X
    Categories: everYค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึนทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3 บทที่ 16 – 2 #นิยายวาย

ทดลองอ่านเรื่อง ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3

ผู้เขียน : Oneulbom

แปลโดย : Kitti B.

ผลงานเรื่อง : ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

16-2

 

ตอนที่ซึงฮีกับซึงแทเกิด ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กทั้งสองคนจะจากโลกนี้ไปโดยมีอายุขัยอยู่ได้ไม่ถึงยี่สิบปี แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่ต่างจากการสาปแช่งในสายตาของคนอื่น แต่สำหรับตระกูลซอแล้วมันคือโชคชะตา

นับตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาดูโลก พวกเขาเกิดมาพร้อมกับดวงชะตาอายุขัยสั้นที่ส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น และมีชีวิตที่แขวนอยู่บนความตายมาตั้งแต่แรก พวกเขาจึงพบเจออุบัติเหตุมากมายมาตั้งแต่ยังเด็ก และทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ จำนวนของยันต์ที่แปะอยู่บนกำแพงหินของบ้านข้างๆ ก็จะเพิ่มขึ้น ทั้งยังต้องจ้างคนคุ้มกันมาประกบถึงสามคน และอาจจะถือว่าเป็นเรื่องโชคดีเพราะยิ่งอายุมากขึ้น ดวงชะตาของทั้งสองก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น

ในปีที่ซอซึงฮีอายุสิบเก้า ซอซึงแทอายุสิบแปด และซอซึงจูผู้เป็นน้องเล็กอายุเก้าขวบ เงาดำทะมึนที่เคยปกคลุมซึงฮีและซึงแทอยู่ก็เริ่มเลือนหายไป มันเป็นแบบนั้นจนกระทั่งครบหนึ่งปี ทุกคนจึงคิดว่าซึงฮีอาจหลุดพ้นจากดวงชะตาต้องสาปแล้ว

คำทำนายที่บอกว่าจะมีอายุไม่พ้นยี่สิบนั้นอาจหมายถึงว่าเธอจะมีชีวิตใหม่หลังพ้นอายุยี่สิบก็ได้ เนื่องจากคำสาปที่ตกทอดต่อกันมานานหลายชั่วอายุคนอาจจะเสื่อมลง และความทะเยอทะยานที่จะมีชีวิตอยู่ของเหล่าบรรพบุรุษก็ได้ส่งผลให้สายเลือดของตระกูลซอถูกส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน

เช่นนั้นแล้วมูฮึนจึงเชื่อมาตลอดว่าขอเพียงแค่ดิ้นรน พวกเขาก็จะสามารถหลีกหนีจากดวงชะตาได้

 

‘เธอจะออกไปไหนนะ’

‘งานเปิดตัวหนังรอบพรีเมียร์น่ะ พอดีเจ้าซอซึงแทร้องว่าอยากดู’

เนื่องจากวันนั้นเป็นวันครบรอบการก่อตั้งโรงเรียนพอดี พวกเขาทั้งสี่คนที่เรียนโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนจึงมีโอกาสได้หยุดพร้อมกัน วันนั้นซึงจูกับมูรยองยังไม่กลับจากโรงเรียนประถม ขณะที่มูฮึนกำลังฝึกฝนอยู่ในบ้านหลังเล็ก ซึงฮีที่อยู่บ้านข้างๆ ก็มาหาเขา และทันทีที่คำว่า ‘งานเปิดตัวหนังรอบพรีเมียร์’ ดังออกมาจากปากซึงฮี มูฮึนก็เดาได้ในทันทีว่ามันคือภาพยนตร์เรื่องอะไร

‘อ๋อ…ไอ้ที่บอกว่าได้ตั๋วรางวัลมาสินะ’

‘อืม ตอนแรกตั้งใจจะไปดูกับมูยอน แต่มูยอนติดธุระอะไรสักอย่างที่โรงเรียนวันนี้นี่แหละ’

พอลองคิดดูแล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ยินมูยอนพูดว่าเจอวัตถุแปลกๆ อยู่ใต้ต้นไม้ในเขตโรงเรียน ทั้งที่พวกผู้ใหญ่บอกให้ปล่อยไว้ก่อน อย่าเพิ่งไปแตะต้อง แต่ดูเหมือนความอยากรู้อยากเห็นที่มีอยู่ล้นเหลือจะทำให้มูยอนอยู่ไม่สุข และในขณะที่มูฮึนคิดอยู่ว่าจะโทรหาดีไหม ซึงฮีก็ยักไหล่พลางพูดกับมูฮึน

‘แล้วนายก็ไม่ได้สนใจอะไรแบบนั้นด้วย…’

การนั่งนิ่งมองดูภาพเคลื่อนไหวกว่าสองชั่วโมงไม่ใช่งานอดิเรกของมูฮึนอย่างที่ซึงฮีว่าจริงๆ แม้เขาจะดูคลิปวิดีโอที่ถ่ายซึงจูเก็บไว้วนไปมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการของมนุษย์เลยสักนิด เวลาซึงฮีดูภาพยนตร์เศร้าแล้วร้องห่มร้องไห้ทีไร เขาก็มักจะไถดูมือถือพลางทำสีหน้าระอาใจทุกที

‘ตอนแรกซอซึงแทก็ตั้งใจจะชวนเพื่อนๆ ไปดูแหละ แต่เพื่อนๆ ก็เทกันหมดเพราะเห็นว่าเป็นหนังโรแมนติก พวกเพื่อนผู้ชายบอกว่าหนังโรแมนติกจะไปสนุกอะไรก็เลยไม่ดูกัน แต่พอฉันบอกว่าอยากดูเรื่องนี้พอดี หมอนั่นก็…’

ซึงฮีดูตื่นเต้นกับการออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกหลังจากไม่ได้ออกไปไหนมานาน เพราะที่ผ่านมามัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนจนไม่มีเวลาได้พักผ่อน สังเกตได้จากการที่เธอยังคงพูดในสิ่งที่มูฮึนไม่ได้ถามออกมาไม่หยุดปาก ทั้งที่มูฮึนทำหน้าเหมือนไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

‘เพราะงั้นก็เลยนัดเจอกันที่หน้าสถานี แต่ซอซึงแทบอกว่าจะแวะที่ไหนสักที่ก็เลยออกไปก่อน’

‘น่าสนุกดีนี่’

‘แหม ในน้ำเสียงนี่มีความจริงใจอยู่บ้างไหมยะ’

ซึงฮีหัวเราะคิกคักพลางทุบไหล่มูฮึนด้วยกำปั้นจนเกิดเสียงดังตุบ ทั้งที่เป็นเพียงการสัมผัสร่างกายเล็กน้อยเหมือนปกติ ทว่าในวินาทีที่มือของเธอสัมผัสตัวเขา ภาพเหตุการณ์หนึ่งก็ฉายขึ้นมาตรงหน้า ท่ามกลางการมองเห็นที่พร่าเลือน มูฮึนเห็นภาพซึงฮีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นและภาพผู้คนมากมายที่กำลังยืนล้อมเธอเอาไว้

‘นี่…’

มูฮึนพูดพร้อมทั้งจับข้อมือของซึงฮีแน่น ความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีที่ถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นลูกใหญ่ก่อเกิดเป็นความหวาดกลัวเข้าครอบงำ ทันทีที่ซึงฮีชะงักพร้อมเงยหน้าขึ้นมอง สายตาของทั้งสองก็ประสานกันกลางอากาศที่ว่างเปล่า

‘ซอซึงฮี เธอ…’

แต่มูฮึนไม่อาจบอกอะไรเธอได้ เพราะในจังหวะที่กำลังจะอ้าปากพูด ความหวาดกลัวที่ไม่อาจลืมได้ลงก็เอ่อล้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ

‘…’

ถ้าพูดออกไปแล้วมันดันเกิดขึ้นจริงจะทำยังไง แล้วถ้ามันเกิดอุบัติเหตุที่น่ากลัวกว่าที่เรามองเห็นล่ะ แต่ถ้าเราปล่อยไปเฉยๆ ก็คงจะผ่านไปได้เหมือนปกตินั่นแหละ เพราะถ้าเราเข้าไปยุ่งก็อาจทำให้เรื่องร้ายแรงกว่าเดิมก็ได้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามองเห็นอนาคตที่มีใครเลือดตกยางออก ตั้งแต่เด็กมาจนถึงตอนนี้มูฮึนเติบโตมาโดยเห็นภาพอนาคตมากมายนับไม่ถ้วน ภาพอนาคตที่เขามองเห็นส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจริง และบางส่วนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยในทิศทางอื่น บางครั้งเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจอยู่คนเดียวเมื่อภาพอนาคตที่เขามองเห็นไม่เกิดขึ้นจริง

‘แล้วจะกลับตอนไหน’

บางทีภาพอนาคตที่เขามองเห็นคราวนี้อาจเป็นอนาคตที่จะไม่เกิดขึ้นก็ได้ หรือบางทีมันอาจเป็นเพียงเรื่องที่เขากังวลไปเองล่วงหน้า ดังนั้นเขาจึงต้องไม่เข้าไปยุ่งหรือวิตกไปเองโดยใช่เหตุ

‘ไม่รู้สิ น่าจะกลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกดินล่ะมั้ง’

‘งั้นเหรอ…’

มูฮึนพยายามเก็บสีหน้าพลางแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไร ก่อนจะปล่อยข้อมือของซึงฮีออกช้าๆ แม้มูฮึนจะไม่ได้จับแน่นจนรู้สึกเจ็บ แต่ซึงฮีก็เผลอลูบข้อมือที่ถูกจับโดยไม่รู้ตัว พอได้เห็นภาพนั้นแล้วมูฮึนก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในใจ

‘ตั๋วมีสองใบใช่ไหม’

‘อื้ม มีแค่สองใบ’

ไปด้วยดีไหมนะ

ไม่ใช่ว่ามูฮึนไม่เคยคิดแบบนั้น เพราะต่อให้ไม่มีตั๋ว เขาก็แค่ไปดักรออยู่ด้านนอกระหว่างที่สองคนนั้นกำลังดูภาพยนตร์กันอยู่ก็ได้ แต่เหตุผลที่เขาไม่ทำอย่างนั้นเป็นเพราะอนาคตที่เขาเข้าไปแทรกแซงอาจคลาดเคลื่อนไปในทิศทางอื่น ครั้งหนึ่งเขาเคยมองเห็นอนาคตว่าซึงแทจะบาดเจ็บระหว่างเล่นบาสเกตบอลตอนสมัยเด็กๆ เขาจึงสั่งห้ามไม่ให้ซึงแทเล่นบาสเกตบอลโดยทำทีบอกให้ไปเล่นฟุตบอลแทน แต่สุดท้ายก็เกิดอุบัติเหตุที่หนักกว่า ถึงมันจะไม่ใช่เพราะเขา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามันไม่ได้เป็นผลกระทบที่มาจากเขา

‘ทำไม อยากไปเหรอ แต่เดี๋ยวนายก็ต้องไปรับเด็กๆ แล้วไม่ใช่เหรอ’

ซึงฮีจ้องมองมูฮึนด้วยความสงสัยพลางเอียงศีรษะถาม จริงอย่างที่ซึงฮีว่า มูฮึนเกี่ยวก้อยสัญญากับซึงจูไว้แล้วว่าจะไปรับหลังเลิกเรียน ต่อให้ซึงจูและมูรยองจะไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ถ้าเขาไม่ไปรับตามสัญญา เด็กๆ ก็คงจะเสียใจกันน่าดู

‘มูฮึนอา’

ซึงฮีเอ่ยเรียกมูฮึนที่เงียบไป แค่มองปราดเดียวเธอก็มั่นใจว่ามูฮึนกำลังรู้สึกอย่างไร เธอรู้ใจมูฮึนดีพอๆ กับที่มูฮึนรู้ใจเธอ เพราะต่อให้มูฮึนจะไม่พูดออกมาตรงๆ เธอก็เข้าใจมูฮึนดีกว่าใครในฐานะเพื่อนที่สนิทที่สุด

‘อยากห้ามไม่ให้ฉันออกไปสินะ’

‘…’

มูฮึนอยากบอกใจจะขาด อยากบอกให้เธออยู่แต่ในบ้าน อยากบอกว่าไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น หรือถ้าจะไปไหน เขาก็จะคอยตามประกบไปด้วยทุกฝีก้าว ทว่าเหตุผลที่มูฮึนไม่อาจพูดออกไปได้เป็นเพราะนึกถึงใบหน้าของซึงแทที่กำลังเฝ้ารอที่จะได้ดูภาพยนตร์ นึกถึงภาพของซึงฮีที่พูดเจื้อยแจ้วด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมทั้งบอกว่ามันคือภาพยนตร์ที่อยากดูมานาน ทั้งที่แค่พูดออกไปเพียงคำเดียวก็ทำให้เธอยกเลิกการนัดครั้งนี้ได้แล้วแท้ๆ แต่เขากลับไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะกล้าพูดต่อหน้าเธอที่คงจะเสียดายมากๆ หากไม่ได้ไป

มูฮึนรู้ดีว่าชีวิตประจำวันที่จำต้องยอมแพ้กับบางสิ่งนั้นน่าอึดอัดแค่ไหน แม้แต่ทัศนศึกษาของโรงเรียนซึงฮีก็ไม่เคยได้ไปเลยสักครั้ง หลังพระอาทิตย์ตกดิน แม้แต่จะก้าวขาออกจากบ้านก็ยังทำไม่ได้ สำหรับซึงฮีกับซึงแทที่ต้องมีชีวิตอยู่แต่ในกรอบที่ถูกป้องกันไว้อย่างแน่นหนาแล้ว เขาก็ไม่อาจหยิบยื่นอนาคตที่ไม่แน่นอนและกักขังพวกเขาไว้ได้อีกต่อไป

‘ไปดีมาดีนะ อย่าเดินบนถนนล่ะ’

แม้จะลังเลอยู่ครู่ใหญ่ แต่ผลสรุปสุดท้ายก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

พกยันต์ติดตัวตลอดก็คงไม่เป็นไรหรอก

ทั้งสองคนก็มีคนคุ้มกัน แถมพวกวิญญาณร้ายก็คงไม่ออกมาเพ่นพ่านในเวลากลางวันแบบนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งสองคนจะได้พบเจอวิญญาณ และมันยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ เพราะซึงฮีกับซึงแทเป็นคนระมัดระวังตัวดีมาก จึงมักไปไหนมาไหนด้วยเส้นทางที่มั่นใจว่าปลอดภัยเสมอ

‘เห็นฉันเป็นเด็กหรือไง เก็บคำพูดนั้นไว้พูดกับพวกเด็กๆ เถอะย่ะ’

‘ซึงแทก็เด็กกว่าฉันนี่’

‘นี่ ก่อนพูดนี่ช่วยดูส่วนสูงหมอนั่นก่อนนะ’

หลังเถียงกลับไปซึงฮีก็ล้วงมือถือออกมาดูเวลา เหมือนจะได้เวลาที่เธอต้องไปแล้ว เธอปรายตามองมูฮึนครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังให้

‘งั้นฉันไปก่อนนะ’

สิ้นคำนั้นซึงฮีก็เดินไปยังประตูหน้าบ้านโดยทิ้งมูฮึนไว้ด้านหลัง และในจังหวะที่กำลังจะก้าวขาออกจากบ้าน เธอก็ไม่ลืมหันกลับมามองมูฮึนพร้อมโบกมือให้ ขณะที่มูฮึนได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพลางจ้องมองประตูที่ปิดลงโดยไม่อาจรั้งเธอไว้ได้

และนั่นก็เป็นภาพสุดท้ายของซึงฮีที่มูฮึนได้เห็น

 

พวกผู้ใหญ่บอกว่ามันคืออุบัติเหตุ แม้จะไม่มีโอกาสได้รู้เหตุการณ์เบื้องลึกเบื้องหลังที่แน่ชัด แต่มูฮึนก็ได้ยินมาว่ามีพลังหยินของวิญญาณร้ายหลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุอย่างหนาแน่น สุดท้ายแล้วอนาคตที่เขาพยายามเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าคงจะไม่เกิดขึ้นก็กลายเป็นความจริงท่ามกลางถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนในเวลากลางวันแสกๆ

ทั้งที่ในอนาคตที่มูฮึนมองเห็นมีแค่ซึงฮี ทว่าในความเป็นจริงโศกนาฏกรรมครั้งนี้กลับมีซึงแทรวมอยู่ด้วย ทั้งสองจากโลกนี้ไปในวันเวลาเดียวกันจึงไม่อาจกลับมาที่บ้านหลังนี้ซึ่งมียันต์แปะไว้โดยรอบได้อีกแล้ว

ข่าวโศกนาฏกรรมที่ได้ยินในช่วงไม่พ้นวันทำให้หัวใจของคนในครอบครัวบ้านข้างๆ แตกสลาย รวมถึงคนในครอบครัวของมูฮึนด้วย

‘ซึงฮียา…ซึงแทยา…’

เสียงร่ำไห้ดังระงมในทุกๆ วัน มูฮึนก็ได้แต่สติหลุดลอยโดยที่ร้องไห้ไม่ออกไม่เว้นวันคืนเช่นกัน แม้แต่พวกเขาที่ต้องพบเจอกับความเป็นความตายของผู้คนเป็นประจำก็ไม่อาจหลีกหนีจากความตายของคนใกล้ตัวได้ และก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะหยิบยื่นถ้อยคำปลอบโยนมาให้เพราะไม่อาจเข้าใจความโศกเศร้านั้นได้อย่างลึกซึ้ง

ไม่มีการจัดงานศพใดๆ เพราะตระกูลของพวกเขาไม่มีการทำพิธีไหว้เคารพศพมาตั้งแต่อดีตแล้ว ความตายของพวกเขาช่างน่าเศร้าสลดจนพ่อแม่ของพวกเขาเอาแต่ร้องเรียกชื่อราวกับจะขาดใจกระทั่งร่างของพวกเขาถูกวางลงในหลุมศพ

ขณะเดียวกันมูฮึนกลับไม่ทำอะไรเลย เขาไม่ได้ร้องไห้เหมือนพ่อแม่ของพวกเขา ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างพวกเขาเหมือนพ่อแม่ของตัวเอง ไม่ได้ฝืนกลั้นเสียงร้องไห้ไว้เหมือนมูยอน และไม่ได้กอดเจ้าซอลกีไว้แน่นเหมือนมูรยองและซึงจู เขาทำได้แค่ยืนจ้องมองภาพเหล่านั้นราวกับเป็นคนอื่นที่ยืนห่างออกไปหนึ่งก้าว

‘…’

จะบอกว่ามันเป็นเหมือนความฝันได้ไหมนะ

เขารู้สึกเหมือนทุกช่วงเวลาเดินช้าลงราวกับกาลเวลาหยุดนิ่งไป รู้สึกเหมือนกับว่าเพียงแค่หลับตาลงสติก็หลุดลอยไปไกลเพราะทุกอย่างภายในหัวนั้นขาวโพลน และทั้งที่รู้สึกว่าหายใจลำบาก แต่เขากลับไม่รู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจเลยสักนิด

มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังจะตายหลังจมลงไปในผืนน้ำที่นิ่งสงบอย่างช้าๆ แม้จะไม่รู้สึกทรมาน แต่เขาก็คิดว่ามันน่าอึดอัดเล็กน้อย เมื่อภายในกายปั่นป่วน ปลายนิ้วก็พลอยรู้สึกเย็นไปด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่สติจะหลุดลอยไปทั้งแบบนี้

‘พี่จ๋า’

คนที่แตะตัวมูฮึนที่กำลังจมอยู่กับความรู้สึกนั้นคือซึงจูที่เดินเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มเสียง ซึงจูดึงชายเสื้อของมูฮึนด้วยมือน้อยๆ พลางแหงนหน้ามองมูฮึนด้วยดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่งราวกับไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร ซึงจูก็พูดออกมาในที่สุด

‘พี่อยากให้ผมกอดไหม’

แม้จะเป็นการปลอบโยนที่ดูเงอะงะ แต่มันก็เป็นคำถามที่มูฮึนต้องการจากใครสักคนมากที่สุดในเวลานี้ ขณะที่ทุกคนกำลังบรรเทาทุกข์โศกของแต่ละคนในแบบของตัวเอง ซึงจูกลับเป็นคนหยิบยื่นการปลอบโยนให้เขาทั้งที่ไม่มีใครหยิบยื่นมันให้เขาเลยสักคน และไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้สึกซาบซึ้งหรือรู้สึกผิดกันแน่ ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นสีหน้าของเขาก็พลันพังครืน

‘อืม…กอดพี่จ๋าหน่อยสิ’

มูฮึนทรุดลงนั่งคุกเข่าก่อนจะโอบกอดร่างน้อยๆ ไว้แน่น เขาโอบไหล่ของซึงจูไว้ด้วยมือที่สั่นเทาพร้อมกับฝังใบหน้าลงบนกลุ่มผมนุ่ม ราวกับว่าไออุ่นที่แสนพิเศษจากตัวของเด็กน้อยกำลังหลอมละลายร่างกายที่เย็นเฉียบของเขา

ซึงจูอายุเพียงแค่เก้าขวบ แต่ก็รู้เดียงสาพอที่จะเข้าใจว่าความตายคืออะไร ความจริงที่จะไม่ได้เจอหน้าพี่ชายและพี่สาวอีกแล้วคงสะเทือนใจซึงจูที่ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยมาก แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็กลับมาปลอบใจมูฮึน เพราะในเวลานี้เขาคงจะดูน่าสงสารจับใจในสายตาของเด็กน้อยอย่างซึงจู

‘พี่จ๋า อย่าร้องไห้นะ’

คนที่ร้องไห้ออกมาจริงๆ ไม่ใช่มูฮึนแต่กลับเป็นซึงจู แม้แต่คำพูดที่บอกว่าอย่าร้องไห้ก็ยังสั่นเครือและเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา คำพูดนั้นทำให้มูฮึนเปิดปากพูดพร้อมกับความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ในอก

‘ซึงจูยา พี่น่ะ…’

แม้จะเปิดปากพูดออกแล้ว แต่มูฮึนกลับเงียบไปครู่หนึ่งโดยไม่ได้พูดต่อจนจบ ไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาเห็นซึงจูเป็นแค่เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่เป็นเพราะเขากลัวว่าตัวเองจะเผลอปล่อยโฮออกมา น้ำเสียงที่ดังลอดออกมาจากลำคอที่แห้งผากอย่างยากลำบากนั้นแหบพร่าไปหมด

‘พี่ปล่อยให้เธอไปเอง’

ซึงจูไม่ตอบอะไรกลับมา เด็กน้อยเพียงแค่สูดจมูกแล้วโอบกอดแผ่นหลังของมูฮึนเอาไว้ มูฮึนกระชับกอดซึงจูแน่นกว่าเดิมเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงแล้วพูดเสียงแผ่วเบา

‘เพราะพี่ปล่อยให้เธอไปเอง…’

‘…’

‘เธอถึงได้จากไปแบบนั้น’

เขาน่าจะห้ามไม่ให้เธอออกไป น่าจะบอกให้เธอระวังรถ แต่ก็ไม่น่าพูดออกไปแบบนั้น น่าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรแล้วรั้งเธอไว้ จากนั้นก็โทรตามให้ซึงแทที่อยู่ข้างนอกกลับมาดูภาพยนตร์ด้วยกันที่บ้าน

‘พี่มันโง่เอง…’

ความคิดมากมายที่ถาโถมเข้ามาราวกับน้ำหลากคือความเสียใจที่ก่อตัวขึ้นจากอารมณ์ที่มาก่อนเหตุผล ทั้งที่รู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นคำพูดที่ไม่อาจบอกใครได้ และมันเป็นสถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้จริงๆ แต่เขาก็ยังโทษตัวเองว่าไม่มีอะไรที่เขาทำได้เลยจริงๆ ใช่ไหม

‘ขอโทษนะ…’

มันไม่ใช่คำขอโทษสำหรับซึงจู แต่เป็นคำขอโทษสำหรับซึงฮีที่เขาไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ และสำหรับซึงแทที่ถูกโชคชะตาพรากจากไปพร้อมกัน รวมทั้งสำหรับทุกคนที่ต้องสูญเสียคนที่สำคัญไป

‘ขอโทษนะ…ขอโทษจริงๆ…’

ซึงจูไม่พูดอะไร ได้แต่กำชายเสื้อของมูฮึนไว้แน่นด้วยสองมือ แม้ไหล่กว้างจะชุ่มไปด้วยน้ำตาของเด็กน้อย แต่มูฮึนก็ไม่อาจปล่อยให้น้ำตาของตัวเองไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว เพราะการปลอบโยนซึงจูและการพร่ำเอ่ยคำขอโทษอย่างไม่รู้จบคือสิ่งเดียวที่มูฮึนทำได้ในตอนนี้

 

‘มูฮึนอา’

หลังจากนั้นหลายสัปดาห์คุณป้าก็มาหามูฮึน ทั้งสองไม่ได้เจอหน้ากันตรงๆ แบบนี้มาสักพักแล้ว เพราะมูฮึนตั้งใจหลบหน้าสมาชิกทุกคนในครอบครัวบ้านข้างๆ คุณป้ามองมูฮึนที่ไม่ยอมสบตา ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งจนไม่อาจสัมผัสได้ว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไร

‘เธอคงรู้อยู่แล้วสินะ’

‘…’

มันเป็นคำถามคำถามเดียวกับที่มูฮึนเคยได้ยินก่อนที่ซึงจูจะเกิด ซึ่งมูฮึนก็ไม่ตอบอะไรตามคาด คุณป้าจึงได้แต่ทอดสายตามองมูฮึนเงียบๆ ในวินาทีที่มูฮึนไม่อาจเอาชนะสายตานั้นได้แล้วเงยหน้าขึ้น เธอก็จับมือของมูฮึนเบาๆ

‘คงจะเหนื่อยมากเลยสินะ…’

ถ้อยคำที่พูดอย่างมีความนัยไม่ใช่ถ้อยคำที่กล่าวโทษมูฮึนแต่อย่างใด ทั้งที่ตัวเธอเองก็คงจะเสียใจและทรมานไม่ต่างกัน ทว่ารอยยิ้มที่เธอฝืนสร้างขึ้นมากลับยังคงอ่อนโยนและอบอุ่นไม่ต่างไปจากเดิม เมื่อเห็นมูฮึนกัดริมฝีปากแน่น คุณป้าก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม

‘ป้าขอโทษนะ’

มูฮึนไม่นึกเลยว่าตัวเองจะละอายแก่ใจจนไม่กล้าเผชิญหน้ากับการได้ฟังคำขอโทษมากขนาดนี้ ถึงเขาจะรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าเธอไม่โทษเขา แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเธอจะเดาใจเขาออกได้แบบนี้

‘ป้าไม่เคยคิดเลย…’

‘…’

‘…ว่ามูฮึนของป้าเหนื่อยมากขนาดไหน’

ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รู้แค่เรื่องนั้น แต่น่าจะรู้เรื่องทั้งหมด ทั้งเรื่องที่ทำไมเขาถึงหลบหน้าและเรื่องที่ทำไมเขาถึงมีปฏิกิริยาแบบนั้นหลังทั้งสองจากไป ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจจะได้ฟังคำพูดของเขาในวันนั้นมาจากซึงจูที่รู้ความแล้ว

‘มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย’

น้ำเสียงของเธอทั้งเฉียบขาดและชัดเจน ในสายตาที่จ้องมองมูฮึนไม่มีแววของการโกหกแฝงอยู่ อีกทั้งอุณหภูมิจากฝ่ามือของเธอยังอบอุ่นจนมูฮึนต้องพยายามข่มความรู้สึกภายในใจที่เอ่อล้นออกมา

‘ไม่มีใครผิดหรอกนะ’

เธอสูญเสียครอบครัวไปจนเกือบหมด ถึงจะมีพี่น้องหลายคน แต่คนที่ยังมีชีวิตเหลือรอดอยู่ในตอนนี้กลับมีแค่เธอเพียงคนเดียว มูฮึนได้ยินมาว่าเธอเสี่ยงถูกเอาชีวิตมาหลายครั้งจนกระทั่งผ่านพ้นช่วงอายุยี่สิบ เธอถึงได้หลุดพ้นจากโชคชะตาที่จะมีอายุขัยสั้น

‘โชคชะตาคนเราก็แบบนี้แหละ’

โชคชะตาเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในชีวิตหนึ่งของคนเรามันก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขอเพียงมีปัจจัยเล็กๆ ปัจจัยหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยคิดว่าแน่นอน มันก็จะไม่แน่นอนอีกต่อไป นั่นคือโชคชะตา

‘เพราะงั้นอย่าเป็นแบบนี้เลยนะ มูฮึนอา’

แม้จะไม่มีใครโทษมูฮึนเลยสักคน แต่ถึงอย่างนั้นมูฮึนก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ เพราะความทรงจำมากมายที่เขารู้อยู่เพียงแค่คนเดียวได้ตามหลอกหลอนเขาไม่เว้นแม้แต่วินาทีเดียว แม้ในยามที่พยายามใช้ชีวิตโดยแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไร ข้อสันนิษฐานที่ว่า ‘ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาจะทำยังไง’ ก็ยังคอยกัดกินเขาไม่หยุด

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ซึงจูหกล้มระหว่างกลับจากโรงเรียนจนหัวเข่าแตก เพียงได้ยินว่าซึงจูบาดเจ็บเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าฟ้าถล่ม ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องร้อนใจขนาดนั้น แต่เขาก็วิ่งออกไปตามหาร่องรอยของวิญญาณร้ายในซอยที่ซึงจูหกล้มจนทั่ว

ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่า สุดท้ายสาเหตุของการหกล้มนั้นเป็นเพียงความซุ่มซ่ามของซึงจูเอง และซึงจูก็สัญญาว่าจะระวังไม่ให้หกล้มอีกแล้ว แต่ความรู้สึกร้อนใจของเขาก็ไม่ได้ทุเลาลงเลย ทั้งที่ซึงจูก็ไม่ได้อยู่ในวัยหัดเดินแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นซึงจูยืนด้วยสองขาเขาก็จะรู้สึกกังวลขึ้นมา ต่อให้มันจะไม่ใช่อุบัติเหตุใหญ่โตจนถึงขั้นต้องรีบวิ่งปรี่ออกไปที่ถนนเดี๋ยวนั้น แต่แค่ไม่มีซึงจูอยู่ในอ้อมกอด เขาก็ไม่อาจทำใจให้สงบได้จริงๆ

‘ซึงจูยา…มาหาพี่หน่อยสิ’

ช่วงนั้นมูฮึนจึงมักจะอุ้มซึงจูไปไหนอย่างประคบประหงม ทั้งที่รู้ว่ามันมากเกินไป แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้นเขาก็อาจจะร้อนใจจนเป็นบ้า แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาต้องเลิกทำแบบนั้นเพราะซึงจูไม่ชอบ แต่ถ้าตอนนั้นซึงจูไม่ได้ว่าอะไร เขาก็คงจะทำแบบนั้นไปอีกหลายปี

แต่แน่นอนว่าความมุ่งมั่นของมูฮึนไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะไม่ว่าซึงจูจะไปที่ไหน เขาก็จะอาสาไปรับไปส่งเสมอ แค่จะเดินไปเล่นที่บ้านข้างๆ เขาก็ยังตามไปด้วย ทำให้ซึงจูที่เป็นเด็กน้อยว่านอนสอนง่ายมาตลอดถึงกับพูดด้วยสีหน้าขุ่นเคือง

‘ผมเดินกลับบ้านคนเดียวได้น่า’

ดูเหมือนซึงจูจะแค่โมโหไปตามประสาเด็ก แต่น่าเสียดายที่มันไม่อาจทำให้มูฮึนเลิกตามซึงจูได้ แม้มูฮึนจะปั้นหน้ายิ้มโดยแสร้งทำเป็นไม่มีอะไร แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจที่ไม่อาจบอกใครได้

‘ก็พี่อยากอยู่กับซึงจูให้มากกว่านี้นี่นา’

เขาไม่กล้าพอที่จะมองภาพด้านหลังของซึงจูที่เดินออกไปนอกประตูหน้าบ้าน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจุดหมายของซึงจูคือบ้านหลังข้างๆ แต่เขากลับรู้สึกราวกับจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นถ้าปล่อยให้ซึงจูไปคนเดียว เพราะเขามองเห็นภาพประตูที่ปิดลงอย่างช้าๆ และภาพซึงจูที่พ้นไปจากสายตาทับซ้อนกับภาพของซึงฮีในวันนั้น

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถบอกเหตุผลนี้ให้ใครรู้ได้ เพราะเขารู้ดีว่ามันคือความเปราะบางของเขา และมันก็เป็นเศษเสี้ยวของความทรงจำที่เขาต้องเอาชนะมันให้ได้ด้วยตัวเองในสักวัน แทนที่จะให้คนอื่นต้องแบกรับความรู้สึกผิดนี้ไปด้วย สู้ให้เขาเป็นพี่ชายที่อาจจะแปลกไปสักหน่อยสำหรับซึงจูคนเดียวยังจะดีเสียกว่า

มูฮึนไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย แม้เขาไม่มีความคิดที่จะเรียนต่อแต่แรกอยู่แล้ว แต่เหตุผลหลักก็คือเพื่อนที่มีเป้าหมายเดียวกันได้จากโลกนี้ไปแล้ว พอเรียนจบมัธยมปลายมูฮึนก็เข้าสังกัดสมาพันธ์มือปราบวิญญาณและออกจากบ้านของตระกูลคิมที่อาศัยอยู่มาทั้งชีวิตแล้วมาอยู่ที่หอพักของทางสมาพันธ์ตามกฎของตระกูล ถึงแม้ว่าซึงจูจะเสียใจกับการย้ายออกกะทันหันของเขา แต่สิ่งที่เขาสามารถพูดได้มีเพียงคำพูดนี้

‘ซึงจูของพี่ อย่าคิดถึงพี่จ๋าจนร้องไห้ล่ะ’

‘ผมไม่ร้องไห้เพราะเรื่องแบบนั้นหรอกน่า’

‘งั้นเหรอ แต่พี่ต้องร้องไห้เพราะคิดถึงซึงจูแน่ๆ’

แม้จะพูดอย่างหยอกล้อ แต่มันก็เป็นความจริงจากใจที่ไม่ได้มีการโกหกเลยสักนิด อย่างแรกเขาคงต้องขอโทษคนในตระกูลก่อนเพราะคนที่เขาจะคิดถึงมากที่สุดหลังออกจากบ้านหลังนี้ไปน่าจะเป็นซึงจู ที่ผ่านมาทั้งสองตัวติดกันตลอด เขาจึงไม่อาจบรรยายถึงความรู้สึกว่างเปล่านี้ได้ รู้แบบนี้เขาน่าจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะอย่างน้อยก็จะได้คอยอยู่เคียงข้างซึงจูไปอีกสี่ปี

เขาเพิ่งมาคิดแบบนั้นได้เอาทีหลังและคิดวนอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนทางเลือกของตัวเอง เพราะเขาต้องปล่อยวางความยึดติดที่มีต่อซึงจูให้ได้สักนิด แม้จะต้องกำจัดความคิดที่กล่าวมาข้างต้นให้หมดก็ตาม เขาคิดเพียงว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกของเขาก็คงจะดีขึ้น ทว่าต่อให้วันเวลาผ่านไป ความรู้สึกไม่สบายใจที่ก่อตัวขึ้นทุกครั้งเวลามองซึงจูก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม

หลายเดือนหลังจากนั้นมูฮึนยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาได้หยุดพักหายใจ แม้จะยังไม่ได้เข้าสังกัดกับทีมไหน แต่ปริมาณงานที่มูฮึนต้องทำนั้นมีมากมาย ถึงขนาดที่เคยนอนไม่พอจนนั่งหลับคอพับคออ่อนขณะเขียนยันต์ หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินว่าสมาพันธ์คาดหวังกับความสามารถของเขาไว้สูงจึงจ่ายงานให้เขาจนล้นมือ

แต่มูฮึนไม่ได้สนใจเลยสักนิด อย่างน้อยการฝืนสังขารทำงานอย่างหนักก็ดีกว่าการมีเวลาหยุดพักแล้วเผลอคิดเรื่องอื่นขึ้นมาเป็นไหนๆ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทุกครั้งที่มีเวลาว่างเขาถึงชอบจัดการเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องลงมือจัดการเอง ทั้งที่ปกติแล้วเวลาว่างของเขาแทบจะหาได้ยากมาก

ทว่าหลังจากนั้นไม่นานพ่อผู้เป็นผู้บริหารระดับสูงของสมาพันธ์ก็ได้จากโลกนี้ไป มันเป็นความตายที่มีสาเหตุมาจากการโหมทำงานหนัก ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นความผิดของทางสมาพันธ์อย่างไม่ต้องสงสัย และถึงแม้ว่าแม่ของเขาจะไม่ได้เล่าสถานการณ์ให้ฟังอย่างละเอียดมากนัก แต่มูฮึนที่ทำงานอยู่ในองค์กรเดียวกันก็พอจะคาดเดาได้

เดิมทีสมาพันธ์จะคำนึงถึงสวัสดิภาพของคนทำงานเป็นหลัก แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เหล่ามือปราบวิญญาณก็ได้กลายเป็นพวกหัวการค้าที่ถูกผลประโยชน์บังตาจนละเลยชีวิตอันมีค่าของผู้คน และมูฮึนก็มั่นใจว่าการที่พ่อของเขามีจุดจบแบบนี้ก็เพราะต้องการจะจัดการกับเรื่องนั้น

‘มูฮึนอา ลูกห้ามคุ้นชินกับความตายเด็ดขาดเลยนะ’

ตอนที่ได้ยินคำพูดของแม่ในวันที่เขากลับมาบ้านกลางดึก เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะมันไม่ใช่คำพูดที่ควรได้ฟังหลังจากที่พ่อเพิ่งเสียไป ทั้งที่ในเวลาแบบนี้แม่น่าจะต้องปลอบโยนน้องๆ ว่าความตายไม่ใช่จุดจบเสมอไป แต่ทำไมแม่ถึงได้พูดแบบนี้กับเขา มูฮึนไม่เข้าใจเลย ตอนนั้นเขารู้เพียงแค่ว่าในสายตาของแม่ที่มองมามีแต่ความกลัว

มูฮึนเพิ่งจะเข้าใจคำพูดนั้นหลังจากที่เวลาผ่านมาพักใหญ่ หลังกลายเป็นนักล่าอสูรอย่างเป็นทางการ เขาต้องตามผนึกอสูรและไล่ปราบปีศาจที่เผชิญหน้าระหว่างผนึกอสูรนับครั้งไม่ถ้วน ช่วงนั้นมีคำพูดไม่สบอารมณ์ดังออกมาจากปากของสมาชิกที่สังกัดอยู่ในทีมเดียวกัน

‘จะฆ่าก็ยังต้องฆ่าอย่างปรานี เฮอะ น่ารำคาญชะมัด…’

มูฮึนไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับคำพูดนั้น เพราะตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนจิตใจดีงามอะไร แต่เขากลับต้องสับสนที่ครู่หนึ่งดันเผลอรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

พอได้พบเจอความตายของผู้คนมากมายจนนับไม่ถ้วนเขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังค่อยๆ กลายเป็นบางสิ่งที่ไม่ใช่คน ตอนแรกเขามักจะรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่ได้เจอเหล่าดวงวิญญาณ แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาชินชาจนไม่มีความรู้สึกอะไรกับพวกมันเลย พอได้เห็นจิตใจที่ด้านชาขนาดนั้นของตัวเองเขาก็กลัวขึ้นมาว่าบางทีตอนนี้ตัวเขาอาจจะสูญเสียตัวตนของตัวเองไปแล้วก็ได้

ดูเหมือนเขาจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราถึงทำร้ายตัวเอง นั่นเพราะเมื่อใดที่รู้สึกเจ็บปวดหรือแตกร้าว เมื่อนั้นก็จะตระหนักได้ว่ายังมีชีวิตอยู่ และหวนคิดถึงความจริงที่เผลอลืมเลือนไป

ความตายคือสิ่งที่น่ากลัวแบบนี้เองสินะ…

ทว่าบาดแผลมากมายที่สมานตัวจนหายสนิทหลังเวลาผ่านไปแค่วันเดียวก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นสัตว์ประหลาด นอกจากนี้เขายังดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ได้เพียงแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะร่างกายที่แข็งแรงอย่างน่าเหลือเชื่อของเขาเสพติดอะไรได้ยากมาก

เพราะแบบนั้นเขาจึงต้องคอยไปเจาะหูและสักครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อย้ำเตือนว่าตัวเองยังมีชีวิต เขารู้สึกราวกับว่าถ้าไม่อยากสูญเสียตัวตนก็ต้องตีตราบางสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ลงบนร่างกายตัวเอง เพราะเมื่อไหร่ที่หวนนึกถึงร่องรอยที่ปรากฏอยู่บนร่างกาย เมื่อนั้นเขาก็จะรู้สึกเหมือนสติสัมปชัญญะของตัวเองได้หวนคืนกลับมา

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงหรือเปล่า จู่ๆ ร่างกายของเขาก็มีปฏิกิริยาแปลกๆ เกิดขึ้น เมื่อถึงคืนที่พระจันทร์เต็มดวง พลังวิญญาณของเขาจะเอ่อล้นออกมาจนควบคุมไม่อยู่ และเมื่อประสาทสัมผัสทั้งห้าตื่นตัว เขาก็จะสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองจนทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และนับวันความรุนแรงที่ส่งผลต่อร่างกายก็มีแต่จะยิ่งมากขึ้นจนทำให้เขาเคยเกือบตายขณะกำลังผนึกอสูรมาแล้ว

บางครั้งเขาก็แสดงท่าทีที่ดูอันตรายออกมา แต่นับว่าโชคดีที่เขาไม่เคยคลุ้มคลั่งจนไปทำร้ายใคร โดยหลังจากที่ภาพความทรงจำตัดไป เขาก็จะลืมตาขึ้นมาตอนเช้าในสถานที่ที่ไม่คุ้นตา

มูฮึนไม่ได้บอกเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายให้คนในครอบครัวรู้ เพราะไม่อยากให้คนในครอบครัวเป็นกังวลโดยใช่เหตุ และเขาก็เชื่อว่ามันเป็นปัญหาที่เขาสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้เขายังไม่อยากให้ใครเห็นสภาพที่ดูไม่ได้ของตัวเอง

จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง หลังเข้ามาสังกัดอยู่ภายใต้สมาพันธ์ มูฮึนก็กลับบ้าน นับจากวันที่ได้เจอแม่ตอนที่พ่อจากไป เขาก็ไม่ได้เจอน้องๆ นานมาก

เด็กๆ จะโตขนาดไหนแล้วนะ

คำถามนั้นผุดขึ้นมาระหว่างทางกลับบ้าน ว่ากันตามตรงแล้วมันเป็นคำถามที่เขานึกขึ้นมาขณะคิดถึงซึงจู เพราะเขานึกสงสัยว่าเด็กชายที่ตัวเล็กและผอมบางเมื่อเทียบกับเพื่อนในวัยเดียวกันจะโตขึ้นมากแค่ไหน เทียบกับซึงฮีและซึงแทที่ตัวค่อนข้างสูง ซึงจูผู้เป็นน้องเล็กดูเหมือนจะไม่โตขึ้นเลยแม้แต่สักนิดในสายตาของมูฮึน และตอนนี้มูฮึนเองก็ตัวสูงขึ้น ซึงจูจึงน่าจะดูตัวเล็กลงไปเลย

พอมาถึงบ้านมูฮึนก็ยืนรอมูรยองกับซึงจูอยู่ตรงประตูหน้าบ้านพลางลูบเจ้าซอลกี มูยอนบอกว่าหลังเข้ามหาวิทยาลัยทั้งคู่ก็มักจะกลับมาถึงบ้านช่วงเย็น

‘ยังไม่ได้เวลาสินะ…’

เวลาที่เฝ้ารอน้องๆ ผ่านไปเชื่องช้าอย่างน่าประหลาด เขาตื่นเต้นจนอยู่ไม่สุข แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไร เพราะแม้แต่ช่วงเวลาที่ยุ่งอยู่กับงาน เขาก็ยังไม่วายนึกถึงซึงจูเป็นประจำ ในเมื่อที่ผ่านมาเขาอดทนและข่มใจที่คิดถึงซึงจูมาได้ตลอด ดังนั้นต่อให้ตอนนี้ต้องอดทนรอต่ออีกนิด เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาอะไร บางทีถ้าซึงฮีมาเห็นภาพนี้เข้า มีหวังคงได้แซวว่าเขาเป็นพ่อแท้ๆ ของซึงจู

‘โอ๊ะ? พี่นี่นา!’

มูรยองที่สายตาดีมองเห็นมูฮึนมาแต่ไกลและได้ตะโกนเสียงดังลั่นมาตั้งแต่ต้นทาง พอหันไปเห็นซึงจูเดินคู่มากับมูรยอง มูฮึนก็พลันลืมคำพูดไปจนหมดสิ้น

‘สวัสดีครับ…’

ไม่ว่าจะคำทักทายพร้อมกับสีหน้าประหม่าของซึงจู ท่าทีที่ก้มหน้าก้มตาแลดูไม่สนิทใจราวกับว่าเห็นเขาเป็นคนอื่น หรือแม้กระทั่งภาษากายที่ดูจะมีช่องว่างต่างจากมูรยองที่กระโดดขึ้นขี่หลังเขาอย่างดีอกดีใจ มูฮึนไม่อาจลืมสิ่งเหล่านั้นลงได้เลย

‘…’

แม้จะไม่ได้คิดถึงขั้นที่ว่าซึงจูจะวิ่งเข้ามากอดด้วยความดีใจ แต่เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับท่าทีที่ดูห่างเหินขนาดนี้จากซึงจู ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันนานอาจทำให้เกิดช่องว่างขึ้นในหัวใจของเด็ก แต่เขาก็หวังมาตลอดว่าซึงจูจะไม่เปลี่ยนไป โดยการฝืนยิ้มหลังกัดริมฝีปากแน่นด้วยความรู้สึกน้อยใจที่ถาโถมเข้ามาก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาพอจะทำได้ในตอนนั้น

‘ซึงจูของพี่โตขึ้นเยอะเลยนะ’

โตถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ

ขณะที่มูรยองแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยทั้งที่อายุเท่ากัน แต่ซึงจูกลับโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ซึงจูไม่ได้ตัวเล็กกว่าเพื่อนในวัยเดียวกันและไม่ได้วิ่งมาให้เขากอดอีกต่อไปแล้ว และดูเหมือนซึงจูจะไม่ชอบให้เขาปฏิบัติกับเจ้าตัวเหมือนเป็นเด็กน้อยแบบเมื่อก่อน แม้เจ้าตัวจะยังเป็นเด็กอยู่จริงๆ ก็ตามที

มูฮึนต้องออกจากบ้านหลังกลับมาได้เพียงแค่สองวัน และหลังจากนั้นเขาก็จดจ่ออยู่กับงานเหมือนเดิม แม้งานจะยุ่งมากจริงๆ แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้วเขาแค่ไม่กล้าอยู่สู้หน้าซึงจูมากกว่า ทั้งที่ตอนนั้นเขาเป็นฝ่ายจากซึงจูมาเอง แต่พอมาตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายน้อยอกน้อยใจเองเสียอย่างนั้น

ว่ากันว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวนั้นโตเร็วมาก แค่พริบตาเดียวซึงจูก็โตขึ้นพรวดพราดจนถึงขั้นที่ว่าระดับสายตาของซึงจูจะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่มูฮึนแวะกลับมาเยี่ยมบ้านทุกๆ ครึ่งปี

ตอนเรียนจบชั้นประถมศึกษาซึงจูก็สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรแล้ว เขาตัวใหญ่มากจนน่าจะแบกมูรยองขึ้นหลังไปไหนมาไหนได้สบายๆ คำเรียกขานมูฮึนว่า ‘พี่จ๋า’ ก็ได้เปลี่ยนไปเป็นคำว่า ‘พี่ครับ’ ที่ดูห่างเหิน ถ้อยคำเป็นกันเองที่เคยพูดอย่างฉอเลาะก็เปลี่ยนเป็นถ้อยคำสุภาพที่ฟังดูไม่คุ้นเคย พริบตาเดียวเด็กน้อยที่เคยตัวเท่ามันฝรั่งในวันวานก็เติบโตขึ้นจนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น

ในปีที่มูฮึนอายุยี่สิบห้า รอยสักที่มูฮึนสักเป็นประจำก็ทอดยาวลงมาถึงข้อมือ จิวบนใบหูซ้ายเองก็เพิ่มขึ้นเป็นห้าอัน

‘มูรยองอา’

วันที่มูฮึนกลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้งและกำลังยืนรอน้องๆ อยู่ตรงประตูหน้าบ้าน คนที่เดินกลับมาจากโรงเรียนกลับมีแค่มูรยองที่อยู่ในชุดนักเรียน มูรยองโตช้ามากต่างจากซึงจูที่โตเร็ว เพราะแบบนั้นเขาจึงรู้สึกว่ามูรยองตัวเล็กเกินกว่าจะบอกว่าเป็นเด็กมัธยมต้นปีสอง

‘ซึงจูล่ะ’

ทำไมเจ้าน้องเล็กของเราถึงไม่โตขึ้นเลยนะ

มูฮึนคิดในใจพลางมองที่ว่างข้างกายมูรยองก่อนจะเลียบๆ เคียงๆ ถาม เพราะปกติแล้วทั้งคู่มักเดินไปกลับโรงเรียนด้วยกันมาตลอดตั้งแต่สมัยอนุบาลจนถึงตอนนี้ หลังเขาส่งสายตาสงสัยพลางสอดส่ายมองไปรอบๆ มูรยองก็ตอบในสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายออกมา

‘วันนี้ซึงจูบอกว่าจะไปเดตน่ะ’

‘เดต?’

‘อื้ม กับแฟน’

สมองเขาประมวลผลคำพูดของมูรยองไม่ได้ไปชั่วขณะ เพราะมันเป็นหัวข้อที่ไม่เคยได้ยินจากน้องชายที่พ้นวัยสิบขวบ

เดตกับแฟนเนี่ยนะ

หลังไม่พูดไม่จาและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มูฮึนก็ตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจเพราะเรื่องนั้น

‘ซึงจูมีแฟนแล้วเหรอ…’

แม้จะดูโตเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน แต่ในสายตาของมูฮึนนั้นซึงจูยังไม่ถึงวัยที่จะมีแฟน ต่อให้จะดูไม่เหมือนเด็กเลยสักนิด แต่เขาก็รู้สึกว่าซึงจูยังเป็นเด็กอยู่ดี ซึงจูจะไปรู้ประสาอะไรและจะมีแฟนได้อย่างไร

‘ซึงจูฮอตสุดๆ เลยนะ เหมือนจะคบกันได้หนึ่งเดือนแล้วมั้ง’

แม้มูฮึนจะแค่นหัวเราะให้กับความรู้สึกที่เหลือเชื่อนั้น แต่มูรยองก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังพูดออกมาเจื้อยแจ้วไม่หยุดปากว่าซึงจูมีเพื่อนผู้หญิงเยอะมาก อีกทั้งยังได้รับคำสารภาพรักจากสาวๆ บ่อยมากด้วย พอได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นแล้ว คำพูดที่ซึงฮีเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ก็พลันผุดขึ้นมาในหัว

‘…ถ้าวันหนึ่งซึงจูมีแฟนขึ้นมานายจะทำยังไง’

ตอนนั้นเขาตอบกลับโดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไรว่าถ้าอยากมีก็มีไปสิ หนำซ้ำตอนนั้นเหมือนว่าเขาจะพูดออกไปด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่พี่ชายหัวโบราณ แม้จะเคยคิดว่าต่อให้เขาเป็นพี่ชายที่สนิทกับซึงจูมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องความรักของซึงจู แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

มูฮึนขบคิดเรื่องที่มูรยองเล่าในขณะพาเจ้าซอลกีออกไปเดินเล่นในตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เพราะหลังจากนั่งนิ่งรอซึงจูที่ยังไม่กลับมา ความคิดฟุ้งซ่านก็มีแต่จะผุดขึ้นมาในหัว เขารู้สึกแย่กับตัวเองมากเสียจนถ้าไม่ได้ขยับร่างกายก็คงทนไม่ไหว

ขณะที่พาเจ้าซอลกีไปเดินเล่นละแวกนั้นหนึ่งรอบแล้วกำลังมุ่งตรงกลับบ้าน จู่ๆ เจ้าซอลกีที่เดินอยู่ดีๆ ก็ทำจมูกฟุดฟิดแล้วหันหน้าไปทางสนามเด็กเล่น แม้มันจะเป็นเรื่องปกติเวลาพาออกมาเดินเล่น แต่ครั้งนี้กลับแปลกไปเพราะเจ้าซอลกีไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น

‘โฮ่ง!’

มันเห่าออกมาเสียงดัง แถมยังรั้งเชือกจูงที่ปลอกคอให้เขาเดินตามไปไม่หยุด

‘อะไรของแกเนี่ย ซอลกียา ตรงนั้นมีอะไรเหรอ’

ทำไมเจ้าซอลกีที่มองไม่เห็นวิญญาณถึงได้เป็นแบบนี้ ต่อให้มีสำนวนที่ว่าสุนัขโตในสำนักเรียนสามปีย่อมประพันธ์กวีได้* แต่เจ้าซอลกีที่อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลมือปราบวิญญาณมาทั้งชีวิตคงไม่มีทางมองเห็นวิญญาณได้หรอก

ในเมื่อไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร ถ้าเจ้าซอลกีอยากไป เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่พาไป ทันทีที่เขายอมก้าวขาเดินตามไปอย่างช้าๆ เจ้าซอลกีก็กระดิกหางไปมาอย่างตื่นเต้นและมุ่งหน้าไปทางสนามเด็กเล่น

พอมาถึงสนามเด็กเล่นก็พบนักเรียนสองคน มูฮึนจึงชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง

‘…’

นักเรียนหญิงกำลังนั่งอยู่บนชิงช้า โดยมีนักเรียนชายยืนอยู่ตรงหน้า ทันทีที่นักเรียนหญิงดึงแขน นักเรียนชายก็ทำเหมือนสู้แรงนักเรียนหญิงไม่ได้แล้วโน้มตัวลงไปหาเธอ มันอาจเป็นภาพที่ดูน่ารักในสายตาใครๆ แต่ปัญหาคือมูฮึนรู้สึกคุ้นหน้านักเรียนชายคนนั้นมาก และในเสี้ยววินาทีที่มูฮึนผงะไป นักเรียนชายก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองจึงหันหน้ามา

‘พี่?’

นักเรียนชายคนนั้นคือซึงจู ทั้งตาชั้นเดียว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม และสีหน้าตกใจ ทุกอย่างล้วนบ่งบอกว่าอีกฝ่ายคือซึงจูที่เขารู้จักไม่ผิดแน่ ซึงจูคงจะตกใจเมื่อเห็นเขาจึงรีบยืดตัวขึ้นตรงก่อนจะเปิดปากพูดอย่างตะกุกตะกัก

‘ทะ…ทำไมพี่ถึงได้…’

วินาทีนั้นมูฮึนไม่รู้จะเรียกความรู้สึกนั้นว่าอะไรดี ความรู้สึกของเขาดิ่งลงจนแม้แต่คำทักทายก็ยังพูดไม่ออก แม้เจ้าซอลกีตะกุยขาหน้าตั้งท่าจะวิ่งไปหาซึงจู แต่มูฮึนกลับยืนตัวแข็งทื่อไม่ไหวติง

‘ซึงจู คนรู้จักเหรอ…’

ภาพซึงจูพูดคุยกับแฟนคือภาพอนาคตที่เขาเคยเห็น ภาพซึงจูในชุดนักเรียนยืนสบตากับเด็กผู้หญิง เขาไม่นึกเลยว่าเหตุผลที่ซึงจูหูแดงจะเป็นเพราะเกือบได้จุ๊บเธอ แต่มันก็เป็นภาพที่เขาคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าคงจะได้เห็นในสักวัน

‘เอ่อ…พี่ชายของคิมมูรยองน่ะ’

ซึงจูตอบพลางขยับมาขวางหน้าเธอไว้ ทั้งที่ภาพตรงหน้าคือความจริง แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกเจ็บแปลบในใจอย่างน่าประหลาด ถ้าไม่ใช่เพราะน้ำเสียงที่เฉยชาราวกับเห็นเขาเป็นคนอื่น ก็คงเป็นเพราะคำพูดที่ฟังดูห่างเหินอย่างบอกไม่ถูก

‘พี่มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ’

ตอนที่ซึงจูถามอีกครั้ง มูฮึนก็รู้สึกเจ็บอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แม้จะเป็นคำถามทั่วไปประมาณว่าทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ ไม่อยู่ที่สมาพันธ์ แต่สำหรับมูฮึนแล้วมันเหมือนคำถามสำหรับแขกไม่ได้รับเชิญที่บังเอิญเข้ามาขัดจังหวะการเดตนี้

แน่นอนว่ามูฮึนทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบโดยแสร้งทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะไม่อาจแสดงความรู้สึกจริงๆ ในใจออกไปได้

‘พอดีวันนี้เป็นวันหยุด พี่เลยกลับมาเยี่ยมบ้านน่ะ ว่าแต่ข้างๆ นั่นแฟนเหรอ’

‘อ๊ะ! สวัสดีค่ะ’

นักเรียนหญิงลุกพรวดแล้วกล่าวคำทักทาย เธอตัวเตี้ยกว่าซึงจูหนึ่งช่วงศีรษะ ผมสั้นเสมอคางและดวงตากลมโตทำให้มูฮึนคิดว่าเธอดูน่ารักสมกับเป็นเด็กมัธยมต้น เธอรีบบอกชื่อของตัวเองอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะกระซิบถามซึงจูเบาๆ

‘ถ้านั่นคือพี่ชายของมูรยอง…งั้นเจ้าหนูนั่นก็คือเจ้าซอลกีสินะ’

‘ใช่ เจ้าซอลกี’

‘อะไรเนี่ย น่ารักจัง…ถ้าลองจับดูจะเป็นการเสียมารยาทไหมนะ’

‘ไม่หรอก ยังไงแพ็กซอลกีก็คงจะชอบใจอยู่แล้วแหละ…’

ซึงจูตอบแบบนั้นพลางปรายตาสังเกตท่าทีของมูฮึน แต่ซึงจูจะรู้สึกอายก็ไม่แปลกเพราะดันมากระซิบคุยกันแบบนี้ต่อหน้ามูฮึน ทั้งที่รู้ถึงความสามารถในการได้ยินที่ดีกว่าคนทั่วไปของเขา ทันทีที่มูฮึนแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยินและเบือนหน้าไปทางอื่น ซึงจูก็ส่งสายตาให้แฟนสาวพร้อมทำหน้าอึดอัด

‘พี่ เธอบอกว่าอยากลองจับเจ้าซอลกีครับ’

‘หนูขอลองลูบมันสักครั้งได้หรือเปล่าคะ…’

มันเป็นคำถามที่มีมารยาท มูฮึนจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เพราะเจ้าซอลกีเองก็ชอบให้คนจับอย่างที่ซึงจูว่า เมื่อมูฮึนพยักหน้าพร้อมกับบอกว่าลูบได้ตามสบาย เธอก็ย่อตัวนั่งลงที่เดิมด้วยสีหน้าตื่นเต้น

‘นี่ เธอใส่กระโปรงอยู่นะ เดี๋ยวก็…’

‘ไม่เป็นไร ฉันใส่กางเกงพละไว้ข้างในน่ะ’

น้ำเสียงที่พูดคุยกันดูเป็นเด็กสมวัย นี่เป็นครั้งแรกที่มูฮึนได้เห็นภาพที่ซึงจูพูดคุยกับแฟน ทั้งที่ซึงจูก็ดูเหมือนปกติทุกอย่าง ทว่าเขากลับรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดเคล้าเสียงหัวเราะที่ต่างไปจากน้ำเสียงเฉยชาหรือดวงตาที่หรี่ลงอย่างเขินอายยามที่สบตากับเธอ

ความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่เวลาจ้องมองลูกที่โตแล้วคงจะเป็นแบบนี้สินะ

ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรก่อตัวขึ้นมาในใจเขาพร้อมความรู้สึกว่างเปล่าที่ไม่รู้เหตุผล ภายในใจเขารู้สึกปั่นป่วนจนเกือบเผลอทำสีหน้าแปลกๆ ออกไป

นึกว่าซึงจูจะอยู่ในอ้อมอกของเราไปตลอดแท้ๆ ซึงจูโตขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

‘เราไปกันเถอะ เธอบอกว่าต้องไปเรียนพิเศษนี่’

หลังนักเรียนหญิงลูบเจ้าซอลกีจนพอใจ ซึงจูก็ดึงแขนเธอให้ลุกยืนขึ้น เจ้าซอลกีร้องครางหงิงๆ เหมือนกำลังบอกว่าอย่าไป แต่ซึงจูก็ทำเพียงส่งยิ้มให้แล้วลูบหัวมันอยู่สองสามที ระหว่างนั้นเขาปรายตามองมูฮึนก่อนจะหลบสายตาขณะที่สีหน้าดูแปลกๆ

‘ผมขอตัวก่อนนะครับ’

‘…’

มูฮึนพลันรู้สึกเหมือนหัวใจร่วงหล่นลงไปกองอยู่กับพื้นในวินาทีที่สายตานั้นเบนหนีไป ดวงตาของเขาเริ่มพร่าเบลอยามมองภาพที่ซึงจูคลี่ยิ้มกว้าง ภาพยามที่ซึงจูจับมือแฟนสาวแล้วเดินหันหลังไป กระทั่งภาพยามที่ทั้งสองค่อยๆ เดินไกลห่างออกไปจากสนามเด็กเล่น จากนั้นภาพเบื้องหน้าเขาก็ดับมืดลงจนไม่อาจมองเห็นภาพของทั้งสองคนที่เดินห่างออกไปทีละนิดได้

มูฮึนยืนเหม่ออย่างนั้นอยู่พักใหญ่ กระทั่งทั้งสองคนเดินหายลับไปจากสายตา เขาถึงได้แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ

‘เฮอะ…’

มูฮึนเพิ่งจะตระหนักได้ในตอนนั้น ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะตระหนักได้หลังเห็นภาพด้านหลังของทั้งคู่เดินเคียงข้างกัน แต่ในวินาทีที่ตระหนักได้เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก มันเหมือนอนาคตที่เขามองเห็นเป็นครั้งคราว และเขาก็รู้สึกราวกับถูกสิ่งที่เพิ่งตระหนักได้ในเสี้ยววินาทีฟาดลงมาที่ท้ายทอยอย่างแรง

‘ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน…พูดไม่ออกเลยแฮะ’

ซึงจูคือน้องชายที่เป็นเหมือนครอบครัวและเป็นคนที่มีค่าสำหรับเขาจนไม่อาจมองในฐานะอื่นได้ นับตั้งแต่ลืมตาดูโลก ซึงจูก็อายุห่างจากเขาตั้งสิบปีแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะมองเด็กน้อยคนนั้นในเชิงรักใคร่ได้หรอก

มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะซึงจูเป็นคนธรรมดาที่ใฝ่หาชีวิตเรียบง่าย ต่างจากมือปราบวิญญาณที่มีสัมพันธ์กับใครโดยไม่เกี่ยงเพศอย่างเขาโดยสิ้นเชิง ดังนั้นซึงจูจึงไม่มีทางมองพี่ชายข้างบ้านคนนี้ด้วยสายตาแบบนั้น

เพราะแบบนั้นมูฮึนจึงตัดสินใจเบือนหน้าหนีความจริงที่ตัวเองเพิ่งตระหนักได้ เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นความจริงที่มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ และสุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่อนาคตที่คงจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด หลังจากตั้งสติได้เขาก็คิดว่าแค่ทำตัวเหมือนเดิมก็พอ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนท่าทีแต่อย่างใด

แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เพราะหลังจากวันนั้นความรู้สึกที่เขามีต่อซึงจูก็มีแต่จะชัดเจนขึ้นอย่างน่าประหลาด ทว่ามันกลับไม่ใช่ความรักใคร่อย่างที่คิด แต่เป็นความกลัวและความว้าวุ่นใจที่เขาไม่รู้เหตุผล เขารู้สึกผิดมากที่เผลอพลาดไปผูกติดชีวิตของเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาอะไรไว้กับตัวเอง อีกทั้งยังรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ

พอคิดว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ มูฮึนก็ตัดสินใจว่าถ้าเป็นไปได้ก็จะไม่กลับบ้าน เพราะยิ่งเจอกันบ่อยเท่าไหร่ โชคชะตาระหว่างเขากับซึงจูก็มีแต่จะยิ่งผูกกันแน่นมากขึ้นเท่านั้น เขาจึงเอาแต่อ้างว่างานยุ่ง ต่อให้เป็นวันหยุดก็ขังตัวเองอยู่แต่ในหอพัก เวลามีงานที่ต้องลงไปจัดการที่ต่างเมืองเขาก็จะอาสาไปจัดการเองเพื่อสร้างระยะห่างจากซึงจู จนเขาได้รับการยอมรับในความสามารถและได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาอยู่ในระดับสูง แต่ถึงอย่างนั้นความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดก็ไม่ได้มีผลอะไรกับความคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ภายในใจมาโดยตลอด

ไม่ว่าอย่างไรซึงจูก็ยังเป็นน้องที่เขารักอยู่ดี เขาอยากเจอซึงจูทุกครั้งที่จู่ๆ ก็นึกถึงขึ้นมา เพราะซึงจูเป็นคนที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในท้อง ถ้าเขาไม่คิดถึงเลยมันก็คงจะแปลกกว่า

สิ่งที่ช่วยให้เขาฝืนทนต่อความคิดถึงนั้นได้ก็คือกฎไม่กี่ข้อที่เขาบังเอิญได้เรียนรู้ผ่านตัวเขาและอนาคตที่เขามองเห็น ข้อแรกคือยิ่งเป็นคนที่มีสัมพันธ์ทางกายใกล้ชิดกัน โอกาสที่เขาจะมองเห็นอนาคตของใครคนนั้นก็จะมีมากขึ้น ข้อที่สองคือเขาสามารถเปลี่ยนอนาคตได้ราวกับตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แต่สุดท้ายแล้วจุดจบของสิ่งที่มองเห็นในอนาคตก็จะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นถ้าเขาทุ่มเทเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงมันอย่างเต็มที่ อย่างน้อยก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ ซึ่งนั่นก็คือข้อสุดท้าย

‘…’

เราไม่ได้หมดหนทางที่จะช่วยชีวิตซึงฮีกับซึงแทนี่นา…

พอคิดได้แบบนั้นเขาก็ไม่กล้าไปเจอซึงจูอีก เพราะเขารู้สึกสบายใจกับการมองไม่เห็นอนาคตของซึงจูมากกว่า แม้มุมหนึ่งในใจจะคิดถึงซึงจูมากแค่ไหนก็ตาม ทว่าถึงจะทำแบบนั้นก็ใช่ว่าเรื่องไม่ดีจะไม่เกิดขึ้น เพียงแต่ว่าพอเขาไม่ได้มองเห็นมันด้วยตาของตัวเอง อย่างน้อยเขาก็พอที่จะละความคิดไปจากซึงจูได้บ้าง ถึงจะรู้ดีว่ามันเป็นความคิดที่โง่เง่า แต่พอได้ลองสร้างระยะห่างจากซึงจูด้วยวิธีนี้แล้ว เขาก็เชื่อมั่นว่ามันจะสามารถปกป้องความปลอดภัยของซึงจูและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาได้

ดูเหมือนว่าความพยายามนั้นจะได้ผล มูฮึนสัมผัสได้ว่าหลังจากผ่านมาได้หนึ่งปี โชคชะตาระหว่างเขากับซึงจูที่พันผูกกันก็เริ่มคลายออกจากกัน เขาจึงมั่นใจว่าถ้าฝืนใจต่อไปอีกหน่อยก็จะหลีกหนีจากโชคชะตานี้ได้พ้นอย่างแน่นอน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เขารู้สึกขมขื่นอยู่คนเดียว เพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นอนาคตที่เขาเคยต้องการมากแค่ไหน แต่ทุกวินาทีที่สัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ที่ไกลห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซอกมุมหนึ่งในใจเขาก็จะรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมา

สิ่งที่พอจะช่วยปลอบโยนเขาได้คือความจริงที่เขาสามารถเจอซึงจูได้บ่อยกว่าเมื่อก่อน ถ้ารักษาระยะห่างระหว่างพี่น้องไว้ได้แบบนี้เขาก็จะได้อยู่เคียงข้างซึงจูโดยไม่จำเป็นต้องตีตัวออกหากจากซึงจูอีก ถึงจะไม่ได้เจอกันบ่อยเหมือนแต่ก่อน แต่อย่างน้อยต่อให้เผชิญหน้ากันอย่างใกล้ชิดเขาก็ยังคงโล่งใจได้

ทว่าความเชื่อนั้นก็ได้แตกสลายไปหลังจากผ่านไปสองปี

 

 

* สุนัขโตในสำนักเรียนสามปีย่อมประพันธ์กวีได้ เป็นคำพังเพยของเกาหลี มีความหมายเชิงเปรียบเทียบว่าถึงแม้จะเป็นคนที่ไม่มีความรู้ในแขนงใดเลย แต่ถ้าอยู่คลุกคลีกับความรู้แขนงนั้นนานๆ ก็จะมีความรู้และมีประสบการณ์ เปรียบได้กับสุนัขที่โตมาในสำนักเรียน

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 3

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: