ทดลองอ่านเรื่อง ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3
ผู้เขียน : Oneulbom
แปลโดย : Kitti B.
ผลงานเรื่อง : ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
15-1
คืนที่ไหลบ่า
ถ้าคิมมูฮึนรู้เข้าจะมีปฏิกิริยายังไงนะ
ทั้งที่เป็นคนดั้นด้นมาถึงสมาพันธ์ด้วยตัวเองแท้ๆ แต่ในหัวของซึงจูตอนนี้กำลังคิดหนัก อันที่จริงมันดูใกล้เคียงกับการคาดคะเนมากกว่าการคิดหนัก เพราะเขาคิดว่าคราวนี้มูฮึนอาจจะโกรธจริงๆ
ซึงจูยังไม่เคยเห็นมูฮึนตอนโกรธเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่จะบ่นเลย แค่ตำหนิสักครั้งก็ยังไม่เคย และยังเป็นคนที่ไม่แม้แต่จะชักสีหน้าหรือตะคอกเสียงดัง ไม่ใช่เพราะเขานิสัยดีเหมือนมูรยอง แต่เพราะเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรู้จักควบคุมความโกรธของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นมูฮึนยังเป็นพี่ชายใจดีอย่างหาที่สุดไม่ได้สำหรับซึงจูเสมอ ต่อให้เมาแล้วเผลอไปตบหน้าก็คงจะไม่โกรธ ซึงจูคิดแบบนั้นมาโดยตลอด นั่นก็เพราะแม้เขาจะเคยลองด่าด้วยคำหยาบและใช้คำพูดไม่สุภาพ แต่อีกฝ่ายก็ไม่แสดงท่าทีโมโหออกมาเลยสักนิด แต่เขาไม่มั่นใจว่าเรื่องครั้งนี้จะทำให้มูฮึนโกรธหรือเปล่า
แต่ต่อให้มูฮึนเป็นคนแบบนั้นก็ยังมีเรื่องที่คนอื่นแตะต้องไม่ได้ นั่นก็คือความปลอดภัยของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนที่เขาต้องปกป้อง และหนึ่งในนั้นก็คือความปลอดภัยของซึงจูผู้ที่เขาหวงแหนราวกับไข่ในหิน บางทีใบหน้าโกรธเกรี้ยวที่ไม่เคยได้เห็นเลยสักครั้งของเขา ซึงจูอาจได้เห็นตอนที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บก็ได้
และตอนนี้ซึงจูกำลังวิ่งออกไปนอกรั้วที่มูฮึนสร้างไว้ด้วยเท้าของตัวเอง ซึงจูมั่นใจว่ามูฮึนต้องตำหนิที่เขาทำอะไรตามอำเภอใจก่อนจะตัดสินว่าการกระทำของเขาถูกหรือผิด แม้ซึงจูจะไม่เสียใจกับการกระทำของตัวเอง แต่แน่นอนว่ามูฮึนเองก็ไม่คิดจะเสียใจกับการกระทำของตัวเองเหมือนกัน
คราวนี้ต้องโกรธจริงๆ แน่ ไม่สิ…น่าจะถึงขั้นโมโหเลยแหละ
ต่อให้จะไม่ได้ตะคอกออกมาเสียงดัง แต่ก็คงจะโกรธจนต้องคุมสีหน้าและข่มอารมณ์ไว้อยู่คนเดียว ซึงจูคิดว่าตัวเองก็ต้องอดทนให้ได้เหมือนกัน
ทั้งที่ประหม่าราวกับเด็กน้อยที่กำลังจะโดนดุ ซึงจูก็ยังสงสัยใคร่รู้ในด้านที่ยังไม่เคยเห็นของอีกฝ่าย ตอนแรกหลังตัดสินใจไปแล้ว เขาก็คิดว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร เขาก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่พอเอาเข้าจริงเขาก็กังวลเล็กน้อย แม้จะมีสิ่งที่อยากพูดกับอีกฝ่ายมากมายเท่าภูเขา แต่เขาก็ประหม่าจนไม่อาจเรียบเรียงคำที่จะต้องพูดได้เลย
“ถึงยังไงก็คงต้องดูสีหน้าก่อน”
ซึงจูขมวดคิ้วพลางจ้องมองประตูตรงหน้านิ่ง หลังยืนอยู่หน้าประตูประมาณห้านาทีก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดตอบกลับมาจากภายในห้องที่เขาเคาะประตูเลยสักนิด พอลองเคาะประตูให้ดังขึ้นอีกเล็กน้อยก็ไม่รู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้องเลย
“ไม่ได้อยู่ข้างในหรือเปล่านะ”
ไหนบอกว่าอยู่ที่นี่ไง
คนที่ต้องโทษอยู่แถมสภาพร่างกายก็ไม่ค่อยดีคงไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องออกไปข้างนอกยามค่ำคืน และดูจากการที่ประธานสมาพันธ์ไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ไม่น่าจะมีงานอะไร
หรือว่าจะหลับอยู่
แต่มูฮึนไม่ใช่คนตื่นยากขนาดนั้น ถ้าหลับอยู่ป่านนี้ก็คงจะตื่นขึ้นมาแล้ว การที่อีกฝ่ายไม่เปิดประตูอาจเป็นการจงใจเมินก็เป็นได้
“…”
ซึงจูยกมือขวาขึ้นแล้วหันมองรอบโถงทางเดินครู่หนึ่ง แม้ว่าแต่ละห้องจะมีระยะห่างจากกันอยู่พอควร แต่ถ้าเคาะประตูต่อไปแบบนี้คนที่อยู่ห้องอื่นคงได้ตื่นกันหมดแน่ และเนื่องจากว่าเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในห้องจริงหรือเปล่า จึงไม่อาจตะโกนว่า ‘พี่ นี่ผมเองครับ!’ ออกไปได้
ซึงจูควานกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบมือถือออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อันที่จริงแค่เขาโทรหาอีกฝ่ายตั้งแต่แรกก็น่าจะจบเรื่องแล้ว แต่เขาก็มัวลังเลเพราะความประหม่าที่ไม่รู้สาเหตุ มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนนั้นที่เขาไปหามูฮึนถึงที่คนเดียว ซึ่งเขาจำไม่ได้แน่ชัดว่าเมื่อไหร่
“นี่คือความรู้สึกอะไรกัน…”
ไม่รู้ว่าการที่เขารู้สึกแบบนี้เป็นเพราะที่ผ่านมาระหว่างพวกเขาไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์กันหรือเปล่า เวลาต้องโทรหาอีกฝ่ายทีไร เขาก็จะรู้สึกละล้าละลังแบบนี้ทุกที เพราะการพูดคุยโดยไม่เห็นหน้าเป็นสิ่งที่เขารู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย และถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามูฮึนคงไม่มีทางเมินสายเขา แต่ถ้ามูฮึนไม่รับสาย เขาก็คงจะผิดหวังน่าดู
‘พี่คิมมูฮึน’
หลังกดหมายเลขสิบหลักที่คุ้นเคยแล้วกดปุ่มโทรออก ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็ชวนให้รู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรพูดทักทายออกไปด้วยประโยคที่ว่า ‘ไม่ได้คุยกันนานเลยนะครับ’ ดีไหม เนื่องจากไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายวัน ดังนั้นจึงอดที่จะรู้สึกแปลกไม่ได้
ตู๊ด…
เสียงรอสายดังขึ้น ซึงจูมองป้ายหมายเลขห้องทั้งที่มือถือยังคงแนบอยู่กับหู
หมายเลขสองหนึ่งสี่…ตรงกับวันเกิดพี่เขาเลยแฮะ
หลังคิดขึ้นมาได้แบบนั้น ไม่นานนักเสียงรอสายก็เงียบไป
“ไง…”
เฮ้อ…เดจาวูชัดๆ
ซึงจูกลืนน้ำลายหนืดลงคอเมื่อจู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้แบบนั้น น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบพร่ากว่าปกติฟังดูคล้ายกับน้ำเสียงที่ได้ยินผ่านทางโทรศัพท์ในวันที่เขายืนอยู่หน้าออฟฟิศเทลของอีกฝ่าย มันเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูไร้ชีวิตชีวาและไม่มีเรี่ยวแรงกว่าปกติ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความง่วงงุน หรือเป็นเพราะอ่อนเพลียกันแน่
“เวลารับโทรศัพท์ไม่คิดจะดูหน่อยเหรอครับว่าปลายสายคือใคร”
“…”
มูฮึนได้แต่เงียบโดยไม่ตอบอะไร ความเงียบไม่ใช่สิ่งที่ซึงจูรู้สึกไปเอง หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ มูฮึนก็พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าปกติ
“ทำไมยังไม่นอนอีก ซึงจูยา”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปหลังจากได้รู้ว่าคนที่โทรมาคือซึงจู ดูเหมือนว่าเขาจะรับสายโดยไม่ได้ดูชื่อคนที่โทรมาจริงๆ
“รีบนอนได้แล้ว นี่มันดึกแล้วนะ”
ปกติเวลานี้ซึงจูคงนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว มูฮึนเองก็คงจะรู้ความจริงข้อนี้ดี แม้จะไม่ใช่เวลาที่ถือว่าดึกสำหรับเหล่ามือปราบวิญญาณ แต่สำหรับคนปกติทั่วไปอย่างซึงจูแล้ว นี่เป็นเวลาที่ถือว่าดึกสุดๆ ดึกจนเรียกว่ากลางคืนไม่ได้ แต่ต้องเรียกว่าเกือบจะเช้ามืด
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“…”
คราวนี้ซึงจูเป็นฝ่ายลืมสิ่งที่จะพูดไปเสียสนิท ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายรับโทษแท้ๆ แต่ยังมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบคนอื่นหน้าตาเฉยอีก คนที่ต้องถามคำถามนั้นควรจะเป็นเขามากกว่ามูฮึนที่น่าจะอยู่อีกฝั่งของประตูบานนี้
“ผมได้ยินว่าพี่ได้รับโทษ”
เพราะไม่กล้าพอที่จะมองหน้า ซึงจูจึงถามผ่านทางโทรศัพท์แทน เขาเปิดปากพูดช้าๆ พลางจ้องมองป้ายหมายเลขห้องไม่วางตาราวกับว่ามันคือใบหน้าของมูฮึน
“ผมได้ยินมาจากคุณป้าน่ะครับว่าพี่ต้องลงไปอยู่ต่างเมืองชั่วคราว แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่”
ทั้งที่ได้ยินเรื่องนั้นมาหลายวันแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกปวดใจอยู่ ถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่ต้องมาหาอีกฝ่ายถึงที่นี่ และก็จะได้ไม่ต้องมาน้อยใจและโกรธเคืองมูฮึนที่ทิ้งเขามาโดยไม่ได้บอกอะไรสักคำ
“เรื่องของผมเอง ผมก็ได้ยินมันมาจากผู้ใหญ่แล้วนะครับ คุณป้าบอกให้ผมอยู่แต่ในบ้านสักพัก”
“…”
“พี่ครับ…”
“อืม ซึงจูยา”
มูฮึนตอบกลับเสียงเรียบราวกับบอกว่ากำลังฟังอยู่ น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนเป็นการอนุญาตให้ซึงจูพูดออกมาเรื่อยๆ ได้เลย ถึงแม้ว่าจู่ๆ ซึงจูจะโทรมาแล้วเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียวก็ตามที ซึงจูจึงถามเสียงอ่อนด้วยความรู้สึกอัดอั้น
“พี่ทำแบบนี้เพราะรู้ทุกอย่างอยู่แล้วสินะ”
มันเป็นคำถามที่รวมความสงสัยมากมายเอาไว้
พี่รู้เรื่องที่ตัวเองจะต้องถูกลงโทษอยู่แล้วใช่ไหม รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเราจะไม่ได้เจอหน้ากันสักพัก พี่เตรียมทุกอย่างไว้ตั้งแต่แรกเพื่อความปลอดภัยของผม และบอกให้พ่อแม่สั่งผมให้อยู่แต่ในบ้านใช่ไหม ตั้งแต่ก่อนที่เราจะไปสุสานประจำตระกูล กระทั่งวินาทีที่พี่ฆ่าอสูรตนนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดพี่เป็นคนเตรียมการทุกอย่างใช่ไหม นั่นสิ…ทั้งที่รู้ความจริงทั้งหมด แต่กลับไม่บอกอะไรผมสักคำเลยเนี่ยนะ
“พี่เองก็ไม่ได้รู้ไปหมดทุกเรื่องหรอกนะ”
คำตอบที่ฟังดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนมากพอแล้ว ต่อให้ไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่เขาก็คงจะคาดเดาทุกอย่างได้ประมาณหนึ่ง
“นายโทรมาเพราะเรื่องนั้นเหรอ”
“…”
“พี่นึกว่านายโทรมาเพราะคิดถึงพี่ซะอีก…”
มูฮึนหัวเราะเบาๆ ต่อท้ายประโยค เขาไม่ได้หัวเราะเพราะความตลก เพียงแค่พูดหยอกล้อเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศเท่านั้น
“นอนดึกเดี๋ยวจะไม่โตเอานะ”
“อายุขนาดนี้แล้ว จะโตได้มากอีกสักแค่ไหนกันครับ”
ซึงจูเถียงกลับโดยอัตโนมัติก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ อีกฝ่ายทำเหมือนเขาเป็นเด็กอยู่ได้ ทั้งที่สมัยมัธยมปลายเขาโตไวและตัวค่อนข้างสูงมากแล้ว แต่ถ้าเขาคิดจะผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดก็ถือว่าทำสำเร็จ แม้จะคิดว่ามันน่าหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ แต่สุดท้ายซึงจูก็ยอมเปิดปากในที่สุด ทว่าดูเหมือนเหตุผลที่ซึงจูรู้สึกประหม่าจะต่างไปจากที่มูฮึนคิดไว้
“ตอนนี้ผมอยู่ที่สมาพันธ์ครับ”
พูดแค่นี้ ทำไมถึงได้ยากนักนะ
ทั้งที่เตรียมใจก่อนจะมาถึงที่นี่แล้วแท้ๆ ไม่นึกเลยว่าพอมาหยุดยืนตรงหน้าประตูบานนี้ เขากลับไม่มีความกล้าพอที่จะเจอหน้าอีกฝ่าย ไม่สิ…จะว่าไปแล้วเขาก็ประหม่าทุกครั้งก่อนที่จะได้เจอมูฮึน
“พี่อยู่ห้องสองหนึ่งสี่ใช่ไหมครับ”
“…”
“ผมยืนอยู่หน้าห้องแล้ว…”
แกร๊ก…
จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกทั้งที่ยังไม่ทันพูดจบ ซึงจูเกือบจะถูกประตูที่เปิดออกมากระแทกจึงผงะถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ เสียงรอบตัวที่คล้ายกันดังออกมาจากโทรศัพท์ และในขณะเดียวกันใบหน้าที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นระหว่างช่องว่างของประตูที่เปิดออก
“…”
“…”
มูฮึนหอบหายใจเล็กน้อยซึ่งไม่ว่าใครมองก็ดูออกว่ารีบร้อนมาเปิดประตู เส้นผมสุขภาพดีดูยุ่งไม่เป็นทรงกว่าปกติ สายตาที่มองซึงจูก็ดูเหม่อลอยอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่สบตากัน ในหัวก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน ซึงจูทำอะไรไม่ถูกจึงรีบแก้ตัว
“ผมเคาะแล้วนะ”
“…”
“แต่คิดว่าพี่น่าจะไม่ได้ยิน…”
ก็เลยโทรหา…
ไม่จำเป็นต้องพูดจนจบถึงตรงนั้น เพราะจู่ๆ มูฮึนที่ยังเอามือถือแนบหูอยู่ก็ยื่นมืออีกข้างออกมาช้าๆ ก่อนที่ปลายนิ้วมือนั้นจะค่อยๆ เลื่อนมาสัมผัสแก้มของซึงจู
“…”
สัมผัสชวนจักจี้ราวกับมีขนนกเฉียดผ่านทำให้เปลือกตาของซึงจูขยับไหว จากแก้มสู่ปลายคาง จากปลายคางสู่ริมฝีปาก และหลังจากค้างอยู่ที่บริเวณริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง ปลายนิ้วนั้นก็เลื่อนกลับขึ้นไปที่เปลือกตาซ้าย แม้จะเป็นสัมผัสที่ไม่อาจคาดเดาเจตนาได้ แต่ก็เป็นสัมผัสที่อ่อนโยนจนยากจะปฏิเสธ
หลังเอาแต่ลูบไล้ใบหน้าของซึงจูอย่างทะนุถนอม ไม่นานนักมูฮึนก็กุมใบหน้าของซึงจูไว้ด้วยฝ่ามือ ก่อนจะสัมผัสทั่วใบหน้าของซึงจูอย่างแนบชิดกว่าเก่า โดยใช้นิ้วโป้งไล้ไปที่บริเวณโหนกแก้มและนิ้วกลางกับนิ้วก้อยไล้อยู่ข้างติ่งหู
“นาย…”
ทว่าในตอนท้ายของสัมผัสที่อ่อนโยนจนชวนให้รู้สึกแปลกๆ นั้นเอง มูฮึนก็แสดงท่าทีที่ซึงจูไม่คาดคิดออกมา เมื่อจู่ๆ สีหน้าของมูฮึนก็พลันบึ้งตึงราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่ น้ำเสียงเย็นชาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากที่เคลื่อนไหวช้าๆ ของเขา
“นายมาทำอะไรที่นี่”
แม้น้ำเสียงจะเย็นเยียบจนน่าขนลุก แต่ซึงจูก็ไม่ได้ตอบกลับ เพราะบรรยากาศที่แผ่ออกจากตัวมูฮึนดูไม่ปกติเกินกว่าที่จะเปิดปากพูดได้ มูฮึนค่อยๆ ละมือจากใบหน้าซึงจูพลางพึมพำเสียงเบาเหมือนไม่อยากจะเชื่อกับภาพตรงหน้า
“แล้วมาที่นี่ได้ยังไง…”
“ก่อนอื่นเราเข้าไปคุยกันข้างในดีไหมครับ”
จะให้ยืนคุยกันตรงนี้ก็ยังไงอยู่ ทันทีที่ซึงจูพูดออกไปด้วยความคิดแบบนั้น มูฮึนก็หันมองไปรอบๆ ก่อนจะคว้าข้อมือของซึงจูแล้วดึงเข้าไปด้านใน แม้เขาจะไม่ได้ออกแรงเท่าไหร่ แต่ซึงจูก็ถูกดึงเข้าไปในห้องอย่างง่ายดาย
ไฟก็ไม่เปิด…
ภายในห้องมืดมากจนมองเห็นเพียงแค่เงารางๆ เท่านั้น แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่ เพราะทันทีที่มูฮึนปิดประตู ทุกอย่างก็มืดสนิท
“…”
ปัง…
หลังปิดประตู มูฮึนก็แปะอะไรบางอย่างที่บานประตูเสียงดังกรอบแกรบ มันน่าจะเป็นยันต์ แม้ตอนนี้ซึงจูจะไม่สามารถสัมผัสอะไรได้แล้ว แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของเขตอาคม
เพราะแบบนี้เลยไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูสินะ
วินาทีที่ซึงจูคิดแบบนั้น มูฮึนก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“มาที่นี่ได้ยังไง”
“เอ่อ…”
น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนฟังดูเย็นเยียบกว่าก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัว ต่อให้รอบด้านจะมืดมิดจนมองไม่เห็นหน้า แต่ซึงจูก็มั่นใจว่ามูฮึนกำลังจัดการอารมณ์ด้านลบของตัวเองอยู่ ฟังจากสิ่งที่เขาถามตอนยืนอยู่หน้าประตูก็รู้สึกได้ว่าเขาตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย
“หัวหน้าทีมอียุนฮีพาผมมาครับ”
ขอให้เปิดไฟดีไหมนะ
พอซึงจูตอบอย่างใจเย็นพลางคิดเช่นนั้น มูฮึนก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบขึ้นอีกระดับ
“อียุนฮี?”
“ผมไม่ได้ถูกลักพาตัว ผมเป็นคนขอร้องให้เธอพาผมมาเองครับ”
ซึงจูรีบพูดเสริมเนื่องจากกลัวว่ายุนฮีจะเดือดร้อนไปด้วย เพราะจู่ๆ ก็นึกถึงยุนฮีที่ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์พลางพูดว่าไม่อยากเจอหน้ามูฮึนขึ้นมาได้ ซึงจูชำเลืองมองรอบๆ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองไปยังจุดที่มูฮึนยืนอยู่
“ผมบอกพ่อแม่ก่อนออกมาด้วยครับ ผมเขียนโน้ตทิ้งไว้แล้ว…”
ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะทำใจดีสู้เสือ แต่พอเอาเข้าจริงเขาก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาพูด แม้จะใจกล้าถ่อมาถึงสมาพันธ์อย่างไม่เกรงกลัวอะไร แต่เขาก็รู้สึกว่ามูฮึนที่มองไม่เห็นหน้าในตอนนี้น่ากลัวกว่าปกติเป็นไหนๆ แม้ว่าคำว่า ‘น่ากลัว’ จะไม่เข้ากับมูฮึนก็ตามที
“…พอตื่นมา พวกท่านก็คงจะเห็น”
ซึงจูพูดต่ออย่างไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่พลางลอบสังเกตท่าทีของมูฮึน ซึงจูมีสายตาเหมือนคนปกติทั่วไป เพราะอย่างนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มองไม่เห็นเลยสักนิดว่ามูฮึนกำลังมีสีหน้าแบบไหน
“พี่ครับ ช่วยเปิดไฟ…”
“ห้ามมาที่สมาพันธ์ตามอำเภอใจ”
มูฮึนตัดบทซึงจูด้วยการเตือนอย่างจริงจัง แม้น้ำเสียงจะไม่ได้ฟังดูโกรธเกรี้ยว แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวเขาก็ยังคงไม่ปกติ พอซึงจูหรี่ตามองอย่างจับสังเกต มูฮึนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“รู้บ้างหรือเปล่าว่าที่นี่มีคนเพ่งเล็งนายเยอะแค่ไหน”
แต่คำว่า ‘เพ่งเล็ง’ ก็ใช่ว่าจะมีความหมายในแง่ที่อันตรายเสมอไปนี่นา
แน่นอนว่าคนที่ประจบสอพลอเพื่อหวังความรักใคร่เอ็นดูจากนายน้อยตระกูลซอก็คงจะรวมอยู่ในนั้นด้วย
“รีบกลับบ้าน…”
“ผมคุยกับประธานสมาพันธ์แล้วครับ”
คราวนี้ซึงจูเป็นฝ่ายพูดตัดบท เขากลืนน้ำลายหนืดลงคอพลางพยายามสงบใจที่เต้นระส่ำ เพราะตอนนี้การที่ทุกอย่างรอบด้านมืดสนิทอาจเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้เขาสามารถพูดออกไปตามตรงได้
“ผมตอบตกลงเรื่องที่เขาขอให้ช่วยชำระวิญญาณอสูรไปแล้วครับ เขาบอกว่าจะส่งนักล่าอสูรที่เชื่อมือได้มาคอยคุ้มกัน ผมก็เลยขอให้เป็นพี่ ส่วนเรื่องที่ผมมองเห็นความทรงจำของพวกอสูรตอนชำระวิญญาณ ผมไม่ได้บอกเขา…”
ซึงจูพูดสิ่งที่เตรียมมายืดยาวราวกับอ่านหนังสือ เพราะเขาคิดว่าขืนหยุดพูดไปกลางคัน อีกฝ่ายคงได้คิดว่าเขากำลังสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อแก้ตัว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กระชับและชัดเจนที่สุด
“…เพราะงั้นจากนี้ไป พี่จะต้องคอยดูแลผมไปอีกสักพัก”
“…”
แม้ซึงจูจะพูดจนจบมาถึงตรงนี้แล้ว แต่มูฮึนก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ ซึงจูจ้องมองตำแหน่งที่ใบหน้าของอีกฝ่ายน่าจะอยู่ตรงนั้นพลางข่มความประหม่าที่อัดแน่นอยู่เต็มอก มูฮึนคงจะมองเห็นใบหน้าเขาอยู่แล้ว เขาจึงไม่ลืมที่จะพยายามรักษาสีหน้าให้นิ่งสงบเข้าไว้
“เรื่องลงโทษอะไรผมไม่รู้ด้วยหรอก แต่อย่างน้อยพี่ก็ไม่ต้องไปต่างเมืองแล้ว”
อาจเป็นเพราะว่าสายตาเริ่มคุ้นกับความมืด ซึงจูจึงเริ่มมองเห็นใบหน้าของเขารางๆ ตั้งแต่สีหน้าที่ดูเย็นชาและแข็งกร้าวต่างไปจากปกติ รวมไปถึงริมฝีปากที่ขยับอ้าออกอย่างช้าๆ
“รู้ตัวไหมว่านายกำลังพูดอะไรอยู่”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงลมหายใจ ซึงจูจึงย้ำความจริงอีกครั้งอย่างใจเย็น
“ผมเจรจากับประธานสมาพันธ์มาแล้วครับ”
“…”
ซึงจูพูดออกไปเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ดูเหมือนมูฮึนจะไม่ได้คิดเช่นนั้น หลังเงียบไปครู่ใหญ่มูฮึนก็แค่นหัวเราะก่อนจะเปิดปากถาม
“ล้อกันเล่นใช่ไหม”
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามนั้น เพราะมูฮึนรู้ดีอยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ซึงจูเสยผมที่ปรกหน้าไปด้านหลังก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาสั้นๆ
“ฮึ…”
โชคดีที่ไม่ได้เปิดไฟ
ซึงจูได้แต่คิดเช่นนั้นในใจ เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อาจเผชิญหน้ากับมูฮึนแบบนี้ได้ หากได้เห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของมูฮึน ต่อให้จะเป็นคนที่จิตใจแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็คงต้องรู้สึกหวาดหวั่นอย่างแน่นอน
“ซึงจูยา”
มูฮึนเรียกซึงจูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ไม่อาจจัดการได้ คำถามที่เอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบาหลังจากนั้นก็เช่นกัน
“นายไม่คิดถึงใจพี่ที่ไม่อยากให้นายเจอเรื่องอันตรายบ้างเหรอ”
ซึงจูไม่ถามว่าทำไมมูฮึนถึงพูดแบบนี้ เพราะเขารู้เหตุผลนั้นดีอยู่แล้ว
เพราะแบบนั้นก็เลยไม่คิดจะซักไซ้อะไรและได้แต่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงว่างเปล่าสินะ
ไม่ใช่ว่าซึงจูไม่รู้ถึงความรู้สึกนั้น แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูเองก็มีสิ่งที่อยากจะพูดเหมือนกัน
“แล้วพี่ล่ะครับ”
“…”
“พี่เคยคิดถึงใจผมที่ไม่อยากให้พี่เจอเรื่องอันตรายบ้างไหม”
ซึงจูไม่ได้แค่อยากย้อนถามส่งๆ ตามอารมณ์ แต่ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ซึงจูคิดแบบนั้นเสมอ พอเห็นเขาต้องคอยแบกรับและเผชิญกับเรื่องอันตรายเพียงลำพังมาโดยตลอดแล้ว ซึงจูก็อดที่จะรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้หลายต่อหลายครั้ง
“ต่อให้เป็นพี่ก็ใช่ว่าจะรับมือไปได้ซะทุกเรื่องนะครับ”
“แต่เรื่องคราวนี้มันต่างกัน”
“ในสายตาผม มันเหมือนกันครับ”
น่าจะต้องบอกว่าเขาทั้งรู้สึกผิด รู้สึกเจ็บใจ และรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เขารู้สึกละอายกับความรู้สึกเหล่านั้นจนโมโห และสุดท้ายปลายทางของความรู้สึกเหล่านั้นก็พุ่งตรงไปที่มูฮึน
“ทำไมพี่ถึงได้เอาแต่คิดเองเออเองอยู่คนเดียวและไม่เคยฟังผมเลย ในเมื่อพี่ยังทำแบบนั้นได้ แล้วผมจะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้หรือไง”
ทั้งที่รู้ดีว่ามันดูงี่เง่า แต่ซึงจูก็ยังเลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้น เขามาหาอีกฝ่ายถึงสมาพันธ์แค่ครั้งเดียว แต่อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีเหมือนโลกจะพังทลายลงมาต่อหน้า
“ผมไม่ได้เดินเข้าไปหาเรื่องอันตราย ผมแค่ยอมให้ความร่วมมือกับคนพวกนั้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
“ซึงจูยา”
“ผมขอโทษที่ไม่เชื่อฟังคำพูดพี่ แต่…”
“ซอซึงจู!”
จู่ๆ มูฮึนก็ตะคอกเสียงดังทำเอาซึงจูตกใจจนเบิกตาโต หลังยืนเหม่อและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ซึงจูก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“พี่ตะคอกใส่ผมเหรอ…”
“…”
มูฮึนกัดริมฝีปากแน่นราวกับเสียใจกับการกระทำเมื่อครู่ของตัวเอง น่าขำที่พอเห็นท่าทีแบบนั้นของมูฮึนแล้ว ความรู้สึกเสียใจที่ไม่อาจกลั้นไหวก็พลันเอ่อล้นขึ้นมา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดแก้ตัว ซึงจูก็หลุดปากพูดไปโดยไม่รู้ตัว
“ถ้างั้นผมต้องทำยังไงเหรอครับ”
ซึงจูรู้ว่าตัวเองทำในสิ่งที่น่าถูกดุ ทำในสิ่งที่มูฮึนห้าม ซึ่งการกระทำเช่นนั้นอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่อาจจะยุ่งยากกว่าเก่า และรู้ดีว่าถ้าอีกฝ่ายมีแผนการอื่นอยู่ สิ่งที่เขาเลือกทำลงไปก็อาจเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งแผนการของอีกฝ่าย
“พี่ถูกลงโทษเพราะผม แล้วพี่ยังจะบอกให้ผมเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านและรอจนกว่าพี่จะคลี่คลายเรื่องทุกอย่างได้เหรอครับ”
ถ้าพี่จะตัดสินใจเอาเองแบบนั้นก็บอกกันสักหน่อยสิ บอกผมว่าเกิดอะไรขึ้น บอกผมว่าผมต้องทำยังไง อย่างน้อยก็บอกหน่อยว่าผมต้องรออีกนานแค่ไหน
“พี่ไม่คิดว่าผมจะเป็นห่วงพี่บ้างเหรอครับ”
ยิ่งเห็นว่าพี่ทำทุกอย่างเพื่อผมแล้ว ในใจก็มีแต่จะยิ่ง…
“ตอนที่พี่เหนื่อยแทบตาย ตอนที่พี่อดหลับอดนอนจนขับรถไม่ไหว พี่คิดว่าผมไม่รู้สึกผิดหรือไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ”
ซึงจูจ้องมูฮึนเขม็งโดยไม่หลบตา แม้ภาพเบื้องหน้าจะค่อยๆ พร่าเลือน แต่ต่อให้จะพยายามข่มความขุ่นเคืองใจที่เอ่อล้นขึ้นมาแค่ไหน สุดท้ายมันก็มีแต่จะล้นทะลักออกมา ความสุขุมใจเย็นที่พยายามรักษาเอาไว้มาตลอดได้พังทลายลงราวกับความรู้สึกในใจบางอย่างระเบิดออกมา
“พี่จะทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาไปอีกนานแค่ไหนพี่ถึงจะพอใจ!”
ความเสียใจที่ถาโถมราวกับคลื่นซัดสาดเข้ามาในใจของซึงจูอย่างไม่หยุดพัก ถ้าเป็นไปได้ซึงจูเองก็ไม่ได้อยากตะคอกเสียงดัง แต่เสี้ยววินาทีนั้นซึงจูก็ไม่อาจข่มความเสียใจเอาไว้ได้
“ผมเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ผมไม่อยากให้ใครต้องตาย ไม่อยากให้ใครคอยกังวลว่าผมจะเป็นหรือตายยังไง ไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากเพราะเรื่องแบบนั้น!”
ตอนที่พี่ชายกับพี่สาวตาย แน่นอนว่าซึงจูยังเป็นแค่เด็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็อ่อนไหวและรู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าของคนในครอบครัวไม่ต่างกัน พ่อแม่ที่เอาแต่ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ครอบครัวบ้านข้างๆ ที่รู้สึกผิดจนร้องไห้ไม่ออก ภาพเหล่านั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของเขา
“พี่มั่นใจไหมว่าตัวเองจะไม่มีจุดจบแบบคุณลุง”
หลังพี่ชายและพี่สาวเขาตายไปได้หนึ่งปี คุณลุงผู้เป็นพ่อของมูฮึนที่สุขภาพแข็งแรงมาตลอดก็จากไปเพราะทำงานหนักเกินไปจนร่างกายรับไม่ไหว แม้คนในครอบครัวมูฮึนที่สูญเสียคนสำคัญไปจะสะเทือนใจกับเรื่องนั้นกว่ามาก แต่ในหัวใจของเด็กน้อยในตอนนั้นก็ตระหนักถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“พี่คิดว่าคนอย่างผมจะไม่กลัวเรื่องแบบนั้นงั้นเหรอ”
มนุษย์เราไม่ว่าจะเป็นใครหรือไม่ว่าเมื่อไหร่ต่างก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น เพราะสิ่งที่เรียกว่าความตายนั้นว่างเปล่า เด็กน้อยในวันวานที่ไม่เคยรับรู้รสชาติที่แท้จริงของมันจึงรู้สึกแบบนั้นมาตลอด แต่แล้วเมื่อภาพที่เคยคิดมาตลอดว่าจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ได้แตกสลายไป ซึงจูก็รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่อาจทนไหว
“ผมเองก็กลัวเป็นเหมือนกัน กลัวว่าใครจะทำพลาด กลัวว่าทุกคนจะมัวแต่ห่วงผมจนไม่ห่วงตัวเอง กลัวว่าทุกคนจะได้รับบาดเจ็บแล้วไม่บอกกัน! ทั้งๆ ที่ผมกลัวมาตลอด แต่ทำไมพี่ถึงไม่รู้อะไรบ้างเลย!”
ใช่แล้ว ซึงจูเองก็กลัวความตาย แต่เพราะทุกคนเป็นห่วงเขาจนวุ่นวายกันเสมอมา เขาจึงไม่อาจแสดงท่าทีอะไรออกไปได้ เพราะถ้าตัวเขาแสดงความกลัวออกไปอีกคน ทุกคนก็จะยิ่งกังวลมากกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงได้แต่รักษาท่าทีนิ่งเฉยและแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สามาโดยตลอด
“ทำไมพี่ถึงได้…!”
ยังไม่ทันพูดจบ น้ำตาก็ไหลริน
“…”
“…”
ซึงจูเห็นว่ามูฮึนชะงักไปผ่านสายตาที่พร่าเบลอ หลังจากที่ซึงจูระบายความโกรธและมูฮึนเองก็ได้แต่ฟังสิ่งที่ซึงจูระบายออกมาอยู่เงียบๆ ก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรอีก ระหว่างนั้นมีเพียงแค่ซึงจูที่ห่อไหล่พลางสะอึกสะอื้นเบาๆ
“เฮ้อ…”
น่าขายหน้าชะมัด ทั้งที่ไม่อยากร้องไห้เหมือนเด็กน้อยเลยแท้ๆ เพราะพอร้องไห้ในเวลานี้ การกระทำของเราก็มีแต่จะดูงี่เง่า
“เฮ้อ เวรเอ๊ย…”
แม้จะพยายามกลั้นเอาไว้แค่ไหน แต่ลำพังแค่พยายามไม่ให้ไหล่สั่นไปตามแรงสะอื้นได้ก็ถือว่าเกินจะรับไหวแล้ว แม้จะยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตา แต่น้ำตาที่เอ่อล้นก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดไหลเลยสักนิด
หลังสะอึกสะอื้นจนหอบหายใจอยู่พักหนึ่ง ซึงจูก็เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทั้งที่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้น
“ผมรู้ว่าผมคงช่วยอะไรไม่ได้”
“…”
“ผมรู้ดี…แต่ทั้งที่รู้แบบนั้น…”
แม้มูฮึนจะเคยบอกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ แต่ซึงจูกลับคิดว่าคนที่ไร้ประโยชน์จริงๆ คือตัวเขาเอง เพราะเขาเป็นเพียงคนธรรมดา การที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้และทำได้แค่รอรับความช่วยเหลือในสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง แม้แต่การไปมหาวิทยาลัยเขายังต้องได้รับการคุ้มกันเลย แล้วแบบนี้คนอย่างเขาจะช่วยเหลืออะไรใครได้
“ผมว้าวุ่นใจมาก แต่จะให้ผมทำยังไงได้ล่ะ”
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพราะรู้สึกว่าถ้าเอาแต่อยู่เฉยๆ คงได้เป็นบ้าแน่ เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาทำลงไปจะไม่เป็นอันตราย และมั่นใจด้วยว่ามันจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น อันที่จริงเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองทำผิดอะไรมากมาย เพราะอย่างน้อยในเชิงผลลัพธ์ก็ถือว่ามันประสบความสำเร็จ
“พี่คงไม่รู้สินะว่าทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ผมคิดอะไร”
แต่มูฮึนกลับยังคงแสดงท่าทีราวกับโลกทั้งใบถล่มลงมา ซึงจูไม่อยากเห็นเขาในสภาพที่ดูไม่สบายใจเช่นนี้ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องความถูกผิด
ถ้าตัวตนของผมมันทำให้พี่ไม่สบายใจล่ะก็…
“สู้ให้ผม…”
ซึงจูไม่อาจพูดให้จบประโยคได้ ส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นคำพูดที่เขาไม่อาจพูดต่อหน้ามูฮึนได้ แต่อีกส่วนเป็นเพราะสัมผัสอันอบอุ่นที่โอบกอดร่างกายเขาไว้ก่อนที่เขาจะทันได้พูดออกไป เพราะจู่ๆ มูฮึนก็โผเข้ามาคว้าต้นคอแล้วดึงเขาเข้าไปกอดจนจมอกพลางซุกใบหน้าลงมา
“พี่ขอโทษ…”
“…”
“พี่ผิดไปแล้ว”
น้ำเสียงที่สงบลงดังเข้ามาในหู มูฮึนกดปลายคางลงบนผมพลางโอบกอดซึงจูแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย น้ำเสียงที่เอ่ยตามหลังมาฟังดูกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก
“พี่จะไม่โมโหและจะไม่ตะคอกใส่นายอีกแล้ว”
มันเป็นคำพูดที่จริงจังต่างไปจากปกติ ปลายนิ้วที่สั่นระริกขณะกำลังลูบต้นคอของซึงจูอย่างทะนุถนอมก็เช่นกัน หลังโอบไหล่ด้วยมืออีกข้าง มูฮึนก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงลมหายใจ
“เพราะงั้นอย่าพูดคำนั้นออกมาเลยนะ”
คำพูดนั้นฟังดูคล้ายกับกำลังอ้อนวอน เหมือนเขาพอจะรู้ว่าสิ่งที่ซึงจูตั้งใจจะพูดออกมาคืออะไร คนที่ความรู้สึกไวจนน่าตกใจคงจะรับรู้ถึงความรู้สึกของซึงจูได้อยู่แล้ว
“พี่คิดผิดเอง”
“…”
“พี่ขอโทษนะ”
มูฮึนพร่ำพูดคำว่าขอโทษซ้ำไปซ้ำมาราวกับไม่รู้จะพูดอะไรดี ขณะลูบหลังซึงจูอย่างทะนุถนอม เขาก็กอดซึงจูแน่นขึ้นอีกเล็กน้อยราวกับกลัวว่าซึงจูจะหลุดมือไป หลังจูบผมซึงจูอีกครั้ง เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับกลัวว่าซึงจูจะร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม
“ขอร้องล่ะ อย่าร้องไห้เลยนะ หืม?”
พอได้ยินคำปลอบที่บอกว่าอย่าร้องไห้ น้ำตาก็พานจะไหลออกมาหนักกว่าเดิม ทั้งที่คนที่กำลังร้องไห้คือซึงจู แต่สีหน้าของมูฮึนกลับดูแย่ยิ่งกว่าเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นฝ่ามือที่คอยลูบแผ่นหลังซึงจูก็ยังคงทำหน้าที่เป็นอย่างดี
“…”
พอรู้สึกเหมือนจะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง ซึงจูก็เกร็งคอพลางกัดริมฝีปากแน่น แต่มันก็เปล่าประโยชน์ เพราะเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสารยังคงดังลอดออกมาทุกครั้งที่ผ่อนลมหายใจ พอเห็นซึงจูกำมือแน่นจนไหล่สั่นระริกไม่หยุด มูฮึนก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าเดิม
“พี่เป็นแบบนี้เพราะเป็นห่วง”
มันเป็นเหตุผลที่ซึงจูเองก็รู้ดีอยู่แล้ว ทว่าคำพูดที่ตามหลังมากลับเป็นสิ่งที่ซึงจูเพิ่งเคยได้ยินจากปากของมูฮึนเป็นครั้งแรก
“พี่เองก็กลัวเหมือนกัน…”
“…”
“เพราะงั้นพี่ถึงได้เป็นแบบนี้ ซึงจูยา”
ท้ายที่สุดแล้วแม้ว่าคำพูดนี้จะฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้าง แต่ซึงจูก็รู้ว่ามันเป็นความจริงจากใจของมูฮึน พอรู้แบบนั้นแล้ว ทั้งที่ควรจะเกลียด แต่ซึงจูก็ทำใจเกลียดมูฮึนไม่ลง เพราะมูฮึนก็กลัวไม่ต่างจากเขา และเขาเองก็เป็นห่วงมูฮึนไม่ต่างจากที่มูฮึนเป็นห่วงเขาเช่นกัน
“ซึงจูของพี่เองก็กลัวเหมือนกันสินะ”
น้ำเสียงที่ปลอบโยนอย่างแผ่วเบาทำให้น้ำตาที่ฝืนกลั้นเอ่อล้นออกมา และในวินาทีที่ได้ยินคำพูดถัดมาของมูฮึน ความเสียใจที่เคยพรั่งพรูก็ยิ่งถาโถมหนักกว่าเดิม
“พี่ไม่เคยรู้เรื่องนั้นเลย พี่ขอโทษนะ”
“ฮึก…”
ความจริงแล้วเขากลัวมาโดยตลอด นับตั้งแต่ตอนที่ขึ้นรถมากับยุนฮีจนถึงที่สมาพันธ์ ตอนที่พูดคุยกับประธานสมาพันธ์ ตอนที่ยืนอยู่หน้าห้องของมูฮึน กระทั่งตอนที่ได้เจอใบหน้าที่คุ้นเคยแต่กลับต้องหาข้อแก้ตัวเพราะตกใจกับปฏิกิริยาตอบรับที่เย็นชาของมูฮึน ทั้งหลายนี้ไม่มีวินาทีไหนที่เขารู้สึกวางใจได้เลย
“ฮึก…ฮึก…”
ซึงจูจำไม่ได้ว่าไม่ได้ร้องไห้หนักแบบนี้นานแค่ไหนแล้ว สมัยเด็กเขาร้องไห้ทุกครั้งที่ถูกมูฮึนแกล้ง แต่หลังจากความคิดอ่านเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็แทบไม่ร้องไห้อีกเลย ยิ่งร้องไห้ฟูมฟายในอ้อมกอดแบบนี้ยิ่งไม่มีอยู่ในความทรงจำ
“ผมน่ะ…ฮึก…”
ซึงจูเปิดปากอย่างยากลำบาก การจะเอ่ยอะไรออกไปสักคำมันไม่ง่ายเลย หลังสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ สองครั้ง ในที่สุดซึงจูก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ผมเคยบอกไปแล้วนี่ครับว่าผมชอบพี่…”
ซึงจูเอื้อมแขนออกไปโอบกอดเอวของมูฮึนช้าๆ ก่อนจะกำชายเสื้อพลางฝังใบหน้าลงกับต้นคอเขา เมื่อความโศกเศร้าเสียใจถาโถมเข้าใส่ไม่หยุด คำพูดที่เคยเก็บไว้ในใจก็พรั่งพรูออกมาไม่หยุดเช่นกัน
“ทั้งที่รู้ ฮึก…แต่พี่ก็ยังทำแบบนั้น”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังร้องไห้อยู่ หรือเป็นเพราะกำลังซุกใบหน้าอยู่กันแน่ แม้แต่ซึงจูที่เป็นคนพูดเองก็ยังรู้สึกว่าถ้อยคำที่พูดงึมงำออกมานั้นฟังดูน่าสงสารจับใจ
“ที่ผมเคยบอกว่าให้กลับไปเจอกัน ฮึก…แค่ปีละครั้งสองครั้งเหมือนเมื่อก่อน พี่รู้ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง”
เขาไม่ได้หมายความว่าจะตัดความสัมพันธ์กันทั้งที่ยังแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แบบนี้ แต่เขาหมายความว่าหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาจะเดินกลับไปสู่ช่วงเวลาในอดีตที่แสนสงบสุข กลับไปสู่ช่วงเวลาที่ความว้าวุ่นใจเพียงอย่างเดียวของเขามีแค่ความรู้สึกที่มีต่อมูฮึน กลับไปมีชีวิตประจำวันในแบบที่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความเป็นความตายในชีวิต
“ทำไมพี่ถึงชอบทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวเรื่อยเลย…”
“…”
“ทำไมถึงได้เอาแต่ทิ้งกันอยู่เรื่อย…ฮึก”
ซึงจูปล่อยโฮพลางถูไถหน้าผากลงบนลาดไหล่ของมูฮึน แต่ความขุ่นเคืองกลับไม่สงบลงเลย เขาจึงทำได้เพียงกอดมูฮึนไว้แน่นราวกับจะทำให้ร่างของมูฮึนแหลกคาอ้อมกอด ทั้งที่มันไม่ต่างจากการระบายความโกรธเลยสักนิด แต่มูฮึนก็กอดเขาแน่นขึ้นโดยไม่ได้ถือสาอะไร
“ใช่ซะที่ไหนล่ะ…พี่ไม่ได้ทิ้งให้นายอยู่ตัวคนเดียวสักหน่อย”
ฝ่ามือใหญ่เลื่อนจากแผ่นหลังลงมาที่เอวอย่างอ้อยอิ่ง ขณะที่มืออีกข้างที่วางอยู่บนต้นคอยังคงโอบกอดซึงจูเอาไว้ราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้ซึงจูหายออกไปจากอ้อมอกของตัวเอง
“พี่ไม่เคยคิดที่จะทิ้งนายแบบนั้นเลยนะ พี่ผิดไปแล้ว”
ความรู้สึกที่เหมือนกับร่างกายหลอมละลายเพราะไออุ่นชัดเจนยิ่งกว่าความรู้สึกที่เหมือนกับหายใจติดขัดเสียอีก อุณหภูมิจากร่างกายที่โอบกอดเขาเอาไว้ กลิ่นกายที่ลอยมาแตะปลายจมูก กระทั่งน้ำเสียงที่ดังคลอเคลียอยู่ข้างหู สิ่งเหล่านั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน
“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งนายสักหน่อย พี่จะทิ้งนายได้ยังไงกันล่ะ หืม?”
แม้มูฮึนจะเก่งเรื่องการปลอบโยนและการหยอกล้อ แต่มันก็ไม่ได้ผลกับซึงจูที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คนที่เคยใช้ชีวิตอย่างสบายไร้ความกังวลใจมาตลอด ตอนนี้กลับกำลังแสดงท่าทีกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
“หยุดร้องไห้เถอะนะ ร้องไห้หนักแบบนี้เดี๋ยวก็ปวดหัวพอดี”
แทนที่จะตอบอะไร ซึงจูกลับทำเพียงแค่ส่ายหน้าไปมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหยุดร้องไห้ แต่เขาแค่ไม่รู้ว่าจะทำให้น้ำตาหยุดไหลได้อย่างไร พออารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาหนหนึ่งแล้ว เขาก็ไม่อาจจัดการมันด้วยตัวเองได้
“ฮึก…ฮือ…”
มูฮึนปล่อยซึงจูออกจากอ้อมอกเพราะคิดว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว แม้จะรู้สึกเสียดายไออุ่นที่ผละห่างออกไปชั่วครู่หนึ่งจนนึกอยากดึงเข้ามาแนบชิดกายอีกครั้ง แต่มูฮึนก็ประคองแก้มของซึงจูด้วยสองมืออย่างทะนุถนอม ก่อนจะกดริมฝีปากจูบลงไปบนเปลือกตาที่เปียกชื้นอย่างอ่อนโยน
“ฮึบเร็ว ฮึบ”
หลังจูบสั้นๆ มูฮึนก็พูดด้วยน้ำเสียงสดใส ซึงจูจึงหลับตาพริ้มอย่างว่าง่าย ครั้งนี้เขาสงบนิ่งนานกว่าทุกที หลังพรมจูบไปทั่วโดยเริ่มตั้งแต่ดวงตาที่ร้อนผ่าวจนแดงก่ำ แก้มที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา จนถึงริมฝีปากที่เม้มสนิทเป็นที่สุดท้าย มูฮึนก็ปิดท้ายด้วยการช่วยเกลี่ยหยาดน้ำตาที่คลออยู่บริเวณขอบตาให้อย่างเบามือ
“อย่าร้องไห้เลยนะ”
“…”
มันเป็นสิ่งที่มูฮึนมักทำบ่อยๆ เมื่อตอนที่ซึงจูยังเด็ก หลังจากแกล้งซึงจูจนร้องไห้งอแงแล้ว มูฮึนก็จะกอดซึงจูที่กำลังขวัญเสียไว้ในอ้อมอกก่อนจะจุ๊บตรงนั้นทีตรงนี้ทีเพื่อปลอบโยน และพอสบตากัน มูฮึนก็จะบอกว่า ‘พี่ขอโทษ’ พลางส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดูมาให้
“เลิกร้องไห้เถอะนะ”
แม้น้ำตาจะหยุดแล้ว แต่ซึงจูก็ไม่ตอบอะไร ตอนนี้เขาก็ไม่ใช่เด็กห้าขวบแล้วสักหน่อย เขาโตเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าจะปลอบใจด้วยการจุ๊บแล้ว การที่มูฮึนจุ๊บตรงนั้นตรงนี้ทั้งที่เขาไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้วจึงเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดที่สุด
“ขืนยังร้องไห้ต่อไป…”
วินาทีที่คิดได้ดังนั้น ซึงจูก็เอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของมูฮึนเอาไว้โดยไม่ทันให้ตั้งตัวเหมือนที่เคยทำหน้าประตูบ้านในคืนวันปีใหม่ และก่อนความกล้าที่ความมืดรอบกายมอบให้จะหายไป ซึงจูก็กระชากมูฮึนเข้าหาตัวแล้วกดจูบลงบนริมฝีปากมูฮึนซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง
“…”
“…”
จุ๊บ…
มูฮึนถึงกับลืมหายใจไปชั่วครู่ในวินาทีที่เสียงน่าอายนั้นดังขึ้น แม้รอบด้านจะยังคงมืดสนิท แต่ในระยะห่างแค่นี้ซึงจูก็สามารถคาดเดาสีหน้าของมูฮึนได้ แค่ดึงใบหน้าของอีกฝ่ายเข้ามาแล้วกดจูบลงไป เท่านี้ก็ทำเอามูฮึนถึงกับเบิกตาโต หลังจากนั้นนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นก็ถูกความรู้สึกอื่นเข้าครอบงำ
“…”
มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ก่อนที่มูฮึนจะคว้าต้นคอของซึงจูไว้พร้อมกับผลักซึงจูไปชิดกับประตู
ปึง!
เมื่อซึงจูเงยหน้าขึ้นพร้อมเสียงนั้น คราวนี้มูฮึนก็ครอบครองริมฝีปากของซึงจูด้วยการกระทำที่รุนแรงต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
“อึก…”
มันเป็นความรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก ทั้งที่ความอุ่นจากกายที่สัมผัสกันไม่ได้ร้อนขนาดนั้น แต่ซึงจูกลับรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจเพราะความร้อนรุ่ม ริมฝีปากที่บดเบียดกันจนไร้ช่องว่าง ลมหายใจที่ถูกเขาช่วงชิงไปและความวาบหวามที่เขามอบให้ ทุกอย่างล้วนรุนแรงเกินกว่าครั้งไหนๆ
แต่ถึงแม้จะจู่โจมเข้ามาอย่างรุนแรง มูฮึนก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่ทำให้ซึงจูรู้สึกหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับใช้มืออีกข้างที่ว่างยึดไหล่ของซึงจูไว้ ก่อนจะพักหายใจครู่หนึ่งโดยที่ริมฝีปากยังคงไม่ผละออกจากกัน จนถึงตอนนี้ฝ่ายที่รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะกำลังข่มความรู้สึกบางอย่างไว้จึงเป็นซึงจู
ซึงจูขยับริมฝีปากราวกับลิ้มรสชาติของจูบนั้นอย่างลืมตัว ทั้งที่ไม่มีส่วนไหนที่แนบชิดกันได้มากไปกว่านี้แล้ว แต่ซึงจูก็ยังรู้สึกว่าสัมผัสเท่านี้ยังไม่เพียงพอ จึงเผลอคิดที่จะดูดดึงริมฝีปากอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ทว่าในตอนนั้นเองมือที่เคยสัมผัสต้นคอก็เริ่มเคลื่อนลงไปช้าๆ
“ฮึก…”
ฝ่ามือที่เลื่อนลงมาอย่างอ้อยอิ่งลูบไล้ต้นคอของซึงจูแผ่วเบา แม้แต่การกระทำที่ดูไม่ได้พิเศษอะไรก็ยังกระตุ้นความรู้สึกวาบหวามจนซึงจูถึงกับต้องห่อไหล่
หลังลูบซึงจูอยู่พักหนึ่งราวกับต้องการจะบอกให้ซึงจูคลายความประหม่า คราวนี้มูฮึนก็ย้ายมือมาเชยคางของซึงจูขึ้น และเมื่อริมฝีปากของซึงจูเผยออ้าออก มูฮึนก็ใช้นิ้วโป้งยึดปลายคางของซึงจูไว้มั่น แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งคว้าแขนของซึงจูมาคล้องคอตัวเองเพื่อเป็นหลักยึดไว้ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปแล้วประกบริมฝีปากอย่างแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม
ซึงจูเผลอยื่นลิ้นออกไปอย่างไร้สติ แม้จะเป็นแค่ปฏิกิริยาที่แสดงออกเพราะคิดว่ากำลังจะโดนจูบ แต่มันก็ทำให้มูฮึนถึงกับหายใจกระเส่าจนต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสใบหน้าด้านข้างของซึงจู
“…”
ตึง…
ประตูที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงดังเมื่อมูฮึนยกแขนขึ้นเท้าประตูพร้อมขยับกายเข้าไปแนบชิดซึงจูขึ้นอีกนิด ซึงจูที่ถูกขังอยู่ระหว่างประตูและมูฮึนจึงต้องยกสองแขนขึ้นโอบรอบคอของมูฮึนไว้แน่น
“อืม…”
ทว่าน่าเสียดายที่มูฮึนดูเหมือนไม่มีความคิดที่จะสอดลิ้นเข้ามา สังเกตได้จากการที่ต่อให้ซึงจูจะพยายามยื่นลิ้นออกไปแค่ไหน มูฮึนก็ปฏิเสธและดูดดึงเพียงแค่ริมฝีปากของซึงจู แม้เขาจะยื่นลิ้นออกมาหยอกล้อช่องว่างระหว่างริมฝีปากของซึงจูเป็นระยะๆ แต่พอซึงจูเปิดปากออก เขาก็เอาแต่ล่าถอยกลับไปอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ
ไม่ถึงใจเลยสักนิด…
ทั้งที่ตอนจะจูบก็จู่โจมเข้ามาอย่างเอาแต่ใจโดยไม่สนใจอะไร พอมาถึงตอนนี้ที่ซึงจูรู้สึกเครื่องติดขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยั้งใจอะไรนักหนา ท่าทางที่กำลังใช้มือหนึ่งประคองใบหน้าของซึงจูโดยที่อีกมือหนึ่งค้ำยันประตูไว้ในท่าที่เหมือนกำลังจะพังมันนั้นดูระมัดระวังกันสุดๆ ราวกับว่าเขากำลังรักษาเส้นแบ่งที่เลือนรางเอาไว้เพื่อไม่ให้ถลำลึกลงไปมากกว่านี้ ในขณะที่ริมฝีปากยังคงบดจูบลงมาด้วยสัมผัสที่เต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจ
สุดท้ายซึงจูก็จงใจเบี่ยงหน้าหนีมูฮึนพร้อมทั้งผละริมฝีปากออก มูฮึนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ตามองซึงจู เพราะความรู้สึกที่แฝงอยู่ในสายตานั้นคือความต้องการ ซึงจูจึงพ่นลมหายใจที่หอบกระเส่าออกมาพลางปรือตา
“ถ้าจะทำ…แฮก…”
“…”
“…ก็ทำให้มันถึงใจสิ”
ก่อนจะทันได้พูดจบ ริมฝีปากของซึงจูก็ถูกครอบครองอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสติสัมปชัญญะหลุดลอยไปไหนแล้วหรือเปล่า คราวนี้มูฮึนถึงได้จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขายึดใบหน้าของซึงจูไว้มั่นแล้วประกบริมฝีปากลงมา ก่อนจะสอดเรียวลิ้นเข้ามาในโพรงปากของซึงจูอย่างเอาแต่ใจ
“อึก…!”
ตึง…
ประตูที่แนบอยู่กับแผ่นหลังส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากสอดเรียวลิ้นหนาเข้ามาลึก มูฮึนก็เกี่ยวกระหวัดลิ้นของซึงจูอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นว่าซึงจูไม่อาจทนกับสัมผัสนั้นได้จนตัวอ่อนยวบยาบ มูฮึนก็รีบสอดต้นขาเข้าไปตรงหว่างขาของซึงจูเพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้
ซึงจูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่ถูกผลักให้จนมุม ทั้งที่เป็นฝ่ายท้าทายก่อนแท้ๆ แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวก็พลันรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น และในขณะที่กำลังคิดว่ารู้แบบนี้ตอนที่อีกฝ่ายยอมปล่อยออกมาน่าจะอยู่นิ่งๆ เสียตั้งแต่แรก ความเย็นยะเยือกก็เริ่มก่อตัวขึ้นภายในช่องท้อง
พลังวิญญาณ…
พลังวิญญาณที่เริ่มไหลไปหลอมรวมกันอยู่ที่ท้องน้อยคือพลังวิญญาณของมูฮึนไม่ใช่ของใครอื่น พลังวิญญาณที่มีอยู่ในน้ำลายและลมหายใจเริ่มแผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายของซึงจูอย่างช้าๆ ก่อนที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะเริ่มอ่อนไหวขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกที่เย็นสบายราวกับมีสายลมพัดผ่านกาย
วี้ด
เสียงที่ดังอื้ออึงอยู่ข้างหูคือเสียงของเขตอาคมที่กักขังพวกเขาไว้ภายในห้องพักห้องนี้
เนตรสัมผัสวิญญาณตื่นขึ้นแล้วสินะ
ซึงจูรับรู้ถึงความจริงข้อนั้นได้ไม่ยาก เหตุผลที่มูฮึนลังเลที่จะจูบคงเป็นเพราะกลัวว่าเนตรสัมผัสวิญญาณของซึงจูจะตื่นขึ้น
“อือ…”
อะไรกัน กังวลเรื่องนั้นมาจนถึงก่อนหน้านี้เลยเนี่ยนะ ทำอย่างกับว่าเนตรสัมผัสวิญญาณนั่นตื่นแล้วจะดับลงอีกครั้งไม่ได้อย่างนั้นแหละ
“อื้อ…”
แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ซึงจูก็กลืนน้ำลายอยู่บ่อยๆ อย่างลืมตัว สัมผัสของมูฮึนที่ไล่ต้อนไปทั่วทุกที่ในโพรงปาก ความรู้สึกยามที่ลมหายใจอุ่นร้อนสอดประสานกันจนไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร รวมถึงเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันพัลวันและน้ำลายที่เคล้าผสมกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนทำให้ร่างกายที่ร้อนผ่าวเริ่มไวต่อความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ
มูฮึนไม่ยอมปล่อยซึงจูที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์นี้ไป ซ้ำร้ายยังรุกซึงจูหนักขึ้นกว่าเก่า พอซึงจูเริ่มดีดดิ้น เขาก็กอดรัดเอวของซึงจูไว้ และพอซึงจูตั้งท่าจะเบือนหน้าหนี เขาก็ติดตามไปอย่างไม่ลดละ แม้แต่ในจังหวะที่ซึงจูหอบเพราะหายใจไม่ทัน เขาก็ยังไม่ยอมปล่อย แต่กลับแบ่งปันลมหายใจของตัวเองให้กับซึงจู เขาเกาะติดซึงจูแน่นอย่างเอาแต่ใจราวกับว่าจะเป็นจะตายหากริมฝีปากของพวกเขาแยกออกจากกัน
ในวินาทีที่สติสัมปชัญญะพร่าเลือน ซึงจูก็ถูกความรู้สึกวาบหวามเข้าครอบงำ ความรู้สึกที่ชวนให้สั่นสะท้านไปทั่วทั้งกายทำให้เขาเอนตัวเข้าหามูฮึนโดยไม่รู้ตัว
โอ๊ย บ้าชะมัด…
มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก แต่ซึงจูไม่มั่นใจว่ามันคือความรู้สึกชั่ววูบหรือเปล่า มันต่างไปจากความรู้สึกสุขสมทางกายเพียงชั่ววูบ ความจริงที่มูฮึนกำลังกระหายในตัวเขาและแสดงท่าทีออกมาอย่างเร่าร้อนนั้นทำให้ความรู้สึกสุขสมแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย
จู่ๆ มือที่เคยประคองใบหน้าก็เลื่อนมาสัมผัสหูของซึงจูโดยไม่ทันได้ตั้งตัว โดยมือซ้ายประคองต้นคอที่โผล่พ้นร่มผ้าของซึงจูไว้ ส่วนมือขวาสัมผัสใบหูและติ่งหูของซึงจูอย่างอ้อยอิ่ง
“ฮึก…อือ…”
“…”
มูฮึนผละริมฝีปากออกเล็กน้อยเพื่อปรับองศาใบหน้าใหม่ จากนั้นริมฝีปากที่ผละออกจากกันจนเกิดเสียงดังน่าอายก็ประกบเข้าหากันอีกครั้งอย่างแนบแน่นจนไม่มีช่องว่างให้ลมหายใจเล็ดลอดออกมาได้ ทันทีที่ซึงจูรับเรียวลิ้นของมูฮึนเข้ามาในปากพร้อมกับส่งเสียงคราง มูฮึนก็สอดมือเข้าไปในสาบเสื้อของซึงจูแล้วลูบไล้ไปตามลาดไหล่และกระดูกไหปลาร้า
“อึก…”
ทั้งที่มูฮึนไม่ได้สัมผัสตรงจุดที่ลามก แต่ร่างกายของซึงจูกลับสั่นสะท้านทุกครั้งที่ถูกเรียวนิ้วนั้นสัมผัส ส่วนหนึ่งคงต้องโทษเนตรสัมผัสวิญญาณของเขาที่ตื่นขึ้นมา ยามที่มือของมูฮึนสัมผัสผิวเปลือยเปล่า เขาถึงได้รู้สึกเย็บวาบขึ้นมา และในจังหวะที่ซึงจูกำลังจะบิดตัวหนีเพราะอ่อนไหวต่อความรู้สึกนั้น มูฮึนก็ดันต้นขาเข้ามาตรงหว่างขาของซึงจูมากขึ้นอีกเพื่อตรึงไว้ให้มั่น
“…!”
ซึงจูตกใจจึงเบี่ยงหน้าหลบจนได้ยินเสียงน่าอายดังมาจากริมฝีปากที่ผละออกจากกัน ทว่าครั้งนี้มูฮึนกลับจับปลายคางของซึงจูให้หันกลับมาแล้วประกบจูบลงมาอย่างดูดดื่มอีกครั้งโดยไม่มีท่าทีชะงักเลยแม้แต่น้อย
“ดะ…เดี๋ยว…อึก…”
“อืม…”
การกระทำที่ยังคงบดเบียดเข้ามาอย่างเอาแต่ใจและคำตอบที่ฟังดูขอไปทีนั้นไม่ว่าใครก็ดูออกถึงเจตนาที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน ร่างกายของซึงจูตื่นตัวตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ไม่มีทางที่ซึงจูจะไม่ตอบสนองต่อการปลุกเร้าที่ตรงไปตรงมาแบบนั้น ต่อให้ซึงจูที่หน้าแดงไปถึงหูจะพยายามผลักมูฮึนออกไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะแขนขาเขาไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด
มูฮึนดึงมือที่เคยลูบไหล่ออกมาจากเสื้อแล้วกอดเอวซึงจูไว้ ก่อนจะดึงเข้าหาตัวจนร่างกายท่อนล่างแนบชิดกันกระทั่งไร้ช่องว่าง ซึงจูที่พยายามบิดตัวและดิ้นหนีจึงหยุดชะงักไปเพราะสัมผัสได้ถึงความใหญ่โตที่อยู่เบื้องล่าง
“…?”
ดูท่าจะเป็นเพราะปฏิกิริยาของซึงจูที่แปลกไป มูฮึนถึงได้ยอมผละริมฝีปากออก ทว่าริมฝีปากเขาไม่ได้ผละออกไปไกลนัก มันเป็นระยะห่างที่ใกล้ถึงขนาดที่ริมฝีปากสามารถสัมผัสกันได้เพียงแค่ใครสักคนเปิดปากพูด แต่ทั้งที่รู้แบบนั้นซึงจูก็ยังเลือกที่จะพูดถ้อยคำหนึ่งออกไปด้วยเสียงสั่นๆ
“พี่แข็งแล้ว…”
สิ่งที่ซึงจูสัมผัสได้ภายใต้กางเกงกำลังร้อนผ่าว มันเป็นความร้อนแบบเดียวกับที่ซึงจูรู้สึกได้มาโดยตลอด แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามูฮึนกำลังตื่นตัว แต่ซึงจูก็ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะได้สัมผัสกับหลักฐานอันเป็นที่ประจักษ์ขนาดนี้ ซึงจูจึงอดที่จะแปลกใจกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ใหม่ไม่ได้
คิมมูฮึนเองก็แข็งเพราะแค่จูบเหมือนกันสินะ
“…”
จุ๊บ…จุ๊บ…
มูฮึนกดริมฝีปากแล้วพรมจูบย้ำๆ จนเกิดเสียงดังโดยไม่ตอบอะไร เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังขึ้นตามมาเหมือนจะถามซึงจูว่าทำไมถึงพูดถึงเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วแบบนั้น แม้รอบด้านจะยังคงมืดสนิท ไร้แสงใดสาดส่องเข้ามา แต่ซึงจูก็พอจะมองเห็นดวงตาที่หยียิ้มอย่างอ่อนโยนของมูฮึนจากสายตาที่ปรับเข้ากับความมืดได้แล้ว
“ซึงจูยา…”
พอมูฮึนเรียกซึงจูขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ ซึงจูก็ละความสนใจจากส่วนล่างที่แนบชิดกันได้ในที่สุด เนื่องด้วยใจอยากจะขยับเอวหนีอยู่ตลอด เขาจึงได้แต่ยอมรับจูบที่มูฮึนมอบให้ทั้งที่ยังคงหอบหายใจไม่หยุด
“ซึงจูยา…หืม?”
มูฮึนจุ๊บซึงจูเบาๆ แล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงเรียกสติ มันเป็นเสียงเรียกที่ฟังดูเหมือนกำลังเรียกร้องความสนใจโดยไม่ได้คาดหวังคำตอบอยู่ในที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแอบบดเบียดเอวเข้ามาไม่หยุดจนซึงจูถึงกับต้องเกร็งท้องน้อย
“จะ…จะเรียกทำไมนัก…”
แค่นี้ก็เสียสติจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว จะเรียกชื่อทำไมนักหนา เลิกจุ๊บสักทีเถอะ หรือไม่ก็ช่วยขยับตัวออกไปหน่อย หรือไม่อย่างน้อยๆ ช่วยกลับไปจูบกันเหมือนก่อนหน้านี้ก็ยังจะดีซะกว่า เอาแต่จุ๊บปากและทำตัวออดอ้อนเหมือนลูกแมวอยู่ได้ ลำพังแค่ริมฝีปากแตะกันมันไม่ทำให้คนอื่นเขาพอใจได้หรอก
ขณะที่ซึงจูกำลังคิดแบบนั้น มูฮึนก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาเป็นของแถม
“อืม…พี่ว่า…”
แม้น้ำเสียงจะฟังดูผ่อนคลายลงมากแล้ว แต่บรรยากาศกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย แม้แต่การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและสงวนท่าทีก็ยังไม่ได้ทำให้ซึงจูรู้สึกวางใจลงได้เลยสักนิด ตรงกันข้ามซึงจูกลับรู้สึกไม่ปลอดภัยเสียมากกว่า ทั้งที่เขากำลังทำใจเย็นราวกับต้องการจะบอกให้ซึงจูวางใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าตัวเขาเองกำลังซ่อนสัญชาตญาณบางอย่างไว้เพื่อไม่ให้ซึงจูรู้สึกกลัว
ตึกตัก…ตึกตัก…
หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ หากความรู้สึกก่อนหน้านี้คือความตื่นเต้น ความรู้สึกที่แทรกขึ้นมาในตอนนี้ก็คือความหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก มือที่จู่ๆ ก็สอดเข้ามาในเสื้อเลื่อนมาลูบไล้เอวที่เปลือยเปล่า ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสที่กระดูกสะบัก
หลังจากนั้นจู่ๆ มูฮึนก็กดจูบลงที่ใบหูของซึงจูพลางกระซิบถามเสียงเบา
“…เราอาบน้ำกันก่อนดีไหม”
คำพูดที่มูฮึนเอ่ยหยั่งเชิงนั้นสื่อความหมายชัด ซึงจูไม่ใช่เด็กน้อยที่ไร้เดียงสาถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น หลังจากที่นิ่งสนิทไม่พูดไม่จาไปครู่ใหญ่ ซึงจูก็พยักหน้าที่แดงระเรื่อ
15-2
ตลอดเวลาที่อาบน้ำซึงจูปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลลงมาสัมผัสกายพลางพยายามสงบจิตใจอยู่พักใหญ่ ถ้าเมื่อครู่สานต่อจนจบไปเลยก็คงจะดี เพราะพอสติสัมปชัญญะกลับมาแล้วเขาก็รู้สึกอายจนแทบบ้า ความเขินอาย…ไม่สิ น่าจะต้องเรียกมันว่าความคาดหวังเสียมากกว่า มันเป็นความรู้สึกที่ซึงจูเพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก
แม้จะอยากอาบน้ำเย็นตามที่ใจต้องการ แต่ซึงจูก็ปรับให้เป็นน้ำอุ่นเพราะมันเย็นมากกว่าที่คิด เนื่องจากซึงจูไม่ได้ไร้ยางอายถึงขนาดที่จะช่วยตัวเองในขณะที่ระหว่างพวกเขามีประตูกั้นอยู่แค่บานเดียว ดังนั้นการร้องเพลงชาติแล้วพยายามสงบสติอารมณ์จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้ไหม แต่พอได้สระผมไปสองรอบเขาก็รู้สึกว่าน่าจะออกไปจากห้องน้ำนี้ได้แล้ว
ที่นี่มีลักษณะเป็นหอพักแบบวันรูม มีผังห้องแบบที่พอเปิดประตูห้องน้ำออกไปแล้วก็เจอเตียงเลย ทันทีที่เปิดประตูออกไปหลังอาบน้ำเสร็จซึงจูก็พบกับไม้แขวนเสื้อที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นของมูฮึนแขวนอยู่หน้าประตู แม้จะไม่มีกางเกงชั้นใน แต่ซึงจูก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจและรีบหยิบเสื้อยืดกับกางเกงมาใส่ทันที
ตอนที่ซึงจูเดินออกมา มูฮึนกำลังนั่งค้นกระเป๋าเป้ของซึงจูอยู่บนเตียง ดูเหมือนมูฮึนจะเก็บมันมาจากโถงทางเดินหน้าห้องที่ซึงจูทำตกไว้ก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นชินกับการเปิดกระเป๋าเป้แล้วค้นดูของข้างในเสียเหลือเกิน ขณะกำลังค้นดูของข้างในราวกับเป็นของตัวเอง จู่ๆ มูฮึนก็พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองซึงจู
“หนีออกจากบ้านมาเต็มตัวเลยนะ”
“…”
ซึงจูเบือนหน้าหนีอย่างเคอะเขินเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนเด็กหนีออกจากบ้านจริงๆ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นมองนั่นมองนี่ภายในห้องพลางค่อยๆ เดินย่องไปที่เตียง
“ทำไมถึงค้นกระเป๋าของคนอื่นล่ะครับ…”
“ระหว่างเราถือว่าเป็นคนอื่นเหรอ”
มูฮึนถามกลับอย่างหยอกล้อพร้อมวางกระเป๋าเป้ลงข้างตัว ก่อนจะตบตักตัวเองแปะๆ พลางพยักหน้าเรียก
“มานั่งนี่สิ เดี๋ยวพี่เป่าผมให้”
ให้ตายสิ อย่าบอกนะว่าจะให้นั่งตัก
ซึงจูคิดแบบนั้นพลางทรุดตัวนั่งลงบนพื้นด้านหน้ามูฮึน ทันทีที่เขานั่งขัดสมาธินิ่งตัวแข็งทื่อ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ
“พี่หมายถึงให้นายนั่งลงบนตักพี่ต่างหาก”
“นั่งตักพี่แล้วจะเป่าผมได้ยังไงล่ะครับ…”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ตอนนายเด็กๆ พี่ก็ทำให้บ่อยๆ”
นั่นเป็นเรื่องในสมัยที่ซึงจูยังเป็นเด็กตัวน้อย ทว่าตอนนี้ซึงจูตัวใหญ่ขึ้นจนน่าจะนั่งตักให้มูฮึนเป่าผมไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่ามูฮึนเองก็กำลังคิดเหมือนกันอยู่หรือเปล่าถึงได้เอาแต่นั่งยิ้มโดยไม่ดึงดันให้ซึงจูลุกขึ้นมานั่งตัก
ก่อนเป่าผมมูฮึนซับความชื้นที่อยู่บนเส้นผมด้วยผ้าขนหนูที่ซึงจูถือติดมาด้วย หลังจากเช็ดผมจนหมาดรวมถึงเช็ดใบหูให้ด้วย มูฮึนก็ค่อยๆ เป่าผมให้ซึงจูอย่างระมัดระวังด้วยไดร์เป่าผมที่วางอยู่บนเตียง
“ถ้าร้อนไปก็บอกนะ”
วื้ด…
ลมอุ่นแทรกไปตามเส้นผม ซึงจูเอนหลังพิงเตียงอย่างผ่อนคลายพลางปรือตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิ้วของมูฮึนยาวหรือเปล่า ทุกครั้งที่มูฮึนขยี้ผม ซึงจูถึงได้รู้สึกจักจี้อย่างบอกไม่ถูก
“พี่…”
“หืม?”
“นอกจากผมแล้ว พี่เคยเป่าผมให้ใครหรือเปล่าครับ”
ซึงจูแค่ถามด้วยความสงสัย เพราะแม้จะดูเหมือนมูฮึนไม่เคยเป่าผมให้ใครมาก่อน แต่มูฮึนก็ดูชินมือกับการเป่าผมเกินกว่าจะบอกว่าไม่เคย
สิ่งที่ชอบทำให้เป็นประจำตอนเด็กๆ คงไม่ติดตัวมาจนถึงป่านนี้หรอกน่า
ขณะที่ซึงจูกำลังคิดแบบนั้น มูฮึนก็ตอบกลับเสียงใส
“อืม เคยสิ”
“ใครเหรอครับ…”
ซึงจูชะงักไปก่อนจะเงยหน้าขึ้น มูฮึนจึงยิ้มตาหยีพลางเบี่ยงไดร์หลบเพื่อไม่ให้ลมเป่าหน้าซึงจู
“ก็ซอลกีของพี่ไง”
“โอ๊ย อะไรเนี่ย”
ซึงจูอึ้งไปชั่วขณะเพราะสิ่งที่มูฮึนพูดนั้นไร้สาระสุดๆ แต่พอนึกถึงเจ้าซอลกีที่ตัวกลมใหญ่แล้ว ซึงจูก็เผลอแค่นหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว
“นั่นมันขนต่างหาก ไม่ใช่ผมสักหน่อย”
แต่จะว่าไปแล้ว มูฮึนก็มีประสบการณ์เป่าขนให้เจ้าซอลกีจริงๆ นั่นแหละ เพราะหลังจากที่เขากับมูรยองช่วยกันจับเจ้าซอลกีอาบน้ำเสร็จ เขาสองคนก็จะจับเจ้าซอลกีเป่าขนที่เปียกจนแห้งสนิท
“ไม่นับเหรอ งั้นพี่ก็ไม่เคยเป่าให้ใครแล้วล่ะ”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
คำตอบที่มาพร้อมน้ำเสียงกระด้างทำให้มูฮึนคลี่ยิ้มแล้วปิดไดร์เป่าผม จากนั้นก็ลูบผมที่แห้งสนิทและยังอุ่นอยู่เบาๆ ก่อนจะก้มลงจุ๊บกลางกระหม่อมของซึงจู
“เรียบร้อยแล้ว”
“…”
ความประหม่าผ่อนคลายลงได้เพียงชั่วครู่ ทันทีที่บรรยากาศโดยรอบเงียบลง ไหล่ของซึงจูก็พลันเกร็งจนแข็งทื่อขึ้นมาอีกครั้ง ต้นคอของเขาเริ่มขึ้นสีแดงจัด ใบหูเองก็เริ่มเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“เอ่อ…”
ซึงจูกลอกตาไปมาเพราะทำตัวไม่ถูก ก่อนจะปรายตามองมูฮึนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงที่เดิมและกำลังก้มลงมองซึงจูอยู่เหมือนกัน พอมูฮึนเอียงศีรษะราวกับกำลังรอฟังอยู่ ซึงจูก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ปิดไฟไม่ได้เหรอครับ…”
ตอนนี้ภายในห้องสว่างเกินไป ถ้าทุกอย่างมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเหมือนก่อนหน้านี้ก็คงจะดี ขืนเปิดไฟอยู่แบบนี้คงได้เห็นทุกขั้นตอนกันพอดี
“ต่อให้ปิดไฟยังไงพี่ก็มองเห็นอยู่แล้วนี่ครับ”
“อืม…แล้วพี่เห็นไม่ได้เหรอ”
มูฮึนยิ้มตาหยีแล้วเอื้อมมือไปกดสวิตช์ที่อยู่ข้างเตียง จากนั้นก็จับแขนของซึงจูอย่างอ่อนโยนภายใต้ความมืดที่ปกคลุมทั่วทั้งห้องในชั่วพริบตา ก่อนจะดึงซึงจูที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น
“มานี่สิ”
ทั้งที่เตียงแคบเกินกว่าที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สองคนจะนอนด้วยกัน แต่มูฮึนก็ยังกอดซึงจูไว้แนบอกแล้วเอนตัวลงนอนอย่างไม่ลังเล หากเป็นเวลาปกติซึงจูคงจะแสดงท่าทีอึดอัด แต่วันนี้เขากลับยอมเอนตัวลงนอนหนุนแขนมูฮึนอย่างว่าง่าย
ถึงเวลาแล้วสินะ…
ซึงจูหัวใจเต้นโครมคราม ตอนสอบซูนึง* เขายังไม่รู้สึกประหม่าขนาดนี้เลย แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว้าวุ่นจนคอแห้งผากไปหมด ระหว่างนั้นมูฮึนก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายของพวกเขา พอซึงจูขยับยุกยิกพลางพลิกตัวไปมา มูฮึนก็ใช้แขนอีกข้างกอดซึงจูไว้แนบอกพลางตบก้นกล่อมนอน
“…”
นี่มัน…ต่างไปจากภาพที่จินตนาการไว้นิดๆ แฮะ ไม่ว่าจะมองยังไงบรรยากาศตอนนี้ก็ดูต่างไปจากตอนที่จูบกันก่อนหน้านี้เกินไปหน่อย
ขณะที่ซึงจูกำลังคิดแบบนั้น มูฮึนก็พูดในสิ่งที่เหลือจะเชื่อออกมา
“นอนกันเถอะ”
“…”
ซึงจูได้สติขึ้นมาทันใดพร้อมทั้งเบิกตาโต เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดีในสถานการณ์แบบนี้ แต่อย่างน้อยก็พอจะรู้ว่าต้องไม่ใช่คำพูดที่บอกว่า ‘นอนกันเถอะ’ แน่ๆ ต่อให้คำว่า ‘นอน’ จะมีหลายความหมาย แต่ดูจากมือที่กำลังตบก้นกล่อมอย่างเอาใจใส่แล้ว ความหมายนั้นก็น่าจะมีแค่ความหมายเดียว
“เดี๋ยวสิ…เดี๋ยวก่อนสิครับพี่”
พอคิดว่าต้องมีอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ ซึงจูก็รีบเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเส้นผมที่เฉียดปลายคางทำให้รู้สึกจักจี้หรือเปล่า มูฮึนถึงได้ขยับหน้าหนีเล็กน้อยพลางก้มลงมองซึงจู หลังจากนั้นซึงจูก็กะพริบตาสองข้างปริบๆ แล้วถามออกไปอีกครั้ง
“จะนอนทั้งอย่างนี้เลยเหรอครับ”
“นี่มันเลยเวลานอนของนายมาแล้วนะ”
มูฮึนไม่ได้พูดผิด เพราะตอนนี้เลยเวลานอนของซึงจูมานานมากแล้ว ปกติแค่หลับตาลงซึงจูก็หลับลึกแล้ว แต่ช่วงเวลาที่ชวนใจเต้นก่อนหน้านี้ทำให้เขาลืมความง่วงงุนไปเสียสนิท
“เวลาแบบนี้พี่ง่วงเหรอครับ”
“…”
ซึงจูถามอย่างขุ่นเคือง ทว่ามูฮึนกลับเอาแต่จ้องซึงจูนิ่งโดยไม่ได้ตอบอะไร ซึงจูจึงหรี่ตาลงเพราะจู่ๆ ก็นึกเสียใจขึ้นมา
รู้แบบนี้ก่อนหน้านี้น่าจะบอกว่าอย่าปิดไฟ
มูฮึนพ่นลมหายใจออกมาโดยที่ซึงจูไม่รู้ว่าเขากำลังหายใจตามปกติหรือกำลังถอนหายใจอยู่กันแน่ จากนั้นเขาก็ประคองศีรษะของซึงจูแล้วดึงเข้าหาอกของตัวเอง
“เฮ้อ…”
“…”
“จะหลับลงได้ไงล่ะ…”
ทันทีที่ใบหน้าซุกลงบนแผ่นอกกว้าง ซึงจูก็รู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจได้อย่างชัดเจน ดูจากการเต้นของมันก็สมควรแล้วที่จะหลับไม่ลง ทั้งที่เขากำลังทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ซึงจูก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของพวกเขากำลังสั่นไหวไม่ต่างกัน
“…เพราะเหมือนจะข่มใจไม่ได้ พี่เลยยังนอนไม่หลับน่ะ”
คำพูดที่ฟังดูเหมือนกำลังพูดคนเดียวทำให้ซึงจูรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก พอลองคิดดูแล้วคืนวันพระจันทร์เต็มดวงก็เพิ่งจะผ่านพ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนสภาพร่างกายและจิตใจของเขาน่าจะยังไม่มั่นคงดี ขณะที่ซึงจูลอบกลืนน้ำลายหนืดลงคอโดยไม่รู้ตัว มูฮึนก็ลูบหลังให้ราวกับกำลังกล่อมนอน
“คือ…พี่มีปัญหาเรื่องการควบคุมสติอยู่นิดหน่อยน่ะ…”
มันเป็นคำพูดที่ชวนให้รู้สึกเหมือนเดจาวู เพราะฟังดูคล้ายกับสิ่งที่ยุนฮีพูดตอนที่อยู่ในรถด้วยกันก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเหตุผลที่มูฮึนไม่ยอมทำเรื่องนั้นกับเขาเป็นเพราะเขาคือน้องชายของเพื่อน เป็นเพราะเขาคือเพื่อนของน้องชาย หรือเป็นเพราะความต่างของอายุกันแน่
“พี่มีสติตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
ทั้งที่เรื่องจูบยังทำได้ แต่เรื่องเซ็กซ์กลับทำไม่ได้ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน
มูฮึนแค่นหัวเราะให้กับคำพูดตอกกลับที่ฟังดูท้าทายนั้น ก่อนจะกดริมฝีปากจูบลงบนกระหม่อมของซึงจูแล้วกระซิบเสียงเบา
“อย่าปล่อยให้บรรยากาศพาไปสิ ซึงจูยา”
“…”
“ขืนทำกับพี่แล้วนึกเสียใจขึ้นมาทีหลังจะทำยังไงล่ะ”
ในตอนนั้นเองซึงจูถึงได้รู้เหตุผลที่มูฮึนบอกให้เขาไปอาบน้ำและพยายามดันเขาเข้าไปในห้องน้ำเป็นการใหญ่ เนื่องจากบรรยากาศพาไปมูฮึนก็เลยอยากให้เวลาเขาได้ไตร่ตรองดูดีๆ อีกสักหน่อย อีกฝ่ายจึงถ่วงเวลาไว้จนกว่าความเร่าร้อนที่โถมเข้ามาชั่ววูบจะสงบลง
“ผมไม่เสียใจทีหลังหรอกน่า”
ทว่าซึงจูกลับตัดสินใจอย่างแน่วแน่ได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ท่ามกลางสายน้ำจากฝักบัวแล้ว ไม่สิ…ต่อให้ไม่ต้องตัดสินใจหรือเตรียมใจอะไร ขอแค่อีกฝ่ายเป็นมูฮึน เขาก็ยินดีที่จะทำทุกอย่าง มันไม่ใช่ผลลัพธ์จากการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที แต่เป็นผลลัพธ์จากความเชื่อใจที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อยนับตั้งแต่วินาทีที่เขาเกิดมาจนถึงตอนนี้
“ถึงยังไงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกอยู่แล้วนี่…”
ซึงจูพูดเสริมอย่างหยั่งเชิง โดยหวังว่ามันอาจจะช่วยลดความรู้สึกผิดในจิตสำนึกของมูฮึนลงได้บ้าง และหวังว่ามันจะช่วยปิดบังความเคอะเขินหลังจากที่พูดประโยคก่อนหน้านี้ออกไปอย่างไม่รู้จักอาย
“…”
แต่มูฮึนกลับชะงักทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น แม้แต่นิ้วที่กำลังลูบไล้เส้นผมอย่างเบามือก็พลันหยุดนิ่งกลางอากาศ หลังผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่งเขาก็เปิดปากถามขึ้นเสียงเรียบ
“นายเคยทำเรื่องแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
น้ำเสียงนั้นฟังดูทุ้มต่ำกว่าปกติ ทว่ายังไม่ทันที่ซึงจูจะได้ตอบ มูฮึนก็เดาะลิ้นเสียงดังก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น แม้จะรู้สึกเหลือเชื่อกับสิ่งที่มูฮึนถามออกมาอย่างสิ้นคิด แต่ซึงจูก็เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนั้นของมูฮึนเอาไว้แล้ว
“พี่พูดบ้าอะไรน่ะ จำเรื่องคืนนั้นไม่ได้เหรอ”
ทำไมคนคนนี้ถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ด้วยนะ
ต่อให้จะบ่ายเบี่ยงทำมาเป็นไม่รู้อะไรเอาตอนนี้ แต่เรื่องคืนนั้นก็ไม่มีทางหายไปได้ ตอนที่ทะเลาะกันเมื่อหลายวันก่อนซึงจูยังพูดอยู่เลยว่า ‘แต่อะไรที่ทำได้ พี่ก็ทำกับผมมาหมดแล้วแท้ๆ แล้วแบบนี้พี่จะมาพูดอะไรเอาป่านนี้’
“วันนั้นผมดื่มเหล้า ทำไมพี่จะไม่รู้”
ครึ่งหนึ่งคือความเจ็บใจ ส่วนอีกครึ่งคือความตกตะลึง ซึงจูประท้วงออกไปด้วยความรู้สึกเช่นนั้น ทว่ามูฮึนกลับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“อ๋อ…”
ในเสียงที่อุทานออกมาราวกับนึกขึ้นได้นั้นฟังดูว่างเปล่า มูฮึนลูบศีรษะซึงจูอีกครั้งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“…จนได้สินะ”
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ซึงจูรู้สึกว่าคำพูดนั้นฟังดูเบาใจอยู่หน่อยๆ เขายังไม่ทันได้พูดอะไรมูฮึนก็ขยับตัวปรับท่าแล้วดึงเอวเขาเข้ามากอดแน่น ขาของพวกเขากอดเกี่ยวกันภายใต้ผ้าห่ม ทำเอาซึงจูรู้สึกเกร็งตรงช่วงเอวอย่างบอกไม่ถูก
“ซึงจูยา”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นข้างหู เรียวนิ้วที่สอดเข้ามาในเสื้อลูบไล้ผิวบริเวณเอวที่เปลือยเปล่าของเขา ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาที่กระดูกไหปลาร้าเหมือนที่เคยทำก่อนหน้านี้ หลังเกลี่ยนิ้วไปตามแนวกระดูกไหปลาร้าจนพอใจ มูฮึนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งวี่แววของความขี้เล่น
“ถ้าคืนนั้นนายนอนกับพี่จริง เช้ามานายคงลุกเดินไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ”
“…”
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ซึงจูลืมสิ่งที่จะพูดไปเสียสนิทจึงได้แต่กะพริบตาปริบๆ ในขณะที่ยังคงได้ยินเสียงจังหวะหัวใจที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครดังก้องอยู่ในหู พอเห็นซึงจูมีท่าทีสับสน มูฮึนก็อธิบายด้วยน้ำเสียงปกติ
“ถ้าจะให้ทำเรื่องแบบนั้นก็คงจะฝืนร่างกายไปหน่อยนะ”
“หมายความว่ายังไง…”
ในหัวของซึงจูพลันขาวโพลนไปหมด แม้จะพยายามอ้าปาก แต่สิ่งที่ดังออกมาก็แทบจะประกอบกันเป็นประโยคดีๆ ไม่ได้เลย เนื่องจากคำพูดของมูฮึนดังก้องอยู่ในหัวจนเขาคิดอะไรไม่ออก
หลังตกอยู่ในภวังค์นั้นอยู่ครู่หนึ่ง ซึงจูก็ลุกขึ้นนั่งแล้วก้มหน้ามองมูฮึน แม้ภายในห้องจะยังคงมืดสนิท แต่ซึงจูก็รู้ดีว่ามูฮึนน่าจะชะงักไปหลังสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดที่ว่างเปล่า จากนั้นเขาก็เค้นเสียงที่ติดอยู่ในลำคอก่อนจะถามออกไปเสียงดัง
“พี่จะบอกว่าคืนนั้นเราไม่ได้นอนด้วยกันเหรอครับ”
แม้จะไม่เคยซักไซ้สอบถามเอาความอย่างละเอียดจากมูฮึนมาก่อน แต่ซึงจูก็คิดว่าตัวเองหลับนอนกับมูฮึนไปแล้ว ภาพทุกอย่างที่เขาเห็นในวันนั้นคือหลักฐาน และพยานก็คือคนที่ไม่เคยปฏิเสธอะไรเลยมาจนถึงตอนนี้อย่างคิมมูฮึน ทั้งที่คิดว่าเป็นแบบนั้นมาโดยตลอด แต่คำพูดในตอนนี้ที่ว่า ‘ถ้านายนอนกับพี่จริง’ นั่นมันหมายความว่าอย่างไร หากสันนิษฐานเอาตามคำพูดนั้นก็หมายความว่าพวกเขายังไม่เคยร่วมหลับนอนกันเลยไม่ใช่หรือ
“ฮะ…”
ซึงจูรู้สึกอึ้งจนถึงกับแค่นหัวเราะออกมา ความคลุมเครือที่เคยรู้สึกมาโดยตลอด รวมทั้งความกังวลมากมายที่เกิดขึ้นหลังคืนนั้นพลันหายวับไปในชั่วพริบตาราวกับฟองสบู่
“เรื่องที่ไม่ได้นอนกับพี่มันน่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
มูฮึนหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นของซึงจู แม้น้ำเสียงจะฟังดูรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่คำพูดถัดมากลับฟังดูเจ็บช้ำใจแบบแปลกๆ
“พี่จะทำแบบนั้นกับน้องชายที่เมาจนภาพตัดได้ยังไงกัน”
“…”
แม้จะเป็นคำพูดที่ถูกต้องตามสามัญสำนึกของคนทั่วไป แต่ซึงจูกลับพูดอะไรไม่ออก แน่นอนว่าคิมมูฮึนที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะฉวยโอกาสกับคนที่เมาจนไม่ได้สติ พอนึกถึงความจริงข้อนั้นได้ ซึงจูก็คิดว่าคงจะมีแต่คนที่เมาอย่างตัวเองเท่านั้นที่เข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ
“ถ้างั้นก็หมายความว่าคืนนั้นไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นสินะครับ”
ถ้างั้นสิ่งที่เราฝันเห็นตอนนั้นมันคืออะไร
หลังพ้นช่วงมัธยมต้นมาเขาก็ไม่เคยฝันเปียกอีกเลย ดังนั้นเขาจึงมั่นใจมากว่ามือที่เคลื่อนลงไปจัดการกับส่วนล่างหลังจูบกันต้องไม่ใช่แค่ภาพในจินตนาการอย่างแน่นอน
“ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นงั้นเหรอ…”
ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่า คราวนี้มูฮึนไม่ปฏิเสธ ตรงกันข้ามเขากลับบอกว่าถ้าจำไม่ได้ก็อย่าดึงดันรื้อฟื้นถึงมันเลยจะดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็ยังคงกัดริมฝีปากแน่น พอเห็นแบบนั้นมูฮึนก็ยอมพูดอย่างช่วยไม่ได้
“คืนนั้นพี่แค่ใช้มือช่วยนายไปรอบนึง เพราะจู่ๆ นายก็แข็งขึ้นมาหลังจากจูบกัน”
มันเป็นความทรงจำในส่วนท้ายที่ซึงจูจำไม่ได้ เขาตกใจเมื่อได้ฟังเหตุการณ์ในคืนนั้นคร่าวๆ จนไม่อาจพยักหน้าให้กับคำถามที่ดังตามมาทีหลังได้
“อยากฟังแบบละเอียดไหมล่ะ”
คำถามหยั่งเชิงของมูฮึนไม่ต่างอะไรจากคำถามที่ว่าอยากลองเปิดกล่องแพนโดร่า* ดูสักหน่อยไหม แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร และถ้าเป็นอย่างที่มูฮึนว่าจริงแล้วรอยฟันที่ทิ้งไว้บนต้นคอเขามันคืออะไร ไหนจะเจ้าของรอยเล็บบนแผ่นหลังกว้าง ถ้าไม่ใช่ซึงจูแล้วจะเป็นใครไปได้ แม้จะมีสิ่งที่อยากถามมากมาย แต่กลับไม่มีคำถามไหนที่ซึงจูกล้าพอที่จะถามออกไปเลย ตรงกันข้ามซึงจูกลับข่มอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านในใจแล้วถามขึ้น
“แล้วทำไมพี่ถึงต้อง…!”
ทว่าซึงจูกลับไม่อาจถามในสิ่งที่ดังออกมาจากปากได้จนจบประโยค เพราะทันทีที่พูดพร้อมทั้งสบตากับมูฮึน ปฏิกิริยาตอบรับที่มูฮึนแสดงออกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ฉายชัดขึ้นในหัว
‘อะไรที่ทำได้ก็ทำมาหมดแล้ว?’
วันนั้นที่มูฮึนบอกว่าจะขอเว้นระยะห่างจากซึงจู มูฮึนทำสีหน้างุนงงกับคำถามที่ว่า ‘แต่อะไรที่ทำได้ พี่ก็ทำกับผมมาหมดแล้วแท้ๆ แล้วแบบนี้พี่จะมาพูดอะไรเอาป่านนี้…’ ของซึงจู ตอนนั้นเขาโกรธมากจนไม่ทันได้คิดอะไร แต่พอลองมาคิดดูตอนนี้ก็มีจุดที่ดูแปลกอยู่ไม่น้อย
พอคิดได้ดังนั้นทุกอย่างก็เริ่มลงล็อก มูฮึนไม่เคยพูดว่า ‘นอน’ ออกมาจากปากเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทางฝั่งเขาเองก็ไม่เคยถาม และมันก็เป็นเพราะเขาไม่เคยถาม มูฮึนจึงไม่เคยพูดถึงเรื่องคืนนั้นเลย บางทีถ้าเขาลองถามออกไปแต่แรก มูฮึนก็คงจะคลี่ยิ้มพร้อมกับเล่าความจริงให้ฟังไปนานแล้ว
“แล้วพี่ไม่รู้เหรอครับว่าผมเข้าใจผิด…”
แต่ถึงอย่างไรมันก็น่าแปลกอยู่ดี คนเซ้นส์ดีอย่างคิมมูฮึนไม่น่าจะดูไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเขากำลังเข้าใจผิด แล้วอีกอย่างคนที่จดจำเรื่องราวคืนนั้นได้อย่างละเอียดก็ไม่ใช่เขาที่เมาจนไม่ได้สติ แต่เป็นคิมมูฮึนที่ดูแลคนเมาอย่างเขาต่างหาก
“ก็รู้แหละนะ แต่แค่อยากแกล้งน่ะ”
สุดท้ายมูฮึนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องที่ตัวเองรู้อยู่แล้ว พอซึงจูตั้งท่าจะโวยใส่หลังได้ยินคำตอบ มูฮึนก็รีบคว้าแขนเขาแล้วดึงตัวเข้าไปในอ้อมอกตามเดิมอีกครั้ง และทันทีที่ซึงจูเงยหน้ามองอย่างตกใจเมื่อถูกดึงเข้าไปกอดโดยไม่ทันตั้งตัว มูฮึนก็รีบก้มลงไปขบกัดริมฝีปากของซึงจู
“พะ…พี่จะทำ…”
ริมฝีปากหนาดูดริมฝีปากล่างของซึงจูราวกับกำลังชิมลูกอม ก่อนจะใช้ฟันหน้าขบอย่างหยอกเย้า แม้มูฮึนจะไม่ได้กัดแรงจนถึงขั้นที่ทำให้ซึงจูรู้สึกเจ็บหรือแสบ แต่ซึงจูก็รู้สึกจักจี้จนไม่อาจทนต่อสัมผัสที่ปลายลิ้นเขาไล้เลียกลีบปากของตัวเองได้
“นี่…อึก…”
แม้จะพยายามขยับศีรษะหนีออกมาแล้ว แต่ฝ่ามือใหญ่ก็กุมต้นคอของซึงจูเอาไว้มั่น หลังดูดดึงริมฝีปากของซึงจูอยู่พักหนึ่ง มูฮึนก็ยกยิ้มมุมปากจนตาหยีเมื่อเห็นซึงจูโวยวายลั่นราวกับรำคาญ
“อ๊ะ…พอสักที…!”
“นี่แหละ นิสัยตอนเมาของนาย”
เนื่องด้วยกำลังขบริมฝีปากของซึงจูด้วยฟันหน้า เสียงพูดของมูฮึนจึงดังลอดออกมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง มูฮึนเลียกลีบปากด้านนอกที่วาววับไปด้วยน้ำลาย ก่อนจะหยอกเย้าริมฝีปากของซึงจูเป็นครั้งสุดท้าย พอผละริมฝีปากออกพร้อมกับเสียงดังที่น่าอาย เขาก็รู้สึกได้ว่าริมฝีปากล่างของซึงจูดูบวมเจ่อเล็กน้อย
“รีบแก้ซะก่อนจะติดเป็นนิสัย”
มันเป็นคำพูดจริงจังที่ฟังดูเหมือนเป็นการดุอยู่ในที ทีตอนนี้มาบอกให้เขาแก้นิสัย ทีตัวเองยังไม่คิดจะแก้ความเข้าใจผิดให้เขาเลย เขาไม่ใช่คนที่พอทำผิดครั้งหนึ่งแล้วก็ยังจะทำซ้ำเรื่องเดิมอีกสักหน่อย
“อย่าทำแบบนี้ที่ไหนนะ”
“ผมไม่ทำหรอกน่า…”
คำพูดนั้นทำให้ซึงจูรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมสุดๆ ต่อให้จะเมาขนาดไหนเขาก็ไม่มีทางทำแบบนั้นกับใคร และเขาก็คงไม่เสียสติถึงขนาดที่จะทำเรื่องน่าอายแบบนั้นกับใครที่ไหน เว้นเสียแต่จะเข้าใจผิดว่าคนคนนั้นเป็นคิมมูฮึน
“ผมทำแบบนั้นก็เพราะเห็นว่าเป็นพี่นั่นแหละ”
ซึงจูพูดออกไปอย่างขุ่นเคือง แต่มูฮึนกลับทำสีหน้าแปลกๆ รอยยิ้มพลันหายไปจากใบหน้าที่อยู่ไม่ไกลกัน หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งมูฮึนก็หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว
“เฮ้อ…ให้ตายสิ”
ซึงจูไม่อาจถามออกไปได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้เป็นแบบนั้น เพราะในวินาทีเดียวกันจู่ๆ มูฮึนก็จับไหล่ของเขากดลงกับเตียง ก่อนจะขึ้นคร่อมเขาไว้จนไม่อาจขยับหนีไปไหนได้แล้วประกบจูบลงมา
“…”
“…”
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผลักไสเรียวลิ้นที่สอดเข้ามาอย่างอ่อนโยน คราวนี้ซึงจูจับคอเสื้อเขาไว้อย่างว่าง่ายโดยไม่ต่อต้าน โดยในขณะเดียวกันนั้นมูฮึนก็ไล่สัมผัสตั้งแต่แก้ม ต้นคอ และลาดไหล่เขาตามลำดับอย่างช้าๆ ก่อนจะเคลื่อนมือต่ำลงไป
ซึงจูนึกว่ามันจะเคลื่อนต่ำลงไปมากกว่านี้ ทว่ามูฮึนกลับเอาแต่สัมผัสหน้าอกตรงจุดที่หัวใจกำลังเต้นราวกับต้องการจะสัมผัสถึงจังหวะของมัน ทั้งนี้ทั้งนั้นชีพจรที่เต้นไวกว่าปกติเล็กน้อยน่าจะถูกส่งผ่านไปถึงฝ่ามือของเขาได้อย่างง่ายดาย
บางทีมูฮึนก็ทำเหมือนกำลังตรวจสอบว่าซึงจูยังหายใจอยู่หรือเปล่า แม้เสียงหัวใจของซึงจูจะไม่ได้ผิดปกติมากนัก แต่มูฮึนก็ยังคงสัมผัสอยู่อีกพักใหญ่ บางทีมันอาจจะเป็นการคลายความกังวลตามแบบที่คุณลุงเคยสอนมูฮึนไว้ก็ได้
เราไม่ใช่เด็กสักหน่อย…
ในจังหวะที่ซึงจูคิดแบบนั้นมูฮึนก็ผละริมฝีปากออกไปช้าๆ แล้วลิ้มเลียน้ำลายที่เลอะอยู่บนปาก ก่อนจะเปลี่ยนมากดจูบลงบนแก้มของซึงจูแทน
หลังพรมจูบไปทั่วตั้งแต่หูเรื่อยลงมาจนถึงลำคอ มูฮึนก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะหลุบตาลงมองซึงจูในระยะที่ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ
“นายนี่นะ ซึงจูยา”
น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบพร่าฟังดูอ่อนโยนทั้งยังแผ่วเบาต่างไปจากปกติ แต่ลมหายใจที่หอบกระเส่ากลับฟังดูเร้าอารมณ์มากขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว เมื่อเห็นว่าซึงจูได้แต่นอนนิ่งพลางกะพริบตาปริบๆ มูฮึนก็ผ่อนคลายน้ำเสียงลง
“เอาไงดีล่ะ”
“…”
“แน่ใจใช่ไหมว่าทำกับพี่แล้วจะไม่เสียใจ”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นซึงจูก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นการถามเพื่อยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย และปลายทางของฝ่ามือบนหน้าอกจะย้ายไปที่ใดก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของเขาในครั้งนี้
ทว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบ ซึงจูได้ยื่นมือไปกอดคอของมูฮึนไว้ก่อนจะรั้งเข้ามาหาตัว นับจากวินาทีที่ริมฝีปากแตะกันอีกครั้ง ความลังเลใดๆ ก็ไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว
หากเทียบกับคนอื่นแล้วซึงจูถือว่าเป็นคนที่เติบโตมาอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องอย่างว่า ถึงจะไม่ใช่คนช่างจินตนาการ แต่ในช่วงแรกที่ย่างเข้าวัยหนุ่มเขาก็เคยจินตนาการถึงเรื่องที่ตัวเองตกเป็นของมูฮึน ทว่าจินตนาการไปก็เท่านั้น เขาไม่อาจสานต่อจินตนาการของตัวเองไปจนสุดทางได้เพราะความรู้สึกผิดบาปและความเคลือบแคลงใจในตัวเอง
การสกินชิปกับแฟนสาวที่คบกันสมัยมัธยมต้น การกอดคนวัยเดียวกันและการใช้ปากแตะกันอย่างเด็กน้อยที่คลุมเครือเกินกว่าจะเรียกว่าจูบ สิ่งเหล่านี้ได้กลายมาเป็นป้อมปราการป้องกันจินตนาการเพียงหนึ่งเดียวของซึงจู
ทว่าสุดท้ายแล้วพอเปลี่ยนมาจินตนาการถึงสิ่งเหล่านั้นกับมูฮึน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะ การกอดเขาเอาไว้ในอ้อมอกอย่างที่เคยทำเป็นประจำสมัยเด็ก หรือการจูบที่ใช้ลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่รู้จักอายหลังจากที่จุ๊บกัน ทุกอย่างล้วนมีข้อจำกัดเต็มไปหมด
“อ๊ะ พี่…เดี๋ยวก่อน…”
แต่ที่ผ่านมาเขากลับไม่เคยจินตนาการถึงภาพยามที่มูฮึนเลียยอดอกเขา ภาพยามที่ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามร่างกาย หรือภาพยามที่เขาถูกอีกฝ่ายจับเปลื้องผ้าเลยสักครั้ง มูฮึนประทับริมฝีปากลงไปบนจุดที่เขาไม่เคยนึกถึง ก่อนจะใช้ลิ้นโลมเลียเน้นย้ำตรงส่วนยอดที่นูนเด่น
“ทำไมพี่ถึง…ตรงนั้น…ฮึก…”
มูฮึนละริมฝีปากออกเป็นครั้งแรก แล้วจุดหมายถัดไปก็คือต้นคอ มูฮึนฝังจมูกแล้วซุกไซ้ไปตามแนวต้นคอพลางขบกัดผิวเนื้อบอบบางด้วยริมฝีปากอย่างหยอกเย้า แม้เรียวนิ้วที่สอดเข้ามาใต้ร่มผ้าจะยังคงสาละวนอยู่แถวช่วงไหล่ แต่ซึงจูกลับกัดริมฝีปากแน่นอย่างเกร็งๆ
มูฮึนอาจจะรับรู้ได้ถึงความเกร็งของซึงจู เขาจึงปรนเปรอสัมผัสตรงที่เดิมอย่างไม่รู้จักพอ ในขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วโป้งบดคลึงยอดอกข้างที่ยังไม่ได้รับการสัมผัสพร้อมกับใช้ริมฝีปากขบบริเวณกระดูกไหปลาร้าเบาๆ พอเห็นว่าซึงจูเกร็งจนตัวแข็งทื่อ มูฮึนก็เคลื่อนริมฝีปากกลับขึ้นไปที่ต้นคอ ก่อนจะใช้มือหนึ่งลูบไล้ไปตามสีข้างของซึงจู
นี่มันจักจี้เกินไปแล้ว…
ทีแรกซึงจูคิดแบบนั้น ทั้งการเลียต้นคอด้วยลิ้น การจูบที่กกหู รวมไปถึงการพรมจูบไปตามแนวกระดูกไหปลาร้า การฝืนทนต่อทุกสัมผัสนั้นไม่ง่ายเลยสักนิด แม้แต่การที่อีกฝ่ายลูบไล้ไปทั่วเนื้อตัวท่อนบนก็ยังทำให้ซึงจูรู้สึกวาบหวามจนต้องงอตัว
พี่…เกินไป…มันจักจี้เกินไปแล้ว
ซึงจูตั้งใจจะพูดออกไปแบบนั้น รวมทั้งอยากถามว่าทำไมถึงได้เอาแต่สัมผัสตรงจุดที่ตัวเขาเองยังไม่เคยสัมผัส เขาอยากให้อีกฝ่ายเลิกลูบไล้เนื้อตัวกันสักที อีกทั้งยังอยากบอกอีกฝ่ายว่าถ้าจะทำแบบนี้ สู้ถอดกางเกงออกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเสียยังจะดีกว่า
…!
ทว่าเมื่อถูกมูฮึนบีบเคล้นตรงยอดอก ซึงจูก็ถึงกับพูดไม่ออก เพราะแม้จะเป็นเพียงช่วงวินาทีสั้นๆ แต่ความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นปราดไปทั่วร่าง แน่นอนว่ามูฮึนไม่ยอมปล่อยช่วงเวลานั้นไป เขาขบกัดติ่งหูของซึงจูก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงหอบกระเส่า
“ผ่อนคลายหน่อยสิ”
ทั้งที่ปากพูดแบบนั้นแต่มูฮึนกลับยังคงใช้นิ้วบดขยี้ยอดอกที่ถูกบีบเคล้นไปก่อนหน้านี้ ในยามที่เรียวนิ้วซุกซนนั่นขยับ เอวของซึงจูก็สั่นกระตุกด้วยความเสียวซ่าน มิหนำซ้ำมูฮึนยังขบกัดใบหูเขาจนร่างกายรู้สึกหวามไหวไปหมด
ไม่นานหลังจากนั้นมูฮึนก็จัดแจงถอดเสื้อยืดของซึงจูอย่างคล่องมือ ก่อนจะลูบไล้เนื้อตัวท่อนบนที่ปรากฏสู่สายตาพลางพรมจูบไปทั่วใบหน้าราวกับเป็นการเอ่ยชมซึงจูที่นอนนิ่งอย่างว่าง่าย จากนั้นริมฝีปากก็ค่อยๆ เคลื่อนลงมาที่ต้นคอแล้วมุ่งตรงไปยังจุดที่ใช้นิ้วหยอกล้อไปก่อนหน้านี้
“อ๊ะ…!”
ตอนนี้มูฮึนกำลังใช้ปลายลิ้นบดคลึงตรงยอดอกของซึงจูเบาๆ สลับกับดูดมันเข้าไปในปากแล้วขบกัดด้วยฟันหน้าอย่างหยอกเย้า แม้ซึงจูจะพยายามทึ้งผมมูฮึนเพราะทำอะไรไม่ถูก แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
“ตรงนั้นมันรู้สึกแปลก…อื้อ…”
แม้จะเป็นความรู้สึกที่คลุมเครือจนเกินกว่าที่จะบอกว่ามันคือความสุขสม แต่ถ้าจะให้บอกว่าไม่ได้รู้สึกอะไรก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนั้นทำให้เขาสะดุ้งจนไหล่กระตุกอยู่ตลอดเวลา เขาดิ้นเร่าทุกครั้งยามที่มูฮึนใช้เรียวลิ้นบดคลึง เช่นเดียวกับช่วงล่างที่เกร็งกระตุกทุกครั้งยามที่มูฮึนดูดยอดอกของเขาเข้าไปในปากอย่างแรง
“อืม…ไม่แปลกหรอกน่า”
มูฮึนพึมพำทั้งที่ยังไม่ละริมฝีปากออกไป มันทำให้ซึงจูรู้สึกเสียวซ่านจนถึงกับต้องจิกเกร็งนิ้วเท้าแล้วกลั้นหายใจ และในวินาทีเดียวกันนั้นมูฮึนก็เคลื่อนมือที่เคยลูบไล้อยู่ตรงสีข้างลงมา
“อา…”
มือนั้นเคลื่อนผ่านสะดือลงมาหยุดที่ขอบกางเกง ก่อนจะสอดเข้าไปข้างในกางเกงอย่างไม่ลังเล เนื่องจากซึงจูไม่ได้ใส่กางเกงชั้นใน จุดที่มือของเขาสัมผัสได้เป็นอย่างแรกก็คือแก่นกายที่ไร้ปราการป้องกัน มูฮึนกำมือรอบแก่นกายที่แข็งตัวขึ้นมาประมาณหนึ่ง ก่อนจะรูดชักมันไปตามความยาวอย่างเบามือ
“ฮึก…!”
ในขณะเดียวกันมูฮึนก็ดูดหน้าอกของซึงจูแรงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อีกนิด เขาคอยหยอกล้อหน้าอกนั้นทุกครั้งที่ขยับมือจนซึงจูแยกไม่ออกว่าความเสียวซ่านที่กำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้มาจากส่วนไหน หลังดูดหน้าอกจนซึงจูรู้สึกเจ็บเล็กน้อย มูฮึนก็ขบกัดยอดอกนั้นพร้อมกับที่ขยับมือแรงขึ้น
“…!”
วินาทีที่ภาพเบื้องหน้าพลันสว่างวาบกลายเป็นสีขาว ซึงจูก็หลับตาพริ้มพลางปลดปล่อยออกมา เมื่อความต้องการที่ตีรวนอยู่ในช่องท้องล้นทะลัก เรียวขาของซึงจูก็เกร็งกระตุกไปพร้อมนิ้วเท้าที่จิกเกร็ง โดยในขณะที่ซึงจูกำลังหลั่ง มูฮึนก็ใช้ฝ่ามือรองรับน้ำรักทั้งหมดของซึงจูไว้
“แฮก…แฮก…”
จุ๊บ…
มูฮึนผละริมฝีปากออกจากหน้าอกของซึงจูพร้อมเสียงนั้น เนื่องจากเขาดูดดึงและขบมันอยู่พักใหญ่ ยอดอกที่ฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำลายนั้นจึงแข็งตั้งเป็นไตและดูเหมือนจะบวมขึ้นเล็กน้อย พอเห็นซึงจูนอนตัวสั่นระริกเพราะความเย็นที่สัมผัสผิวตรงส่วนนั้น มูฮึนก็พูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย
“วันนี้เสร็จไวแฮะ”
“…”
ใบหน้าของซึงจูพลันเห่อร้อน เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็คิดเหมือนกันว่าตัวเองเสร็จไว ต่อให้จะอ้างว่าเป็นเพราะฝืนอดทนมานาน แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะความสุขสมที่มาจากการสัมผัสตรงจุดที่ไม่คุ้นเคย
“เอาล่ะ ทีนี้ถอดกางเกงดีกว่า”
ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่มูฮึนไม่พูดถึงความจริงที่น่าอายข้อนั้น เขาจับกางเกงของซึงจูไว้ด้วยมือข้างที่ไม่เลอะน้ำรัก ก่อนจะถอดมันออกอย่างง่ายดาย หลังถูกเปลื้องผ้าจนร่างกายเปลือยเปล่าในชั่วพริบตา ซึงจูก็ทนต่อความอายไม่ไหวจนต้องพูดออกมา
“พี่…ช่วยเช็ดไอ้นั่นออกก่อนเถอะครับ”
“หืม?”
ไม่คิดจะทำอะไรกับสิ่งที่เปื้อนมืออยู่หรือไงนะ
พอซึงจูพูดออกไปด้วยความคิดนั้น มูฮึนก็เอียงคอด้วยความสงสัย ก่อนจะยกขาทั้งสองข้างของซึงจูขึ้นพร้อมกับพูดสั้นๆ
“ไม่ต้องเช็ดก็ได้นี่”
มูฮึนพูดพลางเลื่อนมือไปตรงหว่างขาของซึงจู เขาไม่ได้คว้าจับแก่นกายซึงจูไว้เหมือนก่อนหน้านี้ แต่ลากมือลงไปสัมผัสพื้นที่ว่างใต้ส่วนกลมกลึงทั้งสอง ก่อนจะใช้น้ำรักชโลมไปทั่วส่วนที่อ่อนไหวนั้น ทว่าในจังหวะที่เขาสัมผัสปากทางที่ปิดสนิท ซึงจูก็พลันตกใจจนผุดลุกขึ้น
“ดะ…เดี๋ยวครับ เดี๋ยวก่อน!”
มูฮึนที่กำลังจะสอดนิ้วเข้าไปพลันหยุดการเคลื่อนไหว ทั้งนี้เนื่องจากรอบด้านมืดสนิท ซึงจูจึงมองเห็นไม่ชัดว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่มูฮึนผู้มีดวงตาที่สามารถมองเห็นได้ตอนกลางคืนกลับมองเห็นสีหน้าที่กำลังตื่นตกใจของซึงจูได้อย่างชัดเจน
“ตะ…ตรงนั้น…พี่จะใส่เข้ามาตรงนั้นเหรอครับ”
“…”
มูฮึนชะงักหลังได้ยินคำถามนั้น ก่อนจะฮึมฮัมในลำคอแล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มเหมือนอย่างเคย
“ถ้าไม่ใช่ตรงนั้นแล้วนายคิดว่าพี่จะต้องใส่เข้าไปตรงไหน”
“…”
คราวนี้ฝ่ายที่ชะงักไปกลับกลายเป็นซึงจู แม้ว่าซึงจูพอจะรู้มาบ้างว่าเซ็กซ์ระหว่างผู้ชายต้องทำกันแบบไหน แต่การสัมผัสประสบการณ์นั้นด้วยตัวเองกับการรู้มาจากที่อื่นก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เดี๋ยวสิ…ถึงผมจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ…”
พอหางเสียงของซึงจูเริ่มสั่นเครือ มูฮึนก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปจูบแก้มของซึงจูแล้วถามด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม
“ซึงจูยา เมื่อกี้นายยังบอกว่าเคยนอนกับพี่อยู่แท้ๆ”
“…”
“ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย ทำไมถึงได้สั่นแบบนี้ล่ะ”
มันไม่ใช่คำถามที่ต้องการซักไซ้เอาคำตอบ แต่เป็นคำถามเพื่อแกล้งหยอกเขาเสียมากกว่า มูฮึนยิ้มจนตาหยีพลางคลอเคลียปลายจมูกของซึงจูด้วยจมูกของตัวเองราวกับต้องการจะบอกว่าท่าทีของซึงจูยามที่พูดอะไรไม่ออกช่างแสนน่ารัก จากนั้นมูฮึนก็ถามต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกำลังปลอบโยนเด็กน้อย
“กลัวเหรอ”
“…”
ถ้าตอบว่ากลัว มูฮึนก็คงจะหยุด แต่มาถึงขั้นนี้แล้วซึงจูย่อมไม่คิดที่จะหยุด ในจังหวะที่ซึงจูกำลังเม้มริมฝีปากและครุ่นคิดว่าตัวเองจะถูกสอดใส่เข้ามาหรือเปล่า คำพูดที่ไม่คาดคิดก็ดังออกมาจากปากมูฮึน
“ถ้านายกลัว เดี๋ยวพี่รับให้เอง”
“หืม?”
เมื่อซึงจูเบิกตาโต มูฮึนก็หัวเราะเบาๆ อีกครั้งราวกับเอ็นดูท่าทีนั้นของซึงจู ทว่ามันช่างตรงกันข้ามกับสถานการณ์ที่ต้องคอยข่มความต้องการให้สงบเอาไว้จนถึงขั้นต้องพูดแบบนั้นออกมาจากปาก
“ขอโทษที แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว…พี่ไม่คิดจะหยุดหรอกนะ”
“…”
“ถึงพี่จะไม่เคยใช้ข้างหลังก็เถอะ แต่…”
ความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำที่ขาดหายไปนั้นช่างชัดเจน ขอเพียงแค่ซึงจูบอกว่ากลัว เขาก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายอดทนให้เอง หลังลังเลกับทางเลือกที่จู่ๆ มูฮึนหยิบยื่นมาให้ ซึงจูก็โอบแขนรอบคอของมูฮึนโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ
“หะ…ให้ผมทำเถอะน่า”
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ซึงจูก็ไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ขอแค่อีกฝ่ายเป็นมูฮึน ไม่ว่าอะไรก็คงจะดีไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่กล้าพอที่จะยัดเยียดสถานการณ์แบบนี้ให้มูฮึนด้วย
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าต้องทำยังไง…”
“…”
“แล้วก็ไม่มั่นใจด้วยว่าตัวเองจะ…ฮึก!”
นิ้วหนึ่งชำแรกเข้าไปในช่องทางคับแคบโดยที่ซึงจูยังไม่ทันพูดจบ พอเห็นซึงจูกุมท้องน้อยแน่น มูฮึนก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของซึงจู หลังจากสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากราวกับปลอบว่าอย่าเกร็ง มูฮึนก็เริ่มขยับเรียวนิ้วอย่างใจเย็น
“ฮึก…”
ต้องขอบคุณมูฮึนที่ช่วยใช้น้ำรักชโลมช่องทางไว้อยู่ก่อนแล้ว การสอดเข้าไปหนึ่งนิ้วจึงไม่ได้ยากเย็นเท่าไหร่นัก มูฮึนสอดนิ้วเข้าไปยังจุดที่อยู่ลึกด้านในช้าๆ หลังแน่ใจแล้วว่าซึงจูไม่รู้สึกเจ็บ เขาก็ถอนนิ้วออกมาครึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะสอดเข้าไปอีกครั้งแล้วเริ่มควานนิ้วสำรวจผนังด้านในอย่างระมัดระวังราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง
“…ฮือ…อื้อ”
ซึงจูเกร็งจนขาสั่นระริกเพราะสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย ร่างกายยังไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่านี่คือความรู้สึกดีหรือไม่ ซึงจูรู้สึกเพียงว่ามูฮึนกำลังสัมผัสในจุดที่ไม่ควรสัมผัส ถึงแม้ว่าความรู้สึกยามที่ลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันจะชวนให้รู้สึกดีจนท้องน้อยวูบโหวงไปหมด ทว่าเรียวนิ้วที่สอดอยู่ในช่องทางด้านล่างกลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่คุ้นเคย
“…”
ดูเหมือนคืนนั้นจะไม่ได้มีอะไรจริงๆ แฮะ
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัวที่ว่างเปล่า ต่อให้จะบอกว่าเมาหนักแค่ไหน แต่ก็คงจะเหลือเชื่อเกินไปถ้าบอกว่าเขาลืมสัมผัสเหล่านี้ได้ลง
“กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่สินะ”
มูฮึนดูออกว่าสติสัมปชัญญะของซึงจูหลุดลอยออกไปที่อื่นแล้ว หลังไล่ต้อนเรียวลิ้นของซึงจูอย่างอ่อนโยนเขาก็พูดเสียงเบาโดยที่ยังไม่ละริมฝีปากออก และในเสี้ยววินาทีที่ซึงจูลืมตาขึ้นหลังได้ยินคำพูดนั้น นิ้วที่สอดลึกอยู่ด้านในก็กดลงตรงจุดหนึ่งอย่างหยั่งเชิง
“…!”
ช่วงเอวที่เกร็งกระตุกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้พลันแอ่นขึ้นจากเตียง พอรู้สึกเหมือนมีประกายไฟปรากฏขึ้นในหัว ขนทั่วกายก็ลุกซู่ไปหมด ซึงจูตกใจจนผละริมฝีปากออกเพราะความเสียวซ่านแปลกๆ ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจนถึงตอนนี้
“พะ…พี่ครับ เดี๋ยวก่อน…อ๊ะ…!”
ทว่ามูฮึนกลับไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังจงใจมอบจูบให้อีกครั้ง เขากดเน้นลงไปตรงจุดก่อนหน้านี้พลางจับต้นขาของซึงจูไว้มั่นจนซึงจูไม่อาจขยับกายหนีได้ และในจังหวะที่มูฮึนเพิ่มจำนวนนิ้วที่สอดอยู่ด้านในช่องทางเป็นสองนิ้ว แก่นกายของซึงจูที่ปลดปล่อยจนอ่อนยวบลงไปแล้วหนหนึ่งก็กลับมาแข็งขืนอีกครั้ง
“ฮือ…อื้อ…!”
มูฮึนกลืนกินเสียงครางที่ดังลอดออกมาจากปากซึงจูด้วยปากของตัวเองจนหมด พอมูฮึนเอาแต่สัมผัสจุดแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่ ซึงจูก็รู้สึกเหมือนมองเห็นแสงสว่างรำไรอยู่เบื้องหน้า โดยทุกครั้งที่มูฮึนขยับนิ้ว ซึงจูก็จะบิดเอวไปมาเพราะไม่รู้ว่าต้องจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร
“ฮึก…พี่ครับ อื้อ…พะ…พี่”
วินาทีที่จำนวนนิ้วเพิ่มขึ้นจากสองเป็นสามนิ้ว ซึงจูก็ครางออกมาพลางเอ่ยเรียกเสียงเครือ มูฮึนจึงถอนริมฝีปากออกแล้วพินิจมองใบหน้านั้น ซึงจูจ้องมองมูฮึนกลับพลางเอ่ยปากอ้อนวอนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความต้องการ
“สะ…ฮึก…”
“…”
“ใส่เข้ามาสักทีเถอะ พี่…”
ต่อให้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นในตอนนี้เขาก็ไม่สนแล้ว ความสุขสมที่เพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในชีวิตทำให้ในหัวเขาปั่นป่วนไปหมด ขณะที่ความต้องการกำลังพุ่งสูงขึ้น ความเขินอายก็ก่อตัวขึ้นเช่นกัน เขารู้สึกละอายเหลือเกินที่นึกอยากจะกำจัดมันทิ้งโดยไว
“ผมทนไม่ไหวแล้ว…ฮึก!”
เรียวนิ้วที่เพิ่มขึ้นเป็นสามนิ้วควานลึกเข้าไปด้านในยิ่งกว่าเดิม ซึงจูหอบหายใจพลางกอดคอมูฮึนแน่น เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วมูฮึนที่กำลังคลึงจุดกระสันของซึงจูอยู่ก็ลอบกลืนน้ำลาย ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟัน
“อา…ซึงจูยา…มองพี่จ๋าหน่อยสิ…”
แม้จะอยากรู้ว่ามูฮึนขอให้มองอะไร แต่ลมหายใจของอีกฝ่ายก็ใกล้เข้ามาก่อนจะรินรดบนใบหน้าเขา นับจากนั้นมูฮึนก็ไม่ยั้งมืออีกต่อไป ริมฝีปากที่ขบกัดใบหูของซึงจูเองก็เช่นกัน ต่อมามูฮึนที่หอบกระเส่าราวกับคลั่งก็กระซิบข้างหูเพื่อเอ่ยคำเตือน
“ถ้าใส่เข้าไปเลย นายจะเจ็บเอานะ”
ดูเหมือนว่าตอนนี้ความอดทนอดกลั้นของเขาจะดำดิ่งลงจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่ซึงจูปลดปล่อยไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขายังไม่ทันได้ทำไปถึงไหนเลยด้วยซ้ำ ร่างกายที่อุ่นร้อนจนเครื่องติดแล้วจึงมีแต่จะร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ
“เพราะงั้นเลิกกอดรัดกันแน่นแบบนี้สักทีเถอะนะ…หืม?”
แม้น้ำเสียงจะฟังดูใจดี แต่มันก็คือคำเตือน อีกทั้งยังฟังดูเหมือนคำขอร้องกลายๆ ว่า ‘ถ้าไม่อยากเจ็บก็ทำตัวผ่อนคลายเข้าไว้’ ซึงจูรู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร แต่เขาเองก็รีบร้อนไม่ต่างจากอีกฝ่ายเลย
“ผมก็ไม่ได้…ฮึก…รัดแน่นสักหน่อย…”
“หืม? เนี่ยน่ะเหรอที่ว่าไม่แน่น”
“บ้าเอ๊ย รีบๆ ใส่เข้ามา…อ๊า…”
ช่องทางที่มีเรียวนิ้วกำลังสอดใส่เข้าออกพลันรู้สึกวูบโหวงไปหมด เสียงเฉอะแฉะน่าอายดังขึ้นทุกครั้งที่ขยับมือ พอเห็นซึงจูทำอะไรไม่ถูกจนได้แต่บิดเร่าไปมา มูฮึนก็ช่วยพรมจูบลงบนใบหน้าเพื่อปลอบโยน
น้ำหล่อลื่นหลั่งออกมาจากแก่นกายที่ตื่นตัวเต็มที่อย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้หลั่งออกมาเหมือนตอนที่ถึงจุดสุดยอด แต่ความเสียวกระสันที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้รู้สึกเหมือนทุกอย่างในหัวกำลังหลอมละลาย ซึงจูคว้าคอเสื้อมูฮึนไว้แน่นอย่างกระสับกระส่าย ก่อนจะชันเข่าขึ้นแล้วเกร็งขาจิกเท้าแน่น
“พี่…ขอร้องล่ะ…”
มูฮึนถอนนิ้วออกทันทีที่เสียงครางอย่างน่าสงสารดังออกจากปากของซึงจูอีกครั้ง พอนิ้วที่เคยขยับขยายช่องทางด้านในอย่างใจเย็นถอนออกไปอย่างกะทันหัน ซึงจูก็สะดุ้งจนไหล่สั่นระริก ก่อนจะมองมูฮึนด้วยสายตาที่พร่าเลือน
“พี่จะใส่เข้ามาแล้วใช่ไหม…”
“…”
ทั้งที่มันไม่ใช่คำถามที่ตอบยากเลยสักนิด แต่มูฮึนกลับไม่ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้แต่จ้องมองซึงจูอย่างชั่งใจ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นแบบนั้นซึงจูจึงขมวดคิ้วพร้อมกับส่งสายตาตำหนิกลับไปเพราะตัวเขาเองก็เริ่มจะทนต่อความรู้สึกบางอย่างไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
“ยังอีกเหรอ…”
“ยัง”
มูฮึนตอบกลับมาสั้นๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ แม้น้ำเสียงจะยังคงนิ่งสงบ ทว่าถ้อยคำที่ดังตามหลังมากลับฟังดูอ่อนโยนกว่าปกติ
“พี่จะใส่เข้าไปแล้วนะ”
จุ๊บ…
จูบที่มูฮึนมอบให้ช่างหอมหวาน ทันทีที่ซึงจูปรือตาขึ้นสายตาของทั้งคู่ก็สอดประสานกันกลางอากาศอย่างลึกซึ้ง หลังจากนั้นมูฮึนก็เปิดปากพูดขึ้นช้าๆ โดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากซึงจู
“พี่ขอพูดเผื่อไว้ก่อนนะ…”
“ครับ?”
มูฮึนพ่นลมหายใจที่หอบกระเส่าเพราะความต้องการออกมาพร้อมกับเสียงครางแหบพร่าที่ฟังดูคุกคามและน่าหวั่นเกรง เขาลูบผมซึงจูอย่างทะนุถนอมก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ
“ถ้าพี่ไม่เชื่อฟังนาย…ถึงตอนนั้นนายต่อยพี่ได้เลยนะ”
“…?”
จู่ๆ ก็มาพูดอะไรแบบนี้บนเตียงเนี่ยนะ
ซึงจูที่เฝ้ารอให้มูฮึนสานต่อมาพักใหญ่ถึงกับส่งสายตางุนงงกลับไปให้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดในสถานการณ์แบบนี้เลยสักนิด มิหนำซ้ำน้ำเสียงที่จริงจังนั้นยังฟังดูเหมือนเป็นการล้อเล่นกันเสียมากกว่า
“ไม่ต้องใช้ฝ่ามือนะ ต่อยด้วยกำปั้นได้เลย”
มูฮึนคว้ามือของซึงจูมากุมแก้มตัวเองราวกับต้องการจะบอกว่าถ้าจะต่อยก็ให้ต่อยมาตรงนี้ได้เลย ต่อให้มูฮึนจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ถ้าโดนหมัดของซึงจูไปก็คงต้องมีเจ็บกันบ้าง
“เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นพี่คงไม่ได้สติ…”
ถ้อยคำที่ดังออกมาเบาๆ หลังจากนั้นเหมือนไม่ได้พูดกับซึงจู ทั้งถ้อยคำที่บอกว่าฝ่ามือนั้นเบาเกินไป ทั้งถ้อยคำที่บอกว่าต่อให้ซึงจูใช้กำปั้นต่อยจริงก็กลัวว่าตัวเองจะดึงสติกลับมาไม่ได้ มูฮึนเอาแต่พูดในสิ่งที่ซึงจูไม่เข้าใจซ้ำไปมาเหมือนกำลังตอกย้ำกับตัวเอง
“ไม่สิ…นายกัดพี่เลยน่าจะดีกว่า”
มูฮึนกดมือของซึงจูเข้ากับแก้มตัวเองย้ำๆ เหมือนตัดสินใจได้แล้วในที่สุด แม้ท่าทีเวลาที่เขาพูดแบบนั้นจะดูน่ารัก แต่คำพูดที่ตามมากลับไม่ได้ฟังดูน่ารักเลยสักนิด
“ต้องกัดพี่ให้เลือดไหลเลย เข้าใจไหม”
“เดี๋ยวสิ…”
กำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย
มูฮึนไม่ใช่สัตว์ป่า เขาจึงคิดว่าไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องทำตามอย่างที่พูดเลยสักนิด ต่อให้มูฮึนจะเอาแต่ใจแค่ไหน แต่ก็คงไม่เป็นปัญหาถึงขั้นที่จะต้องทุบตีกัน
“ทำไมผมต้องต่อยพี่ด้วยล่ะ…”
พอซึงจูถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เข้าใจ มูฮึนก็ได้แต่หัวเราะเสียงแห้งโดยไม่ได้พูดอะไร สีหน้าที่ดูลำบากใจของเขาทำให้ซึงจูพูดอะไรไม่ออกก่อนจะลอบกลืนน้ำลาย
“นั่นสินะ ถ้าไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้ก็คงจะดี”
มูฮึนพูดพลางถอดเสื้อยืดของตัวเองออกอย่างลวกๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะถอดกางเกงแล้วโยนลงไปข้างเตียงโดยไม่ใส่ใจจะจัดการกับเส้นผมที่ยุ่งเหยิง ในที่สุดซึงจูก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น ทว่าเขากลับมองเห็นเป็นเพียงภาพขาวดำเพราะความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่โดยรอบ
ไม่น่าปิดไฟเลยแฮะ…
มนุษย์ช่างเอาใจยากเหลือเกิน ทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกมาตลอดว่าโชคดีที่มืด แต่พอมีสิ่งที่อยากเห็นเข้าหน่อยก็กลับคำเสียอย่างนั้น ทั้งลำคอแกร่ง ลาดไหล่กว้าง กล้ามเนื้อที่เรียงตัวกันอย่างประณีต รอยสักรูปดอกกล้วยไม้งดงามที่ทอดยาวลงมาจากคอ หรือแม้แต่จุดซ่อนเร้นใต้ร่มผ้าจุดอื่นๆ ซึงจูก็อยากมองเห็นมันทั้งหมด
“ทำไม มองไม่เห็นเหรอ”
น่าหมั่นไส้ที่มูฮึนรู้ทันความในใจของซึงจู พอเห็นซึงจูหรี่ตาราวกับพยายามเพ่งมอง มูฮึนก็หลุดหัวเราะแล้วคว้ามือทั้งสองข้างของซึงจูมา ก่อนจะเอามือข้างหนึ่งวางที่ไหล่ ส่วนอีกมือหนึ่งก็วางลงบนหน้าอก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่
“ถ้างั้นก็ลองใช้มือสัมผัสสิ”
คำพูดนั้นต้องการจะสื่อว่า ‘ในเมื่อมองไม่เห็นด้วยตาก็ลองใช้มือสัมผัสมันให้เต็มที่สิ’ พอถูกมูฮึนยั่วยวนอย่างหน้าไม่อาย ซึงจูก็ค่อยๆ ขยับมืออย่างลืมตัว ทันทีที่ลูบไล้ไปตามผิวกายท่อนบน ซึงจูก็สัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อแน่นที่กำลังขยับอยู่ใต้ฝ่ามือ
นี่สินะ…คนออกกำลังกาย
ทั้งที่ตอนใส่เสื้อผ้ายังไม่ได้ดูล่ำบึ้กขนาดนี้ แต่ทุกที่บนร่างกายที่เขาได้สัมผัสในตอนนี้กลับแข็งแกร่งดังหินผา ตรงกันข้ามกับผิวที่นุ่มจนแทบไม่อยากจะละมือ
“พี่จ๋าจักจี้นะ ซึงจูยา”
มูฮึนพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะจับขาของซึงจูอ้าออก จากนั้นก็ยกขาข้างหนึ่งพาดไว้บนบ่า ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นมาโอบเอวตัวเองไว้อย่างช่ำชอง เนื่องจากทั้งคู่อยู่ในสภาพที่ไร้เสื้อผ้าปกปิด ทุกส่วนที่สัมผัสกันจึงล้วนแต่เป็นผิวกายที่เปลือยเปล่า ทว่ามูฮึนที่เป็นฝ่ายจัดแจงท่าทางกลับเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมา
“อา…”
ตุบ…
ซึงจูสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่สัมผัสช่องทางด้านหลังของตน ต่อให้ไม่มองด้วยตา ซึงจูก็รู้ดีว่ามันคือแก่นกายของอีกฝ่าย แต่หลังจากนั้นมูฮึนก็พลันจิ๊ปากพลางหยุดทุกการเคลื่อนไหว
“ไม่มีถุงยางซะด้วยสิ”
“ไม่ต้องใช้ก็ได้ครับ”
ไม่เห็นต้องคิดมากเลย…
“อืม…”
มูฮึนส่งเสียงในลำคอครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมาอย่างหนักใจ แม้จะรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ลังเลแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
“เอาไว้เดี๋ยวพี่จัดการให้ทีหลังแล้วกัน”
แม้ในใจจะคิดว่าจำเป็นต้องจัดการอะไรหลังจากนี้ด้วยหรือ แต่ซึงจูก็ไม่อาจถามออกไป เพราะทันทีที่พูดจบ มูฮึนก็ให้สัญญาณด้วยการแนบส่วนหัวลงมาตรงบริเวณช่องทางของเขา
“ผ่อนคลายหน่อย”
“…!”
ส่วนหัวใหญ่ชำแรกผ่านเข้ามาในช่องทางคับแคบ แม้จะเตรียมช่องทางมาดีระดับหนึ่งแล้ว แต่ความรู้สึกยามที่ปากช่องทางเปิดอ้าออกก็ทำให้ซึงจูถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะยังสอดใส่เข้าไปได้เพียงแค่นิดเดียว มูฮึนจึงได้เน้นย้ำกับซึงจูอีกครั้ง
“อย่าเกร็ง…”
“อ๊ะ…ฮึก…”
คนพูดก็พูดได้สิ
มันเป็นความรู้สึกที่ต่างจากตอนที่มูฮึนสอดนิ้วเข้ามาลิบลับ ความรู้สึกยามที่ช่องทางเปิดอ้าออกนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ซึงจูคาดคิดเอาไว้เลยสักนิด เขารู้สึกราวกับร่างกายช่วงล่างกำลังจะฉีกขาดออกจากกัน และรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นภายในร่างกาย
“พะ…พี่ นะ…นี่มันไม่ใช่แล้ว…”
ซึงจูรั้งแขนมูฮึนไว้แน่นพลางส่ายหน้าพัลวัน มูฮึนจึงโน้มตัวลงไปแล้วซุกใบหน้าลงกับต้นคอของซึงจูพร้อมทั้งหอบหายใจ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเป็นฝ่ายเร่งเร้าขอให้อีกฝ่ายสอดใส่เข้ามา แต่ตอนนี้ซึงจูรู้ซึ้งแล้วว่าคำพูดของมูฮึนที่บอกว่ามันใส่เข้ามาไม่ได้นั้นหมายความว่าอย่างไร
“ไม่ไหว…ฮึก…”
ซึงจูเพิ่งจะตระหนักได้ในวินาทีนั้น ท่อนลำของมูฮึนใหญ่มากจนทำให้เขาหวั่นใจ ขนาดตอนที่ได้สัมผัสมันด้วยมือเปล่าเขายังตกใจกับขนาดและความยาวของมัน เขาจินตนาการภาพยามที่มันสอดใส่เข้ามาในร่างกายไม่ออกเลยสักนิด
“ใส่ไอ้นั่นเข้ามาไม่ไหวหรอก…”
“ทีงี้ทำมาเป็นบอกว่าไม่ไหว”
มูฮึนยิ้มกรุ้มกริ่มราวกับเยาะเย้ยซึงจูว่า ‘เห็นไหมล่ะ พี่บอกแล้วว่าใส่ไอ้นี่เข้าไปไม่ได้หรอก’
“เจ็บไหม”
“…”
คงต้องขอบคุณมูฮึนที่อุตส่าห์ช่วยเตรียมช่องทางด้านหลังให้ ระหว่างที่ทำไปเมื่อครู่จึงไม่ได้รู้สึกเจ็บมากนัก ดังนั้นซึงจูจึงเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะถ้าบอกว่าไม่เจ็บก็คงจะเป็นการโกหก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลยที่คนอย่างมูฮึนจะดูไม่ออกว่าซึงจูเจ็บ
“โอ๋ๆ เด็กดี”
มูฮึนประทับจูบลงบนขมับของซึงจูพลางเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยน ก่อนจะลากไล้มือไปตรงหว่างขาของซึงจูช้าๆ แล้วกำแก่นกายที่กำลังฉ่ำเยิ้มเอาไว้
“ไม่เป็นไรนะ แค่ทำตามที่พี่บอกก็พอ”
* ซูนึง หรือ College Scholastic Ability Test (CSAT) คือการสอบวัดระดับความรู้และทักษะทางการศึกษาเพื่อใช้สำหรับการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของประเทศเกาหลี
* กล่องแพนโดร่า คือกล่องที่บรรจุความชั่วร้ายต่างๆ นานาที่ทำให้จิตใจของมนุษย์ไม่บริสุทธิ์ มักใช้ในการเปรียบเปรยถึงสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรแตะต้อง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.