X
    Categories: everYค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึนทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3 บทที่ 15 – 3 ถึง 16 – 1 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3

ผู้เขียน : Oneulbom

แปลโดย : Kitti B.

ผลงานเรื่อง : ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

15-3

 

“อือ…”

เรียวนิ้วเริ่มชักรูดแก่นกายที่แข็งตัวขึ้นลงอย่างเบามือ มูฮึนค่อยๆ สัมผัสมันราวกับกำลังหยอกล้อพลางเฝ้ารอเวลาที่ลมหายใจของซึงจูจะกลับมาเป็นปกติอย่างใจเย็น

“ผ่อนคลายเข้าไว้…เนอะ?”

“แฮก…ฮะ…อึก…”

ต้องขอบคุณความรู้สึกดีตรงส่วนหน้าที่ทำให้ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปเริ่มคลายความเกร็ง หลังจากที่เมื่อครู่ต้องหยุดสานต่อไปอย่างน่าหงุดหงิด มูฮึนก็ไม่พลาดปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปและเริ่มสอดใส่ส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเข้าไปอีกครั้ง ก่อนที่ส่วนปลายของแก่นกายจะชำแรกเข้าไปลึกในคราวเดียวราวกับถูกดูดเข้าไป

“อ๊ะ…อ๊า…!”

ความรู้สึกที่เติมเต็มเข้ามาจนอัดแน่นในช่องท้องทำเอาซึงจูถึงกับเกร็งช่องทางด้านหลังโดยไม่รู้ตัว มูฮึนหลับตาทั้งสองข้างแน่นพร้อมขบกรามเสียงดัง ในขณะเดียวกันแก่นกายที่สอดใส่เข้าไปก่อนหน้านี้ก็ยังคงคาอยู่ที่เดิม

“แฮก…”

ลมหายใจที่หอบกระเส่าคือเครื่องยืนยันว่าความอดทนอดกลั้นของอีกฝ่ายได้เดินทางมาถึงขีดสุดแล้ว แม้จะรู้สึกเหมือนได้ยินถ้อยคำสบถดังออกมาจากปากมูฮึน แต่ซึงจูก็คิดว่าตัวเองคงหูฝาด เพราะคนอย่างคิมมูฮึนไม่มีทางพูดหยาบคายออกมาต่อหน้าเขา แล้วมูฮึนที่อยู่นิ่งไม่ไหวติงมาครู่ใหญ่ก็ได้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงข่มอารมณ์

“จำที่พี่บอกไปเมื่อกี้ได้ใช่ไหม”

“…?”

ชั่ววินาทีนั้นซึงจูฟังไม่รู้เรื่องแล้วด้วยซ้ำว่ามูฮึนพูดว่าอะไร ภายในหัวพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวโพลน เพราะความรู้สึกที่สัมผัสได้จากช่องทางด้านหลังได้ฉีกกระชากสติสัมปชัญญะเขาไปจนหมดสิ้น แต่แล้วซึงจูก็ขยับริมฝีปากตอบไปตามความทรงจำที่ผุดขึ้นมา

“กำปั้น…ไม่สิ พี่บอกให้ผมกัดพี่แรงๆ จนเลือดออก…”

“…”

มูฮึนยิ้มตาหยีอย่างอ่อนโยนราวกับจะบอกว่ามันคือคำตอบที่ถูกต้อง แต่แล้วดวงตาสีดำสนิทที่หยีลงราวกับพระจันทร์เสี้ยวก็กลับฉายแววน่ากลัวในชั่วพริบตา ก่อนที่มูฮึนจะโถมกายกระแทกเอวสอบเข้ามาลึกในคราวเดียวโดยไม่ให้สัญญาณใดๆ ส่งผลให้ความรู้สึกหวั่นกลัวก่อตัวขึ้นมาฉับพลัน

“ฮึก…!”

ส่วนนั้นของมูฮึนสอดลึกเข้ามาถึงด้านในช่องทางจนซึงจูถึงกับคู้ตัวพลางหลุดครางออกมาเสียงดังให้กับความรู้สึกที่เติมเต็มเข้ามาภายในช่องท้อง แม้เขาจะคว้าไหล่มูฮึนไว้โดยอัตโนมัติแล้ว แต่มูฮึนก็ยังคงกระแทกเข้ามาไม่หยุดโดยไม่ปล่อยให้เขาได้หายใจหายคอ

“ฮึก…อ๊า…”

แค่ใส่เข้ามาได้ก็เกินทนแล้ว พอมูฮึนเริ่มขยับ ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ยิ่งมูฮึนขยับกายเข้าออกโดยไม่ถอนส่วนนั้นออกไปราวกับตั้งใจจะขยับขยายช่องทางที่คับแคบ ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว หลังขยับเข้าออกช้าๆ ครู่หนึ่ง มูฮึนก็กระแทกส่วนนั้นเข้าไปลึกขึ้นอีกนิด

“ฮึก…!”

ซึงจูตกใจจนตัวสั่นระริกพลางรั้งมูฮึนเข้ามากอดไว้แน่น ทั้งที่อุตส่าห์คิดว่ามันสอดใส่เข้ามาหมดแล้ว แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น เมื่อรู้สึกราวกับว่ามันสอดใส่ลึกเข้ามาถึงลิ้นปี่ ซึงจูก็ซุกหน้าผากลงกับบ่าของมูฮึนพร้อมกับรีบพูดออกไป

“มะ…อึก…มันจะลึกเข้ามาถึงตรงไหน…”

แม้จะเคยสัมผัสและเห็นมากับตา แต่พอได้รองรับมันเข้ามาในกายจริงๆ ความรู้สึกกลับต่างกันลิบลับ เขาแค่รู้สึกแปลก ไม่ได้รู้สึกเจ็บ และแค่รู้สึกเหมือนคิดผิดไปเล็กน้อย ทว่าไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ด้วยความที่ตอนนี้เขาได้แต่นอนตัวสั่นระริกเป็นลูกนก จู่ๆ เขาก็เลยนึกอยากทำตัวงอแงทั้งที่ปกติไม่มีทางทำ

“อืม…ใส่เข้าไปเกือบหมดแล้วล่ะ”

มูฮึนกอดซึงจูที่ตัวสั่นระริกไว้ในอ้อมอกพลางประทับริมฝีปากลงไปบนผม มือที่เคยจับต้นขาย้ายมาประคองต้นคอของซึงจูโดยเท้ามืออีกข้างไว้กับเตียง จากนั้นมูฮึนก็พูดเสียงนุ่มราวกับจะบอกให้ซึงจูวางใจ

“ยังไงก็คงจะใส่เข้าไปจนสุดไม่ได้หรอก”

“…”

ยังใส่เข้ามาไม่สุดอีกเหรอ

เสี้ยววินาทีที่ซึงจูคิดจะพูดออกไปแบบนั้น มูฮึนก็ควงเอวสอบไปมาช้าๆ แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด แต่จุดที่มูฮึนกระแทกโดนกลับต่างไปจากเดิม

“เฮือก!”

ภาพเบื้องหน้าพลันอาบย้อมไปด้วยสีขาวโพลน ความเสียวซ่านที่แล่นปราดขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลังทำให้ซึงจูขนลุกซู่ไปทั่วทั้งกาย หลังจากที่มูฮึนกระแทกเข้ามาโดนจุดเดิมซ้ำอีกครั้ง ซึงจูก็เบิกตาโตพลางเกร็งจนตัวแข็งทื่อ ก่อนจะอ้าปากอ้อนวอนมูฮึน

“พี่…พี่ครับ ดะ…เดี๋ยวก่อน…!”

ทั้งที่ซึงจูกำลังขอร้องให้หยุดสักครู่ แต่น่าเศร้าที่ดูเหมือนคำพูดนั้นจะส่งไปไม่ถึง เพราะมูฮึนยังคงโถมกายเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยที่ยังกอดซึงจูไว้ในอกแน่น

“ดะ…ฮึก…อะ อ๊า…!”

ความรู้สึกที่เคยคิดว่ามันเกินกว่าที่กำลังจะรับไหวเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกอื่น ช่องทางของซึงจูตอดรัดแน่นทุกครั้งที่มูฮึนกระแทกโดนจุดประหลาดนั้น ซึงจูทำอะไรไม่ได้นอกจากโอบกอดมูฮึนไว้แน่น แต่ถึงจะทำอย่างนั้นมันก็ไม่ช่วยให้เขาทนต่อความรู้สึกเสียวซ่านที่ตีรวนอยู่ในช่องท้องได้อยู่ดี

“อ๊า!”

ซึงจูขยับศีรษะไปด้านหลังพร้อมทั้งครางลั่น เขาเผลอเกร็งมือที่จับบ่าของมูฮึนไว้แน่นพลางจิกเล็บลงไป ทั้งที่มันน่าจะเจ็บไม่น้อย แต่มูฮึนกลับหัวเราะก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ

“บอกแล้วไงว่าแค่นั้นไม่พอหรอก…”

ส่วนนั้นที่เติมเต็มอยู่ในช่องทางค่อยๆ ถอนออกไปอย่างช้าๆ ซึงจูเผลอเกร็งต้นขาไปโดยอัตโนมัติเพราะความรู้สึกวูบโหวงภายในช่องท้อง เขามีโอกาสได้หายใจหายคออยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ มูฮึนก็โถมกายกระแทกเข้ามาอย่างแรงอีกครั้ง

“อ๊ะ…!”

ซึงจูจิกนิ้วเท้าเกร็งไปพร้อมกับความรู้สึกเสียวซ่านที่ถาโถมเข้ามา เอวของเขายกแอ่นขึ้นสูง ในขณะที่มือก็สั่นระริกไปหมด เขาครางร้องเรียกมูฮึนอย่างน่าสงสารท่ามกลางความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย

“พี่…ฮึก…พี่ครับ…”

“อืม…พี่จ๋าอยู่นี่ไง”

ถ้อยคำที่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นฟังดูเร่าร้อนต่างไปจากทุกที แม้เขาจะขานตอบเหมือนเวลาปกติ ทว่ามันกลับฟังดูเหมือนสติสัมปชัญญะของเขาได้หลุดลอยหายไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูเองก็ไม่ได้เรียกเขาเพราะต้องการคำตอบเหมือนกัน

“ฮึก…ไม่ไหวแล้ว…”

ซึงจูไม่รู้ว่าจะนิยามความรู้สึกนี้ว่าอะไรดี ถ้าเผลอปล่อยให้สติหลุดลอยไปอีกนิด เขาคงได้เสียสติแน่ในระหว่างที่มูฮึนยังคงไม่หยุดพัก ตอนนี้ภายในหัวว่างเปล่าจนแม้แต่คำพูดยังไม่สามารถปะติดปะต่อกันได้

“เกินไปแล้ว…ฮึก…”

“อยากให้พี่ผ่อนแรงลงไหม”

“อืม…เบาๆ…”

ซึงจูพยักหน้ารับทันทีกับคำถามของมูฮึน มันเป็นคำตอบโดยอัตโนมัติเพราะเขาคิดว่าถ้าทำเบาๆ ก็คงจะไม่เป็นอะไร

“อา…อือ…”

ทว่าในวินาทีมูฮึนเริ่มขยับเอวสอบช้าๆ ซึงจูก็ตระหนักได้ว่าตัวเองคิดผิดมหันต์ เพราะตอนนี้ความเสียวซ่านที่ทุเลาลงไปก่อนหน้านี้กำลังทวีขึ้นทีละนิดจนเหมือนจะระเบิดอยู่รอมร่อ ต่อให้ส่วนนั้นที่บดเบียดอยู่กับผนังด้านในจะขยับเล็กน้อย แต่มันก็เสียดสีจุดที่ซึงจูอ่อนไหวที่สุด

“มะ…ไม่เอาแบบนี้…”

“แบบนี้ก็ไม่ชอบเหรอ”

“อื้อ…ไม่เอา…”

ท่าทางที่ส่ายศีรษะไปมาอย่างน่ารักทำให้มูฮึนอดที่จะคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้จนต้องยอมวางซึงจูลง ซึงจูคิดว่ามูฮึนจะหงุดหงิดที่ตัวเองเอาแต่บอกว่าไม่เอานั่นไม่เอานี่ ทว่าคำพูดที่ดังออกมาจากปากมูฮึนกลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย

“นายรู้สึกดีจากข้างหลังขนาดนั้นเลยเหรอ”

ขณะที่กำลังนอนหอบหายใจ ซึงจูก็ฝืนลืมตาขึ้นเพราะเปลือกตาปรือลงจนแทบมองอีกฝ่ายไม่เห็น เขาสบตามูฮึนผ่านนัยน์ตาที่มองเห็นเลือนๆ ก่อนจะพูดอย่างยากลำบาก

“คะ…อึก…คงเพราะพี่ทำเรื่องแบบนี้เก่งล่ะมั้งครับ…”

คงเป็นเพราะคิมมูฮึนเก่งเรื่องแบบนี้ ไม่น่าจะเป็นเพราะเขารู้สึกดีหรอก ต่อให้นอนกับผู้ชายคนไหนก็คงไม่มีทางที่เขาจะรู้สึกไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

“ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกก็เถอะ…ฮึก…”

มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เคยมีอะไรกับคนอื่นมาก่อน จะรู้เรื่องแบบนั้นได้อย่างไร ซึงจูตั้งใจจะพูดเสริมออกไป แต่วินาทีนั้นมูฮึนกลับดึงซึงจูเข้าไปกอดไว้แน่น

“ซึงจูยา ขอร้องล่ะ…”

ราวกับเลือดกำลังเดือดพล่านไปทุกส่วนที่ร่างกายสัมผัสกัน เริ่มตั้งแต่ฝ่ามือ หน้าอก ไปจนถึงส่วนนั้นที่น่าอายเกินกว่าจะพูดเป็นคำออกมา

“พี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ…”

แม้จะไม่รู้ว่าเขารู้สึกผิดอะไรขนาดนั้น แต่ซึงจูก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดในน้ำเสียงได้อย่างชัดเจน ซึงจูผ่อนคลายลมหายใจที่หอบถี่แทนที่จะตอบอะไรกลับไป แต่ความพยายามนั้นก็ไร้ค่าไปทันทีเมื่อจู่ๆ มูฮึนก็กดจูบลงมา

“อุบ…”

ลมหายใจของพวกเขาสอดประสานกันทันทีที่ริมฝีปากประกบกันสนิท พอซึงจูเปิดปากออกอย่างลืมตัว มูฮึนก็สอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากอย่างช่ำชอง แม้พลังวิญญาณจะเย็นเยียบ ทว่าลมหายใจกลับอุ่นร้อนจนภายในหัวราวกับจะถูกหลอมละลายไปจนหมด

“อื้อ…อือ…”

หลังหยุดเคลื่อนไหวช่วงล่างมาพักหนึ่งมูฮึนก็เริ่มขยับอีกครั้งพร้อมเรียวลิ้นที่เริ่มกวาดต้อนไปทั่วโพรงปาก ซึงจูหลุดเสียงครางออกมาไม่หยุดปากเมื่อมูฮึนถอนส่วนนั้นออกไปเกือบสุดแล้วกระแทกมันกลับเข้ามาใหม่อีกครั้งอย่างเน้นย้ำ

“ฮึก…อือ…”

ยิ่งมูฮึนกระแทกเข้ามา ช่องทางด้านหลังที่มูฮึนป้ายน้ำรักไว้จนฉ่ำเยิ้มก็ยิ่งคลายมากขึ้น ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะซึงจูเริ่มผ่อนคลายความเกร็งแล้ว และอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะน้ำหล่อลื่นที่หลั่งออกมาจากแก่นกายของมูฮึน พอผนังด้านในที่เคยตอดรัดแน่นเริ่มผ่อนคลายลง มูฮึนก็หลุดเสียงครางในลำคอออกมา

“อึก…”

ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นความสุขสมก็ก่อตัวขึ้นภายในท้อง ซึงจูรู้สึกพึงพอใจที่มูฮึนเองก็กำลังรู้สึกเช่นเดียวกับเขา เพราะแบบนั้นเขาจึงเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นให้แรงขึ้นอีกนิด ทว่ามูฮึนกลับขมวดคิ้วแล้วถอนริมฝีปากออกไป

“…”

“…”

น้ำลายไหลยืดเป็นสายเชื่อมระหว่างริมฝีปากที่ผละออกมาจากกัน แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดมิด แต่ซึงจูก็รับรู้ได้ว่าสายตาของมูฮึนสงบลงแล้ว เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนจะถูกกลืนกินได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนถูกผลักไสแล้วกักขังเอาไว้ทั้งอย่างนั้น

“ทำไมเหรอครับ”

มันเป็นคำถามที่แฝงความสงสัยมากมายว่าทำไมถึงมองแบบนั้น และทำไมจู่ๆ ถึงหยุดอีกแล้ว ซึงจูได้แต่สงสัยแบบนั้นในขณะที่ช่วงเอวยังคงเกร็งกระตุกอย่างไม่อาจควบคุม ไม่นานนักมูฮึนก็ถอนหายใจสั้นๆ

“เฮ้อ…”

เสียงนั้นฟังดูเหมือนเส้นความอดทนบางอย่างขาดผึง เมื่อเขาหลับตาแล้วลืมขึ้นใหม่อีกครั้ง ภาพเบื้องหน้าก็สลักลึกในสมอง เมื่อแก่นกายที่เคยถอนออกไปช้าๆ กระแทกเข้ามาจนสุดในคราวเดียว

“…!”

ซึงจูถึงกับครางไม่ออก ความเสียวซ่านที่สั่งสมมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้พลุ่งพล่านอยู่ในหัวจนแทบจะระเบิด เขาใช้ขากอดรัดเอวสอบของมูฮึนไว้แน่น ก่อนจะเสร็จสมพร้อมทั้งเงยศีรษะไปด้านหลัง

“อ๊ะๆ อึก…!”

