก็รู้สึกว่าน่าทึ่งดีที่โชคชะตาได้นำพามาเจอกันแบบนี้ แต่เขาก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้กับความจริงที่ว่าคุณลุงได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว

“ฮวานยองอา ป้าขอถามสักสองสามคำถามนะ เรื่องที่ไม่อยากตอบ เธอไม่ต้องตอบก็ได้ โอเคไหมจ๊ะ”

ฮวานยองพยักหน้าให้กับคำถามที่อ่อนโยนนั้น เธอบอกว่าเขาไม่ต้องตอบในสิ่งที่ไม่อยากตอบ แต่เขาก็เชื่อว่าเธอคงไม่ถามคำถามชวนลำบากใจหรอก เพราะคนในครอบครัวคิมมูรยองต่างก็เป็นแบบนั้น

“ก่อนอื่นเลย…”

และมันก็เป็นจริงดังคาด แม่ของมูรยองถามเขาในเรื่องพื้นฐานสุดๆ เช่นว่าเขาเจอคุณลุงได้อย่างไร ได้เรียนรู้อะไรจากคุณลุงบ้าง เขาเจอคุณลุงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และพูดคุยกันเรื่องอะไร

“ลุงเขาเคยพูดถึงฮวานยองด้วยนะ”

“…พูดถึงผมเหรอครับ”

“เขาไม่ได้บอกชื่อเธอหรอก แค่เคยบอกว่าช่วงนั้นมีเด็กอยู่คนหนึ่งที่เขาค่อนข้างเป็นห่วง”

แม่ของมูรยองไม่ได้เล่าลงรายละเอียด เธอเพียงแค่แค่นหัวเราะและหยีตายิ้มอย่างอ่อนโยน

“เมื่อก่อนป้าเคยสงสัยว่าเขาไปไหนนักหนาในวันที่ว่างจากงาน…ดูเหมือนว่าจะไปหาเธอนี่เอง”

อันที่จริงแล้วฮวานยองเองก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าครอบครัวของมูรยองคงตะขิดตะขวงใจไม่น้อยในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณลุง เพราะคุณลุงแบ่งเวลามาเจอเขาอย่างเปล่าประโยชน์ ทั้งที่ตัวเองก็งานยุ่งขนาดนั้นแท้ๆ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าคนในครอบครัวนี้ไม่ใช่ประเภทที่จะคิดอะไรแบบนั้น แต่เขาก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้

“สายสัมพันธ์ของคนเรานี่ช่างมหัศจรรย์เสียจริง เธอคิดเหมือนกันไหมจ๊ะ”

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผู้เป็นแม่คนเดียว ก่อนหน้านี้ตัวมูรยองเองก็ไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางในแง่ลบให้เห็นเช่นกัน แม้แต่ซึงจูก็ยังบอกว่าช่างเป็นโชคชะตาที่น่าทึ่งราวกับเป็นเรื่องล้อเล่น แถมตอนที่มูรยองเอ่ยออกมาก็ยังยิ้มอย่างสดใส

‘พ่อต้องภูมิใจแน่ๆ ถ้าเห็นว่านายโตขนาดนี้แล้ว’

“ได้ยินว่าบ้านอยู่ห่างจากที่นี่สองชั่วโมงสินะจ๊ะ?”

“เอ่อ…ถ้าเดินก็ใช่ครับ แต่ถ้านั่งรถเมล์ก็ไม่ได้นานขนาดนั้น”

“งั้นเหรอจ๊ะ”

แม่ของมูรยองพยักหน้า ก่อนดวงตาจะหรี่ลงเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นเธอก็เปิดปากถามคล้ายหยั่งเชิงพลางมุ่นคิ้ว

“ถ้างั้น ฮวานยองอา…”

ฮวานยองขยับนั่งตัวตรงและตั้งใจฟังคำพูดของเธอ เพราะหนนี้คำถามที่จะเอ่ยออกมานั้นดูเหมือนจะจริงจังมากต่างจากคำถามก่อนๆ ที่เคยถามมาจนถึงตอนนี้ แม่พูดอย่างสงบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอันเป็นเอกลักษณ์

“ป้าถามได้ไหมว่าเธอมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนได้ยังไง”

“โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนน่ะเหรอครับ”

จู่ๆ ก็พูดถึงโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนขึ้นมาเนี่ยนะ

ฮวานยองเอียงคอกับประเด็นที่ว่าซึ่งดูไม่เกี่ยวข้องกันเลย เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเรื่องโรงเรียนถึงได้โผล่ขึ้นมาระหว่างที่กำลังคุยเรื่องคุณลุงกันอยู่

“โรงเรียนแฮยอนน่ะ…”

แม้จะเอ่ยปากขึ้นมาแล้ว แต่แม่ของมูรยองก็ยังแสดงให้เห็นถึงความลังเลใจอยู่ชั่วครู่ ดูเหมือนเธอจะไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดเรื่องนี้ดี แต่สุดท้ายก็เหมือนจะตัดสินใจได้เลยมองตรงมายังฮวานยองพลางบอกเขา

“คือโรงเรียนที่สมาพันธ์มือปราบวิญญาณบริหารจัดการอยู่”

 

มูฮึนกับมูยอนที่เคยบอกว่าจะมาถึงช่วงกลางคืนได้ติดต่อมาบอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้เช้าเลย ฮวานยองฝึกเสร็จตามปกติและอาบน้ำในห้องน้ำที่ใช้อยู่ประจำ ตลอดเวลาที่อาบน้ำล้างตัวอยู่นั้นในหัวเขาก็นึกทบทวนบทสนทนาที่คุยกับแม่ของมูรยองไม่หยุด

‘…สมาพันธ์มือปราบวิญญาณเป็นผู้บริหารโรงเรียนงั้นเหรอครับ’

โรงเรียนที่สมาพันธ์มือปราบวิญญาณเป็นผู้บริหารงานเนี่ยนะ

ตอนนั้นเองฮวานยองถึงเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่แปลกชอบกลของโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอน สถานที่ที่เคร่งครัดเรื่องการเข้าออกโรงเรียนหลังดวงอาทิตย์ตก สถานที่ที่ปรากฏการณ์อันเกี่ยวข้องกับวิญญาณเกิดขึ้นบ่อยถึงขนาดที่มีคำขอร้องมาให้มูรยองช่วยทุกสัปดาห์

‘อาจจะเป็นความบังเอิญอย่างพอดิบพอดีก็ได้ แต่ในสายตาป้า ป้าว่ามันน่าแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่ฮวานยองได้มาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอน’

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นฮวานยองก็ตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่งขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ได้เลือกโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนเป็นอันดับแรกในแบบฟอร์มสมัครเรียนต่อ แต่เวลานั้นตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจนักว่าจะเรียนต่อที่โรงเรียนไหน และคิดว่าตัวเองแค่ดวงไม่ดีก็เลยมองข้ามไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร

‘ตระกูลของป้าได้รับหน้าที่ให้ดูแลโรงเรียนนั้นมาหลายต่อหลายรุ่น มันเลยเป็นโชคชะตาของมูรยองที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดแล้วว่าจะต้องเข้าโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอน’

ฮวานยองเห็นจากในอัลบั้มรูปอยู่เหมือนกันว่ามีภาพที่มูฮึนและมูยอนสวมชุดนักเรียนโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอน เขาเข้าใจว่าทั้งสองคงแค่ไปเรียนที่นั่นเพราะอยู่ใกล้บ้าน แต่ดูเหมือนว่าจะมีสถานการณ์ของพวกผู้ใหญ่มาเกี่ยวข้องด้วย

‘เลือกเป็นลำดับท้ายๆ แต่ก็ใส่ไปด้วยใช่ไหม’

‘ใช่ครับ จำไม่ได้แล้วว่าลำดับที่เท่าไหร่…’

‘อืม ขอบใจนะจ๊ะที่ช่วยตอบ’

การถามตอบกับแม่ของมูรยองจบลงเพียงเท่านั้น เธอเอ่ยขอบคุณก่อนจะเริ่มต้นการฝึกในทันที สายตาของเธอคมปลาบขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น และเมื่อเวลาผ่านไปได้ราวหนึ่งชั่วโมงมูรยองก็กลับมาถึง จากนั้นเหตุการณ์เดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นก็ฉายวนซ้ำอีกครั้ง

“…วันนี้คุณต้องยอมรับแล้วนะครับ”

เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วออกมา ฮวานยองได้ยินเสียงที่แสนคุ้นเคยดังมาจากทางห้องครัวเช่นเดิม มันเป็นเสียงของชายสวมแว่นตาดำที่แวะเวียนมาทุกวันในช่วงนี้ ฮวานยองใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมพลางขมวดคิ้วมุ่น

“ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ผมก็เสียหน้าแย่เลยสิครับ”

ตื๊อชะมัดเลยแฮะ

ได้ยินว่าเขามาเพื่อขอโทษแท้ๆ แต่ดูจากการกระทำแล้วแทบไม่ต่างอะไรจากการข่มขู่เลยสักนิด

เพราะแบบนี้ไง คนของสมาพันธ์ถึงได้…

ในจังหวะที่ฮวานยองกำลังคิดแบบนั้น น้ำเสียงเคร่งเครียดก็เอ่ยเรียกแม่ของมูรยอง

“คุณผู้นำตระกูลครับ”

มันคล้ายกับตอนนั้นที่เขามองมาเจอฮวานยองนอกห้องครัว ฮวานยองพลันหยุดเดินโดยไม่ทันรู้ตัวแล้วหันมองไปทางห้องครัว แม้จะไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่บทสนทนาของพวกเขาก็ดังมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน

“ถึงผมจะช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องเด็กคนนั้นได้ แต่กับเรื่องความสามารถของลูกชายคุณ เห็นทีผมคงจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ”

“…”

เด็กคนนั้นที่ว่าน่าจะหมายถึงเรา ถ้าอย่างนั้นแล้วลูกชายที่ผู้ชายคนนี้พูดถึงหมายถึงใครกัน

ฮวานยองยังคงไม่หมดความสงสัยง่ายๆ กับเรื่องที่บอกว่าช่วยปิดตาเรื่องความสามารถให้ไม่ได้

“ลูกชายดิฉันยังไม่บรรลุนิติภาวะค่ะ”

“หมายความว่าถ้าเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว คุณก็จะรายงานแก่ทางสมาพันธ์ใช่ไหมครับ”

“ไม่รู้สิคะ พอดีนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดิฉันจะเป็นคนตัดสินใจ”

ชัดเจนแล้วว่ามันคือเรื่องเกี่ยวกับคิมมูรยอง ดูเหมือนว่าทางสมาพันธ์มือปราบวิญญาณจะยังไม่รู้ความจริงที่ว่ามูรยองสามารถชำระวิญญาณปีศาจได้ ดูท่าคำพูดที่มูยอนเคยบอกว่ายิ่งซ่อนความสามารถเอาไว้เท่าไหร่ก็ยิ่งดีนั้นจะเหมาะกับมูรยองจริงๆ

ว่าแต่ตอนนั้นจะโดนจับได้ไหมนะ

ฮวานยองนึกถึงตอนที่มูรยองชำระวิญญาณปีศาจในกระท่อมกลางภูเขาขึ้นมา เขาไม่รู้ว่ามูยอนจัดการกับเรื่องที่ว่าอย่างไร แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่สมาพันธ์อาจจะรู้เรื่องขึ้นมาในวันนั้นเอง

แต่แล้วฮวานยองที่คิดได้ดังนั้นก็พลันมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดต่อมาของมือปราบวิญญาณ

“ลูกชายคุณใช้ความสามารถนั้นไปสองรอบแล้วนะครับ”

…สองรอบ?

สองรอบที่ว่านั้น รอบหนึ่งมูรยองใช้มันกลางภูเขา เช่นนั้นแล้วอีกรอบที่เหลือคือตอนไหนกัน สังหรณ์ร้ายๆ เฉียดผ่านท้ายทอยเขาพร้อมกับหัวใจที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

“มีข่าวว่าปีศาจที่เกาะติดอยู่กับเด็กคนนั้นไปสู่สุคติแล้ว คุณผู้นำตระกูลคงจะรู้ใช่ไหมครับว่ามันไม่ใช่แค่ข่าวลือไม่มีมูล”

พอได้ยินคำพูดนั้นฮวานยองก็ต้องตกใจกับความจริงสองข้อ ข้อแรกคือเรื่องที่สมาพันธ์รู้เรื่องที่ฮวานฮีไปสู่สุคติ ส่วนข้อที่สองคือเรื่องที่แม้แต่แม่ของมูรยองก็รู้เรื่องดังกล่าวเช่นกัน

“มันเกินขอบเขตที่จะหลับหูหลับตาต่อไปได้แล้วนะครับ ขืนยังทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คุณจะลำบากเอานะครับ”

“จะหลับหูหลับตาหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องของคุณค่ะ”

น้ำเสียงของแม่มูรยองนั้นช่างเย็นยะเยียบ มันฟังดูน่าเกรงขามจนฮวานยองที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลยังถึงกับสะดุ้ง ในชั่วอึดใจที่ชายคนนั้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงที่เย็นเยือกกว่าเดิมก็ชิงเอ่ยตัดบทเขา

“ทางสมาพันธ์ส่งคนมาหาเราทุกปี ซึ่งทางเราก็ให้การปฏิเสธกลับไปทุกปี แต่ในบรรดามือปราบวิญญาณที่เคยถูกส่งมาจนถึงตอนนี้ คุณคือคนที่ไร้มารยาทที่สุดเลยค่ะ ไม่ทราบว่าใครอนุญาตให้คุณมาพูดจาแบบนี้ในที่ของลูกๆ ดิฉันเหรอคะ”

แม้จะเป็นแค่เสียงพูด ทว่ากลับให้ความรู้สึกราวกับถูกเฆี่ยนตีอย่างแรง แม้แต่ฮวานยองยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากเสียงที่กดต่ำลงอย่างน่ากลัวนั้น

ในจังหวะที่ฮวานยองลอบกลืนน้ำลายฝืดลงคอ จู่ๆ สัมผัสอบอุ่นก็คว้าจับมือเขาเอาไว้อย่างเงียบเชียบ

“…”

ฮวานยองค่อยๆ หันศีรษะไปมอง เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใครตั้งแต่ก่อนที่จะหันมองหน้าเสียอีก เขารู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณอันแสนสดชื่นที่สัมผัสได้ผ่านผิวหนัง ก่อนที่ดวงตากลมโตอันอ่อนโยนของเจ้าตัวจะปรากฏขึ้นในสายตา

“คิมมู…”

มูรยองยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากพร้อมกับขยับปากเป็นคำว่า ‘ชู่ว’ ฮวานยองไม่รู้เลยว่ามูรยองมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่จนกระทั่งเจ้าตัวมาจับมือเขาเอาไว้ มูรยองลากฮวานยองที่ยังคงงงๆ ไปตามทาง ก่อนจะเปิดประตูห้องแบบไม่ให้เกิดเสียงและดันตัวเขาเข้าไปข้างใน

แกร๊ก

บานประตูปิดลงแล้ว เจ้าซอลกีกระดิกหางไปมาขณะเงยหน้าขึ้นมองพวกเขา ตอนนั้นเองฮวานยองถึงได้ระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมาเฮือกใหญ่

“เฮ้อ…”

ไหล่ที่เครียดเกร็งผ่อนคลายลง เขากังวลมากจนปลายนิ้วสั่นระริกไปหมด มูรยองเขย่าแขนฮวานยองเบาๆ โดยที่ยังไม่ปล่อยมือเขา

“นายจะมาแอบฟังเรื่องของคนอื่นเขาแบบนี้ไม่ได้นะ”

“…”

แม้จะเห็นอยู่ชัดๆ ว่ามูรยองพูดอย่างนุ่มนวล แต่เขากลับรู้สึกผิดยิ่งกว่าโดนดุด่ารุนแรงเสียอีก ด้วยเหตุนั้นฮวานยองจึงได้แต่ตีเนียนหลบตาพลางแก้ตัว

“…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฟังสักหน่อย”

“ฉันเข้าใจ ความจริงแล้วฉันเองก็แอบได้ยินนิดหนึ่งเหมือนกัน”

มูรยองยิ้มสดใสพลางดึงฮวานยองเข้าหาตัว ผมของเขาเองก็เปียกอยู่เช่นกัน เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งเหยิงเล็กน้อยอยู่ในสภาพเปียกหมาดๆ

“แม่คงโกรธน่าดู…ลุงคนนั้นงานเข้าแล้วล่ะ”

ฮวานยองซุกตัวลงนอนใต้ผ้าห่มอย่างเรียบร้อยตามที่มูรยองสั่ง แม้สัมผัสจากมือนั้นจะไม่ได้บังคับอะไร แต่ก็มีพลังที่ทำให้เขาต้านทานไม่ได้อย่างน่าประหลาด มูรยองจัดแจงห่มผ้าให้เขาก่อนจะปิดไฟในห้องอย่างรีบร้อนแล้วกลับมานอนลงบนที่นอนทันที

“นอนกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”

ไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวที่ชวนจั๊กจี้เช่นเคย ดวงตาที่มักจะมองมาอย่างสดใสตอนนี้กลับถูกเปลือกตาปิดไว้ท่ามกลางความเงียบ ไม่รู้ว่ามูรยองตั้งใจจะนอนหลับไปทั้งอย่างนี้เลยจริงๆ หรือเปล่า แต่ผ่านไปไม่นานนักเสียงหายใจสม่ำเสมอก็ดังขึ้นมาให้ได้ยิน

พอได้เห็นใบหน้าที่หลับสนิทไปแล้ว ฮวานยองก็ไม่มีความกล้าพอที่จะถามอะไรอีก สุดท้ายก็เลยไม่ได้เอ่ยคำใดออกไป

จริงๆ แล้วที่ความสามารถของนายถูกจับได้เพราะฉัน นายเองก็ได้ยินเหมือนกันใช่ไหม คิมมูรยอง

 

* เสาชังซึง หมายถึงเสาไม้หรือหินที่มักตั้งไว้ริมถนนหรือบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน โดยจะมีการสลักหรือวาดหน้าคนและภูตผีเอาไว้ ซึ่งมีความเชื่อดั้งเดิมว่าเป็นสัญลักษณ์ของเทพผู้ปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: