X
    Categories: everYคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1

ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย

แปลโดย : ปราณหยก

  

ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ 

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

  

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 1

 

ลู่เยี่ยนที่สวมหน้ากากอนามัยเดินฝ่าบรรดาชายหนุ่มหญิงสาวในผับ

ดีเจกำลังเปิดเพลงแดนซ์แสบแก้วหูอย่างเต็มที่ แสงไฟสลัวราง หากอยากได้ยินคำพูดของคู่สนทนาชัดๆ ก็ต้องเอาหูไปติดกับริมฝีปากของอีกฝ่าย

ลู่เยี่ยนรู้สึกมาตลอดว่าเสียงเพลงดังสนั่นจนปวดหูในผับมีไว้เพื่อเป็นข้ออ้างให้คนได้ถึงเนื้อถึงตัวกันง่ายขึ้น และบรรยากาศคลุมเครือในที่แห่งนี้จะได้พุ่งทะยานขึ้นไปสู่จุดสูงสุด

ในดวงตาของเขาซึ่งมีเส้นเลือดฝอยจางๆ เวลานี้ไร้ความรู้สึกใดๆ ลู่เยี่ยนเดินฝ่าฝูงชนอย่างไม่รีบร้อนตรงไปยังโซนห้องส่วนตัวของผับ

คนที่ลู่เยี่ยนเดินผ่านต่างมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เพราะยุคนี้แม้แต่ดาราดังที่เข้าผับตอนกลางคืนก็ไม่สวมหน้ากากอนามัยกันแล้ว การสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่ที่ทุกคนต่างนุ่งน้อยห่มน้อยแบบนี้มีแต่จะยิ่งดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากขึ้น

ช่วงนี้ลู่เยี่ยนงานยุ่งมากจนวิงเวียนศีรษะ ตอนนี้หากได้หลับตาอยู่นิ่งๆ เกินห้าวินาทีก็สามารถหลับได้ เมื่อยี่สิบนาทีก่อนเขาเพิ่งถ่ายงานของวันนี้เสร็จสิ้นและงีบเอาแรงบนรถตู้เล็กน้อย ตอนลงจากรถชายหนุ่มรีบมากเลยไม่ได้ถอดหน้ากากอนามัย

เมื่อเขาเดินมาถึงโซนห้องส่วนตัวก็เปิดมือถือดูหมายเลขห้องที่มีเบอร์แปลกส่งมาให้เมื่อครู่

002

ใต้ตัวเลขมีรูปภาพอีกหนึ่งรูป เป็นรูปมือใหญ่สองคู่สอดประสานกัน บนนิ้วนางของมือข้างหนึ่งสวมแหวนเงินแบบผู้ชาย มันเปล่งประกายสีเงินอยู่ในความมืดสลัว

รูปแบบของแหวนเป็นสไตล์ที่ลู่เยี่ยนชอบ…เพ้อเจ้อ แหวนวงนี้เขาเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง ถึงขั้นจำราคาของมันได้ด้วยซ้ำ

เมื่อชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าห้อง 002 ก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งก่อนเปิดประตู

ผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างในกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน คนหนึ่งกดอีกคนติดผนัง พวกเขากำลังจูบกันอย่างเร่าร้อน

เป็นภาพที่สุดยอดมาก ลู่เยี่ยนคิด ถ้าหนึ่งในนั้นไม่ใช่แฟนของเขา

คนสองคนที่กำลังจูบกันอย่างร้อนแรงได้สติ เมื่อเห็นว่ามีคนมาชายที่ถูกกดติดผนังก็ทำตาโต ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนตรง เขามองลู่เยี่ยนด้วยสีหน้าท่าทางทำอะไรไม่ถูก

“…ลู่เยี่ยน? คะ…คุณไม่ได้อยู่ที่สตูดิโอเหรอ”

ลู่เยี่ยนยกมือขึ้นเปิดไฟทุกดวงในห้องส่วนตัวแล้ว เมื่อเขาเห็นความโป่งพองน้อยๆ ตรงร่างกายช่วงล่างของสวี่เจ๋อก็หัวเราะเสียงเย็น

เขารู้จักชายที่ถูกสวี่เจ๋อกดติดผนัง เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นนักแสดงชายที่ลู่เยี่ยนเคยร่วมงานด้วยในซีรี่ส์เรื่องก่อน หลิวซิงอัน…กำลังพิงผนังพลางมองตรงมาที่ลู่เยี่ยน

บนโต๊ะเหล้าในห้องส่วนตัวมีเหล้าอยู่หนึ่งโหล ลู่เยี่ยนก้มตัวลงไปหยิบขวดเหล้าเปล่าขวดหนึ่งมาเดาะในมือ

สวี่เจ๋อมีสีหน้าตื่นตระหนกทันที “ลู่เยี่ยน คุณฟังผมอธิบายก่อน อย่าหุนหันพลันแล่น”

ลู่เยี่ยนไม่ยอมฟัง เขายืนตรงแล้วฟาดขวดเหล้าเปล่าในมือใส่ทั้งคู่อย่างรุนแรง!

