X
    Categories: everYคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1

ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย

แปลโดย : ปราณหยก

  

ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ 

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

  

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 9

 

“…”

มือที่กำลังเป่าผมของลู่เยี่ยนหยุดชะงัก

ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด นี่คือตั้งใจจะขอนอนกับเขาใช่ไหม

ลู่เยี่ยนจึงตอบกลับสั้นๆ อย่างตรงไปตรงมาทันทีแบบไม่ต้องหยุดคิด

 

ลู่เยี่ยน ผมชอบผู้ชายครับ ^_^

 

ความจริงแล้วคนที่รู้ว่าลู่เยี่ยนไม่ได้ชอบผู้หญิงมีไม่เยอะ มีแค่หลินอันหนึ่งคน เสี่ยวหลิวหนึ่งคน แม้แต่ลู่เหมี่ยวก็ไม่รู้ แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะคนที่เขาอยากพาไปเจอผู้ใหญ่ยังไม่ปรากฏตัว และบังเอิญว่าในด้านนี้ลู่เหมี่ยวเองก็เลี้ยงลูกแบบให้อิสระเต็มที่ ไม่เคยเร่งให้ลู่เยี่ยนมีแฟน แต่งงาน มีลูก ลู่เยี่ยนเลยไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

สาเหตุที่เขาสารภาพเรื่องนี้ให้ซือฉิงรู้…เพราะต่อไปพวกเขายังต้องอยู่ด้วยกันถึงสองสามเดือน ลู่เยี่ยนเลยไม่อยากเพิ่มเรื่องยุ่งยาก นอกจากนี้เขายังไม่เคยเจอคนแบบซือฉิง หากคว้าคนในวงการมาสิบคนจะมีคนแบบเขาห้าคน และในคนเหล่านี้จะมีคู่ไปแล้วสี่คน ลู่เยี่ยนเลยไม่ห่วงว่าอีกฝ่ายจะเอาเขาไปแฉ

มือถือตกอยู่ในความเงียบราวห้านาที

ต่อจากนั้นข้อความในวีแชตก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอมือถืออย่างบ้าคลั่ง

 

ซือฉิง นายยังจะมา ^_^ อีกเหรอ

ซือฉิง แม่เจ้า ผู้ชายแท้ๆ ตายกันไปหมดแล้วเหรอ

ซือฉิง ดาราชายที่เจ๊ร่วมงานด้วยสองเรื่องแม่งเป็นเกย์กันหมด???? จะไม่เหลือทางรอดให้กันเลยหรือไง

ซือฉิง ถือว่าฉันขอร้องพวกนาย แบ่งเศษเหลือๆ มาให้หน่อยได้ไหม

 

การตัดพ้อของซือฉิงทำให้ลู่เยี่ยนอดหัวเราะออกมาไม่ได้

 

ลู่เยี่ยน ผมเห็นคุณเป็นเพื่อน แต่คุณกลับอยากนอนกับผม.jpg

 

เขาเพิ่งจะส่งอีโมติคอนออกไป ระบบก็แสดงตัวอักษรขนาดเล็กหนึ่งแถวขึ้นมาทันที

 

[อีกฝ่ายปฏิเสธข้อความจากคุณ]

 

เป็นดาราที่มีเสน่ห์แบบไม่เสแสร้งจริงๆ ลู่เยี่ยนหลุดขำขณะเสียบสายชาร์จมือถือ จังหวะที่กำลังเตรียมนอนพักผ่อนนั้นลู่เหมี่ยวก็โทรเข้ามาพอดี

ลู่เยี่ยนรับสาย “แม่ครับ”

“เสี่ยวเยี่ยน ยังไม่นอนอีกเหรอลูก”

ลู่เยี่ยนดูเวลา สี่ทุ่ม

ชายหนุ่มยิ้ม “ยังครับ แม่กินมื้อเช้าแล้วหรือยังครับ”

เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนลู่เหมี่ยวในช่วงวันหยุดสี่วันนี้ แต่ลู่เหมี่ยวมีงานต้องบินไปสหรัฐอเมริกา เธอบอกว่าต้องอยู่ที่นั่นครึ่งเดือนกว่าถึงจะกลับมาได้

“กำลังกินจ้ะ” น้ำเสียงของลู่เหมี่ยวฟังดูง่วงงุน ดูแล้วน่าจะยังปรับตัวเรื่องเวลาไม่ได้ “แม่ไม่ได้เจอลูกเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ไว้แม่กลับไปจะไปหาลูกที่กองถ่ายนะ”

“อย่าเลยครับ” ลู่เยี่ยนรีบบอก “ถ้าแม่กลับมาแล้วบอกผมหน่อยนะครับ ผมจะบินกลับไปหาแม่”

“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกัน ลูกถ่ายงานเหนื่อยขนาดนี้ ถ้าขอลาทีมงานเขาก็เสียเวลาน่ะสิ เอาแบบนี้แหละ ถึงตอนนั้นแม่จะไปหาลูกที่กองนะจ๊ะ”

อย่ามองแต่ว่าลู่เหมี่ยวพูดจาอ่อนหวาน เพราะความจริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและหัวรั้นมากคนหนึ่ง ส่วนใหญ่เรื่องที่เธอตัดสินใจลงไปแล้วไม่ว่าใครก็พูดให้เธอหวั่นไหวไม่ได้ เมื่อลู่เยี่ยนได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็เลิกพูดมาก “งานไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ”

“มีปัญหานิดหน่อยนะ เรื่องรายละเอียดที่ตัดสินใจไม่ได้มาตลอด แต่อีกสองสามวันก็แก้ไขได้ จริงสิ…” ลู่เหมี่ยวยิ้ม “เพื่อนแม่บอกว่าไม่ได้มาอเมริกานานมากแล้วเลยจะให้แม่อยู่เที่ยวเป็นเพื่อนด้วยสักพักนะ”

ลู่เหมี่ยวเพิ่งพูดจบ ลู่เยี่ยนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงอยู่ในสาย เหมือนเธอนั่งอยู่ข้างลู่เหมี่ยว

“ลูกชายเธอเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นถาม พอได้รับคำตอบก็พูดต่อว่า “ลู่เยี่ยน วางใจได้ เราช็อปปิ้งเสร็จแล้วจะกลับนะ! เธอกับกู้ซวีก็ตั้งใจทำงานเหมือนกันล่ะ!” ประโยคหลังตั้งใจพูดให้ลู่เยี่ยนที่อยู่ในสายได้ยิน

เมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนี้ก็ทำให้ลู่เยี่ยนรู้ฐานะของเธอได้ทันทีว่าเธอคือแม่ของกู้ซวี ในคำพูดประโยคหลังถึงได้มีการกำชับกันแบบติดตลก

ลู่เยี่ยนตอบรับยิ้มๆ “ครับคุณป้า”

 

ลู่เยี่ยนไปแล้ว แต่กู้ซวียังคงอยู่ในท่าเดิมและมีอาการเหม่อลอย

เขาให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นที่ส่วนตัวมากถึงขั้นที่ว่าแม้แต่สวีเฟยยังเคยเข้ามาบ้านของเขาแค่ครั้งเดียว แถมยังเป็นการมาเอาเอกสารสำคัญด้วย

แต่เมื่อครู่นี้ตอนลู่เยี่ยนมายืนอย่างมึนงงอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเขาพร้อมฟองเต็มศีรษะและมองจ้องเขาด้วยดวงตาดำขลับ ปฏิกิริยาตอบรับตามสัญชาตญาณของเขากลับเป็นการเบี่ยงตัว เปิดทางให้ลู่เยี่ยนเดินเข้ามา

ความหมายที่ลู่เยี่ยนพูดก่อนไปคืออีกฝ่ายเคยมาหากู้ซวีหลายรอบแล้วหรือ

ทันใดนั้นกู้ซวีก็คิดถึงภาพของลู่เยี่ยนที่กินข้าวจนสองแก้มป่อง ริมฝีปากปิดสนิทไม่ส่งเสียง แต่กลับกระตุ้นความหิวของคนอื่นได้อย่างมาก

ส่วนเรื่องที่ว่าหิวอะไรนั้นกู้ซวียังไม่แน่ใจ

เขาหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาสวีเฟย

สวีเฟยรับสายอย่างรวดเร็ว “ประธานกู้”

“ช่วงนี้ยังมีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ช่วงค่ำอีกกี่ครั้ง”

“มีทั้งสองวันคือพรุ่งนี้กับมะรืนนี้ครับ”

“อืม” กู้ซวีลุกขึ้น ก่อนจะปิดแฟ้มและพูดตัดบทอีกฝ่าย “ไม่ประชุมที่บริษัทนะ”

จนกู้ซวีวางสายไปแล้ว สวีเฟยถึงค่อยมารู้ตัวทีหลัง

การวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ประเภทนี้ค่อนข้างมีข้อจำกัดด้านสถานที่ เพราะต้องเป็นที่ที่เงียบสงบและเก็บความลับได้ดีถึงจะเปิดประชุมได้ ที่บอกว่าจะไม่ประชุมที่บริษัท…ประธานกู้จะประชุมที่บ้านเหรอ

เป็นไปไม่ได้ คนที่ให้ความสำคัญเรื่องความเป็นส่วนตัวอย่างประธานกู้จะใช้บ้านของตัวเองเป็นพื้นหลังในการประชุมได้ยังไง สวีเฟยสะบัดศีรษะ ก็เรื่องของเขาสิ ไม่ประชุมที่บริษัทสิยิ่งดี สองสามวันนี้เขาจะได้ไม่ต้องแสร้งทำโอทีอยู่ที่บริษัทถึงห้าทุ่มเที่ยงคืน

ในช่วงสองสามวันที่ประธานกู้มีประชุมทางไกล อารมณ์เคียดแค้นในบริษัทได้บังเกิดความรุนแรงเป็นพิเศษ เพราะทุกคนต่างพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เบื้องบนเห็นเลยเลือกที่จะฝืนทนจนถึงนาทีที่ประธานกู้เดินออกจากตึกของบริษัทไป

ถึงประธานกู้จะดูแลเรื่องมื้อค่ำ แต่พวกเขาก็ไม่อยากได้อาหารมื้อนี้เลยจริงๆ นะ หงิงๆๆ

 

‘บทเพลงแห่งสงคราม’ เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของลู่เยี่ยนกับเฉินจิง ในการประชุมก่อนหน้านี้พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำทุกอย่างแบบเงียบๆ ไม่มีการออกประกาศช่วงเวลาถ่ายทำ ไม่กระตุ้นกระแส สงบอกสงบใจจนกว่าจะถ่ายทำเสร็จ

พูดง่ายๆ คือพวกเขาตั้งใจจะสร้างข่าวใหญ่

ซือฉิงกับลู่เยี่ยนต้องเก็บตัวเป็นเวลาสามเดือน จากนั้นค่อยพาภาพยนตร์เข้าไปสู่สายตาของประชาชน บุกเข้าไปในรายชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ ถึงขั้นชิงตำแหน่งราชาและราชินีภาพยนตร์คนต่อไป

ด้วยเหตุนี้เรื่องที่ลู่เยี่ยนออกจากเมืองหลวงจึงถูกเก็บเป็นความลับ เมื่อเขาลงจากเครื่องบินและเช็กอินเข้าโรงแรมก็ตั้งใจโพสต์เวยป๋อโดยแนบภาพกระบองเพชรหนึ่งกระถางที่เขาเลี้ยงไว้ที่บ้าน

