X
    Categories: everYทดลองอ่านมือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง

ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 3 Chapter 12.4 #นิยายวาย

Chapter 12-4

 

ทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้นมูฮึนกับมูยอนก็กลับมาถึงบ้าน มูรยองรับรู้ได้จากการที่จู่ๆ เจ้าซอลกีซึ่งกำลังนอนหลับสบายพลันพรวดพราดลุกขึ้นมาตะกุยประตูห้อง แม้ว่ามูรยองจะยังไม่ยอมตื่นขึ้นมา แต่ฮวานยองก็ลืมตาขึ้นทันทีและเก็บที่นอน

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ฮวานยอง”

วันนี้มูฮึนก็ใส่เสื้อยืดแขนยาวสีดำ แม้อากาศข้างนอกจะร้อนขนาดนี้ แต่เขากลับดูไม่ได้ร้อนอะไร หูข้างหนึ่งของเขายังคงเต็มไปด้วยจิวประดับหู และรอยสักที่ยาวเป็นแนวจากหลังหูเรื่อยไปจนถึงคอก็ยังคงอยู่ดีเช่นเคย

“ได้ยินว่าช่วงนี้ฮวานยองกำลังฝึกยิงธนูอยู่สินะ?”

“ธนู? สอนอะไรแบบนั้นไปด้วยเหรอ”

“สอนไปให้ช่วงหนึ่งก่อนกลับไปที่สมาพันธ์ ได้ยินแม่บอกว่าทำได้ดีมากเลยนี่? ถ้าพี่พอมีเวลาก็ลองสอนเขาใช้ดาบด้วยสิ”

ทางด้านมูยอนแตกต่างจากมูฮึน การแต่งตัวของเธอนั้นใครเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสื้อผ้าสำหรับใส่ในฤดูร้อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรวบผมขึ้นหรือเปล่า เธอถึงได้ดูคล้ายคิมมูรยองเสียยิ่งกว่าตอนปล่อยผม และตอนนี้ที่เธออยู่ข้างๆ มูฮึนก็ดูจะคล้ายพี่ชายอยู่ในทีด้วย

“ว่าแต่น้องเล็กของเรายังนอนหลับอุตุอยู่อีกเหรอ”

มูยอนเดินหายเข้าไปในห้อง ส่วนมูฮึนทิ้งตัวนั่งลงกับที่และกอดเจ้าซอลกี มันที่วิ่งวนไปทั่วเพราะคึกหนักมากเลียหน้าเขาแผล็บๆ อย่างดีใจ เสื้อยืดสีดำที่เขาใส่เลยเห็นขนสีขาวติดอยู่ตามเนื้อผ้าได้อย่างชัดเจน

“เด็กดี…”

มูฮึนถูไถใบหน้าเข้ากับกลุ่มขนนุ่มๆ ของเจ้าซอลกีอย่างคุ้นเคย พอเจ้าซอลกีหายใจหอบดังแฮกๆ เพราะตื่นเต้นดีใจจนเกินเหตุ เขาก็กอดมันไว้ในอ้อมแขนแน่นๆ ราวกับจะปลอบให้มันสงบลง จากนั้นเขาก็มองขึ้นมายังฮวานยองที่ยืนเหม่ออย่างไร้จุดหมายก่อนยกยิ้ม

“เรียกซึงจูมาย่างเนื้อกินกันไหม”

 

ทันทีที่แม่กลับออกมาจากบ้านหลังเล็ก บาร์บีคิวก็ถูกเตรียมขึ้นที่สนามหน้าบ้าน มูรยองซึ่งถูกมูยอนลากตัวออกมายืนพิงศีรษะกับแผ่นหลังของฮวานยองอยู่พักใหญ่อย่างไม่อาจเอาชนะความง่วงงุนได้ ฮวานยองที่พลอยขยับตัวไม่ได้ไปด้วยจำต้องยืนนิ่งๆ อยู่กลางสนามและคอยช่วยบังแดดที่ส่องลงมาให้อีกฝ่าย

“มูรยองอา เลิกขี้เซาได้แล้ว ไปเรียกซึงจูมาสักทีสิลูก”

ฮวานยองกลับมาเป็นอิสระอีกครั้งก็ตอนที่แม่ของเจ้าตัวพูดแบบนั้น มูรยองทรงตัวที่โงนเงนอยู่ให้ตั้งตรงและสะบัดศีรษะไปมาสองสามหน แต่ถึงจะทำแบบนั้นความง่วงก็ยังไม่คลายลง เขาเลยเอาหน้าผากชนเข้ากับบ่าของฮวานยองอย่างแรง

“…ง่วงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เปล่าหรอก…ตอนนี้โอเคแล้วล่ะ”

ท่าทางของเขาไม่ได้ดูโอเคอย่างปากว่าเลยสักนิด แต่ฮวานยองก็ปิดปากเงียบไว้แทนที่จะพูดอะไรออกไป มูรยองเหยียดแขนขึ้นและบิดขี้เกียจ เดินอย่างมุ่งมั่นไปยังฟากหนึ่งของสนามก่อนจะเรียกซึงจูด้วยวิธีแบบอนาล็อก

“ซอซึงจู! มาย่างเนื้อกินกัน!”

“…พลังล้นเหลือจังนะ”

มูยอนส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา ฮวานยองเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

ทั้งที่ก็พกโทรศัพท์มือถือไปไหนมาไหนตลอด แต่ดันเรียกด้วยวิธีนี้เนี่ยนะ ไม่ใช่วิธีที่ใครเขาทำกันเลย

แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้อึ้งได้มากกว่านั้นก็คือการที่ซึงจูเดินผ่านประตูหน้าบ้านเข้ามาในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง

“เสียงคิมมูรยองนี่จริงๆ เลย…”

ซึงจูเดินลากรองเท้าแตะเข้ามาในสนามพร้อมช่อดอกไม้ที่ถือไว้ในมือข้างหนึ่ง เจ้าตัวอยู่ในชุดวอร์มที่มีโลโก้เดียวกันทั้งท่อนบนท่อนล่างและดีไซน์คล้ายกันกับทุกครั้งที่ใส่มา มีเพียงแค่สีเท่านั้นที่เปลี่ยนไป หลังมองสบตาทักทายมูยอนกับมูฮึน ซึงจูก็เดินไปหาแม่ของพวกเขาก่อนยื่นช่อดอกไม้ให้

“แม่ฝากมาให้ครับ พอดีว่าพ่อกับแม่ไปทำงานนอกสถานที่เลยมาไม่ได้น่ะครับ”

“เฮ้อ ทำให้ซึ้งใจได้ทุกปีเลยนะเนี่ย”

ช่อดอกไม้ที่ซึงจูเอามาให้มีมากมายหลายสีจากดอกไม้หลากชนิดที่จัดช่อเข้าด้วยกัน แม่ของมูรยองรับมันไปด้วยสีหน้าอารมณ์ดี

“สวยจริงเชียว แม่เรานี่เซ้นส์ดีตลอดเลย”

เมื่อนั้นฮวานยองจึงได้รู้ว่าช่อดอกไม้นี้คือสิ่งที่นำมาไว้อาลัยคุณลุง เพราะถ้าบอกว่ามอบให้อยู่ทุกปีก็คงไม่ใช่ช่อดอกไม้ที่ให้อย่างไม่มีเหตุผล แม้จะต่างจากปกติอยู่สักหน่อยตรงที่มันไม่ใช่ดอกเบญจมาศก็ตามที

“มูฮึนอา เอาดอกไม้นี้เข้าไปวางไว้ในบ้านทีสิจ๊ะ”

ตั้งแต่บาร์บีคิวที่เตรียมไว้ชุดใหญ่ไปจนถึงช่อดอกไม้งดงาม ดูเหมือนจะไม่มีใครเศร้าใจเลยสักนิด และแน่นอนว่าคนที่น่าจะสนุกที่สุดก็คือเจ้าซอลกี บรรยากาศแตกต่างจากวันครบรอบวันตายทั่วไปโดยสิ้นเชิง แต่ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับบ้านของมูรยอง

วิธีทำใจยอมรับความตายนั้นไม่จำเป็นต้องเหลือไว้เพียงความเศร้าหมองเสมอไปสินะ

ฮวานยองเข้าใจเรื่องดังกล่าวเมื่อได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เขารู้สึกผิดอยู่เสมอกับการได้ใช้ชีวิตโดยค่อยๆ ลืมเลือนคนในครอบครัว ทว่าความรู้สึกในเชิงลบพวกนั้นก็ถูกลบเลือนไปเมื่อได้มาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้

“เด็กๆ นั่งลงได้แล้ว ดูท่าจะหิวกันน่าดู”

ปริมาณเนื้อที่มูฮึนซื้อมารอบนี้เยอะมาก ดูเหมือนจะเยอะกว่ารอบที่แล้วด้วย โชคดีที่มูยอนเองก็จัดการส่วนของตัวเองได้ดีพอๆ กับอีกสามคน ในระหว่างที่ทุกคนกินกันอย่างจริงจังอยู่นั้น ซึงจูที่กินในปริมาณปกติกลับตกเป็นเป้าหมายของบทสนทนาเสียอย่างนั้น

“ซึงจูของพี่กินให้มันเยอะกว่านี้หน่อยสิ”

“ใช่ กินให้เท่ามูรยองเลย”

“เดี๋ยวนะ แม้แต่พี่เองก็…ถ้ากินได้เท่าคิมมูรยองนี่ยังถือว่าเป็นคนได้อยู่เหรอครับ”

พริบตาเดียวทุกคนก็กลับกลายเป็นไม่ใช่คนไปเสียแล้ว แต่ก็หาได้มีใครสนใจเรื่องนั้นนัก เนื้อกองโตพร่องไปในช่วงเวลาอันสั้น และแล้วมื้ออาหารก็จบลงหลังพวกเขาได้กินข้าวรวมถึงต้มรามยอนกินกันอย่างเช่นเคย

ตกดึกซึงจูก็กลับบ้านไป มูฮึนหว่านล้อมให้เขานอนค้าง แต่แน่นอนว่าซึงจูไม่ใช่คนที่จะถูกควบคุมได้โดยง่าย ถึงแม้เจ้าตัวจะดูลังเลใจไปวูบหนึ่งตอนถูกถามว่า ‘ยังไงซะคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่อยู่บ้านอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง’ ก็ตาม

“ว้าว เด็กที่พ่อเคยพูดถึงเมื่อก่อนคือนายเองเหรอเนี่ย ฮวานยอง”

พวกเขามานั่งล้อมวงกันอยู่ในห้องนั่งเล่นและดูอัลบั้มรูปที่ถูกหยิบออกมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่อัลบั้มที่มีชื่อ ‘มูฮึน’ อยู่บนปกไปจนถึงอัลบั้มที่มีคำว่า ‘มูยอน’ เขียนเอาไว้ ดูเหมือนว่ารูปของคุณลุงจะมีอยู่ในอัลบั้มรูปของมูฮึนมากที่สุด

“พี่มูยอนจำได้ด้วยเหรอ”

“ได้สิ ก็ตอนนั้นพี่ชอบตามพ่อไปไหนมาไหนด้วยนี่นา”

เหล่าพี่น้องต่างทึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างฮวานยองกับพ่อของพวกเขา โดยเฉพาะมูยอนที่มองพิจารณาฮวานยองทั่วทั้งตัวพลางถามว่า ‘เด็กหัวดีคนนั้นคือนายเองหรอกเหรอ’ และในตอนที่เธอบอกด้วยใบหน้าภูมิใจว่า ‘โตมาอย่างดีเลยนะเนี่ย’ ฮวานยองก็รู้สึกจุกในอกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“พรหมลิขิตก็แบบนี้แหละ”

ทั้งมูฮึนที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ทั้งมูยอนที่หยอกว่ามูฮึนพูดแบบนั้นเหมือนพวกหมอดูไม่มีผิด ทั้งแม่ที่คอยปอกผลไม้ให้ และมูรยองที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ฮวานยองคิดว่าบรรยากาศเหล่านี้ช่างเหมือนกับวันหยุดครอบครัวช่วงเทศกาลอย่างไรอย่างนั้น

ถ้าคนในครอบครัวเรายังมีชีวิตอยู่จะเป็นแบบนี้ไหมนะ

การที่เขาไม่ได้รู้สึกขมขื่นกับจินตนาการเช่นนั้นเป็นเพราะเวลานี้เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว นั่นก็เพราะคิมมูรยองผู้ที่คอยยิ้มให้กันจนหัวใจเขาแทบละลายเพียงแค่สบตาได้ลบความคิดอันหมองเศร้าออกไปจากหัวเขาจนหมดแล้ว

“ฮวานยอง นายน่ะมาอยู่ที่นี่เลยเถอะ เจ้าซอลกีดูท่าจะชอบนายน่าดู”

เจ้าซอลกีติดฮวานยองแจอย่างที่มูยอนว่า คงเป็นเพราะเขาคอยเล่นกับมันทุกครั้งที่มันมาชวนให้เล่นด้วย ทั้งยังกอดมันเอาไว้เวลามันเข้ามาเกาะแกะและออดอ้อนขอให้ลูบตัว แม้แต่ตอนนี้เจ้าซอลกีที่แวะนอนตักคนนั้นคนนี้ไปทั่วสุดท้ายแล้วก็ทำท่าว่าจะปักหลักอยู่ในอ้อมแขนของฮวานยอง

 

หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาไปกับการคุยเล่นไร้สาระ ตั้งแต่เรื่องที่ว่าอาหารลดน้ำหนักของเจ้าซอลกีดูจะได้ผลไปยันเรื่องสนุกต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทำงาน บทสนทนาที่หากซึงจูยังนั่งฟังอยู่ด้วยคงผวาดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เจ้าซอลกีเริ่มสัปหงก

และแล้วก็ถึงเวลาที่แขกไม่ได้รับเชิญจะแวะเวียนเข้ามาในเวลาเดียวกันกับทุกวัน ขณะที่ฮวานยองกำลังคิดว่าวันนี้ชายคนนั้นจะมาหรือไม่และลอบชำเลืองมองออกไปข้างนอกแบบไม่มีเหตุผลอยู่นี้เอง เจ้าซอลกีก็พลันหูตั้งและผงกศีรษะขึ้น พร้อมกันกับที่แม่ลุกจากที่นั่ง

สงสัยเด็กพวกนี้คงจะอยากคุยเล่นกันในห้องครัว งั้นเราออกไปคุยสักหน่อยแล้วเข้านอนเลยก็แล้วกัน แม่คิดในใจพลางส่ายหน้าให้ทั้งสี่คนซึ่งกำลังเก็บกวาดพื้นที่

“ไม่เป็นไรจ้ะ นั่งกันไปเถอะ”

“มาจากสมาพันธ์ไม่ใช่เหรอครับ”

“อืม แต่แม่จะไม่ให้เข้าบ้านหรอกนะ”

มูฮึนทำสีหน้าเหมือนพอจะเข้าใจกับคำตอบของแม่ เขาถามว่าจะให้ตนเองออกไปแทนไหม ก่อนจะทำเพียงแค่พยักหน้ารับเมื่อแม่บอกให้เขาอยู่คุยเล่นกับน้องๆ ดีกว่า

มูยอนเดาะลิ้นทันทีที่แม่เดินพ้นประตูหน้าบ้านไป

“ดูเหมือนแม่จะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่นะ”

พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ได้โดยไม่ต้องถามอะไรมาก ปกติแม่ของพวกเขาเป็นคนที่จะรักษามารยาทขั้นพื้นฐานเอาไว้อยู่แล้วหากทำได้ ต่อให้คนจากสมาพันธ์มา เธอก็มักจะเสิร์ฟชาต้อนรับเสมอ การที่เธอไม่ให้เขาเข้ามาในตัวบ้านคราวนี้จึงแปลได้ว่ามีบางเรื่องที่เธอไม่ต้อนรับอย่างแน่นอน

“พอดีคนที่มาคราวนี้ทำตัวน่ารำคาญนิดหน่อยน่ะ”

ฮวานยองผงะไปเล็กน้อยกับคำพูดของมูรยองพร้อมกับหันไปมอง

น่ารำคาญ?

ฮวานยองไม่นึกเลยว่าคำพูดแบบนั้นจะหลุดออกมาจากปากของเจ้าตัว มูรยองเหลือบมองฮวานยองกลับ และเมื่อสายตาสบกันเขาก็เอียงคอถาม

“มีอะไรเหรอ”

“…เปล่า”

ถึงในใจจะคิดอย่างนั้น แต่ถ้าถึงขั้นที่คิมมูรยองออกปากว่าน่ารำคาญ มือปราบวิญญาณคนนั้นก็คงจะทำตัวไม่ดีจริงๆ เพราะนี่ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคิมมูรยอง ‘ที่เป็นแบบนั้น’

“มือปราบวิญญาณที่มารอบนี้นี่ใครเหรอ”

“ไม่รู้จักหรอก แต่เห็นเป็นคุณลุงที่ใส่แว่นตาดำน่ะ ใส่แว่นตาดำกรอบกลมแบบนี้”

“อ๋า รู้แล้วว่าใคร นั่นน่ะตาแก่หัวโบราณขนานแท้เลย”

มูยอนยักไหล่ด้วยท่าทีแหยงๆ เธอไม่ชอบเขาเอามากๆ ทั้งยังบอกอีกว่าทัศนคติของคนผู้นี้ช่างน่าอึดอัด ไร้ความยืดหยุ่น แถมยังนิสัยดื้อด้านมากอีกด้วย

“สงสัยหนนี้คงได้โดนไล่ตะเพิดแน่เลยแฮะ”

มูฮึนยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าสบายอารมณ์ เขาทำหน้าเหมือนรู้อะไรบางอย่าง แต่ฮวานยองก็ไม่กล้าถามไปถึงขั้นนั้น เพียงแค่รู้สึกได้ว่า…

แม่ของมูรยองคงเป็นคนที่น่ากลัวมากเลยสินะ

 

พวกเขาพากันเก็บจานที่ใช้กินผลไม้และเก็บกวาดห้องนั่งเล่นจนสะอาด ระหว่างที่มูฮึนกำลังล้างจาน เจ้าซอลกีก็ล่วงหน้าเข้าไปในห้องของมูฮึนก่อนและน่าจะหลับไปแล้ว แต่จนถึงตอนนั้นแม่ที่ออกไปนอกตัวบ้านก็ยังไม่กลับเข้ามา

“คงต้องออกไปดูหน่อยแล้วสิ”

สุดท้ายมูฮึนก็ลุกขึ้นจากที่ ทีแรกเขาคิดว่าคงจะดึกนิดหน่อย แต่ถ้าดึกมากขนาดนี้ก็ค่อนข้างแปลก ถ้าไม่ใช่ว่าคุยกันยืดเยื้อก็คงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น แม้อย่างแรกจะมีความเป็นไปได้มากกว่า แต่เรื่องจำพวกหนึ่งในล้านก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน

“พวกนายไปนอนกันได้แล้วไป”

“พี่ครับ…”

จู่ๆ ฮวานยองก็เรียกมูฮึนเอาไว้ มันไม่ใช่การเรียกอย่างมีสติรู้ตัวดี แต่คล้ายจะเป็นการเรียกไปโดยสัญชาตญาณมากกว่า สายตาของคนสามคนมองมาที่เขา ฮวานยองจึงมุ่นคิ้วก่อนถามหยั่งเชิง

“…ขอผมออกไปด้วยได้ไหมครับ”

เขาแค่คิดว่าตัวเองควรออกไป เพราะคนที่มาจากสมาพันธ์พูดถึงเขาขึ้นมาถึงสองครั้งแล้ว บางทีการที่เขามาอยู่ในบ้านหลังนี้อาจจะเป็นปัญหาก็ได้ สมมติฐานที่ชวนให้กระวนกระวายนั้นคอยแต่จะก่อตัวขึ้นมาในใจเขา

“อืม…”

มูฮึนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแทนที่จะตอบกลับมาในทันที เขาเหลือบมองมูรยองหนหนึ่ง ก่อนมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่นานนักมูฮึนซึ่งเหม่อไปพักหนึ่งก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับยิ้มอย่างสบายๆ

“ได้สิ งั้นเราออกไปกันเถอะ”

 

มูฮึนกับฮวานยองเดินเคียงกันตัดสนามออกไป บ้านของมูรยองซึ่งเป็นบ้านสไตล์ดั้งเดิมมีบรรยากาศชวนขนลุกเป็นพิเศษในตอนกลางคืน เพราะมีพลังวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ของมือปราบวิญญาณรวมตัวกันอยู่หนาแน่นในสนามหญ้าอันมืดสนิทที่ไม่มีแม้แต่แสงไฟ มันเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีต่อผู้มีความสามารถด้านวิญญาณอย่างฮวานยอง แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วคงหลอนอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน

“อีกไม่นานก็จะถึงคืนวันเพ็ญแล้วแฮะ”

เสียงนุ่มทุ้มต่างจากมูรยองพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน แม้จะได้เจอมูฮึนแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ฮวานยองก็คิดว่าเขาดูเป็นผู้ใหญ่มาก แม้เวลาที่เขาปฏิบัติกับซอซึงจูจะเต็มไปด้วยความขี้แกล้งก็ตาม

“ว่าแต่นายเป็นยังไงบ้าง ที่ผ่านมาได้เรียนเรื่องการเป็นมือปราบวิญญาณจากที่นี่เยอะไหม”

ฮวานยองพยักหน้าตอบ ถึงจะแค่ไม่นาน แต่เขาก็คิดว่าตัวเองได้เรียนรู้สุดยอดบทเรียนมากมายจากที่นี่ และสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขามากกว่าสิ่งไหนๆ ก็คือวิธีจัดการกับอารมณ์ รวมทั้งวิธีเอาตัวเองออกมาจากความหม่นหมองในจิตใจ

“คุณป้าช่วยสอนอะไรให้เยอะแยะเลยครับ”

“งั้นเหรอ สงสัยพี่คงต้องขอดูหน่อยแล้วสิว่าเรียนไปเยอะแค่ไหน”

มุมปากที่ยกยิ้มนั้นดูคล้ายมูรยองอยู่นิดหน่อย ฮวานยองเหลือบมองรอยสักที่ไม่รู้ว่าเริ่มมาจากตรงไหน

ในระดับสายตาของเรา มีไม่กี่คนหรอกที่จะมองไม่เห็นด้านบนศีรษะ ว่าแต่ทำไมคิมมูรยองที่มีพี่ชายตัวสูงขนาดนี้ถึงได้ตัวเล็กนักนะ

“มีอะไรหรือเปล่า”

“เอ่อ…ผมเพิ่งเคยเจอคนที่ระดับสายตาเท่าๆ กันครั้งแรกน่ะครับ”

พอพูดออกไปแล้วฮวานยองก็แอบคิดว่ามันฟังดูไร้มารยาทไปหน่อยหรือเปล่า โชคดีที่มูฮึนเพียงขยิบตาให้เขาอย่างขี้เล่น ซึ่งฮวานยองคิดว่าอีกฝ่ายคล้ายมูรยองแม้กระทั่งนิสัยแบบนี้

“พี่เองก็เพิ่งเจอนายเป็นคนแรกเหมือนกัน”

หลังจากนั้นทั้งสองก็เงียบกันไปพักใหญ่ พื้นหญ้านุ่มถูกเหยียบจนยวบลงไปในทุกก้าวที่ย่ำเท้า

สนามหญ้ากว้างขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

ฮวานยองคิดเช่นนั้นพลางเอ่ยคำถามที่เคยอยากถามอยู่ในใจขึ้นมา

“ผมได้ยินมาจากคิมมูรยอง…”

มูฮึนหันมามอง ฮวานยองจึงหลุบตาลงอย่างประหม่าก่อนพูดต่อ

“ได้ยินว่าดวงชะตาของผม…จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม”

‘พี่ชายฉันบอกว่าดวงชะตาของนายจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น’

เขาไม่ได้คิดว่ามูรยองโกหก เพียงแค่อยากรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรก็เท่านั้น อยากจะรู้ว่าเขามีดวงกลืนกินคนอื่นจริงๆ เหรอ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตอนนี้ดวงเขาไม่ได้กลืนกินใครแล้วใช่ไหม

“ความจริงแล้วมันหมายความว่ายังไงเหรอครับ”

“จะว่ายังไงดีน้า…”

มูฮึนลากหางเสียงยานคาง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง ดวงตาสีดำสนิทต่างจากของมูรยองเป็นประกายภายใต้แสงจันทร์ จากนั้นน้ำเสียงที่ฟังดูผ่อนคลายยิ่งขึ้นก็ดังลอดออกมาจากริมฝีปากที่ขยับเอ่ยคำ

“ก็ประมาณว่าความสัมพันธ์ที่ดีจะเกิดขึ้นกับนาย”

“…ความสัมพันธ์ที่ดี?”

หมายถึงความสัมพันธ์แบบไหนกันนะ…

ฮวานยองหวังอยู่ในใจว่าความสัมพันธ์ที่ว่านั้นจะเป็นคนที่เขากำลังคิดถึง ไม่รู้ว่าเป็นความคาดหวังหรือความกังวลกันแน่ แต่สองอย่างนั้นก็ทำให้หัวใจเขาเต้นผิดไปจากเดิม

“อืม มันเป็นความสัมพันธ์ที่จะทำให้นายไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกแล้ว”

มูฮึนยิ้มหยีตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวพลางมองฮวานยอง ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะขยับอย่างช้าๆ

“จะว่าไปความสัมพันธ์ระหว่างนายกับมูรยองก็ดูไปได้สวยนี่”

ฮวานยองพลันหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับหันหน้าหนี คงต้องโทษที่มองเห็นประตูหน้าบ้านอยู่ไกลๆ พอดี เรื่องในวันนั้นจึงผุดขึ้นมา

พี่เขาจะได้ยินไหมนะ

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ฮวานยองก็ไม่กล้าถามและได้แต่ปิดปากเงียบ มูฮึนแค่นหัวเราะก่อนจะมองไปยังบริเวณประตูหน้าบ้านที่ว่างเปล่าพลางเอ่ยพึมพำ

“เหมือนจะอยู่ข้างนอกกันแฮะ”

เขาเดาแบบนั้นเพราะเห็นประตูหน้าบ้านที่ปิดสนิท พอเดินเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากอีกฟากของประตูหน้าบ้านจริงๆ

“…ดิฉันก็เคยบอกไปแล้วนี่คะ”

เป็นเสียงแม่ของมูรยอง ฮวานยองหยุดฝีเท้าตามมูฮึนที่ชะงักอยู่กับที่ ดูท่าบทสนทนาคงจะยืดเยื้อ เพราะได้ยินเสียงของชายคนนั้นดังมาจากอีกฝั่งด้วย

“ผมเข้าใจที่คุณผู้นำตระกูลพูดครับ แต่ทางสมาพันธ์ก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน”

“คุณต้องให้ดิฉันพูดเรื่องเดิมๆ แบบเดียวกับตอนนี้อีกกี่รอบกันคะ”

วันนี้ก็ทำตัวน่ารำคาญอีกแล้วสินะ

ฮวานยองคิดเช่นนั้นพลางขมวดคิ้ว เขาไม่ได้คิดจะฟังเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันไปมากกว่านี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยืนอยู่ต่อ เพราะมูฮึนยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับเข้าบ้าน

ทำไงดี…

ระหว่างที่กำลังลังเลอยู่นั้น เขาก็ได้ยินน้ำเสียงเยือกเย็นอย่างเคยดังขึ้น

“ทางสมาพันธ์ก็เคยให้สัญญาชัดแล้วนี่คะว่าจะไม่แตะต้องฮวานยอง อย่าหยามสิ่งที่สามีของดิฉันพยายามทำเพื่อปกป้องเด็กคนหนึ่งไว้ด้วยความตายเลยค่ะ”

ทุกถ้อยคำช่างชัดเจน คงจะดีกว่าหากเขาไม่ได้รับรู้ในสิ่งเหล่านี้ แต่ช่างน่าเสียดายที่ระดับการได้ยินของฮวานยองนั้นดีกว่าคนทั่วไป คำพูดที่เขาได้ยินอย่างชัดเจนไม่ตกหล่นเลยแม้สักคำนั้นแปลความหมายออกมาได้เพียงอย่างเดียว

ค่าตอบแทนที่คุณลุงทำงานหนักถึงขนาดนั้น…

ดูเหมือนมันจะแลกมาด้วยเงื่อนไขในการปกป้องเขาไม่ให้สมาพันธ์แตะต้อง การที่อยู่มาวันหนึ่งคนจากสมาพันธ์ก็ไม่มาป้วนเปี้ยนรอบตัวเขาอีกเลยเป็นบุญคุณที่เขาติดหนี้คุณลุง

อันที่จริงฮวานยองเองก็คาดเดาในใจไว้แล้วประมาณหนึ่งว่าตัวเองต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของคุณลุง เพราะลางสังหรณ์ของเขามักไม่เคยพลาด ทั้งวันที่พ่อกับแม่ตายและวันที่ฮวานฮีตายก็เช่นกัน

ทว่าสิ่งที่เขาไม่ได้คาดการณ์ไว้คือการที่คำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากแม่ของมูรยอง

รู้มาตั้งแต่แรกแล้วสินะครับ

ดูเหมือนแม่จะรู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเมตตาและใจดีกับเขา ทั้งสอนวิธีการเป็นมือปราบวิญญาณให้เขาด้วยตัวเองและยังให้เขามานอนค้างอยู่ที่บ้านตั้งหลายต่อหลายวันด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเป็นเพื่อนของคิมมูรยอง โดยที่ไม่เคยพูดจาไม่ดีด้วยเลยสักครั้ง

“อา…”

ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าคืออะไรพลุ่งพล่านอยู่เต็มอก ฮวานยองเม้มปากแน่นพร้อมกลั้นหายใจ สายตาของเขาพร่าเบลอจนภาพตรงหน้าเลือนรางไปหมด แม้จะพยายามฝืนอดทนกับความรู้สึกเหล่านั้นแล้ว แต่ในวินาทีที่เขากะพริบตามวลความรู้สึกทั้งหมดที่อัดแน่นอยู่ก็ไหลรินลงมาทันที

“…”

สายตาที่ทั้งสงบนิ่งและเยือกเย็นของมูฮึนทอดมองใบหน้าด้านข้างของเขา ทว่าฮวานยองไม่อาจมองตอบกลับ ทำได้เพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งปิดใบหน้าแล้วก้มหน้าลงต่ำ

“…ขอโทษนะครับ”

มันคือคำพูดเพียงคำเดียวที่เขาเค้นออกมาได้ในขณะนั้น เสียงนั้นช่างแผ่วเบาราวกับเสียงลมหายใจ เขาจึงไม่อาจรู้เลยว่ามันถ่ายทอดไปสู่ใจคนฟังได้หรือไม่ ฮวานยองที่ไหล่สั่นไหวพยายามพูดพลางกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้อย่างยากเย็น

“ผมขอโทษนะครับ เป็นเพราะผม…”

ทั้งหมดคือความผิดของเขาเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พ่อของคิมมูรยองก็จะไม่ตาย เขาจะยังคงเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านที่แสนอบอุ่นหลังนี้แทนที่จะตายจากการทำงานหนักเกินไป ไม่ใช่แค่พ่อแม่และฮวานฮี ตอนนี้เขาพบว่าตัวเองได้กลืนกินพ่อของคิมมูรยองไปด้วยแล้ว

“ทั้งหมดเป็นเพราะผม…”

ทั้งเรื่องที่คุณลุงต้องจากโลกนี้ไปและเรื่องที่ความสามารถของมูรยองถูกเปิดเผย ผลกระทบที่เขานำพามาได้สร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงให้แก่ครอบครัวของมูรยอง ฮวานยองไม่อาจทานทนต่อความรู้สึกผิดบาปนี้จึงได้ร้องไห้ออกมา แม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยก็ตาม

คิมมูรยอง…ถ้านายรู้ความจริงเรื่องนี้แล้ว นายจะยังชอบคนอย่างฉันอยู่ไหมนะ

ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว แต่เขาก็ยังกังวลเรื่องนั้น ทั้งที่ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้เขาหวังเพียงแค่ไม่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน ทว่าตอนนี้ความรู้สึกเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากถูกเกลียดกลับก่อตัวขึ้นมาในใจเขาเสียแล้ว

“…นั่นใครเหรอจ๊ะ”

ไม่รู้ว่าได้ยินเสียงฮวานยองหรืออย่างไร เสียงสนทนาจากอีกฟากถึงได้เงียบลง ประตูหน้าบ้านถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าด ก่อนเสียงฝีเท้าหนักๆ จะดังใกล้เข้ามา

“ตายจริง ฮวานยองอา!”

แม่ของมูรยองวิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยสีหน้าตกใจ พอเห็นฮวานยองที่ตอนนี้กำลังใช้สองมือปิดหน้า เธอก็เบิกตากว้างแล้วคว้าแขนเขาเอาไว้ ระหว่างที่ฮวานยองยังไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้ เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงก็เอ่ยขึ้น

“เธอร้องไห้ทำไม หืม?”

“…ฮึก”

สุดท้ายแล้วเสียงสะอื้นก็หลุดลอดออกมา น้ำตาที่เคยไหลรินช้าๆ พลันไหลอาบลงมาราวกับทำนบน้ำตาพังครืน เขารู้สึกเหมือนว่าหากเปิดปากพูดเพียงนิด ความโศกเศร้าทั้งหมดก็จะปะทุออกมา เขาหายใจไม่ออกและได้แต่ปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินอยู่เช่นนั้น

“ผมขอโทษครับ…”

“…”

ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไร เมื่อเห็นฮวานยองที่ร้องไห้ออกมาอย่างโศกเศร้าแล้ว แม่ของมูรยองก็ตระหนักถึงบางอย่างขึ้นมาได้ เธอเหลือบมองมูฮึนพลางกอดฮวานยองไว้แน่นพร้อมเสียงถอนหายใจแผ่วเบา

“ไม่เป็นไรนะ…ฮวานยองอา”

“…”

คำพูดและน้ำเสียงอ่อนโยนกลับกลายเป็นตัวกลางที่ทำให้อารมณ์ของเขาระเบิดออกมายิ่งกว่าเดิม ฮวานยองร้องไห้เสียงดังโดยไม่คิดแล้วว่ามันน่าอาย ขณะที่แม่ของมูรยองกอดฮวานยองซึ่งตัวโตกว่าตัวเองมากเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมลูบแผ่นหลังกว้างของเขาอย่างปลอบโยน

“เด็กดี…ไม่เป็นไรนะ หยุดร้องเถอะ หืม?”

“ฮึก…”

ฮวานยองไม่อาจเอ่ยคำขอโทษออกไปได้อีก เขาทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตารินไหลและฝืนกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ ทั้งที่ตอนพ่อแม่ของตัวเองตายเขายังร้องไห้ไม่ออก แต่หลังได้พบกับคิมมูรยองเขากลับมีเรื่องให้ร้องไห้ได้ตลอด ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงขนาดที่เขาต้องร้องออกมา ทั้งๆ ที่รู้อย่างนั้นเขาก็ยังหยุดตัวเองไม่ได้

“ป้าขอโทษนะ”

“ทำไม…ฮึก…ทำไมถึงได้ขอโทษล่ะครับ…ฮึก…”

ฮวานยองส่ายหน้าไปมาและถามกลับไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด คนที่ต้องขอโทษคือเขา แต่ไม่รู้ทำไมแม่ของมูรยองถึงได้เป็นฝ่ายขอโทษกัน

อย่าขอโทษสิครับ คนที่ผิดคือผมต่างหาก

เขาอยากจะบอกแบบนั้น ทว่าเสียงที่เปล่งออกไปกลับมีเพียงแค่เสียงร้องไห้

“…ฮึก”

แม่ของมูรยองกอดฮวานยองเอาไว้แน่นพลางลูบแผ่นหลังที่สั่นไหวของเขาอยู่พักใหญ่ราวกับว่าเธอเข้าใจความโศกเศร้าทั้งหมดที่ท่วมท้นอยู่ภายในใจเด็กคนนี้ การปลอบประโลมจากไออุ่นของผู้ใหญ่คือสิ่งที่ฮวานยองไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต

 

อากาศตอนกลางคืนช่างร้อนอบอ้าว พระจันทร์สุกสว่างลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าอันมืดมิดยามค่ำคืนอย่างที่เคยว่าไว้ว่าใกล้ถึงคืนวันเพ็ญแล้ว

ภายใต้ผืนฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆสักกลุ่มก้อน คนสองคนนั่งเคียงข้างกันอยู่บนบันไดหินหลังบ้าน

“ปวดตาแย่เลยสิ”

มูรยองพินิจมองดวงตาแดงช้ำของฮวานยองด้วยสายตาสงสาร หลังออกไปรับแม่พร้อมกับมูฮึน จู่ๆ เขาก็กลับมาด้วยใบหน้าที่ใครเห็นก็เดาได้ว่าร้องไห้มา

มูรยองตกใจมากที่เห็นดวงตาแดงช้ำนั้นจนเผลอถามเสียงดังลั่นถึงขั้นที่ทำเอาเจ้าซอลกีกับมูยอนที่นอนอยู่ในห้องสะดุ้งตื่น

‘นะ…นายร้องไห้เหรอ’

ช่างน่าขันที่ฮวานยองหันหน้าหนีทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น ท่าทางยามที่เขาหลบตาโดยใช้มือปิดปากไว้ดูเหมือนจะอายอยู่ไม่น้อย พอเห็นมูรยองมองเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก มูฮึนก็ดันไหล่ทั้งคู่ที่กำลังทำตัวไม่ถูกใส่กัน

‘ออกไปคุยข้างนอกแล้วค่อยเข้ามา’

ถึงแม้ว่าจู่ๆ จะโดนไล่ออกจากบ้าน แต่มูรยองก็ไม่คิดจะปฏิเสธ เขารีบคว้าข้อมือของฮวานยองและลากตัวอีกฝ่ายออกไปนอกบ้าน โชคดีที่ฮวานยองยอมตามออกมาอย่างว่าง่ายก่อนจะเปิดปากพูดเมื่อมาถึงด้านหลังของตัวบ้านแล้ว

“…ขอโทษนะ”

นี่เป็นการขอโทษรอบที่เท่าไหร่แล้วนะ ห้า?…ไม่สิ น่าจะมากกว่านั้น

“นายขอโทษอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

มูรยองมุ่นคิ้วราวกับว่าไม่เข้าใจอะไรเลย เขาไม่รู้ว่าฮวานยองขอโทษที่ร้องไห้ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง หรือขอโทษเรื่องอะไรกันแน่ จริงอยู่ที่เขาตกใจตอนได้เห็นหน้าฮวานยอง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาขอโทษเขาเลย

“ขอโทษสำหรับทุกอย่าง…”

แพขนตาที่หลุบลงต่ำสั่นไหวน้อยๆ แม้จะเห็นได้ชัดว่าน้ำตาหยุดไหลแล้ว แต่กระนั้นภายในดวงตาของฮวานยองก็ดูเหมือนจะยังเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำ ไม่รู้ว่าภาพของเขาดูน่าสงสารมากหรืออย่างไร เพียงแค่ได้เห็น เสี้ยวหนึ่งของหัวใจถึงได้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา

“ไม่เป็นไรนะ”

มูรยองค่อยๆ ยื่นมือออกไปคว้ามือของฮวานยองเอาไว้ ฮวานยองที่ถูกจับมือมาประสานเข้าด้วยกันอย่างเรียบร้อยผงะไปเล็กน้อยพร้อมกับเรียวนิ้วที่สั่นไหว ก่อนที่มูรยองจะพูดขึ้นอย่างนุ่มนวลพลางประสานนิ้วเข้ากับฝ่ามือใหญ่นั้น

“มันไม่ใช่เรื่องที่นายจะต้องมาขอโทษสักหน่อย”

ถึงจะไม่รู้ว่าคือเรื่องอะไร แต่แน่นอนว่ามันย่อมไม่ใช่ความผิดของคีฮวานยอง เพราะถ้าเป็นฮวานยองคนที่เขาเห็นตลอดเวลาที่ผ่านมา ฮวานยองคนนั้นไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องไม่ดีกับเขาแน่ๆ ไม่สิ ต่อให้จะมีเรื่องที่เจ้าตัวเคยทำไม่ดีกับเขา แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เขายกโทษให้ไม่ได้

“ไม่ต้องขอโทษหรอก”

“…”

ในตอนนั้นเองฮวานยองก็ทอดสายตามองมูรยอง รอบดวงตาที่ยังคงแดงเรื่อนั้นดูน่าสงสารจับใจ

ถ้าเอื้อมมือไปแตะหน้า หมอนี่จะไม่ชอบไหมนะ…

เสี้ยววินาทีที่มูรยองคิดเช่นนั้น ริมฝีปากของฮวานยองก็ขยับพูดอย่างช้าๆ

“ความสามารถของนายถูกสมาพันธ์จับได้เพราะฉัน”

“…หืม?”

ฮวานยองโพล่งคำพูดนั้นออกมาอย่างกะทันหัน มูรยองจ้องมองฮวานยองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น ดวงตาสีดำสนิทราวชุ่มไปด้วยหยาดหมึกของฮวานยองสั่นไหวน้อยๆ

“เพราะนายทำให้ฮวานฮีไปสู่สุคติ…”

“…อ๋อ”

สิ่งที่ฮวานยองพูดถึงคือเรื่องที่มูฮึนบอกเขาในวันนั้น และมันก็เป็นสิ่งที่มือปราบวิญญาณสวมแว่นตาดำพูดกับแม่ของเขาด้วย มูรยองนึกว่าฮวานยองปล่อยผ่านมันไปได้แล้ว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังติดใจกับเรื่องนั้นอยู่

“จำที่ฉันเคยบอกนายตอนแรกได้ไหม”

แน่นอนว่าไม่มีทางที่คีฮวานยองจะทำอะไรเลวร้าย มูรยองดึงมือที่ประสานกันอยู่เข้าหาตัวและใช้สองมือกุมมันไว้ เขาใช้นิ้วหัวแม่มือค่อยๆ ลูบหลังมือนั้นและออกแรงกุมมันแน่นๆ เหมือนจะแบ่งปันไออุ่นของตัวเองให้

“ถ้านายมัวคิดแบบนี้ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็หยิบเอามาเป็นเหตุผลได้เหมือนกันหมดนั่นแหละ เพราะงั้นฉันถึงได้ถามนายไงว่าเรื่องนี้มันเป็นความผิดของนายจริงๆ เหรอ”

มูรยองบอกเช่นนี้ในครั้งแรกที่คุยกับฮวานยอง คีฮวานยองที่เคยสะบัดมือเขาทิ้งในตอนนั้น เวลานี้กลับจับมือเขาแน่น มูรยองที่พอใจกับความจริงข้อนั้นอยู่ในใจจึงหยีตาทั้งสองข้างก่อนพูดต่อ

“ถึงไม่ใช่เพราะนาย ยังไงเรื่องความสามารถของฉันก็ต้องโดนจับได้อยู่ดี เพราะฉันทำให้ปีศาจในกระท่อมหลังนั้นไปสู่สุคติด้วยไง”

อย่างไรเสียสักวันก็คงต้องแจ้งเรื่องความสามารถนี้กับทางการอยู่แล้ว มูรยองไม่ได้มีความคิดว่าจะปกปิดมันเลยแม้แต่น้อย กลับกันแล้วเขายังเต็มใจที่จะเสนอตัวหากมีใครต้องการความช่วยเหลือ

“พ่อของนาย…”

แต่แทนที่จะโล่งใจ ฮวานยองกลับเปิดประเด็นอื่นขึ้นมาอีกครั้ง และหนนี้ก็ทำให้มูรยองตกใจเล็กน้อย

“เจรจากับทางสมาพันธ์โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามทางนั้นแตะต้องฉัน”

“…”

หนนี้มูรยองไม่อาจตอบกลับได้ในทันที ไม่ใช่ว่าเขากำลังอึ้งกับคำพูดดังกล่าว แต่เป็นเพราะกำลังคิดว่าถ้าเขาเป็นพ่อก็คงจะทำแบบนั้นเหมือนกัน เขาสงสัยมาตลอดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างฮวานยองกับทางสมาพันธ์ และตอนนี้เขาก็ได้รู้ถึงเหตุผลนั้นแล้ว

“พ่อของนายจากไปเพราะฉัน”

แม้มูรยองจะเป็นผู้ฟัง แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในคำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างสงบ เหมือนเขาจะพอรู้ได้รางๆ แล้วว่าทำไมฮวานยองถึงร้องไห้

“…ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ”

มูรยองตอบกลับด้วยใจที่ขุ่นเคืองขึ้นมานิดๆ เขาไม่อยากให้ฮวานยองทำสีหน้ารู้สึกผิดและไม่อยากให้การตายของพ่อถูกพูดถึงในแง่นั้น

ในเมื่อคนที่ทำผิดจริงๆ คือคนอื่น แล้วทำไมคนที่ไม่ได้มีความผิดบาปอะไรถึงต้องมาสำนึกผิดแทนด้วย

“พูดแบบนั้นมันเสียมารยาทกับพ่อฉันนะ”

“…”

ฮวานยองผงะไปกับน้ำเสียงเคร่งเครียดนั้น มูรยองจ้องมองฮวานยองอย่างแน่วแน่พลางมุ่นคิ้ว ถึงใบหน้าซึ่งยังคงมีร่องรอยของการร้องไห้หลงเหลืออยู่นั้นจะน่าสงสาร แต่เขาก็ยอมให้ไม่ได้ และจะไม่มีทางยอมให้เด็ดขาด

“อย่าด้อยค่าสิ่งที่พ่อฉันพยายามจะปกป้องจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิตสิ”

ถ้านั่นคือสิ่งที่พ่อของเขาเลือก คนที่เหลือก็ควรจะเคารพมัน เพราะชีวิตไม่ใช่การแลกเปลี่ยนอันเท่าเทียม และเราก็ไม่ควรประเมินค่าสิ่งที่คนอื่นมุ่งมั่นยึดถือไว้ตามอำเภอใจ ยิ่งไปกว่านั้นการได้เห็นฮวานยองซึ่งเติบโตมาอย่างดีอยู่ตรงหน้าแบบนี้ก็นับเป็นเครื่องยืนยันได้แล้วว่าสิ่งที่พ่อของเขาทำไม่ได้ไร้ค่าเลยแม้แต่น้อย

“…ขอโทษ”

ฮวานยองกล่าวขอโทษด้วยสายตาที่ดูงุนงงเล็กน้อย สีหน้าเขาดูตกใจด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกผิดเหมือนก่อนหน้า ในตอนนี้เองมูรยองจึงได้คลายสีหน้าลงก่อนยกยิ้มให้เขา

“เข้าใจก็ดีแล้วล่ะ”

มูรยองเชื่อว่าหนนี้ฮวานยองจะไม่หนีหน้าไปปุบปับอย่างที่เคยเป็นอีก การขอโทษครั้งนี้ไม่ใช่แค่คำพูดเรื่อยเปื่อยไร้ความหมาย แม้เขาจะยังไม่ได้รู้สึกโอเคจริงๆ แต่อย่างน้อยเขาก็คงจะไม่คิดอะไรในแง่ลบอีก

“แต่ว่านะ…ฮวานยองอา”

เสียงนุ่มเอ่ยเรียกเขา ฮวานยองมุ่นคิ้วด้วยสีหน้าขัดเขิน แม้จะผ่านมาหลายวันแล้วที่มูรยองเรียกเขาแบบนี้ แต่เขาก็ยังไม่ชินกับมันสักที ใบหน้าที่เคยดูน่าสงสารราวกับลูกหมาเปียกฝนฉายแววเขินอายชัดเจน

“ฉันขอจับหน้านายได้ไหม”

เปลือกตาที่แดงเรื่อยังคงรบกวนใจมูรยองอยู่ ต่อให้น้ำตาจะแห้งเหือดไปนานแล้ว เขาก็ยังอยากช่วยเช็ดให้ แต่หากจะถามว่าไม่มีความเห็นแก่ตัวปะปนอยู่ในความต้องการนั้นเลยใช่ไหม…เขาก็ไม่อาจตอบได้

“…ทำไมต้องขออนุญาตเรื่องนั้นด้วย”

ฮวานยองย้อนถามราวกับสงสัยว่ามูรยองหมายความว่าอย่างไร มูรยองกลอกตาไปมาใส่เขา

“ก็นี่มันหน้าของนายไม่ใช่หรือไง…?”

“ทั้งที่มือก็จับกันได้ปกติเนี่ยนะ”

“ก็นั่นมันแค่มือเองนี่…”

เขาแกว่งมือที่เกาะกุมกันอยู่ไปมาซ้ายทีขวาที

มือน่ะ…จะจับกับใครก็จับได้ แต่การจับหน้ามันต่างออกไปนิดหน่อยไม่ใช่หรือไงกัน

“งั้นแปลว่าฉันจับได้ใช่ไหม”

“นายนี่มัน…ทั้งที่มากกว่านั้นก็ทำกันอยู่ทุกวันแท้ๆ ยังจะมีหน้ามา…”

ฮวานยองที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนหมดคำจะพูดจู่ๆ ก็ตัดคำฉับไม่พูดต่อจนจบ เขาหลุบตาลงเงียบๆ พลางกระแอมอย่างเก้อเขิน

ไม่ได้ทำกันทุกวันสักหน่อย…

มูรยองคิดเช่นนั้นและค่อยๆ ยกมือข้างที่ว่างอยู่เข้าหาใบหน้าของเขา ปลายนิ้วแตะลงตรงเปลือกตา ความร้อนบนเปลือกตานั้นอุ่นร้อนมากพอๆ กับที่มันกลายเป็นสีแดง การที่รู้สึกได้ถึงความร้อนแบบนี้ทั้งที่มือเขาเองก็อุ่นหมายความว่าฮวานยองน่าจะร้องไห้มาหนักไม่น้อย

“พรุ่งนี้ตาบวมแน่เลย”

ถึงจะดูน่าสงสาร แต่ก็เป็นความน่าสงสารที่ดูน่ารักอยู่หน่อยๆ ทั้งการที่ฮวานยองยอมหลับตาลงอย่างว่าง่ายและใบหน้าที่ออกจะมุ่ยอยู่นิดๆ ถ้าเขามีหูเหมือนหมาน้อยติดอยู่บนศีรษะ ดูท่ามันคงจะลู่ตกลงเหมือนกับเจ้าซอลกีเป็นแน่

“ต่อไปไม่ร้องแล้วนะ”

มูรยองปลอบเขาสั้นๆ พลางขยับนิ้วไปมา ทั้งขนตายาว ผิวบอบบางด้านล่าง หางตาที่ยังคงแฉะชื้น และแก้มที่เนียนใส ผิวของเขาช่างเกลี้ยงเกลาในสายตาของมูรยอง เมื่อได้ลองใช้ฝ่ามือประคองใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ก็พบว่าความรู้สึกจากสัมผัสนั้นไม่แย่เลย

“…ไม่ร้องแล้ว”

ฮวานยองที่ตอบด้วยเสียงทุ้มเบาจับข้อมือของมูรยองไว้ ก่อนแนบแก้มเข้ากับฝ่ามือของอีกฝ่ายพลางหลับตาลง สัมผัสยามที่เขาขยับใบหน้าและฝังริมฝีปากลงกลางฝ่ามือนั้นทำให้บรรยากาศพลันแปลกไปในชั่วพริบตา

“…”

“…”

ใบหน้าของพวกเขาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้กัน มูรยองปิดเปลือกตาลงช้าๆ และเอียงคอเล็กน้อย ทั้งคู่ต่างขยับเข้าหากันอย่างไม่มีใครนำใคร ก่อนจะประทับริมฝีปากเข้าด้วยกันอย่างระมัดระวังโดยไม่เอ่ยคำใด

หัวใจของเขาเต้นโครมคราม หากจะพูดให้เกินจริงหน่อยก็คงต้องบอกว่าพวกเขาจูบกันแทบทุกวันหลังจากเริ่มคบกัน ทว่าสองสามวันมานี้กลับห่างหายจนให้ความรู้สึกเหมือนกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง สมาธิของมูรยองจดจ่ออยู่กับฮวานยองจนรู้สึกถึงทุกสัมผัสได้อย่างชัดเจนกระทั่งริมฝีปากที่สั่นระริกของเจ้าตัว

ริมฝีปากที่ผละจากกันอย่างเชื่องช้าขยับเข้าหากันอีกครั้งหลังทิ้งช่วงห่างได้เพียงไม่นาน ฮวานยองจับข้อมือข้างหนึ่งของมูรยองไปโอบคอของตัวเอง ก่อนจะกุมใบหน้าของมูรยองเอาไว้ ฝ่ามือที่ใหญ่จนบดบังใบหน้าด้านข้างของมูรยองมิดค่อยๆ เคลื่อนผ่านใบหูลงไปยังต้นคอ

อารมณ์ของเขาเวลานี้พุ่งทะยานสูงขึ้น มันเป็นความรู้สึกวาบหวามที่พลอยให้รู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วทั้งตัว ลิ้นนุ่มหยุ่นเคลื่อนเข้าไปในโพรงปากก่อนบดเบียดผิวเนื้ออันบอบบางด้านในอย่างนุ่มนวล

อา…ดีจัง

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มูรยองได้รู้ความจริงที่ว่าเขาอ่อนไหวต่อความรู้สึกที่แสนวาบหวามนี้ เนื่องจากยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขาจึงไม่เคยดื่มเหล้าและสูบบุหรี่มาก่อน แถมยังไม่เคยเล่นเกมที่เพื่อนวัยเดียวกันเล่นเลยสักครั้ง แม้แต่สมัยมัธยมต้นที่พวกเพื่อนนักเรียนชายชอบเกาะกลุ่มกันดูคลิปอย่างว่า มูรยองก็ยังเตะบอลและวิ่งเล่นไปไหนมาไหนกับซึงจูอยู่เลย

ทว่าพอได้มารู้จักกับคีฮวานยอง จิตใจเขากลับว้าวุ่นอยู่ตลอดเวลา นับวันเขายิ่งอยากสัมผัสฮวานยองให้บ่อยขึ้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ถึงขั้นที่อยากจะสัมผัสอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เขาไม่เคยรู้สึกถึงความต้องการแบบนี้กับใครที่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่ได้สัมผัสเขาก็ยังรู้สึกแปลกใหม่กับมันเสมอ

มูรยองกระชับมือที่ประสานกันอยู่ให้แน่นขึ้นเล็กน้อย ฮวานยองชะงักไปนิดหนึ่งแล้วจึงแกล้งขบกัดปลายลิ้นของมูรยองเบาๆ จนมูรยองคลายแรงนิ้วลงอย่างว่าง่ายกับคำเตือนที่ว่าให้อยู่นิ่งๆ นั้น

จุ๊บ…

ริมฝีปากของพวกเขาผละออกจากกัน สันจมูกโด่งของฮวานยองแตะลงบนผิวแก้ม ก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงซบหน้าผากไว้กับกระดูกไหปลาร้าของมูรยอง

“อา…”

เส้นผมนุ่มปัดป่ายบนแก้ม แม้มูรยองจะขยับแก้มยุกยิกไปมาแต่ก็ไม่ได้ผลักไสฮวานยอง ทำเพียงแค่เลื่อนมือที่โอบคอฮวานยองอยู่ลงไปลูบแผ่นหลังกว้างของเจ้าตัวแทน

“ไม่เป็นไรนะ”

ฮวานยองกระชับมือที่จับกันอยู่แน่นแทนคำตอบ ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่เด็กน้อยมักทำเพื่อให้รู้สึกสบายใจไม่มีผิด จากนั้นมูรยองก็แนบแก้มของตัวเองเข้ากับกลุ่มผมของฮวานยองก่อนกระซิบบอกเขาอย่างนุ่มนวล

“นายไม่ได้ทำอะไรผิด”

“ใช่ ฮวานยอง นายไม่ได้ทำอะไรผิด”

ทันใดนั้นเสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังแทรกขึ้นมา ทั้งคู่ซึ่งผงะและชะงักไปครู่หนึ่งพลันรีบผละออกจากกันราวกับถูกไฟลวก พอเงยหน้าขึ้นทั้งคู่ก็ได้เห็นมูฮึนที่เข้ามาถึงตัวแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงใดๆ ยืนอยู่บนบันไดหินกำลังโน้มตัวลงมามองฮวานยอง

“ทีนี้ก็ไม่ร้องไห้แล้วเนอะ?”

“…”

ฮวานยองหันหน้าขวับทันที ไม่รู้ว่าอายที่ร้องไห้หรืออายในสิ่งที่ทำลงไปไม่นานก่อนหน้านี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุไหน สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ยังดูเขินอายเอามากๆ อยู่ดี

“ฮวานยองอา เพราะนายร้องไห้ พี่เลยโดนดุเลยเนี่ย”

มูฮึนพูดในสิ่งที่จะทำให้ฮวานยองรู้สึกผิดอย่างไม่คิดอะไรด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นแบบไม่สะทกสะท้าน แน่นอนว่าฮวานยองก็ได้แต่เอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ขอโทษครับ” ทำให้มูฮึนยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างนึกขัน

“พี่ไม่ได้พูดเพื่อให้นายขอโทษสักหน่อย”

เรียวนิ้วสากลูบผมของฮวานยอง จากนั้นมูฮึนที่ลูบศีรษะเขาป้อยๆ ก็ได้บอกขอโทษอย่างจริงใจ

“พี่ขอโทษนะ”

มูรยองมองเห็นภาพที่ฮวานยองกัดริมฝีปากหลังได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน แม้ว่าเขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ร้องไห้แล้ว ทว่ารอบดวงตากลับเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง มูฮึนเองก็คงสังเกตเห็นฮวานยองที่เป็นแบบนั้นเลยละมือจากศีรษะของเขาโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร

“ฮวานยองอา…มันเป็นเรื่องของพวกผู้ใหญ่”

“…”

“เพราะงั้นนายไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบอะไรหรอกนะ”

มูรยองเองก็เคยได้ยินคำพูดทำนองนี้มาก่อนเหมือนกัน คำพูดที่ว่าเด็กๆ อย่างเขาไม่จำเป็นต้องสับสนกับเรื่องของพวกผู้ใหญ่ แน่นอนว่ามูรยองรู้ซึ้งถึงความสบายใจที่คำคำนี้มอบให้เป็นอย่างดี

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: