ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1
ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11
“คุณมาได้ยังไง”
สีหน้าของกู้ซวีเป็นปกติ “ผมบอกคุณไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่เหรอ”
ลู่เยี่ยนส่ายหน้า บนตัวเขาพันผ้าขนหนูที่สตาฟฟ์เพิ่งส่งมาให้เมื่อกี้แค่ผืนเดียว เขามองกู้ซวีตาปริบๆ
“พอดีผมมาทำงานแถวนี้เลยแวะมาดูคุณทำงาน”
“อ๋อ…” สรุปคือเจ้านายมาดูการทำงานของพนักงานใหม่?
ลู่เยี่ยนเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัว ความจริงคือเขาต้องสวมชุดเกราะที่เพิ่งถอดออกไปอีกครั้ง ในหนึ่งอาทิตย์นี้เขามีประสบการณ์การสวมชุดหนักๆ นี่แล้ว ครั้งแรกที่ใส่ต้องใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้แค่สิบนาทีก็ใส่เสร็จเรียบร้อย
ตอนเดินออกมาเฉินจิงกำลังคุยเล่นกับกู้ซวี
“ประธานกู้ครับ เจ้าหนูลู่เยี่ยนเป็นคนดี อึดถึกทน มีความมานะพยายาม การที่คุณเซ็นสัญญากับเขาไม่มีทางขาดทุนแน่นอน”
กู้ซวีโค้งมุมปากเล็กน้อย “คนข้างนอกบอกว่าลู่เยี่ยนเซ็นสัญญากับผมแล้วเสียเปรียบ”
เฉินจิงถือได้ว่าเป็นผู้กำกับที่โดดเด่น หน้าใหม่แต่มีชื่อเสียงไม่น้อย การที่เขาสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ย่อมไม่ได้มีดีแค่ฝีมือ แต่ต้องมองอะไรได้ขาดยิ่งกว่า เขายิ้มน้อยๆ แล้วบอก “ประธานกู้ครับ ผมพอจะรู้…เรื่องทรัพยากรของคุณในตอนนี้นะครับ”
กู้ซวีไม่ถ่อมตัว หัวเราะเบาๆ แต่ไม่พูด อีกทั้งไม่มีท่าทีว่าจะจากไป
เฉินจิงไม่กล้าไล่เขาเลยบอกให้คนยกเก้าอี้มาเพิ่มข้างๆ ตนเองเพื่อให้กู้ซวีได้นั่งพัก จากนั้นก็โบกมือเป็นการประกาศให้ถ่ายทำฉากต่อไป
ฉากต่อสู้ยังถ่ายไม่ได้ เพราะในฉากต่อสู้ก่อนหน้านี้มีถังหมิง คนตัดต่อไม่สามารถเปลี่ยนใบหน้าใหญ่ๆ ที่อยู่ข้างกันออกไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นภาพโบ๋ พวกเขาเลยอาจต้องถ่ายซ่อมฉากที่ถ่ายไปในสัปดาห์นี้อีกครั้ง
ฉากที่กำลังจะถ่ายนี้เป็นซีนที่ลู่เยี่ยนถูกร้องเรียน
ขุนนางฝ่ายบุ๋นประสานมือพลางก้าวเท้าออกไป “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”
คนที่แสดงเป็นฮ่องเต้น้อยคือเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี แต่อย่ามองเพียงว่าเขาอายุน้อย เพราะเขาเป็นมือเก๋าตัวจริงที่เข้าวงการมาในฐานะดาราเด็กตอนอายุหกขวบ มีอายุงานแสดงมากกว่าลู่เยี่ยนเสียอีก
ฮ่องเต้น้อยพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ “ว่ามา”
“กระหม่อมขอร้องเรียนแม่ทัพใหญ่ผิงหนาน…เสิ่นจง!” ขุนนางฝ่ายบุ๋นแสดงสีหน้าเต็มที่ ท่าทางปวดร้าวใจอย่างรุนแรง “ฝ่าบาทคงจะทรงได้ยินแล้วใช่หรือไม่ว่าช่วงนี้แม่ทัพใหญ่ผิงหนานเข้าออกหอคณิกาบ่อยครั้งและพบปะส่วนตัวกับหญิงคณิกา อีกทั้งสองสามวันก่อนเขายกสินสอดสิบหีบเต็มๆ ไปสู่ขอกับแม่เล้าประจำหอคณิกา ถือเป็นการกระทำที่เลอะเลือนอย่างที่สุด! สินสอดสิบหีบนั้นเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง หากพวกขุนศึกที่ตรากตรำอยู่ชายแดนอันแสนไกลรู้ว่าแม่ทัพของพวกเขาฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้เพื่อตบแต่งหญิงคณิกาหนึ่งคนไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร!”
ฮ่องเต้น้อยตบโต๊ะ “เสิ่นจง มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!”
เสิ่นจงเดินออกจากแถวมาประสานมือตอบ “ทูลฝ่าบาท มีเรื่องเช่นนี้จริงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกับขุยจีรักกันด้วยความจริงใจ กระหม่อมจึงไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีสิ่งใดไม่เหมาะสม แก้วแหวนเงินทองที่กระหม่อมนำไปเป็นสินสอดพวกนั้นส่วนใหญ่ล้วนได้มาจากการทำศึกชนะในอดีต เป็นของพระราชทานจากฝ่าบาท ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย”
ฮ่องเต้น้อยกริ้วแล้วตวาดลั่น “เจ้าเอาสิ่งของพระราชทานไปเป็นสินสอดให้แก่หญิงคณิกานางหนึ่งเชียวหรือ!”
จากนั้นฮ่องเต้น้อยก็แสร้งทำเป็นถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ช่างเถอะ เจ้าทำคุณให้แก่แผ่นดินของเราไม่น้อย เราสัญญาว่าขอเพียงเจ้ายกเลิกสัญญาแต่งงานครั้งนี้ เจ้าจะยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่ผิงหนานผู้ทรงเกียรติของราชวงศ์เราต่อไป เราเห็นว่าบุตรสาวสุดที่รักของรองเสนาบดีกรมอากรยังมิได้ออกเรือน…”
เสิ่นจงตอบอย่างเยือกเย็น ไม่หวาดกลัวว่าจะถูกกริ้วอีกครั้ง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ชาตินี้กระหม่อมจะครองคู่กับขุยจีเพียงคนเดียว”
ทักษะทางการแสดงตามบทของลู่เยี่ยนดีมาก ในการพูดปกติเขาจะมีสำเนียงเมืองหลวง แต่พอท่องบทขึ้นมาสำเนียงเมืองหลวงกลับไม่ชัดแล้ว
“คัต!” เฉินจิงเช็กภาพอย่างพอใจแล้วบอกการตัดสินใจในช่วงสองสามวันนี้ว่า “พอถ่ายเสร็จนายมาลงเสียง* ด้วย ไม่ต้องหาคนมาลงเสียงให้ซีนของนาย”
“ได้ครับ” ลู่เยี่ยนเดินเข้ามาถามว่า “ฉากต่อไปจะถ่ายที่ไหนหรือครับ”
การที่ถังหมิงจากไปในลักษณะนี้ทำให้หลายแผนต้องรวน ตารางเวลาที่ควรจัดให้เขาจึงมีการเปลี่ยนแปลงเกินครึ่ง
“ช่วงเช้าไม่มีซีนของนายแล้ว ในเมื่อประธานกู้มาเยี่ยมนายที่กอง ฉันจะกล้ารั้งนายไว้เหรอ ถ่ายซีนของซือฉิงก่อนแล้วกัน” เฉินจิงว่า
“ทำไมหนังเรื่องนี้มีซีนของฉันเยอะจัง เมื่อวานถ่ายไปทั้งวันแล้ว วันนี้ยังจะถ่ายฉันอีก ยังไงคะ อยากให้ฉันหมดคิวก่อนสามเดือนหรือไง” ซือฉิงไม่พอใจ
เฉินจิงแค่นเสียงเย็น “เอาน่า ถ่ายอีกฉาก ตอนบ่ายมีเทสต์หน้ากล้องบทชิวหรง พวกเธอสองคนก็มาช่วยคัดตัวด้วย”
ซือฉิงวางท่าไม่ใส่ใจ “ไม่ไปค่ะ สองสามวันนี้เหนื่อยมาก ตอนบ่ายฉันจะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ”
เฉินจิงทำเสียงหึๆ “บ่ายสอง ห้ามสาย” เขาบอกทั้งซือฉิงและลู่เยี่ยน
ลู่เยี่ยนผงกศีรษะแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัว พอเขาเดินออกมากู้ซวีก็ลุกขึ้นสบตากับลู่เยี่ยนพลางถามว่า “ไปกินข้าวกันไหม”
ลู่เยี่ยนเอ่ย “เมื่อวานผู้ช่วยผมเดินดูแถวนี้แล้ว ไม่มีร้านอาหารอร่อยๆ เลยนะครับ”
เขาพูดจบกู้ซวีก็ก้าวเท้า “ไปเถอะ”
ทั้งสองคนขึ้นรถซึ่งมีสวีเฟยนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ สายตาไม่มีล่อกแล่ก “ประธานกู้ เราจะไปที่ไหนหรือครับ”
กู้ซวีเปิดแฟ้มก่อนพูดเสียงเรียบ “บริษัท”
มาทำงานจริงๆ แต่พวกเขาจะไปกินข้าวกันไม่ใช่หรือ
ลู่เยี่ยนหยิบมือถือออกมาระหว่างคิดว่าจะให้เสี่ยวหลิวเอาข้าวกล่องมาให้ที่สตูดิโอตอนบ่ายดีหรือไม่
กู้ซวีพลิกเอกสารหน้าหนึ่งแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณไม่ได้จบการแสดง?”
ลู่เยี่ยน “ไม่ได้จบครับ”
กู้ซวีถามอีก “แล้วทำไมถึงอยากมาแสดง”
ลู่เยี่ยนยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบตามความจริง “ไม่มีเงินครับ การถ่ายซีรี่ส์มันหาเงินได้เร็ว”
ตอนลู่เหมี่ยวหย่าขาดจากโจวหมิง นอกจากลู่เยี่ยนแล้วเธอก็ไม่ได้เอาอะไรมาอีกเลย ตอนนั้นลู่เยี่ยนเพิ่งขึ้นมัธยมปลาย ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงิน ถึงลู่เหมี่ยวจะทำงานในบริษัทใหญ่ แต่ตำแหน่งในตอนนั้นก็ไม่ได้สูง เงินเดือนแต่ละเดือนแค่เจ็ดพันกว่า แม้ลู่เยี่ยนจะสอบได้คะแนนดี ทางโรงเรียนเลยงดเว้นค่าเทอมของเขา แต่ค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือนก็ยังเป็นเงินสองสามพันอยู่ดี
ลู่เหมี่ยวเป็นคนแข็งแกร่งและค่อนข้างดื้อ เธอยอมขายเครื่องประดับของตัวเองทิ้ง แต่ไม่ยอมไปขอค่าเลี้ยงดูจากโจวหมิง
หลังขึ้นชั้นมัธยมปลายก็เป็นช่วงต่อต้าน ประกอบกับขาดการอบรมสั่งสอนจากพ่อ ลู่เยี่ยนเลยก้าวร้าวมาก เขาใช้เวลาเกินครึ่งเทอมไปกับการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และทะเลาะวิวาทจนเกือบถูกทางโรงเรียนไล่ออก
ความจริงเรื่องนั้นฝ่ายตรงข้ามลงมือก่อน แต่คนอื่นเขามีเงินเลยบริจาคโต๊ะเก้าอี้ล็อตใหญ่ให้ทางโรงเรียนได้อย่างสบายๆ
ลู่เหมี่ยวเลยต้องมาขอความเมตตาจากครูใหญ่ที่โรงเรียนของเขา และกล่าวขออภัยคนอื่นอย่างเจียมตัว
นั่นเป็นครั้งแรกที่ลู่เยี่ยนเห็นลู่เหมี่ยวก้มศีรษะให้คนอื่น
หลังจากนั้นลู่เยี่ยนก็เลิกเหล้าและเข้าเรียนอีกครั้งจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นดีแห่งหนึ่งได้สำเร็จ แถมยังได้รับการทาบทามให้เข้าทำงานจากบริษัทจำนวนไม่น้อย และในเวลาเดียวกันก็มีบริษัทโมเดลลิ่งเอเจนซี่อีกสองสามแห่งติดต่อมา ลู่เยี่ยนจึงเซ็นสัญญาเข้าวงการบันเทิงอย่างไม่ลังเล
ไม่ได้มีเหตุผลอะไรนอกจากบทตัวประกอบชายอันแรกที่ทางบริษัทซิงอวี๋มอบให้ในตอนนั้นได้ค่าตอบแทนสูงกว่านักศึกษาฝึกงาน
หลังได้ยินคำตอบดังกล่าวกู้ซวีก็หัวเราะเบาๆ
“อยากกินอะไร”
ประเด็นถูกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ลู่เยี่ยนดึงตัวเองออกจากความทรงจำแล้วตอบรับตามสัญชาตญาณ “เนื้อครับ”
ความโค้งของรอยยิ้มกู้ซวีเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีก
ขับรถกันไปครึ่งชั่วโมงก็ถึงเขตเมือง
เมื่อถึงบริษัทกู้ซวีก็ปิดแฟ้ม “หยุดรถ”
สวีเฟยหยุดรถตามคำสั่งอย่างงงๆ “ประธานกู้จะไม่ขับเข้าไปในลานจอดรถหรือครับ”
ถ้าลงจากรถตรงนี้ก็ต้องเดินข้ามถนน
“นายขับเข้าไปในลานจอดรถ” กู้ซวีก้าวนำลงจากรถ “แล้วตอนบ่ายโมงครึ่งมารับลู่เยี่ยนกลับไปที่สตูดิโอ”
ลู่เยี่ยนเลยก้าวลงจากรถ เขาบอกสวีเฟยว่า “รบกวนด้วยนะครับ”
“ไม่รบกวนเลยครับ!”
สวีเฟยขับรถออกไปทันที ลู่เยี่ยนเดินตามหลังกู้ซวีไปได้สองสามก้าว ก่อนที่จู่ๆ กู้ซวีจะหันหน้ากลับมาถามเขาว่า “มีหมวกไหม”
“มีครับ” ในกระเป๋าเป้ใบเล็กที่เขาสะพายมีแว่นตาดำ หน้ากากอนามัย และหมวกพร้อมสรรพเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน
“ใส่ซะ”
ลู่เยี่ยนแปลกใจว่าการจะเข้าบริษัทต้องใส่หมวกด้วยหรือ
ทว่าเขายังคงหยิบหมวกของตัวเองออกมา แต่จังหวะที่เตรียมจะใส่หางตาของกู้ซวีก็สังเกตเห็นหน้ากากอนามัยที่อยู่ใต้หมวก
เขาจึงยื่นมือไปหยิบหน้ากากอนามัยออกมาใส่ให้ลู่เยี่ยนแล้วติงว่าใส่ได้ไม่ตรง เลยใช้มือขยับหน้ากากอนามัยขึ้นทั้งสองข้าง
สุดท้ายเขาพาลู่เยี่ยนเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
กู้ซวีเดินมาเลือกของที่โซนเนื้อสดและหันหน้าไปถามลู่เยี่ยนว่า “ชอบกินเนื้ออะไร”
ลู่เยี่ยนเหมือนจะตั้งตัวได้แล้ว “เนื้อหมู เนื้อวัว ชอบหมดครับ”
“ผักล่ะ”
“กินหมดครับ” ลู่เยี่ยนครางเสียงหนักแล้วพูดเบาๆ “ยกเว้นแครอต มะเขือเทศ มะระ ผักชี ขึ้นฉ่าย”
กู้ซวีฟังเขาสาธยายด้วยหัวคิ้วที่ขมวดแน่น แล้วเลือกแครอตกับมะเขือเทศหอบใหญ่มาใส่รถเข็น เขาสรุปว่า “เลือกกิน”
“…”
คนในซูเปอร์มาร์เก็ตมีไม่มาก ตอนพวกเขาคิดเงินข้างหน้ามีคนแค่คนเดียว ลู่เยี่ยนหยิบหมากฝรั่งที่วางอยู่บนชั้นข้างเคาน์เตอร์คิดเงินติดมือมาหนึ่งกล่องและถามว่า “คุณมาเดินซูเปอร์ฯ บ่อยหรือครับ”
“น้อยมาก” ความจริงแล้วกู้ซวีไม่เคยมาเดินเลย ปกติจะเป็นสวีเฟยที่มาซื้อวัตถุดิบแล้วเอาไปส่งให้เขาที่หน้าประตูบ้าน
ลู่เยี่ยนมองรถเข็นแวบหนึ่งแล้วคิดในใจว่ากู้ซวีเลือกของไม่กี่นาทีในรถเข็นก็มีของกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่งแล้ว ลำพังเครื่องปรุงก็มีถึงห้าขวด แถมยังซื้อน้ำมันถั่วลิสงขวดเล็กหนึ่งขวดด้วย
เมื่อถึงคิวพวกเขาคิดเงิน พนักงานก็ช่วยพวกเขาสแกนสินค้าอย่างชำนาญและยิ้มอย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะ ทั้งหมดสี่ร้อยยี่สิบเจ็ด ไม่ทราบว่าจะรูดบัตรหรือจ่ายสดคะ”
กู้ซวีหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากเสื้อสูท “รูดบัตรครับ”
แล้วหยิบแบล็กการ์ดที่มองปราดเดียวก็เห็นแต่เลขแปดออกมาหนึ่งใบ
พนักงานเคาน์เตอร์คิดเงิน “…” เธอเตรียมรับบัตรด้วยอาการตัวสั่น
ลู่เยี่ยนกดมือกู้ซวี “จ่ายสดครับ ขอบคุณ” จากนั้นก็นับแบงก์ใหญ่ห้าใบแล้วหยิบออกมาจากกระเป๋าเป้
สัมผัสอันอบอุ่นแค่แตะแล้วจากไป แต่ทำให้กู้ซวีนิ่งงันอย่างหาได้ยาก
พอคิดเงินเสร็จทั้งสองคนก็เดินออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตพร้อมถุงคนละใบ
กู้ซวีหิ้วถุงที่ข้างในมีฝาขวดน้ำมันถั่วลิสงโผล่ออกมา ดูไม่เข้ากับสูทสั่งตัดพิเศษที่เขาใส่อยู่เลยสักนิด “ไม่มีบอสคนไหนให้ลูกจ้างจ่ายเงินให้หรอกนะ”
“ก่อนหน้านี้ผมบอกแล้วว่าจะเลี้ยงข้าวคุณ” ปากของลู่เยี่ยนมีหน้ากากอนามัยปิดไว้ เสียงที่ออกมาเลยทุ้มต่ำ “แถมเรายังเป็นเพื่อนบ้านกันด้วยไม่ใช่เหรอครับ”
กู้ซวีมองท่าทางของลู่เยี่ยนที่สวมหน้ากากอนามัยแล้วหลุดขำ “ก็จริง”
เมื่อเดินเข้าไปในตึกของบริษัทลูกพนักงานต้อนรับก็แสดงออกว่าจำกู้ซวีได้ จึงเรียกประธานกู้ด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปกดลิฟต์ให้เขาด้วยท่าทางตามองจมูก จมูกมองใจ* โดยไม่ได้มองถุงช็อปปิ้งในมือของพวกเขาสองคนเลยแม้แต่แว็บเดียว
เมื่อมาถึงชั้นสูงสุดลู่เยี่ยนถึงเพิ่งรู้ว่าพนักงานต้อนรับน่าจะคุ้นชินกับไลฟ์สไตล์ของท่านประธานของพวกเธอแล้ว
และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่ามีคนทำห้องครัวไว้ในห้องทำงาน…
* ลงเสียง คือการบันทึกเสียงทับเสียงของนักแสดงแทนการบันทึกเสียงในระหว่างถ่ายทำ โดยเหตุผลหลักเนื่องมาจากนักแสดงชาวจีนมาจากพื้นที่ต่างๆ ในประเทศซึ่งมีภาษาถิ่นและสำเนียงที่แตกต่างกัน ในขณะที่รัฐบาลจีนสนับสนุนให้มีการใช้ภาษาจีนกลาง จึงต้องมีการพากย์เสียงให้เป็นภาษาจีนกลางที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆ เช่นการตัดปัญหาเสียงแทรกที่ไม่สามารถควบคุมได้ระหว่างการถ่ายทำ การพากย์ทับเสียงในภายหลังจะเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วมากกว่า
* ตามองจมูก จมูกมองใจ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงท่าทางก้มหน้างุดเพราะเขินอายหรือละอายใจ
บทที่ 12
กู้ซวีถอดโค้ตสูทออกและดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างคล่องแคล่ว “ปกติผมกินข้าวคนเดียวเลยไม่ได้มีโต๊ะเยอะ คุณนั่งตรงนั้นก่อนนะ” เขาชี้ไปที่โต๊ะทำงาน
“ไม่ต้องหรอกครับ” ลู่เยี่ยนมองโต๊ะทำงานแล้วพบว่าข้างๆ มีเก้าอี้ตัวใหญ่แค่ตัวเดียว “มีเก้าอี้ตัวเดียว คุณนั่งดีกว่า”
กินของผู้อื่นปากต้องหวาน รับของผู้อื่นมือต้องสั้น** แล้วเขาจะยึดโต๊ะอาหารของคนอื่นได้อย่างไร
กู้ซวีหลุบตาลง แล้วเดินไปโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงาน “เอาเก้าอี้เข้ามาหนึ่งตัว”
“ไม่ต้องจริงๆ ครับ ผมนั่งโซฟาได้”
กู้ซวีมองโต๊ะกระจกที่ตั้งอยู่หน้าโซฟา “โต๊ะเตี้ยไป คุณต้องงอตัว มันไม่สะดวก”
ไม่ถึงสองนาทีสวีเฟยก็ยกเก้าอี้ตัวใหญ่ของตัวเองเข้ามาเสียงดังปึงปัง เมื่อวางเก้าอี้เสร็จก็รีบถอยออกไป
กู้ซวีหิ้วถุงช็อปปิ้งใบใหญ่สองใบเดินเข้าไปในห้องครัว
ลู่เยี่ยนเดินตามไป “ผมช่วยคุณล้างผักนะครับ”
กู้ซวีไม่ได้หันหน้ามามอง เขายัดมะเขือเทศกับแครอตใส่มือของลู่เยี่ยนแล้วเบี่ยงตัวเปิดทางให้อีกฝ่ายเดินผ่านไป เนื่องจากห้องครัวตั้งอยู่ในห้องทำงานพื้นที่จึงไม่ใหญ่นัก พอผู้ชายตัวโตที่มีความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตรมายืนอยู่ข้างในด้วยกันแขนย่อมชนกันเป็นระยะ
ลู่เยี่ยนล้างแครอตอย่างหมดจด แครอตหนึ่งหัวถูกเขาขัดถูอยู่ในมือหลายนาที
กู้ซวีเห็นแล้วก็หลุดขำออกมา “ถ้าคุณล้างแบบนี้ก็ไม่ต้องลอกเปลือกแล้ว แค่ล้างน้ำหน่อยก็พอ”
“…”
“หั่นผักเป็นไหม”
ลู่เยี่ยน “ได้…นิดหน่อยครับ”
กู้ซวีรู้ได้ทันทีว่ามันแปลว่าอะไร
แครอตหัวใหญ่หนึ่งหัวถูกลู่เยี่ยนหั่นออกเป็นห้าท่อน แต่ละท่อนหนาจนเอาไปรองมุมโต๊ะได้
กู้ซวีทนดูต่อไปไม่ไหวต้องยื่นมือมาแย่งมีดไป
“ต้องหั่นแบบนี้” เขาเอาแครอตวางบนเขียงแล้วยกมือ ใช้มีดหั่น ในห้องครัวได้ยินแต่เสียงเขียงดังตึกๆๆ พอหั่นแครอตครึ่งหัวเสร็จ ผลงานอยู่ในสภาพเรียบร้อย ขนาดเท่ากันเป๊ะ นอนนิ่งอยู่บนเขียง
“สุดยอด” ลู่เยี่ยนมองตาค้าง ในที่สุดก็ถามปัญหาที่อยากถามมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้อย่างอดใจไม่ไหว “ทำไมคุณทำอาหารเก่งขนาดนี้”
กู้ซวีหันไปหมักเนื้อต่อ “เมื่อก่อนมีคนใส่ยาเบื่อหนูลงในอาหารของแม่ผม ผมเลยหัดทำอาหารเอง”
น้ำเสียงของเขาเรียบสนิทเหมือนกำลังบอกว่าวันนี้อากาศดีมาก
ลู่เยี่ยนคิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ เขาจึงหันหน้าไปมองกู้ซวีตามจิตใต้สำนึก “แล้วปลอดภัยหรือเปล่าครับ”
“ปลอดภัย แค่ตกใจเฉยๆ”
“…งั้นก็ดี”
แล้วประเด็นนั้นก็ผ่านไป ลู่เยี่ยนหั่นแครอตอย่างตะกุกตะกักเสร็จก็ไปจัดชามกับตะเกียบอย่างรู้ตัว แต่เขากลัวทำโต๊ะสกปรกเลยไปขอผ้าขนหนูผืนใหญ่จากสวีเฟยมาปูโต๊ะทำงานก่อน
ถึงพวกเขาจะซื้อวัตถุดิบมาด้วยเงินสี่ร้อยกว่า แต่ของส่วนใหญ่เป็นเครื่องปรุง สุดท้ายอาหารที่ทำออกมาก็มีทั้งหมดสี่อย่าง
คราวก่อนเป็นแค่โจ๊กธรรมดา แต่ครั้งนี้เป็นเมนูเนื้อแสนอร่อยประจำบ้าน กับข้าวสี่อย่างหน้าตาน่ากินมาก พอเอามาวางบนโต๊ะทำงานที่เป็นไม้จริงเรียบร้อยแล้วก็ทำให้นิ้วชี้ของลู่เยี่ยนขยับอย่างแรง
เขาหยิบมือถือมาถ่ายรูปหนึ่งรูป กะว่าต่อไปถ้าหิวจะได้มองบ๊วยดับกระหาย*
โต๊ะทำงานของกู้ซวีตัวใหญ่มากจนเหมือนโต๊ะอาหารขนาดเล็ก ลู่เยี่ยนนั่งฝั่งตรงข้ามกับกู้ซวี เขามองอีกฝ่ายเช็ดมืออย่างสง่างามแล้วคิดในใจว่าตอนตั้งโต๊ะทำงานตัวนี้เจ้าของจะต้องเลือกมันมาเป็นโต๊ะอาหารแน่นอน
มื้อเช้าลู่เยี่ยนกินบะหมี่ไปครึ่งชาม ตอนนี้เลยหิวนิดๆ เขาคีบหมูสองไฟ** หนึ่งชิ้นมาวางในชาม เตรียมเปิดฉากกิน แต่ทันใดนั้นก็พลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ สมองเลยว่างเปล่าไปสามวินาทีก่อนช้อนตาขึ้นมอง
จริงดังคาด กู้ซวีเองก็มีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
กู้ซวี “…ลืมซื้อข้าว”
ด้วยเวลาที่กระชั้นทั้งคู่เลยทำได้เพียงกินกับข้าวพวกนี้ให้หมด
ดีที่รสชาติอาหารกำลังพอดี ไม่เค็มไม่จืด ลู่เยี่ยนเลยกินอย่างเอร็ดอร่อย แม้แต่มะเขือเทศกับแครอตที่ปกติเป็นของที่เขาไม่ชอบกิน ชายหนุ่มก็ยังกินได้ไม่น้อย
พอกินข้าวเสร็จลู่เยี่ยนก็เอาชามกับตะเกียบไปล้าง เมื่อเดินออกมาอีกทีกู้ซวีก็แต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังยืนรอเขาอยู่ที่หน้าโซฟา
“ผมมีประชุม” กู้ซวีหยิบเสื้อโค้ตจากราวพร้อมหยิบหมวกที่ลู่เยี่ยนแขวนไว้เมื่อกี้มาให้เขาด้วย “สวีเฟยจะส่งคุณกลับ”
ลู่เยี่ยนใส่หมวกแล้วใช้มือขยับปีกหมวก “ครับ”
ระหว่างทางกลับเฉินจิงโทรหาลู่เยี่ยน
“นายจะกลับมาเมื่อไหร่” เฉินจิงถาม “คนที่มาเทสต์หน้ากล้องช่วงบ่ายมีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน นายน่าจะรู้จัก”
บทพระรองเบอร์สามเป็นบทที่ชวนให้ชื่นชอบมาก สามารถเรียกคนเข้ามาเป็นแฟนคลับได้ง่าย เลยมีคนอยากแย่งหลายคน ส่วนใหญ่เป็นเด็กใหม่ที่อยากแจ้งเกิด
ลู่เยี่ยนคลุกคลีอยู่ในวงการมาหลายปี มีคนรู้จักไม่น้อย แต่เขารู้จักเด็กใหม่อยู่ไม่กี่คน
“ใครหรือครับ”
“ชื่อ…ชื่ออะไรน้า” เฉินจิงนึกชื่อไม่ออกอยู่ชั่วขณะเลยหันไปถามสตาฟฟ์ที่อยู่ด้านหลัง พอได้คำตอบก็บอกว่า “ชื่อหลินชิง”
“ไม่รู้จักครับ”
“เหรอ” เฉินจิงถือโอกาสเล่า “ได้ยินว่าเป็นคนที่อยู่บริษัทเดียวกับนาย ฉันเข้าใจไปว่านายน่าจะรู้จัก สถานที่เทสต์หน้ากล้องคือห้องประชุมของโรงแรม ชั้นสามนะ นายตรงมาได้เลย”
เมื่อไปถึงสตูดิโอลู่เยี่ยนก้าวลงจากรถแล้วหันไปกล่าวคำขอบคุณสวีเฟย
สวีเฟยก้าวลงจากที่นั่งคนขับมาส่งนามบัตรให้ลู่เยี่ยน “ไม่ต้องเกรงใจครับคุณลู่ นี่เป็นนามบัตรของผม ถ้าคุณมีธุระอะไรติดต่อผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
ลู่เยี่ยนรับนามบัตรมาแล้ว กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่าง
“ผู้ช่วยสวี?”
ทั้งสองคนหันหน้าไปพร้อมกัน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนมองพวกเขาอยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าแปลกใจ
พอเห็นคนมาใหม่สวีเฟยก็ทำหน้าเหนือคาด “คุณชายหลิน”
เด็กหนุ่มยิ้มแล้วเดินก้าวยาวๆ มาหา “เป็นคุณจริงๆ ด้วย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ”
วันนี้หลินชิงมาเทสต์หน้ากล้อง ตอนแรกเขาไม่ค่อยอยากมา…เพราะที่นี่ห่างไกลความเจริญมากเกินไป ขืนให้อยู่ที่นี่เขาไม่บ้าตายหรือ! นอกจากนี้เขาไม่ได้รู้สึกว่าบทที่จะมาเทสต์หน้ากล้องนี้ดีเด่อะไร แค่พระรองเบอร์สาม ต่อให้แสดงดีแค่ไหนมันจะดังได้สักเท่าไหร่กันเชียว
คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาเจอสวีเฟยที่นี่ เนื่องจากสวีเฟยเป็นผู้ช่วยมือดีของกู้ซวี ต้องคอยติดตามอยู่ข้างกายกู้ซวีเกือบทุกวัน การที่อีกฝ่ายอยู่เมือง J แบบนี้แปลว่ากู้ซวีก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ
“พี่ซวีก็อยู่ที่เมือง J เหมือนกันหรือครับ” ดวงตาของหลินชิงเปล่งประกาย น้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้น
“คุณชายหลินครับ ผมมาทำงาน” สวีเฟยไม่ได้ตอบคำถามหลังเพราะเขาไม่กล้าเปิดเผยเส้นทางของเจ้านายมั่วซั่ว
แต่พอไม่เห็นสวีเฟยปฏิเสธ หลินชิงก็พอจะเข้าใจอะไรมากขึ้น เขาหยิบมือถือออกมาอย่างเบิกบานใจ เตรียมจะโทรหากู้ซวี แต่ผู้จัดการที่อยู่ด้านหลังใช้ข้อศอกกระทุ้งเขาเบาๆ ทันควันเป็นการบอกว่าข้างๆ ยังมีคนอื่นอีก
“สวัสดีครับพี่เยี่ยน!” ผู้จัดการเป็นคนหัวไว เขาเดินยิ้มจนตาหยีมาหา “พี่เยี่ยนครับ เขาชื่อหลินชิง เป็นเด็กใหม่อยู่บริษัทเดียวกับพี่ ต่อไปคงต้องขอให้พี่ช่วยดูแลด้วยนะครับ!”
หลินชิงรีบยิ้มและทักทายลู่เยี่ยนทันที “สวัสดีครับ พี่เยี่ยน”
ลู่เยี่ยนคุ้นหน้าผู้จัดการคนนี้ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนเก่งและมีชื่อเสียงในวงการไม่น้อย เพียงแต่อีกฝ่ายมาดูแลศิลปินของบริษัทหมิงเซิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายหนุ่มจับคู่หลินชิงกับ ‘คนที่เขาน่าจะรู้จัก’ ที่เฉินจิงบอกในสายแล้วทำเสียงอืม “มาเทสต์บทชิวหรงเหรอ”
หลินชิงไม่ได้ใส่ใจการเทสต์หน้ากล้องครั้งนี้มาก แม้แต่บทก็ไม่เคยอ่าน พอได้ยินลู่เยี่ยนพูดแบบนี้เขาเลยไม่รู้ว่าชิวหรงคือใครและนิ่งอยู่นานมากเพราะตอบไม่ได้
ความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วนเข้าปกคลุมอยู่พักหนึ่ง ผู้จัดการของหลินชิงรีบยิ้มแห้งๆ แล้วบอกว่า “ใช่ครับใช่”
การได้เห็นสีหน้าของหลินชิงทำให้ลู่เยี่ยนพอจะเข้าใจมากขึ้น แต่เขาไม่ได้เปิดโปงและทำเพียงพูดเสียงเรียบ “งั้นก็ตั้งใจเทสต์หน้ากล้องนะ”
พอลู่เยี่ยนเดินจากไปแล้ว สวีเฟยกลัวว่าหลินชิงจะซักถามเรื่องของกู้ซวีเลยรีบหาข้ออ้างเผ่นหนีไป
เมื่อรู้ว่ามีโอกาสถึงแปดส่วนที่กู้ซวีจะอยู่ที่เมือง J อารมณ์ของหลินชิงก็ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนเดิมอีก เขาถึงขั้นฮัมเพลงพลางกระโดดหย็องแหย็งไปที่โรงแรมซึ่งเป็นสถานที่เทสต์หน้ากล้อง
เฉินลี่เดินตามหลังหลินชิง ถามยิ้มๆ ว่า “เสี่ยวชิง อีกเดี๋ยวจะเทสต์หน้ากล้องแล้ว จะอ่านบทหน่อยไหม”
“ทำไมต้องให้ผมถ่อมาเทสต์บทพระรองเบอร์สามไกลขนาดนี้ด้วย” หลินชิงไม่เข้าใจเลย “พี่ซวีช่วยหาบทพระเอกให้ผมได้แล้วไม่ใช่เหรอ แถมยังได้เป็นทีมหลักประจำในรายการเรียลลิตี้ยอดฮิตด้วย”
“พ่อคุณเอ๊ย นายอย่าดูแคลนบทพระรองเบอร์สามบทนี้เชียวนะ คาแร็กเตอร์ชวนให้คนชื่นชอบมาก แถมโปรดักชั่นก็ใหญ่ ในเรื่องมีทั้งลู่เยี่ยนและซือฉิง ไม่รู้ว่ามีเด็กใหม่กี่คนอยากแย่งบทนี้กันจนหัวร้างข้างแตก บทพระเอกที่ประธานกู้ให้ไม่เลวหรอก แต่เรื่องนั้นยังมีเวลาอีกตั้งสองเดือนกว่ากว่าจะเปิดกล้อง ส่วนรายการเรียลลิตี้ใช้เวลาถ่ายไม่นาน ถึงตอนนั้นค่อยขอลากองมาก็ได้” พูดมาถึงตรงนี้เฉินลี่ก็ลดเสียงให้เบาลง “คนที่มาเทสต์หน้ากล้องต้องเยอะแน่ๆ ถ้าไม่สำเร็จนายก็ลองไปขอประธานกู้เป็นไง”
“ก็ได้ครับ งั้นผมจะอ่านบท”
หลินชิงรับบทมากวาดตาอ่านแป๊บๆ แบบไม่ได้ใส่ใจแล้ววางลง จากนั้นก็โทรหากู้ซวีด้วยอารมณ์เบิกบานใจ
ลู่เยี่ยนกลับห้องไปรอบหนึ่ง จากนั้นถึงได้เจอเสี่ยวหลิวที่จุดรวมพลตรงลิฟต์ชั้นสาม
เสี่ยวหลิวรับเป้ของลู่เยี่ยนมา “พี่เยี่ยนครับ กินข้าวเที่ยงแล้วหรือยัง ผมเก็บข้าวกล่องไว้ให้พี่แล้ว”
“กินแล้ว” ลู่เยี่ยนยิ้ม “หรือต่อให้ยังไม่กินฉันก็ไม่กินข้าวกล่องของนายหรอก ถ้าให้เฉินจิงเห็นฉันก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวเข้าปากตอนประเมิน นายว่าเขาจะด่านายหรือด่าฉัน”
พอสมองนึกภาพนั้นแล้วเสี่ยวหลิวก็หดคอ “…” เพราะเขารู้สึกว่าน่าจะโดนด่าทั้งคู่
บทชิวหรงมีเสน่ห์มาก แต่คนที่มาเทสต์หน้ากล้องจริงๆ มีไม่เยอะ น่าจะเป็นเพราะเฉินจิงรีบคัดคนเป็นการส่วนตัว…แต่ขนาดรีบๆ แบบนี้ก็ยังคัดทิ้งไปไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน
ด้านนอกห้องประชุมมีคนนั่งกระจายๆ กันอยู่สิบกว่าคน เกินครึ่งเป็นคนที่มาเป็นเพื่อนศิลปินของบริษัทตัวเองเทสต์หน้ากล้อง พอเห็นลู่เยี่ยนเดินมาพวกเขาก็ก้มศีรษะทักทาย
ชายหนุ่มยิ้มพลางทักทายกลับก่อนเดินเข้าไปในห้องประชุม
ห้องประชุมไม่ใหญ่ แม้แต่เวทียังถูกเอาออกมาใช้ชั่วคราว ส่วนโพเดียมก็ถูกย้ายออกไปไว้ที่ด้านข้างอย่างเร่งรีบเพื่อเว้นที่ว่างตรงหน้าไว้ เฉินจิงกับซือฉิงนั่งประจำที่นั่งตรงกลาง ทั้งห้องประชุมรวมลู่เยี่ยนแล้วมีคนแค่สี่คน…ได้แก่ พวกเขาสามคนกับสตาฟฟ์ที่ทำหน้าที่ขานชื่ออีกหนึ่งคน แม้แต่รองผู้กำกับก็ยังไม่ได้อยู่ด้วย
ลู่เยี่ยนนั่งลงข้างเฉินจิงและถามเขาว่า “แค่พวกเราสามคนเหรอ”
เฉินจิงทำเสียงอืมอยู่ในจมูก “เราคุยกันตอนก่อนเปิดกล้องแล้วไงว่าฉันเป็นคนฟันธงเรื่องตัวละคร ต่อให้พวกเขามาก็ไม่มีประโยชน์”
ซือฉิงเอ่ยขึ้น “งั้นเรียกเราสองคนมาทำอะไรคะ”
เฉินจิงกลอกตามองเธอ “พวกเธอว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันไม่ว่างนะคะ ผู้กำกับเฉิน คุณไม่รู้อะไร ฉันโพสต์เวยป๋อทีได้เงินค่าโฆษณาเยอะมาก แล้วเวลาทั้งบ่ายแบบนี้ฉันโพสต์ได้ตั้งกี่อัน…”
แต่คำพูดช่วงหลังเป็นต้องกลืนกลับลงท้องไปเพราะถูกเฉินจิงถลึงตาใส่อย่างดุดัน
เฉินจิงส่งสัญญาณว่าเริ่มได้ สตาฟฟ์เลยวิ่งเหยาะๆ ไปที่ประตูห้องประชุมก่อนเรียก “หมายเลขหนึ่ง หลินชิง!”
หลินชิงเข้ามาทันที เขาเดินขึ้นไปบนเวทีชั่วคราวและโค้งตัวมาทางฝั่งนี้
หลินชิงหล่อแบบสดใสเหมือนแสงอาทิตย์ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบวัยรุ่น เรื่องภาพลักษณ์เขาไม่เลวจริงๆ แต่ไม่เข้ากับบทชิวหรง
เพราะชิวหรงเป็นขุนศึกของเสิ่นจงและเป็นนักรบที่บุกตะลุยสมรภูมิ มีความองอาจกล้าหาญ เชี่ยวชาญการทำศึก ก่อนหน้านี้เฉินจิงต้องตาถังหมิงเป็นเพราะรูปร่างกำยำของเขากับใบหน้าที่ทำให้คนมองแล้วรู้สึกว่าเขามีความซื่อสัตย์อย่างยิ่งและมากความสามารถ
แต่หลินชิงดูแล้วยังสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร รูปร่างผอมบาง แขนขาวๆ เล็กๆ คาดว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้คงมีแต่บทฮ่องเต้น้อยที่ผิวบางเนื้ออ่อนเท่านั้นที่เหมาะสมกับเขา
ด้วยเหตุนี้สายตาของเฉินจิงที่มองไปทางเขาจึงมีความหมดอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด เฉินจิงหมุนปากกาในมือแล้วตะโกนบอกว่า “เริ่มได้ แสดง…องก์ที่สี่”
** กินของผู้อื่นปากต้องหวาน รับของผู้อื่นมือต้องสั้น หมายถึงรับผลประโยชน์จากคนอื่นแล้วย่อมต้องประจบเอาใจอีกฝ่าย แม้อีกฝ่ายจะทำผิดก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายหรือต่อว่า
* มองบ๊วยดับกระหาย หมายถึงความปรารถนายังไม่อาจสมหวังเป็นจริง จึงสร้างมโนภาพขึ้นปลอบใจตัวเองไปก่อน
** หมูสองไฟ เป็นอาหารต้นตำรับเสฉวน สาเหตุที่เรียกว่าหมูสองไฟเป็นเพราะต้องผ่านการปรุงสุกสองครั้ง โดยครั้งแรกนำไปต้มให้สุกและครั้งที่สองนำไปผัดใส่เครื่องปรุงรส
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.