 

ความรู้สึกของการได้พักผ่อนนี่มันดีจริงๆ [ภาพประกอบ]

 

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงเลี้ยงต้นกระบองเพชรนั้น สำหรับคนที่กลับบ้านสองสามเดือนครั้งอย่างเขา ดูเหมือนจะมีแต่ต้นไม้พันธุ์นี้ที่ค่อนข้างเหมาะสม

ลู่เยี่ยนพักผ่อนครึ่งวัน ตอนบ่ายก็ไปที่สตูดิโอ

เฉินจิงมาถึงล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน ตอนนี้กำลังจับผิดเรื่องฉาก “เธอหาฉากบังลมที่ดีกว่านี้ให้ฉันไม่ได้หรือไง ไม่เห็นรูนี่เลยเหรอ หรือจะเก็บไว้ให้ซือฉิงโชว์หัวแม่เท้า!”

ซือฉิงกำลังนั่งว่างๆ อยู่ด้านข้างแถมยังไขว่ห้าง เธอพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คุณไม่ต้องพูดแล้ว แม่หนูเขาตกใจจะแย่ อย่างมากฉันก็เอาหัวแม่เท้าซ่อนไว้ในตะเข็บ จะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหนา”

เด็กสาวที่ดูแลเรื่องฉากยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้าง เตรียมย้ายฉากบังลมออกไปอย่างว่าง่าย แต่จนใจที่ฉากบังลมใหญ่เกินไป เธอยกมันได้แค่สองวินาทีก็ต้องปล่อยมือ

ลู่เยี่ยนเลยก้าวออกไปช่วยยก พูดยิ้มๆ “ฉันช่วยนะ”

เด็กสาวหน้าแดงแปร๊ด พูดเสียงเบา “ขอบคุณค่ะพี่เยี่ยน”

พอลู่เยี่ยนกลับมา ซือฉิงก็กลอกตามองเขาหนึ่งครั้ง ท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นมาก “ไม่ชอบผู้หญิงแต่หว่านเสน่ห์ใส่เด็กผู้หญิง ไก่เผ็ด*!”

ลู่เยี่ยนหลุดขำและรับคำตามน้ำไปว่า “ต่อไปผมจะปรับปรุงแน่นอนครับ”

หลังพิธีเปิดกล้องอย่างเรียบง่ายเฉินจิงก็ตะโกนว่าถ่ายทำทันที

บทของลู่เยี่ยนเป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งชื่อเสิ่นจง มีผลงานการทำศึกโดดเด่น ไม่เคยรบแพ้ จึงกลายเป็นเทพแห่งสงครามที่อยู่ในใจของราษฎรในสมัยนั้น ส่วนบทที่ซือฉิงแสดงคือยอดพธูแห่งหอคณิกาที่มีชื่อว่าขุยจี**

ตอนที่เสิ่นจงนำชัยชนะกลับมา เขาเห็นยอดพธูขุยจีที่แอบอิงอยู่ข้างเสาไม้ของหอคณิกาแล้วบังเกิดรักแรกพบ เสิ่นจงจึงปฏิเสธขุนนางผู้ทรงอำนาจทุกคนที่ตั้งใจจะยกบุตรสาวของตนให้แต่งเข้าจวนแม่ทัพ เขาไม่สนใจว่าจะผิดประเพณี ใช้เกี้ยวแปดคนหามไปสู่ขอขุยจี ทำให้พวกขุนนางกังฉิน* ที่ชื่นชอบทักษะการวางแผนชิงอำนาจรู้สึกว่านี่เป็นการดูหมิ่นพวกเขา จึงร่วมมือกันทูลเกล้าถวายหนังสือร้องเรียนเสิ่นจง ทางด้านฮ่องเต้เองก็ไม่พอใจเรื่องนี้เช่นกัน ประกอบกับพระชนมายุยังน้อย ไม่มีความสามารถในการแยกแยะขุนนางดีชั่ว จึงลงโทษให้เสิ่นจงไปเฝ้าประตูเมืองเป็นเวลาสามปีทันที

เพราะความโฉดเขลาของฮ่องเต้ ไม่ถึงหนึ่งปีบ้านเมืองก็ถูกแคว้นข้าศึกตีเอาเมืองไปจำนวนไม่น้อย ฮ่องเต้น้อยร้อนใจจึงรีบเรียกเสิ่นจงให้กลับมานำทัพออกศึก

แต่เสิ่นจงกลับพ่ายแพ้เพราะฮ่องเต้ให้ทหารเขาเพียงสี่พัน แล้วจะไปต่อกรกับยอดทหารจำนวนหกหมื่นของผู้อื่นได้อย่างไร เสิ่นจงจึงทำศึกจนตัวตายในสมรภูมิ บ้านเมืองถูกตีแตก ฮ่องเต้นำเหล่าขุนนางไปคุกเข่าต้อนรับทัพข้าศึกเข้าเมือง วันนั้นขุยจีได้กระโดดลงมาจากด้านบนของประตูเมืองที่เสิ่นจงประจำการเป็นเวลาหนึ่งปี

ถึงในเรื่องย่อจะมีฉากดราม่าเยอะ แต่พอถ่ายทำขึ้นมาจริงๆ กลับมีรายละเอียดเรื่องการสู้รบของเสิ่นจงเยอะกว่า

เมื่อมีรายละเอียดเรื่องการสู้รบเยอะก็แปลว่าลู่เยี่ยนต้องลำบากกว่านักแสดงคนอื่นๆ แค่หนึ่งสัปดาห์สั้นๆ น้ำหนักของเขาก็หายไปไม่น้อย

หลังถ่ายฉากการต่อสู้ของวันนี้เสร็จลู่เยี่ยนก็เตรียมตัวกลับโรงแรม แต่เฉินจิงขวางเขาไว้แล้วถามว่า “ข้าวกล่องของกองถ่ายไม่อร่อยเหรอ”

ยังไม่ทันได้คำตอบจากลู่เยี่ยน ซือฉิงก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “เรื่องนี้ยังต้องถามด้วยเหรอคะ แค่หน้าก็เล็กลงไปเป็นกองแล้ว ชิ เลี้ยงยากกว่าฉันอีก”

พอได้อยู่ด้วยกันสองสามวันลู่เยี่ยนก็เริ่มเข้าใจซือฉิงมากขึ้น แม้เธอจะพูดจาไม่น่าฟังแต่นิสัยไม่ได้เลวร้าย ในช่วงสองวันนี้หญิงสาวให้ผู้ช่วยส่งผลไม้มาให้เขาหลายรอบ เป็นคนประเภทปากคมเหมือนมีด แต่ใจอ่อนเหมือนเต้าหู้ของแท้

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “เปล่าครับ อร่อยมาก”

เฉินจิงโบกมืออย่างไม่แยแส “เอาเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะให้คนเปลี่ยนร้าน อย่าให้พอถ่ายเสร็จนักแสดงก็ผอมซูบจนพวกแฟนคลับโพ** เมียของนายเข้าใจไปว่ากองฉันทารุณนาย”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ แต่ถ้าคุณสงสารผมก็ช่วยควักกระเป๋าจ่ายเงินหาสแตนด์อินให้ผมสักคนสิ” ลู่เยี่ยนล้อเล่น เพราะความจริงแล้วเขาแค่พูดไปอย่างนั้น เรื่องสแตนด์อินนั่นอย่าว่าแต่เฉินจิงจะไม่ยอมเลย ตัวเขาเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน

ซึ่งก็เป็นดังคาดเพราะเฉินจิงถลึงตาใส่ลู่เยี่ยนอย่างโมโห “พอไว้หน้าหน่อยนายก็ได้คืบจะเอาศอกเลยเรอะ ไสหัวไปเลย กลับไปนอนไป๊”

 

ระหว่างทางกลับโรงแรมเสี่ยวหลิวก็มีสีหน้าเป็นห่วงเหมือนกัน “พี่เยี่ยนครับ ไม่งั้นพี่อย่ากินข้าวกล่องกองเลย พรุ่งนี้ผมจะหาของอร่อยไปให้พี่กินเองดีไหมครับ”

ลู่เยี่ยนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ที่นี่มีของอร่อยที่ไหน อาหารข้างนอกอาจสู้ข้าวกล่องกองไม่ได้ด้วยซ้ำ”

นี่เป็นเรื่องจริง เพราะสตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ในช่วงแรกนี้เป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล กว่าจะขับรถเข้าเมืองได้ต้องใช้เวลายี่สิบนาที อีกทั้งในแถบนี้นอกจากกองถ่ายแล้วก็ไม่มีใครมาเลย ห้องพักหรูที่เขาพักอยู่ตอนนี้ถึงจะบอกว่าเป็นห้องหรูแล้วแต่ก็ยังสู้ห้องมาตรฐานในเมือง B ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในละแวกนี้มีของอร่อยอะไรไหม เพราะตลอดเส้นทางมีขายแต่ข้าวกล่อง

เสี่ยวหลิวไม่สบายใจ “ไม่ได้ครับ กว่าจะถ่ายจบ กลับไปพี่อันเห็นพี่ผอมลงเป็นกอง ผมคงอธิบายให้เขาฟังไม่ได้ ผมจะไปเดินดูแถวนี้ว่ามีของที่พี่ชอบกินหรือเปล่า”

เพื่อความสะดวกแล้วโรงแรมที่เฉินจิงจองเอาไว้จึงตั้งอยู่ในพื้นที่ติดกับสตูดิโอ เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึง พอเสี่ยวหลิวพูดจบก็หันหน้าเดินไปหาร้านอาหารด้วยตัวเอง

ลู่เยี่ยนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เพราะเขาแค่ผอมลงสองสามจิน* ไม่ได้ลดลงเยอะขนาดนั้นเสียหน่อย ไว้ถ่ายเสร็จกินเยอะๆ สักสองมื้อก็กลับมาอ้วนแล้ว

ชายหนุ่มเพิ่งกลับมาถึงห้องพักในโรงแรม มือถือก็ดังติ๊ง เขาเหลือบไปมองอย่างไม่ได้คิดอะไร

 

[ไม่อยู่บ้าน]

ผู้ส่ง : กู้ซวี

 

ไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน เหมือนเป็นประโยคบอกเล่า

 

* ไก่เผ็ด ในภาษาจีนคือคำว่า ‘ล่าจี’ (辣鸡) ซึ่งออกเสียงคล้ายกับคำว่า ‘ลาจี’ (垃圾) หมายถึงขยะ คำว่าไก่เผ็ดจึงกลายเป็นคำด่า หมายถึงคนสารเลว ไม่มีดี

** จี เป็นคำที่มีความหมายถึงหญิงงามในสมัยโบราณ มักใช้เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อแซ่ของสตรี และยังมีความหมายถึงนางรำ นางสนม รวมถึงนางบำเรอด้วย

* ขุนนางกังฉิน หมายถึงขุนนางที่คิดคด ไม่ซื่อสัตย์

** โพ มาจากคำว่า Position หรือตำแหน่ง โดยแฟนคลับส่วนมากมักแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ได้แก่ โพแม่ คือกลุ่มแฟนคลับที่มองศิลปินเป็นลูก จึงให้การดูแลเหมือนลูก และโพแฟนหรือโพเมีย คือกลุ่มแฟนคลับที่มองศิลปินเป็นแฟน อยากเป็นแฟนหรือภรรยาของเขา

* จิน เป็นหน่วยชั่งของจีน มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม

 

บทที่ 10

 

ลู่เยี่ยนชะงักไป ก่อนหน้านี้เขาได้เบอร์โทรศัพท์ของกู้ซวีมาแล้วแต่ไม่เคยติดต่อไปหาอีกฝ่ายเลย และถ้าพูดกันตามเหตุผลกู้ซวีน่าจะไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเขา

ชายหนุ่มหยุดคิดแล้วตอบว่า

 

[ผมถ่ายงานอยู่ที่สตูดิโอ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ]

 

กู้ซวีตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ

 

[เปล่า แค่น้ำไม่ไหล เลยอยากมาขอใช้น้ำ]

 

ท่อประปาคอนโดฯ นี้ใช้การไม่ได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ลู่เยี่ยนค่อนข้างเหนื่อย ขี้เกียจพิมพ์ เลยโทรศัพท์ไปหาแทน

น้ำเสียงของกู้ซวีดูค่อนข้างแปลกใจ “ฮัลโหล?”

“ท่อประปาบ้านคุณก็แตกเหมือนกันเหรอครับ” ลู่เยี่ยนนึกถึงสภาพตัวเองตอนที่มีฟองเต็มศีรษะแล้วคิดว่าตอนนี้กู้ซวีจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันหรือเปล่า มันทำให้เขาอดขำไม่ได้ “ไม่รู้ว่านิติฯ ซ่อมท่อประปาบ้านผมเสร็จหรือยัง คุณลองเข้าไปดูนะ คุณรู้รหัสอยู่แล้ว”

“ได้” กู้ซวีจับกระแสเหนื่อยล้าในน้ำเสียงของลู่เยี่ยนออกเลยเงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เหนื่อยมากไหม”

“หา? ยังไหวครับ ถ่ายมาทั้งวัน ได้นอนสักตื่นก็หาย”

ลู่เยี่ยนเพิ่งพูดจบเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มลุกขึ้น “รอแป๊บนะครับ ผมขอไปเปิดประตูก่อน”

เสี่ยวหลิวยืนอยู่นอกประตู เขาชูถุงในมือขึ้นแล้วพูดอย่างอวดๆ “พี่เยี่ยนครับ ผมเห็นว่าข้างนอกมีขายกุ้งมังกรเล็ก ผมลองชิมแล้ว รสชาติดีมาก! เลยเอากลับมาฝากพี่ชุดใหญ่ ใส่หมาล่าด้วย รีบชิมดูนะครับ”

เสี่ยวหลิวเดินเข้ามาในห้องแล้วเอากุ้งมังกรเล็กวางลงบนโต๊ะ ปากยังคงพูดเสียงแจ้วๆ “ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะหาน้ำแกงบำรุงร่างกาย แต่แถวนี้ไม่มีน้ำแกงบำรุงร่างกายขายเลย ในนี้เพิ่มพริกไทยกับผงชูรสด้วย ผมบอกพี่อันว่าช่วงนี้พี่ผอมลงไปเยอะมาก พี่อันบอกว่าไหนๆ เราก็ต้องถ่ายงานกันอีกสองสามเดือน ให้ผมซื้อหม้อชามรามไหมาทำอาหารที่โรงแรมเอง แต่ผมทำอาหารเป็นที่ไหนกันล่ะ หรือไม่พรุ่งนี้ผมจะไปดูว่าพอจะหาเชฟสักคนมาทำอาหารให้เราสักสองสามเดือนได้หรือเปล่า”

ลู่เยี่ยนใช้มือปิดช่องไมโครโฟนมือถือและลดเสียงให้เบาลง “ฉันกินข้าวกล่องได้ ไม่ต้องยุ่งยากหรอก นายกลับไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

เสี่ยวหลิวเห็นลู่เยี่ยนกำลังคุยโทรศัพท์ก็รีบถอยออกจากห้อง “งั้นผมกลับก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับพี่เยี่ยน!”

ลู่เยี่ยนเพิ่งจะปิดประตูก็ได้ยินกู้ซวีบอกว่า “กระเพาะไม่ดีก็อย่ากินของเผ็ด”

เอ๋? ปิดช่องไมโครโฟนยังไงอีกฝ่ายถึงได้ยินได้ล่ะนี่ แต่ปากของลู่เยี่ยนรับคำว่า “ไม่กินครับ เดี๋ยวผมจะโยนทิ้ง” พลางเปิดถุงพลาสติกดู

มีเสียงน้ำซ่าๆ ดังมาจากปลายสาย กู้ซวีน่าจะเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้ว อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ “ผมได้ยินเสียงคุณเปิดถุง”

ลู่เยี่ยนเลยหยุดการเคลื่อนไหว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ “ผมเตรียมจะเอาออกไปทิ้งต่างหาก”

“ถ่ายงานที่ไหน”

ลู่เยี่ยนตอบตามความจริง “เมือง J ครับ เป็นพื้นที่ห่างไกล”

ทั้งคู่คุยกันอีกสองสามประโยคแล้ววางสาย กู้ซวียื่นมือไปปิดน้ำแล้วก้าวยาวๆ ออกจากห้องน้ำ บนตัวสวมสูทสีเทาสุดเนี้ยบ ไม่ได้มีท่าทีว่ามาอาบน้ำเลย

ห้องของลู่เยี่ยนเป็นโทนสีดำ ขาว และเทา พอเจ้าของไม่อยู่บ้านในห้องก็ไม่มีชีวิตชีวาเลย

จังหวะที่เขาเตรียมตัวจะเดินออกไปได้ผ่านถังขยะที่วางอยู่ข้างประตู ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นสีแดงสดที่อยู่ด้านใน เป็นบัตรเชิญงานแต่งงานที่ถูกฉีกออกเป็นสองส่วน มันนอนนิ่งอยู่ในถัง

กู้ซวีเพ่งมองด้วยสองตา แล้วก้มตัวลงไปหยิบขึ้นมากวาดตาดูชื่อที่ลงท้ายบัตรเชิญ

 

‘โจวหมิงและหลิวหมิงอี ขอเรียนเชิญ’

 

วันต่อมาลู่เยี่ยนตกใจตื่นเพราะเสียงกริ่งประตู ชายหนุ่มเดินตาปรือไปเปิด

เสี่ยวหลิวยืนอยู่ด้านนอก “พี่เยี่ยนครับ ขืนยังไม่ลุกอีกจะสายนะ ผมซื้ออาหารเช้ามาแล้ว พอเรากินเสร็จค่อยไปที่สตูดิโอกันนะครับ”

ลู่เยี่ยนผงกศีรษะแล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำไป ขณะที่เสี่ยวหลิวเดินเข้ามาในห้องและจัดการวางบะหมี่เนื้อลงบนโต๊ะแล้วมองถังขยะ ก่อนจะกล่าวอย่างฉงน “พี่เยี่ยนครับ กุ้งมังกรเล็กไม่อร่อยหรือครับ” ทำไมถึงทิ้งทั้งชาม

ลู่เยี่ยนมีแปรงสีฟันอยู่ในปากเลยพูดเสียงอู้อี้ “กระเพาะฉันไม่ดี ต่อไปซื้อของเผ็ดมาให้น้อยลงหน่อยนะ”

ถึงเสี่ยวหลิวจะติดตามอยู่ข้างกายลู่เยี่ยนมานานหลายปี แต่เรื่องอาหารการกินของลู่เยี่ยนในสตูดิโออยู่ในความรับผิดชอบของหลินอัน เสี่ยวหลิวเลยไม่เคยรู้ว่าลู่เยี่ยนเป็นโรคกระเพาะ เขารีบขออภัย “ขอโทษด้วยนะครับพี่เยี่ยน พี่อันไม่เคยบอกผมเลย”

“ไม่เป็นไร ต่อไประวังหน่อยก็พอ”

 

ตอนที่เขาไปถึงสตูดิโอเฉินจิงกำลังบอกบทซือฉิงอยู่ พอเห็นลู่เยี่ยนก็เดินมาหา “วันนี้เป็นไง”

ลู่เยี่ยนยิ้ม “มีวันไหนที่ผมไม่โอเคหรือครับ”

“อวดดี!” เฉินจิงเอาบทที่ม้วนเป็นทรงกระบอกตีศีรษะของลู่เยี่ยนแบบไม่แรงมาก “วันนี้ถ่ายฉากบนเตียง”

ลู่เยี่ยนถาม “ฉากนั้นเป็นฉากของอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอครับ”

เฉินจิงพูดจบก็รีบไปจัดการเรื่องฉาก ไม่ได้สนใจเขาเลย ซือฉิงเลยเดินมา “วันนี้ยังไม่ได้ดูเวยป๋อเหรอ”

“ยังเลย ทำไมเหรอครับ”

“ถังหมิงเกิดเรื่อง เลยต้องเปลี่ยนคน”

ถังหมิงเป็นพระรองเบอร์สาม บทของเขาคือองครักษ์ผู้จงรักภักดีที่ติดตามอยู่ข้างกายแม่ทัพ นับเป็นตัวละครที่น่าชื่นชอบตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่าตอนนั้นศึกแย่งชิงบทนี้ดุเดือดเอาเรื่อง

ลู่เยี่ยนนั่งให้ช่างแต่งหน้าทำงานพลางถือโอกาสเปิดเวยป๋อดู

ในช่องการค้นหายอดนิยมมีแต่ #ถังหมิงเสพยา# #ถังหมิงถูกตำรวจจับ# #กลุ่มเสพยา+1# แถมในช่องการค้นหายอดนิยมของเวยป๋อยังมีรูปถ่ายอีกชุดซึ่งเป็นภาพของถังหมิงที่ถูกพาขึ้นรถตำรวจ ถึงจะมีการเซ็นเซอร์ภาพแล้ว แต่พอผ่านไปสองสามชั่วโมงแล้วไม่มีคนออกมาชี้แจ้ง ย่อมพูดได้ว่าเป็นเรื่องจริง

เรื่องต้องห้ามร้ายแรงที่สุดของศิลปินยุคนี้คือการแตะต้องของพวกนี้ เพราะทันทีที่ถูกจับได้ต่อให้ใช้วิธีประชาสัมพันธ์ดีแค่ไหนก็ล้างมลทินไม่หมด และชาวเน็ตก็จะทำการคว่ำบาตรโดยอัตโนมัติ เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอย่าว่าแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้เลย แม้แต่เส้นทางการเป็นดาราของถังหมิงก็พังพินาศแล้ว

ตำแหน่งพระรองเบอร์สามที่ว่างลงส่งผลให้ฉากของลู่เยี่ยนไม่สามารถถ่ายทำได้ตามปกติ เนื่องจากฉากของพระรองเบอร์สามมีจำนวนไม่น้อย ทุกครั้งที่เสิ่นจงออกรบจะต้องมีเขาอยู่ข้างกาย พวกเขาเลยทำได้แต่เลื่อนเวลาถ่ายทำฉากอื่นขึ้นมาแทน