เพล้ง…

ลู่เยี่ยนเคลื่อนไหวเร็วมากจนทั้งสองคนตั้งตัวไม่ทัน ขวดเหล้าเฉียดหน้าสวี่เจ๋อไปแตกกระจายอยู่ที่ข้างหูของชายหนุ่ม

สีหน้าของหลิวซิงอันที่อยู่ข้างๆ เปลี่ยนจากภาคภูมิใจเป็นตื่นกลัว เขาจับแขนเสื้อของสวี่เจ๋อแน่นแล้วซุกอยู่ตรงซอกคอของอีกฝ่ายเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่กำลังเสียขวัญ

พอฟาดขวดเหล้าเสร็จลู่เยี่ยนก็เดินออกจากห้องส่วนตัวแห่งนี้โดยไม่หันกลับไปมองอีก และตั้งแต่เดินเข้ามาจนเดินออกไปชายหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดเลยแม้แต่คำเดียว

ภายในห้องส่วนตัวเงียบกริบอยู่พักหนึ่ง ลู่เยี่ยนเป็นเหมือนสายลมที่พัดมาไวแล้วจากไปเร็ว สวี่เจ๋อมองเศษแก้วบนพื้นพลางกลืนน้ำลาย นี่มันพายุทอร์นาโดชัดๆ

ในที่สุดสวี่เจ๋อก็ถอนตัวจากความรู้สึกต้องการและควานหาสติกลับมาได้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วขณะเอ่ยถามหลิวซิงอันที่อยู่ข้างกาย “ฝีมือคุณเหรอ”

สวี่เจ๋อเป็นบอสใหญ่ของบริษัทซิงอวี๋ อยู่ในแวดวงความรักมานานหลายปีจนช่ำชองในด้านนี้ ขนาดมีแฟนแล้วก็ยังแอบไปมีเล็กมีน้อยแต่ไม่เคยถูกจับได้

คนอย่างสวี่เจ๋อได้ชื่อว่าเจ้าชู้ไร้หัวใจ เขาเคยมีแฟนมาหลายคนแต่ไม่เคยจริงจังกับใคร เวลาเลิกกันแต่ละครั้งก็เลิกกันแบบไร้เยื่อใย อีกทั้งพอทิ้งใครแล้วเขาก็ไม่เคยกลับไปคบซ้ำ การที่ช่วงนี้หลิวซิงอันขึ้นหม้อทำให้มองออกนานแล้วว่าสวี่เจ๋อกำลังไม่พอใจลู่เยี่ยน

ไม่อย่างนั้นทำไมเวลาสวี่เจ๋อมาหาหลิวซิงอันแต่ละครั้งถึงมีท่าทางหิวโซเสมอล่ะ

หลิวซิงอันไม่สนใจว่าสวี่เจ๋อจะเจ้าชู้แค่ไหน ขอเพียงได้ขยับไปนั่งอยู่ในตำแหน่งตัวจริงและได้รับโอกาสมากหน่อยก็พอ ดังนั้นเรื่องสำคัญเร่งด่วนในตอนนี้จึงเป็นการกำจัดตัวจริงทิ้งไปเสีย

หลิวซิงอันทำหน้าสลด “ขอโทษครับ ผม…ผมชอบคุณมากจริงๆ”

ตอนแรกสวี่เจ๋อคิดจะตามลู่เยี่ยนไป แต่พอเห็นเศษแก้วที่อยู่เต็มพื้นเขาก็ถอยกลับ ก่อนจะถอนหายใจแล้วทำได้เพียงปลอบขวัญคนในอ้อมแขน

 

ลู่เยี่ยนเดินออกจากผับไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่หน้าประตูอย่างว่องไว

เสี่ยวหลิวที่เป็นผู้ช่วยส่งขวดน้ำมาให้ทันที เขารู้กาลเทศะจึงไม่ได้ถามอะไรมาก “พี่เยี่ยน จะให้ผมส่งกลับบ้านเลยหรือเปล่าครับ”

ลู่เยี่ยนหลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะทำเสียงอืมเบาๆ แล้วถามว่า “คราวก่อนหลินอันบอกว่าสัญญาระหว่างฉันกับซิงอวี๋เหลืออีกนานแค่ไหนนะ”

เสี่ยวหลิวรีบตอบว่า “อีกสี่วันครับ เรานัดคุยเรื่องต่อสัญญากับทางซิงอวี๋มะรืนนี้”

ต่อจากนั้นลู่เยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

 

พอกลับถึงคอนโดฯ ลู่เยี่ยนก็โยนมือถือไว้บนเตียงก่อนจะไปอาบน้ำ

ตอนเดินออกมาไอน้ำบนตัวยังไม่หายไปทั้งหมด จากนั้นลู่เยี่ยนก็เปิดมือถือ ช่วงสิบนาทีที่เขาอาบน้ำมีสายที่ไม่ได้รับสิบเอ็ดสายซึ่งเป็นเบอร์แปลกทั้งหมด

ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าใครเป็นคนโทรมา

ลู่เยี่ยนดื่มน้ำพลางบันทึกเบอร์แปลกพวกนี้เข้าแบล็กลิสต์ของรายชื่อในมือถือ ให้พวกมันไปอยู่เป็นเพื่อนเบอร์ของสวี่เจ๋อ

ลู่เยี่ยนเป็นศิลปินในสังกัดบริษัทของสวี่เจ๋อ แต่ชื่อเสียงอันโด่งดังของเขาในปัจจุบันไม่ได้เกี่ยวกับสวี่เจ๋อแม้แต่น้อย ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ตัวเขากับหลินอันที่เป็นผู้จัดการร่วมกันต่อสู้ฝ่าฟันจนได้มา ตอนที่สวี่เจ๋อเริ่มตามจีบลู่เยี่ยนในงานเลี้ยงครบรอบของบริษัทซิงอวี๋เมื่อปีก่อน ลู่เยี่ยนก็เป็นนักแสดงชายระดับแถวหน้าแล้ว

สวี่เจ๋อจีบลู่เยี่ยนอยู่สิบเดือนกว่าลู่เยี่ยนจะยอมตกปากรับคำให้ลองคบหากันดู คิดไม่ถึงว่ายังไม่ถึงสองเดือนอีกฝ่ายก็แอบนอกใจเขาเสียแล้ว

ตอนนี้พอมาคิดดูดีๆ อีกทีช่วงที่สวี่เจ๋อตามจีบเขาอยู่นั้นก็อาจเปลี่ยนคู่นอนไปหลายคนเหมือนกัน เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ลู่เยี่ยนก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงมากกว่าเก่า

ช่วงเกือบสองเดือนมานี้สวี่เจ๋อวอนขอมีความสัมพันธ์กับลู่เยี่ยนหลายครั้ง แต่ลู่เยี่ยนบอกเขาอย่างชัดเจนว่าตนต้องการเป็นรุก ทว่าสวี่เจ๋อไม่เคยเป็นรับและลู่เยี่ยนเองก็ไม่เคยเป็นแฟนกับผู้ชาย ทำให้จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังจัดการเรื่องนี้กันไม่ได้ ตอนนี้ลู่เยี่ยนจึงรู้สึกดีใจมากที่ตอนนั้นตนยืนยันว่าจะเป็นรุก ไม่งั้น…แค่คิดก็จะอาเจียนแล้ว

 

หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นข่าวเรื่องลู่เยี่ยนไม่ต่อสัญญากับบริษัทซิงอวี๋ก็กลายเป็นประเด็นร้อนบนเวยป๋อ*

หลินอันถือโทรศัพท์คุยด้วยรอยยิ้ม “โอ้ บริษัทอี้ไฉเหรอครับ สวัสดีครับๆ…อ๋อ ใช่ครับ เสี่ยวเยี่ยนของเรากำลังจะหมดสัญญาแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะต่อสัญญาหรือเปล่า ใช่ครับๆ เรารับรู้ถึงความจริงใจของบริษัทคุณดี เพียงแต่ตอนนี้ยังตัดสินใจไม่ได้…อ๋อ ได้เลยครับ สวัสดีครับ”

หลินอันวางสายแล้วหน้าเปลี่ยนสีทันที เขาเอ่ยถามคนข้างตัวด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า “ตกลงนายอยากไปบริษัทไหน สองสามวันมานี้โทรศัพท์ฉันจะระเบิดอยู่แล้ว ถือเสียว่าสงสารฉันเถอะ รีบตัดสินใจได้แล้ว”

ลู่เยี่ยนเพิ่งถ่ายซีรี่ส์เสร็จและกำลังนั่งเล่นมือถือ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเอ้อระเหย “ยังตัดสินใจไม่ได้ นายคิดว่าไง”

“ฉันคิดว่าไม่สำคัญ นายทำตัวชิลไปก็พอ เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน พวกเราไม่ขาดแคลนทรัพยากร จะไปที่ไหนก็อยู่ได้สบายทั้งนั้น” หลินอันกล่าว

หลินอันเจอลู่เยี่ยนเมื่อสี่ปีก่อน ทั้งสองคนร่วมมือกันดันลู่เยี่ยนมาสู่ความโด่งดังอย่างราบรื่น แม้ช่วงเวลาที่รู้จักกันจะไม่นานแต่ความสัมพันธ์กลับแน่นแฟ้น เมื่อลู่เยี่ยนจะยกเลิกสัญญา หลินอันย่อมตามเขาออกจากบริษัทซิงอวี๋

ลู่เยี่ยนเอ่ยถาม “มีบริษัทไหนอยากเซ็นสัญญากับฉันบ้าง”

หลินอันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ไม่มีบริษัทไหนไม่อยากเซ็นสัญญากับนาย”

คำพูดนี้อาจฟังดูเป็นการคุยโว แต่นั่นกลับเป็นเรื่องจริง ลู่เยี่ยนหน้าตาดี หุ่นดี ถึงแม้จะไม่ได้เรียนจบการแสดงแต่กลับมีทักษะทางด้านการแสดงที่โดดเด่น กำลังจะเปลี่ยนสายไปวงการภาพยนตร์และเตรียมพุ่งขึ้นสู่ตำแหน่งราชาภาพยนตร์ อีกทั้งรูปแบบการดำเนินชีวิตเองก็ดีมาก ไม่ชอบวันไนต์สแตนด์ ไม่ชอบก่อปัญหา ศิลปินแบบนี้ใครเล่าไม่อยากได้

พอคิดมาถึงตรงนี้หลินอันก็เสริมประโยคหนึ่งอยู่ในใจเงียบๆ แถมยังจบจากมหาวิทยาลัยดัง ลำพังแค่ไอคิวก็ฆ่าคนในวงการได้เป็นแถบ ถ้าไม่ใช่เพราะลู่เยี่ยนอยากใช้การแสดงสร้างชื่อมากกว่าการใช้ความเป็นเนิร์ดประกาศศักดา ป่านนี้เขาคงดังมากกว่านี้ไปแล้ว!

ลู่เยี่ยนนวดขมับ “จะว่าไป…ความจริงแล้วฉันตั้งใจจะเปิดสตูดิโอเองสักแห่ง”

หลินอันตาเป็นประกาย เรื่องนี้ตรงกับไอเดียของเขาอย่างไม่ได้นัดหมาย! “งั้นยังต้องคิดอะไรอีก เราเปิดกันเลยเถอะ! ทุ่มทรัพยากรมาที่ตัวนายเองก่อน จากนั้นอีกสักปีสองปีพอตัวนายมีความมั่นคงแล้วเราค่อยเริ่มเซ็นสัญญารับคนอื่นเข้าสังกัด!”

“เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก ขอฉันคิดดูอีกครั้งก่อนนะ”

หลินอันที่รู้ดีว่าลู่เยี่ยนกลัวความยุ่งยากมาตลอดย่อมผงกศีรษะ “ได้”

 

หลินอันเพิ่งเดินออกไปถามผู้กำกับเรื่องเวลาถ่ายทำ สวี่เจ๋อก็มาที่สตูดิโอ พอเจอลู่เยี่ยนอยู่ในห้องแต่งตัวก็ปิดประตูล็อกห้อง

เมื่อเห็นสวี่เจ๋อ ลู่เยี่ยนเพียงแค่ช้อนตาขึ้นมองแล้วก้มหน้าเล่นมือถือต่อด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

สวี่เจ๋อทำหน้าจนใจ “เสี่ยวเยี่ยน เลิกทำตัวงอแงแบบนี้ได้ไหม”

จังหวะนั้นลู่เยี่ยนก็ทำเหมือนได้ยินเรื่องตลกอะไรสักอย่าง “ผมงอแงตรงไหน”

“คุณ…เราทะเลาะกัน การที่คุณไม่อยากเจอผมเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่เห็นต้องงอแงจนถึงขั้นยกเลิกสัญญาเลยนี่นา”

ลู่เยี่ยนหัวเราะ “ประธานสวี่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้ทะเลาะกับคุณ แต่ผมเลิกกับคุณ อีกอย่างผมไม่ได้ยกเลิกสัญญา แต่สัญญาของเรามันครบกำหนดแล้ว”

สวี่เจ๋อสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หนึ่งครั้ง “เสี่ยวเยี่ยน ผมชอบคุณจริงๆ แต่ผมเป็นผู้ชายปกติธรรมดา ในเมื่อเกือบสองเดือนมานี้คุณไม่ยอมให้ผม…ผมย่อมทนไม่ไหว ผมขอโทษ ให้โอกาสผมอีกครั้งได้ไหม”

ลู่เยี่ยนบอกปัดทันที “ไม่ได้”

สวี่เจ๋อคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ จึงเริ่มโกรธเคือง “คุณจะคิดถึงผมสักนิดไม่ได้เลยเหรอ”

ลู่เยี่ยนหลุดขำ “สวี่เจ๋อ คุณตามจีบผมสิบเดือน ในช่วงสิบเดือนนั้นไม่ว่าความจริงใจของคุณจะเป็นของจริงหรือของปลอม ผมยอมรับทั้งหมดและจริงใจต่อคุณเหมือนกัน”

ชายหนุ่มพูดเยาะ “แต่คุณต่างหากที่ทำตัวเป็นสุนัขติดสัด คุณคบกับผมได้ไม่ถึงสองเดือนก็แอบมีชู้ ผมไม่กระทืบคุณให้ตายก็ดีเท่าไหร่แล้วรู้หรือเปล่า”

สวี่เจ๋อพูดในใจว่า แม่ง ทำไมลู่เยี่ยนถึงด่าเจ็บแบบนี้

สวี่เจ๋อเอ่ยถาม “ไม่มีทางเลยเหรอ”

ลู่เยี่ยนตอบกลับว่า “ไม่มี”

ผ่านไปครู่ใหญ่สวี่เจ๋อก็มีท่าทีผ่อนคลาย “ผมไม่มีทางยอมแพ้”

แต่น้ำเสียงของลู่เยี่ยนยังคงไม่เปลี่ยน “ประธานสวี่ครับ คุณชอบผมตรงไหน ผมจะแก้ไขให้เอง โอเคไหม คุณอย่าเสียเวลามาตื๊อผมเป็นสิบปีเลย ต่อให้ตัวคุณไม่เหนื่อย แต่ผมรำคาญ”

 

* เวยป๋อ เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีน คล้ายกับเฟซบุ๊ก

บทที่ 2

 

ในร้านน้ำชาลู่เหมี่ยวจิบน้ำชาหนึ่งคำด้วยท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยน “ซูฟางคะ เพราะคุณแท้ๆ เลยช่วงนี้ฉันถึงได้ลองของอร่อยของเมือง A ไปเกินครึ่งแล้ว”

หลี่ซูฟางยิ้ม ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงแย้มยิ้มอย่างเปิดเผย “เมือง A ใหญ่ขนาดนี้ต้องมีของอร่อยเยอะอยู่แล้ว พรุ่งนี้เราค่อยไปเดินเล่นที่ถนนซินเป่ยกัน ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง ว่ากันว่าวัตถุดิบสดใหม่มาก”

ลู่เหมี่ยวรับคำเสียงนุ่ม

ลู่เหมี่ยวเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทของสามีของหลี่ซูฟาง ในด้านการงานเธอมีภาพลักษณ์ของหญิงแกร่ง ทว่าโดยส่วนตัวแล้วเธอเป็นคนนุ่มนวลคนหนึ่ง

ทั้งสองรู้จักกันในงานเลี้ยงบริษัทเมื่อหนึ่งเดือนก่อน พอเจอกันก็รู้สึกแค้นใจว่าได้พบกันช้าเกินไป ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ขอแค่ลู่เหมี่ยวมีเวลาว่าง ทั้งคู่ก็จะนัดกันไปช็อปปิ้งหรือกินอาหารด้วยกัน

ในจังหวะที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ของหลี่ซูฟางก็ดังขึ้น เธอปรายตามองเบอร์ที่โทรเข้ามาก่อนรับสาย “รู้ตัวว่ายังมีแม่อยู่ด้วยเหรอ”

ไม่รู้ว่าคนในสายพูดอะไรแต่หลี่ซูฟางก็ขำออกมา “ปลายเดือนนี้ต้องกลับมาอยู่บ้านสักสามวันห้าวันนะ ห้ามต่อรอง” พูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที

หลี่ซูฟางพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ “ไปได้นิสัยไม่อนาทรร้อนใจกับอะไรเลยแบบนี้มาจากใครกันนะ”

ลู่เหมี่ยวเอ่ยถามขึ้น “กู้ซวีเหรอคะ”

“ใช่ ไม่รู้ว่าชาติก่อนฉันไปติดค้างใครไว้ สองพ่อลูกถึงได้มาทวงหนี้พร้อมกัน”

ลู่เหมี่ยวหัวเราะ “ขนาดนั้นที่ไหนกันคะ กู้ซวีแค่ไปตั้งบริษัทของตัวเองไม่ใช่เหรอ”

ไม่ใช่ว่าลู่เหมี่ยวช่างเม้าท์ แต่ทุกคนในบริษัทต่างรู้เรื่องที่กู้ซวีไปตั้งบริษัทของตัวเอง หนึ่งเป็นเพราะกู้ซวีทะเลาะกับกู้กั๋วจงในห้องทำงานยกใหญ่หนึ่งครั้ง ทำลายข้าวของไปไม่น้อย โดยมีสาเหตุมาจากเรื่องบริษัทของกู้ซวี สองคือบริษัทที่กู้ซวีก่อตั้งเติบโตขึ้นอย่างไม่เลวจริงๆ ด้วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามปีบริษัทก็ยืดมือออกไปนอกประเทศได้แล้ว

หลี่ซูฟางกล่าว “สองพ่อลูกนิสัยรุนแรงกันทั้งคู่ แค่เรื่องเล็กเรื่องเดียว…พวกเขาก็ทำสงครามเย็นกันเหมือนเด็กๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้กู้ซวีคงไม่ย้ายออกจากบ้านไปสองปี และถ้าไม่ใช่เพราะฉันคอยจับตาดูเขาทุกวัน คอยกำหนดเวลาให้เขากลับบ้าน สองพ่อลูกอาจแยกทางกันเดินแล้วก็ได้”

ลู่เหมี่ยวปลอบ “ไม่หรอกค่ะ พ่อลูกที่ไหนจะโกรธกันข้ามคืน เดี๋ยวพวกเขาก็คืนดีกัน”

“ข้ามคืน? พวกเขาโกรธกันข้ามปีเลยต่างหาก” หลี่ซูฟางถอนหายใจ “แล้วเธอล่ะ เธอนิสัยแบบนี้ ลูกที่เธอเลี้ยงจะต้องไม่เลวแน่นอน”

เมื่อพูดถึงลูกชายตัวเอง รอยยิ้มของลู่เหมี่ยวก็อ่อนโยนขึ้นอีกเล็กน้อย “เขาน่ะเหรอคะ เขากตัญญู เป็นเด็กดี แต่งานยุ่ง เหมือนกู้ซวีตรงที่ออกไปอยู่เองข้างนอก สิบวันถึงครึ่งเดือนฉันถึงจะได้เจอเขาสักครั้ง”

หลี่ซูฟางเอ่ย “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ทำงานหนักกันขนาดนี้เชียว ฉันคิดว่าจะมีแต่เจ้าลูกกระต่ายของฉันที่เป็นแบบนี้เสียอีก เขาทำงานอะไรเหรอ”

ลู่เหมี่ยวตอบ “เป็นนักแสดงค่ะ”

หลี่ซูฟางประหลาดใจอยู่บ้าง “นักแสดงเหรอ ชื่ออะไรน่ะ”

“เขาไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าไหร่” ลู่เหมี่ยวยิ้มอย่างขออภัย “ชื่อลู่เยี่ยนค่ะ”

“ลู่เยี่ยน? แซ่เดียวกับเธอ เยี่ยนที่ประกอบด้วยพระอาทิตย์กับความสงบใช่ไหม*

“ใช่ค่ะ พอฉันหย่ากับพ่อเขา เขาก็ใช้แซ่ตามฉัน”

“ลู่เยี่ยนจริงๆ เหรอ แบบนี้ยังจะเรียกว่าไม่ดังอีก แม้แต่ยัยป้าที่ไม่ดูโทรทัศน์อย่างฉันยังเคยได้ยินชื่อเขาเลย” หลี่ซูฟางบอก “หน้าตาหล่อเหลาจริง โอ้โห นี่ถ้าเธอไม่บอกฉันก็คงไม่สังเกตว่าพวกเธอหน้าคล้ายกันมาก”

“พูดเกินไปแล้วค่ะ” ลู่เหมี่ยวหลุดขำ “ความจริงฉันไม่อยากให้เขาดังมาก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องไปโปรโมตทุกวัน ทุกครั้งที่เจอเขา ฉันจะรู้สึกว่าเขาผอมลง แล้วช่วงนี้เขาก็กำลังยุ่งเรื่องยกเลิกสัญญา เดือนนี้จะมีเวลากลับบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้”

หลี่ซูฟางจับประเด็นสำคัญ “ยกเลิกสัญญาเหรอ”

“ใช่ค่ะ ได้ยินว่าหมดสัญญาแล้ว”

“ตัดสินใจหรือยังว่าจะไปที่ไหน”

ลู่เหมี่ยวคิด “น่าจะยังนะคะ เพราะเขาเพิ่งบอกเรื่องยกเลิกสัญญาให้ฉันรู้เมื่อวันก่อนนี่เอง”

สมองของหลี่ซูฟางทำงานทันที เธอตบโต๊ะเบาๆ “ลู่เหมี่ยว ไม่งั้นเธอให้ลูกชายเธอไปอยู่ที่บริษัทของลูกชายฉันสิ”

ลู่เหมี่ยวอึ้ง “บริษัทของกู้ซวีหรือคะ แต่บริษัทของกู้ซวีโฟกัสที่อสังหาริมทรัพย์กับการเงินไม่ใช่เหรอ”

“เขามีบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่” หลี่ซูฟางยิ้ม “เพิ่งตัดสินใจทำนี่เอง แล้วก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้เซ็นสัญญากับศิลปินคนไหนเลย”

ลู่เหมี่ยวลำบากใจ “เรื่องนี้…เราสองคนคงไปช่วยพวกเขาตัดสินใจไม่ได้มั้งคะ”

หลี่ซูฟางจึงเอ่ยว่า “ลู่เยี่ยนดังขนาดนี้จะต้องมีบริษัทมากมายอยากเซ็นสัญญาด้วย ทางกู้ซวีต้องไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อีกอย่างเธอสบายใจได้เลย กู้ซวีจะต้องดูแลลู่เยี่ยนเป็นอย่างดีแน่นอน หรือไม่เอาแบบนี้ดีไหม เธอกลับไปเกริ่นกับลูกชายของเธอก่อน ถ้าเขาโอเคคือดีที่สุด แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร”

ลู่เหมี่ยวลังเลอยู่พักหนึ่ง “ได้ค่ะ ฉันจะกลับไปถามเขาดู”

 

สวี่เจ๋อเหวี่ยงประตูจากไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สายจากลู่เหมี่ยวก็โทรเข้ามา

ลู่เยี่ยนลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปรับสาย “ครับแม่”

“เสี่ยวเยี่ยน ลูกยุ่งอยู่หรือเปล่า” ลู่เหมี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ลู่เยี่ยนเอ่ยตอบ “พอได้ครับ ผมอยู่ที่สตูดิโอ”

“แม่คงไม่ได้รบกวนลูกใช่ไหม สุดสัปดาห์นี้มีเวลากลับบ้านหรือเปล่าจ๊ะ”

ลู่เยี่ยนคิด “น่าจะไม่ได้ครับ สุดสัปดาห์ผมมีนัดคุยธุระกับบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่สองสามแห่ง”

ลู่เหมี่ยวเงียบไปสองสามวินาทีก่อนเอ่ยถาม “ลูกตัดสินใจเรื่องบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่แห่งใหม่แล้วหรือยังจ๊ะ”

ลู่เยี่ยนทำเสียงอืม กำลังจะบอกแผนเรื่องที่ตัวเองจะเปิดสตูดิโอแต่กลับถูกลู่เหมี่ยวตัดบทเสียก่อน

“มีลูกชายของเพื่อนแม่เปิดบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่อยู่ เธอให้แม่มาถามว่าลูกอยากไปอยู่กับเขาไหม”

ลู่เยี่ยนฟังแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย เพราะเขาไม่ได้ยินคำว่าเพื่อนจากปากของแม่มานานมาก นับตั้งแต่ลู่เหมี่ยวหย่ากับสามี เธอก็เกือบจะฝังตัวเองอยู่ในกองงาน ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวลำพัง ทำให้ลู่เยี่ยนเป็นห่วงมานานมาก

ชายหนุ่มโค้งริมฝีปากเล็กน้อย “แบบนี้นี่เอง บริษัทไหนเหรอครับ”

“ดูเหมือนจะชื่อ…หมิงเซิ่งนะ” ลู่เหมี่ยวบอก “เป็นบริษัทใหม่ แต่แม่คิดว่าภาพลักษณ์ดีมาก”

ลู่เหมี่ยวกลัวว่าลูกชายจะรังเกียจบริษัทใหม่เลยบอกความคิดเห็นของตัวเองเพิ่มไปอีกเล็กน้อย เธอไม่ชอบเข้าไปยุ่มย่ามกับชีวิตของลูกชาย แต่เธอพอใจบริษัทหมิงเซิ่งจริงๆ เนื่องจากทางนั้นไม่ขาดเงินทุนและกู้ซวีก็มีเส้นสาย หากลู่เยี่ยนได้เข้าไปอยู่ในบริษัทแห่งนี้ย่อมไม่มีทางขาดทุน

ลู่เยี่ยนรับคำ “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะให้คนติดต่อไปที่บริษัทหมิงเซิ่ง นี่แม่กินข้าวหรือยังครับ”

“เมื่อกี้แม่ออกไปกินข้าวกับเพื่อนข้างนอกมาแล้วจ้ะ งั้นแม่ไม่กวนลูกทำงานแล้ว อาทิตย์หน้าอย่าลืมกลับบ้านหน่อย แม่ไม่ได้เจอลูกมาครึ่งเดือนแล้ว”

ลู่เยี่ยนยิ้ม “ครับ”

พอกลับถึงห้องแต่งตัวลู่เยี่ยนก็โยนมือถือลงบนโต๊ะก่อนถามหลินอันว่า “มีบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่ที่ชื่อหมิงเซิ่งติดต่อนายมาหรือเปล่า”

หลินอันทวนคำ “หมิงเซิ่ง? ดูเหมือนจะมีนะ ฉันลืมไปแล้ว น่าจะไม่ใช่บริษัทใหญ่อะไร”

ลู่เยี่ยนวางศีรษะลงบนพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง “ติดต่อพวกเขา บอกว่าฉันจะเซ็นสัญญาด้วย”

หลินอันฟังจบก็คิดทบทวนความทรงจำเรื่องบริษัทแห่งนี้ทันที จากนั้นก็เบิกตากว้าง “ฮะ?! เซ็นสัญญา? อ๋า ไม่ดีมั้ง ชื่อเสียงของบริษัทหมิงเซิ่งยังสู้บริษัทซิงอวี๋ไม่ได้เลยนะ! ทำไมนายถึงจะเซ็นกับเขาล่ะ”

ลู่เยี่ยนขี้เกียจอธิบาย “ฉันชอบชื่อบริษัทเขา”

“…” หลินอันเคยชินกับความคิดอ่านของศิลปินในความดูแลของตัวเองแล้ว “เราไม่เปิดสตูดิโอกันแล้วหรือไง”

“ไม่เปิดแล้ว ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้อยากเปิดอะไรมากมาย มันยุ่งยาก”

หลินอันยังไม่ยอมถอดใจ เขาถามอีกว่า “ไม่ลองคิดดูอีกครั้งเหรอ”

ลู่เยี่ยน “ไม่คิด ไปติดต่อทางนั้น”

หลินอัน “…”

 

ภายในผับที่แสงไฟสว่างวูบวาบ บรรยากาศคึกคักสนุกสนาน

สวี่เจ๋อกรอกเหล้าใส่ปากคำแล้วคำเล่าพลางเอ่ยกับเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างๆ “นายคิดดูสิ มันก็แค่วันไนต์สแตนด์เองไม่ใช่เหรอ ใจฉันไม่เคยมีคนอื่น แล้วนายว่าลู่เยี่ยนจะโกรธขนาดนั้นไปทำไม”

วันนี้เป็นงานรวมตัวของพวกเพื่อนๆ แต่ถึงจะบอกว่าเป็นเพื่อน ทว่าความจริงแล้วกลับเป็นงานรวมตัวของพวกเจ้าของบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่ที่ต่างใส่หน้ากากเข้าหากันเพื่อหาเส้นสาย ตอนแรกสวี่เจ๋อตั้งใจดื่มเหล้าดับทุกข์ แต่ผลคือพอดื่มเยอะก็เริ่มพูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล ทำเอาคนรอบตัวมีสีหน้าแปลกๆ เล็กน้อย

เพื่อนสนิทมองสวี่เจ๋อด้วยสีหน้าพูดไม่ออก “นายพูดเสียงดังอีกหน่อยสิ พรุ่งนี้คนทั้งโลกจะได้รู้เรื่องที่นายเคยเป็นแฟนกับลู่เยี่ยน ถึงตอนนั้นนายก็คอยดูได้เลยว่าลู่เยี่ยนจะฟาดขวดเหล้าใส่ตำแหน่งไหน”

คำพูดประโยคนี้ทำให้สวี่เจ๋อตกใจ เขาเลยลดเสียงให้เบาลง “แม่ง เขายังยกเลิกสัญญากับฉันด้วย ไม่ว่าฉันจะพูดยังไงเขาก็ไม่ฟัง!”

เพื่อนสนิทหยิบแก้วของสวี่เจ๋อไป “พอแล้ว เลิกดื่มแล้วก็พูดให้มันน้อยๆ หน่อย เกิดใครได้ยินเข้าจะไม่ดี”

พูดไม่ทันขาดคำชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก็เดินผ่านหลังพวกเขาไป เขาหัวเราะเสียงหยันเป็นการบอกว่าตนได้ยินเนื้อหาที่พวกเขาสองคนคุยกันเมื่อครู่

ชายหนุ่มไม่ได้หยุดเท้าและไม่ได้เงยหน้า เพียงเดินเข้ามานั่งประจันหน้ากับคนทั้งคู่ ดูแล้วคงเป็นคนที่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานพบปะนี้เหมือนกัน

สวี่เจ๋อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะนี้ถนัดหู จึงหรี่ตาลงอย่างไม่พอใจ “ใครวะ”

“กู้ซวี นายเบาเสียงลงหน่อย”

สวี่เจ๋อเอ่ย “กู้ซวี? ใครกัน”

“ลูกชายของกู้กั๋วจงแห่งสกุลกู้ไง! ได้ยินว่าไม่นานมานี้เขาเปิดบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่ขึ้นมาแห่งหนึ่ง”

สวี่เจ๋อ “พ่อเขาทำกำไรในวงการอสังหาริมทรัพย์ได้ดีขนาดนั้น เขาว่างมากเหรอถึงได้เปิดบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่อีก”

เพื่อนสนิทตอบกลับ “ก็จริง แต่นี่เป็นข่าววงใน รับรองว่าไม่ผิดแน่!”

“ชิ โลกของคนรวย” สวี่เจ๋อแค่นเสียง

สวี่เจ๋อเพิ่งพูดจบ จังหวะนั้นกู้ซวีก็รับรู้ได้ถึงสายตาของเขา จึงช้อนตาขึ้นมามองสวี่เจ๋อแวบหนึ่ง

เพื่อนสนิทรีบปั้นหน้ายิ้ม “ประธานกู้ครับ ขายหน้าแล้ว สวี่เจ๋ออกหักเลยดื่มเยอะนิดหนึ่งน่ะครับ”

กู้ซวีทำเสียงเยาะเบาๆ อย่างมีนัยแต่ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ภายในระยะเวลาไม่ถึงห้านาทีสวี่เจ๋อถูกคนคนเดียวกันเย้ยหยันถึงสองครั้ง เขาย่อมไม่ชอบใจอย่างมากเลยดื่มเหล้าอย่างดุเดือดอีกหน

ชายคนหนึ่งลุกขึ้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ดื่มกันพอสมควรแล้ว ไปหาเรื่องสนุกอย่างอื่นทำกันดีกว่าไหม”

ดึกดื่นค่ำคืน เรื่องสนุกที่ว่านั้นคืออะไรทุกคนรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่พูดออกมา

ฝั่งกู้ซวีเพิ่งรับโทรศัพท์สายหนึ่งเสร็จก็ลุกขึ้นติดกระดุมสูททีละเม็ด “ผมยังมีธุระ”

สวี่เจ๋อที่เมาแล้วอ้าปากถาม “ดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้จะไปมีธุระอะไร นี่ไม่ได้เป็นการทำให้งานกร่อยหรอกเหรอ”

พอคำพูดนี้หลุดออกไปทั้งโต๊ะก็เงียบกริบทันที เดิมทีคืนนี้พวกเขาตั้งใจจะมาประจบ ‘หน้าใหม่ในวงการ’ คนนี้ แต่ผลคืออีกฝ่ายไม่ได้สนใจพวกเขา ซ้ำสวี่เจ๋อยังทำงามหน้า แค่อ้าปากก็ล่วงเกินอีกฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว

ทั้งกลุ่มเตรียมชมเรื่องสนุก แต่คิดไม่ถึงว่ากู้ซวีจะไม่โมโห เขาเดินมาหาสวี่เจ๋ออย่างใจเย็น เมื่อได้มองดูใกล้ๆ สวี่เจ๋อถึงได้รู้ว่าใบหน้ารูปไข่ของกู้ซวีนั้นหล่อเหลาเหมือนนายแบบและจมูกโด่งมาก

กู้ซวีมองสวี่เจ๋อ “อ๋อ ผมจะไปเซ็นสัญญากับลู่เยี่ยนน่ะ”

“…”

กู้ซวีเดินจากไปได้ครึ่งนาทีสวี่เจ๋อถึงเพิ่งได้สติ เขาถามเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เขาบอกว่าจะไปเซ็นสัญญากับใครนะ ลู่เยี่ยนเหรอ นี่เขาจะเกทับใคร! ใครแม่งจะเลือกเซ็นสัญญาตอนดึกดื่นค่อนคืนกัน”

สวี่เจ๋อทำใจให้เย็นลงแล้วขอยืมมือถือจากเพื่อนเพื่อโทรหาลู่เยี่ยน ผลคือแค่พูดคำว่า “ฮัลโหล” คำเดียวก็ถูกลู่เยี่ยนตัดสายทิ้งอย่างรวดเร็ว

 

* ตัวอักษรจีนของคำว่า ‘เยี่ยน’ ในชื่อลู่เยี่ยนคือ 晏 ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร 日 ที่หมายความถึงพระอาทิตย์ และตัวอักษร 安 ที่หมายถึงความสงบ

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: