ทดลองอ่านเรื่อง ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2
ผู้เขียน : Oneulbom
แปลโดย : มิลค์พลัส
ผลงานเรื่อง : ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
9-3
น่าแปลกที่ควางชิกเดินตามซึงจูมาอย่างว่าง่าย แต่จะว่าไปแล้วก็ดูเหมือนว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาทำตัวหัวแข็งและไม่ยอมฟังคำพูดของซึงจู แม้การกระทำของเขาอาจจะไร้มารยาทไปสักหน่อย แต่เขาก็ไม่เคยข่มขู่หรือใช้กำลังกับซึงจูเลยแม้แต่สักนิด เว้นเสียแต่ตอนช่วยจับซึงจูที่เกือบพลัดตกลงไปในทะเลสาบคราวนั้น
“อะไรเนี่ย…เจ้าพวกนั้นหายหัวไปไหนกันหมด”
ตอนที่กลับมาถึงบูธของคณะสังคมศาสตร์ บรรดาเพื่อนร่วมรุ่นก็ไม่อยู่กันแล้ว หลังจากเช็กโทรศัพท์ดูด้วยความสงสัยว่าทุกคนหายไปไหนกัน ซึงจูถึงได้เห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับหลายสาย รวมถึงข้อความที่บอกให้เขาไปที่ห้องกิจกรรมของคณะ ดูท่าพวกเขาจะไปกันก่อนแล้วเพราะซึงจูกลับมาช้า
แต่จะว่าไปมันกลับกลายเป็นเรื่องดีเสียอีก เพราะถ้าเพื่อนพวกนั้นเห็นควางชิกเข้าและถามว่าเป็นใครขึ้นมาอีกคงได้วุ่นวายแย่ ถึงพฤติกรรมของอีกฝ่ายจะดูแปลกๆ และน่าสงสัยไปสักหน่อย แต่โดยรวมแล้วหมอนี่ก็จัดว่าหน้าตาดี ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีคำพูดไร้สาระที่บอกว่าคนรอบตัวซอซึงจูเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อีกแน่ๆ
“ไปนั่งรอตรงนั้นแป๊บหนึ่ง”
ซึงจูให้ควางชิกไปนั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งก่อนจะค้นดูในกระเป๋า ในกระเป๋าช่องหน้าของเขามียาทาแผลและพลาสเตอร์ยาทุกรูปแบบที่เขาพกติดตัวมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เนื่องจากคิมมูรยองเจ็บตัวบ่อยมาก เขาเลยต้องซื้อมาเก็บไว้อย่างครบครันจนกลายเป็นนิสัยที่จะต้องพกมันเอาไว้ตลอดเวลา
“เอ้า นี่”
เมื่อซึงจูยื่นยาทาแผลกับก้านสำลีให้ ควางชิกก็เงยหน้าขึ้นมองมานิ่งๆ สีหน้านั้นราวกับกำลังถามว่าเอามันมาให้ทำไม ซึงจูจึงยื่นหลอดยาเข้าไปใกล้ขึ้นอีกพร้อมเอ่ยปากเร่งเขาอีกครั้ง
“เอาไปทาแผลซะสิ”
“…”
คนเจ็บรับยาไปเงียบๆ ก่อนจะใช้มือหมุนเปิดฝาอย่างเก้ๆ กังๆ และในขณะที่ซึงจูกำลังคิดว่าทำไมหมอนี่ถึงไม่หยิบก้านสำลีไปด้วย หรือว่าหมอนี่คิดจะบีบยาป้ายลงบนแผลไปทั้งอย่างนั้นเลย อีกฝ่ายก็ทำอย่างที่คิดจริงๆ แต่จะบอกว่าทาก็คงไม่ใช่ คงต้องบอกว่าหมอนี่บีบยาเป็นก้อนโปะแผลไว้ทั้งอย่างนั้นเสียมากกว่า
“เดี๋ยวนะ นี่นายจะบ้าเหรอ ใครเขาทากันแบบนั้น…”
หลอดยาที่แทบจะเหมือนของใหม่พลันหมดไปประมาณครึ่งหลอดในพริบตา ซึงจูร้องลั่นพร้อมกับแย่งมันคืนมาจากมือเขา จากนั้นก็จับข้อมือของควางชิกเอาไว้แล้วช่วยทามันให้ใหม่อย่างเบามือด้วยก้านสำลีที่ถืออยู่
“หนาซะขนาดนี้…ไม่บีบใส่ปากกินเข้าไปเลยล่ะ”
“ยานี่กินได้ด้วยเหรอ”
“ได้ซะที่ไหนเล่า”
หมอนี่ดูท่าจะไม่เต็มเต็งชอบกล เล่นเอาซึงจูถึงกับคิดไม่ตกเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
ถึงใจเขาไม่คิดที่จะทายาให้อย่างเอาใจใส่ แต่ซึงจูก็ยังเช็ดยาส่วนเกินออกแล้วแปะพลาสเตอร์ให้ไปตามความเคยชิน และในตอนนั้นเองจู่ๆ ควางชิกที่มองอยู่เงียบๆ ก็โพล่งขึ้นมา
“ฉันรู้ว่านี่มันเรียกว่าอะไร”
“อะไร”
“ให้แผลแล้วให้ยา”*
“…”
ซึงจูเถียงอะไรไม่ออก เพราะถึงแม้ต้นเหตุของแผลนี่จะเป็นแมวไม่ใช่เขา แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ก่อนหน้านี้เขาโมโหใส่หมอนี่ไปอย่างไม่มีเหตุผล หากแต่ซึงจูก็มีเรื่องที่อยากจะพูดเช่นกัน
“ก็ครั้งที่แล้วนายช่วยชีวิตฉันไว้นี่”
มันเป็นแค่น้ำใจในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากกว่าจะเป็นการตอบแทนบุญคุณ ในเมื่อหมอนี่เคยช่วยเขาที่เกือบพลัดตกลงไปในทะเลสาบเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ควรต้องแสดงความขอบคุณ ถ้าไม่เห็นแต่แรกก็ว่าไปอย่าง แต่เขาไม่มีทางเพิกเฉยได้หลังจากเห็นว่าหมอนี่เลือดออก
“นี่ ควางชิก”
หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าพลาสเตอร์ยาติดสนิทดี ซึงจูก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายอย่างหยั่งเชิง จนถึงตอนนี้ชื่อของอีกฝ่ายได้กลายเป็นชื่อที่ติดปากไปแล้วโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม ซึ่งหนนี้ควางชิกก็เลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง แต่ซึงจูก็แค่พูดในสิ่งที่กำลังจะพูดต่อ
“ไหนลองว่ามาหน่อยซิว่านายต้องการจะทำอะไรกันแน่”
“สิ่งที่ต้องการจะทำ?”
“ถ้านายมาหาฉันก็แสดงว่านายต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างใช่ไหมล่ะ มาสนิทกับฉันแล้วนายจะได้อะไร”
เขาไม่ถามอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรกเพราะไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะถึงอย่างไรถ้าถูกขอให้ช่วยเขาก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว และถ้าจะปฏิเสธเขาก็ต้องคิดเกี่ยวกับมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาไม่อยากเปลืองพลังงานไปกับเรื่องไร้สาระ แต่มาถึงจุดนี้แล้วเขาคงจะต้องถาม
“ฉันไม่ได้จะฟังคำขอของนายนะ ก็แค่อยากรู้เลยอยากจะฟังมันผ่านหูสักครั้ง เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”
ซึงจูรีบอธิบายเอาไว้ก่อนเผื่อว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่ควางชิกกลับนิ่งไปและไม่ตอบอะไรอยู่นาน เขาเพียงแค่ลูบพลาสเตอร์ยาที่ซึงจูแปะให้พลางหลุบตาลงด้วยสีหน้าที่ซึงจูอ่านไม่ออก
จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้เปิดปากพูดออกมาช้าๆ ซึ่งมันช้าที่สุดนับตั้งแต่ซึงจูได้คุยกับเขามาจนถึงตอนนี้
“ฉัน…”
หมอนี่กำลังพยายามจะพูดอะไร ทำไมถึงได้เว้นจังหวะนานขนาดนี้นะ
ถึงอย่างไรมันคงไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก ซึงจูจึงเริ่มคิดแล้วว่าอยากจะล้มเลิกคำพูดที่บอกว่าจะลองฟังดู
ทว่าในจังหวะที่ความอดทนของซึงจูลดลงจนถึงจุดต่ำสุด อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“ฉันจะล้มล้างสมาพันธ์”
หมอนี่บ้าไปแล้วแหงๆ
หน้าตึกออฟฟิศเทลสูงตระหง่าน ซึงจูกำโทรศัพท์มือถือแน่นพลางเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้า พระจันทร์ดวงกลมโตที่ดูราวกับจะกลิ้งตกลงมาได้ทุกเมื่อลอยเด่นอยู่บนยอดตึกสูงที่ต้องแหงนหน้ามองอยู่พักหนึ่งกว่าจะเห็น บนผืนฟ้าที่ไร้เมฆบดบังมีเพียงพระจันทร์เต็มดวงเพียงดวงเดียวลอยประดับอยู่
“…”
ซึงจูไม่อาจละสายตาจากพระจันทร์ดวงนั้นได้อยู่พักใหญ่ราวกับต้องมนตร์สะกด ประกายที่ดูคล้ายกับแสงจันทร์ปรากฏอยู่ในดวงตาที่กะพริบอย่างช้าๆ ของเขา วันนี้นัยน์ตาภายใต้เปลือกตาชั้นเดียวดูสงบนิ่งกว่าทุกวัน
เอาล่ะ ทีนี้เอาไงต่อดี
ซึงจูกลั้นเสียงถอนหายใจเอาไว้ในลำคอ ความรู้สึกอัดอั้นตันใจก่อตัวขึ้นภายในใจมาตลอด เพียงแต่เขาพยายามแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ก็เท่านั้น ซึงจูสลัดความคิดไร้สาระที่ล่องลอยอยู่ในหัวทิ้งด้วยการบังคับตัวเองให้นึกถึงสิ่งที่ได้ฟังมาก่อนหน้านี้
‘สมาพันธ์มือปราบวิญญาณมีบทบาทสำคัญในการปกป้องทุกชีวิตจากสิ่งที่มองไม่เห็นและคงไว้ซึ่งสายสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต’
ควางชิกที่บอกว่าจะล้มล้างสมาพันธ์ได้พูดในสิ่งที่ซึงจูเคยได้ยินมาแล้วหนหนึ่งให้ฟังอีกครั้ง มันคือแนวคิดพื้นฐานของสมาพันธ์มือปราบวิญญาณที่ถือเป็นความภาคภูมิใจของมือปราบวิญญาณทุกคน อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายที่ซึงจูเคยได้ยินอยู่หลายหน
‘เวลามือปราบวิญญาณทำงานจะต้องให้ความสำคัญกับทุกข์สุขของผู้คนเหนือสิ่งอื่นใด แต่ขอบเขตของ ‘ผู้คน’ ที่ว่านั้นไม่รวมถึงมือปราบวิญญาณด้วยกัน’
เรื่องนี้ซึงจูเองก็รู้ดีเช่นกัน และมันก็เป็นเรื่องที่เขาไม่เห็นด้วยมาโดยตลอด สู้เขาไม่รู้เรื่องนี้เลยยังจะดีเสียกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้จากการที่ได้เห็นว่าสมาชิกของครอบครัวบ้านหลังข้างๆ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ขอแค่ภารกิจที่มอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทางสมาพันธ์ก็ไม่เคยสนใจว่าจะต้องมีมือปราบวิญญาณอีกสักกี่คนที่จะต้องเสี่ยงชีวิต
‘ชีวิตของคนทุกคนต่างเท่าเทียมกัน ไม่จำเป็นต้องถูกใช้เหมือนสินค้าที่ใช้แล้วทิ้งเพียงเพราะเป็นมือปราบวิญญาณ’
แม้มันจะดูเหมือนบทพูดที่ท่องจำมา แต่ซึงจูเองก็เห็นด้วยเช่นกัน ระหว่างที่นิ่งฟังอยู่เงียบๆ ควางชิกก็หลุบตาลง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
‘ถึงจะเล่าให้นายฟังไม่ได้ แต่นอกเหนือจากที่นายรู้มาแล้ว มันยังมีเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่เยอะมาก งานที่ทางสมาพันธ์สั่งให้ทำเริ่มเน้นไปที่การหาเงินมากขึ้นเรื่อยๆ และภายในก็เกิดความวุ่นวายอยู่ตลอด’
ซึงจูนึกสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้พูดออกมาโดยที่ดูขาดความมั่นใจขนาดนั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นเพราะประโยคที่พูดในทำนองว่า ‘ฉันเล่าเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลให้นายฟังไม่ได้หรอก’ เนื่องจากก่อนหน้านี้ซึงจูเพิ่งตะโกนใส่เขาไปว่าให้พูดมาให้หมดทุกอย่าง หรือไม่ก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น
แท้จริงแล้วคำพูดนั้นไม่ได้ต้องการจะสื่อถึงควางชิก แต่เป็นมูฮึนต่างหาก
‘ฉันก็เลยอยากจะล้มล้างสมาพันธ์’
หลังจากพูดอ้อมโลกมาไกล บทสรุปก็เป็นอย่างที่ได้ฟังไปก่อนหน้านี้ ซึงจูรู้สึกว่าสายตาของอีกฝ่ายที่เงยหน้ามองขึ้นมาอีกครั้งดูแน่วแน่เกินกว่าที่เขาจะปฏิเสธออกไปหรือบอกว่าอย่าพูดเรื่องไร้สาระได้
‘เพื่อการนั้นแล้ว ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคิมมูฮึน’
ทำไม…
ซึงจูยังไม่ทันได้ถามออกไป อีกฝ่ายก็พูดต่อทันที
‘และคนคนเดียวที่สามารถโน้มน้าวคิมมูฮึนได้ก็มีแค่นาย…ซอซึงจู’
‘…’
หนนี้ซึงจูก็ยังไม่อาจถามถึงเหตุผลที่หมอนี่คิดแบบนั้นได้ เพราะเขาคิดว่าไม่ว่าจะได้รับคำตอบแบบไหน เขาก็คงไม่สามารถเอาชนะความหนักแน่นของเหตุผลนั้นได้อยู่ดี
ในสายตาของหมอนี่เขาดูมีความสำคัญถึงขนาดที่จะโน้มน้าวมูฮึนได้เลยหรือ แทนที่จะรู้สึกภูมิใจอย่างทะนงตัว เขากลับรู้สึกห่อเหี่ยวใจสุดๆ
‘นี่นายกำลังขอให้ฉันไปโน้มน้าวใจพี่มูฮึนงั้นเหรอ’
‘ประมาณนั้น’
ดูเหมือนสิ่งที่เขาต้องการจากซึงจูจะไม่ใช่แค่นั้น แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม ดูจากการที่เขาขมวดคิ้วอยู่เงียบๆ มันก็ชัดเจนแล้วว่าเขายังไม่มีแผนการใดๆ ที่เป็นรูปธรรมเหมือนกัน แต่ก่อนจะชี้ให้เห็นถึงความไม่คิดหน้าคิดหลังของเขา ซึงจูต้องทำให้เขาตื่นจากการคิดไปเองเสียก่อน
‘โทษทีนะ แต่ช่วงนี้ฉันไม่ได้ติดต่อพี่เขาเลย’
ก่อนจะโน้มน้าวได้ก็คงต้องเจอหน้ากันให้ได้เสียก่อน แต่โชคร้ายที่เพียงแค่จะเจอหน้าอีกฝ่ายก็ยังไม่ง่ายเลย แม้ซึงจูจะยังไม่เคยลองติดต่อไป แต่เขาก็ตัดสินใจจะโกหกออกไปทั้งอย่างนั้น
‘คงจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพักล่ะมั้ง ดูท่าเขาไม่น่าจะรับโทรศัพท์หรอก…’
แต่ทันทีที่ควางชิกได้ยินเช่นนั้น เขาก็ตอบกลับมาเหมือนจะช่วยเฉลยคำตอบ
‘เขาอยู่ที่บ้าน’
‘นายรู้ได้ยังไง’
ดูเหมือนหมอนี่จะมั่นใจมากว่ามูฮึนอยู่ที่ไหน พอซึงจูถามออกไปด้วยความรู้สึกสงสัย เหตุผลที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือก็ถูกเอ่ยขึ้นตามมา
‘ปกติแล้วในคืนวันเพ็ญพวกนักล่าอสูรก็มักจะอยู่บ้านกันทั้งนั้นแหละ พวกเราจะทำงานทั้งหมดล่วงหน้าตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้า และพอถึงคืนวันเพ็ญก็จะพักผ่อนอยู่แค่ที่บ้าน’
บรรดามือปราบวิญญาณต่างก็บอกกันว่าคืนวันพระจันทร์เต็มดวงเป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงาน ซึ่งการที่มูรยองมักจะร่าเริงเพราะร่างกายเบาสบายในคืนวันเพ็ญก็น่าจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องนั้นได้แล้วไม่ใช่หรือ
‘เพราะงั้นวันนี้นายลองแวะไปหาเขาสิ’
แม้ว่ามันจะฟังดูเหมือนเป็นคำสั่งในวินาทีแรก แต่ซึงจูก็ไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด เพราะเขาเพิ่งได้ยินแผนการแสนยิ่งใหญ่ที่จะล้มล้างสมาพันธ์ของหมอนี่ เขาเลยคิดว่าถึงอย่างไรก็น่าจะต้องบอกมูฮึน เพราะถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างนี้คงจะยุ่งยากน่าดู
“…”
ไม่สิ…สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่ข้ออ้าง เขาก็แค่อยากมาหามูฮึนโดยอ้างว่าต้องเอาสิ่งที่ควางชิกพูดมาบอกก็เท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ต่อหน้าควางชิกเขายังตอบกลับไปอย่างเย็นชาว่า ‘ฉันจะแวะไปหรือเปล่ามันก็เรื่องของฉัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาสั่ง’ อยู่เลย
ทั้งที่เขาไม่ได้มีนิสัยชอบทำอะไรตามอารมณ์แบบนี้ แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคิมมูฮึนทีไรก็ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่ใจคิดสักอย่าง ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่คิดหนักเกี่ยวกับมันจนมาถึงประตูหน้าบ้านพร้อมกับมูรยอง
แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรหลังจากนั้น จู่ๆ เขาก็เดินเข้าบ้าน วางกระเป๋าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนถูกอะไรบางอย่างเข้าสิง
ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ซึงจูก็มาหยุดยืนอยู่หน้าออฟฟิศเทลของมูฮึนในสภาพที่ดูคล้ายโจรเล็กน้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเขากังวลเรื่องที่ว่ากลุ่มอิทธิพลใหม่กำลังเพ่งเล็งเขาอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมาหามูฮึนให้ได้ เขาจึงตัดสินใจใส่หมวกปิดหน้าปิดตาและใช้ฮู้ดของเสื้อตัวนอกคลุมเอาไว้ ถึงการทำแบบนี้จะไม่อาจปกปิดอะไรได้ แต่มันก็คงดีกว่าการเดินไปไหนมาไหนโดยให้คนรู้อย่างโจ่งแจ้งว่า ‘ผมซอซึงจูเองครับ’ สุดท้ายเขาก็เตรียมใจเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าคงจะโดนมูฮึนบ่นชุดใหญ่แน่หลังจากที่เจ้าตัวรู้ว่าเขามาที่นี่คนเดียว
“เรื่องนั้นไว้เจอกันก่อนค่อยว่ากัน”
ลองโทรหาดีไหม หรือจะกดเรียกผ่านอินเตอร์คอมดี?
หลังจากลังเลระหว่างทางเลือกสองทาง สุดท้ายซึงจูก็เลือกที่จะโทรหาอีกฝ่าย เพราะถ้ามูฮึนไม่อยู่ห้อง ต่อให้กดอินเตอร์คอมเรียกไปก็คงไม่มีประโยชน์ แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ซึงจูควรจะมาคิดเอาตอนนี้ ตอนที่มาหยุดยืนอยู่หน้าที่พักของอีกฝ่ายแล้ว
ตู๊ด…
วินาทีที่เสียงรอสายดังขึ้น จู่ๆ ลำคอของซึงจูก็พลันแห้งผากขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เนื่องจากเขาเคยคุยโทรศัพท์กับมูฮึนแค่ไม่กี่หน เขาจึงรู้สึกแบบนี้เสมอเวลาโทรหา มันเป็นความรู้สึกใจเต้นแบบที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ซึ่งมันคล้ายกับความประหม่าหรือไม่ก็ความคาดหวัง
ตู๊ด…ตู๊ด…
ตู๊ด…
กริก…
“ขณะนี้ไม่มีผู้รับสาย กรุณาฝากข้อความโทรกลับของท่าน…”
“…”
ซึงจูกดปุ่มวางสายแล้วลองโทรใหม่อีกครั้ง เพราะเป็นไปได้ว่าโทรแค่ครั้งเดียวมูฮึนอาจจะยังไม่เห็น เขาตั้งใจว่าจะลองโทรดูอีกหน ถ้าหนนี้ไม่ได้ผลก็คงต้องลองคิดหาวิธีอื่นดู
ตู๊ด…
หนนี้เสียงรอสายดังต่อเนื่องอยู่นาน ความประหม่าที่รู้สึกตอนโทรออกครั้งแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเบื่อหน่ายและความกระวนกระวาย เสียงรอสายที่ได้ยินซ้ำๆ ทำให้ซอกมุมหนึ่งในใจของเขารู้สึกอึดอัด
ติดงานอยู่หรือเปล่านะ
แม้ว่าพระอาทิตย์จะตกไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาดึก และถึงควางชิกจะบอกว่ามูฮึนมักจะอยู่ที่ห้องในคืนวันเพ็ญ แต่ก็ไม่แน่ว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นจะถูกต้อง ตราบใดที่ไม่มีใครเห็นมูฮึนอยู่ที่ห้องด้วยสองตาก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะรู้ว่ามูฮึนอยู่ที่ไหน
“ขณะนี้ไม่มีผู้รับสาย กรุณาฝากข้อความ…”
“…”
ซึงจูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวางสายแล้วเดินไปตรงประตูทางเข้าออฟฟิศเทล เนื่องจากครั้งที่แล้วเขารู้เลขห้อง จึงคิดจะลองกดเรียกดูสักครั้ง ซึ่งถ้ามูฮึนไม่รับสาย เขาก็คงจะทำอะไรไม่ได้นอกจากกลับบ้าน
“ห้อง 1405…”
ตอนเขามาที่นี่คราวที่แล้ว การกดเรียกผ่านอินเตอร์คอมมันแปลกใหม่สำหรับเขามาก เพราะเขาอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวมาตั้งแต่เกิด จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้ามาเหยียบในออฟฟิศเทลที่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่แบบนี้สักเท่าไหร่ คิมมูรยองที่เขาสนิทด้วยที่สุดเองก็อาศัยอยู่บ้านเดี่ยวเหมือนกัน ดังนั้นเวลาไปเยี่ยมทีไร มูรยองก็จะมาเปิดประตูให้เป็นประจำ
เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้มาเหยียบที่นี่ ซึงจูจึงกดหมายเลขห้องตามด้วยปุ่มต่อสายอย่างคุ้นเคย เสียงดนตรีรอสายดังอยู่พักหนึ่งพร้อมข้อความเสียงที่บอกว่า ‘ขณะนี้กำลังเรียกสาย’
“…”
ทว่าหลังจากอดทนรออยู่พักใหญ่ สายของห้อง 1405 ก็ยังคงเงียบสนิท ถ้าเจ้าของห้องกำลังหลับอยู่จริง ติดต่อไปขนาดนี้ก็น่าจะตื่นได้แล้ว เพราะแบบนั้นซึงจูจึงคิดว่าเขาน่าจะไม่อยู่ห้องเสียมากกว่า
“โอ๊ย…ไอ้คนหลอกลวง”
หมอนั่นเปิดปากพูดทีไรก็มีแต่เรื่องเชื่อถือไม่ได้ ซึงจูบ่นงึมงำอย่างหัวเสียก่อนยกเลิกการกดเรียก ถ้าเอาแต่กดอินเตอร์คอมโทรหาห้องที่ไม่มีคนอยู่ไปเรื่อยๆ แบบนี้แล้วไม่โดนร้องเรียนหาว่าเป็นคนเสียสติก็คงจะโชคดีมาก
ซึงจูรู้สึกผิดหวังสุดๆ แต่ในทางกลับกันแล้วก็รู้สึกโล่งใจ เพราะการต้องเผชิญหน้ากับมูฮึนค่อนข้างเป็นภาระทางใจของเขาอยู่ไม่น้อย ซึ่งรวมถึงการถ่ายทอดคำพูดของควางชิกและการแวะมาที่นี่โดยไม่ได้ติดต่อมาก่อนล่วงหน้าเองก็เช่นกัน
พอคิดได้แบบนั้นแล้วซึงจูก็ตั้งใจจะหมุนตัวหันหลังกลับ แต่จู่ๆ ความรู้สึกชวนขนลุกก็แล่นปราดขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง
“…”
เขาพลันรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก มันให้ความรู้สึกเหมือนมีสายลมเย็นพัดโถมเข้ามา พร้อมกันนั้นยังรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคน พริบตาเดียวที่ความรู้สึกหวาดกลัวก่อตัวขึ้นมา ซึงจูก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวและได้แต่ยืนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เพราะมันเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้จากสัญชาตญาณ และในตอนนั้นเองซึงจูก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา
คงไม่ใช่หรอกน่า…
ซึงจูพยายามลบความรู้สึกหวาดหวั่นออกไปจากใจ เขากลั้นหายใจพลางกำยันต์ในกระเป๋ากางเกงเอาไว้แน่น แต่พอไม่รู้สึกถึงพลังใดๆ จากแผ่นยันต์ เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าของเสียงฝีเท้าที่ได้ยินอยู่ตอนนี้คือคนเป็น
ใช่แล้ว…นั่นหมายความว่าเงามืดที่ทอดยาวมาจากทางด้านหลังของเขาตอนนี้ไม่ใช่เงาของปีศาจอย่างแน่นอน
“…”
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากทางด้านหลัง ซึงจูเกือบจะแหกปากร้องลั่นออกไปโดยอัตโนมัติ แต่ก็พลันกลั้นเสียงร้องที่จวนจะเปล่งออกมาจากลำคอเอาไว้ได้ทัน เมื่อเห็นนิ้วมือเรียวสวยที่แตะลงบนแป้นพิมพ์ของอินเตอร์คอมแล้วเริ่มป้อนตัวเลขลงไปอย่างใจเย็น
1…4…0…5…#…
มันเป็นตัวเลขที่แสนคุ้นตา และในจังหวะถัดมาซึงจูก็หลุดหัวเราะเสียงแห้งออกมาอย่างโล่งใจ
ปลายนิ้วชี้ของใครคนนั้นกดป้อนรหัสผ่านสี่หลักต่อจากหมายเลขห้อง หลังจากนิ้วมือที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับจะบอกให้ดูและจดจำเอาไว้หยุดขยับ เสียงสัญญาณ ‘ติ๊ด’ ก็ดังขึ้นตามมา
“ซึงจูยา…”
เนื้อเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนที่เพราะราวกับเพลงกล่อมเด็กที่ได้ฟังยามง่วง กลิ่นกายบางเบาที่ลอยมากับสายลม และไออุ่นอันแสนคุ้นเคยที่ไม่มีทางลืมได้ รวมถึงคำถามที่ทิ่มแทงใจเขาจนถึงกับสะดุ้งเฮือกอย่างลืมตัว
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
และใครคนนั้นก็คือคิมมูฮึน
ซึงจูถอดฮู้ดของเสื้อตัวนอกที่คลุมศีรษะอยู่ออกอย่างทำตัวไม่ถูก ในห้องนั่งเล่นอันกว้างขวางมีโซฟาหนังสีขาวที่เขาเห็นคราวที่แล้วตั้งอยู่ จนถึงตอนนี้ซึงจูก็ยังไม่รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาใดๆ ภายในห้องที่เรียบง่ายและว่างเปล่าจนชวนให้รู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย
ทีแรกซึงจูตั้งใจจะถอดหมวกอีกใบออก ทว่าเขาก็ได้แต่จับปีกหมวกค้างอยู่อย่างนั้น เพราะนึกขึ้นได้ว่าถ้าไม่มีหมวกใบนี้ เขาก็คงทนสายตาของมูฮึนไม่ไหว เพราะมูฮึนที่ยืนเอนตัวพิงผนังกำลังจ้องมองมาที่เขาไม่วางตา
“…”
“…”
เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่น่าโดนดุขนาดนั้นไม่ใช่หรือไง ไม่สิ…เขาทำเรื่องที่น่าโดนดุจริงๆ นั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะทำตัวเคร่งขรึมและจริงจังขนาดนี้ เพราะปกติแล้วมูฮึนไม่เคยโกรธเขาเลยสักครั้ง เขาเลยเผลอคิดไปว่าสุดท้ายคงแค่โดนบ่นอะไรนิดหน่อยก็เท่านั้น
ทว่ามูฮึนกลับทำสีหน้าแบบนี้มาตั้งแต่ตอนที่เจอซึงจูตรงหน้าประตูทางเข้าแล้ว กระทั่งตอนที่เปิดประตูเข้ามา ตอนที่ซึงจูบอกว่ามาหาเพราะมีเรื่องจะเล่า หรือแม้แต่ตอนที่ขึ้นลิฟต์มาด้วยกันแล้วพาซึงจูเข้ามาในห้องก่อน อีกฝ่ายก็ยังคงทำสีหน้าอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“…”
แววตาที่ดูเยือกเย็นนั้นสร้างบรรยากาศกดดันมากกว่าที่เคย ถ้าเขาไม่กะพริบตาช้าๆ ซึงจูคงไม่มีแม้กระทั่งเวลาให้หยุดพักหายใจ ดวงตาสีดำสนิทแลดูมืดมิดยิ่งกว่าทุกวัน และริมฝีปากที่มักจะยกยิ้มให้กันอยู่เสมอเองก็ปิดสนิทเป็นเส้นตรง
“คือว่า…”
สุดท้ายซึงจูก็จำต้องเปิดปากขึ้นก่อนอย่างไร้ทางเลือก เพราะขืนยังเงียบอยู่ต่อไปแบบนี้เขาอาจถูกลงโทษอยู่ที่นี่ทั้งคืน ถึงมูฮึนจะไม่ได้ทำโทษอะไรเขาเป็นพิเศษ แต่ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับโทษสถานหนักเลย ซึงจูหลุบตาลงก่อนจะเอ่ยปากพูดออกไป
“ผมผิดไปแล้วครับ”
พอมาลองคิดดูแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเขาเคยโดนดุบ้างไหมนะ ถ้าไม่นับตอนที่ยังเด็กมากๆ ซึงจูก็ไม่เคยต้องทนฟังอย่างอื่นนอกจากเสียงบ่นที่ไม่ได้จริงจังอะไรนัก เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ค่อยทำผิดอะไรอยู่แล้ว แถมอีกฝ่ายก็มักจะมองข้ามความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ไปอยู่เสมอเช่นกัน
ทว่าในระหว่างที่พยายามขอโทษคิมมูฮึนอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็เกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา
“ครั้งต่อไปไม่ทำแบบนั้นอีกก็พอแล้วใช่ไหมครับ”
พอซึงจูพูดห้วนๆ ไปแบบนั้น มูฮึนก็พลันขมวดคิ้ว เขาหรี่ตาซ้ายลงเล็กน้อยพลางเอียงคอด้วยความสงสัย และสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ไม่ใช่คำตอบรับว่าเข้าใจแล้ว แต่เป็นการย้อนถามกลับที่ใช้เวลานานกว่าปกติเล็กน้อย
“อะไร”
นี่เขาถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือใจจริงแล้วเขาแค่อยากจะให้ซึงจูบอกสิ่งที่ตัวเองทำผิดออกมากันแน่ ซึงจูขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอึกๆ อักๆ
“ก็เรื่องที่มาที่นี่คนเดียวไงครับ…?”
“อ๋อ…”
มูฮึนรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้า เขาตอบสนองช้ากว่าปกติเล็กน้อยและสติดูค่อนข้างจะไม่เต็มร้อยแบบแปลกๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงตอบกลับอย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่างไปจากสีหน้า
“นายก็ทำไม่ถูกจริงๆ นั่นแหละ คราวหน้าก็โทรตามพี่สิ หรือไม่ก็เข้ามาข้างในก็ได้”
คงจะไม่ได้โกรธ แต่แค่เหนื่อยสินะ?
ซึงจูคิดในใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับที่ไม่ต่างไปจากปกตินั้น
เมื่อครู่เขามัวแต่หลบตาอยู่เลยไม่ทันสังเกต ดูจากตอนนี้แล้วเหมือนว่าอีกฝ่ายจะง่วงนอนหน่อยๆ แต่มูฮึนกลับไม่ได้ออกอาการงอแง ซึ่งมันต่างไปจากปกติ
“…”
“…”
ความเงียบที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ได้โรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศระหว่างพวกเขาอีกครั้ง มูฮึนทอดสายตามองซึงจู ส่วนซึงจูก็ลอบสังเกตสีหน้าของมูฮึนที่มองมา แต่จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกที่มูฮึนไม่ถามคำถามที่ควรจะต้องถาม อย่างเช่นว่า ‘ว่าแต่นายมาทำไม’ หรือ ‘มีเรื่องอะไรจะพูดเหรอ’ เลยแม้แต่น้อย
อันที่จริงการเปิดปากพูดก่อนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่มันยากเพราะเขาตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าควรพูดเรื่องของควางชิก…ไม่สิ นักล่าอสูรที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหนคนนั้นก่อน หรือควรถามมูฮึนก่อนดีว่ามัวทำอะไรอยู่ในช่วงที่ผ่านมา เพราะพอจะเริ่มพูดเรื่องแรกก็ติดเรื่องหลัง และถ้าจะให้เริ่มพูดเรื่องหลัง มันก็จะดูเจาะจงจนเกินไป
ถ้าพูดไปจะเป็นยังไงนะ…
บางทีความรู้สึกที่คิดไปเองว่ามันคงเป็นความโกรธเคือง แท้จริงแล้วมันอาจจะเป็นความคิดถึงก็ได้ แม้ในหัวจะมีคำถามมากมายที่อยากถาม แต่เอาเข้าจริงพอเห็นเขาอยู่ตรงหน้าแล้ว ซึงจูก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่ชอบใจเขาด้วยเรื่องอะไร ทั้งที่ตอนไม่ได้เจอหน้าก็นึกแค้นแทบตาย แต่ตอนนี้พอได้เจอหน้ากันก็รู้สึกว่าทุกอย่างนั้นพลันหายวับไปกับตา
“พี่ครับ เมื่อกี้…”
ในตอนนั้นเองซึงจูก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะพูดเรื่องของควางชิกขึ้นมาก่อน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ มูฮึนก็ชิงพูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“ก่อนอื่น…”
มูฮึนพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมา และคำพูดที่เขาพูดถัดมาหลังจากนั้นก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของซึงจู
“นายกลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่โทรเรียกมูรยองให้”
“ครับ?”
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ซึงจูอึ้งกับคำพูดของเขาไปครู่หนึ่ง เพราะปกติแล้วมักจะได้ยินเขาบอกให้อยู่ต่อ แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่โดนบอกให้กลับไปก่อน เมื่อเห็นซึงจูกะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าอึ้งๆ มูฮึนก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางส่ายหน้า
“เดี๋ยว…ไม่ต้อง”
ปฏิกิริยาตอบรับของเขายังคงเชื่องช้าเหมือนก่อนหน้านี้ และดูเหมือนว่าเขาจะกำลังสับสนอยู่เล็กน้อยด้วย เขาเม้มริมฝีปากแน่นแล้วก้มลงมองโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าหลังจากเสยผมที่ปรกหน้าไปหนหนึ่ง
“เดี๋ยวพี่ออกไปเอง นายอยู่นี่แหละ”
“ครับ? เดี๋ยวสิ นี่พี่เป็นอะไร…”
หลังจากพูดแบบนั้นออกมามูฮึนก็เดินตรงไปที่ประตูห้องอย่างที่พูดไว้ ท่าทางของเขาดูราวกับว่าจะออกไปข้างนอกเดี๋ยวนั้นจริงๆ ซึงจูที่รู้สึกสับสนไปหมดจึงรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้
“พี่จะทำอะไรน่ะ จะออกไปข้างนอกทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ?”
“…”
แม้แรงที่คว้าจับข้อมือของเขาเอาไว้จะไม่ได้มากจนน่าตกใจ แต่มูฮึนก็หยุดเดินเหมือนตัวแข็งทื่อไปในทันที เขาเผยสีหน้าหนักใจออกมาแล้วขมวดคิ้วอย่างที่ดูไม่ค่อยสมกับเป็นเขาสักเท่าไหร่ พอเห็นการกระทำนั้นแล้วซึงจูก็เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่ราวกับกำลังข่มกลั้นความรู้สึกเอาไว้
“เดี๋ยวสิ…พี่”
ไม่รู้จะเรียกความรู้สึกในตอนนี้ว่าความหงุดหงิดได้ไหม ไม่สิ…คำว่าอึดอัดน่าจะเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องกว่า จนถึงตอนนี้ซึงจูก็แทบจะไม่ได้สบตากับมูฮึนเลย ซึ่งเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้พยายามหลบเลี่ยงกันแบบนี้
“ทำไมพี่ถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะครับ”
พอลองมาคิดดูแล้ว คราวก่อนก็เป็นแบบนี้ ตอนที่มูฮึนเอาโทรศัพท์มือถือให้เขาแล้วบอกว่าน่าจะหาโอกาสมาเอาคืนยากเพราะเป็นคืนวันเพ็ญ มันมีความเกี่ยวข้องอะไรระหว่างการที่พระจันทร์เต็มดวงกับการมาเจอเขากัน เอาเข้าจริงแล้วถ้าไม่นับเรื่องที่ดูมึนงงนิดหน่อย มูฮึนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็ดูไม่ได้ต่างจากปกติสักเท่าไหร่
“ครั้งที่แล้วพี่ก็พูดถึงคืนวันเพ็ญ ไหนพี่ช่วยอธิบายมาหน่อยสิครับ มีเหตุผลอะไรที่พี่มาหาผมในคืนวันเพ็ญไม่ได้ครับ”
ซึงจูระบายความอึดอัดใจออกมาขณะที่คว้าตัวมูฮึนไว้ ถ้าบอกมาตามตรงเขาก็จะเข้าใจและยอมรับมัน แต่นี่มูฮึนกลับเอาแต่ปิดปากเงียบตามอำเภอใจ เขาจึงรู้สึกอัดอั้นจนอกจะแตก แม้แต่หัวใจที่คิดว่าดีขึ้นแล้วก็ยังปวดหน่วงจนรู้สึกทรมาน
“ช่วยบอกผมทีว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
“ซึงจูยา…”
มูฮึนเปิดปากพูดขึ้นช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าปกติ มันเป็นน้ำเสียงที่เนิบช้าจนชวนให้รู้สึกหงุดหงิด เช่นเดียวกับมือของเขาที่ดึงข้อมือของซึงจูออก
“ไว้เราค่อยคุยกันวันหลังนะ”
“…”
คำว่าวันหลังนี่มันหมายถึงเมื่อไหร่กัน เขาพยายามจะให้สัญญาที่ไม่ชัดเจนแบบนี้อีกแล้ว ดูจากการที่เขาพูดว่า ‘ไว้เราค่อยคุยกันวันหลังนะ’ ไม่ใช่ ‘ไว้พี่จะบอกนะ’ มันก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะไม่ยอมบอกเหตุผลไม่ใช่หรือ
“จะวันนี้หรือวันหน้าพี่ก็คงจะไม่บอกผมอยู่ดีนั่นแหละ”
เป็นไปตามคาด มูฮึนไม่อาจปฏิเสธในสิ่งที่ซึงจูพูดออกไปด้วยความขุ่นเคืองได้ เขาทำเพียงแค่มุ่นคิ้วก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“มันไม่ใช่เรื่องที่นายควรรู้หรอกนะ”
“ไหนพี่เคยบอกว่าการปกปิดเอาไว้ไม่ใช่การทำเพื่อคนอื่นไงครับ”
แม้ไม่ได้ตั้งใจจะถามซักไซ้ขนาดนี้ แต่ซึงจูก็จำใจต้องหยิบยกคำพูดที่มูฮึนชอบพูดบ่อยๆ ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นคำพูดที่เจ้าตัวมักจะพูดกับซึงจูหรือมูรยองทุกครั้งที่พวกเขาปกปิดบางอย่างด้วยข้ออ้างว่าทำเพื่อคนอื่น
“หรืออย่างน้อยก็ช่วยบอกเหตุผลกันหน่อยสิครับว่าทำไมถึงบอกไม่ได้ ถ้าพี่เอาแต่ปฏิเสธและไม่ยอมบอกกันแบบนี้แล้วผมจะยอมรับมันได้ยังไง”
ความจริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ซึงจูจะพูดได้อย่างเต็มปากเช่นกัน เพราะถ้าถามว่าใครมีเรื่องปิดบังมากกว่ากันก็คงต้องตอบว่าเป็นตัวเขาเองไม่ใช่มูฮึน มูฮึนสั่งให้เขาเล่าให้ฟังทุกอย่างแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ซึงจูก็ไม่คิดจะเล่าหากตัดสินด้วยตัวเองแล้วว่ามันน่าจะไม่เป็นอันตราย
“ถ้ามันทำให้พี่ลำบากใจ ผมก็จะไม่ถามอีก”
เพราะแบบนั้นถ้าพูดถึงมันแล้วมูฮึนต้องลำบากใจ ถ้าบอกเหตุผลแล้วมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือถ้ามันเป็นความลับที่ไม่สามารถบอกได้ เขาก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ให้
“ถ้าเหตุผลที่พี่จะหนีหน้าผมออกไปข้างนอกตอนนี้เป็นเพราะตัวพี่เอง ผมก็จะยอมรับและยอมอยู่ที่นี่แบบว่าง่าย”
ทว่าท่าทีของมูฮึนกลับมีสิ่งที่ดูแปลกไปชอบกล ซึงจูรู้สึกได้ พอเห็นคิมมูฮึนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้แล้ว เขาคิดว่าสาเหตุที่มูฮึนไม่ยอมบอกเหตุผลเป็นเพราะคนฟังคือเขา หากเป็นคนอื่นมูฮึนก็คงจะตอบส่งๆ ไปเหมือนกับรำคาญแทนที่จะพยายามหาทางเลี่ยงแบบนี้
“แต่มันไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหมครับ”
“เหตุผลนั่นน่ะเป็นเพราะตัวพี่เองแหละ”
“ตลกมากเหรอครับ”
“…”
พอเขาย้อนถามอย่างเย้ยหยัน มูฮึนก็ฝืนหัวเราะออกมา มันเป็นเสียงหัวเราะที่ชวนให้รู้สึกว่าแม้แต่ในสถานการณ์แบบนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าคำตอบจากซึงจูนั้นตลกดี มูฮึนหันกลับมามองซึงจูอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อไป ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองทางอื่น
“ไม่หรอก มันเป็นเพราะพี่เอง”
หนนี้ดูเหมือนคำตอบจะมาจากใจจริง คำพูดแผ่วเบาราวกับลมหายใจที่ดังตามหลังมาก็เช่นกัน
“พี่แค่ไม่อยากให้นายเห็นพี่ในสภาพนี้”
“…”
สภาพนี้นี่หมายความว่าอย่างไร ซึงจูขมวดคิ้วมุ่นขณะกวาดตามองมูฮึนขึ้นลงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ถึงจะเป็นสายตาที่ดูไร้มารยาท แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมาสนใจเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว หากดูจากจิวที่เรียงเป็นแถบอยู่บนหูและรอยสักที่พาดยาวลงมาตามลำคอแล้ว ถ้าไม่นับสีหน้าที่ดูเครียดเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรที่พอจะใช้คำว่า ‘สภาพนี้’ ได้เลย
“เพราะงั้นก่อนอื่น…ไว้วันหลังนะ ตกลงไหม”
มูฮึนพูดด้วยสีหน้ากังวลใจอย่างบอกไม่ถูก แม้น้ำเสียงเขาจะฟังดูอ่อนโยนเหมือนกำลังคุยกับเด็ก ทว่าดวงตาที่ดูมืดมนกลับไม่เป็นเช่นนั้น คิมมูฮึนผู้เป็นที่สุดของโลกใบนี้มีเหตุผลอะไรให้ต้องกังวลขนาดนั้น
นั่นสิ…ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องหันหลังให้เหมือนจะหนีกันไปแบบนี้เลยสักนิด
“…”
ถ้าเขาออกไปตอนนี้แล้วเมื่อไหร่จะกลับมา ถึงจะรู้ดีว่านี่คือห้องของมูฮึน และเขาต้องกลับมาแน่ๆ แต่ซึงจูก็ยังรู้สึกกระวนกระวายอยู่ดี เพราะบางทีมูฮึนก็อาจจะไม่กลับมาเลยจนกว่าจะได้เวลาที่ซึงจูต้องไปมหาวิทยาลัย
“พี่ครับ…”
เพราะอย่างนั้นเขาจึงเอ่ยเรียกมูฮึนเสียงแผ่ว
ทั้งที่กำลังหันหลังให้เหมือนพร้อมจะเดินออกไปอย่างไม่ลังเล แต่มูฮึนก็ชะงักฝีเท้าลงทันใดเมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้น และในวินาทีที่ได้มองภาพแผ่นหลังของอีกฝ่าย ความรู้สึกบางอย่างก็พลันตีรวนขึ้นมาจากข้างใน
“วันนี้ผมเจอผีที่มหา’ลัย”
ต่อให้ใครจะหาว่าเขาขี้ขลาด แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะตอนนี้วิธีที่จะเหนี่ยวรั้งมูฮึนไว้ที่เขาคิดได้มีแค่วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น คิมมูฮึนที่ไม่ได้เจอกันนาน คู่สนทนาที่ไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้เขาได้พูดคุย ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่รู้สึกหงุดหงิดกับพี่ชายที่ทำนิสัยแบบนั้น
“ในทะเลสาบใหญ่ที่มหา’ลัย…มันมีสิ่งแปลกๆ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนปลาทอง…”
“…”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นมูฮึนก็หันขวับกลับมามองซึงจูทันทีราวกับจะถามว่าทำไมถึงเพิ่งมาเล่าเรื่องนั้นเอาป่านนี้ สีหน้าของเขาดูเครียดขึ้นมาทันตา แต่ซึงจูก็ไม่หยุดพูดและยอมเล่าความจริงที่ไม่เคยบอกใครมาก่อนออกไป
“มันขอให้ผมช่วยมัน”
นี่คือเรื่องที่เขาไม่ได้บอกทั้งกับควางชิกและมูยอน สำหรับรายแรกนั้นเขาไม่คิดจะเล่าให้ฟังอยู่แล้ว ส่วนรายหลัง เขาแค่ไม่กล้าที่จะเล่า เพราะมันมีสถานการณ์มากมายที่เขาต้องอธิบายให้ฟังก่อนถึงจะเล่าเรื่องนั้นได้
“ขอให้ช่วย?”
มูฮึนพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะขมวดคิ้วครุ่นคิดเงียบๆ สีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิมอีกขั้นฉายแววจริงจังแบบที่ซึงจูไม่เคยเห็นมาก่อน เขาหลับตาลงพลางเสยผมเหมือนใกล้จะเสียสติเต็มที จากนั้นก็ลืมตาขึ้นพลางเอ่ยถาม
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สักพักแล้วครับ”
ตั้งแต่วันที่เกือบตาย…
ซึงจูไม่ได้บอกว่าเขาเจอปลาทองสีดำในวันนั้น เพราะถึงมันจะเป็นหัวข้อสนทนาที่เขาพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดว่าถ้าขืนเขาพูดเรื่องนั้นออกไปด้วย มูฮึนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกลับมาอย่างไร
ทว่ามูฮึนก็ล่วงรู้ถึงประโยคหลังที่ซึงจูไม่กล้าพูดออกมาได้ในทันทีอย่างคนหัวไว
“วันที่พี่ดูดวงให้นายสินะ”
“…”
โอ๊ย ทำไมต้องมาอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกในเวลาแบบนี้ด้วยวะเนี่ย
“ตอนนั้นดูเหมือนนายจะเห็นปลาทองสีดำในทะเลสาบ…แล้วก็เกือบจะพลัดตกลงไป”
เขาช่างความจำดีแบบที่ไม่จำเป็นเลยจริงๆ ดูเหมือนมูฮึนที่จำสิ่งที่ซึงจูเคยพูดได้จะร้อยเรียงข้อเท็จจริงทั้งหลายเข้าด้วยกันและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของเหตุการณ์นี้แล้ว เขาถึงได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตาพลางพึมพำออกมาคล้ายสบถ
“แล้วจากนั้นเจ้านั่นก็เข้ามาแทรกแซงดวงชะตาของนาย…”
“…”
“ดูท่าจะใช่สินะ…”
บรรยากาศรอบตัวมูฮึนดูเหมือนจะกดดันกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ วันนี้ดูท่าคิมมูฮึนจะไม่สามารถข่มความรู้สึกเอาไว้ได้จริงๆ ริมฝีปากที่ปรากฏให้เห็นนั้นดูเย็นชาและไม่มีรอยยิ้มประดับเหมือนอย่างเคย อีกทั้งน้ำเสียงที่พูดออกมาอย่างใจเย็นก็ดูจะไม่มีความอบอุ่นเจืออยู่เลยแม้แต่น้อย
“คงเป็นเพราะเนตรสัมผัสวิญญาณของนายที่ตื่นขึ้น”
เพราะแบบนี้เขาถึงได้พยายามไม่พูดถึงมัน ซึงจูรู้ว่ามูฮึนคงจะหวาดหวั่นน่าดูเมื่อได้รู้ความจริงทั้งหมด เพราะคนที่ไม่เคยกะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียวให้กับเรื่องทั่วๆ ไปกลับดูอ่อนไหวจนน่าแปลกในเวลาแบบนี้
การที่เนตรสัมผัสวิญญาณของเขาตื่นขึ้นมาคราวนี้เป็นเพราะมูฮึนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะคนที่คว้าตัวซึงจูไว้จนเขาปลอดภัยจากเงื้อมมือผีในตอนนั้นแล้วบังเอิญเติมพลังวิญญาณเข้ามาให้โดยไม่ได้ตั้งใจก็คือมูฮึน ถ้าวันนั้นซึงจูได้รับบาดเจ็บขึ้นมา ไม่สิ…ต่อให้ซึงจูจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่คนอย่างมูฮึนก็คงจะรู้สึกผิดมากอยู่ดี
“ซึงจูยา”
ไม่นานหลังจากนั้นมูฮึนก็เอ่ยเรียกซึงจูขึ้นเบาๆ เขาเลื่อนมือที่ใช้ปิดตาตัวเองอยู่ออกแล้วสบตากับซึงจู แม้น้ำเสียงจะยังคงฟังดูอ่อนโยนและใจดี ทว่าคำพูดที่ตามหลังออกมากลับไม่เป็นแบบนั้น
“ทำไมถึงไม่เคยบอกพี่เรื่องนั้น”
มันเป็นคำพูดที่ฟังดูเหมือนกำลังตำหนิกันอย่างบอกไม่ถูก
เพราะผมกลัวว่าพี่จะเป็นห่วง…เพราะผมตั้งใจจะไม่ไปตรงทะเลสาบแล้วเลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร…
ในระหว่างที่กำลังคิดหาเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นอยู่นั้น คำพูดที่ดังออกจากปากของซึงจูจริงๆ กลับเป็น…
“แล้วทีพี่ล่ะครับ”
ถ้ามูฮึนถามคำถามนี้ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ในตอนนี้ คำตอบของเขาก็คงจะต่างออกไป แต่มูฮึนกลับถามมันออกมาหลังจากที่เขาได้เห็นภาพแผ่นหลังที่จะทิ้งเขาเอาไว้เบื้องหลังแล้ว แถมมูฮึนยังไม่เคยบอกอะไรเขา ได้แต่ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ และพยายามเหวี่ยงเขาให้เข้าไปอยู่ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยอีกครั้ง
“พี่เองก็มีเรื่องที่ไม่ยอมบอกผมเยอะเลยนี่ครับ”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน”
มูฮึนตอบกลับมาทันควันพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดขึ้นเล็กน้อย
“นี่มันไม่ใช่แค่ปัญหาของนายคนเดียว”
ถ้าจำไม่ผิดเหมือนมูฮึนจะเคยถามเขาว่า ‘การที่นายต้องตกอยู่ในอันตรายมันจะไม่เกี่ยวกับพี่ได้ยังไง’ ดูท่าเจ้าตัวเองก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังพูดถึงประเด็นไหน ทั้งที่รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังขีดเส้นกั้นและพูดจาทำนองว่า ‘ฉันกับนายไม่เหมือนกันอยู่ดี’ อีก
ช่างเป็นตรรกะที่น่าขำสิ้นดี ถ้าอย่างนั้นแล้วสิ่งที่มูฮึนกำลังปิดบังเขาอยู่ก็เป็นเรื่องของตัวเองคนเดียวหรือ ถ้าในขอบเขตของปัญหานั้นมีความกังวลใจเกี่ยวกับเขารวมอยู่ด้วย เขาก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกันสิ
“มันเป็นเรื่องที่อาจจะทำให้นายตกอยู่ในอันตรายได้เลยนะ”
“ใช่ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่พี่ไม่อยู่ด้วย”
คำพูดที่ซึงจูพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นทำให้มูฮึนเม้มริมฝีปากแน่น ซึงจูใช้สายตาจับจ้องเขาก่อนพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ
“แม้แต่ตอนที่อยู่คนเดียว ผมก็ยังเจอพวกมันอยู่ดี”
นี่คือสิ่งที่ซึงจูคิดมาโดยตลอด มันคือจุดขัดแย้งจุดใหญ่ของการกระทำที่เขาสังเกตเห็น ซึ่งเขาไม่กล้าบอกมูฮึนตลอดช่วงที่ผ่านมา
“ผมบอกแล้วไงครับว่าพี่ปกป้องผมไปตลอดไม่ได้หรอก”
การไปกลับมหาวิทยาลัยด้วยกันไม่สามารถปกป้องเขาจากภัยอันตรายได้ทั้งหมด ในหนึ่งวันซึงจูมีที่ที่ต้องไปมากกว่านั้น และมูฮึนก็ไม่สามารถไปกับเขาได้ทุกที่ ความจริงแล้วแม้แต่ควางชิกเองก็ยังหลบเลี่ยงสายตาของมูฮึนจนมาหาเขาได้อยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่หรือ
“เรื่องอสูรนั่นก็เรื่องหนึ่ง เพราะผมต้องการพี่ เลยเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่ผ่านมาผมก็ปลอดภัยดีมาตลอดเพราะพี่ ผมรู้ดีครับว่านั่นเป็นเรื่องที่ผมควรรู้สึกขอบคุณ”
“…”
“แต่พวกกลุ่มอิทธิพลใหม่มันไม่ใช่แบบนั้นนี่ครับ”
พอได้พูดออกมาแล้วจู่ๆ ซึงจูก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมขึ้นมา ไม่สิ…มันคือสิ่งที่เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ในใจอย่างดีพลันระเบิดออกมาทันทีที่มูฮึนหันหลังให้เขาโดยไม่ถามเลยสักคำว่าทำไมเขาถึงได้มาหาและเอาแต่พยายามจะหลบหน้ากัน
“ตอนผมบอกว่าจะจ้างคนคุ้มกัน คนที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็คือพี่นะครับ พี่เองไม่ใช่เหรอครับที่บอกให้ผมไปไหนมาไหนกับพี่เพราะมันอันตรายแล้วจู่ๆ ก็มาจูบกันน่ะ”
ซึงจูยังคงโกรธเมื่อนึกถึงเรื่องในวันนั้น วันที่เนตรสัมผัสวิญญาณของเขาดับลง วันที่เขาหลุดพ้นจากอันตรายของอสูรที่มูฮึนเคยพูดถึงมาตลอด น้ำเสียงและสีหน้าของคิมมูฮึนที่จูบเขาอย่างไม่ลังเลใจทั้งยังบอกว่าทีนี้ซึงจูก็ต้องการตัวเขาแล้ว และสุดท้ายอีกฝ่ายก็ยังอาสาที่จะมารับส่งเขาต่อไป
“แต่ตอนนี้พี่กลับบอกว่ามาหาผมไม่ได้เพราะเป็นคืนวันเพ็ญเนี่ยนะครับ?”
ถ้ารับผิดชอบไม่ได้ก็อย่าอาสาเองตั้งแต่แรกสิ ถ้ามูฮึนไม่มาแตะต้องเขาตั้งแต่แรก เขาก็คงจะไม่ต้องมาคอยรู้สึกแบบนี้อยู่ทุกวัน
“ผมคงเป็นคนที่ทำได้แค่ตอบตกลงเวลาพี่สั่งให้ไปไหนมาไหนด้วยกันงั้นสินะ พอยอมตอบตกลงแบบว่าง่ายไปแล้ว อยู่มาวันหนึ่งพี่กลับบอกว่ามาหากันไม่ได้เพราะมีบางอย่างเกิดขึ้น ผมก็คงทำได้แค่อดทนรอจนกว่าพี่จะมาหากันแบบนั้นใช่ไหมครับ”
การที่มูฮึนไม่ให้สิทธิ์ในการเลือกใดๆ กับเขาเลยนับเป็นอะไรที่น่าอึดอัดเกินทน การที่เจ้าตัวคอยเทียวมาปกป้องดูแลเขา แต่แล้วจู่ๆ ก็หายหน้าหายตาไปเป็นพักๆ หรือแม้แต่การที่เจ้าตัวสั่งให้ใครมาอยู่ข้างเขาแทนที่ตัวเองก็เช่นกัน
“พี่ไม่บอกอะไรผมเลยสักอย่างว่าทำไมถึงมาไม่ได้ หรือพี่จะมาไม่ได้ไปจนถึงเมื่อไหร่ หรือผมต้องรอพี่อีกนานแค่ไหน ทั้งที่ไม่เคยบอกแบบนี้เลยสักครั้ง แล้วพี่จะให้ผมคิดว่าตัวเองจะต้องปลอดภัยและปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแค่เพราะมีคนอื่นมาแทนที่พี่แล้วแบบนั้นเหรอครับ”
มูฮึนไม่พูดอะไรและได้แต่จ้องมองซึงจูนิ่งๆ ด้วยสายตาที่ซับซ้อน ไม่รู้ว่าเขาไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ หรือแค่อยากลองฟังซึงจูก่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ซึงจูก็คิดไว้แล้วว่าจะพูดอะไรต่อ
“ถ้าพี่จะเป็นแบบนี้ ผมก็คงต้องจ้างคนคุ้มกัน”
ถ้าอีกฝ่ายเลือกที่จะไหว้วานมูรยองกับฮวานยองด้วยเหตุผลที่ว่าสองคนนั้นไว้ใจได้ ซึงจูก็อยากจะถามเหมือนกันว่าคนคุ้มกันที่พ่อแม่ของเขาคัดเลือกมาอย่างดีนั้นไม่ดีตรงไหน ถ้าว่าจ้างคนธรรมดาไม่ได้เพราะความแตกต่างของพละกำลัง นั่นก็หมายความว่าเขาสามารถจ้างมือปราบวิญญาณคนอื่นที่ไม่ใช่อีกฝ่ายก็ได้ใช่ไหม หรือถ้าแบบนั้นยังไม่ได้อีก เขาจ้างมาแค่วันที่อีกฝ่ายมีเรื่องอะไรที่บอกเขาไม่ได้อีก แบบนี้ก็ได้ใช่ไหม
“พี่ไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาคอยคุ้มกันผม และผมเองก็ไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นจากพี่มาตั้งแต่แรกด้วย”
ซึงจูที่พูดมาถึงตรงนี้หายใจเข้าออกลึกๆ เขากลัวว่าตัวเองจะเผลอขึ้นเสียงเลยพยายามลดเสียงลงแล้วพูดต่อเบาๆ
“ถ้าจะเป็นแบบนี้ พี่ก็อย่าอาสาเองตั้งแต่แรกเลย”
ถึงจะไม่อยากกล่าวโทษมูฮึน แต่ตอนนี้ในใจเขามีแต่ความรู้สึกไม่พอใจ ไม่ใช่แค่กับเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เท่านั้น แต่รวมถึงท่าทีไม่ชัดเจนที่เจ้าตัวแสดงออกมาจนถึงตอนนี้ก็ด้วย เพราะมันหลายครั้งแล้วที่อีกฝ่ายมาสร้างความหวังที่ซึงจูไม่ได้ต้องการตั้งแต่แรก และสุดท้ายก็ทิ้งเขาไปตามใจชอบ
มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายให้ชัดเจนได้ยาก ถึงจะคิดว่าสมควรแล้วที่จะโกรธ แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าโกรธไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา พอรู้สึกว่ามันเปล่าประโยชน์ ความโกรธที่เดือดพล่านขึ้นมาก็พลันค่อยๆ เย็นลง
ซึงจูกดปีกหมวกลงทั้งที่ยังก้มหน้าพลางคิดว่าดีนะที่ไม่ได้ถอดหมวกออก เพราะอย่างน้อยก็ต้องขอบคุณที่มันช่วยปกปิดใบหน้าเขาเอาไว้ เขาถึงยังใจเย็นอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีทางแสร้งทำเสียงเหมือนกับว่าไม่เป็นอะไรได้แน่
“คือ…ผมรู้นะว่าเรื่องนี้มันโคตรเหลวไหล…”
“…”
“แต่บางครั้งผมก็อยากรู้จริงๆ”
เขาจงใจไม่บอกออกไปตามตรงว่าอยากรู้อะไรทั้งที่ในใจอยากรู้แทบตาย
พี่มัวทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้ยุ่งขนาดนั้น พี่ไปไหนกันแน่ ทำไมถึงได้หายตัวไปกะทันหันแบบนั้น พี่ไปตรวจสอบเรื่องอะไรอยู่ แล้วพี่จะเล่าเรื่องพวกนั้นให้ผมฟังไหม
“พี่ไม่จำเป็นต้องออกไปไหนหรอก ผมผิดเองแหละที่แวะมากะทันหัน เพราะงั้นเดี๋ยวผมไปเอง”
ถ้าเขาบอกว่าจะไปส่ง ซึงจูก็จะยอม หรือถ้าเขาบอกให้อยู่ที่นี่อีกครั้ง ซึงจูก็จะยอมรับฟังอีกเช่นกัน พอได้เอ่ยถ้อยคำที่อยู่ในใจออกไปแล้ว ในหัวก็เย็นลงกว่าตอนแรกมาก อย่างน้อยก็เย็นลงจนถึงจุดที่ไม่ต้องฟังเหตุผลอะไรจากปากเขาตอนนี้แล้วก็ได้
“เรื่องเหตุผลน่ะ…”
แต่แล้วจู่ๆ มูฮึนก็เอ่ยปากออกมาช้าๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า ซึงจูมองเห็นเพียงแค่นัยน์ตาที่สั่นไหวผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วเรียว มูฮึนจ้องมองซึงจูแล้วถามคำถามหนึ่งขึ้นมา
“พี่บอกได้เหรอ”
“…”
เพราะอะไรกัน ทั้งที่แค่ตอบไปว่าบอกได้ ทุกอย่างก็จบแล้ว แต่จู่ๆ เขาก็เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมาชั่วขณะ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับความกังวลได้จู่โจมเข้ามาแบบฉับพลันและคืบคลานขึ้นมาตามแนวสันหลัง และในระหว่างที่ซึงจูพูดอะไรไม่ออกอยู่นั้น มูฮึนก็ถามขึ้นอีกรอบด้วยจังหวะการพูดที่ยังคงเนิบช้า
“ทำไมพี่ถึงสั่งให้กลับบ้าน…เรื่องนั้นพี่บอกนายได้จริงๆ ใช่ไหม”
ไม่รู้ว่ามูฮึนกำลังโกรธกันอยู่หรือเปล่า มันค่อนข้างยากที่จะตัดสิน เพราะการพูดจาของเขาก็ดูไม่ต่างอะไรจากปกติ แต่ในแววตากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยมวลความรู้สึกบางอย่างที่ซึงจูเองก็ไม่อาจอธิบายได้ ซึงจูไม่กล้าขยับเท้าแม้สักก้าว ลำพังแค่จะกลืนน้ำลายลงคอยังรู้สึกประหม่า
“เหตุผลคืออะไรเหรอครับ”
* ให้แผลแล้วให้ยา เป็นสำนวน หมายถึงการทำไม่ดีกับใครคนหนึ่งไว้แล้วมาทำดีด้วยในภายหลัง
9-4
สุดท้ายเมื่อซึงจูเอ่ยถาม มูฮึนก็กลอกตาหนหนึ่งก่อนจะหลับตาลง แม้มันจะเป็นการกระทำที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ก็ดูเหมือนว่าเขากำลังว้าวุ่นใจอย่างน่าประหลาด ถึงขั้นที่ซึงจูรู้สึกได้ว่าถ้าเผลอไปแตะต้องจุดไหนผิดเข้า เขาคงได้ระเบิดอารมณ์ออกมาแน่ ไม่เพียงเท่านั้น เสียงถอนหายใจที่ฟังดูคล้ายกับเสียงครางเบาๆ ก็เช่นกัน
“เฮ้อ…ซึงจูยา”
น้ำเสียงแหบพร่านั้นฟังดูแตกต่างจากในยามปกติโดยสิ้นเชิง มูฮึนยกมือที่ปิดหน้าขึ้นขยี้ผมแล้วก้าวขายาวๆ เข้ามาหาซึงจู พอเห็นซึงจูสะดุ้งกับท่าทีคุกคามนั้น เขาก็แค่นหัวเราะแห้งๆ ออกมา
“ถ้าพี่พูดเรื่องที่มันเกินกว่าที่นายจะรับมือไหวขึ้นมา นายจะทำยังไง”
“แล้วเรื่องที่ว่านั่นมันเรื่องอะไร…”
ซึงจูโพล่งออกมาด้วยความหงุดหงิดในวินาทีเดียวกับที่มูฮึนเอื้อมมือมา ก่อนที่ไหล่ของเขาจะถูกคว้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาการมองเห็นก็พลันพลิกกลับ ทันทีที่หมวกที่สวมอยู่ตกลงบนพื้น ซึงจูก็เสียหลักก่อนล้มหงายหลังลงไป
“…!”
ศีรษะด้านหลังของซึงจูไม่ได้ฟาดพื้น ต้องขอบคุณมูฮึนที่สอดมือมารองระหว่างศีรษะของซึงจูกับพื้นไว้ได้ทัน
ตึง!
เสียงที่ฟังดูแล้วน่าจะเจ็บไม่น้อยดังขึ้นในวินาทีที่สัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นผ่านริมฝีปากที่เผยอออก
นี่มันเรื่องอะไรกัน…
ไม่มีเวลาให้เขาได้ครุ่นคิดถึงเรื่องนั้น เพราะมูฮึนที่กำลังขบกัดริมฝีปากของซึงจูราวกับจะกลืนกินได้ใช้มืออีกข้างกดไหล่เขาเอาไว้ มันเป็นสัมผัสที่แม้จะดูทะนุถนอมกันมากกว่าปกติ แต่ก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังบีบบังคับอย่างที่ซึงจูเองก็อธิบายไม่ถูก
“จะทำอะ…อึก…”
จุ๊บ…
ริมฝีปากที่ผละออกจากกันพร้อมเสียงนั้นประกบลงมาใหม่อีกครั้งแทบจะในทันที ซึงจูที่ตกใจพยายามจะหยัดกายลุกขึ้น แต่มูฮึนก็รีบใช้หัวเข่ากดต้นขาของเขาเอาไว้ มิหนำซ้ำไหล่ขวากับต้นขาซ้ายยังถูกตรึงจนเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
“อึก…ฮึก…นี่พี่จะทำอะไร…”
ซึงจูพยายามผลักไหล่มูฮึนออก แต่ความพยายามนั้นกลับเปล่าประโยชน์เมื่ออีกฝ่ายเป็นมูฮึน เช่นเดียวกับการตะเกียกตะกายด้วยขาอีกข้าง การดึงทึ้งผมด้านหลังของอีกฝ่าย หรือแม้กระทั่งการพยายามยกลำตัวท่อนบนขึ้นเพื่อที่จะลุก
บ้าไปแล้ว คนอะไรตัวหนักขนาดนี้เนี่ย
ซึงจูรู้สึกราวกับกำลังถูกหินก้อนใหญ่ทับ แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามูฮึนแรงเยอะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้สึกถึงความแตกต่างที่เหนือกว่าตัวเองขนาดนี้ และเขาก็ยิ่งรู้ซึ้งมากยิ่งขึ้น เมื่อหนนี้มูฮึนที่ปกติแล้วจะแสร้งยอมให้เสมอไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนให้เลยสักนิด ไม่ว่าเขาจะพยายามทำอะไรก็ตาม
“ลุกไปหน่อย…โอ๊ย ให้ตายเถอะ พี่!”
สุดท้ายเมื่อซึงจูแผดเสียงตะโกนลั่นออกมา มูฮึนก็ก้มลงมองด้วยสายตาเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็แค่ครู่สั้นๆ เท่านั้น เขาทำท่าจะจู่โจมซึงจูด้วยการจูบอีกครั้งเหมือนเมื่อตอนก่อนหน้า แต่หนนี้เมื่อซึงจูไม่ยอมแพ้และกระชากผมเขาเต็มแรง เสียงร้องสำออยน่าหมั่นไส้จึงดังออกมาผ่านช่องว่างระหว่างริมฝีปาก
“ซึงจูยา พี่เจ็บนะ…”
“…”
มันเป็นคำพูดที่เสแสร้งแกล้งทำอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็ยอมหยุดมือไปโดยอัตโนมัติ เพราะคำว่า ‘เจ็บ’ ที่ดังออกมาจากปากของคิมมูฮึนเป็นสิ่งที่ซึงจูไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย และในระหว่างที่เขากำลังรู้สึกผิดทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดอยู่นั้น มูฮึนก็ขบเม้มริมฝีปากล่างของซึงจูแรงๆ ราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว
“หยุด โอ๊ย…บอกว่าอย่าไง อ๊ะ หยุดสักที…!”
ในจังหวะที่อ้าปากโวยวาย เรียวลิ้นซุกซนก็แทรกเข้ามาในปาก ต่อให้ซึงจูจะตกใจจนหันหน้าหนีไปด้านข้าง มูฮึนก็ไม่สนใจเลยสักนิด แถมยังขยับศีรษะตามมาอย่างไม่ลดละ และเมื่อเขาแลบลิ้นออกมาตั้งท่าจะจู่โจมอีกครั้ง ซึงจูก็รีบเม้มริมฝีปากแน่นโดยอัตโนมัติ
“…”
“…”
ลมหายใจพรูออกมารินรดเหนือริมฝีปากที่ชื้นแฉะพร้อมกับเสียงที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเสียงหัวเราะหรือเสียงถอนหายใจ จากนั้นมูฮึนก็เริ่มเลียริมฝีปากล่างของซึงจูอย่างหยอกเย้าเหมือนกับเวลาเจ้าซอลกีแลบลิ้นเลีย เขาชิมรสริมฝีปากคนใต้ร่างจนหนำใจ และในบางจังหวะก็แกล้งใช้ปลายลิ้นดุนดันช่องว่างระหว่างริมฝีปากที่ปิดสนิท
“…”
ถึงแม้ว่าควรจะเอ่ยถามออกไปว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แต่ถ้าซึงจูอ้าปาก เรียวลิ้นของมูฮึนคงได้ฉวยโอกาสแทรกเข้ามาอย่างแน่นอน ซึงจูจึงทำแบบนั้นไม่ได้ พอเขาตัดสินใจถลึงตาใส่แทน มูฮึนก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ผ่านดวงตา หลังจากใช้ริมฝีปากคลอเคลียริมฝีปากซึงจูอยู่ครู่หนึ่ง อีกฝ่ายก็เอ่ยกระซิบเสียงเบาโดยที่ยังไม่ยอมขยับออกห่าง
“ไม่ต้องเกร็งนะ…”
“…”
“พี่จะไม่ใส่มันเข้าไป”
ไอ้ที่ว่าจะไม่ใส่นี่ จะไม่ใส่อะไรกัน
ถึงจะดูเหมือนกำลังพูดถึงลิ้นอยู่ แต่บางอย่างในน้ำเสียงนั้นก็ฟังดูสองแง่สองง่ามเกินบรรยาย สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่แค่เรื่องนั้น อีกสิ่งคือการที่เจ้าตัวเหมือนกำลังจะสื่อว่า ‘พี่จะไม่ทำอะไรที่นายไม่ชอบ’ ถึงแม้ว่าการที่เจ้าตัวไม่สอดลิ้นเข้ามาจะไม่ได้ทำให้ความจริงที่ว่าเจ้าตัวกำลังจูบเขาอยู่เปลี่ยนไปก็เถอะ
“ขอแค่เลียเฉยๆ พอ”
“ดะ…เดี๋ยวก่อน พี่ครับ…อ๊ะ…อื้อ…”
แม้จะพยายามร้องห้ามและหันหน้าหนี แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะมือที่คว้าท้ายทอยของเขาเอาไว้แน่น มือนั้นใหญ่มากจนจับและตรึงศีรษะเขาเอาไว้อย่างไม่ยากลำบากอะไร อีกทั้งสัมผัสและเสียงเฉอะแฉะน่าอายเหมือนกำลังถูกโลมเลียอยู่นั้นยังทำให้รู้สึกเสียววาบไปทั่วท้องน้อย
โอ๊ย…เวรเอ๊ย
ซึงจูไม่เคยอ่อนไหวต่อการปลุกเร้าขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เขารู้สึกเหมือนแค่โดนสัมผัสเพียงเล็กน้อยขนทั่วกายก็พร้อมที่จะลุกชัน แม้แต่ตอนที่พยายามออกแรงบีบไหล่เพื่อบอกให้อีกฝ่ายถอยออกไป ใบหน้าของซึงจูก็ยังแดงก่ำจากสัมผัสของฝ่ามือมูฮึนที่กำลังลูบต้นคอ
“อืม…เด็กดี”
“โอ๊ย ไอ้…ฮื่อ”
คำหยาบที่เขากำลังจะสบถออกมาพลันหายไปในปากของมูฮึนอีกครั้ง ซึงจูไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเอ่ยปากพูด ต่างจากมูฮึนที่คอยพูดกระซิบกระซาบนั่นนี่ไม่หยุด นั่นเป็นเพราะทุกครั้งที่ซึงจูมีโอกาสได้อ้าปาก คิมมูฮึนก็จะขยับริมฝีปากตามมาประกบปิดอย่างไม่ยอมลดละ
“ชู่ว…”
รู้ตัวอีกทีไหล่ที่ถูกตรึงเอาไว้ก็กลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง แต่แล้วมือของมูฮึนที่เคยจับยึดไหล่ของซึงจูก็เปลี่ยนมาลูบไล้ใบหูแทน เขาใช้ปลายนิ้วชี้ลากไปตามขอบใบหูอย่างช้าๆ ก่อนจะใช้นิ้วกลางลูบไล้เบาๆ ตั้งแต่หลังติ่งหูลงมาจนถึงปลายคาง
ซึงจูเพิ่งได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่าการสัมผัสอย่างหยอกล้อนั้นน่าตื่นเต้นกว่าเป็นไหนๆ ทั้งที่พวกเขาไม่ได้แลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม แต่ยิ่งจูบกันนานเท่าไหร่ เสียงหายใจก็ยิ่งหอบถี่ หัวใจเองก็ยิ่งเต้นโครมครามจนรู้สึกเหมือนภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว
มูฮึนย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสนั้นและได้จับแขนของซึงจูมาโอบรอบคอของตัวเอง แม้ทีแรกมือของซึงจูจะกำชายเสื้อแน่น แต่ห้วงอารมณ์ที่กำลังคล้อยตามก็ทำให้นิ้วคลายแรงลง พอซึงจูลอบกลืนน้ำลายแล้วระบายลมหายใจหอบกระเส่าออกมา มูฮึนก็เอียงคอแล้วกดริมฝีปากลงไปแนบชิดขึ้นอีกเล็กน้อย
“…”
“…”
เสียงชื้นแฉะน่าอายดังก้องอยู่ในหู มูฮึนไม่ได้พยายามที่จะแทรกเรียวลิ้นเข้ามาอย่างที่สัญญาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวว่าจะโดนซึงจูกัดอีกหรือเพราะเหตุผลอื่น
มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน…
เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปได้ พอตั้งสติได้อีกครั้งซึงจูก็พบว่าตัวเองกำลังจูบกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายข้างบ้านอยู่อย่างว่าง่าย และในระหว่างที่กะพริบตาปรือปรอย ซึงจูก็ยื่นริมฝีปากให้เล็กน้อยเหมือนอย่างที่มูฮึนทำ บางครั้งเมื่อริมฝีปากที่ประกบกันอยู่ผละออกจากกัน เปลือกตาเขาก็จะกระตุกเล็กน้อยด้วยความร้อนใจ
อุณหภูมิร่างกายที่อุ่นร้อนขึ้นมาอย่างไม่ดูเวลานั้นให้ความรู้สึกต่างจากตอนที่ได้สัมผัสพลังวิญญาณอย่างสิ้นเชิง เพราะถึงแม้จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายที่ผสานมาตามสายลมบางเบา แต่ทุกส่วนที่สัมผัสกันก็ร้อนผ่าวจนรู้สึกราวกับกำลังถูกแผดเผา ซึ่งประสาทสัมผัสที่อ่อนไหวกว่าปกติก็รับรู้ถึงการสัมผัสทั้งหมดนั้นได้อย่างชัดเจน
“อื้อ…”
ชั่วขณะที่เสียงครางดังลอดออกมาจากริมฝีปากของซึงจู มูฮึนก็ทิ้งร่างทาบทับลงมาเหนือตัวเขา อีกฝ่ายใช้ลำตัวท่อนล่างแทรกเข้ามาระหว่างขาของซึงจูโดยพยายามไม่ลงน้ำหนักใดๆ ก่อนจะใช้ต้นขากดหนักๆ ลงมาตรงหว่างขาของซึงจูราวกับจะกักขังไว้ ซึ่งในจังหวะที่รั้งเอวของคนใต้ร่างเข้ามาแนบชิด แก่นกายที่จากเดิมคล้ายจะชูชันก็พลันผงาดขึ้นเต็มที่
“…”
“…”
สายตาของคนทั้งสองสบประสาน พวกเขาต่างจ้องมองกันโดยไม่มีคำพูดใด ซึงจูที่ยังหอบหายใจมองมูฮึนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
อา…ยังไม่พอ
พอซึงจูแลบลิ้นออกมาเล็กน้อยพร้อมกับความคิดนั้น ลมหายใจหอบสั้นๆ ก็พรูออกจากริมฝีปากของมูฮึน
“ฮ้า”
ชั่วพริบตาเดียวความอ่อนโยนก็พลันเลือนหายไปจากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ไม่สิ…หากจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าสิ่งที่เลือนหายไปคือสติสัมปชัญญะ เสี้ยววินาทีที่เปลือกตานั้นปิดลงและเปิดขึ้นใหม่อีกครั้ง รอยยิ้มที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าก็พลันหายวับไปเช่นกัน
“ฮึก…!”
ริมฝีปากที่ประกบลงมารุนแรงขึ้นเล็กน้อย ทั้งที่ทำท่าทีกังวลขนาดนั้น แต่พอมาตอนนี้แล้วกลับไม่ลังเลที่จะสอดลิ้นเข้ามาเลยสักนิด มูฮึนดื่มด่ำกับโพรงปากของซึงจูราวกับจะดับความกระหายพร้อมทั้งครอบครองเรียวลิ้นของซึงจูไว้โดยไม่ยอมผละออก
“…ฮึก…อื้อ”
มันเป็นจูบที่แสนตะกละตะกลาม มูฮึนใช้มือข้างหนึ่งจับกรอบหน้าของซึงจูเอาไว้แล้วสอดลิ้นเข้ามาจนลึก ทุกครั้งที่เขาตั้งหน้าตั้งตาใช้เรียวลิ้นแฉะชื้นควานสำรวจไปทั่วโพรงปาก คางเรียวก็ขยับเคลื่อนตามไปด้วย
มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับต้องมนตร์ ในหัวมึนเบลอไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่คิมมูฮึนมอบให้ก็ชัดเจนเกินไป ซึงจูกลืนน้ำลายของเขาที่เอ่อท้นในโพรงปากลงคอไปโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังดูดเรียวลิ้นของเขาเพื่อเติมเต็มลมหายใจที่ถูกช่วงชิงไป และรับบางสิ่งที่หลั่งไหลตามมาพร้อมกับลมหายใจเข้าสู่ร่างกายไปโดยสัญชาตญาณ
พลังวิญญาณ…
ในจังหวะที่ความเย็นก่อตัวขึ้นในช่องท้อง มูฮึนก็ถอนริมฝีปากออกไปด้วยสีหน้าราวกับลืมตัวไปชั่วขณะ ซึงจูจึงตระหนักได้ในตอนนั้นว่าเหตุผลที่เขาไม่คิดจะสอดเรียวลิ้นเข้ามาเป็นเพราะ ‘กลัวว่าเนตรสัมผัสวิญญาณจะตื่นขึ้นอีกครั้ง’ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ในจังหวะที่ซึงจูกระตุกชายเสื้อเขา ริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบเข้าหากันอีกครั้ง
เมื่อถึงจุดหนึ่งซึงจูก็ไม่รู้สึกเขินอายกับการที่ส่วนล่างของร่างกายขยายใหญ่ขึ้นอีกต่อไป เพราะแม้แต่ความรู้สึกยามที่ต้นขาแกร่งบดเบียดลงมาก็ยังนำพาความเสียวกระสันเล็กๆ น้อยๆ มาให้ พอซึงจูร่างกายกระตุกและไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร มูฮึนก็ยิ่งบดเบียดร่างกายส่วนล่างเข้าหาอย่างจงใจจะแกล้งกัน
“อื้อ…”
วูบหนึ่งซึงจูเผลอคิดไปว่าความรู้สึกที่เสียดสีกันผ่านร่มผ้านั้นไม่ถึงใจเลยสักนิด การฝืนทนไม่ยกเอวขึ้นจึงถือเป็นความอดทนครั้งใหญ่ของซึงจู เนื่องจากความเป็นชายที่ขยายใหญ่ขึ้นถูกกดทับอย่างแนบแน่น ซึงจูจึงรู้สึกตัวช้าไปมากว่าสิ่งที่มูฮึนใช้ถูไถนั้นคือส่วนเดียวกัน
บ้าไปแล้ว…
บางสิ่งที่ทั้งหนักและใหญ่โตนั้นต่างไปจากของเขา จนถึงเมื่อครู่ซึงจูยังมั่นใจว่ามันคงเป็นต้นขาแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่สัมผัสกันอย่างแนบแน่นนั้นเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเขาหยุดชะงักพลางกลืนน้ำลาย มูฮึนก็หรี่ตาพลางยิ้มบางๆ ออกมา
“ซึงจูยา…”
น้ำเสียงที่แหบพร่านั้นแตกต่างไปจากยามปกติ คงต้องโทษที่มันฟังดูหิวกระหาย ซึงจูจึงรู้สึกเหมือนขนลุกขึ้นมาชั่วขณะ แม้จะแค่ฟังอยู่นิ่งๆ ก็ตาม ซึ่งถ้อยคำที่ตามมาหลังจากนั้นก็ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกัน
“พี่บอกแต่แรกแล้วไงว่าให้กลับบ้าน”
นั่นไม่ใช่ทั้งคำเตือนและความปรานี แม้จะกระซิบกระซาบด้วยถ้อยคำอ่อนหวานอย่างถึงที่สุดอย่างไร แต่มือของคนพูดก็ยังคงเคลื่อนลงไปด้านล่างก่อนที่ซึงจูจะทันได้ตอบรับอะไรด้วยซ้ำ ฝ่ามือที่ค่อยๆ เลื่อนลงมาล้วงเข้าไปในเสื้อฮู้ดและลูบไล้ผิวเปลือยเปล่าภายใต้ร่มผ้า
“…”
ซึงจูเกือบจะหลุดเสียงแปลกๆ ออกมาเลยได้แต่กัดริมฝีปากไว้แน่น พอเห็นซึงจูขมวดคิ้ว มูฮึนก็พรมจูบลงตรงหว่างคิ้วของซึงจูเบาๆ ก่อนจะเลื่อนลงมาจูบบนเปลือกตาแล้วยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าซุกซน
“ไม่บอกให้หลีกไปด้วยแฮะ?”
มันเป็นคำถามที่ดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ แต่ในความเป็นจริงแล้วดวงตาของเจ้าตัวกลับไม่ได้ยิ้มเลย
“รู้อยู่แล้วว่าพี่จะทำอะไรเลยอยู่นิ่งๆ สินะ”
มูฮึนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางเสยผมที่ปรกหน้าให้ซึงจูอย่างเบามือ หลังจากจูบลงมาบนริมฝีปากที่คลอเคลียไม่ยอมห่างอีกครั้ง เขาก็ใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากล่างที่คล้ายกับจะบวมเจ่อขึ้นเล็กน้อย และแทนที่จะถอยห่างออกไป เขาก็กลับใช้ปลายจมูกถูไถมันพลางเอ่ยถาม
“ว่าไง หืม? ซึงจูยา”
มูฮึนกำลังพยายามข่มใจอยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ทั้งริมฝีปากที่คอยคลอเคลีย ทั้งนิ้วมือที่เคลื่อนเข้ามาซุกซนอยู่ใต้ร่มผ้า หรือแม้แต่ส่วนล่างของร่างกายที่ยังคงแนบชิดกันอยู่
หลังจากดูจนแน่ใจว่าสายตานั้นเริ่มแปรเปลี่ยนไปแล้ว ซึงจูก็เอ่ยพูดขึ้นเสียงแหบพร่า
“นี่ผมก็อายุยี่สิบแล้วนะครับ…”
แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ลำคอเขาก็รู้สึกตีบตันไปหมด และเขาก็ยิ่งรู้สึกแบบนั้นเมื่อมูฮึนจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจ ซึงจูลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออยู่ครู่หนึ่งแล้วพยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุด
“ผมรู้ครับว่าพี่จะทำอะไร”
เขาแสร้งพูดเหมือนกับว่าไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร แต่ความจริงแล้วในใจกำลังประหม่าสุดๆ เพราะเขารู้ดีว่ามูฮึนกำลังจะทำอะไรอย่างที่เขาพูดจริงๆ มันคือสิ่งที่เคยมีอยู่แค่ในจินตนาการของเขามาโดยตลอด และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่เนตรสัมผัสวิญญาณของเขาตื่นขึ้นเป็นครั้งแรก
“อ๋า…งั้นเหรอ”
มูฮึนคลี่ยิ้มบางๆ พลางคลอเคลียริมฝีปากของซึงจูด้วยริมฝีปากของตัวเอง การวอแวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ดูจะรับมือได้ยากกว่าเวลาปกติที่เขาง่วงนอนเสียอีก มูฮึนที่ใช้ริมฝีปากนุ่มถูไถไปมาได้ใช้นิ้วลากไปตามแนวกระดูกซี่โครงของเขาอย่างหยอกเย้า
“นั่นสินะ ตอนนี้ซึงจูของพี่อายุยี่สิบแล้วนี่นา”
ลักษณะการพูดของอีกฝ่ายฟังดูเหมือนกำลังพูดหยอกล้อกับเด็ก และมันก็ยิ่งดูเหมือนแบบนั้นเข้าไปใหญ่เมื่อเขาทอดหางเสียงพลางอมยิ้มเหมือนได้เห็นปฏิกิริยาน่ารักๆ มูฮึนบดเบียดส่วนล่างลงมาเบาๆ แล้วขยับเอวหยั่งเชิง
“งั้นเราก็ทำอะไรแบบนี้…กับพี่ได้แล้วน่ะสิ”
“อึก…”
“โตเต็มที่แล้วนี่…เนอะ?”
ทุกจุดที่เขาสัมผัสพลันอ่อนไหวขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งจุดที่ริมฝีปากลากไล้ผ่านเบาๆ จุดที่นิ้วมือลูบคลำจนชวนให้รู้สึกจักจี้ หรือแม้แต่จุดที่ถูกกดทับผ่านเนื้อผ้าตรงหว่างขา
ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเชื่องช้าและผ่อนคลาย แต่มันกลับทำให้ซึงจูรู้สึกเหมือนจะเสียสติมากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งที่รุกหนักจนเขาแทบบ้ามาจนถึงป่านนี้ แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังจงใจละเลียดชิมรสชาติจากเขาในทุกสัมผัสอย่างใจเย็น และเจ้าตัวก็ไม่ได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกนั้นเพียงคนเดียว แต่ยังทำให้ซึงจูได้สัมผัสกับความรู้สึกดีทั้งหมดไปด้วยกัน
“อ๊ะ พี่ครับ…”
หนนี้ซึงจูใช้มือที่เคยกอดเขาเลื่อนไปจับตรงไหล่ แต่พอมูฮึนใช้ฝ่ามือลูบไล้สีข้าง เขาก็สะดุ้งตกใจจนมือนั้นลื่นตกลงมาที่ต้นแขนแกร่ง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อที่กำลังเกร็งแน่น
แข็งชะมัดเลยแฮะ…
ซึงจูไม่ได้ตั้งใจจะคิดแบบนั้นในเวลานี้ แต่จู่ๆ ความคิดนั้นมันก็ผุดขึ้นมาเฉยๆ ไม่ใช่แค่ต้นขาที่สัมผัสได้ไปก่อนหน้านี้ แต่ยังรวมถึงท่อนแขนที่กำลังจับอยู่และลำตัวที่ทาบทับลงมาด้วย มันทั้งแข็งและแน่น แน่นอนว่าซึงจูรู้มาตลอดอยู่แล้วว่าเขาหุ่นดี แต่ไม่นึกเลยว่าร่างกายเขาจะหนักและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อขนาดนี้
“อืม…ซึงจู นายต้องกินข้าวให้เยอะกว่านี้หน่อยนะ”
ในตอนนั้นเองจู่ๆ มูฮึนที่กำลังลูบคลำร่างกายท่อนบนของเขาอยู่ก็พูดพึมพำราวกับพูดกับตัวเอง มือใหญ่ลากผ่านใต้หน้าอกและลูบไล้ร่องลิ้นปี่ของเขาเล่น พอซึงจูห่อไหล่โดยอัตโนมัติ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยก็ดังขึ้น
“ทำไมถึงได้ผอมแบบนี้นะ”
“…?”
นี่คือเรื่องเหลวไหลที่เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะเมื่อมองในเชิงรูปธรรมแล้ว ซึงจูก็จัดว่าตัวสูงและมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมกับความสูงนั้น เขาดูหน่วยก้านดีเกินกว่าจะบอกว่าผอม และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ไหล่แคบหรือรูปร่างเล็กแต่อย่างใด
“นี่พี่กำลังพูดบ้าอะไร…”
ในจังหวะสั้นๆ ที่ซึงจูกำลังจะแย้ง มูฮึนก็เลื่อนมือขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง มือที่อยู่ภายใต้เสื้อฮู้ดวางทาบลงบนหน้าอกแบนราบ เขาแตะฝ่ามือลงไปตรงกลางค่อนไปทางซ้ายเล็กน้อยตรงจุดที่หัวใจกำลังเต้น ก่อนจะลูบคลึงบริเวณนั้นอย่างเบามือ
“อืม เด็กดี”
“…”
ตอนเด็กๆ ซึงจูจะหลับลงได้เมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากฝ่ามือที่ลูบอย่างเบามือแบบนี้ ทว่าสัมผัสตอนนั้นไม่ใช่การสัมผัสบนผิวที่เปลือยเปล่าอย่างในตอนนี้ อีกทั้งใบหน้าก็ไม่ได้อยู่ใกล้กันขนาดนี้ อวัยวะส่วนล่างเองก็ไม่ได้ตื่นตัวแบบนี้เช่นกัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือลำคอเขาไม่ได้รู้สึกแห้งผากเวลาได้เห็นคิมมูฮึนในสภาพนี้
เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอเพราะความต้องการที่เอ่อล้น ไม่มีทางที่คิมมูฮึนผู้มีประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นเลิศจะไม่รู้ความจริงในเรื่องนั้นจากระยะห่างที่ใกล้กันขนาดนี้ มูฮึนหัวเราะเบาๆ จนลูกกระเดือกขยับไหว ก่อนจะใช้หลังมือลากผ่านหน้าอกซ้าย และตอนนั้นเองส่วนที่ซึงจูลืมไปแล้วว่าเคยมีอยู่ก็เข้าไปอยู่ในระหว่างเรียวนิ้วของอีกฝ่าย แต่ก่อนจะทันได้รู้สึกอาย มูฮึนก็มอบจูบให้เขาอีกครั้ง
เสียงน่าอายดังขึ้นเมื่อมูฮึนถอนริมฝีปากออกไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะประกบริมฝีปากอีกครั้งพร้อมกับเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามา ในจังหวะที่รู้สึกวาบหวามเมื่อลิ้นนุ่มหยุ่นนั้นเคลื่อนผ่านฟันที่เรียงตัวสวย เรียวนิ้วที่อยู่แถวหน้าอกก็หยอกล้อกับยอดอกนั้นเบาๆ
“…!”
ซึงจูพลันไหล่กระตุกและกัดลิ้นมูฮึนไปอย่างลืมตัว แม้จะไม่ถึงกับเลือดออก แต่ก็คงจะเจ็บน่าดู แต่ถึงอย่างนั้นมูฮึนก็ไม่สนใจและยังคงจูบเขาอย่างไม่ลดละ อีกฝ่ายดูดลิ้นของซึงจูแรงๆ และกลืนทุกสิ่งที่อยู่ในโพรงปากลงไปในคอราวกับนึกเสียดายแม้แต่น้ำลายของซึงจู
แน่นอนว่าคนที่เป็นฝ่ายรับพลังวิญญาณมาก็คือซึงจู แต่น่าแปลกที่ซึงจูกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนดูดพลังชีวิตไปเสียอย่างนั้น อุณหภูมิร่างกายที่เย็นกว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ช่วยทำให้เขาได้สติเลยสักนิด ตรงกันข้ามแล้วมันกลับยิ่งทำให้สมองมึนเบลอจนเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังบดเบียดช่วงล่างเข้ามา ในขณะเดียวกับที่มือก็กำลังวุ่นวายอยู่กับหน้าอกเขา
นี่มัน…เกินไปแล้ว…
สติสัมปชัญญะขาดหายไปเป็นพักๆ ก่อนจะกลับมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อซึงจูลืมตาที่หรี่ปรือขึ้นมอง มูฮึนก็จะส่งยิ้มตาหยีมาให้ทุกครั้งที่สบสายตากัน
ทั้งที่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่ตรงหน้าเหมือนจะมีพระจันทร์เสี้ยวอยู่ด้วยแฮะ
พอคิดได้แบบนั้นเขาก็ดึงมูฮึนมากอดไว้แน่น
“อื้อ…”
“หืม?”
ทุกครั้งที่ซึงจูส่งเสียงครางเบาๆ มูฮึนจะขานรับอย่างอ่อนโยนราวกับจะถามว่ากำลังเรียกกันหรือเปล่า แต่จะว่าไปแล้วเสียง ‘หืม?’ นั้นก็ฟังดูเหมือนกำลังครวญครางและปลอบโยนกันอยู่ในที แต่ไม่ว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงแบบไหน มันก็ฟังดูเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังตื่นตัวมากไม่ต่างอะไรกับซึงจู
“อึก…อื้อ…”
ส่วนล่างของร่างกายที่มีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่คับแน่นไปหมด ซึ่งเมื่อครู่มันยังไม่ขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่พึงพอใจกับการที่มูฮึนทำเพียงแค่บดเบียดสิ่งเดียวกันลงมา และเมื่อลำตัวท่อนล่างขยับออกห่างเพราะเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการขยับปรับเปลี่ยนองศาหน้า ซึงจูที่รู้สึกไม่ได้ดั่งใจก็กลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องชันเข่าแล้วบดเอวเข้าหาแทน
จะบ้าตายอยู่แล้ว
นั่นคือสิ่งที่เขาคิด ไม่สิ…เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกอะไรแบบนี้ว่า ‘ความคิด’ ได้หรือเปล่า ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับสัญชาตญาณนั้นยังคงดำเนินต่อไปกระทั่งในที่สุดมูฮึนก็เคลื่อนมือลงไปด้านล่าง
“อ๊า…”
มือที่เลื่อนลงมาจากเอวลูบไล้เนินเนื้อที่นูนขึ้นมาบนกางเกงของเขา ลูบมันจากบนลงล่างอย่างไม่รีบร้อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ กอบกุมแก่นกายที่มีเนื้อผ้าขวางกั้นอยู่ โดยหลังจากที่คลำมันราวกับกำลังจะวัดขนาดเสร็จ อีกฝ่ายก็เริ่มขยับมือไปมาตามสัญชาตญาณ
“อ๊า…อึก…”
มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากการใช้ส่วนล่างบดเบียดเข้าหากันอย่างสิ้นเชิง ถึงจะเป็นแค่การลูบคลำผ่านกางเกง แต่หากปลุกเร้ามันต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็คงจะไปถึงปลายทางได้ไม่ยาก เพราะมันตื่นตัวมาสักพักตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
“อื้อ…ฮือ…”
ซึงจูส่งเสียงครางอย่างน่าสงสารโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังครางอยู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยช่วยตัวเองมาก่อน แต่การทำแบบนี้ด้วยมือของตัวเองกับมือของคนอื่นนั้นมันต่างกันลิบลับ ถ้าสัมผัสแค่ข้างล่างยังพอว่า แต่ริมฝีปากของพวกเขายังไม่ผละออกจากกันสักนิด เขาจึงหายใจไม่ทัน
น่าเสียดายที่มูฮึนไม่ปล่อยให้ซึงจูไปถึงจุดสุดยอด เมื่อซึงจูที่อารมณ์พุ่งขึ้นจนถึงขีดสุดเชิดหน้าไปด้านหลัง มือของมูฮึนก็หยุดขยับตามไปด้วยพร้อมกับริมฝีปากที่ผละออกจากกัน ซึงจูรู้สึกเสียดายความสุขสมที่หยุดลงอย่างกะทันหันอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่มูฮึนเลียน้ำลายที่ไหลเลอะขอบปากให้แล้วยิ้มบางๆ ออกมา
“อายุตั้งยี่สิบแล้วจะฉี่ราดกางเกงไม่ได้แล้วนะ”
“…”
ต้นคอของซึงจูพลันร้อนผ่าวขึ้นมาจนขึ้นสีแดงก่ำ เพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายตอนพูดคำว่า ‘ฉี่ราด’ นั้นทำให้เขารู้สึกอายเกินไป ระหว่างที่กำลังสรรหาคำมาประท้วง จู่ๆ มูฮึนก็ขยับมืออีกครั้งและเคล้นคลึงความเป็นชายของเขาที่แข็งตัวขึ้นเบาๆ ส่วนปลายที่อยู่ในอุ้งมืออีกฝ่ายจึงตื่นตัวขึ้นเต็มที่
“…!”
ซึงจูรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วทั้งกายก่อนที่ความสุขสมจะค่อยๆ ไต่ไล่ระดับขึ้นทีละนิดจนล้นทะลักออกมา
“อ๊า…!”
สุดท้ายซึงจูก็คู้ตัวในวินาทีที่ถึงจุดสุดยอด ไม่มีทางที่เขาจะอดทนกับความรู้สึกสุขสมที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงได้ พอเขาขมวดคิ้วพลางคว้าต้นแขนของมูฮึนไว้ มูฮึนก็ค่อยๆ ล้วงมือเข้ามาในกางเกงเขา
“ดูนี่สิ…ซึงจูยา”
นิ้วเรียวยาวรุกล้ำเข้าไปใต้กางเกงชั้นในอย่างไม่ลังเล เขาสัมผัสบริเวณที่เต็มไปด้วยหยาดของเหลวที่เพิ่งถูกปลดปล่อยออกมา ก่อนจะจับแก่นกายแข็งขืนที่ยังไม่อ่อนตัวลงเอาไว้อย่างอ่อนโยน และทุกครั้งที่เขาขยับมือก็จะมีเสียงเฉอะแฉะดังขึ้นอย่างน่าอาย
“ข้างในเปียกไปหมดแล้ว”
“เดี๋ยว…อื้อ…อ๊า…”
แก่นกายที่ไวต่อความรู้สึกอยู่แล้วขยับไปมาอยู่ในมือของมูฮึน เขาใช้ฝ่ามือคลึงเคล้นแก่นกายที่อยู่ในมือไปทั่วราวกับจงใจแกล้ง ทั้งที่ซึงจูคว้าข้อมือของเขาไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้าจากการสัมผัสแก่นกายโดยตรง แต่มูฮึนก็ไม่เห็นใจเลยสักนิด
“กางเกงเปียกหมดแล้ว ทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ หืม?”
“ก็พี่…อื้อ…”
ใครที่จงใจทำให้มันเลอะเทอะอยู่ตอนนี้กัน ต่อให้ไม่ต้องมองด้วยตา ซึงจูก็รับรู้ได้ว่าส่วนล่างของตัวเองตอนนี้เละเทะแค่ไหน แม้จะอยากประท้วงถึงความไม่ยุติธรรม แต่อารมณ์สุขสมที่ยังไม่จางหายไปก็ทำให้พูดอะไรไม่ออก
“อืม ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนชุดกัน”
สิ้นคำนั้นมูฮึนก็ดึงกางเกงและกางเกงชั้นในของเขาลงพร้อมกันรวดเดียว คงต้องโทษที่มันถูกถอดออกไปอย่างง่ายดายมาก กว่าซึงจูจะทันได้รู้ตัว กางเกงก็ถูกถอดลงไปที่หัวเข่าแล้ว
แทนที่จะถอดกางเกงของเขาออกจนสุด แต่มูฮึนกลับเอนตัวกลับไปนั่งแล้วถอดเสื้อยืดที่ตัวเองใส่อยู่ออก ทันทีที่เขาไขว้แขนทั้งสองข้างแล้วถอดเสื้อออก รอยสักที่ทอดยาวลงมาจากคอก็ปรากฏสู่สายตา มันคือรอยสักรูปเถากล้วยไม้ที่เลื้อยยาวผ่านท่อนแขนที่ซึงจูจับอยู่ลงมาจนถึงข้อมือ มูฮึนใช้เสื้อยืดเช็ดคราบของเหลวที่เปื้อนมือแบบลวกๆ ก่อนจะม้วนเสื้อตัวนั้นแล้วโยนมันไปข้างๆ อย่างไม่แยแส
ทำไมวันนี้ถึงได้…
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ทุกการเคลื่อนไหวของมูฮึนในวันนี้นั้นดูไร้ซึ่งความปรานีเหมือนอย่างเคย แทนที่จะเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายและอ่อนโยนอย่างที่เคยรู้สึกในยามปกติ ตอนนี้ซึงจูกลับรู้สึกหวั่นๆ ในใจขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ โดยเฉพาะกับท่าทางยามที่อีกฝ่ายโน้มลำตัวท่อนบนลงมาใหม่ ก่อนจะเชยคางแล้วจูบเขา รวมถึงสายตาที่ดูไร้สติอย่างน่าประหลาดนั่นด้วย
มูฮึนไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าซึงจูกำลังตื่นกลัว เขาเพียงแค่กดริมฝีปากเข้าหาซึงจูอยู่หลายต่อหลายครั้งอย่างเอาแต่ใจ
“พี่ครับ เดี๋ยว…พอก่อน…อื้อ…”
ถ้าถามว่าเขาพรมจูบลงมารัวขนาดไหน ก็คงต้องบอกว่าถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเขาจูบสะเปะสะปะไปหมดทั้งบนแก้ม คาง และริมฝีปาก ซึงจูตื่นตกใจกับการทำแบบนั้นมากเลยพยายามหันหน้าหนี แต่พอจะทำแบบนั้นก็โดนมือของมูฮึนจับยึดกรอบหน้าเอาไว้
“โอ๊ย พอได้แล้ว…!”
“อยากให้พี่เลิกจุ๊บเหรอ”
แม้แต่ตอนที่เอ่ยถามแบบนั้นมูฮึนก็ยังไม่หยุดจูบ เขาหัวเราะในลำคอราวกับกำลังคิดว่าท่าทางประท้วงของซึงจูนั้นน่ารักเสียเหลือเกิน ตอนเด็กๆ มูฮึนมักจะทำแบบนี้ตอนที่ทำซึงจูร้องไห้เท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับทำเหมือนว่าจะยอมให้ริมฝีปากผละออกห่างจากกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ”
“อยากจะทำอะไรก็ตามใจ”
สุดท้ายก็เป็นซึงจูที่ยอมแพ้ก่อน พอเห็นซึงจูที่ใบหน้าแดงก่ำพูดด้วยน้ำเสียงหมดแรง มูฮึนก็ยกยิ้มก่อนจะจับข้อมือของซึงจูไว้แล้วดึงไปตรงหว่างขา ซึงจูเบิกตาโตด้วยความสงสัยว่าเขาจะทำอะไร แต่แล้วมูฮึนก็พูดขึ้นเสียงอ่อนราวกับกำลังอ้อนวอน
“จับของพี่ด้วยสิ ซึงจูยา”
“…”
ให้ตายสิ จู่ๆ ก็มาขออะไรแบบนี้เนี่ยนะ
เขารู้สึกได้ถึงท่อนลำที่ทั้งใหญ่และหนาผ่านฝ่ามือ ถึงจะแค่จับมันไว้โดยไม่ได้กำให้แน่น แต่ซึงจูก็รับรู้ได้ว่าความเป็นชายที่แข็งตัวเต็มที่ของอีกฝ่ายนั้นใหญ่โตเกินกว่าที่ซึงจูจะเอาของตัวเองไปเทียบด้วยได้
ซึงจูมั่นใจว่าของตัวเองก็ไม่ใช่เล็กๆ เพราะสมัยมัธยมปลายตอนเปลี่ยนชุดพละเพื่อนนักเรียนชายทุกคนต่างก็เคยเห็นโครงร่างของส่วนนั้นที่เผยให้เห็นภายใต้กางเกงชั้นในของกันและกัน และซึงจูก็มักจะได้ยินคำพูดแนวๆ ว่า ‘ของหมอนี่โคตรใหญ่เลย’ จากเพื่อนๆ อยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่ได้ภูมิใจกับมันสักเท่าไหร่ (ตรงกันข้ามแล้วเขากลับไม่ได้ใส่ใจและบอกเพื่อนพวกนั้นไปว่าเลิกพูดจาไร้สาระสักที) แต่ถึงอย่างนั้นขนาดของมูฮึนที่เห็นอยู่ในตอนนี้ก็ยังทำให้เขาเสียความมั่นใจ
“เร็วสิ…หืม?”
มูฮึนส่งเสียงในลำคอเหมือนกำลังอ้อนวอนพลางขยับช่วงเอวเข้าหาฝ่ามือของซึงจูช้าๆ ดูเหมือนเขาจะไม่มีความอับอายใดๆ กับการยัดเยียดมันใส่ฝ่ามือของซึงจูแล้วขยับช่วงเอวไปมาเลยสักนิด ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็กดจูบลงมาบนริมฝีปากซึงจูอยู่สองสามหนแล้วระบายลมหายใจออกมาพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ
“จะเอาแต่จับมันอย่างเดียวเหรอ”
“เปล่าครับ”
ซึงจูเปล่งเสียงตอบออกมาอย่างยากเย็น และในเมื่อเขาตอบออกมาเสียงดังฟังชัดมาก ตอนนี้เขาจึงน่าจะต้องทำอะไรกับมันสักอย่าง ถึงแม้ภายในขอบเขตของคำพูดที่ว่า ‘ผมรู้ครับว่าพี่จะทำอะไร’ จะไม่มีการอ้อนขอให้ช่วยสัมผัสมันรวมอยู่ในนั้นด้วยก็ตาม
ถึงยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับเราด้วยนี่นา…
เขาไม่เคยรู้เลยว่าการกระทำที่พอจะรู้จักแค่ในเชิงทฤษฎีจะน่าอายมากขนาดนี้ และมันก็ยิ่งน่าอายเข้าไปใหญ่เมื่อเหตุการณ์นี้ดันเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เพิ่งจะปลดปล่อยออกมา ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะเริ่มกลับคืนมาเป็นปกติ มูฮึนคงรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างเมื่อเห็นซึงจูเป็นแบบนั้น อีกฝ่ายถึงได้แค่นหัวเราะออกมาราวกับกำลังนึกสนุก
“ช่วยทำให้พี่ขาดสติอีกรอบได้หรือเปล่า”
“…”
ทำไมคนคนนี้ถึงได้น่ากลัวขนาดนี้กัน มูฮึนอาจจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านการอ่านใจคน แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็รู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายสามารถอ่านความคิดในหัวเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนน่ากลัว ถึงเขาจะไม่ใช่คนที่อ่านง่ายขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่มีวิธีรับมือเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าคิมมูฮึนคนนี้
“ได้สิครับ”
ซึงจูแสร้งทำเป็นพูดอย่างใจเย็นแล้วเอื้อมมือข้างที่ว่างอยู่ลงไปด้านล่าง พอเขาเลื่อนมือทั้งสองข้างไปที่ขอบกางเกง มูฮึนก็ปล่อยข้อมือข้างที่จับไว้แล้วยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อช่วยให้ซึงจูถอดกางเกงออกได้ง่าย โดยกางเกงที่มูฮึนใส่ต้องปลดตะขอแล้วรูดซิปลงต่างจากของซึงจูที่เป็นกางเกงวอร์ม
ซึงจูลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะปลดตะขอ เขาต้องวุ่นวายจับโน่นจับนี่อยู่หลายครั้งกว่าจะประสบความสำเร็จกับแค่การปลดตะขอนั้น ทันทีที่รูดซิปลงด้วยปลายนิ้วที่สั่นน้อยๆ กางเกงชั้นในสีดำและโครงร่างที่นูนใหญ่ภายใต้กางเกงชั้นในก็ปรากฏสู่สายตา
“จะจับด้วยมือเปล่าเลยก็ได้นะ”
แม้คำพูดนั้นจะฟังดูเหมือนเป็นการอนุญาต แต่แท้จริงแล้วความหมายของมันกลับไม่ต่างอะไรกับการสั่งให้ซึงจูสัมผัสมันด้วยมือเปล่าที่ไม่ใช่แค่การสัมผัสเพียงด้านนอกผ่านกางเกงชั้นในเลยสักนิด ซึงจูที่รู้ความหมายนั้นดีจึงไม่รีรอที่จะดึงขอบกางเกงชั้นในของเขาลง และในตอนนั้นเองความเป็นชายที่ตื่นตัวเต็มที่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ของเขาก็ดีดผึงออกมา
“…”
ใหญ่ชะมัด…
ความจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเจ้าสิ่งนี้ของมูฮึน เพราะตอนเด็กๆ พวกเขาเคยลงอ่างอาบน้ำหรืออาบน้ำฝักบัวด้วยกัน มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกขนาดนั้นที่จะเห็นพวกเขาทั้งสี่ โดยรวมซอซึงแทพี่ชายของเขากับมูรยองที่แก้ผ้าล่อนจ้อนอยู่ด้วยกัน
แต่สิ่งที่เห็นตอนนั้นมันไม่ได้มหึมาขนาดนี้ ต่อให้จะมองว่าตอนนี้มันกำลังแข็งตัวอยู่ แต่ทั้งความหนาและความใหญ่โตของมันในตอนนั้นก็ไม่ได้ดูน่าหวั่นใจเหมือนอย่างในตอนนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาเพราะอย่างมากตอนนั้นมูฮึนก็น่าจะยังอยู่ในช่วงมัธยมต้น แต่ถึงอย่างไรซึงจูก็ยังคิดว่าอัตราการเจริญเติบโตของมันน่าทึ่งเกินไปหน่อยจริงๆ
“จ้องแบบนั้นพี่ก็เขินแย่สิ…”
มูฮึนยิ้มตาหยีอย่างเขินอายราวกับกำลังเขินอยู่จริงๆ ทว่าคำถามที่เจ้าตัวถามถัดมาขณะก้มหน้าเอาหน้าผากลงมาแตะกันนั้น อย่าว่าแต่จะอายเลย นี่มันเรียกว่าไร้ยางอายสุดๆ ไปเลยต่างหาก
“ไอ้นั่นของพี่จ๋ามันน่าตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“…”
มันเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขี้เล่น และเหตุผลที่เขาแสร้งใช้คำพูดหยอกล้อนั้นก็ชัดเจน
“ซึงจูของพี่เองก็โตแล้วเหมือนกันนี่”
มูฮึนพูดพลางจับมือทั้งสองข้างของซึงจูไปกอบกุมสิ่งนั้นของตัวเองเอาไว้ นิ้วของซึงจูที่จำต้องจับท่อนลำนั้นอย่างช่วยไม่ได้ดูจะสั่นเทาเล็กน้อย แม้ขนาดของมันจะน่ากลัว แต่เมื่อมองในเชิงรูปธรรมแล้ว ลักษณะที่เป็นลำตรงของมันก็ไม่ได้ดูน่ากลัวมากขนาดนั้น
“ดูสิ มือก็ใหญ่ขึ้นเหมือนกันนะเนี่ย”
“ให้ตายสิ…”
ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่มือของเขาก็ยังเล็กกว่ามือของมูฮึนอยู่หนึ่งข้อนิ้วอยู่ดี เมื่อก่อนเขาตัวเล็กกว่ามูฮึนเกินกว่าหนึ่งฝ่ามือเสียอีก ซึ่งการที่ตอนนี้เขาจะโตขึ้นเยอะมันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไร ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องพูดเลยสักนิด แต่เจ้าตัวก็ยังตีเนียนมากุมมือของซึงจูไว้แล้วพูดมันขึ้นมา
เกินไปแล้ว…
ซึงจูรู้สึกได้ถึงชีพจรที่เต้นตุบๆ จากท่อนลำที่กำอยู่ในมือ แม้แต่เส้นเลือดที่ปูดโปนอยู่ทั่วเขาก็ยังสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน ทั้งที่ผิวสัมผัสจากผิวเปลือยเปล่านั้นร้อนผ่าว แต่พลังงานที่ส่งผ่านมามันกลับเย็นจนรู้สึกแปลกๆ
“อา…ซึงจูยา จับให้แน่นกว่านี้หน่อยสิ”
มูฮึนบีบมือของซึงจูแรงขึ้นพร้อมกับคำขอร้อง ทำให้เจ้าสิ่งนั้นถูกมือของซึงจูกำแน่นขึ้นกว่าเก่า ความรู้สึกยามสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือนั้นร้อนผ่าวจนรู้สึกราวกับมือจะไหม้ ซึ่งต่างจากตอนที่เขากำของตัวเองขณะช่วยตัวเองลิบลับ
ทั้งที่มือตัวเองกำลังช่วยปรนเปรอให้อีกฝ่ายอยู่แท้ๆ แต่ซึงจูกลับรู้สึกราวกับตัวเองเป็นฝ่ายถูกปรนเปรอเสียอย่างนั้น เพราะการที่มูฮึนเป็นฝ่ายขยับเอวอย่างช้าๆ เพื่อให้ท่อนลำของตัวเองขยับเข้าออกในกำมือนั้นทำให้ซึงจูรู้สึกราวกับตัวเองกำลังเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียมากกว่า
“แฮก…”
ความสุขสมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ มูฮึนจ้องมองซึงจูไม่วางตาราวกับไม่คิดจะซ่อนความรู้สึกใดๆ ยิ่งจังหวะที่สบตากัน เขาก็ยิ่งแกล้งส่งเสียงครางออกมาดังๆ ราวกับอยากให้ซึงจูได้ยิน
นี่มันชักจะลามกเกินไปแล้ว…
หัวใจของซึงจูเต้นโครมครามเหมือนกับกำลังทำสิ่งที่น่าอาย พอได้เห็นภาพที่ลามกแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนเลือดมากมายกำลังไหลไปคั่งที่ส่วนหัวอีกครั้ง และแรงกระตุ้นนั้นก็ทำให้เกิดการตอบสนองของร่างกายเกิดขึ้นตามมาทันที
“แข็งอีกแล้วเหรอเราน่ะ”
“…!”
ซึงจูที่ตกใจพลันรีบบิดตัวหลบ แต่แน่นอนว่ามูฮึนไม่มีทางปล่อยให้ซึงจูทำแบบนั้นได้ง่ายๆ เขากำมือของซึงจูแน่นขึ้นอีกพลางจ้องมองร่างกายท่อนล่างของซึงจูราวกับกำลังชื่นชมผลงานอย่างเปิดเผย คงต้องโทษที่กางเกงและกางเกงชั้นในถูกดึงลงไปกองตรงเข่าตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ส่วนล่างที่เปียกแฉะและเลอะเทอะไปด้วยอะไรต่อมิอะไรถึงได้ปรากฏสู่สายตาโดยไร้สิ่งใดปกปิด
“มองอะไรครับ”
ซึงจูเอ่ยถามเสียงขุ่นด้วยความอาย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มูฮึนสะทกสะท้านเลยสักนิด เขายิ้มเหมือนกับมองว่าท่าทีนั้นช่างน่ารัก ก่อนจะโน้มลำตัวลงมาซบหน้ากับต้นคอของซึงจู วินาทีนั้นซึงจูคิดว่าเขาจะปล่อยมือออก แต่เขากลับแทรกกายท่อนล่างเข้ามาระหว่างขาของซึงจู ก่อนจะจับมือของซึงจูมาคว้าแก่นกายทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน
“อืม…คราวนี้กางเกงคงไม่เปียกแล้วล่ะ”
“อื้อ…”
คิมมูฮึนที่เหมือนจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้นแล้วเริ่มขยับเอวช้าๆ ในท่านั้น ซึงจูไม่ได้อยากกำมือให้แน่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมูฮึนกุมทั้งสองมือของเขาเอาไว้อยู่ แก่นกายทั้งสองตกอยู่ในอุ้งมือทั้งสองข้างของซึงจู และมือทั้งสองของซึงจูก็มีสองมือของมูฮึนกุมเอาไว้อีกที
แก่นกายที่เปียกอยู่ก่อนแล้วเลอะไปด้วยน้ำหล่อลื่นที่ไหลออกมาเรื่อยๆ ของเหลวที่ไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครทำให้ความรู้สึกเสียวซ่านที่ถาโถมเข้ามายิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก พอลมหายใจเริ่มขาดห้วง เสียงหอบหายใจก็เริ่มถี่กระชั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“แฮก…อึก…”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือเปล่า เสียงที่ต่างคนต่างเปล่งออกมาถึงได้ดังก้องไปทั่วห้องนั่งเล่น แม้เสียงเวลาพูดจะฟังดูกระท่อนกระแท่นและไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก แต่เสียงครางกับเสียงลมหายใจกลับดังชัดมาก ยิ่งเสียงหายใจถี่กระชั้นขึ้นเท่าไหร่ เสียงครางของมูฮึนก็ยิ่งแหบต่ำมากขึ้นเท่านั้น
“อา…ซึงจูยา”
“อ๊า! อื๊อ…”
ท่อนเนื้อที่ไวต่อสัมผัสในอุ้งมือเสียดสีกันอย่างรุนแรง แม้ว่าตอนนี้มันจะแข็งตึงแค่ไหน แต่เมื่อมูฮึนออกแรงกำมือแน่น มันก็อ่อนยวบลงจนเข้าไปอยู่ในอุ้งมือของซึงจูได้ ทว่าปัญหามันอยู่ตรงที่แรงจับของมูฮึนดูท่าจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
“พี่ครับ พี่…! ผมเจ็บ”
ซึงจูรีบประท้วงเพราะถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปส่วนนั้นของเขามีหวังได้ระเบิดจริงๆ แน่ เมื่อสติเริ่มพร่าเลือน สิ่งที่ดังออกมาจากปากอย่างยากลำบากจึงเป็นคำขอร้องเสียงแผ่ว
“เบาหน่อยสิครับ…”
“อา…”
โชคดีที่มูฮึนคลายมือออกทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เขามุ่นคิ้วด้วยสีหน้ารู้สึกผิดก่อนจะใช้มือช่วยลูบเบาๆ ราวกับต้องการจะช่วยบรรเทาส่วนที่ปวด มูฮึนปรับลมหายใจแบบนั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหลับตาที่พร่ามัวลงแล้วลืมขึ้นมาใหม่อีกครั้งพร้อมกับกระซิบเบาๆ
“ขอโทษนะ ตอนนี้พี่คุมแรงไม่ค่อยได้น่ะ”
ราวกับจะพิสูจน์ว่าคำพูดนั้นไม่ใช่คำโกหก มูฮึนดูแตกต่างไปจากปกติเล็กน้อยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ถึงเขาจะดูเหมือนออมแรงแล้ว แต่ซึงจูก็ยังรู้สึกได้อยู่ดีจากการที่เขาจับซึงจูด้วยแรงมือที่ให้ความรู้สึกราวกับกำลังบีบบังคับ และการที่เขาทำให้ซึงจูรู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อครู่นี้
“เพราะคืนวันเพ็ญนี่แท้ๆ เลย…”
ซึงจูได้ยินคำพูดที่ดังตามหลังมาไม่ชัดเจนนัก เพราะมูฮึนพูดพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงลมหายใจ และในหัวของเขาก็มีเสียงหอบหายใจดังอื้ออึงไปหมด เมื่อได้ยินเสียงหอบหายใจดังกว่าเสียงพูด ซึงจูก็มองภาพเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยด้วยดวงตาที่พร่าเบลอ ซึ่งเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้เลยว่ามูฮึนตีความคำพูดของเขาไปแบบไหนถึงได้สรุปความออกมาแบบนี้
“ถ้างั้นก็ประมาณนี้พอเนอะ”
ในเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนนั้น มูฮึนก็จับมือของซึงจูไว้อย่างออมแรง ดูเหมือนเขาจะใส่ใจกับสิ่งที่ซึงจูพูดก่อนหน้านี้เลยเบาแรงลงเยอะ พอซึงจูกุมมือเขากลับด้วยตัวเอง เขาก็ประทับจูบลงบนแก้มราวกับจะชมว่าเก่งมาก
“เอาแค่พอให้ไม่เจ็บ…”
“…”
ซึงจูรู้สึกอึดอัดไปหมดตรงแก่นกายที่กำลังเกร็งกระตุก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพิ่งได้สัมผัสกับความรู้สึกสุขสมที่ใกล้เคียงกับความเจ็บปวดมาหรือเปล่า เขาถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอึดอัดแค่นี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกทรมานอะไรมากนัก
เขารู้สึกแบบนั้นกระทั่งมูฮึนกระแทกเอวสอบเข้ามาอย่างแรง…
“อ๊า!”
“อืม เด็กดี…”
แก่นกายแข็งขืนเสียดสีกันจนได้ยินเสียงเฉอะแฉะน่าอาย ในขณะที่ซึงจูไม่อาจทำอะไรได้ ความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกันทุกครั้งที่มูฮึนขยับกาย ท่อนเนื้อที่อาบไปด้วยน้ำหล่อลื่นบดเบียดกันไปมา ส่วนหัวที่ทั้งใหญ่และหนาครูดขึ้นลงไปตามแก่นกายของซึงจูตั้งแต่ส่วนโคนจนถึงส่วนปลาย
“อื้อ…”
วินาทีที่ซึงจูร้องครางออกมา ริมฝีปากของอีกคนก็ประกบลงมาแทบจะในทันที และในจังหวะที่ซึงจูสูดลมหายใจที่ขาดห้วงไปจนเต็มปอด มูฮึนก็สอดลิ้นเข้ามาอย่างรู้เวลาและอาศัยจังหวะนั้นฉกฉวยความหวานจากโพรงปากคับแคบ ซึงจูพยายามกัดลิ้นที่สอดเข้ามาในปากไปโดยอัตโนมัติ ทว่ามูฮึนกลับไม่มีท่าทีว่าจะล่าถอยเลยสักนิด
“อึก…อื้อ…”
ไหนบอกว่าจะไม่ใส่เข้ามาไง
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่มูฮึนขยับเอวเข้ามา ความสุขสมก็เอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง ทันทีที่ตระหนักได้ว่ายิ่งบีบมือเขาแน่นเท่าไหร่ก็จะยิ่งรู้สึกดีขึ้น เขาจึงกระชับมือของมูฮึนแน่นเหมือนอย่างที่มูฮึนทำก่อนหน้านี้
พลั่ก…
มูฮึนโถมกายกระแทกราวกับจะแทรกตัวเข้ามา ของเหลวที่วาววับเป็นมันเงาไม่ได้มีแต่น้ำรักของซึงจูที่ปลดปล่อยออกมาเท่านั้น เพราะมูฮึนเองก็อยู่ในสภาพที่กำลังถูกปลุกเร้าเต็มที่จนน้ำหล่อลื่นไหลออกมาจนเยิ้มอาบไปทั่วท่อนลำเหมือนกัน
“ฮึก…”
“…”
เมื่อความเสียวกระสันที่พุ่งสูงขึ้นแตะถึงจุดสุดยอด มูฮึนไม่แม้แต่จะส่งเสียงครางออกมา สิ่งเดียวที่เขาทำคือการไล่ต้อนเรียวลิ้นของซึงจูในขณะที่กักขังซึงจูไว้ใต้ร่าง โดยประสานมือหนึ่งเข้ากับมือของคนใต้ร่างแน่นแล้วยันพื้นเอาไว้ น่าทึ่งที่เขายังสามารถพยุงตัวโดยไม่ทิ้งน้ำหนักลงมาได้ ทั้งที่กำลังหอบหายใจเสียงดังราวกับสัตว์ป่าอยู่แบบนั้น
“อ๊า…!”
ซึงจูเกร็งมือตอนที่มูฮึนโถมกายเข้ามาอีกครั้ง ในตอนนั้นเองแก่นกายที่ถูกอวัยวะเดียวกันของอีกคนทาบทับลงมาก็กระตุกอย่างแรงพร้อมกับของเหลวสีขาวขุ่นที่หลั่งทะลักออกมา
“อื้อ…”
“แฮก”
เสียงหายใจดังสอดประสานกันอยู่ภายในโพรงปาก มูฮึนกัดริมฝีปากล่างของซึงจูก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หยาดน้ำลายที่มีเลือดผสมไหลเยิ้มเป็นสายลงมาจากริมฝีปากที่ผละออกจากกันช้าๆ ดูท่าซึงจูคงกัดแรงน่าดูถึงได้เห็นเลือดที่อาบอยู่บนลิ้นของเขาในตอนท้าย
“นั่น…”
ซึงจูไม่กล้าพอที่จะถามว่าเขาเจ็บหรือไม่ เพราะสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เติมเต็มในช่องท้องหลังจากกลืนกลิ่นคาวเลือดที่หลงเหลืออยู่ลงคอ เมื่อภาพเบื้องหน้าค่อยๆ พร่าเลือนและดับมืดลง สติที่พยายามครองไว้อย่างสุดความสามารถก็ค่อยๆ เลือนไปเช่นกัน และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เหมือนจะหมดสติไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.