มิน่าเล่าวันนี้เฉินจิงถึงได้ดูเหมือนกินดินปืนเข้าไป เสียงตวาดอย่างกราดเกรี้ยวของเขาดังก้องไปทั้งสตูดิโอ ขนาดอยู่ในห้องแต่งหน้าก็ยังได้ยินชัดเจน

ซือฉิงเดินเข้ามานั่งข้างลู่เยี่ยน “อีกเดี๋ยวนายห้ามเป็นตัวถ่วงฉันนะ ฉันไม่อยากถูกผู้กำกับเฉินด่า วันนี้เขาดุมาก”

ลู่เยี่ยนยิ้ม “สบายใจได้ครับ ผมเคยถ่ายฉากบนเตียงมาก่อน”

“โอ้?” ซือฉิงฟังแล้วยิ้มจนตาหยี เธอยื่นหน้ามากระซิบถามที่ข้างหูลู่เยี่ยน “แล้วตอนนายถ่าย นายมีอารมณ์หรือเปล่า”

สาวน้อยช่างแต่งหน้าหน้าแดงพลางพูดอยู่ในใจ ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่วงการของพวกคุณนี่มันมั่วจริงๆ

เวลาหนึ่งสัปดาห์นี้ทำให้ลู่เยี่ยนคุ้นเคยกับซือฉิงไม่น้อย พอซือฉิงรู้ว่าเขาเป็นเกย์ ช่วงแรกเธอก็พูดจาทิ่มแทงเขา ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นอ่อยเขาอยู่เรื่อยๆ เหมือนค้นพบความสนุกจากเรื่องนี้

ลู่เยี่ยนเลยชินกับการหยอกเย้าของอีกฝ่าย เขาตอบเสียงเนิบแบบอวดๆ ว่า “ของแบบนี้ต้องดูที่ฝีมือของพี่ฉิงแล้วล่ะครับ”

พูดจบก็โดนฟาดไหล่ ซือฉิงพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “บอกแล้วไงว่าห้ามเรียกพี่!”

 

คาแร็กเตอร์ของบทขุยจีต่างจากดอกบัวขาว* ในเรื่องอื่นๆ ที่ขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่าง เพราะขุยจีเป็นประเภทขายเรือนร่างไม่ขายศิลป์ นางผ่านบุรุษมานับไม่ถ้วน เพียงแย้มสรวลก็ทำให้ใครต่อใครจิตใจปั่นป่วน

ในขณะที่เสิ่นจงเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่ง ครองบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ขนาดอายุยี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่เคยแตะต้องสตรีมาก่อน

ดังนั้นฉากบนเตียงของขุยจีกับเสิ่นจงจึงเป็นขุยจีที่ต้องรับเหมาหยอกล้อล่อลวงเสิ่นจง

ลู่เยี่ยนยังคงสวมชุดเกราะ ส่วนซือฉิงสวมผ้าแพรบางสีแดงสด ฉากหลังเป็นดอกไม้สีสันสดใส ตรงกลางวางเตียงหลังใหญ่ไว้หนึ่งหลัง ซึ่งเป็นห้องหอที่ขุยจีใช้รับแขก

เฉินจิงทำหน้าเหม็นพลางบอกทั้งคู่ว่า “ฉากนี้ถือเป็นฉากสำคัญ พวกเธอสองคนตั้งใจถ่ายให้เต็มที่!”

“ฉันไม่มีอะไรจะบอกพวกเธอมาก แต่เสี่ยวเยี่ยน นายต้องควบคุมสีหน้าไว้ให้ดี และซือฉิง เธอต้องทำตัวเสเพลหน่อย”

ซือฉิงพยักหน้า “วางใจเถอะค่ะ ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้อยู่แล้ว”

เฉินจิง “…”

ลู่เยี่ยน “…”

จากนั้นเฉินจิงจึงกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนบอกสตาฟฟ์ข้างตัวว่า “เอาล่ะ เคลียร์พื้นที่”

ซือฉิงร้อง “ฮะ! ไม่ได้นะคะ จะเคลียร์พื้นที่ทำไม”

เฉินจิงกล่าว “ถ้าไม่เคลียร์พื้นที่แล้วพวกเธอจะถ่ายกันยังไง”

“ฉันไม่ได้ล่อนจ้อนเสียหน่อย อะไรที่ควรใส่ก็ใส่ครบ” ริมฝีปากสีแดงสดของซือฉิงแปรเปลี่ยนเป็นเส้นโค้ง “ถ้าคุณเคลียร์คนออกไปตอนนี้ เกิดมีคนบอกว่าฉันกับลู่เยี่ยนมีอะไรกันจริงๆ ฉันจะทำยังไง ฉันให้ความสำคัญเรื่องความบริสุทธิ์มากนะคะ!”

ลู่เยี่ยนมีความรู้สึกว่าบนใบหน้าน้อยๆ ที่แต่งแต้มอย่างประณีตของซือฉิงมีตัวหนังสือตัวเบ้อเริ่มเขียนว่า ‘ฉันอยากให้ทุกคนเห็นว่าลู่เยี่ยนจะมีอารมณ์หรือเปล่า’ ไว้เต็มหน้า

เมื่อซือฉิงพูดแบบนี้ เฉินจิงย่อมไม่สะดวกที่จะว่าอะไรเลยโบกมือ “ตามใจพวกเธอ เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้เป็นคนถ่าย”

“บทเพลงแห่งสงคราม ฉากที่ยี่สิบสี่ เทกหนึ่ง! แอ็กชั่น!”

สองขาของซือฉิงเปลือยเปล่า มุมปากยกสูง ดวงตาฉายแววเย้ายวน ปลายนิ้วเกี่ยวสายรัดเอวบนชุดเกราะของลู่เยี่ยน ทำให้ลู่เยี่ยนต้องเดินไปที่เตียงกับเธอ

หญิงสาวช่วยลู่เยี่ยนถอดชุดเกราะอย่างนิ่มนวล ลู่เยี่ยนทำอะไรไม่ถูกแต่ฝืนทำหน้านิ่งพลางบอกว่า “ไม่ได้นะ แม่นาง”

“ในเมื่อท่านแม่ทัพเข้ามาในเรือนขุยฮวาของข้าแล้ว เท่ากับเป็นยอดบุรุษของขุยจีในค่ำคืนนี้” ลมหายใจของซือฉิงหอมกรุ่นเหมือนดอกกล้วยไม้ “ท่านวางใจได้ ขุยจีจะพาท่านไปสู่ความสุขสุดยอดในโลกหล้า…”

ระหว่างนั้นสตาฟฟ์สองคนที่พิงประตูสตูดิโอก็ขยับปากถกกัน

“สวรรค์ ซือฉิงสุดยอด เสเพลมาก”

สาวน้อยอีกคนกลืนน้ำลาย “ไม่ไหวๆ ลู่เยี่ยนเซ็กซี่เกินไปแล้ว…”

ลู่เยี่ยนที่อยู่บนเตียงนอนราบ ส่วนซือฉิงนั่งคร่อมอยู่บนตัวของเขา แววตาของชายหนุ่มเลื่อนลอย สองแก้มซับสีแดงเรื่อ ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อยเหมือนกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างแต่ก็มีความสุขสมอยู่จางๆ

สองมือของเขาจิกผ้าห่มที่นอนทับอยู่แน่น เส้นเลือดสีเขียวนูนขึ้นมาจากผิวขาวๆ เล็กน้อย และเพราะออกแรงจึงสามารถมองเห็นเส้นกล้ามเนื้อเป็นลอนบนมือได้รูปสวย

สาวน้อยยกมือปิดหน้า “ลุคนี้ของลู่เยี่ยนเข้ากับซับด้านล่างว่า ‘สุดแล้วแต่นายท่านจะย่ำยี’ ไม่ไหวแล้ว ฉันต้องออกไปข้างนอก ขืนดูต่อฉันต้องทำงานไม่ได้แน่ๆ!”

พูดจบเธอก็หมุนตัวตั้งใจจะจากไป แต่กลับพบว่าที่ด้านหลังของตัวเองมีผู้ชายสวมสูทเนี้ยบคนหนึ่งยืนอยู่ เขารูปร่างสูงใหญ่ กำลังมองดูการถ่ายทำเช่นเดียวกับพวกเธอ

ใบหน้าของชายหนุ่มหล่อเหลา แววตาลึกล้ำ สาวน้อยได้สติทันที เธอพูดทั้งใบหน้าแดงๆ ว่า “คุณมาเทสต์หน้ากล้องบทชิวหรงหรือคะ มาซะเร็วเลย การเทสต์หน้ากล้องจะเริ่มตอนบ่ายค่ะ”

กู้ซวีส่ายหน้า “ผมมาเยี่ยมกองครับ” พูดจบก็เดินเข้าไปในสตูดิโอด้วยฝีเท้าแผ่วเบา

เด็กสาวมองแผ่นหลังของเขาแล้วใช้ไหล่กระแทกเพื่อนที่อยู่ข้างๆ “เธอเห็นหน้าตรงของเขาไหม โคตรหล่อเลย สวรรค์ เขาบอกว่าเขามาเยี่ยมใครในกองนะ”

“ฉันเดาว่าซือฉิง! เธอมีเพื่อนชายที่ตกเป็นข่าวด้วยเยอะไม่ใช่เหรอ”

“คัต!” เฉินจิงตะโกนลั่นก่อนดูภาพรีเพลย์ “โอเคแล้ว! ผ่าน!”

ซือฉิงเอ่ย “ไม่ได้มั้งคะผู้กำกับเฉิน ฉันรู้สึกว่าเมื่อกี้ตัวเองยังแสดงได้ไม่เต็มที่เลย”

เฉินจิงถามว่า “เธอหรือฉันที่เป็นผู้กำกับ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า! เตรียมถ่ายฉากต่อไป!”

ซือฉิงยกขาออกจากตัวลู่เยี่ยน แล้วพูดด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคนอย่างเคืองๆ “ฉันว่านายไม่ได้เบี่ยงเบนหรอก แต่นายใช้การไม่ได้แล้วใช่ไหม ขนาดนี้แล้วยังไม่มีอารมณ์เลยเหรอ”

“น่าโมโหนัก ถ้าให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

ลู่เยี่ยน “…”

ซือฉิงลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเฉินจิง “ผู้กำกับเฉินคะ ฉันว่าหนังเรื่องนี้ของเรายังต้องเพิ่มฉากบนเตียงอีก คุณคิดว่ายังไงคะ”

เฉินจิงกลอกตาใส่หญิงสาว แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากก็มีเสียงบุรุษทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลัง “หนังเรื่องนี้ของพวกคุณเป็นหนังโป๊เหรอ”

ซือฉิงช้อนตาขึ้นมอง กู้ซวียืนอยู่ด้านหลังของเฉินจิง ริมฝีปากมีรอยยิ้มเยาะ เอาล่ะ หนุ่มหล่อสมัยนี้เป็นศัตรูกับเธอหมดแล้วเหรอ

“คุณเป็นใคร!”

ลู่เยี่ยนกำลังจะเดินไปที่ห้องแต่งตัว แต่พอเห็นคนที่ยืนอยู่ทางด้านนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย

ชายหนุ่มเดินเข้าไป “กู้ซวี?”

 

* ดอกบัวขาว เป็นคำเรียกแบบเสียดสีต่อคนที่ภายนอกดูบริสุทธิ์ แต่ความจริงแล้วจิตใจกลับโหดร้าย

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: