ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1
ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
กู้ซวีเดินออกจากผับแล้วขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งคนขับเพื่อขับรถไปที่ร้านโซเบอร์บาร์* แห่งหนึ่ง
ร้านโซเบอร์บาร์คนไม่เยอะ มีโต๊ะเพียงไม่กี่โต๊ะ ซึ่งโต๊ะหนึ่งในจำนวนนั้นมีเด็กหนุ่มนั่งอยู่สี่คน อายุประมาณยี่สิบต้นๆ แต่ละคนใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น ดูอ่อนเยาว์และสดใสแบบนักศึกษา
คนหนึ่งตาไว เมื่อมองเห็นกู้ซวีก็ผิวปากดังวี้ดวิ่วกับคนข้างตัวก่อนกล่าวว่า “หลินชิง ผู้ปกครองของนายมารับกลับบ้านแล้ว”
หลินชิงที่เด็กหนุ่มคนนั้นเรียกวางเครื่องดื่มในมือลง ใบหน้ารูปไข่แดงเล็กน้อย คิ้วหนาตาโต ดูหล่อเหลาและสดใส
เขาลุกจากเก้าอี้ตัวสูง ก่อนจะเดินไปหากู้ซวีแล้วพูดยิ้มๆ “พี่ซวีครับ!”
กู้ซวีทำเสียงอืมเบาๆ
“ผมโทรหาดึกแบบนี้คงไม่รบกวนใช่ไหมครับ” หลินชิงพูดจบก็หันไปโบกมือลาพวกเพื่อนๆ ก่อนเดินออกจากร้านไปกับกู้ซวี
“อยู่แถวนี้พอดีน่ะ”
พอขึ้นรถเรียบร้อยกู้ซวีก็บอกว่า “ต่อไปเรื่องแบบนี้ให้โทรหาสวีเฟย”
หลินชิงที่นั่งอยู่ด้านข้างตอบว่า “ครับ” อย่างไม่ใส่ใจ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เก็บคำพูดประโยคนี้มาใส่ใจ
เมื่อส่งหลินชิงเรียบร้อยแล้วกู้ซวีก็กลับบ้าน เขานั่งลงบนโซฟาพลางขยี้ตา แต่จังหวะที่เตรียมจะเปิดคอมพิวเตอร์ก็พบว่าบนโต๊ะในห้องรับแขกมีแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่งวางอยู่
บนแฟ้มมีอักษรตัวบรรจงเขียนว่า ‘ลู่เยี่ยน’
พอเห็นชื่อนี้แล้วกู้ซวีก็นึกขึ้นได้ว่านี่น่าจะเป็นข้อมูลของลู่เยี่ยนที่ผู้ช่วยเตรียมไว้ให้เขา กู้ซวีเปิดแฟ้ม แผ่นแรกเป็นภาพนิ่งหนึ่งใบ ลู่เยี่ยนที่อยู่ในรูปสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กส์และใส่นาฬิกาข้อมือ ดูเหมือนจะเป็นภาพโฆษณานาฬิกาข้อมือสักแบรนด์หนึ่ง
เครื่องหน้าของลู่เยี่ยนใกล้เคียงกับคำว่าเพอร์เฟ็กต์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมีตัวช่วยเรื่องแสงและเงาใบหน้าด้านข้างของเขาก็ยิ่งมีมิติและละเอียดอ่อนงดงาม
เสื้อเชิ้ตสีขาวห่อหุ้มเรือนร่างแข็งแรงของชายหนุ่มเอาไว้ เอวถูกรัดด้วยเข็มขัดหนังให้ดูผอมบางแต่ทรงพลัง
อายุยี่สิบเจ็ดปี เข้าวงการมาได้ห้าปี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย B…เป็นนักศึกษาเรียนดีด้วย
ในห้าปีนี้เขาไม่เคยจับงานภาพยนตร์เลย มีแต่ซีรี่ส์แนวรักใสๆ แต่ขอเพียงเขาได้เป็นนักแสดงหลัก ทุกตอนจะมีเรตติ้งสูงมาก
โฆษณาที่ลู่เยี่ยนรับมีไม่เยอะ เขามีงานพรีเซ็นเตอร์สองตัว และสองตัวนั้นล้วนเป็นแบรนด์หรูที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงทั้งคู่
ข่าวคาวก็ไม่เยอะเช่นกัน ส่วนใหญ่พอเปิดตัวแล้วก็จะประกาศจบความสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว
นี่คือผู้ชายที่มีแผนการในทุกย่างก้าวของชีวิตตัวเองอย่างชัดเจนเป็นพิเศษคนหนึ่ง
นิ้วเรียวยาวของกู้ซวีแตะภาพนิ่งใบนั้นเบาๆ เขาเพ่งมองรูปอยู่สองสามวินาทีแล้วจึงโทรหาผู้ช่วย
ผู้ช่วยรับสายอย่างรวดเร็ว “ประธานกู้”
“นัดเซ็นสัญญากับลู่เยี่ยนพรุ่งนี้ ฉันจะไปเอง”
ลู่เยี่ยนอ่านบทละครจบแล้วถึงเพิ่งพบว่ามือถือของตัวเองอัดแน่นไปด้วยข้อความ
[คุณจะเซ็นสัญญากับหมิงเซิ่งเหรอ]
[ต่อให้ไม่ต่อสัญญากับผมก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งไปที่หมิงเซิ่งเลยนี่นา บริษัทที่เพิ่งก่อตั้งไม่ถึงครึ่งปีช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก เสี่ยวเยี่ยน คุณอย่าใช้อารมณ์ทำงานสิ]
[หัวใจในการทำงานของเจ้าของบริษัทนั้นไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงด้วยซ้ำ แบบนี้ไม่เท่ากับคุณสร้างปัญหาให้ตัวเองหรือไง]
[หรือต่อให้คุณจะเซ็นสัญญากับหมิงเซิ่งแน่ๆ ก็ไม่เห็นต้องหนีไปเซ็นกันตอนดึกดื่นค่อนคืนเลย!]
ลู่เยี่ยนพูดไม่ออกจริงๆ สองสามวันมานี้เขาบล็อกเบอร์โทรศัพท์ไปไม่ต่ำกว่าสิบเบอร์ แต่กลับยังหนีไม่พ้นการโจมตีด้วยข้อความจากสวี่เจ๋อ
คราวนี้เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสวี่เจ๋อกำลังพูดเรื่องอะไร หลินอันคุยเรื่องเงื่อนไขสัญญากับหมิงเซิ่งเสร็จแล้วก็จริง แต่นัดเซ็นสัญญาคือบ่ายวันพรุ่งนี้
ลู่เยี่ยนหยิบบทภาพยนตร์ขึ้นมาอ่านได้สักพัก เรื่อง ‘บทเพลงแห่งสงคราม’ เป็นบทที่ผู้กำกับเฉินจิงซึ่งค่อนข้างสนิทกับเขาตั้งใจส่งมาให้ เฉินจิงขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดต่อผลงานของตัวเอง ช่วงที่ลู่เยี่ยนเข้าวงการใหม่ๆ ก็เคยต้องทนลำบากอยู่ภายใต้การกำกับของเฉินจิงไม่น้อย ดังนั้นบทภาพยนตร์ที่เฉินจิงส่งมาให้ด้วยตัวเองจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ลู่เยี่ยนอ่านอย่างละเอียดหนึ่งคืนก็พบว่าบทนี้ไม่เลวจริงๆ พล็อตเรื่องแน่น อุปนิสัยของตัวละครมีความโดดเด่น
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นการเปิดฉากการต่อสู้ในวงการภาพยนตร์ครั้งแรกของลู่เยี่ยน เขาจึงจำเป็นต้องเปิดตัวให้สวยสักหน่อย
การเจอบทที่ดีทำให้ลู่เยี่ยนอารมณ์ดี เขาเลยขยับนิ้วตอบข้อความอย่างหาได้ยาก
[ทำไมคุณถึงยังไม่ไสหัวไปอีก]
วันต่อมาลู่เยี่ยนกับหลินอันเดินทางไปบริษัทหมิงเซิ่งด้วยกัน
หลินอันมองตึกสูงตรงหน้าแล้วมุมปากกระตุก “แม่เจ้า บริษัทหมิงเซิ่งเว่อร์ไปไหม บริษัทที่เพิ่งก่อตั้งได้สองสามเดือนกลับมีอาคารสูงกว่าบริษัทซิงอวี๋ตั้งหลายชั้น!”
ลู่เยี่ยนถอดหน้ากากอนามัย
หลินอันเอ่ยต่อ “ตึกใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่รู้ว่าพนักงานข้างในมีถึงห้าสิบคนหรือเปล่า”
ผลคือหลินอันถูกตบหน้าทันที
เพราะยังไม่ต้องพูดถึงการมีพนักงานครบถ้วนเกินจำนวนที่ต้องการ ทว่าตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นเจ็ดพวกเขาที่ใช้วิธีขึ้นลิฟต์ยังได้เจอดาราเบอร์เล็กอีกหกคน
คำนิยามของดาราเบอร์เล็กไม่ได้หมายถึงดังน้อย แต่หมายถึงคนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ แต่ถึงอย่างนั้นคนหน้าใหม่กลุ่มนี้ก็ได้เปิดตัวด้วยการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในวงการบันเทิง ดังนั้นแม้แต่ลู่เยี่ยนเองก็ยังจำพวกเขาได้สองสามคน
หลินอันอุทานมาตลอดทาง “เขา…เธอ…อยู่ที่หมิงเซิ่งกันเหรอ!”
“น้องสาวคนนี้มีเซ้นส์ด้านวาไรตี้โดดเด่น คราวก่อนตอนที่ดูรายการ ‘สนามเด็กเล่น’ ตอนพิเศษของเธอ ฉันขำจนเกือบขาดใจตาย”
“คนนี้ร้องเพลงเพราะมาก ได้ยินว่ากำลังจะออกอัลบั้มที่สองแล้ว”
“คนนี้มีบทอยู่ในซีรี่ส์เรื่องที่แล้วของนาย! ถึงจะเป็นตัวประกอบเล็กๆ ฝั่งตัวร้าย แต่ก็แสดงได้น่ารังเกียจดีทีเดียว”
ต่อมาถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วก่อนที่พวกเขาจะมาเซ็นสัญญาทางหมิงเซิ่งเพิ่งประชุมย่อยเสร็จ ถึงได้มีดาราในสังกัดจำนวนมากมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า
ลู่เยี่ยนที่คิดว่าจะเซ็นสัญญาแล้วกลับเลยเปลี่ยนแปลงความคิดเล็กน้อย
พอพวกเขามาถึงห้องประชุม ผู้รับผิดชอบเรื่องสัญญาของบริษัทหมิงเซิ่งก็มาถึงเช่นกัน แต่เขายืนอยู่ด้านหลัง เพราะคนที่เดินนำเข้ามาในห้องประชุมเป็นผู้ชายสวมสูทสีกรมท่าคนหนึ่ง
ชายหนุ่มมีเครื่องหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ บนตัวมีออร่าบางอย่างจางๆ ทันทีที่เข้ามาก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องประชุมมีความกดดัน
เขาโค้งมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือมาให้ลู่เยี่ยนแล้วแนะนำตัวเองว่า “กู้ซวีครับ”
แค่แนะนำชื่อสั้นๆ ง่ายๆ ไม่มีการบรรยายฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็น ถึงขั้นไม่มีคำว่า ‘ผมชื่อ’ นำหน้าด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและค่อนข้างเย่อหยิ่งคือความประทับใจแรกที่ลู่เยี่ยนมีต่อกู้ซวี
ลู่เยี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างมีมารยาทเพื่อจับมือกับชายหนุ่ม “สวัสดีครับ ผมชื่อลู่เยี่ยน”
เมื่อทักทายเสร็จสิ้นทั้งสี่คนก็นั่งประจำที่ หลินอันกับพนักงานผู้รับผิดชอบเรื่องการเซ็นสัญญาคนนั้นก็เริ่มพูดคุยเรื่องสัญญากัน
หลินอันเอ่ย “พวกเราอ่านสัญญาแล้ว หลักๆ ไม่มีปัญหาอะไรครับ เพียงแต่…เรื่องทรัพยากรในบริษัทของคุณ…”
เมื่อวานหลินอันกลับไปใช้เวลาศึกษาสัญญาพักหนึ่ง เรื่องการแบ่งเปอร์เซ็นต์หรือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับนั้นเป็นกิ่งมะกอก* ที่สูงที่สุดในบรรดากิ่งมะกอกทั้งหมดที่พวกเขาได้รับในเวลานี้ นี่เป็นสิ่งที่น่าพอใจมาก ส่วนเรื่องทรัพยากรทางหมิงเซิ่งไม่ได้เสนอเงื่อนไขอย่าง ‘การแบ่งทรัพยากร’ อะไรทำนองนี้
สินค้าขายดีอย่างลู่เยี่ยน หากบริษัทอื่นได้เซ็นสัญญากับเขาจะต้องกระหน่ำทรัพยากรมาที่ตัวเขากันแทบไม่ทันแน่นอน เนื่องจากตอนนี้ความนิยมในตัวลู่เยี่ยนสูงมาก และอีกหนึ่งหรือสองปีต่อจากนี้พอเขาได้ถ้วยรางวัลราชาภาพยนตร์มา ชายหนุ่มก็จะสามารถก้าวขึ้นไปอยู่บนแท่นบูชาประจำสายอาชีพในใจมหาชน เทียบชั้นคนดังระดับที่เหนือกว่าแนวหน้าจำนวนมาก
พนักงานผู้รับผิดชอบเรื่องการเซ็นสัญญาคนนี้มีประสบการณ์สูงและเพิ่งขุดทองจากบริษัทอื่นมาหมาดๆ เขายิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมืออาชีพขณะพูดว่า “ตอนนี้มีทรัพยากรอะไรที่ลู่เยี่ยนอยากได้แล้วไม่ได้ด้วยหรือครับ แน่นอนว่าทรัพยากรจะต้องเป็นฝ่ายเสิร์ฟมาถึงหน้าประตูอยู่แล้ว เรายังต้องเขียนเจาะเป็นข้อๆ ด้วยหรือ”
หลินอันยิ้มน้อยๆ “เมฆฝนบนฟ้าไม่อาจคาดเดา* คุณว่าจริงหรือเปล่าครับ ความเปลี่ยนแปลงบนโลกมีอยู่มากมาย เราต้องคิดหาทางป้องกันความเสี่ยงเอาไว้สักสองชั้น”
พนักงานคนนั้นเอ่ย “พูดจาถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ ความจริงแล้วที่เราไม่ได้เขียนเงื่อนไขเรื่องนี้เพราะไม่อยากผูกมัดความเจริญก้าวหน้าของลู่เยี่ยน บริษัทเราเพิ่งเริ่มออกเดิน ไหนเลยจะมีทรัพยากรดีเด่นมากมายขนาดนั้น แต่อะไรที่ควรเอามาเราจะช่วยลู่เยี่ยนเอามาทั้งหมด”
หลินอันถูกการพูดจาเป็นคุ้งเป็นแควพาอ้อมไปพักหนึ่ง แต่ลู่เยี่ยนกลับฟังจนเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายที่ว่าบริษัทจะไม่ลำเอียงมอบทรัพยากรให้แก่เขา
ในช่วงที่หลินอันกำลังสับสนอยู่นี้ กู้ซวีก็เอ่ยปากขึ้น
“ผมมีทรัพยากรดีๆ อยู่ไม่น้อย” เขาข้ามคนสองคนที่กำลังคุยเรื่องสัญญามามองลู่เยี่ยนที่นั่งเงียบเหมือนเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วพูดเสียงเรียบ “แต่จะไม่ให้อภิสิทธิ์กับคุณ”
หลินอัน “…”
พนักงานที่อุตส่าห์ปั้นแต่งถ้อยคำเป็นนานสองนาน “…???”
จากนั้นพนักงานก็รีบเสริมว่า “แต่สิ่งที่บริษัทของเราสามารถให้คุณได้จะต้องเยอะกว่าบริษัทซิงอวี๋แน่นอนครับ”
ลู่เยี่ยนหัวเราะเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรมาก “ดีครับ สัญญาไม่มีปัญหา เซ็นตอนนี้ได้เลย ประธานกู้ครับ เราเซ็นสัญญาให้เสร็จเร็วที่สุดดีกว่าไหม เดี๋ยวผมยังต้องไปโปรโมตต่ออีก”
หลินอัน “…???”
ลู่เสี่ยวเยี่ยน นี่มันอารมณ์ไหนของนายกัน!
กู้ซวีเลิกคิ้วแต่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมาก
เซ็นสัญญาเสร็จลู่เยี่ยนก็ลุกขึ้นกล่าวลา ขณะที่กู้ซวีมองแผ่นหลังของลู่เยี่ยนแล้วหัวเราะเบาๆ ในดวงตาแอบซ่อนความสนใจอย่างจริงจังเอาไว้
เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในลิฟต์ หลินอันก็อดรนทนไม่ไหว
“พี่ใหญ่ครับ คนเขาพูดชัดเจนว่าจะไม่ให้อภิสิทธิ์นาย นายก็ช่างแสนดี เซ็นสัญญาโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาเลย นายรู้ไหมว่าบริษัทอื่นเขียนสัญญาให้ดีกว่าเยอะ อย่างกับวาดขนมเปี๊ยะชิ้นโต** แน่ะ” หลินอันถลึงตา “นายๆๆๆ…นายคงไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่บอกใครไม่ได้กับนายจ้างใหม่ใช่ไหม”
หลินอันใช้เวลาคิดอยู่นานแต่ก็คิดได้แค่ความเป็นไปได้หนึ่งเดียวข้อนี้ เขายิ่งพูดยิ่งผวา “ถ้าเป็นความจริงนายก็น่าจะบอกฉันหน่อย อย่าให้เหมือนคราวสวี่เจ๋อที่ต้องรอให้พวกนายเลิกกันแล้วฉันถึงรู้ ฉันจะได้มีเวลาป้องกันไม่ให้พวกนายถูกแอบถ่ายอะไรต่อมิอะไร”
การที่ลู่เยี่ยนตอบรับอย่างสบายๆ แบบนี้แสดงว่าเขาต้องมีไอเดียของตัวเอง แต่มันเป็นความคิดที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ชายหนุ่มจึงยังไม่อยากพูดมาก
“นายก็รู้นี่ว่าสัญญาของบริษัทอื่นคือการวาดขนมเปี๊ยะชิ้นโต” ลู่เยี่ยนกลอกตา “นายมีพลังแห่งการจินตนาการขนาดนี้แต่มาเป็นผู้จัดการของฉัน ช่างเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมกับนายจริงๆ นายไปเขียนบทเถอะ รับรองว่าฉันจะรับเล่นซีรี่ส์ที่นายเขียนบทแน่นอน”
หลินอันเอ่ยต่อ “เอิ่ม…จะว่าไป พูดถึงสวี่เจ๋อ เขามีคนหนุนหลังเลยแตะไม่ได้ แต่หลิวซิงอันคนนั้นยังพอไหว นายจะให้ฉันโทรหากองถ่ายเรื่อง ‘เมืองมายา’ เพื่อให้พวกเขาลดซีนของหลิวซิงอันลงไหม”
หลังจากหลินอันได้ฟังสาเหตุที่ลู่เยี่ยนยกเลิกสัญญาก็โกรธจัด แต่หาที่ระบายไม่ได้ เหมือนลูกชายของตัวเองถูกคนอื่นรังแก เอาแต่บ่นว่าจะแก้แค้นให้ลู่เยี่ยนทุกวัน
‘เมืองมายา’ เป็นซีรี่ส์ที่ลู่เยี่ยนเพิ่งถ่ายจบไปก่อนหน้านี้ หลิวซิงอันแสดงเป็นพระรองเบอร์สี่ คำนวณวันดูแล้วช่วงนี้ก็น่าจะเป็นช่วงที่ทีมงานตัดต่อซีรี่ส์พอดี
ลู่เยี่ยนเล่นมือถือ เนื่องจากยังสวมหน้ากากอนามัยปิดปากอยู่เขาจึงพูดเสียงอู้อี้ “อย่าเลย ซีนเขาไม่เยอะอยู่แล้ว นายยังจะไปตัดเขาออกอีก น่าสงสาร”
หลินอันจุปาก “ตอนนี้ฉันว่านายเหมือนนางเอกผู้แสนดีราวกับดอกบัวขาวในซีรี่ส์ ขนาดถูกคนอื่นแย่งผู้ชายไปก็ยังยิ้มและให้อภัยเขาได้”
“การที่เขาแย่งสำเร็จก็เป็นความสามารถแบบหนึ่ง” ลู่เยี่ยนบอก “ฉันชอบคนมีความสามารถไม่ว่าจะในด้านไหน หรือไม่นายก็โทรไปบอกให้ทางกองเพิ่มซีนให้เขาหน่อยสิ”
หลินอันทำหน้าไร้อารมณ์ “ทำไมน้ำถึงกลายเป็นสีเขียว* นะ ที่แท้ก็เพราะลู่เยี่ยนไปสระผมที่ต้นน้ำนี่เอง”
ลู่เยี่ยน “หุบปากไปเลย”
ระหว่างทางไปสตูดิโอลู่เยี่ยนเปิดเวยป๋ออย่างเซ็งๆ แล้วก็พบว่ากำลังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเวยป๋อ
เมื่อดาราสาวคนหนึ่งถูกนักข่าวบันเทิงเปิดโปงว่ามีชู้ระหว่างการแต่งงาน ในภาพถ่ายมีคนสองคนกำลังจูบกันอย่างไม่ยอมพรากจาก แถมนักข่าวบันเทิงยังวาดวงกลมขนาดใหญ่ไว้บนศีรษะของฝ่ายหญิง ทำลูกศรชี้ และแนบภาพนิ่งของดาราสาวหนึ่งภาพ
ภาพสุดท้ายของข่าวเป็นอีโมจิตัวหนึ่ง บนศีรษะมีหมวกสีเขียวที่ได้จากการโฟโต้ช็อป ด้านข้างมีตัวอักษรหนึ่งแถวเขียนไว้ว่า ‘แน่นอนว่าผมเลือกที่จะให้อภัยเธออยู่แล้ว’
ลู่เยี่ยน “…”
ชายหนุ่มกดปุ่มล็อกหน้าจออย่างแรงแล้วหลับตาลงอย่างไม่สบอารมณ์
ลู่เยี่ยนไม่ได้รู้สึกอะไรกับสวี่เจ๋อจริงๆ ถึงขนาดที่ถ้าวันนี้หลินอันไม่พูดถึง ลู่เยี่ยนคงลืมไอ้งั่งที่กระหน่ำส่งข้อความให้เขาเมื่อวานไปแล้ว
แต่เขาก็ไม่ได้ยินดีสวมหมวกเขียวที่หล่นลงมาจากฟ้านี่เหมือนกัน
* โซเบอร์บาร์ (Sober Bar) เป็นบาร์ที่มีบรรยากาศสงบกว่าบาร์ปกติ เหมาะสำหรับการพักผ่อนหรือพูดคุยระหว่างกลุ่มเพื่อน และเสิร์ฟเฉพาะเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
* กิ่งมะกอก เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ มักใช้ในสำนวน ‘โยนกิ่งมะกอก’ ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยถึงการแสดงความต้องการที่จะเจรจาอย่างสันติเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
* เมฆฝนบนฟ้าไม่อาจคาดเดา มาจากสำนวน ‘เมฆฝนบนฟ้าไม่อาจคาดเดา ทุกข์สุขในมนุษย์มิได้คงอยู่ชั่วกาล’ โดยประโยคดังกล่าวมีความหมายว่าภัยพิบัติหรือความหายนะไม่ใช่สิ่งที่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
** วาดขนมเปี๊ยะชิ้นโต เป็นสำนวน หมายถึงสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ แก่ตนเองหรือผู้อื่นเพื่อปลอบใจ
* สีเขียว มาจากสำนวน ‘สวมหมวกเขียว’ หมายถึงการถูกคนรักสวมเขา
บทที่ 4
หลังลู่เยี่ยนจากไป กู้ซวียังคงนั่งอ่านสัญญาอยู่ในห้องประชุม
ตราบใดที่เจ้านายยังไม่ไป ลูกน้องย่อมไม่กล้าขยับ พนักงานยิ้มแห้ง “คิดไม่ถึงว่าลู่เยี่ยนคนนี้…จะเจรจาง่ายมาก”
กู้ซวีหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็หยิบสัญญาแล้วเดินออกจากห้องประชุม เขาทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่งว่า “ให้ผู้ช่วยสวีรวบรวมทรัพยากรชิ้นใหญ่ที่อยู่ในมือบริษัทเราช่วงนี้ส่งมาที่ห้องทำงานของฉันด้วย”
สวีเฟยเป็นผู้ช่วยที่คอยติดตามอยู่ข้างกายกู้ซวีมาสี่ปีแล้ว ไม่นานเขาก็ยกแฟ้มตั้งหนึ่งมาเคาะประตูห้องทำงานของเจ้านาย
กู้ซวีรับแฟ้มที่สวีเฟยส่งให้มาพลิกดูแล้วเลือกออกมาสองแฟ้ม เป็นบทพระเอกซีรี่ส์หนึ่งแฟ้มและเป็นทีมหลักในรายการเรียลลิตี้หนึ่งแฟ้ม “เอาสองแฟ้มนี้ไปคุย”
“ครับ” สวีเฟยรับมาแล้วพลันนึกได้ว่าบริษัทเพิ่งเซ็นดาราใหญ่เข้าสังกัดมา ไม่แน่ว่าอาจเป็นเจ้าของทรัพยากรสองแฟ้มนี้ จึงเอ่ยถามว่า “ให้คุณชายหลินหรือครับ”
กู้ซวีช้อนตาขึ้นมอง “หรือจะให้นาย”
สวีเฟยกระแอมเบาๆ “ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ครับ”
กู้ซวีทำเสียงอืม เขาเลือกแฟ้มด้านล่างๆ แล้วดึงออกมาหนึ่งแฟ้ม เป็นบทภาพยนตร์ของนักเขียนบทกับผู้กำกับชื่อดัง
“นายเอาบทนี้ไปให้ลู่เยี่ยน ถ้าเหมาะก็ให้เขาไปเทสต์หน้ากล้อง”
สวีเฟยทำงานเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาให้คำตอบว่า “ทางลู่เยี่ยนบอกว่ารับงานถ่ายหนังเอาไว้แล้ว ช่วงสองสามเดือนนี้คงไม่มีคิวให้ครับ”
เขาทิ้งระยะชั่วอึดใจหนึ่งก่อนพูดคำที่เหลือต่อ “เขายังบอกด้วยว่ารับงานนี้ไว้ตอนเพิ่งยกเลิกสัญญา แต่ให้ถือว่าพวกเราเซ็นสัญญาร่วมกันแล้ว เขาจะแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ทางบริษัทตามที่ตกลง…”
จู่ๆ กู้ซวีก็คิดถึงตอนเจอลู่เยี่ยนเมื่อเช้า แล้วริมฝีปากก็มีรอยยิ้ม แววตาสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรมากวนใจเขาได้
“ในเมื่อเป็นงานที่รับไว้ก่อนเซ็นสัญญาก็ไม่ต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์” กู้ซวีลูบปากกาในมือ “จัดการเรื่องผู้จัดการของหลินชิงเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยแล้วครับ เป็นมือเก๋าในวงการ เคยดูแลดาราใหญ่มาไม่น้อย”
กู้ซวีหรี่ตา “ให้เขาเคลียร์ศิลปินที่ดูแลอยู่แล้วมาดูหลินชิงคนเดียว”
สวีเฟยรู้อยู่แล้วว่าต้องมีการจัดสรรแบบนี้ จึงหลุบตาลงแล้วบอก “คุณสบายใจได้ครับ เขาเพิ่งมาจากบริษัทอื่น ตอนนี้เลยไม่ได้ดูแลศิลปินคนอื่น”
ลู่เยี่ยนถ่ายซีนสุดท้ายเสร็จสิ้นก็เท่ากับว่าซีนทั้งหมดของเขาในซีรี่ส์เรื่องนี้ถ่ายเสร็จหมดแล้ว
ถึงบทที่เขาแสดงจะเป็นพระเอก แต่เรื่องนี้เป็นซีรี่ส์การต่อสู้ในวังหลวง บทฮ่องเต้ของเขาเลยไม่เยอะเท่านางรองเบอร์สาม ดังนั้นตอนที่ลู่เยี่ยนถ่ายเสร็จซีรี่ส์ทั้งเรื่องก็เพิ่งถ่ายทำไปได้ครึ่งเดียวเท่านั้น
ความรู้สึกของการไม่มีงานเลี้ยงปิดกองมัน…โคตรเจ๋ง
ลู่เยี่ยนอ้างว่าขอไม่อยู่เกะกะการถ่ายทำของทุกคน บอกปัดคำเชิญกินอาหารร่วมกันของทางกองถ่ายอย่างมีเหตุมีผลเพื่อรีบกลับบ้าน
พอกลับไปถึงคอนโดฯ ลู่เยี่ยนก็โทรหาเฉินจิง
ถึงชื่อจะมีความเป็นผู้หญิง* แต่เฉินจิงกลับเป็นชายแท้ลงพุง เสียงห้าวทรงพลัง “ว่าไงไอ้หนู อ่านบทจบแล้วหรือยัง”
ลู่เยี่ยนยิ้ม “ครับ จะเปิดกล้องเมื่อไหร่เหรอครับ”
“จะรีบไปทำไม ความละเมียดละไมทำให้ได้ผลงานประณีต เข้าใจไหม นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ฉันกำกับนะ ฉันต้องใส่ใจทุกด้าน!”
ลู่เยี่ยนเปิดสปีกเกอร์โฟนก่อนจะถอดเสื้อผ้าเตรียมตัวอาบน้ำ “ผมเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่แล้ว กันคิวเขานานเกินไปไม่ได้น่ะครับ”
เฉินจิงเงียบไปพักหนึ่ง “ก็ได้ ฉันจะทำเวลา ภายในเดือนนี้แหละ นายต้องกันคิวไว้ให้ฉันด้วย”
ลู่เยี่ยนหยอกเขาเล่นว่า “เป็นไงครับ ใครน้าที่เมื่อสองสามปีก่อนบอกว่าผมไม่มีทักษะทางการแสดงเลยจะเปลี่ยนตัวผมออกไป”
เฉินจิงร้องถุย “เอาใหญ่แล้วนะแก! แค่นี้ ฉันกินข้าวอยู่”
พอลู่เยี่ยนอาบน้ำเสร็จก็ใส่ชุดคลุมอาบน้ำมัดเอวแบบหลวมๆ จากนั้นก็หยิบมือถือมากดโทรสั่งอาหาร
เมื่อสั่งอาหารเสร็จชายหนุ่มก็รู้สึกเบื่อ เลยเปิดเกมล่ามนุษย์หมาป่าในมือถือเล่น
เกมล่ามนุษย์หมาป่าเป็นเกมพูด พวกคนดีจะบอกว่าใครคือมนุษย์หมาป่าที่ตนเลือกไว้ในใจ จากนั้นก็จะโหวตให้มนุษย์หมาป่าออกจากเกม ในแต่ละคืนมนุษย์หมาป่าจะฆ่าได้หนึ่งคน จากนั้นในเวลากลางวันก็จะซ่อนตัวอยู่ในหมู่คนดีและพยายามสร้างเรื่องตบตาอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้คนดีจับได้
พอเข้าไปในเกมแล้วเขาก็ได้ไพ่ชาวบ้าน
ชาวบ้านคือ ‘ผู้เล่นประเภทหลับหูหลับตา’ ไม่มีข้อมูลใดๆ ไม่มีทักษะใดๆ ได้แต่อาศัยคำพูดไปตัดสินว่าไพ่ที่คนอื่นถืออยู่ในมือคือไพ่อะไร
ไพ่ที่น่าสงสารมากๆ หนึ่งใบจะถูกมนุษย์หมาป่าใส่ร้ายป้ายสี และหากพูดจาไม่เข้าหูก็จะถูกคนดีด้วยกันเองระแวง
เกมเริ่มต้นที่เวลากลางคืน ช่วงมนุษย์หมาป่าฆ่าคน ด้วยความที่เป็นไพ่ชาวบ้าน ภาพบนหน้าจอของเขาเลยเป็นสีดำสนิท ลู่เยี่ยนยกมือขึ้นถูคางอย่างเบื่อหน่ายแล้วพบว่าตัวเองยังไม่ได้โกนหนวด
สุดท้ายบทฮ่องเต้ที่เขาแสดงก็ถูกผู้หญิงวางยาพิษ ต้องนอนลมหายใจรวยรินอยู่บนเตียงมังกร และเพื่อความสมจริงหลายวันมานี้ลู่เยี่ยนจึงไม่ได้โกนหนวด
พอนึกขึ้นได้ว่าวันมะรืนต้องไปร่วมงานอีเวนต์ ลู่เยี่ยนก็เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเตรียมเคลียร์ตอหนวด
เขาวางมือถือไว้บนชั้นอุปกรณ์ล้างหน้าแปรงฟันและดึงทิชชูมาปิดกล้องหน้าของมือถือ
เพราะสีหน้าท่าทางเวลาพูดจะเป็นวิธีจำแนกมนุษย์หมาป่า เวลาผู้เล่นพูดในช่วงเล่นเกมล่ามนุษย์หมาป่ากล้องหน้าจะถูกบังคับให้เปิด แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่จะไม่เปิดเผยใบหน้าเพราะถึงอย่างไรทุกคนก็เป็นคนแปลกหน้าในโลกออนไลน์ ลู่เยี่ยนเองก็ยิ่งเปิดเผยใบหน้าไม่ได้
ในห้องทำงานกู้ซวีกำลังมองแฟ้มในมืออันเป็นข้อมูลโดยละเอียดของแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดออนไลน์สองสามแห่ง
ปีนี้ตลาดออนไลน์มาแรง มีโอกาสทางธุรกิจเกิดขึ้นมากมาย อีสปอร์ตเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุด เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มไลฟ์สดที่ค่อยๆ เป็นที่นิยมมากขึ้น
เฉินอีหมิง เพื่อนที่โตมาด้วยกันกับกู้ซวีเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มไลฟ์สดแห่งหนึ่ง เขาทำเงินได้ไม่น้อยและไม่เรื่องมาก กู้ซวีรู้สึกว่าไม่เลวจึงตั้งใจจะซื้อกิจการ
หลังใช้เวลาอ่านรายละเอียดพักใหญ่ชายหนุ่มก็โยนเอกสารไปด้านข้าง ก่อนจะหยิบแท็บเลตมาดาวน์โหลดแพลตฟอร์มไลฟ์สดสองสามแห่ง
เพราะแทนที่จะดูข้อมูลสถิติพวกนี้ ไม่สู้พิจารณาจากของจริงเลยดีกว่า
แพลตฟอร์มไลฟ์สดที่เขาดาวน์โหลดมาอันแรกคือโต้วเมา TV กู้ซวีกดเปิดแล้วกวาดตามองไม่กี่ที ในช่องไลฟ์สองสามช่องที่กำลังมาแรงมีผู้ชมจำนวนห้าถึงหกหลัก ถือว่ากระแสดีไม่น้อย
เขากดเปิดช่องไลฟ์ช่องหนึ่ง จำนวนคนดูไม่เยอะ แค่สองสามพันเท่านั้น ทว่าสิ่งที่อยู่ในช่องไลฟ์กลับไม่ใช่หน้าเกมที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นเหมือนคลิปสั้น
คนไลฟ์เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง หน้าตาธรรมดาแต่เสียงหวานมาก “ผู้เล่นเบอร์เจ็ดขอบอกว่าฉันคือผู้หยั่งรู้ (ชาวบ้านพิเศษ : ในแต่ละคืนจะสามารถดูไพ่ของคนอื่นได้หนึ่งใบ) เมื่อคืนฉันดูไพ่เบอร์แปด เบอร์แปดเป็นไพ่มนุษย์หมาป่า”
กู้ซวีนิ่วหน้า นี่กำลังพูดเรื่องอะไร ทำไมถึงมีคนดูตั้งสองสามพันคน
ชายหนุ่มเตรียมกดออกจากช่องไลฟ์ แต่น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มคนหนึ่งกลับดังขึ้นมาเสียก่อน
“ฮ่ะ” เสียงหัวเราะอย่างเย็นชานำหน้ามาก่อน “เบอร์แปดเป็นไพ่นายพราน (ชาวบ้านพิเศษ : หลังตายแล้วจะสามารถยิงผู้เล่นคนใดก็ได้ให้ตายไปด้วยกันหนึ่งคน) เบอร์เจ็ดตายไปได้แล้ว”
น้ำเสียงนั้นเปี่ยมเสน่ห์แฝงด้วยความเกียจคร้าน ฟังดูคุ้นหูเป็นพิเศษ
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ภาพในกล้องถึงเป็นสีขาวโพลน
ซับกระสุน* ด้านล่างเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย
[เก่งมาก หมาป่าหยั่งรู้ (มนุษย์หมาป่าที่บอกว่าตัวเองคือผู้หยั่งรู้) เลือกไพ่นายพราน นี่เป็นการทำให้เจ้าของไลฟ์ออกห่างจากชัยชนะแล้ว]
[อ๊าๆๆ เสียงของพี่ชายคนนี้ฟังแล้วเคลิ้มจัง!]
[คนเสียงเพราะมักหน้าตาอุบาทว์ ดูคนไลฟ์ก็รู้แล้ว ถ้าหน้าตาไม่อุบาทว์จะปิดกล้องเหรอ]
[ระบบ : XXXXX ถูกผู้ดูแลห้องไลฟ์ระงับการสื่อสารเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง]
ผู้ดูแลแพลตฟอร์มไม่เลวเลย
กู้ซวีเก็บนิ้วกลับมา เขาวางหน้าจอไว้บนโต๊ะทำงานเพื่อรอให้ผู้เล่นเบอร์แปดพูดต่อ
น้ำเสียงคุ้นหูมาก ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร แต่รู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้เปิดปาก
พอผู้เล่นทั้งยี่สิบคนพูดจบก็ถึงตาคนไลฟ์พูดแล้ว ใบหน้าเล็กๆ ของเธอม่อยไปทันที “ช่วยไม่ได้ โคตรซวยเลย ดันกระโดดไปเจอไพ่นายพราน วันนี้ฉันต้องออกจากเกมแล้ว หวังว่าพวกเพื่อนๆ ทีมหมาป่าของฉันจะสู้ๆ นะคะ”
เมื่อคนไลฟ์พูดจบก็ถึงตาผู้เล่นเบอร์แปดคนนั้นพูด
แต่ครั้งนี้ภาพในกล้องของผู้เล่นเบอร์แปดไม่ได้เป็นสีขาวโพลนอีกต่อไป
เพราะภาพในกล้องมีแบ็กกราวนด์เป็นห้องน้ำสีเบจกับ…ร่างเปลือยท่อนบนอันมีชีวิตชีวาของชายหนุ่ม เขามีรูปร่างสูง เส้นกล้ามเนื้อยอดเยี่ยมมาก สัดส่วนพอเหมาะไม่เกินจริงเกินไป ผิวขาวสว่าง มีผ้าขนหนูสีขาวหนึ่งผืนเกาะอยู่ที่เอวแบบหลวมๆ เห็นวีไลน์* รำไร ดูเย้ายวนอย่างที่สุด
แต่กล้องจับภาพได้แค่ช่วงต่ำกว่าคอลงไป เป็นการถ่ายแบบไม่เห็นหน้า
คนไลฟ์สาว “อ๊าๆๆ! สวรรค์! นี่มันอะไร! อา…ฉันจะเป็นลม!”
พูดจบเธอก็ใช้สองมือปิดตา แต่กลับแยกนิ้วกลางกับนิ้วชี้เป็นช่องใหญ่อย่างเจ้าเล่ห์มาก
[วะฮ่าๆ คนไลฟ์เลิกแสดงได้แล้ว อยากมองก็มองให้เต็มตาเลยสิ!]
[หุ่นแบบนี้ทำเอาเลือดกำเดาฉันจะไหล ตะ…แต่กูเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ]
[รายงาน! ฉันจะรายงาน! ว่ามีการไลฟ์ลามก!]
[เหอะๆ หุ่นแบบนี้เหรอดี ยังกล้ามใหญ่สู้ฉันไม่ได้เลย]
[เดี๋ยวนี้ใครชอบกล้ามใหญ่เหมือนปูกัน แบบนี้สิกำลังดี เลียแผล็บๆ!]
เพียงชั่วอึดใจจำนวนคนในห้องไลฟ์ก็เด้งขึ้นเป็นห้าหลัก คนไลฟ์เลยเปลี่ยนชื่อห้องไลฟ์เป็น ‘เจอหนุ่มหล่อล่ำในเกมล่ามนุษย์หมาป่า!’ อย่างสมองไว ทำให้คนจำนวนมากกรูกันเข้ามาในชั่วพริบตา
กู้ซวีหรี่ตาลง
ชายในกล้องยังไม่สังเกตถึงความผิดปกติ เขายกมือขวาขึ้นและโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย มีเสียงหึ่งๆ ของเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้คนเกินครึ่งในห้องไลฟ์ตอนนี้เดาได้ว่าเขากำลังโกนหนวด
“หืม? เบอร์เจ็ดกลัวแล้วเหรอ ความจริงฉันไม่ใช่ไพ่นายพรานแต่เป็นไพ่ชาวบ้าน ฉันแค่ขู่เท่านั้น ทำไมถึงขวัญอ่อนขนาดนี้” ชายหนุ่มพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ในเมื่อฉันหลอกล่อหมาป่าตัวหนึ่งออกมาได้ก็แสดงว่าฉันไม่ใช่ไพ่มนุษย์หมาป่า หวังว่าคนดีในเกมจะไม่ระแวงฉันนะ”
พูดจบเขาก็หยุดมือแล้วก้มหน้าลงมาที่อ่างล้างหน้า ก่อนจะเปิดน้ำ เตรียมล้างคาง
จากนั้นทุกคนก็เห็นชายหนุ่มก้มตัวมองกระจกอย่างเหวอๆ แล้วมือที่กำลังวักน้ำก็หยุดชะงัก
คิ้วตาคมคาย จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง เป็นภาพของลู่เยี่ยนที่กำลังตะลึงงัน ข้างริมฝีปากที่เผยอเล็กน้อยของเขายังมีฟองติดอยู่ เมื่อรวมเข้ากับร่างเปลือยท่อนบนของชายหนุ่มก็เป็นภาพที่เซ็กซี่มาก
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่สองสามวินาทีก่อนที่ห้องไลฟ์จะระเบิดในชั่วพริบตา คนไลฟ์ร้องกรี๊ดพลางเปลี่ยนชื่อห้องไลฟ์เป็น ‘เกมล่ามนุษย์หมาป่าเจอลู่!เยี่ยน!!!’ อย่างว่องไว
หน้าไลฟ์ในแท็บเลตถูกซับกระสุนบดบังจนมิด มองไม่เห็นรอยแยกเลยแม้แต่น้อย
กู้ซวีจุปากเบาๆ แล้วยกมือขึ้นปิด…ซับกระสุน
ด้านลู่เยี่ยนได้แต่ทำหน้าเหวอ มองทิชชูที่ไม่รู้ว่าตกลงพื้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ไม่นานเขาก็ได้สติ รีบเช็ดมือแล้วหยิบมือถือขึ้นมาให้กล้องจับภาพเหนือลำคอ
จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมหน้าเหมือนนักแสดงชายสักคนหรือเปล่าครับ”
ในซับกระสุนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
[ฮ่าๆๆๆๆ เหมือนสิ เหมือนนักแสดงชายที่ชื่อลู่เยี่ยนเลย!]
[เหล่ากง*! เหล่ากง! เหล่ากง!!]
[แม่เจ้า ฉันคุกเข่าขอคลิปเปลือยท่อนบนเมื่อกี้ด้วยเถิด! QAQ**!]
[ขายรูปกล้ามของลู่เยี่ยน ราคา XX หยวน ใครต้องการซื้อโปรดแอด XXXXX]
พอลู่เยี่ยนพูดจบ ผู้เล่นคนอื่นๆ ก็กดไอเทมอย่าง ‘การ์ดเพิ่มเวลา’ ทำให้เวลาพูดถูกขยายขึ้นจากหนึ่งนาทีเป็นสิบนาทีทันที ลู่เยี่ยนถอนหายใจ ดูท่าเขาจะเสแสร้งต่อไปไม่ได้แล้ว
ชายหนุ่มเงยหน้า เลิกดิ้นรนและขยิบตาให้กล้อง “นานๆ ผมถึงจะได้ผ่อนคลายนิดหนึ่ง หวังว่าทุกคนจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะครับ ผมถือไพ่ชาวบ้าน ขอพูดแค่นี้ครับ”
ทว่าตอนนี้มีแค่ลู่เยี่ยนคนเดียวที่ยังพูดเรื่องเกมอยู่ เพราะผู้เล่นคนหลังๆ ต่างยิ้มเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว บางคนขอช่องทางติดต่อเขา บางคนขอเพิ่มเพื่อนเพื่อเล่นเกมกับเขา ทุกคนต่างบอกว่าขอแค่เขายอมเพิ่มเพื่อนก็จะช่วยเขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
พอถึงคราวผู้เล่นเบอร์เจ็ดพูด เด็กสาวแสร้งทำเป็นเคร่งขรึมพร้อมกล่าว “ผู้เล่นเบอร์เจ็ดขอบอกว่า…เยี่ยนเยี่ยนเหล่ากงคะ ฉันอยากช่วยคุณเก็บความลับนะ แต่ฉันไลฟ์ในโต้วเมา TV อยู่ และในห้องแชตของฉันตอนนี้มีผู้ชมสามแสนคนแล้ว…”
* คำว่า ‘จิง’ ในชื่อของเฉิงจิง หมายถึงผลึกที่ส่องประกายแวววาว
* ซับกระสุน คือซับไตเติ้ลหรือคอมเมนต์ที่เอาไว้บอกความรู้สึกของตนเองกับผู้อื่น โดยซับกระสุนจะเป็นตัววิ่งที่อยู่บนหน้าจอการไลฟ์หรือสตรีมมิ่งบนแพลตฟอร์มของจีน
* วีไลน์ (V Line) หมายถึงร่องที่สไลด์ลงเป็นรูปตัววีอยู่บริเวณกล้ามเนื้อหน้าท้อง โดยเริ่มจากส่วนบนของกระดูกเชิงกรานไปยังบริเวณหัวหน่าว
* เหล่ากง เป็นคำที่ภรรยาใช้เรียกสามี
** QAQ เป็นภาษาอินเตอร์เน็ต แสดงถึงท่าทางน้ำตาคลอ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.