ทดลองอ่านเรื่อง ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2
ผู้เขียน : Oneulbom
แปลโดย : มิลค์พลัส
ผลงานเรื่อง : ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
9-1
คืนแห่งการเผชิญหน้า
ว่ากันว่าสีสันของเดือนพฤษภาคมคืองานเทศกาลประจำปี มันเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการจัดกิจกรรมทุกอย่าง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ฤดูใบไม้ผลิเพิ่งจะผ่านพ้นไป ความหนาวเย็นในช่วงต้นฤดูเองก็ได้จางหายไปหมดแล้ว และท้องฟ้าก็จะยังคงเป็นสีฟ้าสดใสต่อเนื่องไปจนกว่าช่วงมรสุมจะมาถึง
ทันทีที่ช่วงอากาศร้อนมาถึง งานเทศกาลประจำปีของมหาวิทยาลัยฮันกุกที่ซึงจูเรียนอยู่ก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ อาจารย์ผู้มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความเมตตาหลายท่านจึงประกาศงดการเรียนการสอน และนักศึกษาแต่ละคณะก็ได้ใช้เวลาว่างเหล่านั้นไปกับการจัดเตรียมบูธกันอย่างขะมักเขม้น
“ซอซึงจู ใจคอนายนี่กะจะไม่ช่วยพวกเราจริงๆ เหรอ”
“อืม ไม่ล่ะ”
แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับซึงจูเลย เขาส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น แสร้งทำเป็นไม่เห็นบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นที่กำลังอ้อนวอน เพื่อนพวกนั้นมาหาและขอร้องเขากันไม่หยุดปากทุกครั้งที่ว่างจากคาบเรียนตั้งแต่เช้ามาจนถึงตอนนี้
ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะรับปากช่วยอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้เขามีคนมารอรับหลังเลิกเรียนทุกวัน
‘เนตรสัมผัสวิญญาณดับลงอีกรอบแล้วครับ’
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเนตรสัมผัสวิญญาณที่ตื่นขึ้นมาพักใหญ่ๆ ก็ได้ดับลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โชคดีที่ระหว่างนั้นซึงจูไม่เห็นผีหรืออสูรเลยสักตน คงต้องขอบคุณมูฮึนที่คอยไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ส่วนหนึ่งก็คงต้องขอบคุณตัวเองด้วยเหมือนกันที่คอยระวังตัวอยู่เสมอ
‘งั้นเหรอ ดับไวแฮะ’
มันช่างน่าหงุดหงิดที่มูฮึนมีปฏิกิริยาตอบรับแบบนั้น ไม่รู้ว่าไอ้คนที่กลัวเขาจะโดนอสูรเล่นงานคนนั้นมันหายหัวไปไหนแล้ว ซึ่งก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าตัวกลัวแค่ว่าจะโดนซึงจูห้ามไม่ให้มารับมาส่งอีก ซึงจูจึงรีบพูดออกไปทันทีเผื่อว่ามูฮึนคิดจะทำอะไรที่ทำให้เนตรสัมผัสวิญญาณของเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
‘ผมว่าจะไปไหนมาไหนกับพี่อีกสักระยะครับ’
‘…’
สีหน้าของมูฮึนที่แสดงออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของซึงจูนั้นชัดเจนมาก มันดูราวกับกำลังสงสัยว่าทำไมซึงจูถึงได้พูดแบบนั้น เพราะเขาไม่นึกเลยว่าซึงจูจะยอมรับอย่างง่ายดายขนาดนี้
แน่นอนว่าซึงจูเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเขาจะต้องได้รับการคุ้มกันแบบนี้ไปตลอดชีวิต
‘แต่ช่วยบอกผมทีเถอะครับว่าในอนาคตต่อจากนี้ผมต้องทำยังไง’
มูฮึนเคยบอกว่ากลุ่มอิทธิพลใหม่ที่กระหายในอำนาจกำลังเพ่งเล็งเขาอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเจ้าตัวก็คงจะมีแผนการอะไรอยู่บ้าง อีกฝ่ายคงไม่ได้คิดที่จะคอยวนเวียนอยู่รอบตัวซึงจูจนกว่าคนพวกนั้นจะหายตัวไปเองตามยถากรรมหรอก มันต้องมีสักวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตามจับคนพวกนั้น หรือจะเป็นวิธีอื่นใดก็ตาม
‘ผมเองก็ควรได้รู้เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับว่าจะต้องอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่’
‘นั่นสินะ…’
แม้จะเล็กน้อย แต่สีหน้าของมูฮึนที่ได้ฟังคำพูดนั้นก็ดูเสียดายอยู่หน่อยๆ และหากมองให้ดีแล้วก็ดูมีแววเสียใจเจืออยู่ในนั้นด้วย แต่ไม่ว่าจะแบบไหน สำหรับซึงจูแล้ว เขาไม่ได้ใส่ใจมันเลยสักนิด ทั้งที่ตัวเองชอบหายตัวไปอย่างปุบปับเป็นประจำแท้ๆ แต่พอบอกให้ช่วยกำหนดวันเวลาที่ชัดเจนให้หน่อย ตัวเองกลับมาทำหน้าทำตาเหมือนโดนทิ้งเนี่ยนะ
‘พี่ยังไม่แน่ใจ แต่ก็คิดว่าคงไม่นานขนาดนั้นหรอก’
แม้จะเป็นคำตอบที่ฟังดูคลุมเครือ แต่ซึงจูก็คิดว่ามันคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว และการที่เขาพูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ก็คงเพราะมีเหตุผลอันสมควรอยู่
อีกอย่างการจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสมาพันธ์ก็คงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
‘ซึงจู นายเองก็ต้องสนุกกับชีวิตในมหา’ลัยด้วยนะ’
มูฮึนพูดพลางยิ้มด้วยท่าทีที่เป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกผิดที่ฉายแววออกมาเล็กน้อยนั้นเป็นความรู้สึกผิดต่อซึงจูที่ไม่อาจไปไหนมาไหนตอนกลางคืนตามใจตัวเองได้ ความจริงแล้วมูฮึนเองก็ไม่เคยจำกัดขอบเขตของกิจกรรมที่ซึงจูสามารถทำได้ เขาจึงกังวลอยู่หน่อยๆ เพราะกลัวว่าซึงจูจะเข้าใจผิดจนแค่ไปเรียนและกลับบ้านมาเฉยๆ โดยไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร
แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็คิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องช่วยคลายความรู้สึกผิดในใจให้อีกฝ่าย เพราะต่อให้ตอนที่เนตรสัมผัสวิญญาณตื่นครั้งแรกจะหาคนผิดไม่ได้ แต่นับตั้งแต่ครั้งที่สองเป็นต้นมา ซึงจูก็มั่นใจเลยว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเองแน่ๆ แต่ถ้าจะถามว่ามันเป็นความผิดของมูฮึนหรือไม่ เรื่องนั้นก็ยังถือว่าคลุมเครือ
“ซอซึงจู นายนี่ใจจืดใจดำชะมัดเลย”
“นี่ ซึงจูไม่มีทางรับหน้าที่ขายเหล้าหน้าบูธหรอก เพราะหมอนี่จะไปนั่งดื่มกับฉัน”
“ใครบอกนายกัน”
คำพูดของจินอูทำให้ซึงจูแค่นหัวเราะ
“ฉันเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อกี้นี้เนี่ย”
พอซึงจูพูดออกไปแบบนั้น จินอูก็ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “ตอนนี้นายก็ได้รู้แล้วนี่ไง”
หมอนี่พูดจาเพ้อเจ้อได้ตลอดเลยจริงๆ ซึงจูถึงกับนึกสงสัยขึ้นมาว่าทำไมตัวเองถึงได้ไม่รังเกียจอีกฝ่าย บางทีความหน้าไม่อายของจินอูก็ดูคล้ายกับคิมมูรยองเสียเหลือเกิน และถึงจะอยากสลัดอีกฝ่ายทิ้งเวลาที่ทำตัวน่ารำคาญ แต่ท่าทางเวลาที่จินอูบ่นงึมงำก็พอจะมองว่าน่ารักได้อยู่เหมือนกัน
“ไม่รู้สิ รอดูเอาวันนั้นแล้วกัน”
“ซึงจู นายมันก็เป็นแบบนี้ทุกทีอะ…”
จินอูผู้ชอกช้ำใจได้แต่เบือนหน้าหนีอย่างงอนๆ ขณะที่ซึงจูหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นพลางตบไหล่เขาแปะๆ ปกติแล้วพวกเขาจะเดินออกไปที่ประตูหน้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน แต่ก็น่าเศร้าที่วันนี้จินอูดันมีเรียนต่ออีกคลาส
“ฉันไปก่อนนะ โชคดี”
ระหว่างทางที่เดินไปยังประตูมหาวิทยาลัย ซึงจูรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ตอนที่เพิ่งเดินออกจากตึกมาเขาไม่ได้คิดอะไรเลย แต่พอใกล้จะถึงที่หมายแล้วความคิดต่างๆ มากมายก็เริ่มผุดขึ้นมาไม่หยุด มันไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนอะไร เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวจากกระแสความคิดที่หลั่งไหลเข้ามา
วันนี้คิมมูฮึนจะยังยืนรออยู่ที่นั่นไหมนะ
วันนี้จะมีคนมองเขาเยอะหรือเปล่า
คำทักทายแรกที่เขาจะพูดหลังเจอหน้ากันจะเป็นคำว่า ‘มาแล้วเหรอ’ หรือ ‘วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง’ นะ
เมื่อเช้าเขาดูเหนื่อยๆ ถ้าเขาได้นอนกลางวันมาสักหน่อยก็คงจะดี
ไม่มีทางที่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮันกุกจะไม่รู้ข่าวลือเกี่ยวกับชายหนุ่มหน้าตาดีที่มักจะมายืนรอใครบางคนอยู่ตรงหน้าประตูมหาวิทยาลัยทุกวัน เพราะถ้าแค่หล่อก็ว่าไปอย่าง แต่นี่รูปลักษณ์ภายนอกของเขากลับโดดเด่นสะดุดตาสุดๆ
และแน่นอนว่าซึงจูที่เดินออกจากมหาวิทยาลัยไปกับเขาก็ได้รับความเดือดร้อนจากการมีชื่อเสียงไปโดยปริยาย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงต้องบอกว่าน่าโล่งใจที่พอเวลาผ่านไปผู้คนก็เริ่มพูดถึงน้อยลง
‘ดูท่าคงจะชินกันแล้วสินะ’
ว่ากันว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักการปรับตัว แม้แต่สายตาที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดใจแทบตายในตอนแรก ตอนนี้เขากลับแทบไม่รู้สึกอะไรกับสายตาพวกนั้นเลย ถ้าอยากมองนักก็ปล่อยให้คนพวกนั้นมองไป เพราะถึงอย่างไรซึงจูก็คิดว่าคนพวกนั้นคงไม่กล้าเข้ามาชวนคุยด้วยอยู่แล้ว
“…”
ใช่…ซึงจูแน่ใจว่าตัวเองคิดแบบนั้น
“นั่นมันอะไรน่ะ”
คิมมูฮึนยืนอยู่ตรงนั้นในท่าที่ยืนพิงประตูมหาวิทยาลัยเหมือนทุกวัน ความสูงที่สูงกว่าคนอื่นๆ หนึ่งช่วงศีรษะกับไหล่กว้างที่ผึ่งผายนั้นดึงดูดความสนใจจากทุกสายตา จิวที่อยู่บนหูซ้ายส่องแสงวิบวับ รวมทั้งรอยสักที่ทอดยาวจากหลังใบหูเรื่อยมาจนถึงคอก็ยังคงสะดุดตาเช่นเคย
ลำพังถ้าเห็นแค่นั้นซึงจูก็คงจะรู้สึกเฉยๆ เพราะคิมมูฮึนไม่ได้เพิ่งจะมาเป็นแบบนี้แค่วันสองวัน และเขาก็ชินกับภาพที่เจ้าตัวมายืนรออยู่แบบนั้นตั้งนานแล้ว
ปัญหาคือเสื้อผ้าที่เขาใส่ในวันนี้แตกต่างไปจากทุกที
สูทนั่นมันอะไร…
ถ้าซึงจูไม่ได้ตาฝาด เขาก็มั่นใจว่าชุดที่มูฮึนใส่อยู่คือสูทแน่ๆ ทั้งเสื้อตัวนอกสีดำ กางเกงขายาวสีดำ เนกไทสีดำ และเสื้อกั๊กสีดำ แม้แต่เสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ก็ยังเป็นสีดำ ซึ่งการแต่งกายสีดำล้วนทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้านี้ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายดูมีเสน่ห์ลึกลับขึ้นเป็นเท่าตัว
เท่าที่ซึงจูจำได้ มูฮึนมักจะสวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำอยู่เสมอ เว้นเสียแต่ว่าจะมีอะไรพิเศษ นั่นก็เพื่อปกปิดรอยสักที่ทอดยาวจากไหล่ลงมาถึงมือ ต่อให้จะเป็นช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวที่สุดในฤดูร้อน แต่การแต่งกายของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม ตรงกันข้ามกับฤดูหนาวที่เขาจะเอาแค่เสื้อโค้ตมาคลุมตัวไว้อย่างง่ายๆ หรือไม่ก็สวมเสื้อคอเต่าที่ปิดขึ้นมาถึงคอ
แต่วันนี้ดันใส่ชุดสูทมาเนี่ยนะ…เมื่อเช้านี้ยังแต่งตัวปกติอยู่เลยนี่
ไม่ใช่ว่าการสวมใส่ชุดสูทมันไม่ปกติ ปัญหาคือคิมมูฮึนที่ไม่ปกติอยู่แล้วดันแต่งตัวเต็มยศเข้าไปอีกนี่สิ แค่นั้นยังไม่พอ เพราะเขายังถือดอกไม้ช่อใหญ่ไว้ในมือข้างหนึ่งอีกต่างหาก
“…”
มันเป็นความรู้สึกที่ซึงจูไม่ได้รู้สึกมานาน การต้องเดินเข้าไปหาคนที่ได้รับความสนใจมากขนาดนั้น แถมยังต้องคุยกับอีกฝ่ายด้วยแล้วถือเป็นเรื่องที่น่าหนักใจสุดๆ หากทำได้เขาก็อยากจะวิ่งหนีออกไปทางประตูหลังของมหาวิทยาลัยเสียเดี๋ยวนี้
“…”
“…”
ต่อให้จะไม่สบตากับคิมมูฮึนที่มีสายตาดีเกินคน ตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกหนักใจอยู่ดี
ดีนะที่ไม่ได้ออกมาพร้อมชเวจินอู…
ซึงจูถอนหายใจก่อนจะก้าวเดินออกไปช้าๆ
มูฮึนยืนนิ่งอยู่กับที่รอให้ซึงจูเดินเข้าไปหา ยิ่งระยะห่างระหว่างพวกเขาแคบลงเท่าไหร่ สีหน้าของมูฮึนก็ดูระรื่นขึ้นทุกที และสุดท้ายเมื่อซึงจูเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า ดวงตาคู่นั้นก็หยีลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“มาแล้วเหรอ”
วันนี้ทักว่า ‘มาแล้วเหรอ’ สินะ…
ซึงจูคิดในใจพลางขมวดคิ้ว
“ทำไมใส่สูทมาล่ะครับ”
ซึงจูอดไม่ได้ที่จะถาม คนที่ปกติแล้วไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็จะปล่อยผมสบายๆ วันนี้กลับเซ็ตผมขึ้นอย่างเรียบร้อยจนเผยให้เห็นหน้าผากราวกับมีธุระบางอย่าง เครื่องหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ภายใต้เรียวคิ้วคมนั้นดูดีขึ้นเป็นพิเศษกว่าทุกวัน ทุกอย่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าล้วนเป็นสีดำหมด เว้นแต่ใบหน้าที่ขาวจนรู้สึกแสบตา
“อ๋อ นี่น่ะเหรอ”
มูฮึนก้มมองดูการแต่งกายของตัวเองผ่านๆ เหมือนไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ และเนื่องจากเขาสวมรองเท้าคัตชูแบบมีส้น ระดับสายตาจึงอยู่สูงกว่าปกติเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ล้วงมือข้างหนึ่งลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะยักไหล่ตอบ
“พอดีวันนี้เป็นวันไว้อาลัยน่ะ”
“อ๋อ…”
ตอนนั้นเองซึงจูถึงนึกขึ้นได้ว่าช่อดอกไม้ที่มูฮึนกำลังถืออยู่คือช่อดอกเบญจมาศ แม้จะมีดอกไม้ชนิดอื่นๆ แซมอยู่ประปราย แต่โดยรวมแล้วช่อดอกไม้ช่อนี้ก็เป็นสีโทนพาสเทลที่แลดูนุ่มนวลสบายตา เขาแต่งตัวอย่างกับว่าจะไปขอใครแต่งงาน แต่แท้จริงแล้วดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของการแต่งกายนั้นจะเป็นอย่างอื่น
“เดี๋ยวพี่ไปส่งซึงจูแล้วต้องเข้าไปที่สมาพันธ์ต่อเลย”
วันนี้คือวันรำลึกถึงมือปราบวิญญาณผู้ล่วงลับซึ่งจะมีเพียงแค่ปีละครั้ง มันเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพียงไม่กี่กิจกรรมที่ทางสมาพันธ์มือปราบวิญญาณเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน มือปราบวิญญาณที่สังกัดกับทางสมาพันธ์ทุกคนต่างก็รู้จักวันนี้ดี แน่นอนว่าซึงจูเองก็รู้จักวันนี้ดีมาตั้งแต่ยังเด็ก
มือปราบวิญญาณผู้คอยปกป้องชีวิตของผู้คนล้วนต้องใช้ชีวิตอยู่กับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่มาพร้อมกับความสามารถที่มี นอกจากจะต้องพบเจอกับความตายต่อหน้าต่อตาแล้ว พวกเขายังต้องคิดถึงความตายของตัวเองอยู่เสมอ ต่อให้ไม่มีจิตวิญญาณอันแรงกล้าถึงขั้นที่จะยอมสละชีวิตเพื่อการทำงาน แต่สถานการณ์อันตรายย่อมเกิดขึ้นทุกขณะที่ทำงานอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทีแรกพี่ก็คิดว่าจะซื้อดอกไม้ทีหลังแหละ แต่มันไม่มีเวลาน่ะ”
ด้วยเหตุนี้ทางสมาพันธ์จึงจัดให้มีวันไว้อาลัยขึ้นเพื่อชื่นชมและระลึกถึงคุณงามความดีของเหล่ามือปราบวิญญาณที่จากไป
เนื่องจากพวกเขารู้ซึ้งถึงจุดหมายปลายทางของเหล่าดวงวิญญาณดี จุดประสงค์ของพวกเขาจึงไม่ใช่การปลอบขวัญเหล่าดวงวิญญาณของผู้ตาย แต่เป็นการรำลึกถึงความเสียสละของเพื่อนร่วมงานที่จากไป และเพื่อให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ตื่นตัวและตระหนักว่าต้องระมัดระวัง
ในบรรดาผู้ที่จากไปก็มีพ่อของมูฮึนรวมอยู่ด้วย
“เพราะดอกไม้นี่เลยดูเด่นไปหน่อยสินะ?”
“ก็นะ…”
ว่ากันตามตรง ตอนแรกซึงจูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามูฮึนถือดอกไม้ บางทีเจ้าตัวก็ควรต้องรู้ตัวสักหน่อยว่าตัวเองนั่นแหละที่เด่นที่สุด แต่แน่นอนว่าซึงจูเองก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนั้นออกจากปาก
“ไม่มีเวลาแล้ว รีบไปเถอะครับ”
เนื่องจากมูฮึนดึงดูดสายตาของผู้คนได้มากกว่าปกติเป็นเท่าตัว ซึงจูจึงรีบก้าวเดินพลางคิดว่าบางทีพรุ่งนี้ในเว็บบอร์ดมหาวิทยาลัยคงเต็มไปด้วยกระทู้จากผู้เห็นเหตุการณ์อย่างเช่นว่า ‘วันนี้ผู้ชายคนนั้นใส่สูทมาด้วยล่ะ’ อีกแน่ ไม่สิ…ไม่ใช่พรุ่งนี้ บางทีอาจจะเป็นเย็นนี้เลยก็ได้
“เดินรอพี่ด้วยสิ”
แม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่มูฮึนก็เดินไล่ตามซึงจูมาได้อย่างสบายๆ เนื่องจากฝีเท้าของเขายาวพอๆ กับความสูง หลังเดินเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ในที่สุดเขาก็ไล่ตามความเร็วของซึงจูทัน มูฮึนที่เดินอยู่ฝั่งริมถนนอย่างที่ทำเป็นประจำเปลี่ยนไปถือช่อดอกไม้ด้วยมืออีกข้างก่อนจะย่นจมูกน้อยๆ
“ดอกเบญจมาศนี่กลิ่นฉุนชะมัดเลยแฮะ”
ในความเป็นจริงแล้วซึงจูแทบจะไม่ได้กลิ่นอะไรบนถนนสายนี้เลย ดูเหมือนว่าสำหรับมูฮึนที่มีความสามารถในการได้กลิ่นใกล้เคียงกับสัตว์ป่าแล้ว กลิ่นแค่นี้ก็คงพอจะทำให้รู้สึกฉุนได้ ถ้าแม้แต่คนธรรมดาอย่างซึงจูยังพอจะได้กลิ่นอยู่อ่อนๆ มูฮึนก็คงจะได้กลิ่นชัดเหมือนมีต้นตอของกลิ่นนั้นจ่ออยู่ตรงจมูก
“แทนที่จะซื้อดอกไม้อื่นที่ไม่ใช่ดอกเบญจมาศมา”
“พี่แค่ซื้อตามที่เขาจัดให้น่ะ อีกอย่างดอกเบญจมาศมันก็ใช้ได้นี่”
ถ้าพูดถึงการไว้อาลัยโดยทั่วไป ปกติแล้วผู้คนก็คงจะนึกถึงดอกเบญจมาศ แต่แนวทางปฏิบัติของมือปราบวิญญาณดูจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย เช่นเดียวกับที่มูฮึนกำลังถือดอกไม้อื่นที่ไม่ได้มีแค่ดอกเบญจมาศเพียงอย่างเดียวอยู่ในตอนนี้
เหตุผลที่คนทั่วไปนิยมใช้ดอกเบญจมาศเป็นเพราะสีขาวของมันที่สื่อถึงความเคารพนับถือ และคงจะรวมถึงความหมายของมันด้วย แต่สำหรับพวกเขาที่รู้ดีว่าความตายไม่ใช่จุดจบที่บริบูรณ์แล้ว คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องจัดพิธีไว้อาลัยในบรรยากาศอึมครึม ถึงแม้ว่ามันจะเป็นบรรยากาศที่จะยิ้มอย่างสบายใจได้ แต่มันก็ไม่ใช่บรรยากาศที่จะต้องโศกเศร้าหรือเสียน้ำตา
“เรื่องช่อดอกไม้เนี่ย พี่คงเทียบรสนิยมกับแม่นายไม่ติดหรอก”
ด้วยเหตุนี้ในวันครบรอบวันเสียชีวิตของคุณลุงทุกปี แม่ของซึงจูก็จะจัดช่อดอกไม้หลากชนิดที่ไม่ใช่ดอกเบญจมาศให้เป็นประจำ โดยตั้งใจเลือกเฉพาะดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เท่านั้น มันคือความใส่ใจที่เรียนรู้ได้เองโดยธรรมชาติหลังจากที่ผูกพันกันมาเป็นเวลานาน
“อย่างพี่คงให้ดอกไม้ใครเป็นของขวัญไม่ได้หรอก”
“ให้เป็นของขวัญ?”
“ผมก็แค่พูดไปงั้นๆ แหละครับ”
พอมาลองคิดดูแล้วมูฮึนก็ไม่ใช่คนที่ดูเข้ากับดอกไม้สักเท่าไหร่ ภาพคิมมูฮึนที่ถือช่อดอกไม้นั้นชวนให้รู้สึกไม่เข้ากันแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ต่อให้ตอนนี้ซึงจูจะกำลังมองภาพเขาถือช่อดอกไม้อยู่ก็ตาม
“เคยให้ดอกไม้ใครบ่อยหรือไง”
“เปล่าครับ แค่เมื่อก่อนเคยซื้อให้แฟนน่ะ…”
น่าจะเป็นช่วงมัธยมต้นเห็นจะได้ เขาเคยมอบดอกไม้เป็นของขวัญครบรอบหนึ่งร้อยวันให้กับแฟนสาวที่เขาคบด้วยนานที่สุด ถึงจะเป็นแค่ดอกกุหลาบดอกหนึ่ง แต่เมื่อเขาให้มันพร้อมกับเค้ก เธอก็ชอบใจจนถือไปไหนมาไหนด้วยตลอดทั้งวัน แถมตอนนั้นดูเหมือนเธอจะพูดด้วยว่า ‘ฉันนึกว่าคนอย่างนายจะไม่ทำอะไรแบบนี้ให้นะเนี่ย’
“ผมเคยซื้อให้แค่ครั้งเดียวครับ”
“งั้นเหรอ…”
มูฮึนเหลือบมองซึงจูก่อนจะตอบกลับมา แม้น้ำเสียงนั้นจะฟังดูนุ่มนวลและอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันนั้นมันก็ฟังดูฝืนๆ อย่างบอกไม่ถูก
หลังจากปิดปากเงียบไปพักหนึ่ง มูฮึนก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลงกว่าเดิม
“แล้วเคยได้รับจากใครไหม”
“น่าจะวันพิธีจบการศึกษาล่ะมั้ง…”
“แบบนั้นไม่น่าจะนับเป็นของขวัญนะ”
“ถ้างั้นก็ไม่เคยครับ”
เขาจะได้รับดอกไม้เนื่องในโอกาสอะไรกัน ซึงจูไม่เคยคิดอยากได้มันเลยสักนิด เขาไม่ใช่คนอารมณ์อ่อนไหวที่จะมีความสุขกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น และอีกอย่างรอบตัวเขาก็ไม่ได้มีคนที่โรแมนติกมากพอที่จะมอบของแบบนั้นให้อยู่แล้ว เพราะแบบนั้นซึงจูจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะถามกลับไปตามมารยาท
“แล้วพี่ล่ะครับ”
“อืม จะให้หรือรับ พี่ก็ไม่เคยทั้งนั้นแหละ”
“พี่คงจะเป็นแฟนที่ห่วยน่าดูเลยนะครับ?”
การที่เขาไม่เคยได้รับนั้นยังพอเข้าใจได้ แต่มันจะไม่มากไปหน่อยหรือที่ยังไม่เคยให้เลยสักครั้ง นั่นมันหมายความว่าเขาไม่เคยให้ดอกไม้กับคนที่เคยคบด้วยสักดอกมาจนถึงตอนนี้ไม่ใช่หรือไง ขนาดแฟนสาวที่ซึงจูเคยคบด้วยแค่ได้รับดอกกุหลาบดอกเดียวยังชอบใจมากขนาดนั้นแท้ๆ เพราะแบบนั้นสำหรับซึงจูแล้ว เขามองว่าสิ่งที่มูฮึนทำมันออกจะใจร้ายเกินไปหน่อย
“แฟนที่ห่วย?”
ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าตลกขนาดนั้น มูฮึนถึงได้ยิ้มตาแทบปิดพร้อมกับหัวเราะออกมา เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดปากลงก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อีกรอบ
“ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าจะต้องมาโดนซึงจูของพี่อบรมเรื่องแฟน”
“…”
พออีกฝ่ายพูดแบบนั้นซึงจูก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเผลอพูดจาอวดดีเกินไปหน่อย เด็กอย่างเขาจะไปสอนอะไรพี่ชายที่โตกว่าเป็นสิบปีได้ล่ะ ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะสื่อแบบนั้น แต่ถ้าฟังผ่านๆ มันก็อาจจะทำให้คนฟังเข้าใจไปแบบนั้นได้
สุดท้ายซึงจูก็หลบตาพร้อมกับพูดพึมพำเหมือนแก้ตัวเบาๆ “ก็ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว การเป็นแฟนกันแต่กลับไม่ซื้อดอกไม้ให้เลยแบบนั้นมันก็ยังไงๆ อยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
ถึงจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่เรื่องแบบนั้นสำหรับคนที่เป็นแฟนกันแล้วมันก็ดูจะเป็นเรื่องที่แย่เกินไปหน่อยไม่ใช่หรือ แถมคนอย่างมูฮึนก็คงไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีแฟนมาจนถึงป่านนี้หรอก
“…”
เดี๋ยวสิ…จะว่าไปแล้วเราเคยเห็นพี่ชายคนนี้มีแฟนบ้างไหมนะ
“อืม…จริงแฮะ”
น่าแปลกที่มูฮึนยอมรับสิ่งที่ซึงจูพูดง่ายๆ และเนื่องจากน้ำเสียงนั้นฟังดูสำนึกผิดอยู่หน่อยๆ เขาจึงพลาดโอกาสที่จะถามว่ามูฮึนเคยคบหาใครหรือไม่ไปอย่างน่าเสียดาย
ซึงจูที่ตั้งท่าจะพูดอยู่ครู่หนึ่งพลันส่ายศีรษะและได้ข้อสรุปกับตัวเองในตอนนั้น นั่นคือไม่ว่ามูฮึนจะโตแค่ไหน แต่สุดท้ายสำหรับเรื่องแฟนแล้ว เขาก็น่าจะเป็นได้แค่แฟนที่ห่วยแตกคนหนึ่ง
เมื่อเดินผ่านสี่แยกใหญ่และเดินขึ้นเนินเขาผ่านเขตบ้านเรือนไปก็จะเห็นประตูหน้าบ้านสองบานที่หน้าตาเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ฝั่งซ้ายคือบ้านของซึงจู ส่วนฝั่งขวาคือบ้านของมูฮึน หลังจากแยกออกไปอยู่เอง มูฮึนที่ไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้แล้วก็หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ แต่ดูเหมือนช่วงนี้เขาจะแวะเวียนมาหน้าประตูบานนี้อยู่บ่อยๆ
“ขอให้เดินทางไปร่วมพิธีไว้อาลัยอย่างปลอดภัยนะครับ”
ทันทีที่เดินมาถึงหน้าบ้าน ซึงจูก็คว้ามือจับประตูพร้อมกับพูดประโยคนั้น โดยปกติแล้วพวกเขาจะบอกลากันอย่างเรียบง่าย พอมูฮึนบอกว่า ‘เข้าบ้านดีๆ นะ พรุ่งนี้เจอกัน’ ซึงจูก็มักจะตอบกลับไปง่ายๆ ว่า ‘ครับ พี่เองก็เช่นกันนะครับ’ ดังนั้นนี่จึงถือว่าเป็นคำบอกลาที่ฟังดูดีที่สุดแล้ว
“เดี๋ยวก่อน”
ทว่าวันนี้มูฮึนกลับรั้งซึงจูที่พูดแบบนั้นเอาไว้ ซึงจูที่กำลังจะเปิดประตูจึงหันกลับไปด้วยความสงสัย ก่อนที่จะถูกการแต่งกายที่สมบูรณ์แบบจนเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อนเบี่ยงเบนความสนใจไปครู่หนึ่ง ในตอนนั้นเองมูฮึนก็เลือกดอกไม้สีชมพูดอกหนึ่งจากในช่อยื่นให้ซึงจู
“เอ้า นี่”
“…?”
ซึงจูรับดอกไม้ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ทั้งที่ยังมีสีหน้างุนงง ทีแรกเขาก็สงสัยว่ามันคือดอกอะไร แต่พอดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วก็น่าจะเป็นดอกกุหลาบ
“ให้ผมทำไมครับ”
อะไรเนี่ย จะให้ใช้แทนยันต์หรือไงกัน
ซึงจูไม่ค่อยแน่ใจเพราะเนตรสัมผัสวิญญาณของเขาดับลงไปแล้ว แต่ในดอกไม้นี่อาจจะมีพลังวิญญาณของอีกฝ่ายไหลเวียนอยู่ก็ได้ และในจังหวะที่เขากำลังคิดว่ามันคงจะลำบากถ้าต้องพกมันไปไหนมาไหน น้ำเสียงสบายๆ ก็ดังขึ้น
“ของขวัญ”
จู่ๆ ถ้อยคำไม่คุ้นเคยที่เขาไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการถึงก็โผล่ขึ้นมาในบทสนทนา พอซึงจูสบตาอีกฝ่ายอย่างงงๆ มูฮึนก็ส่งยิ้มอ่อนโยนให้
“ก็เห็นนายบอกว่าไม่เคยได้นี่”
“…”
ทั้งที่ตัวเองก็บอกว่าไม่เคยให้ใครเหมือนกันเนี่ยนะ
ซึงจูอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เนื่องจากไม่รู้ว่าควรต้องมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร สุดท้ายจึงปิดปากลงเหมือนเดิม ซึ่งมูฮึนก็ขยิบตาซ้ายให้ก่อนที่ซึงจูจะทันได้ซ่อนสีหน้าสับสนด้วยซ้ำ
“พี่ก็เพิ่งเคยให้ใครเป็นครั้งแรกเหมือนกัน”
“เดี๋ยวสิ…”
แล้วทำไมครั้งแรกที่ว่าต้องเอามาให้เขาด้วย นี่มันชวนให้รู้สึกเหลือเชื่อมากจนเขาต้องแค่นหัวเราะออกมา เมื่อเห็นซึงจูหัวเราะเสียงแผ่วราวกับหมดคำจะพูดแล้ว มูฮึนก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าขี้เล่น
“นี่พี่ให้ผมเพราะผมบอกว่าพี่เหมือนพวกแฟนห่วยๆ งั้นเหรอครับ”
ใช่ว่าซึงจูจะไม่รู้ว่ามันคือของขวัญที่ไม่มีความหมายอะไร เพราะตั้งแต่สมัยเด็กๆ มูฮึนมักจะเอาอะไรมาให้เสมอถ้าคิดว่าซึงจูถือไว้ในมือแล้วจะดูดี ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาที่เขาไปคีบมาจากที่ไหนสักแห่ง ช็อกโกแลตที่ได้มาจากที่โรงเรียน หรือแม้แต่ของไร้สาระอย่างใบโคลเวอร์สี่แฉกที่เขาเจออยู่ในพงหญ้า
“จะว่ายังไงดีล่ะ…เรื่องนั้นมันก็ส่วนนึงแหละ”
คำตอบที่ได้รับกลับมานี้ แม้แต่ซึงจูที่ได้ยินยังรู้สึกว่ามันฟังดูคลุมเครือแปลกๆ ต่อให้เขาจะไม่ใช่คนที่ให้ค่าอะไรกับพวกดอกไม้ แต่วินาทีที่ได้ยินก็ยังอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ และในจังหวะที่ซึงจูเตรียมจะหลบสายตามองไปทางอื่น มูฮึนก็เอ่ยปากพูดขึ้นเบาๆ
“เอ่อ…แล้วก็…”
มูฮึนเลิกแขนเสื้อขึ้นดูนาฬิกาที่สวมอยู่บนข้อมือ ปกติแล้วอย่างมากเขาจะสวมแหวนแค่ไม่กี่วงและชอบเอ่ยปากบ่นว่าเกะกะ (แม้ว่านั่นจะเป็นของที่ใช้ในการทำงานเป็นมือปราบวิญญาณก็ตามที) ซึงจูเลยสงสัยขึ้นมาว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้ใส่นาฬิกา
นั่นมันของแบรนด์เนมทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอ
ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดก็ดังออกมาจากปากของมูฮึน
“เดี๋ยวช่วงนี้พี่จะให้คนอื่นมารับนายแทนพี่สักพักนะ”
บนโลกนี้จะมีอะไรที่น่าหนักใจได้เท่ากับความใจดีที่ไม่ได้ต้องการอีกไหม ยิ่งเมื่อคนที่ทำตัวใจดีคนนั้นเป็นรักข้างเดียวที่เราพยายามหักห้ามใจ และเป็นคนเลือดเย็นที่มาทำให้เราติดนิสัยหลงคิดเข้าข้างตัวเอง แต่แล้วจู่ๆ ก็หันหลังให้อย่างไม่ไยดี นี่มันยิ่งแล้วใหญ่
‘ทำไมล่ะครับ’
เมื่อได้ยินว่าจะมีคนอื่นมารับเขาแทนมูฮึน ซึงจูก็ถามซักไซ้กลับไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว ทั้งที่เขาไม่เคยเอ่ยปากขอร้อง ตัวเองเป็นฝ่ายเสนอตัวมาทำเรื่องลำบากแบบนี้เองแท้ๆ แล้วตอนนี้ทำไมถึงได้กลับคำล่ะ
‘ทำไมถึงให้คนอื่นมาแทนล่ะครับ’
ถึงจะไม่ได้อยากทำตัวเป็นเด็ก แต่เขาก็ไม่เข้าใจอะไรเลย ความรู้สึกแปลกๆ หลังจากได้รับดอกไม้พลันพังทลายลงในชั่วพริบตา ภายในหัวก็พลันเย็นวาบขึ้นมาราวกับโดนน้ำเย็นเฉียบสาดใส่
‘อืม…’
มูฮึนเผยสีหน้าลำบากใจโดยไม่ได้ตอบอะไรอยู่พักหนึ่ง และในขณะเดียวกันเขาก็ขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดหาคำที่จะพูดอยู่ ซึ่งเหตุผลที่เอ่ยออกมาในท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องที่ซึงจูไม่อาจเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย
‘พอดีว่าสัปดาห์หน้าเป็นคืนวันพระจันทร์เต็มดวงน่ะ’
‘…’
แล้วเรื่องนั้นมันมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ
คืนวันพระจันทร์เต็มดวงของทุกเดือนเป็นคืนที่พลังวิญญาณจะแข็งแกร่งเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับวันอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นวันที่วิญญาณส่วนใหญ่จะไปไหนมาไหนได้ไม่สะดวกนัก เพราะพลังหยินจะอ่อนแรงลง ซึ่งตรงกันข้ามกับพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้น ซึงจูเคยได้ยินมาว่าต่อให้จะเป็นปีศาจ พลังก็จะอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่พวกอสูรก็ยังพากันหลับใหล ซึ่งต่างไปจากยามปกติอย่างสิ้นเชิง
‘พี่ไม่ว่างเลยให้คนอื่นมาแทนเหรอครับ’
ถ้าเป็นแบบนั้นซึงจูก็คิดว่าตัวเองควรจะเข้าใจอีกฝ่าย เพราะวันที่พระจันทร์เต็มดวงคือวันที่ดีที่สุดในการทำงาน ไม่ใช่แค่สำหรับมือปราบวิญญาณทั่วไป แต่สำหรับนักล่าอสูรเองก็เช่นกัน ซึงจูรู้เรื่องนั้นในทางทฤษฎี และคิดว่าจะพยายามทำความเข้าใจรวมถึงยอมรับมันอย่างมีเหตุมีผลมากที่สุด แต่เขาก็ไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองจะเข้าใจมันได้จริงๆ หรือเปล่า
‘พี่เคยบอกแล้วไงว่าถึงจะยุ่งแต่ก็ยังมีเวลามารับนาย’
ทว่ามูฮึนกลับปฏิเสธแม้กระทั่งข้อแก้ตัวที่ซึงจูช่วยคิด เขาทำหน้าลำบากใจอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดตรงกันข้ามกับสีหน้า
‘โทษทีนะ พี่คงเล่าลงรายละเอียดให้ฟังไม่ได้’
ผมเคยซักไซ้อะไรแบบนั้นที่ไหนกัน
ไม่มีทางที่ซึงจูจะถามอะไรแบบนั้นออกไป ซึงจูได้แต่มองมูฮึนด้วยสีหน้าเหมือนพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้เจ้าตัวตีความสายตาที่ว่างเปล่าของซึงจูไปแบบไหนถึงได้พูดพลางหลบตาอย่างไม่สมกับเป็นเขา
‘เดี๋ยวพี่ไปคุยกับมูรยองให้นะ’
หลังพูดจบมูฮึนก็เปิดประตูหน้าบ้านให้ซึงจูพร้อมบอกว่าเขาต้องรีบไปเพราะสายแล้ว จากนั้นก็ดันตัวซึงจูที่ยังคงยืนงงอยู่ให้เข้าบ้าน ก่อนจะปิดบานประตูไม้ที่ทั้งหนาและหนักลงแล้วเดินจากไป
ซึงจูยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ จนเมื่อเวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่งเขาถึงได้แค่นหัวเราะออกมา
เหลือเชื่อจริงๆ เขาเพิ่งได้รับดอกไม้จากอีกฝ่ายมาเมื่อครู่ ไม่นึกเลยว่าความรู้สึกนั้นจะจืดเจื่อนลงได้ในชั่วพริบตา ซึงจูได้แต่ประท้วงในใจอยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่อยากเคยชินกับอีกฝ่ายที่เป็นแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้และยอมรับความจริง รวมทั้งยอมถอยห่างออกมาอีกก้าวหนึ่ง
‘เฮงซวยชะมัด’
ทั้งที่ไม่ได้คาดหวัง แต่ก็ดันรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเสียได้ ทั้งที่ไม่ได้เชื่อใจ แต่ก็ดันรู้สึกเหมือนถูกทรยศ และต่อให้จะไม่อยากเกลียดเขา แต่ก็อดที่จะรู้สึกโกรธเคืองไม่ได้ คนเราถ้าพูดอะไรแล้วก็ต้องรับผิดชอบจนถึงที่สุดไม่ใช่หรือไง หรือถ้าพูดแล้วทำไม่ได้ก็ไม่ควรพูดมันออกมาตั้งแต่ทีแรก ถ้ามีสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เกิดขึ้นก็ควรบอกกันตรงๆ และขอให้ช่วยเข้าใจไม่ใช่หรือ
การพร่ำบอกกับตัวเองว่าแท้จริงแล้วมูฮึนก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องทำแบบนั้นมันช่างไร้ประโยชน์ ความรู้สึกที่เสียไปแล้วไม่ใช่สิ่งที่จะซ่อมแซมได้ด้วยการล้างสมองตัวเองแบบนั้น มูฮึนใช้คำว่า ‘สักพัก’ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายจะกลับมาอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดจนแทบบ้าเพราะไม่รู้ว่ามันคือเมื่อไหร่
แต่ความคิดแบบนั้นก็คงอยู่เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ
หลังกลับเข้ามาในบ้าน อาบน้ำ และล้มตัวลงนอน ซึงจูก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยสักนิดกับความจริงที่เขาทำใจโกรธอีกฝ่ายไม่ลง แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาที่ไม่ได้ระบายความโมโหใส่อีกฝ่ายไป ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาไม่อยากทำตัวเหมือนเด็ก และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะเขาไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะไม่เผลอใส่อารมณ์กับสิ่งที่พูดออกไป ขืนระบายความเจ็บช้ำออกไปตามอำเภอใจ เขาคงได้เจ็บใจกับอดีตที่อุตส่าห์อดทนมานานจนถึงตอนนี้กันพอดี
ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีไปอีกหลายวันก็เถอะ…
“ช่วงนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ซึงจู”
คาบเรียนแรกของวันจันทร์ ซอฮยอนที่เพิ่งมาถึงมหาวิทยาลัยเอ่ยถามซึงจูที่นั่งอยู่กับที่ก่อนแล้ว
มันคือคลาสเรียนตอนเก้าโมงเช้าที่ทำให้วันที่น่าเบื่อหน่ายอยู่แล้วยิ่งน่าเบื่อหน่ายเข้าไปใหญ่ แม้ว่าเหตุผลนั้นจะมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ซึงจูหน้าบูดหน้าบึ้ง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกว่าอาการของซึงจูดูท่าจะหนักเกินไปหน่อย แถมสีหน้าซึงจูก็ยังเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก”
คำตอบที่ได้รับกลับมาในทันทีนั้นดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด จินอูที่นั่งอยู่ข้างๆ เองก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกันถึงได้ลอบมองสังเกตซึงจูอยู่เงียบๆ ถึงแม้ว่าซึงจูจะรู้สึกได้ถึงสายตาของคนทั้งคู่ แต่เขาก็เลือกที่จะก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับหนังสือเรียนวิชาเอกแทนที่จะอธิบายออกมา
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว…”
ซึงจูไม่ได้ใส่ใจถ้อยคำที่ซอฮยอนพึมพำพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะรู้ว่ามันเป็นกิริยาที่ไม่ดีนัก แต่ซึงจูก็เลือกที่จะนั่งเท้าคางแบบนั้นต่อไป พอเขาหลุบตาลงเงียบๆ และแสร้งทำเป็นมีสมาธิอยู่กับหนังสือเรียน เขาก็รู้สึกได้ว่าซอฮยอนกับจินอูกำลังลอบสบตากัน
“…”
ใช่แล้วล่ะ…มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนถึงขั้นที่เขาต้องคาดหวังอยู่ในใจว่าอยากให้มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย เขาได้แต่สงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แม้จะอยากเอาความสงสัยนั้นออกไปจากหัว แต่เขาก็ไม่อาจมองข้ามความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงแค่อดทนรออยู่เงียบๆ
‘เดี๋ยวพี่ไปคุยกับมูรยองให้นะ’
หลังจากวันนั้นมูฮึนก็ไม่มารับซึงจูจริงๆ มีแต่คีฮวานยองและคิมมูรยองเท่านั้นที่สลับกันมารับมาส่งแทน ส่วนใหญ่แล้วฮวานยองจะมายืนอยู่หน้าประตูบ้านเขาในตอนเช้า ส่วนมูรยองก็จะมายืนอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยในตอนเย็น
‘ซึงจู!’
ในวันที่มูรยองมารับซึงจูเป็นครั้งแรก ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในหมู่เพื่อนร่วมรุ่นของเขาอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ ก็มีหนุ่มน้อยหน้าใสแถมยังหน้าตาน่ารักมาปรากฏตัวพร้อมทั้งทำท่าเหมือนรู้จักเขา นั่นจึงทำให้คำถามที่เคยได้ยินเป็นประจำอย่าง ‘ทำไมรอบตัวซอซึงจูถึงได้มีแต่คนหน้าตาดีกันนะ’ โผล่ขึ้นมาอีก
โดยเฉพาะปฏิกิริยาของจินอูที่ดูจะมีอารมณ์ร่วมที่สุด หลังจากเอ่ยปากแซวและถามซึงจูว่ามีหนุ่มคนใหม่อีกแล้วเหรอ เขาก็จับสังเกตสีหน้าของซึงจูได้ ก่อนจะเริ่มเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
‘ความสัมพันธ์ของนายกับพี่คนนั้นช่วงนี้ไม่ค่อยดีหรือไง’
พอได้ยินแบบนั้นแล้วซึงจูก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าตัวเองคุมสีหน้าไม่ได้จนถึงขั้นต้องมาได้ยินเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้เลยหรือ
‘เปล่านี่ ความสัมพันธ์ก็ปกติดี’
ซึงจูตอบแบบนั้นแล้วเดินตรงไปหามูรยองโดยไม่สนใจสายตาของบรรดาเพื่อนร่วมรุ่น จากนั้นมูรยองที่ยืนรอซึงจูอยู่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์
‘กลับบ้านกัน’
แต่ถึงอย่างนั้นวันแรกที่มูฮึนไม่ได้มารับก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก เสียงพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดปากของมูรยองเองก็ถือว่าไม่ได้แย่ (ถึงจะฟังเรื่องผีที่มูรยองเล่าแบบไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ) และการได้พาเจ้าซอลกีออกไปเดินเล่นด้วยกันหลังกลับมาถึงบ้านก็ไม่ได้แย่เช่นกัน อีกทั้งการทำหน้าเนือยๆ ตอนที่มูรยองลุกขึ้นแล้วบอกว่า ‘ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะ’ มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรขนาดนั้น
‘ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป นายไม่ต้องมาแล้วนะ’
‘นี่นายกำลังห้ามไม่ให้ฉันกลับมาเยี่ยมบ้านเหรอ’
‘เดี๋ยว จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…’
‘ล้อเล่นน่า’
หลังแสร้งเบิกตาเหมือนตกใจ มูรยองก็ยิ้มตาโตพลางหัวเราะร่วนออกมา มูรยองจะมีถุงใต้ตาที่ดูน่ารักเหมือนพระจันทร์ครึ่งดวงอยู่ใต้ดวงตา ต่างไปจากมูฮึนที่มีดวงตาเรียวคมคล้ายพระจันทร์เสี้ยวเวลาที่ยิ้มขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาสีอบอุ่นจ้องมองซึงจูนิ่งก่อนที่น้ำเสียงอ่อนโยนจะพูดขึ้นอย่างใจเย็น
‘จริงอยู่ที่ฉันมารับนายเพราะพี่ชายฉันฝากมา แต่…’
วิธีการพูดจาของคิมมูรยองมักมีพลังลึกลับบางอย่างที่ทำให้ใจของคนฟังสงบลงได้อย่างน่าประหลาด ถึงมูฮึนจะมีน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลชวนให้รู้สึกสงบเหมือนกัน แต่ถ้าดูแค่ลักษณะท่าทางการพูดแล้ว คิมมูรยองจะดูนุ่มนวลกว่ามาก บางทีอาจเป็นเพราะซึงจูไม่ได้มีความคาดหวังอะไรกับมูรยอง เวลาพูดคุยกันก็เลยรู้สึกสบายใจมากกว่า
‘สุดท้ายแล้วที่ฉันมาก็เพราะเป็นห่วงนาย’
‘…’
‘แล้วอีกอย่างก็เพราะจะได้กลับมาเจอเจ้าซอลกีของฉันด้วยไง เนอะซอลกี เนอะ’
ซึงจูจะไปเถียงอะไรกับคนที่พูดแบบนั้นออกมาได้ ลำพังเสียงที่เจ้าซอลกีเห่า ‘โฮ่ง!’ ออกมานั้นก็นับว่าเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้ว
ถ้าคิมมูรยองบอกแบบนั้น เขาก็จะเชื่อแบบนั้น ซึงจูเองก็คิดอย่างนั้นมาทั้งวันเหมือนกัน
ทว่าฮวานยองที่มาในวันรุ่งขึ้นกลับมีปฏิกิริยาที่แตกต่างไปจากมูรยองมาก พอซึงจูบอกว่าตัวเองไปมหาวิทยาลัยเองคนเดียวได้ ฮวานยองก็ส่งสายตาที่ชวนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่างมาให้ราวกับจะถามว่าเขาพูดเรื่องเหลวไหลอะไรอยู่ ไหนจะคำตอบแล้งน้ำใจที่ตามมาหลังจากนั้นอีก…
‘นายก็ต้องไปคนเดียวได้อยู่แล้วสิ ไม่ใช่เด็กห้าขวบแล้วสักหน่อย’
‘ฉันก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย ไอ้บ้านี่’
ไม่รู้ว่าตอนนี้ใครดูเหมือนคนโง่กันแน่ เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้ไม่ได้มารับเขาเพราะเขาไม่รู้ทาง แต่ไม่ว่าซึงจูจะรู้สึกหัวเสียมากแค่ไหน ฮวานยองก็พูดขึ้นช้าๆ โดยไม่แม้แต่จะชายตามองมาทางซึงจูด้วยซ้ำ
‘เมื่อก่อนนายเคยบอกว่าฉันชอบคิดแต่เรื่องไร้สาระ ให้หัดดูคนอย่างคิมมูรยองแล้วเรียนรู้ไว้บ้าง’
มันคือสิ่งที่ซึงจูเคยพูดขึ้นอย่างรำคาญใจ ถึงจะจำไม่ค่อยได้แล้วว่าเคยพูดไว้ตอนไหนก็ตามที แต่น่าจะเป็นตอนที่คีฮวานยองคิดมากเกินไปอย่างไร้ประโยชน์และกังวลอะไรไร้สาระขึ้นมาอีก
‘ดูเหมือนว่าฉันจะต้องพูดแบบนั้นกับนายบ้างแล้วสิ’
‘…’
ซึงจูรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเถียงอะไรก็แพ้หมอนี่ไปเสียหมด ถึงแม้ว่าในหัวเขาจะสับสนวุ่นวาย แต่เขาก็เชื่อว่าตัวเองไม่ได้แสดงมันออกไป ไม่สิ…จริงๆ แล้วอาการเขาคงไม่ได้แสดงออกชัดขนาดนั้น
‘มูรยองเป็นห่วงนายมากนะ หลังจากวันนั้นหมอนั่นก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านมาเลย’
ถ้าฮวานยองใช้คำว่า ‘วันนั้น’ ก็น่าจะหมายถึงวันที่ซึงจูแวะไปที่ห้อง มันคือวันที่เขาโผล่หน้าไปหามูรยองแบบไม่ได้วางแผนล่วงหน้าด้วยความคับข้องใจเพื่อเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่ามีกลุ่มอิทธิพลใหม่เกิดขึ้นในสมาพันธ์ และคนพวกนั้นก็เพ่งเล็งเขาอยู่ พร้อมทั้งถามมูรยองด้วยว่ารู้เรื่องอะไรบ้างไหม
‘ถ้าฉันไม่มา มูรยองก็จะมาเอง ลองคิดดูสิว่าหมอนั่นจะตื่นในเวลาแบบนี้ได้ยังไง’
มูรยองเป็นคนที่ตื่นยากมากในตอนเช้า อย่างสมัยเรียนหมอนั่นก็ไปโรงเรียนสายเป็นประจำ แต่ในสถานการณ์แบบนี้เจ้าตัวคงไม่สามารถหลับลงได้โดยที่ไม่รับรู้เรื่องราวอะไรเลย และคงจะมาหาเขาหลังจากที่อดหลับอดนอนหรือครึ่งหลับครึ่งตื่นมาทั้งคืน ซึ่งแน่นอนว่าซึงจูไม่ได้อยากเห็นมูรยองในสภาพแบบนั้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากได้ลองพูดแบบนั้นไปแล้วซึงจูก็ล้มเลิกความคิดที่จะห้ามคนทั้งคู่ไปโดยสิ้นเชิง ถึงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ลำบากและยุ่งยากสำหรับทั้งสองคน แต่ในเมื่อเจ้าตัวทนได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะพูดอะไรได้เหมือนกัน และอีกอย่างเขาเองก็รู้สึกสบายใจกับเพื่อนมากกว่าที่จะจ้างคนมาคุ้มกันด้วย
หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นและวันถัดไป มูรยองกับฮวานยองก็ยังอาสามารับซึงจูอยู่ทุกวัน โชคดีที่ตารางเรียนของฮวานยองไม่ต่างจากตารางเรียนของซึงจูมากนัก อาจมีบางวันที่ฮวานยองต้องไปมหาวิทยาลัยเร็วขึ้นเล็กน้อย ซึ่งซึงจูก็ยินดีที่จะออกจากบ้านเร็วขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายไปเรียนได้ทันเวลา
ด้วยเหตุนั้นทุกอย่างจึงดูเหมือนได้รับการแก้ไขแล้ว แต่สุดท้ายต้นตอของปัญหาก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
ทั้งที่เขาก็เข้าใจดีทุกอย่าง
แต่…สรุปแล้วคิมมูฮึนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
‘ถามว่าพี่ฉันทำอะไรในคืนวันเพ็ญน่ะเหรอ’
มูรยองเอียงคอทวนคำถามพลางกลอกตาไปมาเมื่อซึงจูทนไม่ไหวและถามออกไป ก่อนจะตอบออกมาช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่แน่ใจ
‘ก็น่าจะไปตามจับอสูรล่ะมั้ง’
มันเป็นคำตอบที่ต่อให้จะไม่ใช่คิมมูรยองแต่เป็นซอซึงจูก็ยังสามารถตอบได้ เจ้าเพื่อนคนนี้ไม่รู้เบอร์ติดต่อสำหรับเรื่องงาน แถมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ชายของตัวเองเลยสักนิด ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็ไม่ได้แย่อะไร แต่ก็น่าแปลกที่พี่น้องสองคนนี้กลับไม่สนใจเรื่องของกันและกันเลย
‘มือปราบวิญญาณไม่ค่อยเล่าเรื่องงานให้กันฟังหรอกนะ ยิ่งกับนักล่าอสูรที่อยู่คนละสำนักงานกันแล้วนี่แทบจะไม่ได้คุยกันเลย’
สมาพันธ์มือปราบวิญญาณเองก็มีสำนักงานด้วยสินะ
พอลองมาคิดดูแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ต้องมีจริงๆ นั่นแหละ แต่ซึงจูก็ยังอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้อยู่ดี และมันก็ยิ่งน่าแปลกใจเข้าไปใหญ่เมื่อคำว่า ‘สำนักงาน’ นั้นดังออกมาจากปากของคิมมูรยองที่ดูเหมือนเด็กน้อยสำหรับเขาสุดๆ
‘แล้วพี่เขาขอให้นายทำอะไรบ้างล่ะ’
‘อืม…ก็แค่บอกว่าให้ช่วยดูแลซึงจูช่วงที่ไม่อยู่สักพักน่ะ’
‘แล้วพี่เขาไม่ได้บอกเหรอว่าทำไมถึงไม่อยู่’
‘อืม’
‘แล้วนายไม่ถามเหรอ’
‘อืม…แล้วทำไมต้องถามด้วยล่ะ’
คำพูดนั้นคล้ายกับต้องการจะถามว่า ‘ฉันต้องถามเรื่องนั้นด้วยเหรอ’ แถมเจ้าตัวยังเอียงคอพลางหรี่ตาลงเหมือนไม่เข้าใจอีกต่างหาก
‘ฉันแค่คิดว่าพี่เขาคงยุ่งน่ะ’
ความจริงแล้วถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่มูฮึน ซึงจูก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน เขาคงไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมารับเขาหรือไม่ ในตอนที่อีกฝ่ายออกปากว่าจะคอยคุ้มกันเขา เขาก็จะบอกไปว่าตามใจและปล่อยให้อีกฝ่ายทำไปอย่างที่ใจต้องการ หลังจากที่ปฏิเสธไปครั้งหนึ่งแล้วเหมือนที่ทำกับมูรยองและฮวานยอง เขาก็ตั้งใจไว้ว่าจะยอมรับสภาพโดยไม่ทำตัววุ่นวายใดๆ
“…”
แต่เขากลับทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้เลย นับตั้งแต่วันที่มูฮึนไม่มาหาจนถึงตอนนี้ ในหัวซึงจูก็เต็มไปด้วยคำว่า ‘ทำไม’ ตอนนี้อารมณ์ของเขาตั้งอยู่เหนือเหตุผลจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจเข้าใจมันได้
ซึงจูฝืนกลั้นเสียงถอนหายใจที่รังแต่จะดังออกมาเอาไว้ ก่อนจะจรดปลายปากกาลงบนหน้าหนังสือ แต่มันดันเป็นปากกาด้ามเดียวกันกับที่มูฮึนใช้ตอนอ่านดวงชะตา จู่ๆ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดปากกาด้ามนี้ขึ้นมาโดยที่มันไม่ได้มีความผิดอะไรเลย สุดท้ายซึงจูก็คิดว่าตัวเองคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ และคงไม่มีวิธีที่จะจัดการกับความหงุดหงิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมานี้ได้
ลองติดต่อไปดีไหมนะ
ซึงจูหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า แต่แล้วก็เก็บมันกลับลงไปอีกครั้งโดยที่ยังไม่ทันได้ปลดล็อกหน้าจอ มูฮึนเคยบอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะไม่โผล่หน้ามาสักพัก ต่อให้ส่งข้อความไปก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มิหนำซ้ำเขายังขีดเส้นกั้นด้วยการบอกว่าเล่ารายละเอียดอะไรให้ฟังไม่ได้อีกต่างหาก
มีเหตุผลอะไรทำไมถึงบอกไม่ได้กันนะ…
ซึงจูไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังอีกฝ่าย ซึ่งมูฮึนเองก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรปิดบังซึงจูเหมือนกัน ถึงบางทีจะมีบางเรื่องที่เขาไม่พูดขึ้นมาก่อนอยู่บ้าง แต่สุดท้ายถ้าซึงจูถาม เขาก็จะยอมเล่าให้ฟังเสมอ
การปกปิดไว้ไม่ใช่สิ่งที่ทำเพื่อคนอื่น
นั่นคือสิ่งที่มูฮึนพูดจนติดปาก ซึ่งซึงจูเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นประมาณหนึ่ง และเขาก็เชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด
“เฮ้อ…”
สุดท้ายซึงจูก็ยกมือขึ้นมาลูบหน้าพร้อมกับถอนหายใจ จินอูเหลือบมองเขาที่ทำแบบนั้น แต่หนนี้เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร
นับตั้งแต่วันที่คิมมูฮึนไม่มาหากัน อีกเพียงแค่สองวันก็จะครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว
9-2
หลังจากเรียนจบครบทุกคลาสซึงจูก็เดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนร่วมรุ่นออกมายังหน้าประตูมหาวิทยาลัย เขาเดินออกมาเพื่อที่จะกลับบ้าน ในขณะที่เพื่อนๆ บอกว่าจะไปหาซื้อข้าวของที่ต้องใช้ในงานเทศกาลประจำปี พวกเขาถามแบบอ้อมๆ ว่าซึงจูจะไม่ไปด้วยกันเหรอ แต่ซึงจูก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นโดยบอกไปแค่ว่ามีนัดแล้ว
“วันนี้ก็นัดกับเพื่อนคนนั้นอีกเหรอ”
“เพื่อนนายคนนั้นหน้าตาน่ารักมากเลยอะ”
“ได้ยินว่าเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กของซึงจูนี่?”
บรรดาเพื่อนร่วมรุ่นผู้หญิงรวมถึงซอฮยอนต่างก็แสดงท่าทีสนอกสนใจมูรยองกันอย่างออกนอกหน้า มันทั้งคล้ายและต่างจากตอนที่พวกเขาเห็นมูฮึน ถ้ามูฮึนให้ความรู้สึกเหมือนเวลาได้เจอดารา มูรยองก็คงให้ความรู้สึกเป็นกันเองกว่าเล็กน้อย ซึ่งความแตกต่างมันอยู่ตรงที่บรรดาเพื่อนๆ ไม่สามารถชวนรายแรกคุยได้ แต่กลับชวนรายหลังคุยได้อย่างสบายใจ
อีกอย่างปฏิกิริยาของสองพี่น้องก็ต่างกัน เพราะมูฮึนจะแสดงท่าทีขีดเส้นกั้นอย่างเหมาะสม แต่คิมมูรยองจะยอมพูดคุยด้วยไปหมดทุกเรื่อง และมีความเป็นไปได้สูงมากที่ถ้ามีใครสักคนเอ่ยปากชวน หมอนั่นก็จะพร้อมที่จะไปนั่งดื่มด้วยกัน เห็นทีว่ากว่าจะได้กลับบ้านก็คงต้องรอหลังจากที่มูรยองแลกเบอร์โทรศัพท์กับทุกคนตรงนั้นจนแทบจะสนิทสนมกับพวกเพื่อนๆ มากกว่าซึงจูแล้ว
“หยุดเลย หมอนี่มีแฟนแล้ว”
ถึงมันจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา แต่การให้ความหวังแบบลมๆ แล้งๆ โดยไม่รู้ตัวของมูรยองก็ถือเป็นเรื่องที่อันตราย และมันก็ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงสำหรับคิมมูรยองผู้ไม่เคยรู้ทันถึงความรู้สึกชอบพอที่คนอื่นมีต่อตัวเอง ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าความทรมานจากการให้ความหวังอีกแล้ว ยิ่งกับการที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจด้วยยิ่งแล้วใหญ่
“…”
ซึงจูที่จมอยู่ในห้วงความคิดพักใหญ่ปิดปากเงียบลงทันใด เพราะคิมมูฮึนเองก็ดูจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ราวกับถอดแบบกันมา เพราะถ้าพูดถึงความทรมานจากการให้ความหวังแล้ว ซึงจูเองก็เจอมามากพอแล้วเหมือนกัน
“แล้วใครบอกว่าอยากคบกับเพื่อนนายล่ะ ฉันก็แค่บอกว่าน่ารักดีเท่านั้นเอง”
“ใช่ๆ พวกฉันไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย”
ซึงจูปล่อยให้คำพูดของเพื่อนร่วมรุ่นไหลผ่านหูไปอย่างไม่ใส่ใจพลางพยักหน้า เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดว่ามันคือความสนใจจริงจังมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็แค่บอกเอาไว้เผื่อว่าเพื่อนพวกนั้นจะไม่รู้
“เราต้องซื้ออะไรบ้างนะ”
“ก่อนอื่นไปร้านเหล้าที่อยู่ข้างหน้านั่นก่อนดีกว่า…”
เนื่องจากงานเทศกาลประจำปีใกล้เข้ามาแล้ว ตรงหน้าประตูมหาวิทยาลัยจึงมีแผ่นป้ายขนาดใหญ่ติดอยู่ ซึงจูกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหามูรยองโดยไม่ได้พูดอะไรต่างจากบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นที่คุยกันเสียงดังเฮฮา เพราะจุดที่คิมมูรยองยืนรออยู่มักจะเปลี่ยนไปทุกครั้ง ตรงกันข้ามกับมูฮึนที่ยืนรออยู่ที่เดิมตลอด
มีอยู่วันหนึ่งที่มูรยองไปช่วยตอบแบบสอบถามของพวกชักชวนเข้าลัทธิประหลาดในจุดที่อยู่ห่างจากประตูมหาวิทยาลัยออกไปเล็กน้อย ซึงจูสงสัยว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้เปิดรับอะไรแบบนั้นอย่างว่าง่าย แต่มูรยองกลับบอกแค่ว่าไม่มีอะไรทำอยู่แล้วเลยอยากช่วยฟังเฉยๆ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่านั่นคือพวกเผยแพร่ลัทธิ แถมเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าจะถูกบังคับหรือล่อลวงด้วย เพราะแบบนั้นซึงจูจึงคิดว่าวันนี้หมอนั่นก็คงจะอยู่แถวๆ นั้นเหมือนเดิม
ซึงจูคิดเช่นนั้นก่อนมองไปยังคนที่ยืนอยู่ตรงประตูมหาวิทยาลัย แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโต
“ฮะ?”
ซอฮยอนเหลือบมองซึงจูเมื่อได้ยินเสียงอุทานที่ดังขึ้นกะทันหันนั้น ซึงจูยังคงตกใจขณะมองไปที่ประตูมหาวิทยาลัย เพราะตรงจุดที่มูรยองควรจะยืนอยู่ เขากลับมองไปเห็นใบหน้าด้านข้างของใครบางคนที่มีความสูงใกล้เคียงกับมูรยองแต่ผมยาวกว่ามาก ดูไปแล้วคล้ายกับเป็นส่วนผสมครึ่งๆ ระหว่างมูรยองและมูฮึน
“พี่ครับ!”
ซึงจูตะโกนขึ้นด้วยความตื่นเต้นอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็นพร้อมกับรีบเดินเข้าไปหา ขณะที่บรรดาเพื่อนๆ ด้านหลังต่างได้แต่มองตามด้วยสีหน้างุนงง
คิมมูยอน หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูมหาวิทยาลัยเผยสีหน้ายินดีพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกไหวๆ
“โอ๊ะ! ซึงจู!”
เธอคือมูยอนผู้เป็นน้องสาวของมูฮึนและเป็นพี่สาวของมูรยอง เธอเป็นลูกคนที่สองในบรรดาพี่น้องสามคนจากบ้านข้างๆ และทำงานเป็นมือปราบวิญญาณภายใต้สังกัดสมาพันธ์เช่นเดียวกับพี่น้องอีกสองคน แน่นอนว่าเธอสนิทกับซึงจูมาตั้งแต่เด็ก และบุคลิกที่สดใสร่าเริงนั้นก็ทำให้ซึงจูชอบมูยอนมากเป็นพิเศษ
“ไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย! ดูเหมือนนายจะสูงขึ้นนะซึงจู”
“โธ่…ผมไม่สูงขึ้นเลยสักเซ็นต์มาตั้งแต่มัธยมปลายปีหนึ่งแล้วเถอะ”
“เป็นงั้นเหรอ”
มูยอนหัวเราะก่อนจะวางแขนพาดลงบนไหล่คล้ายกับจะรัดคอเขา ซึงจูถึงกับก้มตัวลงให้เธอเล็กน้อยแทนที่จะพยายามสะบัดออก ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งมาทั้งวันตอนนี้กลับมีรอยยิ้มอารมณ์ดีปรากฏขึ้นมาแทน
“ว่าแต่พี่มาได้ไงครับเนี่ย มาแทนมูรยองเหรอ”
“ใช่ เห็นเจ้าน้องเล็กบอกว่าช่วงนี้มารับนาย พี่เองก็อยากเจอซึงจูของพี่บ้างเลยบอกว่าจะมารับแทนน่ะ”
จะว่าไปแล้วหัวหน้าทีมสี่ที่มูรยองสังกัดอยู่ก็คือมูยอน ดูเหมือนเธอจะได้ยินเรื่องราวคร่าวๆ จากมูรยองเลยอาสาว่าจะมารับแทน
“พี่ไม่ยุ่งแย่เหรอครับ”
“ยุ่งสิ แต่เวลาแค่นี้ก็พอมีเหลือให้อยู่แหละน่า”
มูยอนขยี้ผมซึงจูเล่นอย่างมันเขี้ยวก่อนจะปล่อยตัวเขาออกด้วยสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจ ถึงผมจะยุ่งเหยิงไปหมด แต่ซึงจูก็ใช้มือหนึ่งจัดมันอย่างลวกๆ โดยไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด
“ไม่ได้มามหาวิทยาลัยฮันกุกนานเลย ซึงจูของพี่กลายมาเป็นรุ่นน้องแล้วเหรอเนี่ย…”
“พี่เรียนคณะครุศาสตร์นี่ครับ คนละคณะกันเลยเถอะ”
“มันก็เหมือนๆ กันแหละน่า”
มูยอนหัวเราะคิกคักพร้อมทั้งบอกว่าถึงอย่างนั้นก็นับเป็นศิษย์ร่วมสถาบันกันได้อยู่ดี
ก่อนหน้านี้ทันทีที่มูยอนได้ยินข่าวว่าซึงจูสอบติดมหาวิทยาลัยฮันกุก เธอก็สั่งไก่มาเลี้ยงฉลองถึงห้าตัว (ในห้าตัวนั้นคิมมูรยองจัดการคนเดียวไปสองตัว) โดยบอกว่าไม่สนใจว่าซึงจูจะเรียนคณะอะไร ขอแค่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เธอก็ถือว่าซึงจูเป็นรุ่นน้องของเธอแล้ว
“พี่อยากเดินดูรอบๆ มหาวิทยาลัยสักหน่อยน่ะ ไม่ได้มาซะนาน ขอเดินดูสักเดี๋ยวได้ไหม นายยุ่งอยู่หรือเปล่าซึงจู”
“ไม่เลยครับ ผมยังไงก็ได้…”
คนที่ยุ่งอยู่เห็นทีก็คงจะมีแต่คิมมูยอนนั่นแหละ นักศึกษามหาวิทยาลัยจะไปยุ่งอะไรในเมื่อช่วงนี้ก็ไม่ใช่ช่วงสอบด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างไรเขาก็แค่จะกลับบ้านอยู่แล้วเลยไม่ได้จำเป็นต้องรีบ
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พาเดินไปที่ทะเลสาบแล้วเล่าเรื่องปลาทองสีดำตัวนั้นให้ฟังสักหน่อยดีกว่า
ในตอนที่ซึงจูคิดเช่นนั้นแล้วหมุนตัวกลับ
“…”
“…”
ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เขาเห็นบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ พวกนั้นต่างเบิกตาโตมองซึงจูสลับกับมูยอนอย่างประหลาดใจ แถมยังดูเหมือนกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ แต่ไม่ว่าจะมองมาแบบไหน สีหน้าของคนเหล่านั้นก็ดูเต็มไปด้วยสิ่งที่อยากจะพูด
“อะไร มายืนดูอะไรกัน”
“เดี๋ยวนะ…”
ทันทีที่ซึงจูถามขึ้น จินอูก็กลอกตาไปมา ก่อนจะเชิดปลายคางเบาๆ ไปทางมูยอนที่ยืนอยู่ด้านหลังซึงจู
“เอ่อ…อะแฮ่ม ผู้หญิงคนนั้นคือ…?”
“อ๋อ”
หลังจากนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ซึงจูก็พลันขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขาดีใจจนลืมคิดไป ดูเหมือนว่าเรื่องน่ารำคาญกำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว ที่ผ่านมาเขาพยายามทำให้ทุกคนตัดใจจากคิมมูฮึนและคิมมูรยองมาตลอด และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะต้องทำให้ทุกคนยอมแพ้เรื่องมูยอนด้วยอีกคน
“แค่พี่สาวที่รู้จักน่ะ”
เพราะคิดแบบนั้นเขาจึงตอบไปแบบตัดความรำคาญ ทว่าเสียงตอบรับที่เหนือความคาดหมายกลับดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ซึ่งเป็นเสียงของมูยอนที่พินิจมองเพื่อนร่วมรุ่นของซึงจูอย่างสนอกสนใจอยู่
“โห ซึงจูยา…นี่นายกำลังบอกว่าพี่เป็นแค่ ‘พี่สาวที่รู้จัก’ งั้นเหรอ”
เธอทำท่าทางเศร้าใจอย่างสุดซึ้ง แน่นอนว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นจริงๆ ดูเหมือนเธอแค่อยากจะหยอกเล่นเท่านั้น และเมื่อซึงจูไม่ใส่ใจที่จะแก้คำพูดใหม่ มูยอนก็คลี่ยิ้มหวานก่อนจะหันไปมองเพื่อนๆ ของซึงจู
“พวกเธอคงเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของซึงจูสินะ?”
มีเพียงเพื่อนร่วมรุ่นผู้หญิงเท่านั้นที่ตอบคำถามนี้ เสียงตอบว่า ‘ใช่ค่ะ…’ นั้นทำให้หางคิ้วมูยอนลู่ตกราวกับกำลังเอ็นดู
“น่ารักจัง…ว่าแต่ในกลุ่มนี้มีแฟนของซึงจูอยู่ด้วยไหมเนี่ย”
“พี่ครับ”
“โอเคๆ เข้าใจแล้วน่า”
พอซึงจูเอ่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง มูยอนก็ยอมอ่อนลงให้ในทันที เธอมักจะล้อเล่นไร้สาระออกมาโต้งๆ แต่ก็จะเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่างไปจากมูฮึนที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมลิบลับ
เธอยิ้มพลางย่นจมูกน้อยๆ ก่อนจะถามซึงจูอย่างหยั่งเชิง “ถ้าอยากออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ พี่รอได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมตั้งใจว่าจะกลับบ้านอยู่แล้ว ส่วนพวกนั้นกำลังจะไปซื้อของสำหรับงานเทศกาลประจำปีกัน”
“แล้วนายไม่ต้องอยู่ช่วยเตรียมงานเทศกาลประจำปีเหรอซึงจู”
“ไม่ครับ”
“เป็นแบบนี้เพราะขี้รำคาญอีกแล้วสินะ…”
มูยอนมองซึงจูอย่างเศร้าๆ ด้วยสีหน้าเหมือนรู้จักซึงจูดี มันดูเหมือนท่าทางของพ่อแม่ที่กำลังกังวลเรื่องทักษะในการเข้าสังคมของลูก ซึงจูที่รู้สึกกระดากอายขึ้นมาเสียอย่างนั้นจึงเอามือลูบต้นคอ จากนั้นจู่ๆ หนึ่งในเพื่อนร่วมรุ่นผู้ชายของเขาก็พูดโพล่งขึ้นมา
“ถ้าหากว่าพี่สาวพอจะสะดวก…!”
“อ๋อ ไม่ล่ะ”
แต่ก่อนที่คนคนนั้นจะพูดจบ ซึงจูก็ชิงตัดบทเขาทันควัน ซึงจูบ่ายเบี่ยงคำชวนทั้งหมดที่พอจะคาดเดาได้ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับต้องการจะบอกว่า ‘อย่าหวังเลย’
“พี่เขาจะไม่มาร่วมงานเทศกาลประจำปี จะไม่ให้เบอร์โทรศัพท์ แล้วก็จะไม่ไปซื้อของกับพวกนาย จำใส่หัวเอาไว้เลย”
“…”
ซึงจูพูดเร็วมากจนแทบไม่ต่างอะไรกับการแร็พจนมีเสียงใครบางคนหลุดขำพรืดดังมาให้ได้ยิน ดูเหมือนจะเป็นเสียงของซอฮยอน หรือไม่ก็เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเพื่อนผู้ชายคนที่พยายามจะเอ่ยปากชวนก็ได้แต่ประท้วงผ่านสีหน้าที่ดูขัดใจ
“นี่ นายต้องฟังความเห็นของพี่เขาก่อนสิ!”
“เรื่องแบบนั้นต้องได้ยินกับหูด้วยหรือไง เรื่องแค่นี้นายก็ไม่ผ่านแล้วล่ะ”
สำหรับพวกเพื่อนผู้ชายพวกนี้ การพูดออกไปตรงๆ คงจะดีกว่าการแบ่งรับแบ่งสู้อย่างมีมารยาท ซึงจูที่รู้ความจริงข้อนี้มานานแล้วจึงเลือกที่จะเดาะลิ้นพลางแสร้งยกยิ้มอย่างขี้เล่น เพราะเขาคิดว่าการเพิกเฉยใส่อย่างพอเหมาะโดยที่ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถโกรธได้นั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญ
“ถ้าเข้าใจแล้วฉันขอตัวก่อนนะ”
มูยอนที่โตกว่าซึงจูเก้าปีดูมีความสุขมากที่ได้กลับมาเยือนมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้มานาน เธอบอกว่าไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ออกมาเดินเล่นในที่ที่มีคนเยอะขนาดนี้ ทั้งยังบอกว่าคิดถึงสถานที่แสนธรรมดาแห่งนี้พลางมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าสุขใจ แต่พอลองมาคิดดูอีกทีแล้ว ดูเหมือนสาเหตุที่ทำให้เธอสุขใจคงจะไม่ใช่แค่เพราะที่นี่คือ ‘มหาวิทยาลัย’
ทะเลสาบเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มูยอนแวะไปเยี่ยมชม แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็ไม่อาจเล่าเรื่องปลาทองสีดำที่เขาเห็นออกไปได้ เพราะเขาเพิ่งมานึกออกเอาทีหลังว่าถ้าจะพูดเรื่องนี้เขาต้องเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เรื่องที่เนตรสัมผัสวิญญาณตื่นขึ้น และถ้าเธอเกิดถามขึ้นมาว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่สิ…ต่อให้เธอจะไม่ถาม เขาก็รู้สึกอายเกินกว่าที่จะพูดออกไปเองอยู่ดี
เพราะแบบนั้นซึงจูจึงถามมูยอนแทนว่าอสูรสามารถปรากฏตัวขึ้นมาในสถานที่แบบนี้ได้หรือไม่ โดยหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มูยอนก็ตอบกลับ
‘ปกติแล้วก็แทบจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ’
‘…’
ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า หากจะพูดในอีกแง่หนึ่ง เขารู้สึกเหมือนกับเธอกำลังจะบอกว่ามันก็พอจะมีความเป็นไปได้อยู่ เพราะถ้าความเป็นไปได้มีค่าเท่ากับศูนย์จริงๆ มูยอนก็คงจะส่ายศีรษะอย่างเด็ดขาดตามนิสัยไปตั้งแต่แรกแล้ว
แต่เนื่องจากในน้ำเสียงนั้นมีบางอย่างที่บ่งบอกว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ซึงจูจึงนึกถึงคำว่า ‘วิญญาณของปลาทองสีดำ’ ที่ควางชิกพูดถึงแล้วถามต่อ
‘แล้ววิญญาณของสัตว์ล่ะครับ มันสามารถสื่อสารกับคนได้หรือเปล่าครับ’
‘อืม ก็สื่อสารกันได้อยู่นะ แต่…’
ใบหน้าที่กำลังหลุดหัวเราะออกมานั้นทำให้เขานึกถึงมูฮึนขึ้นมาแวบหนึ่ง เวลายิ้มสดใสเธอจะดูเหมือนคิมมูรยอง และเวลายิ้มบางๆ เธอจะดูเหมือนคิมมูฮึน ซึงจูไม่เคยพูดเล่นเลยสักนิดตอนที่บอกว่าถ้าจับสามพี่น้องมาเรียงกันก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับการไล่เฉดสีเลย
‘ไม่รู้ว่าคนจะฟังเข้าใจไหมน่ะสิ’
หลังพูดจบมูยอนก็ยังพูดเสริมเสียงเรียบอีกว่าถ้าคุยกับสัตว์รู้เรื่องได้ก็คงจะดี และไม่ใช่แค่มูยอนเท่านั้นที่พูดแบบนี้ แต่สมาชิกในครอบครัวบ้านข้างๆ ก็มักจะพูดอยู่เสมอเช่นกันเวลามองดูเจ้าซอลกี
‘ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ถามล่ะ มีใครเล่าเรื่องทำนองนั้นให้ฟังเหรอ’
‘อ๋อ พอดีมีเพื่อนบอกว่าเห็นอะไรแปลกๆ ในทะเลสาบน่ะครับ’
ซึงจูพูดข้ออ้างที่คิดเตรียมไว้ล่วงหน้าออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากเขาบอกไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนเห็นมัน เขาจึงตั้งใจทำเหมือนว่ามันคือข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วมหาวิทยาลัยแทน แม้จะรู้สึกผิดที่ต้องโกหกมูยอนโดยไม่จำเป็น แต่ขืนบอกไปว่ามีนักศึกษาจำนวนหนึ่งเห็นมัน มีหวังเธอคงได้อาสาไปตรวจสอบให้ด้วยตัวเอง
‘ได้ยินว่าลักษณะมันดูคล้ายๆ กับปลาทองสีดำน่ะครับ…’
‘งั้นเหรอ’
เป็นไปตามคาด มูยอนถามทวนแบบนั้นแล้วเดินวกกลับไปทันที ต่อให้ไม่เอ่ยปากถามว่าเธอจะไปไหน ซึงจูก็รู้ได้ว่าเธอกำลังมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบอย่างแน่นอน
เมื่อเดินไปถึงรั้วกั้นมูยอนก็กวาดสายตามองไปรอบผืนทะเลสาบกว้างใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าเชื่อถือ
‘พี่ไม่รู้สึกถึงอะไรที่นี่นะ’
มูยอนเป็นถึงหัวหน้าทีมสี่ของสมาพันธ์มือปราบวิญญาณ หรือถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือเธอเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะและความสามารถเทียบเท่ากับรองผู้บริหารระดับสูงเลยทีเดียว ถ้าเป็นสถานที่ที่มีวิญญาณอยู่จริง ต่อให้จะเป็นตอนกลางวันแสกๆ เธอก็คงต้องรู้สึกถึงพลังหยินบ้าง แต่นี่เธอกลับเอียงคอเหมือนสัมผัสถึงมันไม่ได้จริงๆ แม้จะลองชะโงกตัวข้ามรั้วกั้นลงไปมองด้านล่างแล้วก็ตาม
‘พี่ครับ มันอันตรายนะ’
‘ไม่เป็นไรน่า พี่ไม่ตกลงไปหรอก’
คำพูดนั้นมีหมายความว่าเธอไม่มีทางทำเรื่องผิดพลาดโง่ๆ อย่างการตกลงไปจากตรงนี้หรอก
‘เดี๋ยวครับ…ถึงอย่างนั้นก็ควรระวังเผื่อไว้ก่อนไม่ใช่หรือไง’
ว่าแล้วคนโง่อย่างเขาก็ดึงชายเสื้อของมูยอนเอาไว้ โชคดีที่ไม่นานนักมูยอนก็ยืดตัวกลับขึ้นมา จากนั้นเธอก็พูดแบบเดิมว่าถึงจะลองสังเกตดูรอบๆ ก็ไม่รู้สึกถึงพลังหยินจากที่นี่เลย
‘ไม่ใช่ว่าตาฝาดเห็นเป็นปลาทองหรอกนะ?’
‘ก็อาจจะเป็นแบบนั้นมั้งครับ…’
กรณีที่ซึงจูพอจะเดาได้มีอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น นั่นคือกรณีที่เจ้านั่นเป็นวิญญาณของปลาทองจริงๆ และมันก็คงจะไปสู่สุคติแล้วระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมา เพราะเมื่อเวลาผ่านไปบรรดาสัตว์ที่หลงทางก็น่าจะไปสู่สุคติได้เอง
‘มันจะไม่อันตรายใช่ไหมครับ’
เมื่อเขาถามเพื่อความแน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย มูยอนก็ถามกลับมาว่าให้เธอเขียนยันต์ให้สักแผ่นไหม ดูเหมือนเธอจะคิดว่าซึงจูกำลังกลัว แต่ซึงจูก็ตอบได้ไม่เต็มปาก
‘ผมคงแค่คิดมากไปเองน่ะครับ’
ซึงจูไม่ได้กลัว กระวนกระวาย หรือกังวลใจเลยแม้แต่น้อย เขาก็แค่คิดมากไปหน่อยเท่านั้นเอง เขาลืมเรื่องผีที่เจอตรงสี่แยก อสูรหมูป่าที่เคยเผชิญหน้ากันบนภูเขา หรือแม้แต่ปีศาจที่ยืนอยู่ข้างกำแพงไปหมดแล้ว และนี่ก็เป็นแค่วิญญาณปลาทองตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
‘เด็กดีจริงๆ เลยนะเรา คงจะเป็นห่วงพวกเพื่อนๆ น่าดูเลยล่ะสิ’
ทั้งที่ซึงจูไม่ได้ตอบอะไร แต่มูยอนก็สรุปไปแบบนั้นแล้ว และหนนี้สายตาของเธอก็ดูเหมือนพ่อแม่ที่มองดูลูกรักอย่างภาคภูมิใจ ทั้งที่อายุยี่สิบก็ไม่ใช่เด็กแล้ว (แถมซึงจูยังตัวสูงกว่าเธอด้วย) แต่เธอก็ยังคงเห็นซึงจูเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้น
แต่มูยอนจะมองแบบนั้นหรือไม่ซึงจูก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะจริงๆ แล้วมูยอนก็อายุมากกว่าเขา และเขาก็ไม่ได้ไม่ชอบใจอะไรกับการดูแลเอาใจใส่แบบนั้น เขารู้ดีว่าความรู้สึกปลอดภัยที่ผู้ใหญ่มอบให้มันชวนให้รู้สึกสบายใจขนาดไหน
‘กลับบ้านกันเถอะ’
จากนั้นทั้งคู่ก็กลับบ้านมาด้วยกัน มูยอนเอ่ยปากชวนซึงจูไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ซึงจูจึงได้แวะไปบ้านหลังข้างๆ แล้วเล่นกับเจ้าซอลกีอยู่พักใหญ่หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ มูยอนออกจากบ้านในช่วงที่พระอาทิตย์เริ่มตกดินพร้อมกับบอกว่าจะตรงไปทำงานเลย
‘พี่ครับ คือว่า…’
พี่รู้ไหมว่าพี่มูฮึนทำอะไรอยู่
เหตุผลที่ซึงจูไม่อาจถามออกไปได้มีอยู่เพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น แม้ที่ผ่านมาเขาจะแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรต่อหน้าคิมมูรยองมาโดยตลอด แต่เขากลับไม่มีความมั่นใจพอที่จะทำแบบเดียวกันต่อหน้ามูยอน เพราะเขารู้ตัวดีว่าตัวเองจะต้องแสดงท่าทีปั่นป่วนออกไปทันทีที่เปิดปากพูดคำว่า ‘พี่มูฮึน’ แน่ๆ
‘ไม่มีอะไรหรอกครับ…เดินทางดีๆ นะครับพี่’
‘อะไรของนายเนี่ย’
มูยอนมองเขาด้วยสายตาสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกลาอย่างอบอุ่น เธอให้สัญญาว่าถ้ามีเวลาจะมารับเขาแทนมูรยองอีก ถึงแม้จะมีโอกาสน้อยมากก็ตามที ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้คาดหวังไว้มากมายมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เพราะแบบนั้น…มันจึงต่างจากตอนที่มูฮึนพูดกับเขาอย่างสิ้นเชิง
ความเสียใจที่มีต่อคนคนนั้นคงเป็นเพราะใจเราเองจริงๆ สินะ
จู่ๆ ซึงจูก็จำต้องเผชิญหน้ากับความจริงข้อนั้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่รู้สึกอะไร แต่พอเป็นมูฮึนแล้วเขากลับรู้สึกขึ้นมา ดูเหมือนว่าในระหว่างที่ไม่ทันได้รู้สึกตัว ตะกอนที่สะสมมาทีละเล็กทีละน้อยจะทับถมกันจนเต็มแน่นอยู่ภายในใจ
คืนนั้นแม้แต่ตอนที่นอนอยู่บนเตียงซึงจูก็ยังนึกถึงมูฮึน หรือถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าเขานึกถึงประตูหน้าบ้านที่ปิดลงต่อหน้าต่อตาพร้อมกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดทิ้งท้ายเอาไว้ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายมาหากันไม่ได้ในคืนวันเพ็ญกันแน่ มูฮึนมีเหตุผลอะไรที่ไม่สามารถบอกเขาได้ และตัวเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นมากน้อยแค่ไหนกัน
แม้จะมีคำถามมากมาย แต่เขาก็ไม่สามารถคิดหาเหตุผลออกมาได้เลย น้อยครั้งที่ซึงจูจะนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงและคิดหนักอยู่แบบนี้ และในท้ายที่สุดสิ่งที่ได้จากการคิดหนักกลับมีเพียงแค่เสียงถอนหายใจ
ผ่านไปอีกสองวันก็ครบหนึ่งสัปดาห์ที่ซึงจูไม่ได้เจอหน้าเขาคนนั้นพอดี
หลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า วันนี้พระจันทร์จะลอยขึ้นฟ้าแบบเต็มดวง คิมมูรยองบอกแบบนั้นระหว่างมองพระจันทร์ที่ใกล้จะเต็มดวงเมื่อคืนวานที่ท้องฟ้าสว่างกว่าปกติ และทั้งที่อีกฝ่ายบอกเองว่าวันพรุ่งนี้จะยุ่งมาก แต่ก็ยังอารมณ์ดีได้อยู่ ถึงเจ้าตัวจะสุขภาพกายใจดีกว่าคนปกติก็เถอะ
ยิ่งเวลาผ่านไปงานเทศกาลประจำปีก็ยิ่งใกล้เข้ามาทุกทีๆ กระทั่งคลาสเรียนวิชาหนึ่งระหว่างวันประกาศงดการเรียนการสอนด้วยเหตุผลที่ว่าทุกคนต่างก็จิตใจล่องลอยไปจดจ่อกับเรื่องอื่น บรรดาเพื่อนร่วมรุ่นที่ตื่นเต้นดีใจพากันวิ่งออกไปเตรียมบูธ โดยที่มีซึงจูเดินเอื่อยๆ ตามหลังจินอูมาเป็นกำลังเสริมด้วยอีกคน
“โห วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย ซอซึงจู นายแวะมาช่วยด้วยเหรอ”
“นายนี่จิตใจดีอย่างที่คิดเอาไว้เลยแฮะ ซอซึงจู!”
“ยอดคน ซอซึงจู!”
ความจริงแล้วซึงจูก็แค่ไม่มีอะไรทำ แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนร่วมรุ่นต่างก็ต้อนรับเขาด้วยความยินดีราวกับได้เจอผู้ช่วยชีวิต ทันทีที่ซึงจูแวะมา พวกเขาก็พากันส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีและมอบหมายงานให้เยอะแยะไปหมด บางทีซึงจูก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วเพื่อนพวกนี้แค่ต้องการทาสรับใช้หรือเปล่า ทว่าก็ยอมทำตามคำขอร้องของเพื่อนไปโดยไม่ได้ปริปากอะไร สักพักพอเริ่มว่างเขาก็เดินมาตรงที่ซอฮยอนยืนอยู่
“เขยิบไปหน่อย เดี๋ยวฉันช่วย”
“หืม? อ๋อๆ”
ซอฮยอนที่กำลังติดไฟประดับอยู่ส่งของในมือให้ซึงจู งานของเธอคือต้องแขวนมันกับเพดานบูธ แต่เพราะปัญหาเรื่องความสูง มันจึงเป็นเรื่องที่ยากเกินความสามารถไปหน่อย
มือยังแตะเพดานไม่ถึงด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้อาสามาทำงานนี้กันล่ะเนี่ย
ซึงจูคิดเช่นนั้นระหว่างยืดแขนขึ้นไปแขวนไฟประดับ
“ต้องติดตรงไหนอีก”
“…”
พอซึงจูเอ่ยปากถาม ซอฮยอนก็ปิดปากเงียบไม่ตอบอะไรไปครู่หนึ่ง เธอจ้องมองซึงจูก่อนจะหันไปมองทางอื่นอย่างข้องใจ ในไม่ช้าเธอก็กระแอมเบาๆ แล้วชี้นิ้วไปมาหลายจุดบนเพดาน
“แค่ติดเป็นช่วงๆ ให้ดูสวยก็พอ”
ถึงคำอธิบายนั้นจะไม่ใช่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ใช่คำขอที่ยากเย็นอะไร ซึงจูก้าวเร็วๆ ไปติดหลอดไฟโดยเว้นระยะห่างเป็นระยะๆ แบบกำลังดี และในจังหวะนั้นซอฮยอนที่เดินตามเขามาก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย
“ว่าแต่ทำไมนายถึงได้มาช่วยล่ะ”
“มันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอที่ฉันมาช่วย…”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น…”
ซอฮยอนเงียบไปก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ออกมา แม้เธอจะรู้สึกขอบคุณที่เขามาช่วย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกว่ามันเกินคาดอยู่ดี
“ฉันแค่คิดว่านายคงไม่ค่อยชอบทำอะไรแบบนี้น่ะ”
“ก็นะ…”
ซึงจูไม่คิดจะปฏิเสธและทำเพียงแค่ยักไหล่ ถึงเขาจะคิดว่ามันน่ารำคาญจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้ไม่ชอบมันจนถึงขั้นที่ต้องหลบเลี่ยง สมัยมัธยมปลายเขายังเคยช่วยทำแผ่นพับให้ชมรมบรรณารักษ์เลย
“ฉันแค่มาเพราะไม่มีอะไรทำเฉยๆ ขนาดชเวจินอูยังอู้อยู่ตรงนั้นเลย”
ตรงจุดที่ซึงจูชี้นิ้วไปจินอูกำลังจัดโต๊ะอยู่กับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ เจ้าตัวดูจะสนุกกับงานที่สุดแล้ว เพราะทำงานได้ไม่ทันไรก็เริ่มอู้โดยทำเป็นบอกว่าจะรับบทเป็นคนมาดื่มเหล้าไม่ใช่คนขาย
“อ๋า นั่นสินะ จู่ๆ ก็มีเวลาว่างเฉยเลย”
ซอฮยอนพยักหน้าเร็วๆ ด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่าเข้าใจ ดูเหมือนคำตอบของซึงจูจะใช้ได้ผล แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำโกหก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง
‘พอดีว่าสัปดาห์หน้าเป็นคืนวันพระจันทร์เต็มดวงน่ะ’
คืนวันพระจันทร์เต็มดวงที่คิมมูฮึนหมายถึงคือคืนวันนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบหนึ่งสัปดาห์พอดีนับจากที่อีกฝ่ายหายหน้าไป และเป็นวันที่ซึงจูเริ่มจะสงสัยขึ้นมาอีกครั้งหลังจากอารมณ์ขุ่นมัวมาหลายวัน มันคือคำถามจากความสงสัยที่อยู่ในใจเขามาตลอดนับตั้งแต่มูรยองและฮวานยองเริ่มมารับเขา
“…”
หลังจากผ่านพ้นคืนวันเพ็ญไปแล้ว เขาจะกลับมาใช่ไหม
ถึงจะบอกว่า ‘สักพัก’ แต่เขาก็ไม่ได้บอกแน่ชัดว่ามันหมายถึงเมื่อไหร่ การที่เขาจงใจไม่กำหนดระยะเวลาเอาไว้แบบนี้ทำให้ซึงจูต้องกลับมาเฝ้ารออย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง ซึงจูไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ซึงจูรู้คือการทำแบบนี้มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายสุดๆ
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มรอคอยอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อขนาดนี้
เขาเคยคิดว่าสิ่งที่เขารู้สึกเวลามูฮึนหายหน้าไปนั้นคือความว่างเปล่า แต่ในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนมันจะเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจนิยามได้ด้วยถ้อยคำเพียงถ้อยคำเดียว
ถ้าจะเป็นแบบนี้ก็อย่ามาบอกว่าจะอยู่ข้างๆ กันแต่แรกสิ ทำไมถึงได้ชอบทำให้คนอื่นรู้สึกแย่แบบนี้ล่ะ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
ซึงจูส่ายหน้าพลางพยายามคลายสีหน้าลง พอมีเวลาอยู่เฉยๆ เขาก็มักจะฟุ้งซ่านอยู่เรื่อย เขาจึงคิดว่าขยับตัวทำนั่นทำนี่ให้ยุ่งเข้าไว้จะดีกว่า ถ้ามาช่วยเตรียมงานเทศกาลประจำปีจิตใจก็จะจดจ่อกับเรื่องอื่นไปเองโดยธรรมชาติ และถ้ามันช่วยทำให้เขาลืมคิมมูฮึนไปได้ก็คงจะดีที่สุด
แม้จะมีเรื่องที่ต้องทำมากมาย แต่การเตรียมงานเทศกาลประจำปีก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าที่คิด เนื่องจากทุกคนต่างก็ช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่างแข็งขัน การที่ซึงจูมาร่วมด้วยอีกแรงจึงมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก และเนื่องจากเขารับงานที่ต้องใช้แรงเป็นหลัก เขาจึงได้รับความดีความชอบจากการที่สามารถทำงานชิ้นใหญ่ให้เสร็จลงได้อย่างรวดเร็ว
“ฉันเอาไอ้นี่ไปทิ้งก่อนนะ”
หลังจากที่เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงซึงจูก็ยกขยะที่กองรวมกันอยู่ในลังเดินออกจากเต็นท์ไป คงต้องโทษที่ลังขนาดใหญ่นั้นอัดแน่นไปด้วยเศษกระดาษ น้ำหนักของมันจึงไม่ใช่น้อยๆ และในตอนนั้นเองจู่ๆ เขาก็คิดไร้สาระขึ้นมาว่าถ้าเป็นคิมมูรยองก็คงจะถือกล่องหนักประมาณนี้เดินตัวปลิวได้อย่างสบายๆ
ขยะจากการเตรียมงานเทศกาลประจำปีสามารถนำไปทิ้งได้ที่จุดทิ้งขยะด้านหลังอาคาร เนื่องจากมันอยู่ค่อนข้างไกลจากบูธของคณะสังคมศาสตร์ ช่วงกลางทางซึงจูจึงนึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่อาสายกกล่องนี้มาคนเดียว
นี่มันหนักกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก เขาน่าจะแบ่งให้ชเวจินอูสักครึ่งหนึ่ง แต่ถึงจะคิดแบบนั้นเขาก็เดินมาไกลเกินกว่าจะกลับไปได้แล้ว ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ทางเลือกที่ดีที่สุดที่พอจะทำได้ก็คงจะมีแต่การเร่งฝีเท้าเท่านั้น
ด้านหน้าอาคารมีนักศึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ด้านหลังที่เป็นจุดทิ้งขยะนั้นแทบจะไม่มีใครเดินผ่านมาเลย ดูเหมือนพวกเขาจะมาทิ้งขยะกันไปแล้วรอบหนึ่ง หรือไม่ก็รวบรวมไว้ในแต่ละบูธแล้วค่อยจัดการทีเดียว
ซึงจูวางกล่องลงตรงมุมหนึ่งพลางนวดไหล่ที่แข็งตึง รอยช้ำที่แขนซ้ายเพิ่งหายสนิทไปก่อนหน้านี้ เขาระวังตัวอยู่หลายวันเพราะกลัวมูฮึนจะรู้เข้า แต่ก็ถือว่าโชคดีที่สุดท้ายแล้วไม่โดนจับได้
“แต่ถึงโดนจับได้ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
ต่อให้อีกฝ่ายจะรู้ว่าเขามีรอยช้ำ แต่ในช่วงเวลาแบบนี้มูฮึนก็คงจะหายตัวไปที่ไหนสักแห่งด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถบอกเล่ารายละเอียดได้อย่างที่เจ้าตัวบอกเองจากปากอยู่ดี
แล้วจะมาเป็นห่วงกันขนาดนั้นไปทำไม
ซึงจูคิดขึ้นมาด้วยความโกรธ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ
ซึงจูดูเวลาก่อนจะเดินกลับไปทางบูธอีกครั้ง เขาคิดว่าพอมาถึงจุดนี้ก็ถือว่าเขาได้ช่วยมามากพอแล้ว และคิดว่าหลังจากที่จัดการตัวเองเสร็จก็ถึงเวลาต้องกลับบ้านได้แล้ว แต่ในจังหวะที่กำลังจะเดินผ่านตัวอาคาร พลังบางอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไรก็เฉียดผ่านหลังคอของเขาไป
“…”
มันอาจเป็นแค่ความรู้สึกโดยสัญชาตญาณ เพราะแถวนี้ไม่มีใครอยู่และในเวลาแบบนี้ก็มักจะมีผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ถึงเขาจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกเสียวปลาบที่แล่นวาบไปตามกระดูกสันหลังอยู่เหมือนกัน ซึงจูจึงหันไปมองด้านหลังทันทีโดยไม่ต้องมีสัญญาณเตือนใดๆ เขาสังหรณ์ใจอย่างแรงว่าคนที่มักจะโผล่หน้ามาในเวลาแบบนี้น่าจะอยู่ข้างหลังเขาในตอนนี้ และทันทีที่หันหน้าไปเขาก็สบตากับเจ้าของใบหน้าที่คุ้นเคยเข้าให้จริงๆ
“…”
“…”
ชายที่สวมหมวกสีดำกำลังจ้องมองซึงจู ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังตกใจ ทั้งนี้อีกฝ่ายที่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาเหมือนกำลังจะคว้าตัวซึงจูคือควางชิกจริงๆ อย่างที่คิดเอาไว้
“นึกแล้วเชียว…”
ซึงจูเดาะลิ้นพลางส่ายหน้า เขากำลังคิดอยู่เลยเชียวว่าพักนี้หมอนี่ไม่โผล่หน้ามา หมอนี่คงไม่มีทางหนีหน้าหายไปเพียงแค่เพราะบอกวันเดือนปีเกิดปลอมแล้วก็ยอมแพ้ไปแน่ๆ
“ทำไมนายถึงชอบโผล่มาปุบปับแบบนี้ทุกทีเลยฮะ ควางชิก”
“…”
คนตรงหน้าขมวดคิ้วกับคำว่า ‘ควางชิก’ ทั้งที่คราวก่อนซึงจูก็แกล้งเรียกเขาด้วยชื่อนี้จนเอียนแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะฟังดูแปลกหูขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ยินมาพักหนึ่ง
อะไรกัน นี่คือชื่อที่ฟังแล้วจำได้ขึ้นใจในช่วงเวลาสั้นๆ เลยนะ
“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันมา…”
“ไม่รู้สิ ก็แค่รู้สึกแบบนั้นน่ะ”
หลังจากที่ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจนัก จู่ๆ ซึงจูก็ขมวดคิ้วพร้อมกับนึกอะไรขึ้นมาได้ หมอนี่ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมา แบบนั้นก็หมายความว่าที่ผ่านมาหมอนี่แอบซ่อนอยู่โดยไม่ให้สุ้มให้เสียงมาโดยตลอดน่ะสิ
“ไม่เบื่อบ้างหรือไง ชอบโผล่มาข้างหลังอยู่ได้”
“ฉันเพิ่งโผล่มาจากด้านหลังครั้งนี้ครั้งแรกเองนะ”
“โว้ย! เรื่องของนายเหอะ”
ซึงจูตอบด้วยความรำคาญก่อนที่จู่ๆ จะหันมองไปรอบๆ ตอนนี้ยังไม่มีใครเดินมาแถวจุดทิ้งขยะ ชัดเจนแล้วว่าหมอนี่จะปรากฏตัวขึ้นเฉพาะที่ที่ไม่มีใครอยู่ เพราะแบบนั้นตอนแรกเขาถึงได้คิดว่าหมอนี่เป็นผี ไม่รู้ทำไมหมอนี่ถึงต้องมาปรากฏตัวแบบลับๆ อยู่ตลอดทั้งที่ก็เป็นคนมีชีวิตปกติทั่วไปแท้ๆ
“แล้ววันนี้มาหาฉันทำไมอีก”
ซึงจูถามไปตามมารยาท เขาเองก็ไม่ได้อยากทำตัวมีมารยาทนักหรอก แต่แค่รู้สึกว่าถ้าไม่ถาม หมอนี่ก็คงจะปิดปากเงียบอยู่แบบนี้ไปอีกนาน
ระหว่างที่ซึงจูกำลังคิดว่าวันนี้หมอนี่จะมาพูดเรื่องเหลวไหลอะไรอีก จู่ๆ ควางชิกก็เปิดปากพูดขึ้น
“ฉันไม่มีวันเกิด”
“ว่าไงนะ”
มันเป็นประเด็นสนทนาที่ไม่เข้ากับบริบทใดๆ เลย
วันเกิด? จู่ๆ ก็พูดเรื่องวันเกิดขึ้นมาเนี่ยนะ?
“ฉันไม่มีทั้งชื่อ ไม่มีทั้งวันเกิด เพราะงั้นฉันบอกอะไรนายไม่ได้หรอก”
“…”
ไม่รู้ทำไมคำพูดนั้นถึงได้ถูกขุดขึ้นมาพูดเอาตอนนี้ แต่ซึงจูก็เหมือนจะเดาได้คร่าวๆ ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร ดูท่าเขาคงจะกังวลเรื่องที่โกหกวันเดือนปีเกิดเอาไว้เมื่อคราวก่อน ทั้งที่เวลาผ่านมานานขนาดนี้ ซึงจูลืมมันไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังอุตส่าห์มาแก้ตัว
ถึงเรื่องนี้จะน่าขำอยู่ไม่น้อย แต่ประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“ไม่มีชื่อกับวันเกิดเนี่ยนะ?”
ถ้าหมอนี่เป็นประชากรของสาธารณรัฐเกาหลีแล้วจะไม่มีชื่อกับวันเกิดได้อย่างไรกัน เรื่องชื่อยังพอว่า แต่กับวันเกิดที่เป็นวันที่ลืมตาขึ้นมาบนโลกนี่จะไม่มีได้อย่างไร
ฟังขึ้นที่ไหนล่ะนั่น อย่ามาพูดจาไร้สาระน่า
แม้ตั้งใจอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ซึงจูก็กลืนมันกลับลงคอไปเสียก่อน
“อืม ฉันไม่มีทั้งคู่”
“…”
โกหกน่า…แต่จะว่าไปก็ดูเหมือนไม่ได้โกหกแฮะ
ถึงจะเป็นคนที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่หมอนี่ก็ไม่ใช่คนที่อ่านยาก ถ้านี่เป็นการโกหกเพื่อเอาตัวรอด อย่างน้อยคงต้องมีแง่มุมที่น่าสงสัยหรือมีพิรุธอยู่บ้าง
“จู่ๆ มาบอกฉันเรื่องนี้ทำไม”
สมมติฐานมากมายเกิดขึ้นในใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องที่มักปรากฏในละครน้ำเน่าอย่างเช่นถูกทิ้งตั้งแต่เด็กเลยไม่มีวันเกิด หรือใช้ชีวิตอยู่แบบคนตายโดยที่ไม่มีสถานะใดๆ ทางสังคม
“ถ้าคราวก่อนนายโกหกไว้ มันก็จบไปแล้วไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้…”
ซึงจูเงียบไป สีหน้าของเขาแลดูฝืนใจ มันเป็นปฏิกิริยาตอบรับที่มาจากประสบการณ์ คงต้องโทษลางสังหรณ์ของเขาที่บอกว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่านี้เลยจะดีกว่า อาจเป็นเพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับความกังวลของทุกคนมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ มากเป็นพิเศษ
“นายมาเพื่อพูดเรื่องนี้เหรอ”
“เปล่า”
ควางชิกตอบอย่างหนักแน่นก่อนจะลดปีกหมวกลงปิดหน้าปิดตา บริเวณดวงตาที่แต่เดิมก็มีเงาปกคลุมอยู่แล้วจึงแทบจะถูกบังไปอีกเกือบครึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะศีรษะที่เล็กหรือหมวกที่ใหญ่กันแน่ แต่หากมองผ่านๆ ก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้เลย
“ฉันมาคุยเรื่องคิมมูฮึน”
“…”
สีหน้าของซึงจูเรียบนิ่งในทันใด คงเพราะชื่อที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดในเวลานี้ดันโผล่ขึ้นมาในบทสนทนาเสียได้ แต่ไม่ว่าสีหน้าของซึงจูจะดูแข็งกร้าวขึ้นหรือไม่ ควางชิกก็ยังคงพูดต่อไปด้วยวิธีการพูดที่ฟังดูเหมือนหุ่นยนต์
“นายรู้ใช่ไหมว่านักล่าอสูรจะยุ่งที่สุดในคืนวันเพ็ญ”
มันไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ และซึงจูเองก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะตอบด้วย หรือหากจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าเขาไม่อาจอ้าปากตอบอะไรออกไปได้มากกว่า เพราะนับตั้งแต่วินาทีที่ได้ยินชื่อ ‘คิมมูฮึน’ อารมณ์ที่เขาสะกดกลั้นไว้มาโดยตลอดก็ตีรวนขึ้นมาในอกทันที มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายจะหงุดหงิดแต่คล้ายกับจะเศร้าใจอยู่ในที
“แต่คิมมูฮึนน่ะ…”
“นี่…”
น้ำเสียงเยียบเย็นทำให้ควางชิกเม้มริมฝีปากแน่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีความรู้สึกใดปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ซึงจูพยายามข่มความรู้สึกที่เดือดพล่านอยู่ในใจไว้ก่อนจ้องมองเขาโดยไม่หลบสายตา
“ตอนนี้เรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับฉันอีกล่ะ”
ทำไมถึงต้องมาวุ่นวายแต่กับเขาทุกที เพราะซึงจูก็เคยบอกไปแล้วว่าไม่ว่าจะพูดอะไรเขาก็จะไม่รับฟังทั้งนั้น แต่ไม่รู้ทำไมหมอนี่ถึงได้มาตามตอแยเขาไม่จบไม่สิ้น ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่เคยตอบในสิ่งที่ซึงจูถามเลยสักครั้ง แถมยังพูดพล่ามแต่เรื่องที่เขาไม่ได้อยากรู้ แล้วตอนนี้หมอนี่จะหยิบยกชื่อมูฮึนขึ้นมาเพื่อจะพูดเรื่องไร้สาระอะไรอีก
“นายบอกว่านักล่าอสูรยุ่งมาก แต่นายมาหาฉันแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา คิมมูฮึนงั้นเหรอ คิมมูฮึนแล้วไง เขาไปคลายผนึกอสูรที่ไหนให้หลุดออกมาอีกหรือไง หรือว่าเขากำลังทำงานอะไรให้สมาพันธ์อีก”
ซึงจูทวนสิ่งที่หมอนี่เคยพูดขึ้นมาอีกครั้งเหมือนล้อเลียน มันคือเรื่องที่เขาไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย และมูฮึนก็ออกปากปฏิเสธไปแล้วว่าไม่จริง ถ้าหมอนี่พูดอะไรคล้ายๆ กันนี้ขึ้นมาอีก ซึงจูก็พร้อมที่จะหัวเราะเยาะใส่หน้าอีกฝ่ายทุกเมื่อ
“ฉันบอกไปแล้วใช่ไหม ต่อให้นายจะพูดยังไงฉันก็ไม่เชื่อนายสักนิด แล้วฉันก็จะไปบอกพี่เขาทุกอย่างด้วย นายคิดว่าฉันตลกนักเหรอ เห็นฉันยอมฟังหน่อยแล้วคิดว่าฉันจะไม่หงุดหงิดเหรอ”
แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาก็หลุดพูดจาแรงๆ ออกไปแล้ว เขารู้สึกได้เลยว่ายิ่งพูดเท่าไหร่ อารมณ์ก็มีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน และคราวนี้เขาก็ไม่สามารถสงบจิตสงบใจลงได้เลย
“ทำไมนายถึงได้ทำตัวน่ารำคาญแบบนี้ฮะ นายไม่เคยบอกว่านายเป็นใครหรือกำลังทำอะไรเลยสักอย่าง แต่แค่มาหาฉันเฉพาะเวลาที่ต้องการเนี่ยนะ? แล้วยังไง แล้วฉันก็ต้องรับฟังและทำตัวว่าง่ายทุกครั้งที่นายมาหางั้นเหรอ”
ความโกรธเคืองที่ไม่อาจข่มไว้ได้ไม่ได้พุ่งเป้าโจมตีแค่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนเดียวเท่านั้น เพราะวินาทีที่บางสิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมาภายในใจ ในหัวของซึงจูก็เอาแต่นึกถึงใครอีกคนที่ไม่ใช่หมอนี่ และใครคนนั้นก็คือคนใจร้ายที่โผล่หน้ามาแล้วก็หายไปตามอำเภอใจ และจะกลับมาหากันก็ต่อเมื่อซึงจูเหนื่อยล้าเต็มทีกับการรอคอย เขาคือพี่ชายที่คอยเอาใจใส่คนนั้นที่ซึงจูไม่เคยเกลียดได้ลง แต่อีกฝ่ายก็ตกเป็นเป้าของความขุ่นเคืองใจของซึงจูอยู่เป็นประจำ
“พูดมาให้หมดทุกอย่าง หรือไม่ก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น! กำลังเล่นตลกกับใจคนกันอยู่หรือไง นั่นก็อีกคน นี่ก็อีกคน จริงๆ เลยโว้ย!”
ไอ้คนเฮงซวยเอ๊ย คิมมูฮึน จะทำให้คนอื่นเขารู้สึกไร้ค่าไปถึงไหนกัน
“บัดซบ…โธ่เว้ย”
เพราะเพิ่งเคยชอบใครเป็นครั้งแรก ซึงจูจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าความรู้สึกแบบนี้มันปกติหรือเปล่า เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แล้วจึงไม่มีทางที่เขาจะรับมือกับอารมณ์ที่แปรปรวนอยู่ในตอนนี้ได้เลย
“เฮ้อ…”
ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะชอบมูฮึนมากขนาดนี้เลยสักนิด…
จริงอยู่ว่ามันอาจจะเป็นความรู้สึกที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาตั้งแต่เขายังเด็ก แต่ซึงจูก็เชื่อเสมอว่าตัวเองจะตัดใจเมื่อไหร่ก็ได้โดยที่ไม่เคยนึกกังขาเลยสักครั้ง มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เร่าร้อนเหมือนคนอื่นๆ และมันก็ไม่ได้ทิ่มแทงใจให้ต้องรู้สึกเจ็บปวดทรมานเหมือนรักข้างเดียวที่ไม่สมหวังโดยทั่วไปอีกเช่นกัน
เขาเชื่อว่าถ้าควบคุมขนาดของความรู้สึกนี้เอาไว้ได้ ถ้ารักษาระยะห่างอย่างเหมาะสมได้ หรือถ้าพยายามหักห้ามใจได้ สุดท้ายแล้วมันก็จะจบลงด้วยดีในสักวัน
“ทำไมนายต้องพูดเรื่องคิมมูฮึนขึ้นมาตอนนี้ด้วย…”
ทว่าคิมมูฮึนกลับทำให้ทุกอย่างพังทลายลงจนไม่มีชิ้นดี ถึงแม้ว่าเจ้าตัวอาจจะไม่มีเจตนาที่จะทำแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกแย่เพียงเพราะแค่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่มาจากเจตนาดีของเจ้าตัว แต่ถ้าหากว่ามันทำให้ผู้รับรู้สึกทุกข์ใจ มันก็เป็นได้แค่การล่อลวงกันไม่ใช่หรืออย่างไร
“…”
ซึงจูยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตาพลางหอบหายใจ เขาก้มหน้าลงและพยายามคุมจังหวะลมหายใจที่หอบกระชั้นอยู่ในท่านั้นพักหนึ่ง เมื่ออารมณ์ที่พุ่งไปจนถึงขีดสุดค่อยๆ สงบลง คำถามของคนความรู้สึกช้าก็ดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม
“นายร้องไห้เหรอ”
“ฉันจะร้องไห้ทำไม”
ซึงจูปฏิเสธทันควันพร้อมกับเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่เริ่มแดง ร้องไห้อะไรกัน นอกจากเขาจะไม่ได้ร้องไห้ง่ายๆ แล้ว ถ้าจะให้มาร้องไห้ในสถานการณ์แบบนี้เขาคงเสียดายน้ำตาแย่ ตอนนี้เขาโกรธจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว จะเอาอะไรไปร้องไห้ได้ ถ้ายังมีแรงพอที่จะทำแบบนั้น สู้เก็บแรงไว้ใช้ด่าคนตรงหน้ายังจะดีเสียกว่า
“…”
“…”
ต่างคนต่างไม่เปิดปากพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง เพราะซึงจูมัวแต่พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ที่ท่วมท้น ส่วนอีกคนก็ทำเพียงมองดูเขาอยู่เงียบๆ โดยมีเพียงเสียงที่ดังมาจากที่ไหนสักแห่งเท่านั้นที่เติมเต็มช่องว่างระหว่างพวกเขา
“ซอซึงจู นาย…”
ไม่รู้ว่าเป็นแบบนั้นอยู่นานแค่ไหน คนตรงหน้าถึงได้เริ่มเปิดปากพูดขึ้น ก่อนจะถามคำถามแบบคนไม่รู้จักสังเกตอะไรเลยด้วยน้ำเสียงที่ยังคงฟังดูเหมือนหุ่นยนต์
“นายไม่ชอบคิมมูฮึนขนาดนั้นเลยเหรอ”
“…”
เนื่องจากความเร็วของชีพจรเพิ่งจะผ่อนลง ซึงจูจึงเหม่อลอยไปชั่วขณะ
ไอ้บ้านี่…
ถึงจะมองไม่ออกว่าเขาชอบมูฮึน แต่เขาก็ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินคำถามแบบนั้นจากอีกฝ่าย ซึงจูถึงกับสงสัยขึ้นมาว่าหมอนี่ใช้ตรรกะแบบไหนถึงได้ทำให้หลงคิดไปแบบนั้นได้ และในตอนนั้นเองควางชิกก็ได้พูดเสริมขึ้นอย่างคนซื่อที่ไม่รู้ประสีประสา
“ไม่ชอบเขามากจนไม่อยากพูดถึงเขาเลยเหรอ”
“นี่…”
มันเหลวไหลมากจนซึงจูแค่นหัวเราะออกมาอย่างหมดแรง ดูเหมือนคนตรงหน้าจะเข้าใจคำถามที่ว่า ‘ทำไมนายต้องพูดเรื่องคิมมูฮึนขึ้นมาตอนนี้ด้วย’ ผิดไปแบบนั้น จริงอยู่ที่หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับมูฮึนทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ แต่มันก็เป็นข้อสรุปจากความเข้าใจที่ไร้สาระสิ้นดี
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่านะ แค่ถามเพราะอยากรู้”
ซึงจูเกริ่นออกไปแบบนั้นก่อนเฟ้นหาคำที่จะพูดอยู่ในหัว เพราะเขาต้องเลือกประโยคที่ฟังดูไร้มารยาทน้อยที่สุดจากบรรดาความสงสัยมากมายที่อยากจะถาม เนื่องจากทั้งหมดในหัวของเขาตอนนี้มีแต่คำถามที่ฟังดูตรงไปตรงมาเอามากๆ สุดท้ายคำถามที่เขาเลือกแล้วเลือกอีกก็เลยออกมาเป็นแบบนี้…
“นายไม่มีเพื่อนเหรอ”
“…”
ริมฝีปากของควางชิกเม้มเป็นเส้นตรง มันดูแข็งกร้าวอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากริมฝีปากนั้นโดยง่าย ซึงจูจึงมั่นใจว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง
ดูเหมือนจะจริงแฮะ…
ไม่ใช่แค่ตอนนี้ แต่พฤติกรรมของคนตรงหน้าที่ซึงจูเห็นมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน อย่างแรกเลยคือเขาดูไม่ชินกับการเผชิญหน้ากับผู้คน และยิ่งได้คุยกันบ่อยเท่าไหร่ บรรยากาศก็ดูจะผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเพื่อน ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่ารอบตัวเขาดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่เคียงข้างเลยมากกว่า
หมอนี่เป็นใครมาจากไหนกันแน่นะ
หลังจากได้ระบายความโกรธออกไปชุดใหญ่ อารมณ์ของเขาก็เริ่มเย็นลง เพราะแบบนั้นเขาจึงนึกถึงคำพูดที่ได้ยินจากคนตรงหน้าก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ นั่นก็คือเรื่องที่หมอนี่บอกว่าไม่มีทั้งชื่อและวันเกิด ซึงจูรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาว่าหมอนี่น่าจะมีความลับที่เขาไม่อาจจินตนาการได้ เพราะบนโลกนี้จะมีใครที่ไหนที่ไม่มีที่มาที่ไปกัน
“การไม่มีเพื่อนนี่มันผิดเหรอ…”
ผ่านไปได้พักหนึ่ง ควางชิกก็ได้พูดขึ้นมา ทั้งที่เสียงพูดนั้นยังคงราบเรียบไร้อารมณ์ แต่มันกลับเป็นคำถามที่ทำให้ซึงจูรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ซึงจูยังระบายอารมณ์ในเรื่องที่ครึ่งหนึ่งไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายไปเสียยกใหญ่ เขาเลยยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
“ก็บอกว่าแค่ลองถามดูไง อย่าไปสนใจคำถามฉันนักเลยน่า”
ซึงจูจงใจตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เขาไม่ได้สนิทกับหมอนี่มากพอที่จะช่วยอธิบายความหมายของการมีอยู่ของเพื่อนให้ฟังอย่างมีน้ำใจ และเท่าที่สังเกต ตอนนี้เจ้าตัวน่าจะยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคำถามที่เขาเพิ่งถามไปนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่าเจ้าตัวคงจะไม่มีเพื่อนจริงๆ
คงเป็นเพราะแบบนั้นอีกฝ่ายถึงได้ถามขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ยังคงเรียบนิ่ง
“สรุปแล้วนายไม่ชอบคิมมูฮึนใช่ไหม”
“…”
ไอ้คนดื้อด้านเอ๊ย
ซึงจูยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าผากก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“โอ๊ย…ถ้าไม่ชอบได้ก็ดีน่ะสิ”
การจะเกลียดใครสักคนได้คนคนนั้นจะต้องมีสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวเสียก่อน แต่การที่เขาจะไม่รู้สึกผูกพันกับคนที่คอยทุ่มเทดูแลเอาใจใส่ราวกับอุทิศตนแบบนั้นมันช่างยากเย็นเหลือเกิน คนเราจะเกลียดคนที่คอยอยู่เคียงข้างตัวเองมาตั้งแต่เกิดด้วยเหตุผลอะไรกัน
“ถ้าไม่ชอบแล้วฉันจะเอาเรื่องทั้งหมดที่นายพูดไปบอกทำไมล่ะ ถามมาได้ทั้งที่ก็รู้ดีอยู่แล้ว”
คำพูดที่ฟังดูคล้ายกับการตำหนินั้นทำให้ควางชิกตอบรับว่าอืมในลำคอเบาๆ พลางพยักหน้ารับราวกับว่าตัวเองก็ยอมรับในสิ่งที่ซึงจูพูดเหมือนกัน จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นขยับจัดหมวกหนหนึ่ง ทำให้เห็นบริเวณข้อมือใต้แขนเสื้อที่เลื่อนตกลงมา
“เดี๋ยวนะ นี่นาย…ทำไมข้อมือถึงได้เป็นแบบนั้นล่ะ”
ซึงจูอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะโพล่งออกมาแทบจะในทันที เพราะบนข้อมือที่ขาวจนซีดของเขามีรอยแผลที่เหมือนกับโดนอะไรกรีดอยู่หลายรอย คงต้องโทษตำแหน่งของมันที่อยู่ตรงข้อมือ ซึงจูจึงเผลอจินตนาการอะไรเลวร้ายไปชั่วแวบหนึ่ง แต่แล้วควางชิกก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายอะไร
“ฉันโดนแมวข่วนมาน่ะ”
“…”
“ดูเหมือนเล็บมันจะคมกว่าที่คิด”
ถ้าเป็นเล็บแมวมันก็ต้องคมอยู่แล้วไหม หมอนี่พูดเรื่องไร้สาระอะไรอีกเนี่ย
ซึงจูไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าที่ดูเหมือนว่าเขากำลังเจอเข้ากับเรื่องเหลวไหลเอาไว้ได้ แต่เมื่อเห็นเลือดที่ไหลซึมออกมาเหนือรอยข่วนเป็นทางยาวนั้นแล้วเขาก็พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัว
“เดี๋ยวนะ เลือดยังออกอยู่เลยนี่…”
ทำไมมือปราบวิญญาณพวกนี้ถึงได้ทำตัวแบบนี้กัน ทั้งที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันน่าจะเจ็บมาก แต่คนตรงหน้ากลับไม่แม้แต่จะกะพริบตาเลยสักนิด
ท่าทางแบบนั้นดูเหมือนท่าทางของสมาชิกครอบครัวบ้านหลังข้างๆ ของเขามาก ซึงจูเดินไปพลางขยี้ศีรษะไปพลางอย่างประสาทเสีย
“ตามมาสิ เดี๋ยวฉันเอายาให้”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.