น้ำรักที่หลั่งออกมาเลอะเป็นทางอยู่บนหน้าท้อง ลักษณะของมันที่ไหลออกมาดูเหลวและใสกว่าตอนที่มูฮึนช่วยเอาออกให้เล็กน้อย ระหว่างที่ซึงจูกำลังสติหลุดลอยเพราะถึงจุดสุดยอด มูฮึนก็ชิงใช้โอกาสนั้นเร่งเครื่องพลางกอดรัดซึงจูแน่น

“อ๊า! ฮึก…!”

การเคลื่อนไหวของช่วงเอวที่กระแทกกระทั้นเข้ามาดังพลั่กๆ นั้นไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิด ซึงจูเริ่มรู้สึกเหมือนความเสียวกระสันกำลังจะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งทั้งที่ยังหลั่งออกมาไม่ทันเสร็จ เขารีบส่ายหน้าพลางเปิดปากพูดเพราะรู้สึกร้าวไปทั้งร่างกายเมื่อได้สัมผัสความเร่าร้อนที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดพัก

“พะ…พี่…ผมเพิ่งจะ…อึก…ผมเพิ่งจะเสร็จ…อ๊า…!”

ทว่ามูฮึนกลับไม่สนใจสถานการณ์ของซึงจู เขาใช้สองแขนกอดรัดซึงจูแน่นจนซึงจูไม่อาจขยับหนีไปไหนได้ เสียงคำรามทุ้มต่ำที่ดังออกจากลำคอฟังดูเปี่ยมไปด้วยความต้องการที่เหมือนกำลังจะระเบิดออก

“เฮือก!”

พลั่ก!

ส่วนนั้นที่กระแทกกระทั้นอย่างไร้ความปรานีสอดใส่เข้ามาแน่นเต็มช่องทาง มูฮึนกระแทกเข้ามาลึกกว่าก่อนหน้านี้จนส่วนปลายชนเข้ากับจุดที่อ่อนไหวมากขึ้นของซึงจู ในวินาทีที่จุดนั้นถูกกระตุ้น ซึงจูก็ถึงกับน้ำตาคลอ

“เร็วไปแล้ว…ฮึก…อ๊า…!”

ถ้าไม่ใช่ร่างกายก็คงต้องเป็นสมอง ซึงจูมั่นใจว่าต้องมีอะไรผิดพลาดไปสักอย่างแน่ๆ เพราะร่างกายของเขามีแต่จะร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ควรจะสงบลงหลังจากเพิ่งจะเสร็จสมไป

“พี่ครับ พี่มูฮึน ฮึก…คิมมูฮึน…”

“แฮก…ซึงจูยา”

ชื่อที่ดังลอดออกมาจากปากไม่ใช่การขานรับเสียงเรียกของซึงจู มันฟังดูใกล้เคียงกับการพูดคนเดียว หรือไม่ก็อาจเป็นเพียงแค่การครางชื่อเท่านั้น ในจังหวะที่ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นอีกขั้น มูฮึนก็ฝังแก่นกายเข้าไปลึกกว่าเดิมในคราวเดียวเต็มแรง

“ฮึม…”

มูฮึนคำรามในลำคอพลางขบกรามแน่น ซึงจูสัมผัสได้ถึงแก่นกายที่กำลังกระตุกอยู่ในช่องทาง และวินาทีที่ซึงจูสัมผัสได้ถึงแรงกอดจากท่อนแขนของมูฮึนที่มีมากขึ้นกว่าเดิม มูฮึนก็เสร็จสมในตัวของซึงจูในที่สุด

“อืม…”

ส่วนที่ใหญ่โตของมูฮึนกระตุกทุกครั้งที่ส่วนหัวหลั่งน้ำรักออกมา ซึงจูเผลอเกร็งขมิบช่องทางตอดรัดแน่นพลางส่งเสียงครางสะอื้นออกมาอย่างน่าสงสารกับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคยนั้น

“ฮะ…อึก…”

น้ำตาที่เอ่อคลอไหลอาบลงมาที่ขมับ ซึงจูตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของมูฮึนเพราะความเสียวซ่านที่ยังคงไม่จางหายไป เมื่อฉากร่วมรักแสนเร่าร้อนจบลง ความเงียบก็ดำเนินอยู่ครู่หนึ่ง

ในที่สุดก็ได้เวลาพักหายใจสักที

ทว่าในขณะที่ซึงจูคิดเช่นนั้นพลางคลายความเกร็งของร่างกาย…

“อ๊ะ!”

จู่ๆ มูฮึนก็โถมกายเข้ามาในช่องทางอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งจะหลั่งเสร็จไป ซึงจูผวาตกใจจนเผลอจิกเล็บลงบนแผ่นหลังของมูฮึน

“พะ…พี่…”

ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่า คราวนี้ดูเหมือนมูฮึนจะยอมฟัง เขาปล่อยซึงจูออกจากอ้อมอกแล้วก้มลงขบกัดใบหูของซึงจูเบาๆ ราวกับจะบอกให้ซึงจูพูดออกมาได้เลย ซึงจูจึงปรับลมหายใจที่กำลังหอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเปิดปากอย่างอึกอัก

“มะ…เมื่อกี้พี่เพิ่งเสร็จไปไม่ใช่เหรอ…”

“อืม…เพิ่งเสร็จไปเมื่อกี้”

“แล้วทำไมถึง…อึก…”

ในเมื่อเสร็จไปแล้วก็ต้องพักสักหน่อยสิ ต่อให้บอกว่าเพิ่งเสร็จไปรอบแรก แต่คนเราก็ต้องเหนื่อยกันบ้างไม่มากก็น้อย

“เฮ้อ…”

ทว่ามูฮึนกลับถอนหายใจยาวราวกับเป็นการถามว่าทำไมซึงจูถึงได้ถามเรื่องที่น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว จากนั้นก็คลอเคลียข้างใบหูของซึงจูแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“พี่บอกแล้วนี่นาว่าเดี๋ยวจะลุกเดินไปไหนไม่ไหวเอานะ”

แม้จะเป็นสิ่งที่มูฮึนเพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้ แต่น้ำหนักของคำพูดที่ซึงจูสัมผัสได้ในคราวนี้กลับต่างออกไป วินาทีที่ได้ฟังซึงจูรู้สึกราวกับหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ แต่ยังไม่ทันจะได้โต้แย้งอะไรกลับไป มูฮึนก็เริ่มบดเอวสอบเข้าหาช่องทางของซึงจูช้าๆ อีกครั้ง

“แค่ครั้งเดียวเอง…คิดว่าพอหรือไง”

“แต่ผม…ฮึก…ผมไม่ได้เพิ่งเสร็จไปแค่ครั้งเดียวสักหน่อย…”

ไม่มีทางที่มูฮึนจะไม่รู้ว่าซึงจูเสร็จไปแล้วสองครั้ง แต่ไม่ว่าซึงจูจะส่ายหน้าปฏิเสธแค่ไหนก็ไม่ได้ผล มูฮึนเอาแต่ส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคอโดยที่ซึงจูไม่อาจรู้เลยว่ามันคือการตอบรับหรือเป็นแค่เสียงครางกันแน่ จากนั้นมูฮึนก็ขบเม้มติ่งหูของซึงจูเบาๆ

“อือ…”

ทุกครั้งที่มูฮึนกระแทกแก่นกายเข้ามาแล้วถอนออกไป ของเหลวที่คั่งค้างอยู่ภายในช่องทางก็ไหลตามออกมา คงต้องขอบคุณน้ำรักที่มูฮึนฝากฝังไว้ข้างในที่ทำให้การเคลื่อนไหวเข้าออกเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากกว่าก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัว ทันทีที่ผนังด้านในอ่อนนุ่มตอดรัดท่อนลำใหญ่โตเอาไว้แน่น มูฮึนก็ซุกใบหน้าลงบนต้นคอของซึงจู

“ซึงจูยา…”

“แฮก…ฮึก…”

“ข้างหลังของนายนี่มัน…”

ซึงจูไม่ได้ยินถ้อยคำหลังจากนั้น เพราะน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนเสียงหอบกระเส่ามากกว่าเสียงพูดนั้นได้ถูกความต้องการเข้าครอบงำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสติสัมปชัญญะของเขาเองก็ไม่ได้ครบถ้วนดีพอที่จะจดจ่อกับคำพูดนั้นได้

“ฮึก…”

ซึงจูไม่ได้รู้สึกเจ็บตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และตอนนี้แม้แต่ความรู้สึกฝืดที่สัมผัสได้ในตอนแรกก็ยังหายไปจนหมด สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในตอนนี้จึงมีแต่ความเร่าร้อน และซึงจูก็มองไม่เห็นทีท่าว่ามันจะดับมอดลงเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันความต้องการมีแต่จะพุ่งทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะไปจบลงที่ตรงไหน

“พี่ครับ ผะ…ผมไม่ไหว…”

เพราะแบบนั้นซึงจูจึงได้แต่ซุกใบหน้าเข้าหาซอกคอของมูฮึนพลางกอดก่ายอีกฝ่ายเอาไว้แน่น มูฮึนขบกัดใบหูของซึงจูครู่หนึ่งก่อนจะลูบไล้ฝ่ามือไปตามแผ่นหลังของซึงจูเบาๆ ทุกจุดที่ถูกอีกฝ่ายสัมผัสร้อนผ่าวไปหมดจนถึงขนาดที่ซึงจูต้องอ้าปากหอบหายใจแล้วพูดออกมา

“ไม่ไหวแล้ว ฮึก…หนักเกินไปแล้ว…”

“หืม…พี่ตัวหนักเหรอ”

มูฮึนถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้านพลางลูบหลังปลอบซึงจู ตรงข้ามกับเอวสอบที่ยังคงขยับเข้าออกอย่างช้าๆ โดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุด คงต้องโทษที่มูฮึนกอดเขาแน่นมากจนขยับไม่ได้ เขาจึงรู้สึกถึงน้ำหนักกายที่ทาบทับลงมาได้อย่างชัดเจน

“ร้อน…หายใจ…แฮก…มะ…ไม่ออก…”

“อา…หายใจไม่ออกนี่เอง”

มูฮึนยิ้มให้กับคำพูดที่กระท่อนกระแท่นจนแทบไม่เป็นประโยคของซึงจู เขาจูบแก้มและใบหูของซึงจูสองครั้ง ก่อนจะผ่อนแรงแขนที่กอดซึงจูเอาไว้ เมื่อมีช่องว่างระหว่างกายให้ขยับและหายใจหายคอได้ มูฮึนก็จัดแจงประคองแผ่นหลังของซึงจูให้ลุกขึ้นนั่ง

“เฮือก…!”

ทิศทางของแก่นกายที่อยู่ด้านในช่องทางพลันเปลี่ยนไป ซึงจูเผลอจิกเล็บลงไปบนแผ่นหลังของมูฮึนอย่างลืมตัวเมื่อรู้สึกว่ามันสอดลึกเข้ามาในช่องท้องมากกว่าเดิม เล็บคมที่ข่วนไปตามแนวสันหลังทิ้งรอยยาวเอาไว้

“แค่ทำแบบนี้…แฮก…ก็ไม่หนักแล้วใช่ไหม”

มูฮึนทำเหมือนไม่รู้สึกถึงรอยข่วนนั้นเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าเจ็บแต่เมินเฉย แต่ดูเหมือนเขาไม่สะทกสะท้านเสียมากกว่า หลังจากใช้แรงยกซึงจูขึ้นมานั่งประจันหน้ากันบนตัก เขาก็พรมจูบไปทั่วลำคอของซึงจู

“อึก…ฮึก…แฮก…”

แม้จะไม่ได้รู้สึกหนักแล้ว แต่ซึงจูกลับรู้สึกไม่ปลอดภัยยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก เขาสังหรณ์ใจว่าตัวเองต้องแย่แน่ถ้าปล่อยมือที่เกาะอยู่บนไหล่ของมูฮึนออก เขาจึงเกาะไหล่มูฮึนไว้แน่นเหมือนลูกโคอาลาเพราะรู้สึกไม่วางใจ

“พี่…พี่ครับ…”

“พี่หมดความอดทนแล้ว ซึงจูยา”

มูฮึนพูดโดยที่ริมฝีปากยังคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอ เป็นผลให้ภายในอกของซึงจูรู้สึกวูบโหวงไปหมดกับสัมผัสและลมหายใจนั้น มูฮึนฝังปลายจมูกตรงบริเวณที่มีชีพจรกำลังเต้นอยู่ ก่อนจะซุกไซ้ไปทั่วซอกคอขาวแล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็ว

“ฮึก…อ๊า…!”

ซึงจูรู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าช็อตไปทั่วทั้งร่างยามที่แก่นกายใหญ่กระแทกกระทั้นเข้ามาลึก ตอนนี้ไม่ว่ามูฮึนจะกระแทกเข้ามาตรงจุดไหน ซึงจูก็รู้สึกไวต่อสัมผัสนั้นไปหมด หลังถูหน้าผากกับไหล่ของมูฮึนพลางร้องครางอยู่พักหนึ่ง ซึงจูก็จำต้องเงยศีรษะไปด้านหลังเพื่อหอบหายใจ

“อ๊า…อึก…อ๊า!”

มูฮึนโถมกายกระแทกเข้ามาเต็มแรงพร้อมพรมจูบที่ไหล่ของซึงจู ขณะที่มือหนึ่งลูบไล้ไปตามแนวสะบักก่อนจะเคลื่อนไปที่กระดูกสันหลัง ขณะที่อีกมือหนึ่งโอบกอดเอวของซึงจูเอาไว้แน่น และหลังจากไล่ขบกัดกระดูกไหปลาร้าช้าๆ ราวกับสำรวจทุกส่วนบนร่างกายท่อนบน มูฮึนก็ค่อยๆ เคลื่อนริมฝีปากลงไปด้านล่าง

“อื้อ…!”

จุดหมายของริมฝีปากนั้นคือยอดอกที่เขาเพิ่งดูดและขบกัดจนหนำใจไปก่อนหน้านี้ เขาตั้งหน้าตั้งตาโลมเลียยอดอกด้วยลิ้นโดยไม่ยอมละริมฝีปากออกห่างจากอกซึงจูเลยแม้แต่น้อย ขณะแก่นกายที่สอดใส่เข้ามาลึกถึงในช่องท้องเสียดสีไปกับทุกส่วนของผนังช่องทางจนร้อนผ่าว

“แฮก…ฮึก…”

ทั้งที่สอดใส่เข้ามาจนช่องทางรองรับมันได้พอดีแล้วแท้ๆ แต่ซึงจูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงยังไม่ชินกับมันสักที เดิมทีเขาก็ครองสติไว้แทบไม่ได้อยู่แล้ว พอมูฮึนมาเล่นกับยอดอกแบบนี้เขาก็แทบจะเสียสติ

“ตรงนั้น…ฮึก…ไม่เอาตรงนั้น…”

แม้ซึงจูจะพยายามทึ้งผมเขาด้วยใจที่ว้าวุ่น แต่แทนที่จะผละริมฝีปากออก เขากลับดูดยอดอกซึงจูอย่างแรง ขณะเดียวกันมือที่เคยโอบกอดเอวก็เคลื่อนลงไปด้านล่างแล้วบีบขยำแก้มก้นเนียนอย่างมันเขี้ยวจนเกิดรอยมือ ก่อนจะเคลื่อนกลับขึ้นมาลูบไล้ตรงช่วงเอว

แต่แล้วในระหว่างนั้นจู่ๆ มูฮึนก็ใช้ฟันขบกัดยอดอกที่กำลังดูดอยู่อย่างแรง ความเจ็บแปลบและแสบร้อนทำให้ซึงจูถึงกับครางลั่นออกมาอย่างลืมตัว

“อ๊า!”

“…”

มูฮึนได้สติขึ้นมาฉับพลัน จึงยอมผละริมฝีปากออกไป หยาดน้ำลายย้อยเป็นทางจากยอดอกที่แฉะเยิ้มจนเลอะเทอะไปหมด ขณะกำลังอ้าปากหอบหายใจ ซึงจูก็รีบส่ายหน้าเป็นพัลวันโดยที่มือยังคงไม่ปล่อยจากเส้นผมของมูฮึน

“ฮึก…อย่ากัด…”

ความจริงเขาไม่ได้เจ็บขนาดนั้น แต่ถ้าขืนยังขบกัดแบบนี้ต่อไปอีกสักหน่อยก็คงจะได้แผล เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้ใส่ใจเรื่องแผลเท่าไหร่ แต่มูฮึนต้องใส่ใจมันมากกว่าเขาแน่ๆ

“อา…”

มูฮึนจ้องมองหน้าอกที่เต็มไปด้วยรอยฟันก่อนจะยู่หน้าอย่างที่ซึงจูคิดไว้จริงๆ เขากระซิบคำขอโทษแผ่วเบาพลางพรมจูบตรงรอยฟันอย่างอ่อนโยน สำหรับมูฮึนที่กลัวว่าซึงจูจะเจ็บยิ่งกว่าความตายของตัวเองแล้ว คงคิดว่าร่องรอยพวกนี้คือรอยแผลประเภทหนึ่ง

“พี่ขอโทษ เจ็บแย่เลยสิ”

“อื้อ…อืม…”

ซึงจูส่ายหน้าเหมือนเด็กน้อยพลางผ่อนแรงมือที่กำเส้นผมของมูฮึนเอาไว้ ก่อนจะเคลื่อนมือผ่านต้นคอลงไปที่ไหล่แกร่ง ซึงจูคิดจะยึดจับมันไว้เพื่อพยุงกาย แต่ยังไม่ทันได้ทำแบบนั้นมูฮึนก็กระแทกเอวสอบขึ้นมาอย่างแรง

“อ๊า! ฮึก…!”

ซึงจูรู้ว่าเล็บคมของตัวเองต้องทิ้งรอยแผลเอาไว้แน่ๆ และครั้งนี้รอยแผลก็คงจะปรากฏขึ้นเป็นทางยาวจากไหล่ลงไปถึงแผ่นหลังที่เขากรีดเล็บลงไปเมื่อครู่ แต่ต่อให้จะหลงเหลือรอยแผลบนร่างกายของตัวเอง แต่มูฮึนไม่มีทางยอมให้เกิดร่องรอยใดๆ บนร่างกายของซึงจูแน่ แม้จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

“อ๊า…!”

ในจังหวะที่มูฮึนกระแทกสวนขึ้นมาอีกครั้ง ซึงจูก็เกร็งกระตุกไปทั้งร่าง ก่อนอารมณ์จะพุ่งสูงขึ้นจนแตะจุดสุดยอดไปอีกครั้ง เขาใช้เรียวขากอดรัดเอวสอบของมูฮึนเอาไว้มั่นในขณะที่ช่องทางตอดรัดแก่นกายใหญ่เอาไว้แน่น

“อึก…”

และตอนนั้นเองมูฮึนก็ปลดปล่อยเข้ามาเต็มช่องทาง ซึงจูสัมผัสได้ถึงแก่นกายที่กระตุกอยู่ภายใน หรือบางทีอาจเป็นผนังช่องทางด้านในของเขาเองที่กระตุกตอดรัดแก่นกายนั้น

“แฮก…แฮก…”

หลังถึงจุดสุดยอดเป็นครั้งที่สาม ซึงจูก็เอนกายพิงร่างของมูฮึนอย่างหมดแรง และด้วยความที่กลัวว่ามูฮึนจะเริ่มอีกยกจึงถูไถใบหน้ากับอกของมูฮึนเพื่อต้องการสื่อว่าทำต่อไปไม่ไหวแล้ว มูฮึนจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับเอ็นดู

“กำลังอ้อนสินะ”

“ไม่ใช่สักหน่อย”

อ้อนอะไรกัน เราไม่มีทางทำอะไรน่าอายแบบนั้นหรอก แค่…เหนื่อยก็เลยอยากพักสักหน่อยเท่านั้นเอง

“อ้าว ไม่ได้อ้อนเหรอ”

ทว่ามูฮึนกลับเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับเอ็นดูในคำตอบ เสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ดังแผ่วราวกับลมหายใจทำให้ภายในอกของซึงจูร้อนวูบวาบขึ้นมาแปลกๆ

“ซึงจูยา นายเสร็จจากทางด้านหลังตั้งสองรอบแน่ะ”

ขณะที่พูดแบบนั้นมูฮึนก็เอื้อมมือไปกำแก่นกายของซึงจูที่ยังไม่อ่อนตัวลง ซึงจูจึงสะดุ้งโดยอัตโนมัติพร้อมเกร็งท้องน้อยแล้วซุกหน้าลงไป

“ก็พี่…อึก…ทำเก่งนี่ครับ…”

คงต้องโทษความรู้สึกสุขสมที่ยังไม่จางหายไป เมื่อฝ่ามือใหญ่เริ่มชักรูดแก่นกาย ตั้งแต่ช่วงเอวของซึงจูลงไปก็พลันเกร็งกระตุกไปตามการสัมผัสของฝ่ามือนั้น

“อึก…”

จากนั้นเรียวนิ้วซุกซนก็ค่อยๆ ลูบไล้จากแก่นกายผ่านพื้นที่ว่างระหว่างช่องทางลงไป ก่อนจะถูวนรอบปากช่องทางที่คับแคบ ความต้องการที่มอดดับลงไปแล้วจึงถูกกระตุ้นขึ้นมาใหม่พร้อมเอวสอบที่เริ่มกระแทกสวนขึ้นมาอีกครั้ง

“เฮือก!”

ผ่อนคลายได้ไม่ทันไร จุดที่ไวต่อสัมผัสที่สุดก็ถูกแก่นกายที่กระแทกเข้ามากระตุ้นอย่างรุนแรง ซึงจูพยายามลุกหนีด้วยความตกใจ แต่มูฮึนก็ไม่ปล่อยให้ซึงจูได้ทำแบบนั้น และจงใจกระแทกใส่จุดเดิมซ้ำๆ อย่างแรง

“ดะ…เดี๋ยว…อ๊า…!”

“แฮก…อืม…เด็กดี…”

“ตรงนั้น…ฮึก…มันแปลกๆ…เดี๋ยว…”

มูฮึนเล้าโลมด้วยขั้นตอนแบบเดิม แต่หนนี้กลับให้ความรู้สึกบางอย่างที่ต่างไป ทั้งเรียวนิ้วที่สัมผัสส่วนหน้า ทั้งความร้อนผ่าวที่รู้สึกได้จากช่องทางด้านหลัง ทุกสัมผัสล้วนกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ต่างไปจากความรู้สึกก่อนหน้านี้ ภายในช่องทางรู้สึกเสียวซ่านไปหมด พร้อมกันนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนจะหลั่งบางอย่างออกมา

“ไม่…อึก…ไม่เอาแบบนี้…อ๊า…!”

ซึงจูรู้สึกเหมือนจะปัสสาวะออกมา ทุกครั้งที่มูฮึนขยับเอวและใช้นิ้วถูวนรอบส่วนหัว บางสิ่งที่จะปล่อยให้หลั่งออกมาตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาดก็เหมือนจะพวยพุ่งออกมาจากส่วนปลาย

“มะ…ไม่…ฮึก…ไม่เอานะครับ…พี่…”

“ไม่เป็นไรน่า…นะ?”

ทั้งที่ซึงจูร้องขออย่างจริงจัง แต่มูฮึนกลับไม่สนใจเลยสักนิด ตรงกันข้ามมูฮึนกลับใช้ฝ่ามือกำรอบส่วนหัวแล้วถูวนไปมาเพื่อปลุกเร้าแก่นกายของซึงจูพร้อมกับกระแทกเอวสวนขึ้นมาอย่างรุนแรง วินาทีที่ความเสียวซ่านรุนแรงแล่นปราดไปทั่วกายราวกับไฟฟ้าสถิต บางสิ่งก็พวยพุ่งออกมาจากแก่นกายที่แข็งขืนไปทุกส่วน

“ฮึก…!”

ของเหลวที่พุ่งกระเซ็นออกมาอย่างแรงไม่ใช่น้ำรัก แต่กลับเป็นบางสิ่งที่ใสและเหลวกว่านั้น หลังจากที่ของเหลวนั้นพุ่งออกมาอาบเลอะไปทั่วร่างกายท่อนบนของมูฮึน มันก็ยังคงไหลออกมาจากส่วนปลายแก่นกายไม่หยุด

“แฮก…”

ซึงจูอยากร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ทำได้แต่กัดฟันแน่นกล้ำกลืนเสียงสะอื้น ระหว่างนั้นก็เหมือนจะหลุดคำสบถออกมาสั้นๆ เขาอุตส่าห์บอกแล้วว่าไม่เอาแบบนี้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมหยุดจนเขาทำเรื่องน่าอายบนเตียงนี้จนได้ ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว

“ดูจากพื้นดวงซึงจูของพี่แล้ว ธาตุน้ำในกายค่อนข้างเยอะ…”

ขณะที่ซึงจูได้แต่ก้มหน้างุดเพราะความอับอายที่ถาโถมเข้ามา มูฮึนก็พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มพลางชักรูดแก่นกายที่เลอะไปด้วยของเหลว ก่อนจะกระซิบอย่างหยอกล้อ

“แต่ดูเหมือนตรงนี้จะเยอะเป็นพิเศษ”

“…”

ซึงจูถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาอยากจะโวยวายว่าพูดล้อเล่นบ้าอะไร แต่สิ่งที่ดังออกมาจากปากกลับเป็นคำแก้ตัวที่แฝงไปด้วยความขุ่นเคือง

“กะ…ก็ผมบอกแล้วไงว่าไม่เอา…”

ระหว่างที่ซึงจูกำลังงอแง มูฮึนก็ยังไม่หยุดมือที่กำลังซุกซน ทุกครั้งที่เขาแกล้งชักรูดอย่างนึกสนุก ซึงจูก็ได้แต่ตัวเกร็งกระตุกพลางนิ่วหน้า หลังจากที่ผ่อนคลายลงแล้ว แก่นกายของซึงจูก็อ่อนยวบยาบต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะเสร็จไปถึงสามครั้ง

“โอ๊ย พี่ก็เลิกจับมันสักที…”

ซึงจูแสดงท่าทีหงุดหงิดออกไป แต่แทนที่จะยอมปล่อยมือออก มูฮึนกลับก้มลงจูบซึงจู ก่อนน้ำเสียงที่อ่อนโยนจะดังออกมาจากริมฝีปากที่ผละออกจากกัน

“ไม่เป็นไรนะ นายไม่ได้ฉี่สักหน่อย”

เห็นเราเป็นคนโง่หรือไง สิ่งที่ออกมาจากตรงนั้นได้ นอกจากฉี่กับน้ำไอ้นั่นแล้วมันจะมีอะไรอีก

“ไม่ใช่ฉี่แล้วมันจะเป็นอะไรได้ล่ะ”

พอคิดได้แบบนั้นซึงจูก็โวยวายอย่างขุ่นเคือง ทว่ามูฮึนกลับเอาแต่หัวเราะโดยไม่พูดอะไรก่อนก้มลงหมายจะจูบ แต่ซึงจูสะบัดหน้าหนีเสียก่อน ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจแล้วเปลี่ยนไปจูบแก้มของซึงจูแทน

“พี่บอกแล้วไงว่านายไม่ได้ฉี่”

“…”

พอเห็นมูฮึนยืนกรานแบบนั้นซึงจูก็เริ่มลังเลใจ เพราะมูฮึนไม่ใช่คนที่จะโกหกไปเรื่อยเปื่อย และต่อให้เขาจะปัสสาวะออกมาจริงๆ มูฮึนก็คงจะแค่บอกว่า ‘ไม่เห็นเป็นไรเลย’ เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

“ไม่รู้ล่ะ พี่จัดการเลย…”

เพราะไม่อยากคิดอะไรให้ยุ่งยากน่ารำคาญ ซึงจูจึงพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงไม่รู้ไม่ชี้ เขาคิดว่าถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของตัวเอง พอมูฮึนหลุดหัวเราะพลางลูบแก้มก้นที่เนียนละเอียด ซึงจูก็ซุกหน้าผากลงบนไหล่ของมูฮึนอย่างหมดแรง

“ตรงนั้นแฉะหมดเลย…”

“อืม เดี๋ยวพี่อาบน้ำให้น่า”

“เดี๋ยวสิ…อึก…นอกจากผมแล้ว ผ้าห่มพวกนี้…”

“อืม…เรื่องนั้นเดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะจัดการเอง”

มูฮึนปลอบโยนแล้วจุ๊บซึงจูที่กำลังงอแง จากนั้นก็กดริมฝีปากย้ำๆ ราวกับถูกผีที่ขาดใจตายจากการไม่ได้จูบเข้าสิง

เดี๋ยวนะ ผีบ้าที่ไหนจะมาเข้าสิงคิมมูฮึนกันล่ะ…

“คิดเรื่องอะไรอยู่เหรอ”

มูฮึนเอ่ยถามด้วยท่าทีออดอ้อนก่อนจะจูบซึงจูอีกครั้งอย่างมันเขี้ยว

ก็คิดเรื่องพี่อยู่นั่นแหละ…

ซึงจูไม่มีโอกาสได้ตอบกลับไปแบบนั้น เพราะหลังจากขบเม้มริมฝีปากล่างของซึงจูเบาๆ มูฮึนก็ประคองแผ่นหลังซึงจูให้นอนราบลงกับเตียงทันที

“อืม…”

เนื่องจากเลยเวลานอนมานานแล้ว พออยู่ในท่าทางที่สบายขึ้น ซึงจูก็กะพริบตาปรือปรอย หลังออกกำลังกันหลายยก ตอนนี้ช่องทางของเขาก็เริ่มคุ้นชินกับแก่นกายใหญ่ที่สอดอยู่ด้านในแล้ว แต่ขณะที่เปลือกตาค่อยๆ ปรือปิดลง มูฮึนก็ขยับเอวสอบไปมาเบาๆ

“ฮึก…อื้อ…”

เสียงครางที่ดังออกมาถูกริมฝีปากมูฮึนกลืนกินไปจนหมด หลังหยอกล้อผนังช่องทางที่ตอดรัดแน่นอยู่ครู่หนึ่ง มูฮึนก็ถอนแก่นกายออกช้าๆ ซึงจูอุตส่าห์คิดว่าทุกอย่างคงจะจบลงแล้ว ทว่าท่อนลำที่ถอนออกไปจนเหลือคาไว้แค่ส่วนหัวกลับกระแทกกลับเข้ามาในช่องทางอีกครั้ง

“อ๊า…!”

ซึงจูถึงกับหายใจสะดุดไปชั่วขณะหนึ่งกับสัมผัสที่จุกแน่นภายในท้อง พอเห็นซึงจูส่ายหน้าเพราะหายใจไม่ออก มูฮึนก็ยอมผละริมฝีปากออกแล้วนั่งตัวตรง ก่อนที่ซึงจูจะรีบคว้าข้อมือของมูฮึนไว้ทันทีที่มูฮึนจับเรียวขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน

“นะ…ฮึก…นี่พี่ยังจะทำต่ออีกเหรอ”

ทำไมไอ้พี่คนนี้ถึงไม่รู้จักเหนื่อยบ้างเลยนะ

ความง่วงงุนเมื่อครู่พลันหายวับไปในชั่วพริบตา คราวนี้พอซึงจูส่งสายตาสะลึมสะลือไปให้ มูฮึนก็จับสะโพกของซึงจูไว้ก่อนจะเอ่ยถาม

“ง่วงแล้วเหรอ”

“อื้อ…อ๊า…”

“ถ้าง่วงก็นอนได้เลยนะ”

แม้ปากจะพูดอย่างใจกว้าง ทว่าการกระทำกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น มูฮึนเริ่มขยับเอวช้าๆ ดูท่าคำพูดที่บอกว่า ‘นอนได้เลยนะ’ ของเขาจะสื่อความหมายชัดแล้วว่าไม่คิดจะหยุด

“อ๊ะ…อึก…”

มือที่จับสะโพกของซึงจูไว้ในตอนแรกเริ่มเคลื่อนขึ้นมาที่หน้าท้อง มูฮึนลูบไล้หน้าท้องของซึงจูไปมาราวกับกำลังปลอบเด็กน้อยที่รู้สึกไม่สบายท้องเบาๆ ก่อนจะกระแทกแก่นกายเข้าไปในช่องทางลึกขึ้นอีกนิดพร้อมใช้ฝ่ามือกดตรงท้องน้อย

“ฮึก…อ๊ะ!…เดี๋ยว…!”

ทั้งที่คิดมาตลอดว่าเขาใส่เข้ามาจนสุดแล้ว แต่คราวนี้จุดที่แก่นกายของเขากระแทกเข้ามาโดนกลับดูเหมือนจะอยู่ลึกขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ ความรู้สึกเหมือนจะปัสสาวะออกมาได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมความรู้สึกเสียวซ่านที่แล่นปราดไปทั่วร่าง และทันทีที่ซึงจูรั้งแขนเขาเอาไว้ มูฮึนก็หยุดชะงักไปแล้วโน้มตัวลงตามแรงดึงของซึงจู

“ตะ…อึก…ตรงนั้น…ไม่ไหว…”

ทั้งที่ไม่ทันรู้ว่ามูฮึนกำลังจะทำอะไร แต่ซึงจูก็กอดคอมูฮึนเอาไว้แน่น เพราะก่อนหน้านี้เขาบอกว่าใส่จนสุดไม่ได้ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนเขาตั้งใจจะใส่เข้ามาจนสุดจริงๆ ถึงแม้จะไม่เจ็บ แต่ก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี

“อืม…พี่ไม่ทำอะไรน่ากลัวหรอก ไม่เป็นไรนะ”

โชคดีที่มูฮึนฝังใบหน้าลงบนไหล่ของซึงจูแทนที่จะสอดใส่ให้ลึกกว่าเดิม ท่าทางที่ถูไถหน้าผากบนไหล่ดูเหมือนกำลังออดอ้อนและอดทนกับอะไรบางอย่าง ระหว่างนั้นมูฮึนผ่อนลมหายใจออกมาพลางขยับเอวช้าๆ

“อา…”

ร่างกายที่สงบลงได้ครู่หนึ่งเริ่มร้อนผ่าว ดูเหมือนมูฮึนจะฝังใจเรื่องที่ซึงจูว่าเขาตัวหนักจนหายใจไม่ออก มูฮึนจึงเท้าแขนทั้งสองข้างลงกับเตียงเพื่อไม่ให้น้ำหนักกดทับลงไปหาซึงจู ก่อนจะถอนแก่นกายที่สอดลึกอยู่ในช่องทางออกแล้วโถมกายกระแทกกลับเข้าไปใหม่

“ฮึก…!”

ความเสียวซ่านรุนแรงจู่โจมเข้ามาตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงปลายเท้า วินาทีนั้นซึงจูเกร็งไปทั้งตัวโดยที่ก่อนหน้านี้เรี่ยวแรงเหือดหายไปจนเกือบหมด มูฮึนอาศัยจังหวะที่ซึงจูกำลังประมาทกระแทกกายเข้าหาอย่างแรงจนซึงจูถึงกับจุก

“พี่ครับ…ผะ…อื้อ…!”

“แฮก…”

“ผม…เหนื่อย…ฮึก…”

ซึงจูพยายามสื่อสารให้ฟังดูเป็นประโยคที่สุด ด้วยหวังว่าพูดออกไปแบบนี้แล้วมูฮึนคงจะรับฟังกันบ้าง

“แฮก…เหนื่อยแล้วเหรอ”

ทว่ามูฮึนกลับถามกลับมาแบบนั้นโดยไม่ได้ใส่ใจคำอ้อนวอนของซึงจูเลยสักนิด แม้ฝ่ามือที่ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังจะอ่อนโยนแค่ไหน แต่ความเร็วตรงส่วนล่างกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทำเอาซึงจูรู้สึกขนลุกไปทั่วกายทุกครั้งที่เขาโหมกระแทกเข้ามาจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกัน

“ฮึก…ฮือ…”

“อืม ไม่เป็นไร…”

พอลองคิดดูแล้ว แม้แต่คำตอบนั้นก็ฟังดูคล้ายคนไร้สติ ทุกถ้อยคำที่พูดออกมาอย่างอ่อนโยนดูเหมือนจะมาจากสามัญสำนึกสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่อย่างเลือนราง ก่อนหน้านี้เวลาซึงจูพูดขอร้องอะไร มูฮึนก็เหมือนจะรับฟัง แต่ซึงจูไม่รู้เลยว่ามันกลายมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“อ๊ะ อ๊า…ฮึก!”

ความรู้สึกยามที่อีกฝ่ายกระแทกกายเข้ามาอย่างไม่ยั้งทำให้หยาดน้ำตาเริ่มเอ่อคลอ เมื่อคิดว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ซึงจูก็กอดคอมูฮึนแน่น ทันทีที่ซึงจูกัดบริเวณรอยสักรูปกล้วยไม้ มูฮึนก็หยุดการเคลื่อนไหวไปครู่หนึ่ง

“…”

“ฮือ…พอที…เบาหน่อย…”

เดี๋ยวก็ขอให้หยุด เดี๋ยวก็ขอให้ทำเบาๆ ตอนนี้ซึงจูพูดออกไปโดยไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอย่างไหนกันแน่ มูฮึนเองก็คงจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้นแล้วเช่นกัน แล้วตอนนั้นเองร่างกายที่สอดประสานกันอยู่ก็เริ่มขยับอีกครั้ง

“อืม…ฮึก…อา…”

ถ้าได้กัดอีกสักครั้งก็คงจะดี พอคิดแบบนั้นซึงจูก็ออกแรงกัดตรงจุดที่เคยกัดให้แรงขึ้นจนเสียงครางในลำคอดังลอดออกมาตามไรฟัน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังลังเลว่าจะกัดให้แรงกว่านี้ดีไหม

จะกัดยังไงดีนะ บอกให้กัดจนเลือดออกเนี่ยนะ พูดอะไรไม่เข้าท่าเลยสักนิด

ทั้งที่เขาก็ไม่อยากให้มูฮึนต้องเจ็บตัวเหมือนที่มูฮึนไม่อยากให้เขาเจ็บตัวเหมือนกัน มันจึงน่าน้อยใจที่มูฮึนกลับเอาแต่รังแกเขาจนเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว

“อา…อุบ…”

แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องเหนื่อยก็ส่วนเหนื่อย สุดท้ายซึงจูก็เลือกที่จะดูดผิวเนื้อของมูฮึนอย่างแรงแทนที่จะกัดให้รู้สึกเจ็บ ไม่เพียงเท่านั้น ซึงจูยังใช้ฟันหน้าขบกัดเบาๆ จนทำให้มูฮึนชะงักไปอีกครั้ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“คันฟันหรือไง”

“…”

ทั้งที่ไม่ใช่คำพูดพิเศษอะไร แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ฟังดูอ่อนโยนขนาดนั้น แม้มูฮึนจะไม่ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม แต่ซึงจูก็สัมผัสได้ว่ามูฮึนเอ็นดูเขามากแค่ไหน

“พี่ครับ ผมขอดูดตรงนี้ด้วยได้ไหม…”

มูฮึนประคองศีรษะของซึงจูเอาไว้ก่อนจะก้มลงไปหา แม้จะเป็นการกระทำที่ดูไร้ยางอายสุดๆ แต่ซึงจูก็ไม่อาจต่อต้านการกระทำที่ดูเหมือนจะเชื้อเชิญของมูฮึนได้ ทันทีที่ซึงจูประทับริมฝีปากลงบนต้นคอ มูฮึนก็กระซิบข้างหูซึงจูเสียงแผ่วเบา

“ดูดให้แรงกว่านี้หน่อยสิ”

ดูจากการเริ่มขยับริมฝีปากราวกับต้องมนตร์สะกดจากคำพูดนั้นแล้ว ดูท่าคนที่โดนผีสิงน่าจะไม่ใช่มูฮึน แต่เป็นซึงจู

“…”

แม้ท่าทางจะดูเงอะงะไปหน่อย แต่ซึงจูก็ดูดคอของมูฮึนด้วยแรงทั้งหมดที่มี ก่อนจะขบกัดเนื้อบริเวณต้นคอที่ถูกดูดเข้าในปากเพื่อทิ้งร่องรอยของตัวเองเอาไว้ตามสัญชาตญาณ ขณะที่ซึงจูกำลังตื่นเต้นกับความสุขสมที่ไม่คุ้นเคย มูฮึนก็แสดงปฏิกิริยาตอบรับกับสัมผัสนั้นไม่ต่างจากเขา

“อึก…ซึงจูยา…”

มูฮึนครางอย่างสุขสมพลางเอ่ยเรียกซึงจู ดูเหมือนว่ามือที่ประคองศีรษะของซึงจูจะเกร็งขึ้นเล็กน้อย แม้บรรยากาศจะพาไปจนไม่อาจคุมแรงได้ แต่เขาก็ลดมือลงแล้วโอบกอดซึงจูไว้

“ฮ้า…”

มูฮึนผ่อนลมหายใจก่อนจะเริ่มสานต่อกิจกรรมที่ค้างเอาไว้ เขากดแก่นกายเข้าไปในช่องทางอย่างใจเย็น ก่อนจะถอนออกอีกครั้งในจังหวะที่ซึงจูครางเสียงแผ่วออกมา

“ฮึก…!”

กิจกรรมที่สานต่ออีกครั้งในคราวนี้ดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนซึงจูเริ่มคิดหนักว่าจะต่อยมูฮึนดีไหม และในที่สุดแสงอาทิตย์แรกของวันก็ส่องสว่างไปทั่วห้อง พวกเขาใช้เวลาในยามค่ำคืนร่วมกันจนกระทั่งต้นคอของมูฮึนขึ้นสีแดงจัด และลำคอของซึงจูที่ส่งเสียงครางออกมาไม่หยุดปากก็แหบแห้งไปหมด

กว่ามูฮึนจะเห็นเลือดที่ไหลซิบอยู่บนไหล่ของตัวเองก็หลังจากที่ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว

16-1

คืนเร้นเงา

 

หลังฟ้าสางหลายชั่วโมง แสงอาทิตย์อันอบอุ่นก็สาดส่องผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามาในห้องที่เงียบสงัด อาบไล้ใบหน้าของซึงจูที่กำลังหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลีย ขณะที่ซึงจูขมวดคิ้วเพราะแสงแดดที่ส่องแยงตา ใครบางคนก็ใช้ฝ่ามือหนาช่วยสร้างเงาขึ้นเหนือดวงตาเพื่อบดบังแสงแดดนั้นให้

“ครับ ซึงจูอยู่กับผมครับ”

เจ้าของฝ่ามือนั้นคือคิมมูฮึนที่กำลังเอนหลังพิงหัวเตียงพลางคุยโทรศัพท์ มูฮึนตอบปลายสายเบาๆ ก่อนจะหัวเราะอย่างไร้เสียงออกมาเมื่อเห็นซึงจูผ่อนคลายสีหน้าลง ดวงตาที่หยียิ้มทั้งสองข้างฉายแววเอ็นดูซึงจูที่กำลังนอนสลบไสลอยู่ข้างกาย

“ไม่บาดเจ็บตรงไหนครับ ทุกอย่างปกติดี”

น่าจะเอาม่านกันแสงมาติดนะ ไม่สิ…แบบนี้น่าจะดีกว่า

มูฮึนหันหน้ากลับมาพร้อมกับความคิดนั้น แต่พอจ้องมองแขนที่กำลังโอบกอดเอวเขาอยู่ เขาก็พับความคิดนั้นเก็บไป เพราะขืนลุกจากเตียงตอนนี้ซึงจูที่กำลังหลับคงได้ตื่นขึ้นมาทั้งที่ยังเช้าอยู่ ไม่สิ…อันที่จริงแล้วสาเหตุที่เขาไม่อยากลุกเป็นเพราะความโลภที่ไม่อยากแยกจากความอบอุ่นของร่างกายที่แนบชิดอยู่ในตอนนี้

“ป้าจะบ้าตายเพราะเจ้าลูกคนนี้ ไม่คิดบ้างเลยเหรอว่าตื่นเช้ามาป้าจะตกใจขนาดไหน…”

เจ้าของเสียงที่ได้ยินผ่านโทรศัพท์คือคนที่มูฮึนรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี เธอคือผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านหลังข้างๆ มาตั้งแต่เขาเกิด และเป็นถึงผู้นำตระกูลซอที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาพันธ์มือปราบวิญญาณมาตั้งแต่แรกเริ่ม แม้เธอจะเป็นถึงบุคคลที่แม้แต่เหล่ามือปราบวิญญาณระดับสูงยังยากที่จะได้เห็นหน้า แต่ตอนนี้เธอเป็นแค่แม่ผู้ห่วงลูกชายที่หนีออกจากบ้านมากลางดึกเท่านั้น

“ดูท่าจะเตรียมตัวออกจากบ้านมาอย่างดีเลยล่ะครับ เตรียมกระทั่งชุดนอนและกางเกงชั้นใน”

มูฮึนใช้หัวไหล่ดันมือถือเข้ากับหูพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดตลก เขารื้อเสื้อผ้าทุกชิ้นในกระเป๋าออกมาดูอย่างถือวิสาสะแล้ว แต่สุดท้ายเสื้อที่เขาใส่ให้ซึงจูกลับเป็นเสื้อยืดของตัวเอง แม้ตอนนี้ตัวเขาแทบจะเปลือยเปล่า แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ฝ่ายที่เนื้อตัวเปลือยเปล่าเป็นซึงจู

“เห็นเจ้าตัวบอกว่าบอกทางนั้นก่อนออกมาแล้ว ไม่ทราบว่าคุณป้าเห็นกระดาษโน้ตที่ซึงจูทิ้งไว้ไหมครับ”

มูฮึนดึงผ้าขึ้นมาห่มให้ซึงจูด้วยมือข้างที่เพิ่งว่าง ก่อนจะกลับมาถือมือถือใหม่อีกครั้ง แม้มือถือเครื่องใหม่เอี่ยมไร้รอยตำหนิจะไม่ใช่ของมูฮึน แต่เขาก็คุ้นเคยกับมันมาก

“เฮ้อ อย่าให้ป้าพูดเลย รู้ไหมว่าเจ้าเด็กคนนี้เขียนไว้ว่าอะไร เขียนแค่ว่าจะไปสมาพันธ์ แถมยังทิ้งนามบัตรอะไรเอาไว้ด้วย”

“นามบัตร…ใช่ของหัวหน้าทีมอีหรือเปล่าครับ”

“ใช่ หัวหน้าทีมอียุนฮี”

มูฮึนนึกถึงยุนฮีเพื่อนร่วมงานของเขา ก่อนจะปรายตามองซึงจูพลางครุ่นคิดว่าซึงจูโน้มน้าวยุนฮีที่ไม่น่าไว้ใจได้อย่างไรกัน ทั้งที่ทำให้คนในบ้านวุ่นวาย แต่ท่าทางของซึงจูที่กำลังนอนหลับอย่างเหนื่อยอ่อนกลับดูสบายใจเหลือเกิน

“ว่าแต่ป่านนี้แล้วยังหลับอยู่อีกเหรอ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย…”

“เอ่อ…”

มูฮึนพูดไม่ออกกับคำถามที่ปลายสายยิงมาอย่างกะทันหัน เขากลืนน้ำลายก่อนจะหรี่ตาลงด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“คงจะเหนื่อยมากน่ะครับ”

เขาไม่ได้โกหก เพียงแต่ว่าเหตุผลที่ทำให้ซึงจูเหนื่อยน่าจะต่างไปจากสิ่งที่คุณป้าคิด

“เพราะกว่าจะมาหาผมก็เช้ามืดแล้วครับ”

“อืม…”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมูฮึนที่อยู่ข้างๆ คุยโทรศัพท์เสียงดังเกินไปหรือเปล่า ซึงจูถึงได้ขยับตัวไปมาพร้อมทั้งครางเสียงงัวเงีย มูฮึนจึงกระชับกอดซึงจูเหมือนที่ทำเป็นประจำเพื่อให้ได้ชิดใกล้กันมากขึ้นอีกนิด ซึ่งก็โชคดีที่ซึงจูผล็อยหลับไปอีกครั้ง

“เรื่องรายละเอียดผมจะติดต่อไปเล่าให้ฟังทีหลัง คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

มีสิ่งที่เขาต้องอธิบายเยอะแยะไปหมด ถ้าจะให้อธิบายตอนนี้คงได้ถือสายข้ามวันแน่ๆ เขาอยากเข้าใจสถานการณ์จนกระจ่างก่อนแล้วถึงค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟังทีหลัง เพราะมีข้อมูลบางส่วนที่เขายังไม่รู้โดยละเอียด อีกทั้งยังมีเรื่องที่ต้องพูดพร้อมกันอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะไปเล่าให้คุณป้าฟังด้วยตัวเองถึงที่บ้าน

“ทีแรกก็กังวลแหละ แต่พอรู้ว่าอยู่กับมูฮึนป้าก็วางใจ”

“ฮะๆ…”

ซึงจูทำแบบนี้เพราะเขาแท้ๆ พอได้ยินคำพูดที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยของคุณป้าแล้วเขาก็รู้สึกละอายใจสุดๆ โดยคำพูดถัดมาของคุณป้าที่เจือความรู้สึกผิดก็ทำให้เขารู้สึกแบบนั้นเช่นกัน

“ทำให้เธอลำบากอยู่เรื่อยเลย”

“ไม่หรอกครับ…”

มูฮึนตอบกลับเสียงแผ่วเบาพลางหลุบตาลง เสียงหัวเราะแห้งๆ ที่ดังออกมาจากริมฝีปากไม่ได้มาจากใจจริง มันเป็นเพียงแค่การแสดงที่มีไว้เพื่อกลบเกลื่อนความละอายใจของตัวเอง

“ผมเองก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริง ไม่ใช่แค่เรื่องที่ซึงจูหนีออกมาจากบ้านคราวนี้เท่านั้น แต่เขาสำนึกผิดต่อสิ่งที่ตัวเองได้ก่อไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ทั้งยังนึกตำหนิจิตสำนึกของตัวเองกับเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อคืน

“เธอมีเรื่องอะไรต้องขอโทษกัน ป้าต้องไปทำงานแล้ว ถ้าซึงจูตื่นป้าฝากเธอดุด้วยนะจ๊ะ เด็กคนนั้นเชื่อฟังคำพูดของเธอ ไม่ค่อยเชื่อฟังคำพูดของป้าเท่าไหร่”

“ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้ สวัสดีครับ”

พอโตเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยฟังเราแล้ว

มูฮึนคิดแบบนั้นก่อนจะกล่าวลาอย่างมีมารยาทแล้วกดวางสาย ขณะที่เขาคุยโทรศัพท์ แสงแดดที่เคยสาดส่องก็ถูกกลุ่มเมฆบดบัง มูฮึนจึงลดมือที่บังแดดลงแล้วเกลี่ยผมให้ซึงจูอย่างเบามือ

“ซึงจูยา”

“…”

“รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้คนอื่นเขาเป็นห่วงนายขนาดไหน”

มันเป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนเกินกว่าจะมองว่าเป็นการกล่าวโทษและแผ่วเบาเกินกว่าจะปลุกให้ซึงจูตื่น เขาเป็นคนพูดเบาอยู่แล้ว ซึงจูจึงไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน แม้คุณป้าจะสั่งให้เขาดุ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะดุซึงจูเลย

‘ตอนนี้ผมอยู่ที่สมาพันธ์ครับ’

เขาตกใจมากตอนที่ได้ยินคำพูดนั้นเมื่อวาน ทั้งยังรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาต่อหน้า ซึงจูเป็นน้องชายที่เขาหวงแหนราวกับไข่ในหินจนอยากจะซ่อนเอาไว้ เมื่อวานเขาจึงเป็นห่วงแทบตายว่าซึงจูจะได้รับบาดเจ็บตรงไหนและจะมีใครทำร้ายหรือเปล่า

“คงจะไม่ทิ้งรอยนะ…”

ดูเหมือนจะมีรอยฟันอยู่จุดหนึ่ง

มูฮึนคิดแบบนั้นพลางลูบไปตามต้นคอของซึงจู แม้ว่าบริเวณนั้นจะเกลี้ยงเกลาไร้ร่องรอยใด แต่ตรงหน้าอกที่อยู่ภายใต้ร่มผ้าดูเหมือนจะมีร่องรอยที่เขาสร้างไว้เต็มไปหมด เพราะตอนที่สติสัมปชัญญะพร่าเลือน เขาได้ฝังเขี้ยวลงไปบนหน้าอกนั้นอย่างลืมตัว

ถึงอย่างนั้นสภาพของซึงจูในตอนนี้ก็ไม่ได้ดูน่ากังวลแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับมูฮึนที่ตามเนื้อตัวมีร่องรอยอยู่เต็มไปหมด ต่างจากซึงจูที่ดูเกลี้ยงเกลาหากมองเผินๆ เหนือรอยสักลายดอกกล้วยไม้บนต้นคอที่ซึงจูเอาแต่ขบกัดเมื่อคืนเหมือนมีดอกไม้สีแดงกำลังบานสะพรั่ง

“เหมือนตอนเด็กไม่มีผิด”

ซึงจูติดนิสัยชอบกัดเวลาใช้หลอดหรือแก้วกระดาษ แม้ตอนแรกเขาจะเป็นฝ่ายอนุญาตให้ซึงจูกัดก็เถอะ แต่ซึงจูก็จริงจังกับการกัดเขาสุดๆ สงสัยตอนเด็กจะติดจุกนมเกินไปหน่อย พอโตแล้วเลยเลิกนิสัยชอบกัดไม่ได้สักที

แน่นอนว่าในสายตาเรา ซึงจูก็ยังเป็นเด็กน้อย…

พอคิดว่าถ้าซึงจูได้ยินเข้าคงจะโกรธแน่ๆ มูฮึนก็รีบขยับเปลี่ยนท่าเพื่อให้ซึงจูนอนสบายขึ้น หลังเอนตัวนอนลงข้างกัน เขาก็สอดแขนเข้าไปใต้ศีรษะของซึงจูแล้วดึงเข้ามากอดในอ้อมอกด้วยความเคยชิน และเนื่องจากซึงจูไม่ได้มีนิสัยแปลกๆ ตอนนอนจึงมักซุกตัวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยของซึงจูที่เขาหวั่นใจ หรือเป็นเพราะซึงจูแค่ต้องการพลังวิญญาณไปตามสัญชาตญาณกันแน่ แม้มูฮึนจะคาดหวังให้เป็นอย่างแรก แต่อย่างหลังเองก็ดูจะมีน้ำหนักไม่น้อย เพราะตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เข้มข้นและเต็มเปี่ยมจากตัวของซึงจูที่รับไปจากเขาเมื่อคืน

มีหวังได้โดนคุณป้าดุแน่ๆ

คนที่ต้องโดนดุไม่ควรเป็นซึงจู แต่ควรเป็นตัวเขาเอง แม้คุณป้าจะไม่ใช่คนขี้โมโห แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาทำเรื่องอันตรายหรือพูดโกหก คุณป้าก็จะตำหนิอย่างไม่ปรานี หากเป็นอย่างหลังคุณป้าก็คงจะให้อภัยไปตามสภาพการณ์ แต่หากเป็นอย่างแรก ต่อให้เอาเหตุผลอะไรมาอ้างคุณป้าก็คงไม่มีทางให้อภัยเขาเด็ดขาด และในครั้งนี้คนที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างกระทั่งเรื่องที่ซึงจูก่อก็ควรเป็นเขา

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งกับซึงจู คุณป้า รวมไปถึงซึงฮีผู้เป็นพี่สาวของซึงจู

“…”

ขณะที่จมอยู่ในห้วงความคิดก็ดูเหมือนว่ามือที่โอบกอดซึงจูจะเผลอออกแรงหนักเกินไป ซึงจูถึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมา ในวินาทีที่สายตาสบกันกลางอากาศ มูฮึนก็พลันเจ็บแปลบในอก มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้มองหน้าซึงจู

“ขอโทษนะ พี่ทำให้นายตื่นเหรอ”

ทั้งที่ปกติแล้วมูฮึนจะกล่อมซึงจูให้หลับต่อ แต่วันนี้เขาอยากพูดคุยกับอีกฝ่าย และถึงจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ความจริงแล้วเขากำลังทำตัวไม่ถูก เพราะถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีอะไรกับใคร แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกับคนที่เพิ่งมีอะไรกัน ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้เขาใจฝ่อ

“ทำไมพี่ยังไม่นอนอีกล่ะครับ”

“…”

กลับมาใช้คำพูดสุภาพอีกแล้วแฮะ

“ใช่ที่ไหนเล่า พี่หลับไปตื่นนึงแล้วต่างหาก”

มูฮึนข่มความรู้สึกน้อยใจที่ถาโถมเข้ามาในใจแล้วตอบกลับเสียงใส แต่จะโทษใครได้นอกจากตัวเขาเองที่เป็นคนตีตัวออกหากจากซึงจูแต่แรกกระทั่งอีกฝ่ายติดพูดสุภาพจนเป็นนิสัย ต่อให้จะบอกว่าตอนนั้นมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น ทว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับซึงจูกลับไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นผลลัพธ์

“นอนต่อเถอะ”

ทันทีที่มูฮึนลูบหลังกล่อมเบาๆ ซึงจูก็หลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นมาได้แค่ครู่เดียวหรือเปล่า เสียงลมหายใจถึงได้กลับมาดังเป็นจังหวะสม่ำเสมออีกครั้ง ฉับพลันนั้นความรู้สึกบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นในใจอีกหน มูฮึนจึงดึงซึงจูเข้ามากอดไว้แน่นเพื่อซึมซับความรู้สึกอันหอมหวาน ซึงจูคงไม่รู้ว่าในวินาทีที่เขากอดซึงจูไว้ในอ้อมอก เขาต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมือสิ่งต่างๆ มากมายขนาดไหน และวันนั้นที่ได้จูบกันเป็นครั้งแรก เขารู้สึกเสียใจมากแค่ไหน

และนี่ก็คือเรื่องราวของมูฮึนที่ซึงจูไม่เคยรับรู้

 

นับจากวันนี้ ย้อนกลับไปวันแรกของเดือนอ้ายเมื่อยี่สิบเก้าปีก่อน เด็กคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นมาในตระกูลมือปราบวิญญาณแถวหน้า เด็กน้อยมีพลังวิญญาณที่แก่กล้าเหมือนแม่ผู้เป็นผู้นำตระกูล และสามารถมองเห็นการไหลเวียนของพลังวิญญาณได้นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก วันใดที่เด็กน้อยร้องไห้จ้าขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล วันนั้นจะมีอุบัติเหตุเล็กใหญ่เกิดขึ้น และวันใดที่เด็กน้อยหัวเราะร่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย วันนั้นก็จะมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นในบ้าน

เนื่องจากเด็กน้อยเกิดในช่วงเวลาเช้ามืดที่มีหมอกทึบปกคลุม พวกผู้ใหญ่จึงตั้งชื่อว่า ‘มูฮึน (霧昕)’* และเพียรสอนเขาไม่ให้ใช้พลังในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ดังนั้นแล้วทุกครั้งที่เขามองเห็นอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น เขาก็มักจะเมินเฉยและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะถ้าขืนพูดออกไปก็อาจทำให้เกิดเคราะห์ร้ายขึ้นได้ และถึงแม้จะมีพรสวรรค์ด้านสติปัญญาดีเลิศ แต่เขาก็ไม่เคยยอกย้อนคำพูดของผู้ใหญ่เลยแม้แต่ครั้งเดียว

หลังจากนั้นสิบปีสิบเดือน ในวันที่ยี่สิบสามเดือนสิบสองตามปฏิทินสุริยคติ หรือตรงกับวันที่เก้าเดือนสิบเอ็ดตามปฏิทินจันทรคติ

ผู้คนต่างเรียกผีที่ก่อกวนการโยกย้ายหรือกิจวัตรต่างๆ ของมนุษย์ว่า ‘ซน’** และเรียกวันที่ผีเหล่านั้นไม่ออกมาเพ่นพ่านว่า ‘วันปลอดผี’ ซึ่งเป็นวันที่มีตัวเลขหลักสุดท้ายเป็นเลขศูนย์และเก้าตามปฏิทินจันทรคติ มันจึงกลายเป็นวันที่ผู้คนมักเลือกให้เป็นวันโยกย้ายไปโดยปริยาย

และซึงจูเกิดในคืนที่ไร้ร่องรอยของผีเหล่านั้น

 

ว่ากันตามตรงแล้วคนที่นิมิตเห็นการมาเกิดของซึงจูคือมูฮึน ในวันที่ตรงกับวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดปี มูฮึนฝันว่าตัวเองกลืนดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ลงท้องไปในคราวเดียว หลังจากวันนั้นไม่นานเขาก็ได้ข่าวการตั้งครรภ์ของคุณป้า อันที่จริงมูฮึนรู้อยู่แล้วว่าดวงอาทิตย์ดวงนั้นคือชีวิตที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นในท้อง

ทว่ามูฮึนก็ไม่ได้เล่าความฝันให้ใครฟัง เหตุผลนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือในวินาทีที่เขาพูดถึงอนาคตที่มองเห็นออกมาจากปากก็จะเกิดเคราะห์ร้ายขึ้นกับคนที่เกี่ยวข้อง ต่อให้จะไม่รู้ว่ามันเป็นฝันดีหรือฝันร้าย แต่มูฮึนก็ไม่อาจพลั้งปากพูดออกไปว่าตัวเองฝันเห็นเด็กคนนั้นได้

‘มูฮึนของป้าคงจะรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าตัวเองกำลังจะมีน้อง’

เพราะอย่างนั้นตอนที่คุณป้าถาม มูฮึนจึงได้แต่ปิดปากเงียบและไม่ตอบอะไร คุณป้าสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แฝงอยู่ในความเงียบ จึงคลี่ยิ้มพลางลูบศีรษะมูฮึน ระหว่างนั้นซึงฮีที่หรี่ตาจับพิรุธอยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้นอย่างดีใจ

‘ถ้าเกิดมาแข็งแรงก็คงจะดีเนอะ ว่าไหม’

สิ่งที่มูฮึนสามารถทำได้มีเพียงไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือการพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร อย่างที่สองคือการมองท้องของคุณป้าที่ยังดูไม่ออกว่ากำลังตั้งครรภ์พร้อมกับพูดอ้อมๆ ว่า ‘ต้องแข็งแรงอยู่แล้ว’ และอย่างสุดท้ายคือการนึกถึงดวงอาทิตย์ที่เห็นในฝันแล้วพูดอ้อมแอ้มเบาๆ โดยไม่ให้คนอื่นได้ยินว่า ‘อยากเจอไวๆ จัง’

แล้วเด็กคนนั้นก็ลืมตาดูโลกหลังจากที่ทั้งสองตระกูลให้กำเนิดซึงแทและมูยอนผ่านมาเก้าปี ตอนที่คุณป้าท้องแก่ ซึงแทที่อิจฉามูยอนมาตลอดก็ไม่อาจเก็บซ่อนท่าทีดีใจเอาไว้ได้ เขาโอ้อวดเป็นการใหญ่ว่าตัวเองก็มีน้องเหมือนกัน อีกทั้งยังบอกว่าพอโตขึ้นแล้วจะให้น้องเล็กของทั้งสองบ้านแต่งงานกัน ซึงฮีจึงเอ่ยปากเตือนทั้งสองคนที่จับคู่ให้น้องเสร็จสรรพว่าควรถามความเห็นของน้องเล็กทั้งสองคนเสียก่อน

แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่น้องๆ เท่านั้นที่ตื่นเต้นกับการมีน้องเล็กคนใหม่ ซึงฮีเองก็อยากเจอหน้าน้องเล็กจึงเฝ้าถามทุกวันว่า ‘หนูต้องนอนอีกกี่คืนถึงจะได้เจอน้องเหรอคะ’ นั่นคงเป็นเพราะมูรยองที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นานน่ารักราวกับเทวดาตัวน้อย ความคาดหวังของเหล่าพี่ๆ จึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

มูฮึนไปบ้านข้างๆ ทุกวัน ปกติแล้วคุณป้าไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะงานยุ่ง แต่ยิ่งคุณป้าท้องแก่ โอกาสที่จะได้เจอคุณป้าที่บ้านก็มีมากขึ้น หลังได้รับอนุญาตจากคุณป้า มูฮึนก็เอื้อมมือไปลูบท้องพร้อมทั้งพูดคุยกับน้องเบาๆ จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงการดิ้นของน้องที่อยู่ในท้องเป็นครั้งแรกในชีวิตนับตั้งแต่มีน้องมาหลายคน

‘ดูเหมือนน้องจะได้ยินเสียงมูฮึนด้วยนะจ๊ะ’

มูฮึนดีใจกับคำพูดประโยคนั้นจนถึงกับพูดอะไรไม่ออกครู่ใหญ่ เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของซึงฮีที่พร่ำบอกให้เขาหลีกไปเพราะกำลังรอให้ถึงคิวของตัวเอง สิ่งที่อยู่ในหัวของเขาตอนนั้นมีเพียงสัมผัสที่รู้สึกได้ผ่านฝ่ามืออันเป็นหลักฐานการมีชีวิตอยู่ของน้องในท้อง

เวลาผ่านไป กระทั่งเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์จะถึงวันคลอด คุณป้าก็ดูปกติดีมาตลอด จนกระทั่งช่วงเที่ยงวันก็ปวดท้องคลอดขึ้นมากะทันหันจนคนในบ้านต้องรีบพาไปโรงพยาบาล โดยฝากซึงฮีกับซึงแทไว้ที่บ้านของมูฮึน แม้แต่มูรยองที่ตอนนั้นกำลังนอนหลับปุ๋ยก็ตื่นขึ้นมาคลานเตาะแตะตามไปสมทบที่ห้องนั่งเล่น

‘ว่าแต่พี่มูฮึนกำลังทำอะไรอยู่เหรอ’

‘พี่ฉันหลับอยู่น่ะ’

มูยอนตอบแบบนั้น แต่ความจริงแล้วมูฮึนกำลังกำผ้าห่มแน่นพร้อมกับพร่ำภาวนาในใจ เขาไม่ได้ภาวนาขอให้คุณป้าปลอดภัยหรือขอให้น้องแข็งแรง แต่ภาวนาขอให้ตัวเองไม่นิมิตเห็นอนาคตขึ้นมาเอาตอนนี้ และขอให้เหตุการณ์เลวร้ายอย่างวันที่ซึงฮีตกชิงช้าหลังจากที่เขามองเห็นอนาคตอันเป็นลางร้ายไม่เกิดขึ้น

ดูเหมือนสวรรค์จะรับฟังคำอ้อนวอนนั้น เพราะมูฮึนไม่นิมิตเห็นอะไรเลยจนกระทั่งคุณป้าออกจากโรงพยาบาล หลังจากนั้นสามวันคุณป้าก็กลับบ้าน หน้าท้องของคุณป้าที่เคยโป่งนูนค่อยๆ กลับไปแบนราบเหมือนปกติโดยข้างๆ มีคุณลุงที่กำลังโอบอุ้มเจ้าตัวน้อยไว้แนบอก

‘เป็นเด็กผู้ชายเหมือนมูรยองเลย’

มูฮึนไม่ได้สนใจเรื่องเพศของน้องเลยสักนิด ในหัวเขาคิดแค่ว่าอยากเจอหน้าน้องเพียงเท่านั้น

เด็กสี่คนรวมตัวอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเตรียมเจอหน้าสมาชิกใหม่ของครอบครัว พวกเขาถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น มีเพียงมูรยองคนเดียวเท่านั้นที่ดูดถุงมือเด็กเสียงดังจ๊วบๆ โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร

‘เอ้า ทักทายน้องกันหน่อยสิ’

ทันทีที่ได้เห็นเด็กแรกเกิด มูฮึนที่ตื่นเต้นกับการพบกันครั้งแรกหลังเฝ้ารอมาตลอดก็มีเพียงความรู้สึกเดียว

โห…ตัวจิ๋วเดียวเอง

ไม่ว่าจะมือหรือเท้าก็ดูเล็กไปหมด แถมใบหน้าก็ยังมีรอยย่นตามแบบฉบับเด็กแรกเกิด ดูไปแล้วเหมือนหัวมันฝรั่งอย่างบอกไม่ถูก และถ้าจะถามว่าส่วนไหนที่ดูเหมือนมันฝรั่งก็คงตอบว่าเครื่องหน้าที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มนั่นล้วนเหมือนไปเสียทุกส่วน แม้จะมีหูตาจมูกครบ แต่มูฮึนก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยตรงหน้านี้คือคนจริงๆ

ทั้งมูรยอง ซึงแท และมูยอนที่เป็นน้อง มูฮึนล้วนเคยเห็นทุกคนตอนแรกเกิด แม้มูยอนกับซึงแทจะอายุห่างจากเขาไม่มากเท่าไหร่จนเขาจำอะไรไม่ค่อยได้ก็เถอะ แต่ตอนที่ได้เห็นมูรยองตอนแรกเกิดเมื่อประมาณเจ็ดเดือนก่อน เขาก็จำได้แม่นว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกแบบนี้ เด็กคนนี้ทั้งตัวเล็ก บอบบาง และดูอ่อนแอกว่ามูรยองเป็นไหนๆ

‘เหมือนมนุษย์ต่างดาวเลยแฮะ’

‘…’

มูฮึนชะงักกึกไปกับคำพูดของซึงฮีที่จู่ๆ ก็โพล่งออกมา

มนุษย์ต่างดาว…ไม่เห็นต้องพูดขนาดนั้นเลยนี่

ขณะที่มูฮึนกำลังคิดแบบนั้น ซึงฮีก็พูดในสิ่งที่ฟังแล้วน่าใจหายขึ้นมาอีกครั้ง

‘ทั้งที่มูรยองออกจะน่ารักแท้ๆ แต่ทำไมน้องหนูถึงได้ขี้เหร่จังเลยคะ’

บรรดาผู้ใหญ่พากันหัวเราะออกมายกใหญ่ แม้แต่มูรยองที่นั่งอยู่อย่างเรียบร้อยก็พลอยโบกมือและหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปด้วย ซึงแทกับมูยอนเองก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของซึงฮี มีเพียงมูฮึนคนเดียวเท่านั้นที่เถียงกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

‘อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันว่าน้องน่ารักจะตาย’

ทั้งที่น้องก็ออกจะน่ารักแท้ๆ ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ ถึงจะตัวเล็กไปนิด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่น่ารักสักหน่อย

‘ถ้าคิดว่าน้องไม่น่ารัก เธอก็เอาน้องมาให้ฉันสิ’

‘ไม่มีทาง นี่น้องฉัน’

ซึงฮีขมวดคิ้วพลางส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน ถึงจะแกล้งหยอกว่าน้องขี้เหร่ แต่พอถูกมูฮึนเอ่ยปากขอน้อง ซึงฮีก็รู้สึกหวงขึ้นมาทันที พอเห็นเด็กสองคนจ้องตากันเขม็ง คุณพ่อก็อุ้มมูรยองขึ้นมาแนบอก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ

‘ตอนเด็กๆ ทุกคนก็หน้าตาแบบนี้เหมือนกันหมดแหละน่า แต่ลุงว่าน้องเล็กของซึงแทกับซึงฮีก็น่ารักดีออก’

เด็กน้อยเหมือนจะรู้ว่าทุกคนกำลังพูดถึงตัวเอง จึงขยับตัวไปมาทั้งที่ยังแทบจะลืมตาไม่ได้ด้วยซ้ำ แถมน้ำลายยังไหลย้อยออกมาจากปากที่ขมุบขมิบเหมือนจะงอยปากของลูกนก พอเห็นภาพนั้นของเด็กน้อยมูฮึนก็ผ่อนคลายสีหน้าลง ส่วนซึงฮีที่เหม่อไปครู่หนึ่งก็พึมพำเสียงแผ่ว

‘น่ารักจริงๆ ด้วยแฮะ’

มันเป็นคำพูดที่ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ในคำพูดนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกหวั่นไหวที่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้ แม้จะพยายามทำตัวนิ่งสุขุมเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน แต่ซึงฮีก็ดีใจมากๆ ที่เด็กคนนี้คือน้องคนที่สองของเธอ

‘พ่อกลับบ้านแป๊บนึงนะ เดี๋ยวมา’

ขณะที่บรรยากาศวุ่นวายเริ่มสงบลง คุณลุงก็เดินออกจากบ้านไปพร้อมกับพ่อแม่ของมูฮึนโดยบอกว่าจะไปเอาอะไรสักอย่าง ในเวลาเดียวกันนั้นคุณป้าก็เดินหายเข้าไปในครัว ในห้องนั่งเล่นจึงเหลือแต่เด็กๆ

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาที ซึงแทที่อยากรู้อยากเห็นก็สร้างเรื่องขึ้น

‘นี่ ห้ามจับน้องนะ’

‘ฉันเช็ดมือแล้วน่า ไม่เป็นไรหรอก’

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นกับแก้มป่องที่มีไรขนอ่อนขึ้นบางๆ หรือเป็นเพราะอิจฉาบรรดาพี่ๆ ที่ได้ทักทายน้องในระยะประชิด แม้มูยอนจะเอ่ยเตือนแล้ว แต่ซึงแทก็ยังรั้นที่จะแตะน้องเบาๆ ด้วยปลายนิ้ว

ไม่ทันที่ซึงฮีกับมูฮึนจะได้เอ่ยปากห้ามอีกครั้ง ทันทีที่ปลายนิ้วแตะลงบนผิวอย่างระมัดระวัง เด็กน้อยที่หลับตาพริ้มอยู่ก็เบะปากร้องไห้จ้าออกมาทันที โดยที่ซึงแทยังไม่ทันรู้สึกว่าตัวเองแตะโดนตัวน้องเลยด้วยซ้ำ

‘คุณป้า! ซอซึงแททำน้องร้องไห้ค่า!’

‘ไม่ใช่สักหน่อย ฉันยังไม่ทันทำอะไรเลย!’

มูยอนวิ่งหน้าตาตื่นเข้าไปในครัวทันที ตรงข้ามกับมูฮึนและซึงฮีที่เบิกตาโตตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ เพราะมูรยองเป็นเด็กที่แทบจะไม่ร้องไห้เลยสักแอะ ทั้งสองจึงไม่คุ้นเคยกับการเห็นเด็กแรกเกิดร้องไห้งอแง แต่ไม่นานหลังจากนั้นมูรยองที่นอนอยู่ท่ามกลางเสียงเอะอะก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีกคน

แน่นอนว่านั่นเป็นวันที่วุ่นวายที่สุดในวัยสิบเอ็ดขวบ มูฮึนไม่เคยว้าวุ่นใจขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต หลังกลอกตาเลิ่กลั่กไปมาเพราะทำตัวไม่ถูก มูฮึนก็โน้มตัวลงไปปลอบเด็กน้อย

‘อย่าร้องน้า…นะ?’

เมื่อเห็นเด็กน้อยร้องไห้อย่างน่าสงสาร หัวใจมูฮึนก็หนักอึ้งไปทั้งดวง ขอเพียงแค่ปลอบโยนเด็กน้อยได้ ไม่ว่าเด็กน้อยจะขออะไร เขาก็พร้อมมอบให้ทุกอย่าง มูฮึนไม่นึกเลยว่าเวลาเด็กน้อยร้องไห้จะดูน่าสงสารถึงขนาดนี้ ทั้งที่ร้องไห้ออกมาโดยไม่มีน้ำตาแม้สักหยด

‘อุแง…’

‘เด็กดี…’

มูฮึนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำแบบนี้เพราะคิดอะไรอยู่ เขาได้แต่ลูบกำปั้นน้อยๆ ด้วยปลายนิ้วอย่างทะนุถนอมเหมือนที่เคยทำกับมูรยอง แต่ตอนนั้นเองจู่ๆ มือของเด็กน้อยที่นุ่มราวกับสำลีก็คว้าจับนิ้วของเขาไว้

‘…’

หากถามว่าเด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบจะไปรู้สึกอะไร มูฮึนก็ตอบได้เลยว่าในช่วงเวลานั้นเขารู้สึกตื้นตันใจจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก อุณหภูมิที่ส่งผ่านมาสู่นิ้วหัวแม่มือนั้นอุ่นและชัดเจนกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก และเขายิ่งรู้สึกถึงมันมากขึ้นเมื่อเด็กน้อยจับนิ้วของเขาแน่นโดยที่ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แต่ดูท่าแล้วจะเป็นเรี่ยวแรงที่เค้นออกมาจากการดูดนม

‘หืม? ก็ไม่เห็นร้องไห้เลยนี่จ๊ะ’

คุณป้าที่เร่งรีบเดินออกมาจากครัวมองเด็กน้อยที่เพิ่งหยุดร้องไห้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก พอเบนสายตาไปมองมูฮึนที่ตัวแข็งทื่อขณะที่ยังคงยื่นนิ้วให้เด็กน้อยจับอยู่ เธอก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างโล่งใจ

‘พี่มูฮึนช่วยปลอบน้องสินะจ๊ะ’

มูฮึนสบตากับเด็กน้อยอยู่ครู่ใหญ่โดยไม่พูดอะไร เพราะดวงตาที่ปรือปิดลงครึ่งหนึ่งกำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาใสแจ๋ว และในเสี้ยววินาทีที่จ้องมองเข้าไปในนัยน์ตาที่เปล่งประกาย สายตาของมูฮึนก็พลันพร่าเลือนไปชั่วขณะ

‘เอ่อ…’

ถึงแม้ว่าภาพในอนาคตที่ปรากฏขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งจะไม่ชัดเจนนัก แต่มูฮึนก็ได้รู้ความจริงว่าโชคชะตาของตัวเองกับเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น

นับตั้งแต่ตอนที่กลืนดวงอาทิตย์ลงท้องในความฝันมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาต่างถูกสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นพันผูกไว้จนไม่อาจแยกจากกันได้ ซึ่งโชคชะตาที่มีเพียงมูฮึนเท่านั้นที่สัมผัสได้นี้นับเป็นความลับที่เขาไม่อาจบอกใครได้

ตระกูลคิมมีสิ่งที่เป็นเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติ นั่นคือการที่ต้องคอยปกป้องตระกูลซอมาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งสองตระกูลอาศัยอยู่ในบ้านที่ตั้งอยู่เคียงข้างกันและมีลักษณะเหมือนกัน มีลูกหลานในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เลี้ยงลูกหลานให้เติบโตมาด้วยกัน และมีลูกหลานที่อายุเท่ากันสามคน ถึงแม้ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ แต่มูฮึนก็มองว่ามันเป็นภาระหน้าที่ของเขาเสมอมา

เพราะมันคือโชคชะตาที่ต้องปกป้อง มูฮึนคิดแบบนั้นมาตลอด ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร เขาก็พร้อมจะอุทิศกายเพื่อปกป้องชีวิตที่แสนล้ำค่าของเด็กน้อยคนนี้ เขามั่นใจว่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้คือหน้าที่ของโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิตมา

โชคดีที่เด็กน้อยไม่ตกเป็นเป้าของคำสาปที่สืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น เนื่องจากดวงชะตาในหลายด้านสอดคล้องกัน เพราะเกิดในวันที่มีกระแสพลังวิญญาณไหลเวียนน้อยจึงทำให้เกิดมาโดยไม่มีพลังวิญญาณ พอเกิดมาในวันที่ไม่มีพวกผีออกมาเพ่นพ่านและเป็นวันที่ไม่มีนัยน์ตาปีศาจคอยสอดส่อง ดวงชะตาของเด็กน้อยจึงหวนคืนกลับสู่หนทางที่ควรจะเป็น

เมื่อเด็กน้อยเอาชนะและข้ามผ่านค่ำคืนมาได้แล้ว พ่อแม่จึงตั้งชื่อให้ว่า ‘ซึงจู (勝晝)’ ที่มีความหมายว่า ‘จงเอาชนะกลางวัน’ และมอบเครื่องรางสะเดาะเคราะห์เหมือนกับที่มอบให้ซึงฮีและซึงแทตอนแรกเกิด พอครบร้อยวันก็จัดงานฉลองครบรอบร้อยวันให้ อีกทั้งยังจัดงานฉลองครบรอบวันเกิดใหญ่โตให้ทุกปี

เนื่องจากทุกคนในตระกูลซอต่างประสบพบเจอกับอุบัติเล็กใหญ่เป็นประจำ ความห่วงใยที่คนในตระกูลมีต่อซึงจูที่เติบโตมาอย่างแข็งแรงไร้โรคภัยจึงเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน

‘พี่ เมื่อไหร่น้องจะคลานได้’

‘พี่จะไปรู้ได้ไงล่ะ เจ้าโง่’

‘แม่! คิมมูยอนด่าผมว่าเจ้าโง่!’

บ่อยครั้งที่เด็กห้าคนนั่งล้อมกันเป็นวงกลมแล้วจ้องมองซึงจู และก็บ่อยครั้งเช่นกันที่เด็กน้อยขี้แยอย่างซึงจูมองพวกพี่ๆ ที่มารุมล้อมแล้วร้องไห้จ้าเสียงดัง

เนื่องจากเกิดมาตัวเล็ก ซึงจูจึงค่อนข้างโตช้าเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน ซึงฮีกับซึงแทร้อนใจและเฝ้าถามอยู่ทุกวันว่าเมื่อไหร่น้องของพวกเขาจะโตสักที เพราะเห็นว่ามูรยองที่เกิดมาไล่เลี่ยกันโตวันโตคืน จนกระทั่งตอนที่ซึงจูพลิกตัวได้เป็นครั้งแรก ซึงฮีกับซึงแทก็พากันปรบมืออย่างตื่นเต้นด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกคนพากันโอ๋ซึงจูกันเกินไปหรือเปล่า ซึงจูถึงได้เติบโตมากลายเป็นเด็กที่กลัวคนสุดๆ แค่โดนแตะตัวนิดหน่อยก็จะร้องไห้จ้า ยิ่งคนแปลกหน้ายิ่งไม่ยอมให้อุ้มโดยเด็ดขาด มิหนำซ้ำยังอารมณ์แปรปรวนง่าย เวลาใครอุ้มก็จะร้องให้ปล่อยลงทันที

‘ซึงจู มาหาพี่จ๋าหน่อยสิ’

ทว่ามูฮึนกลับเป็นคนเดียวที่อยู่นอกเหนือสิ่งเหล่านั้น ด้วยมูฮึนเป็นเพียงคนเดียวที่อุ้มซึงจูได้ทุกเมื่อโดยที่ซึงจูไม่ร้องไห้งอแง คุณลุงกับคุณป้าจึงมักจะทำหน้าน้อยใจอยู่บ่อยครั้งเพราะซึงจูติดมูฮึนมากกว่าตัวเองที่เป็นพ่อแม่แท้ๆ เสียอีก

‘ถ้านายจะติดหมอนี่ขนาดนี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็นคิมซึงจูเลยเถอะ’

แม้ซึงฮีจะแกล้งพูดแบบนั้น แต่ซึงจูที่นั่งนิ่งอยู่บนตักของมูฮึนก็ไม่ได้สนใจ เพราะเขายังเด็กเกินกว่าจะรู้ประสา พอเห็นซึงจูเอียงคอไปมาแล้วผงกศีรษะรับคำอย่างว่าง่าย ซึงฮีก็ขยำแก้มของซึงจูพร้อมกับทำหน้าเอ็นดู

‘มูฮึน ลุงฝากหน่อยนะ’

หน้าที่เปลี่ยนผ้าอ้อมและป้อนนมจึงตกมาเป็นของมูฮึนไปโดยปริยาย ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกซึงจูปัสสาวะใส่หน้า แต่เขากลับเอ็นดูซึงจูตัวน้อยและไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองกับประสบการณ์นั้นเลยสักนิด เขาไม่รู้ว่ามันดูเป็นการทุ่มสุดตัวเกินไปหรือเปล่า แต่ซึงฮีก็ยังถึงกับต้องยอมยกธงขาวให้กับความรักและความเอ็นดูที่เหมือนกับความหน้ามืดตามัวนั้น

‘คิมซึงจูที่ไหนเล่า ต้องเป็นซอมูฮึนต่างหาก’

เนื่องจากสถานการณ์มีความจำเป็น มูฮึนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคอยหวงแหนและดูแลซึงจู เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นฝ่ายเอ็นดูซึงจูก่อนหรือซึงจูเป็นฝ่ายตามติดเขาแจก่อนกันแน่ เช่นเดียวกับคำถามที่ว่าไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนกัน แต่ในสายตาของคนอื่นแล้ว ทุกคนล้วนมองว่าความรักใคร่เอ็นดูที่มูฮึนมีต่อซึงจูนั้นมีมากเป็นพิเศษ

ครั้งหนึ่งตอนซึงจูเริ่มหัดเดิน พอเห็นว่าซึงจูเดินโซเซไปมา มูฮึนก็กังวลใจจนต้องคอยตามอุ้ม หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าซึงจูจะติดจนเป็นนิสัย ทุกครั้งที่อยากไปไหนก็ไม่คิดจะเดินด้วยเท้าตัวเอง แต่กลับยื่นแขนป้อมๆ ไปหามูฮึนแทน แม้จะเป็นท่าทีที่ดูเอาแต่ใจ แต่มูฮึนก็ไม่ได้มองว่าท่าทางน่ารักแบบนั้นเป็นปัญหาเลยสักนิด

‘ไม่ได้นะ มูฮึนอา ถ้าคอยอุ้มอยู่ตลอดแบบนี้น้องจะเสียนิสัยเอานะ’

ตอนที่คุณป้าเตือนเพราะทนดูไม่ไหว มูฮึนก็คิดในใจ

ต่อให้เสียนิสัยก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ให้เราอุ้มน้องไปตลอดชีวิตเลยก็ยังได้

แม้จะไม่รู้ว่าซึงจูจะโตไปได้ถึงแค่ไหน แต่เขาก็มั่นใจว่าต่อให้น้องตัวโตกว่า เขาก็สามารถอุ้มน้องจนตัวลอยได้สบายๆ แน่นอนว่ามูฮึนก็อยากให้น้องเดินได้ด้วยตัวเอง เพราะถ้าน้องมีปัญหาด้านการเจริญเติบโต เขาก็คงจะเสียใจมาก หลังจากนั้นมามูฮึนจึงยอมให้น้องจับแค่มือเท่านั้นเพื่อให้น้องได้ฝึกเดินด้วยตัวเอง และเขาก็เพิ่งจะมาตระหนักได้ในตอนนั้นว่าต่อให้หวงแหนแค่ไหน แต่ก็จะยอมตามใจทุกอย่างไม่ได้

‘ซึงจูยา ทางนี้’

‘ไม่ๆ มาหาพี่นี่มา!’

‘ไหนดูซิ นี่ใช่ของเล่นที่ซึงจูชอบหรือเปล่า’

ตอนที่ซึงจูเริ่มเดินคล่อง บรรดาพี่ๆ สี่คนก็จะมานั่งเรียงกันแล้วพนันไร้สาระ มันเป็นการเล่นแบบเดียวกับที่พวกพี่ๆ มักเล่นกับมูรยอง นั่นคือการถือสิ่งต่างๆ อย่างเช่นลูกอมหรือของเล่นไว้ในมือพลางตะโกนเรียกหลอกล่อซึงจูให้เดินมาหา แต่น่าเสียดายที่ซึงจูเดินเตาะแตะมาหามูฮึนและขอให้อุ้มทุกครั้ง ต่างจากมูรยองที่เลือกเดินไปหาคนที่ถือของกิน

‘โอ๊ย พี่มูฮึนขี้เหนียว!’

‘พี่ฉันไม่ได้ขี้เหนียวสักหน่อย’

‘หมั่นไส้คิมมูฮึนชะมัด’

‘ทั้งที่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยสักคำเนี่ยนะ…’

ทุกคนโวยวายกับชัยชนะที่เหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว แต่มูฮึนก็ทำเพียงแค่อุ้มซึงจูที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นนมผงมากอดพลางหัวเราะคิกคัก ด้วยเหตุนี้ของเล่นที่ซึงฮีถืออยู่จึงตกไปเป็นของมูรยอง แต่แล้วจู่ๆ ซึงจูก็ยื่นมือไปหาของเล่นชิ้นนั้นอย่างเงอะงะ พอมูรยองเห็นแบบนั้นก็ยื่นของเล่นชิ้นนั้นให้ซึงจูอย่างใจดี และในท้ายที่สุดมันจึงตกไปเป็นของซึงจู

จากที่ไม่เดิน เด็กน้อยก็เริ่มเดินจนคล่อง ก่อนจะเริ่มวิ่งด้วยสองขาของตัวเอง กระทั่งเริ่มรู้ความ หลังจากกาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึงจูก็ออกเสียงคำว่า ‘แม่’ ‘พ่อ’ และ ‘พี่ชาย’ ได้ในที่สุด แล้วพอซึงแทที่ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรพูดจาโอ้อวดใหญ่โต ซึงฮีกับมูยอนก็รู้สึกช้ำใจเป็นอย่างมากกับการที่น้องพูดคำว่า ‘พี่ชาย’ ได้ก่อนคำว่า ‘พี่สาว’

‘แต่มูรยองของพี่พูดคำว่าพี่สาวได้ก่อน…’

มูฮึนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับคำพูดของมูยอนที่พึมพำขึ้นเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนกับว่ากำลังรู้สึกเสียศักดิ์ศรี ไม่สิ…ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้วต้องบอกว่าตอนนั้นเขามัวแต่ฝึกเขียนยันต์ให้ซึงจูจนไม่มีสติจะมาคิดเรื่องอื่นต่างหาก เพราะพอได้เห็นท่าทีแสนน่ารักของซึงจูยามที่ร้องเรียกเขาว่า ‘พี่จ๋า’ แล้วเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจว่าถ้าไม่เขียนยันต์ปกป้องซึงจูไว้ก็อาจมีใครมาพรากน้องที่แสนน่ารักคนนี้ไปจากเขา

แม้ยันต์ที่เขาเขียนขึ้นมาจะไม่ได้มีประสิทธิภาพในเชิงผลลัพธ์ขนาดนั้น แต่ซึงจูก็เติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงไร้อุบัติเหตุและโรคภัย แม้ว่าตอนเด็กอาจจะขี้แยไปสักนิด แต่พอโตขึ้นหน่อยก็แทบจะไม่ร้องไห้อีกเลย แต่ถึงจะไม่ร้องไห้ ทว่าซึงจูก็ยังชอบทำหน้าบูดบึ้ง ซึงฮีจึงชอบแลบลิ้นแกล้งหยอกซึงจูอยู่เป็นประจำ

‘โห ไหนดูซิ น้องใครเนี่ย หน้าตาขี้เหร่จัง’

มันเป็นการแกล้งเพราะความเอ็นดู ซึงจูจึงไม่ได้ใส่ใจ เนื่องจากรู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องโกหก เพราะมูฮึนมักคอยพูดกรอกหูอยู่ทุกวันว่าตนน่ารักน่าเอ็นดู ดังนั้นแล้วหากจะบอกว่าความมั่นใจในตัวเองที่สูงลิบลิ่วของซึงจูกว่าแปดในสิบส่วนมีมูฮึนเป็นคนสร้างขึ้นมาก็คงจะไม่ผิดนัก

แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ซึงฮีเท่านั้นที่ชอบแกล้งซึงจู เพราะช่วงที่มูฮึนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายเขาก็ชอบหยอกซึงจูเป็นประจำ และความอยากแกล้งก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน เช่นการแอบดักรออยู่หลังประตูแล้วออกไปจ๊ะเอ๋ หรือการแอบย่องเข้าหาจากด้านหลัง บางทีถ้าหยอกเล่นแรงเกินไปก็อาจถึงขั้นที่ทำให้ซึงจูร้องไห้ แต่สุดท้ายแล้วคนที่ทำหน้าที่ปลอบซึงจูที่กำลังร้องไห้ก็คือมูฮึนอยู่ดี

‘โธ่ ซึงจูของพี่เสียใจแย่เลย’

แม้จะกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ แต่ซึงจูก็ยอมรับจุ๊บจากมูฮึนอย่างว่าง่าย จากที่น้ำตาไหลพรากเป็นสายน้ำ จู่ๆ ซึงจูก็เม้มริมฝีปากแน่นแล้วจ้องมองมูฮึนนิ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าหนีอย่างไวเพราะความขุ่นเคือง

‘พี่จ๋าขอโทษ พี่จ๋าผิดไปแล้ว’

ว่ากันตามตรง มูฮึนรู้สึกเสียดายที่ซึงจูโตขึ้น เพราะพอโตขึ้นซึงจูก็ไม่กลัวคนแปลกหน้าอีกต่อไปและเริ่มเดินตามคนอื่นที่ไม่ใช่เขาไปไหนมาไหนต้อยๆ ซึ่งเขาไม่ชอบใจที่ได้เห็นภาพนั้นเลยสักนิด ถึงเขาจะสนุกเมื่อได้เห็นซึงจูแสดงปฏิกิริยาตอบรับเวลามีใครมาแกล้งเล่นก็ตามที

‘พอซอซึงจูโตขึ้นก็คงไม่มาเล่นกับนายแล้วล่ะ’

มูฮึนรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยกับคำพูดหยอกเล่นของซึงฮี แม้จะเคยได้ยินคำพูดทำนองนี้จากแม่มาบ้าง แต่พอคนอย่างซึงฮีพูด เขาก็รู้สึกว่ามันทิ่มแทงใจไม่น้อย

ซึงจูจะตีตัวออกหากจากเราเนี่ยนะ

แค่จินตนาการเขาก็รู้สึกเศร้าใจเกินทน

‘ซึงจูจะอยู่กับพี่ไปตลอดชีวิตใช่ไหม’

มูฮึนอุ้มซึงจูพลางเอ่ยถาม แต่ซึงจูก็ไม่ได้ตอบกลับในทันที เด็กน้อยเพียงแต่โอบกอดคอของมูฮึนแน่นโดยที่ในดวงตายังมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ มูฮึนคลี่ยิ้มให้กับไออุ่นที่ถูกส่งผ่านมาครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นซึงจูตัวน้อยก็ถามกลับราวกับสัมผัสถึงความรู้สึกของเขาได้

‘ถ้าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตต้องทำยังไงเหรอ’

สีหน้าของมูฮึนพลันผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินคำถามที่ใสซื่อนั้น ทั้งที่ร้องห่มร้องไห้เพราะพี่ชายแย่ๆ คนนี้มาตลอด แต่ซึงจูก็ดูเหมือนอยากอยู่กับพี่ชายคนนี้ไปตลอดชีวิต ขณะที่ซึงฮีส่งสายตาหมั่นไส้มาให้ มูฮึนก็ฝืนยกมุมปากขึ้นยิ้มก่อนจะทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง

‘ไม่รู้สิ คงต้องแต่งงานกันล่ะมั้ง’

‘เหมือนพ่อกับแม่น่ะเหรอ’

‘อื้ม เหมือนพ่อกับแม่นั่นแหละ’

‘อืม…’

พอซึงจูทำหน้าเหมือนครุ่นคิด มูฮึนก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางคิดว่าตัวแค่นี้คงไม่รู้อะไรหรอก กระทั่งเวลาผ่านไปพักหนึ่งซึงจูก็เปิดปากพูดพร้อมกับทำหน้าเหมือนตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว

‘ถ้างั้นผมจะแต่งงานกับพี่…’

‘ไอ้บ้านี่ สอนอะไรไม่เข้าเรื่อง’

ซึงฮีโวยวายก่อนจะแย่งตัวซึงจูมาจากอ้อมกอดของมูฮึน ในขณะที่มูฮึนอุ้มซึงจูได้สบายๆ แต่ซึงฮีกลับต้องคอยจัดท่าอุ้มให้ดี เธอจึงหลุดปากบ่นว่า ‘โอ๊ย ตัวหนักชะมัด’ โดยหลังจากที่ใช้แขนช้อนก้นของซึงจูประคองกอดไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว ซึงฮีก็ปรายตามองมูฮึนอย่างคาดโทษกับความไร้ยางอายที่สอนเด็กแบบนั้น ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับซึงจู

‘นี่ อย่าโดนหลอกเชียวนะ นายน่ะแต่งงานกับพี่ชายไม่ได้หรอก’

ซึงฮีกำชับซึงจูอยู่หลายครั้งว่ามันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งยังพูดเสริมอีกยาวเหยียดซึ่งไม่รู้ว่าพูดเพราะเป็นห่วงซึงจูหรืออยากประณามมูฮึนกันแน่ เช่นว่า ‘นายใสซื่อขนาดนี้ แล้วชีวิตนี้จะอยู่ยังไง’ แต่แล้วซึงจูที่รับฟังอย่างว่าง่ายก็พูดขึ้นมาอย่างมั่นใจราวกับหาทางออกเจอแล้ว

‘ถ้างั้นพี่ซึงฮีแต่งงานกับพี่มูฮึนสิ’

‘พี่เคยทำอะไรให้นายไม่พอใจหรือไงยะ’

ซึงฮีทำหน้าเหมือนกำลังถามว่าซึงจูพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไร แม้จะถูกสองพี่น้องพูดจาหยามใส่อย่างเข้าขา ทว่ามูฮึนกลับเอาแต่ยิ้มโดยไม่มีทีท่าว่าจะอารมณ์เสียเลยสักนิด แต่แน่นอนว่าอะไรที่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องพูดให้ชัดเจน

‘ซึงจูยา พี่เองก็เลือกนะ…’

แม้จะเหมือนเป็นการพูดติดตลก แต่มูฮึนกับซึงฮีก็พูดจากใจจริง ต่อให้จะเป็นซึงแทหรือมูยอนเอง ถ้าได้ยินแบบนี้เข้าก็คงจะแสดงท่าทีออกมาไม่ต่างกัน เพราะพวกเขาอยู่บ้านข้างกันมาตั้งแต่เกิด ถ้าวันดีคืนดีเกิดรู้สึกชอบพอกันขึ้นมาก็คงจะรู้สึกแปลกน่าดู

คงเพราะเอ็นดูซึงจูที่บอกว่าจะแต่งงานด้วย หลังจากวันนั้นมูฮึนก็พูดหยอกซึงจูด้วยคำพูดทำนองเดิมเป็นประจำ ครั้งหนึ่งมูฮึนเคยใช้มือถือถ่ายวิดีโอเก็บไว้ด้วย มันเป็นวิดีโอตอนที่ซึงจูกำลังทำหน้ามุ่ยพร้อมทั้งงอแงว่า ‘ผมจะแต่งงานกับพี่จ๋าให้ได้เลย’ ซึ่งคนที่เห็นแบบนั้นแล้วยิ้มร่าออกมาคือมูฮึน และคนที่โวยใส่มูฮึนก็ยังคงเป็นซึงฮีอีกเช่นเคย

หลังจากนั้นไม่นานนัก พ่อของมูฮึนก็เก็บเจ้าซอลกีมาจากข้างถนน เนื่องจากได้เห็นลูกสุนัขเป็นครั้งแรกในชีวิต ช่วงแรกซึงจูจึงกลัวสิ่งมีชีวิตที่ไม่คุ้นเคยตัวนี้เอามากๆ จนไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้อง (อันที่จริงเจ้าตัวพยายามไม่แสดงอาการออกมา แต่สุดท้ายก็แสดงอาการออกมาจนได้) ตรงข้ามกับมูฮึนที่เอ็นดูเจ้าซอลกีและปฏิบัติกับมันเหมือนเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลกไม่ต่างจากซึงจู

ท่ามกลางวันคืนที่ผ่านพ้นไปโดยที่ไม่มีอะไรพิเศษ คนที่เติบโตขึ้นไม่ได้มีแต่ซึงจูที่เคยเป็นเด็กน้อยเท่านั้น มูรยองที่อายุเท่ากัน ซึงแท มูยอน หรือแม้แต่ซึงฮีและมูฮึนที่เป็นพี่ใหญ่ของทั้งสองตระกูล ทุกคนต่างก็เติบโตขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปจนถึงช่วงเวลาที่ได้รู้จักกับความรัก

‘เธอคบกับหมอนั่นอยู่เหรอ’

พอขึ้นมัธยมปลายปีสอง ซึงฮีก็เริ่มมีแฟน เขาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนเหมือนเธอ และตกหลุมรักเธอที่เรียนอยู่ห้องข้างๆ จึงมาสารภาพรักกับเธอ

‘อืม เขาบอกด้วยนะว่าตอนแรกไม่กล้าเข้ามาทักเพราะนึกว่าฉันคบกับนายอยู่’

‘ยังมีคนเข้าใจผิดแบบนั้นอยู่อีกเหรอ’

‘มีสิยะ…มูฮึนอา นายนี่มันน่าเบื่อชะมัด’

ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะซึงฮีเป็นคนที่ฮอตมากในโรงเรียน แถมยังมีเพื่อนสนิทเป็นมูฮึน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่บรรดานักเรียนชายหลายคนไม่ค่อยกล้าเข้ามาสารภาพรัก ถึงมูฮึนจะไม่ได้แสดงท่าทีมีไมตรีกับซึงฮีสักเท่าไหร่ แต่ลำพังแค่การที่ทั้งสองคนอยู่บ้านข้างกัน พวกนักเรียนชายก็ใจฝ่อกันหมดแล้ว

‘ว่าจะไปเดตกันสุดสัปดาห์นี้’

‘อืม ฉันไม่ได้อยากรู้สักหน่อย’

มูฮึนไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ว่าเขาไม่ใส่ใจ แต่เขาไม่เคยคิดจะสนใจและไม่อยากรับรู้เรื่องรักใคร่ของเพื่อนที่เป็นเหมือนครอบครัวคนนี้เลย

ทว่าในช่วงสุดสัปดาห์นั้นซึงฮีก็พาซึงจูออกไปเดตด้วยโดยบอกว่าแฟนหนุ่มอยากรู้จักน้องชายวัยสิบขวบ แต่ปัญหาคือมันทำให้มูฮึนที่เหลืออยู่คนเดียวรู้สึกหงอยเหงาสุดๆ เพราะปกติแล้วในช่วงสุดสัปดาห์มูฮึนมักจะมาเล่นกับซึงจูทั้งวันโดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจจากซึงจูเลยสักนิด จนการพาเจ้าซอลกีออกไปเดินเล่นกับมูรยองกลายเป็นสิ่งที่เด็กชายวัยแปดขวบต้องทำเป็นประจำไปแล้ว เพราะแบบนั้นมูฮึนจึงเฝ้ารอสุดสัปดาห์เพื่อที่จะได้ขโมยตัวซึงจูมาเล่นที่บ้าน

ปกติแล้วมูฮึนจะพาเจ้าซอลกีที่ตื่นเต้นดีใจไปเดินเล่นประมาณสองรอบ หลังช่วยสอนการบ้านให้มูรยองเสร็จ ทั้งสามก็จะอาบน้ำด้วยกัน บางวันก็อาบน้ำล้างตัวให้เจ้าซอลกีจนเนื้อตัวเปียกปอนกันไปหมด และหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ มูรยองก็จะผล็อยหลับไปในท่าที่กอดเจ้าซอลกีเอาไว้ในอ้อมแขน วันไหนที่มูยอนและซึงแทมีนัดข้างนอก วันนั้นห้องนั่งเล่นที่กว้างขวางก็จะยิ่งเงียบสงบเป็นพิเศษมากกว่าทุกวัน

เพราะแบบนั้นในช่วงที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า มูฮึนจึงยืนรอทั้งสองคนอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน เพราะซึงฮีจะไม่ไปไหนมาไหนในเวลาดึกดื่น ไม่นานนักมูฮึนก็เห็นเธอเดินจูงมือซึงจูมาตามถนน แม้ข้างกันจะมีคนที่สันนิษฐานว่าเป็นแฟนหนุ่มของซึงฮีเดินมาอยู่ด้วย แต่มูฮึนก็ไม่ได้ใส่ใจและแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

‘ซึงจูยา’

‘โอ๊ะ พี่นี่นา’

ทันทีที่เห็นมูฮึน ซึงจูก็วิ่งเข้าไปหาอย่างว่องไว ภาพยามที่ซึงจูตั้งหน้าตั้งตาวิ่งมาหาช่างเหมือนภาพเวลาที่เจ้าซอลกีวิ่งลัดสนามหญ้ามาหากันมาก มูฮึนอ้าสองแขนรอกอดซึงจู ทว่าน่าเสียดายที่ซึงจูกลับหยุดวิ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองมูฮึน

‘พี่มาทำอะไรตรงนี้’

‘พี่ก็มารอซึงจูของพี่ไง’

มูฮึนคลี่ยิ้มก่อนจะอุ้มซึงจูขึ้นโดยไม่ทันได้สังเกตท่าทีของซึงจู หลังดิ้นขยุกขยิกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ซึงจูก็กอดคอมูฮึนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เขามักร้องไห้งอแงเวลาถูกมูฮึนแกล้ง ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบใจกับการที่มูฮึนทำเหมือนเขาเป็นเด็กเท่าไหร่นัก

‘ไปเที่ยวมาสนุกไหม’

‘อืม…ไม่รู้สิ ว่าแต่พี่เพิ่งอาบน้ำมาเหรอ’

‘อื้ม ทำไมเหรอ’

‘ผมได้กลิ่นหอมๆ จากพี่’

ไม่ตลกสักนิด

มูฮึนคิดแบบนั้นพลางกระชับกอดซึงจูครั้งหนึ่ง แม้ซึงจูจะโตกว่าเมื่อก่อนมาก แต่สำหรับมูฮึนแล้ว เขาก็ยังรู้สึกว่าซึงจูตัวเล็กและเบามากอยู่ดี

‘แพ็กซอลกีทำอะไรอยู่เหรอครับ’

‘นอนกับมูรยองอยู่น่ะ’

‘แล้วเดินเล่นล่ะ’

‘พี่พามันไปเดินเล่นมาเรียบร้อยแล้ว’

‘จริงเหรอ ทั้งที่สัญญาว่าจะไปด้วยกันแท้ๆ…’

ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ซึงฮีก็กำลังล่ำลาแฟนหนุ่ม แม้แฟนของเธอจะปรายตามองมูฮึนเป็นระยะๆ แต่มูฮึนก็ไม่แม้แต่จะหันไปส่งสายตาให้ฝ่ายนั้นเลยสักนิด เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะพูดคุยด้วยอยู่แล้ว เพราะคนที่เขากำลังเฝ้ารอแต่แรกไม่ใช่ซึงฮีแต่เป็นซึงจู

‘ทีตอนอยู่กับพี่นี่ไม่พูดไม่จาสักคำเลยนะ…’

ซึงฮีเดินมาสมทบทีหลังแล้วพูดขึ้น จังหวะนั้นมูฮึนกำลังขอจุ๊บจากซึงจูอยู่ พอเห็นซึงจูส่ายศีรษะปฏิเสธเป็นการใหญ่ มูฮึนก็ยิ้มกริ่มออกมาอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะกดจูบลงบนแก้มป่อง ด้านซึงจูเองก็ไม่ได้ผลักมูฮึนออกไป เพราะถึงแม้ว่าซึงจูดูเหมือนจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้รังเกียจ

‘แล้วเธอพาเด็กที่กลัวคนแปลกหน้าออกไปข้างนอกทำไม’

‘นายคิดว่าฉันบังคับให้ไปหรือไง ซอซึงจูเป็นคนบอกว่าอยากไปเองต่างหาก’

‘ยังจะกล้าพูดอีกนะ’

ถ้าจะไปเดตก็ไปคนเดียวสิ ทำไมต้องพาน้องของคนอื่นออกไปตามใจชอบด้วยล่ะ

ถึงซึงจูจะเป็นน้องของซึงฮี ไม่ใช่น้องของเขา แต่เขาก็รู้สึกเหมือนโดนแย่งน้องแท้ๆ ไป

‘คราวหน้าไม่ต้องออกไป อยู่เล่นกับพี่ดีกว่า พอซึงจูไม่อยู่แล้วพี่จ๋าคนนี้เบื่อมากเลย’

มูฮึนพูดกับซึงจูก่อนจะถูไถจมูกลงบนแก้มเนียน กลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กทำให้อารมณ์ของเขาผ่อนคลายลงในพริบตา ทันทีที่เขาจรดริมฝีปากลงบนกลุ่มผมนุ่ม ซึงฮีก็แค่นหัวเราะพลางแกล้งบอกว่าคราวหน้าจะไม่พาซึงจูไปแล้ว แต่จะพามูรยองไปแทน

แต่หลังจากนั้นซึงฮีก็ยังพาซึงจูออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนอีกหลายครั้ง โดยทุกครั้งมูฮึนก็จะมาดักรอรับซึงจูอยู่ตรงประตูหน้าบ้านเช่นเคย แต่ผ่านไปไม่นานนักซึงฮีก็เลิกกับแฟน เมื่อมูฮึนถามอย่างไม่ได้ใส่ใจว่า ‘เลิกอีกแล้วเหรอ’ เธอก็ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

‘เพราะนายนั่นแหละ’

‘ฉันเหรอ’

‘อืม นายนั่นแหละ’

มูฮึนกะพริบตาปริบๆ พร้อมทำหน้างุนงงเมื่อจู่ๆ ก็ถูกปรักปรำ ซอซึงฮีเลิกกับแฟนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ ดูท่าคราวนี้การที่ซึงฮีมีมูฮึนเป็นเพื่อนจะสร้างเรื่องอีกแล้ว

ซึงฮีถอนหายใจก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเต็มทน

‘นายเล่นมาดักรออยู่หน้าบ้านฉันเป็นประจำ พวกผู้ชายก็คิดว่านายชอบฉันน่ะสิ’

‘คิดว่าฉันชอบเธอเนี่ยนะ’

‘อืม ก็อย่างที่ว่าไปนั่นแหละ…’

ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาต้องลำบากกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ซึงฮีถึงได้พูดแบบนั้นด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายสุดๆ เธอทำหน้ามุ่ยพลางไหวไหล่ราวกับไม่อยากแม้แต่จะจินตนาการถึงเรื่องนี้

‘ฉันบอกว่านายไม่ได้มารอฉัน แต่มารอน้องฉันก็ไม่มีใครเชื่อสักคน นายรู้ไหมพวกนั้นบอกว่ายังไง พวกเขาบอกว่าเด็กมัธยมปลายจะเล่นกับเด็กน้อยแบบนั้นได้ยังไง’

‘ทั้งที่พวกเขาบอกเองว่าอยากเจอซึงจูเนี่ยนะ’

‘ก็นั่นไง ดูเหมือนพวกเขาจะแกล้งสนใจเพราะเห็นว่าเป็นน้องของฉันก็เท่านั้นแหละ’

‘เฮอะ…’

ถ้านับแค่เรื่องหึงหวงมูฮึนก็คงจะรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย แต่พอมีเรื่องที่ใช้ซึงจูเป็นสะพานเข้าหาซึงฮีมาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว มูฮึนก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เขาไม่ชอบใจที่คนพวกนั้นแสร้งเล่นกับซึงจูอย่างใจดี ถ้าซึงฮีเป็นฝ่ายเอ่ยปากเสนอขึ้นก่อนก็ว่าไปอย่าง

‘แล้วทำไมเธอถึงพาซึงจูไปเจอคนใจแคบพวกนั้น’

‘โอ๊ย เพราะงั้นฉันถึงได้เลิกกับพวกเขาไง มิน่าล่ะซึงจูถึงได้ไม่ชอบใจใครเลยสักคน’

เด็กมักจะไวต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้คนเสมอ ซึงจูเองก็คงจะดูออกว่าบรรดาแฟนของซึงฮีไม่มีใครสนใจตัวเองจริงๆ เลยสักคน เขาเติบโตมาโดยได้รับความรักจากคนรอบข้างอย่างเปี่ยมล้น จึงไม่มีทางยินดีกับช่วงเวลาจอมปลอมของคนพวกนั้น

‘เธอเองก็หัดอยู่เป็นโสดแบบฉันบ้างเถอะ’

‘นายนั่นแหละย่ะ เลิกเล่นกับซึงจูแล้วหัดมีแฟนเหมือนคนอื่นบ้าง ถ้าวันหนึ่งซึงจูมีแฟนขึ้นมานายจะทำยังไง’

พอมูฮึนพูดเล่นซึงฮีก็ตอบกลับอย่างติดเล่นเช่นกัน มูฮึนตั้งใจว่าจะตอบอย่างไม่ใส่ใจว่ามีก็มีไปสิ แต่จู่ๆ เขาก็กัดริมฝีปากแน่นขณะที่ความรู้สึกราวกับภาพเบื้องหน้ามืดสนิทไปชั่วขณะ เสี้ยววินาทีที่นัยน์ตาสีดำสนิทพร่ามัว ภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางตรงหน้าราวกับภาพลวงตา

‘…’

มันคือภาพของซึงจูในชุดนักเรียนที่กำลังยืนสบตากับใครบางคน ในภาพนั้นซึงจูมีรูปร่างสมชายและตัวสูงใหญ่กว่าตอนนี้ ซึงจูกำลังมองอีกฝ่ายอย่างเขินอาย มูฮึนรู้สึกแปลกกับภาพนั้นจนใบหูแดงระเรื่อ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็พลันไม่สบอารมณ์

‘คิมมูฮึน?’

‘ฮะ?…’

มูฮึนกะพริบตาปริบๆ หลังได้สติกลับมา ในขณะที่ซึงฮีกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเหมือนกับว่าพอจะรู้

‘อะไรยะ เห็นอะไรแปลกๆ อีกแล้วหรือไง’

มันคืออนาคตที่มูฮึนมักนิมิตเห็นเป็นครั้งคราว มันคือพลังในการเห็นอนาคตล่วงหน้าที่จู่ๆ ก็แสดงออกมาในชีวิตประจำวันตามปกติ มันไม่มีวันเวลาที่สามารถกำหนดได้ล่วงหน้ารวมทั้งไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ และมันก็ไม่ใช่อนาคตที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ อย่างแม่นยำ กลับกันมันเป็นเพียงหนึ่งในความเป็นไปได้มากมายที่อาจจะเกิดขึ้น

‘เอ่อ…จะว่ายังไงดีล่ะ…’

มูฮึนขมวดคิ้วมุ่นแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ทั้งที่หมู่นี้ไม่ค่อยนิมิตเห็นอะไร แต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้นิมิตเห็นภาพไร้สาระขึ้นมาในจังหวะนี้ ทว่าสิ่งที่มูฮึนรู้สึกสับสนยิ่งกว่านั้นกลับเป็นความรู้สึกด้านลบที่ก่อตัวขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง

‘ถ้าจะมีแฟนก็มีไปสิ’

แม้เขาจะเอ็นดูซึงจูมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นแค่ความเอ็นดูในฐานะน้องชาย ต่อให้ซึงจูจะโตขึ้นแค่ไหน ความรู้สึกที่เขามีให้ซึงจูก็ยังคงเหมือนเดิม ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเรื่องที่ซึงจูจะมีแฟนเลยสักนิด

แต่ก็นะ…พอคิดว่าน้องจะไม่เล่นกับพี่ชายคนนี้แล้วก็แอบรู้สึกน้อยใจนิดๆ

‘ฉันไม่ใช่พี่ชายขี้หวงอะไรแบบนั้นสักหน่อย’

‘กล้าพูดนะ นายน่ะขี้หวงที่หนึ่งเลยย่ะ’

ซึงฮีโต้กลับทันควันพร้อมแค่นหัวเราะใส่มูฮึน เธอไม่คิดจะซักไซ้เรื่องอนาคตที่มูฮึนมองเห็นเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะเธอรู้ดีว่าไม่ว่าสิ่งที่มูฮึนเห็นจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน แต่ถ้ามูฮึนพูดออกมาจากปากก็อาจจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นได้

‘ใครมองเขาก็คงนึกว่านายคลอดซึงจูออกมา’

‘งั้นเหรอ ฉันคงจะคลอดซึงจูออกมานั่นแหละ’

มูฮึนยักไหล่เบาๆ พร้อมตอบกลับอย่างติดตลก แม้ครึ่งหนึ่งจะเป็นเพียงแค่การล้อเล่น ทว่าอีกครึ่งหนึ่งก็มาจากใจจริง แน่นอนว่าถ้าคุณป้ามาได้ยินเข้าคงได้หัวเราะออกมาเป็นการใหญ่

‘จะว่าไปแล้ว…ซึงฮียา’

‘อะไร…ทำไม’

ซึงฮีขมวดคิ้วกับคำพูดหยั่งเชิงนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง มูฮึนจึงยกมุมปากเล็กน้อยพร้อมกับส่งยิ้มให้ทางสายตา

‘นี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมีแฟนนะ’

อีกเดี๋ยวพวกเขาก็จะขึ้นมัธยมปลายปีสามกันแล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องสอบซูนึงเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ แม้พวกเขาจะอยู่ในครอบครัวที่ไม่ได้มองว่าการเข้ามหาวิทยาลัยเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในเมื่อตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้ว นี่จึงไม่ใช่เวลาที่จะมามีแฟน

‘ไหนบอกว่าจะเข้ามหา’ลัยฮันกุกกับฉันไง’

ตอนเข้าเรียนมัธยมปลายทั้งสองเคยสัญญากันไว้ว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยฮันกุกด้วยกัน เหตุผลนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมาก พวกเขาแค่อยากใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาให้ได้มากที่สุดก่อนที่ชีวิตจะไม่ธรรมดาอีกต่อไป ความจริงแล้วมูฮึนไม่ได้คิดจริงจังสักเท่าไหร่ แต่ซึงฮีที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้ากลับบอกว่า ‘ไหนๆ ก็เลือกที่จะเรียนมหา’ลัยแล้วก็ต้องสอบเข้ามหา’ลัยที่ดีที่สุดให้ได้สิ’ ดังนั้นเธอจึงตั้งเป้าหมายเป็นมหาวิทยาลัยฮันกุก

‘เธอต้องตั้งใจเรียนให้ได้เกรดดีกว่านี้สิ’

‘แหม บ่นเก่งจังนะ…นายมันเก่งอยู่แล้วนี่’

ซึงฮียู่หน้าพลางตอบกลับอย่างหมั่นไส้ เพราะมูฮึนเรียนเก่งติดอันดับหนึ่งในสามของโรงเรียน ต่างจากเธอที่ไม่ติดอันดับห้าด้วยซ้ำ แม้เกรดของเธอจะไม่ได้แย่ แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะสบายใจได้แบบมูฮึน

‘ขี้โกงชะมัด ทั้งที่ยังไงนายก็จะไปเป็นมือปราบวิญญาณอยู่แล้ว นายจะตั้งใจเรียนขนาดนี้ไปเพื่ออะไร’

‘คนอย่างเธอมีสิทธิ์พูดแบบนี้ด้วยเหรอ’

พวกเขาสองคนพากันพูดไปเรื่อยทั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็พยายามกันอย่างเต็มที่โดยไม่ได้สนใจอนาคต อย่างซึงฮีที่มีหน้าที่รับช่วงต่อธุรกิจของตระกูลซอตามธรรมเนียมของตระกูล เรื่องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเลยไม่จำเป็นต่อการบริหารธุรกิจของตระกูลเลยสักนิด เพราะแบบนั้นเธอจึงไม่ต่างจากมูฮึน

ซึงฮีส่งเสียงฮึมฮัมในคอก่อนจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความมั่นใจ

‘นี่…นายเคยคิดจะลดเป้าหมายของตัวเองลงบ้างไหม’

‘คิดว่าคนอย่างฉันจะเคยคิดเหรอ’

แม้จะเคยคิดแบบนั้นจริงๆ แต่มูฮึนก็เลือกที่จะตอบไปแบบนั้น เพราะคนที่ไม่คิดจะลดเป้าหมายของตัวเองน่าจะไม่ใช่เขา แต่เป็นซึงฮี ดังนั้นแล้วมูฮึนจึงตั้งใจเรียนเพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอได้อย่างสบายๆ

ซึงฮีเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่าง สีหน้าที่ดูเคร่งเครียดของเธอมองเผินๆ แล้วเหมือนซึงจูไม่มีผิด เพราะตาชั้นเดียวและโครงหน้าที่คมชัดคือเอกลักษณ์ของทุกคนในตระกูลซอ หลังจากมูฮึนจ้องมองเธออยู่พักใหญ่ เธอก็พยักหน้าตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

‘นั่นสิเนอะ คอยดูนะ ฉันจะเพิ่มเกรดตัวเองให้ได้เลย’

‘ฉันจะรอดูนะ’

เธอเป็นคนที่ถ้าได้ตัดสินใจไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะพยายามทำมันจนสำเร็จ มูฮึนจึงจงใจท้าทายเธอเพราะรู้ความจริงข้อนั้นดี แม้เขาจะไม่ได้สนใจเรื่องเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็อยากสร้างความทรงจำอีกนิดก่อนที่จะเข้าสังกัดกับทางสมาพันธ์

คำพูดที่บอกว่าจะเพิ่มเกรดของตัวเองให้ได้ไม่ใช่แค่คำพูดโอ้อวดไปเรื่อย นับจากวันนั้นซึงฮีก็ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทให้กับการเรียน หลังสิ้นสุดภาคเรียนที่สองของมัธยมปลายปีสอง อันดับของเธอก็ดีขึ้นมาก พวกเขาจึงปรึกษาหารือกันอย่างจริงจังล่วงหน้าว่าจะเลือกเรียนคณะไหน พอซึงฮีที่กำลังอิ่มอกอิ่มใจแกล้งบอกว่า ‘ทีนี้ก็คงไม่ต้องพูดว่าคอยดูนะแล้วมั้ง’ มูฮึนก็หัวเราะแล้วชมเธอว่า ‘ซอซึงฮี เธอนี่เทพจริงๆ’

หลังจากนั้นพวกเขาก็ขึ้นมัธยมปลายปีที่สาม…

 

* มูฮึน มาจากคำว่าคำว่ามู (霧) หมายถึงหมอกหรือความมืด ส่วนคำว่าฮึน (昕) หมายถึงช่วงเวลาเช้ามืดหรือช่วงเวลาที่เริ่มมีแสงสว่าง เมื่อรวมกันจะมีความหมายว่าช่วงเวลาเช้ามืดที่มีหมอกทึบปกคลุม

** ซน หมายถึงวิญญาณที่คอยติดตามและรบกวนการทำกิจวัตรของคน

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: