ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1
ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 13
หลินชิงชะงักแล้วย้อนถามเฉินจิง “ผู้กำกับครับ องก์ที่หนึ่งได้ไหมครับ”
เฉินจิงยิ้มเยาะ “ฉันบอกให้นายแสดงองก์ไหนก็องก์นั้น นายนึกว่านี่เป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหรอถึงจะเลือกสายศิลป์สายวิทย์ได้!”
ลู่เยี่ยนแก้ว่า “เดี๋ยวนี้เขาไม่แบ่งสายศิลป์สายวิทย์กันแล้วครับ”
เฉินจิง “…”
หลินชิงไม่มีอาการแตกตื่น เขาพูดอย่างซื่อตรงว่า “สองสามวันมานี้ผมค่อนข้างยุ่งเลยอ่านบททันแค่องก์หนึ่งครับ”
เฉินจิงปรับน้ำเสียงให้เรียบนิ่ง “เหรอ งั้นนายออกไปเถอะ”
พอหลินชิงเดินออกไปแล้ว ซือฉิงก็อ้าปากหาวอย่างอดไม่อยู่ “ผู้กำกับเฉินคะ คุณบอกว่าคัดมาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมีพวกที่ทำให้คนอื่นต้องเสียเวลาอีกล่ะ”
คิดไม่ถึงว่าเฉินจิงจะกลอกตาใส่ลู่เยี่ยน “ก็เพราะเจ้าหมอนี่น่ะสิ!”
พอลู่เยี่ยนถูกเรียกชื่อก็พูดอย่างงงๆ “เกี่ยวอะไรกับผม”
“ผู้จัดการของเขามาขอร้องฉันอยู่เป็นนานสองนาน บอกว่าหลินชิงกับนายเป็นพี่น้องกัน ขอให้ฉันให้โอกาสเขาอยู่นั่นแหละ” เฉินจิงมองลู่เยี่ยนเหมือนชายหนุ่มเป็นหมาป่าตาขาว* “ถ้าฉันไม่รับปาก ไม่เท่ากับไม่ไว้หน้านายหรือไง”
ถึงเฉินจิงจะพูดจาหยาบคาย แต่ลู่เยี่ยนฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ปากจึงบอกว่า “โอเคครับ งั้นต้องขอบคุณจริงๆ ที่คุณไว้หน้าผม”
ซือฉิง “ฉันนึกว่าเป็นคนที่สปอนเซอร์ยัดมาเสียอีก”
เฉินจิงพลิกข้อมูลของคนที่มาเทสต์หน้ากล้องชุดหนึ่งอย่างใจเย็น “เฮ้อ ที่จริงผู้จัดการคนนั้นยังบอกเป็นนัยๆ ว่าจะให้หลินชิงยัดเงินเข้ามาก็ได้”
ซือฉิง “…”
ลู่เยี่ยน “…”
หัวใจอุ่นๆ ของลู่เยี่ยนถูกยัดกลับเข้าไปในสายลมหนาวกลางทุ่งหญ้าเช่นนี้เอง
สุดท้ายคนที่ถูกเลือกเป็นเด็กใหม่คนหนึ่ง ทักษะทางการแสดงธรรมดา แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือรูปร่างดีเยี่ยม กล้ามแน่นกว่าถังหมิง ตอนเขาเดินเข้ามาในห้องประชุมลู่เยี่ยนก็รับรู้ได้ว่าดวงตาของเฉินจิงวาวโรจน์ขึ้นมาทันที
การเทสต์หน้ากล้องใช้เวลาไม่นาน แค่ชั่วโมงกว่าเท่านั้น พอเลือกคนได้เฉินจิงก็รีบไปคุยเรื่องบทกับเขาทันที
ห้องของซือฉิงกับลู่เยี่ยนอยู่ที่ชั้นสอง ห่างกันสองสามห้อง ซือฉิงลุกขึ้นแล้วกรีดนิ้วเอาแว่นตาดำที่แขวนอยู่ตรงหน้าอกขึ้นมาสวม “ไป เราขึ้นตึกกัน”
มือของซือฉิงมีแรงเยอะมาก ลู่เยี่ยนไม่กล้าถามเธอว่าทำไมถึงต้องใส่แว่นตาดำด้วย
ทั้งคู่เดินออกจากห้องประชุมพร้อมกัน แต่ยังไม่ถึงสองสามก้าวก็เห็นหลินชิงกับเฉินลี่ที่ยืนอยู่ข้างลิฟต์
เห็นได้อย่างชัดเจนมากว่าหลินชิงกำลังรอลู่เยี่ยน เพราะพอเห็นเขาก็เข้ามาหาทันที
ชายหนุ่มยิ้มอย่างกระตือรือร้น “พี่เยี่ยน พี่ฉิง!”
ถึงซือฉิงจะใส่แว่นตาดำ แต่ลู่เยี่ยนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการกลอกตานับครั้งไม่ถ้วนหลังแว่นนั้น
ชายหนุ่มยิ้ม “ยังไม่กลับอีกเหรอ”
หลินชิง “ผมว่าจะอยู่เที่ยวที่นี่สักสองสามวันแล้วค่อยกลับครับ พี่เยี่ยนจะกลับห้องเหรอครับ”
ลู่เยี่ยนผงกศีรษะ
หลินชิงยิ้ม “พี่เพิ่งเซ็นสัญญาเข้าบริษัทหมิงเซิ่ง แต่ผมไม่เคยมีเวลาว่างเจอพี่เลย ครั้งนี้ถือว่าเราได้เจอกันแล้ว ก่อนหน้านี้เวลามันเร่งเลยไม่ทันได้คุยกับพี่ยาวๆ ตอนนี้ผมมีเวลาแล้ว ขอเชิญพี่ไปดื่มกาแฟสักแก้วได้หรือเปล่าครับ”
ลู่เยี่ยนตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่จู่ๆ ซือฉิงที่อยู่ด้านข้างก็ยื่นมือมากอดแขนของเขา จากนั้นยิ้มน้อยๆ “ฉันกับลู่เยี่ยนมีธุระนิดหน่อย ไม่ว่างไปดื่มกาแฟจ้ะ”
น้ำเสียงแฝงความนัย ทำให้หลินชิงกับเฉินลี่มีการตอบสนองทันที
หลินชิงพูดอย่างรู้กาลเทศะ “งั้นผมไม่รบกวนพวกพี่แล้วครับ ลาก่อนครับ พี่เยี่ยน พี่ฉิง”
พูดจบก็ลากเฉินลี่ไปที่บันได
เมื่อทั้งคู่หายไปในทางเดินของตึกแล้วซือฉิงก็ทำเสียงเยาะ ก่อนจะปล่อยแขนของลู่เยี่ยนแล้วกดลิฟต์
“พ่อคนแสนดี เรียกใครว่าพี่ยะ”
พอเข้ามาในลิฟต์เรียบร้อยแล้วลู่เยี่ยนก็ถามว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่อยากไปกับเขา”
ซือฉิงหัวเราะเยาะ “หน้ามันฟ้อง และอีกอย่างฉันไม่ชอบคำพูดคำจาของเด็กนั่น”
ลู่เยี่ยนหลุดขำ “เพราะคำเรียกเหรอ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว” ซือฉิงใช้สองมือเท้าเอว “แต่มีปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าคำพูดคำจาของเขาไม่น่าฟัง อะไรคือนายเพิ่งเซ็นสัญญาเข้าบริษัท แต่เขาไม่เคยมีเวลาว่างมาเจอนาย เขาคิดว่าเขาเป็นใครนายถึงต้องรอให้เขามีเวลาว่าง”
ยิ่งพูดซือฉิงก็ยิ่งขัดใจ “คนไม่รู้จะคิดว่าเขาเป็นเจ้าของหมิงเซิ่งของพวกนายหรือเปล่า”
“ใจเย็นก่อนครับ” ตอนแรกลู่เยี่ยนก็รู้สึกขัดหู แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาต้องมาปลอบซือฉิงแทน “ผมเลี้ยงกุ้งมังกรเล็กดีไหม เดี๋ยวผมให้เสี่ยวหลิวซื้อกลับมาให้”
“ไสหัวไปเลย!” เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นที่หมายซือฉิงก็ก้าวออกไปเหมือนหนีโรคระบาด เหลือแต่เงาด้านหลังไว้ให้ลู่เยี่ยน “เจ๊ลดความอ้วนอยู่ ใครอนุญาตให้นายพูดเรื่องของกินฮะ!”
เฉินลี่เดินตามหลินชิงลงจากตึก “ทำไมเราไม่ใช้ลิฟต์ล่ะ”
หลินชิงเอ่ย “ลู่เยี่ยนกับซือฉิงอาจทำอะไรกันในลิฟต์ แล้วเราจะไปรบกวนคนอื่นเขาทำไม”
เฉินลี่นิ่วหน้า “ไม่หรอกน่า แต่ก็แปลกฉันได้ยินมาว่าลู่เยี่ยนไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ”
ก้าวย่างของหลินชิงหยุดชะงักทันที เขาเอ่ยถามอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า “เขาเป็นเกย์เหรอ”
“เรื่องนี้ฉันไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยคบกับสวี่เจ๋อที่เป็นเจ้าของซิงอวี๋ แต่รอบนี้ดูเหมือนพวกเขาสองคนจะเลิกกันแล้ว ลู่เยี่ยนถึงได้ไม่ต่อสัญญา”
จู่ๆ หลินชิงก็รู้สึกว้าวุ่นแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาคิดหนักอยู่สองสามวินาทีแล้วหยิบมือถือออกมาโทรหากู้ซวี
สายก่อนไม่มีคนรับ และสายนี้โทรไม่ติด
หลินชิงพูดขึ้น “คุณว่าทำไมลู่เยี่ยนถึงเซ็นสัญญาเข้าหมิงเซิ่ง ทั้งที่ทรัพยากรชิ้นใหญ่ๆ ไม่มีทางวนไปถึงเขา”
เฉินลี่ตอบกลับ “ไม่รู้สิ แต่ไม่มีข่าวลือว่ามีนอกมีในอะไรนะ”
แต่วันนี้ลู่เยี่ยนลงมาจากรถของผู้ช่วยสวี
หลินชิงยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ เขานิ่วหน้าอยู่นาน แล้วสุดท้ายก็โทรหาสวีเฟย
สวีเฟยรับสายอย่างรวดเร็ว “สวัสดีครับ”
“ผู้ช่วยสวีเหรอครับ ผมมีเรื่องจะรบกวน”
“ทางบริษัทจะช่วยออกทุนให้ผมสักก้อนได้หรือเปล่า”
“ผมเพิ่งเทสต์หน้ากล้องบทชิวหรงในเรื่องบทเพลงแห่งสงครามเสร็จ แต่แสดงได้ไม่ค่อยดี”
หลังได้รับคำตอบหลินชิงก็วางสาย มุมปากยกสูงขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเขาถึงเดินต่อไปที่บันได
เฉินลี่ตาโต “รับปากแล้ว?”
“แน่นอน” หลินชิงยิ้ม “มีเรื่องไหนบ้างที่พี่ซวีไม่รับปากผม ไปครับ เราไปเดินเล่นกัน เพราะพอเข้ากองคงไม่มีเวลาแล้ว”
ตอนที่หลินชิงมาทักทายลู่เยี่ยนที่สตูดิโอ ลู่เยี่ยนยังไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร
แต่พอลู่เยี่ยนทักทายกลับเรียบร้อย เขาก็เดินไปสอบถามเฉินจิง
“คนที่เลือกไว้เป็นอีกคนไม่ใช่เหรอครับ”
เฉินจิงนั่งอยู่บนเก้าอี้พับ เขาอ่านบทในมือด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ฉันถูกเงินทำให้หวั่นไหว”
พูดจบเฉินจิงก็ช้อนตา ก่อนจะใช้มือทำท่า ‘ชูสองนิ้ว’ แล้วบอก “ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าขอยัดเงินเข้ากอง และตอนนี้ก็หอบเงินเข้ากองมาแล้ว แถมเสนอให้สองเท่าด้วย”
ลู่เยี่ยน “…”
ซือฉิงได้ยินประโยคนี้เข้าพอดีเลยหัวเราะเยาะ “เงินมันทิ่มตาเหรอคะ นี่เป็นหนังเรื่องแรกของลู่เยี่ยนนะ ถ้าหนังพังเขาคือคนแรกที่จะเล่นงานคุณ”
“หรือนี่ไม่ใช่หนังเรื่องแรกของฉันเหมือนกัน!” เฉินจิงโอด “ฉันทำเพื่อพวกเธอไม่ใช่หรือไง เธอก็รู้ว่าพอได้เงินก้อนนี้มาฉันสามารถจัดหาคอสตูมที่ดีกว่านี้ ฉากที่ดีกว่านี้ และข้าวกล่องที่ดีกว่านี้ให้พวกเธอได้! หลินชิงจบการแสดงมาไม่ใช่เหรอ น่าจะพอไหวล่ะมั้ง ส่วนเรื่องกล้าม…ให้ช่างแต่งหน้าลงแป้งวาดเส้นให้เขาสักหน่อยก็ได้หรือเปล่า”
ซือฉิงเอ่ยอย่างมีคุณธรรม “การที่คุณทำแบบนี้คือการหลอกคนดู”
เฉินจิง “หุบปาก”
เขาหันไปมองลู่เยี่ยน “นายคงไม่มีความเห็นใช่ไหม เราลองกันก่อนได้หรือเปล่า ถ้าไม่ไหวค่อยว่ากัน”
ลู่เยี่ยนยักไหล่ เขาเดินกลับห้องแต่งหน้าไปสวมชุดเกราะโดยทิ้งคำพูดไว้เพียงว่า “โอเคครับ”
ผลคือลู่เยี่ยนยังไม่ทันได้พูดอะไร เฉินจิงก็ชิงระเบิดตูมก่อนแล้ว
“นายแม่งแสดงละครเป็นไหม! ทำหน้าไร้อารมณ์ไม่ได้หรือไง”
“ยิ้มอีกแล้ว! จะยิ้มอะไร ยิ้มให้ศัตรูในสนามรบเหรอ ไม่เคยโดนหอกแทงทะลุใช่ไหม!”
“นายจะมองซือฉิงด้วยสายตารักลึกซึ้งขนาดนั้นไปทำอะไร เธอเป็นพี่สะใภ้ของนายนะโว้ย!!”
พอตวาดจบคอของเฉินจิงก็รับไม่ไหวแล้ว เขาโบกมืออย่างอ่อนล้า “พัก พักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยถ่ายต่อ กินข้าวกล่องก่อนเถอะ”
หลินชิงยืนอยู่ข้างม้าสีขาวที่ถูกจูงมา เขาดึงแขนเสื้อลู่เยี่ยนแล้วพูดเสียงเบา “พี่เยี่ยนครับ ผมทำผู้กำกับเฉินโกรธหรือเปล่า”
เปล่าเลย นายเกือบจะทำให้เขาโมโหตายต่างหาก
ลู่เยี่ยน “กับเด็กใหม่เขาก็เป็นแบบนี้แหละ เมื่อก่อนฉันก็เคยโดนเขาด่าเหมือนกัน”
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาด่าแรงขนาดนี้
หลินชิงฟังแล้วถอนหายใจ “งั้นก็ดีครับ ความจริงผมรู้สึกว่าการแสดงของตัวเองไม่ได้แย่ขนาดนั้น พี่ว่าไหมครับ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าผ่านได้ แต่ความต้องการของผู้กำกับเฉินมันโหดอย่างที่คิดไว้เลย”
นี่ใกล้ถึงเวลากินอาหารเย็นแล้ว แต่พวกเขายังถ่ายงานได้ไม่ถึงครึ่งของเป้าการถ่ายทำในวันนี้เลย
ลู่เยี่ยนถูกหลินชิงทำให้โดนสั่งคัตมาทั้งวันจนรู้สึกเหนื่อย จึงบิดเอวซ้ายขวาอย่างอดไม่ได้
หลินชิง “พี่เยี่ยน เอวโอเคใช่ไหมครับ”
ลู่เยี่ยน “ไม่เป็นไร”
หลินชิง “อายุเยอะแล้วก็เป็นแบบนี้แหละครับ ผมรู้จักยาดองเหล้ายี่ห้อหนึ่ง ใช้ดีมาก พ่อผมใช้อยู่ ผมจะให้คนเอาไปให้พี่ลองสักสองสามขวดนะครับ”
เสี่ยวหลิวที่เดินเอาน้ำมาให้ลู่เยี่ยนได้ยินก็พูดอย่างไม่พอใจ “ว่าใครอายุเยอะนะ ปีนี้พี่เยี่ยนเพิ่งยี่สิบเจ็ด อายุกำลังดีต่างหาก! ถ้าวันนี้นายไม่เอาแต่ทำพลาดตลอดพี่เยี่ยนยังจะต้องอยู่ถ่ายกับนายทั้งวันเหรอ”
เสี่ยวหลิวไม่สนใจว่าหลินชิงมีเบื้องหลังแบบไหนเพราะเขาเป็นผู้ติดตามของลู่เยี่ยน ย่อมต้องปกป้องลู่เยี่ยน เสี่ยวหลิวเตรียมจะพูดต่อแต่จู่ๆ ลู่เยี่ยนก็ยื่นมือมาตบไหล่เขา
“เอาน่า ไปเอาข้าวกล่องมาให้ฉันหน่อย”
เสี่ยวหลิวรู้ว่าลู่เยี่ยนไม่อยากให้เขามีเรื่อง สุดท้ายก็บ่นพึมพำแต่ยังคงไปเอาของกินมาให้ลู่เยี่ยน
หลินชิงเหมือนถูกจี้จุดอะไรบางอย่างเลยพูดอย่างเก้อๆ “พี่เยี่ยนครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมแค่รู้สึกว่ายาดองเหล้ายี่ห้อนั้นใช้ดี ขอโทษครับ ผมทำให้พี่ต้องมาอยู่ด้วย”
ความตรากตรำในวันนี้บวกกับคำพูดพล่อยๆ เมื่อครู่ทำให้ลู่เยี่ยนไม่อยากวางท่าเป็นพี่ชายที่แสนดีอะไรอีก เขาทำเสียงอืมเรียบๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไป
เฉินลี่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง พอลู่เยี่ยนเดินออกไป เขาก็รีบเข้ามาบอกหลินชิงว่า “เสี่ยวชิง นายอย่าไปหาเรื่องลู่เยี่ยนนะ แค่เขาพูดประโยคเดียวซีนของนายก็ถูกตัดเป็นกระดาษติดหน้าต่างแล้ว!”
ใบหน้าของหลินชิงไม่เหลือความรู้สึกละอายใจและกระวนกระวายใจอย่างเมื่อครู่อีก เขาเล่นมือถือด้วยสีหน้าไม่สนใจอะไร “เขาเซ็นสัญญากับหมิงเซิ่งแล้วยังจะกล้าตัดซีนของผมเหรอ”
เงินหนึ่งก้อนที่ไหลเข้ามาทำให้ปัจจัยทุกด้านดีขึ้นมากจริงๆ
ดูได้จากข้าวกล่องของวันนี้
มื้อเย็นของลู่เยี่ยนวันนี้มีผักสามอย่าง เนื้อสี่อย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง อู้ฟู่มาก
เขามองซือฉิงที่นั่งอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง ก่อนจะพบว่าข้าวกล่องของอีกฝ่ายก็ดีขึ้นไม่น้อย เพียงแต่มีผักกับเนื้อน้อยกว่าของเขาอย่างละหนึ่ง
ซือฉิงก็สังเกตเห็นทันทีเหมือนกันจึงพูดเสียงเย็น “ตอนนี้ในใจเฉินจิงน่าจะรู้สึกละอายใจต่อนายมากถึงได้แอบเพิ่มกับข้าวให้”
ลู่เยี่ยน “แต่ดูเหมือนจะเยอะไปนิดหนึ่ง คุณกินไหม”
“ไม่ล่ะ ฉันลดความอ้วน” ซือฉิงใช้ช้อนคลุกข้าวกล่องพลางถามเขา “ลู่เยี่ยน ทำไมนายไม่โมโหสักนิดเลยล่ะ เขาทำให้นายต้องอยู่ถ่ายกับดาราเบอร์เล็กเกรดสามทั้งวันเลยนะ นายไม่โกรธเหรอ”
ลู่เยี่ยนยิ้ม “โกรธสิ แต่โกรธแล้วทำอะไรไม่ได้ ยังไงก็ต้องถ่ายอยู่ดี”
ซือฉิง “ตัดซีนเขาทิ้ง กันทรัพยากรเขา หักค่าตัวเขาด้วย!”
ลู่เยี่ยน “…เขามาจากบริษัทเดียวกับผม แถมยังใช้เงินยัดเข้ามา”
ซือฉิงร้องอ๋อ “พูดกันจริงๆ คือไม่โกรธ”
ลู่เยี่ยนยิ้มแต่ไม่ตอบ ก้มหน้าเตรียมพุ้ยข้าวเข้าปาก แต่ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าแสงรอบตัวมืดลงไปมาก
ชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ แล้วก็พบว่าหน้าโต๊ะกินข้าวที่ตั้งไว้แบบชั่วคราวมีสวีเฟยยืนอยู่
สวีเฟยวางกล่องเก็บอุณหภูมิในมือลงตรงหน้าเขาแล้วพูดยิ้มๆ “โชคดีที่มาทัน คุณลู่ครับ ประธานกู้ให้ผมเอาน้ำแกงมาส่ง”
กล่องเก็บอุณหภูมิใหญ่จนน่าตกใจ พอลู่เยี่ยนเปิดกล่องกลิ่นหอมของน้ำแกงก็ลอยออกมา
เครื่องในน้ำแกงมีเยอะมาก ทั้งข้าวโพด ซี่โครง แครอต เกาลัด รากบัว…น้ำมันสีเหลืองอร่ามเกาะอยู่ที่ขอบทั้งสองด้านของกล่องเก็บอุณหภูมิ ทำให้สีของน้ำแกงยิ่งดูอบอุ่น
พอสวีเฟยจากไป ซือฉิงก็ยื่นหน้าเข้ามาทันที “น้ำแกงนี่หอมเกินไปหรือเปล่า รีบแบ่งมาให้ฉันหน่อยสิ! ปล่อยให้เรื่องลดความอ้วนอะไรนั่นไปตายซะ!”
ลู่เยี่ยนได้สติ เขาเลื่อนกล่องเก็บอุณหภูมิไปตรงหน้าหญิงสาวเพื่อให้เธอตักได้สะดวก
ซือฉิงตักน้ำแกงไปหนึ่งชามเต็มๆ จนปริ่มถ้วยเก็บอุณหภูมิ เห็นได้ชัดว่าปริมาณเยอะมาก
ซือฉิงกินน้ำแกงพลางทำเสียงจิ๊จ๊ะ “ซี่โครงนี่คีบปุ๊บเนื้อก็หลุดออกมาเองเลย อร่อยจริงๆ ต้องใช้เวลาตุ๋นหลายชั่วโมงเลยล่ะมั้ง ใช้ได้เลยนะ ขนาดอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้ยังจำได้ว่าต้องส่งน้ำแกงมาให้นาย”
ลู่เยี่ยนตักน้ำแกงกินหนึ่งช้อน รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอม
* หมาป่าตาขาว เป็นคำที่ใช้เรียกคนประเภทอกตัญญู ไม่รู้บุญคุณคน
บทที่ 14
หลังจบงานของอวิ๋นอันชิง หลินอันยังไม่เดินทางกลับเมืองหลวง แต่รีบเดินทางไปที่เมือง J เพราะกลัวว่าบอสใหญ่ที่เขาสู้อุตส่าห์ดูแลมาด้วยความยากลำบากจะถูกเสี่ยวหลิวดูแลจนพัง
เขารีบหอบผลไม้ถุงใหญ่มาที่สตูดิโออย่างรีบร้อนและมาถึงตอนเวลากินมื้อเย็นพอดี เขาทักทายสตาฟฟ์ไปตลอดทาง กว่าจะเดินมาถึงห้องแต่งตัวผลไม้ก็ถูกแจกจ่ายไปเกินครึ่งแล้ว
หลินอันผลักเปิดประตู ก่อนโอดว่า “ไอ้ลูกชาย! ได้ยินว่านายผอมโซจนกลายเป็นตะเกียบไปแล้ว รีบมาให้พ่อดูหน่อยซิ!”
ลู่เยี่ยนคว้าหมอนอิงข้างเก้าอี้โยนใส่เขา “ไสหัวไป!”
“เอ๋?” พอหลินอันเดินเข้ามาในห้องก็ได้กลิ่นหอมฉุย ตรงหน้าลู่เยี่ยนมีกล่องเก็บอุณหภูมิใบยักษ์หนึ่งใบ ในนั้นมีน้ำแกงข้นที่ร้อนจนควันขึ้น เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าเครื่องเคราในน้ำแกงอู้ฟู่มากเพราะในน้ำแกงไก่ง่ายๆ ชุดเดียวนี้เต็มไปด้วยพุทราแดง เห็ดหอม เก๋ากี้…
“เจ้าเด็กหน้าเหม็น แบบนี้เรียกว่าอาหารการกินไม่ดีอีกเหรอ น้ำแกงแบบนี้อย่างน้อยต้องราคาหนึ่งหรือสองร้อยไคว่แล้วล่ะมั้ง”
เสี่ยวหลิวที่ถูกหลินอันตบศีรษะทำหน้าตัดพ้อ “อาหารการกินก่อนหน้านี้ไม่ไหวจริงๆ ครับ แต่ตอนนี้ดีขึ้นเพราะกองถ่ายได้เงินมาก้อนโต แถมช่วงนี้ประธานกู้ก็ส่งน้ำแกงมาให้ทุกวัน”
หลินอันมานั่งข้างลู่เยี่ยน เขาทวนคำอย่างประหลาดใจ “ประธานกู้ส่งน้ำแกงมาให้ทุกวัน?”
เสี่ยวหลิวบอก “ครับ ผู้ช่วยของประธานกู้เป็นคนเอามาส่ง”
หลินอันมองลู่เยี่ยน แต่ฝ่ายหลังกำลังกินน้ำแกงอย่างเอร็ดอร่อย
ขณะที่หลินอันเตรียมจะพูดอะไรบางอย่างก็เห็นมือถือของลู่เยี่ยนดังขึ้นเสียก่อน ลู่เยี่ยนจึงยื่นมือออกไปหยิบทิชชูมาเช็ดปาก
มันเป็นข้อความที่กู้ซวีส่งมาถาม
[กินน้ำแกงแล้วหรือยัง]
[กำลังกินอยู่ครับ]
ลู่เยี่ยนพิมพ์เสร็จแล้วก็หยุดคิด ก่อนจะส่งข้อความไปอีกประโยค
[คุณกินข้าวแล้วหรือยังครับ]
[เพิ่งกินเสร็จ ผมทำงานทางนี้เสร็จแล้ว พรุ่งนี้จะไปเยี่ยมคุณที่กองนะ]
[ครับ]
หลินอันนั่งอยู่ใกล้ลู่เยี่ยนเลยมองเห็นเนื้อหาในข้อความได้โดยไม่ต้องยื่นหน้าไปดู เขามองรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของลู่เยี่ยนแล้วพลันรู้สึกเอะใจขึ้นมาทันที
พอลู่เยี่ยนวางมือถือลง หลินอันก็ถามเขายิ้มๆ “นายกับประธานกู้คบกันอยู่เหรอ”
ลู่เยี่ยนซดน้ำแกง “แค่เพื่อนน่ะ”
“โกหกใครน่ะ เพื่อนที่ไหนจะให้คนขับรถมาครึ่งชั่วโมงเพื่อเอาน้ำแกงมาส่งให้ทุกวัน” หลินอันนิ่งไปเล็กน้อยแล้วลดเสียงให้เบาลง “แถมนายยังยอมกินด้วย”
ลู่เยี่ยนยิ้ม “แล้วทำไมฉันถึงจะไม่ยอมกิน”
“เมื่อก่อนตอนสวี่เจ๋อจีบนาย นายเคยรับของที่เขาส่งมาให้เสียที่ไหน” หลินอันเลือกองุ่นหนึ่งพวงจากกองผลไม้ที่ตนเอามาไปล้างน้ำ เขากินองุ่นพลางพูดว่า “ดอกไม้นายก็ส่งคืน นาฬิกาข้อมืออะไรนายก็ส่งคืน หลังจากนั้นเขาก็ส่งของกินมาที่กองเหมือนกันไม่ใช่หรือ ขอฉันนึกก่อน…ตอนนั้นนายทำยังไงนะ โอย ฉันลืมไปแล้ว แต่ฉันจำได้ว่าไอ้ลูกเต่านั่นยังหาเชฟมิชลินสามดาวมาทำให้ด้วย”
ลู่เยี่ยนฟังแล้วมือที่ถือน้ำแกงอยู่ก็ชะงักไป
พอหลินอันพูดแบบนี้เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าสวี่เจ๋อไม่ยอมเอาของกินพวกนั้นกลับ ลู่เยี่ยนเลยเททิ้งไปดื้อๆ
หลินอันยังคงพร่ำพูดไม่หยุด “ฉันจำได้ว่าตอนนั้นนายพูดว่าอะไรนะ ‘ถ้าไม่ชอบก็อย่าไปให้ความหวังคนอื่น’ ใช่ไหม พูดจาเท่ซะจนฉันฟันร่วงเลย”
“…มันไม่เหมือนกัน กู้ซวีไม่ได้จีบฉัน” ลู่เยี่ยนเงียบไปสองสามวินาทีก่อนพูดเสียงเรียบ “ว่าแต่ทำไมนายถึงพูดมากนัก เป็นอะไรไป อวิ๋นอันชิงทำงานด้วยยาก ทำให้นายเก็บกดหรือไง”
พอพูดถึงศิลปินคนใหม่ของเขา ประเด็นที่คุยกันก่อนหน้านี้ก็ถูกหลินอันโยนเข้ามุม “ใช่ที่ไหน อันชิงเขาดีนะ ว่านอนสอนง่าย ฉันว่าไงเขาก็ว่าตามนั้น”
“งั้นก็แย่แล้ว ฉันต้องเตือนเขาสักหน่อยว่าอย่าปล่อยให้นายทำเขาเสียคน”
“พูดอะไรน่ะ ฉันก็ดูแลนายมา แล้วฉันทำนายเสียคนหรือเปล่าล่ะ!” หลินอันตวาด แต่พอพูดจบเขาก็ฉุกคิดเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ น้ำเสียงที่พูดจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนลงทันที “เสี่ยวเยี่ยน เจ้าหนูอวิ๋นอันชิงไม่เลวจริงๆ นะ ไว้นายถ่ายหนังเสร็จแล้วฉันจะให้เขาเลี้ยงข้าวนายสักมื้อ เขามีน้ำอดน้ำทนและค่อนข้างมีศักยภาพ แถมยังเป็นแฟนคลับตัวเล็กๆ ของนายด้วย”
“พอแล้ว จะพูดจาอ้อมค้อมมากมายไปทำไม มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยเถอะ” ลู่เยี่ยนรู้จักหลินอันมานานขนาดนี้ แค่ได้ยินเขาก็คาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้เกินครึ่งแล้ว
หลินอันทำเสียงหึ “นายกดติดตามแอ็กเคานต์โซเชียลมีเดียของเขาหน่อยได้ไหม ช่วยเรียกกระแสให้เจ้าหนูนั่นหน่อย ถ้ากดไลค์อะไรให้เขาได้คือดีที่สุด”
พอหลินอันพูดแบบนี้ ลู่เยี่ยนถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้แตะเวยป๋อมาครึ่งเดือนแล้ว ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเย็นและเลียนแบบน้ำเสียงของซือฉิง “นายรู้ไหมว่าเวยป๋อของฉันมีค่าโฆษณาชิ้นละเท่าไหร่”
ถึงปากจะพูดแบบนี้แต่มือกลับเปิดเวยป๋อและพิมพ์ชื่อของอวิ๋นอันชิงในช่องสืบค้น
หลินอันพูดอย่างซื่อๆ “เวยป๋อของนายไม่เคยรับโฆษณา แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าค่าโฆษณาของนายคือเท่าไหร่ แต่ก่อนหน้านี้เคยมีคนติดต่อฉัน ราคาสูงที่สุดคือเกือบหนึ่งล้าน ทิ้งห่างพวกดารารุ่นเดียวกันกับนายไปสิบช่วงถนน! ฉันขอบอกตรงๆ ว่าถ้านายยอมรับโฆษณารายรับของนายแต่ละปีต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อย…”
ลู่เยี่ยนชะงัก “นายจะหุบปากหรือจะให้ฉันเก็บเงินค่าโฆษณาหนึ่งล้าน”
หลินอันไม่กล้าหายใจแรง นิ่งเงียบเหมือนไก่*
ลู่เยี่ยนเปิดเวยป๋อของอวิ๋นอันชิงที่มีแฟนคลับในเวยป๋อประมาณสองสามแสน เวยป๋อแรกเป็นภาพเซลฟี่ เด็กหนุ่มในภาพยิ้มอย่างสดใสพลางกอดกีตาร์เอาไว้หนึ่งตัว ดูใสสะอาดผ่องแผ้ว ติดแคปชั่นว่า
[ซีรี่ส์เรื่องใหม่ผมแสดงเป็นหนุ่มมือกีตาร์ [ซุกซน]]
แฟนคลับใต้รูปภาพพากันบอกว่าน่ารัก และมีสองสามคนที่บ่นเสียดายว่าบทของเขาเล็กเกินไป ไม่สะดุดตาเลย
ทว่าภาพนี้กลับเข้าตาลู่เยี่ยน เขาเลยรีโพสต์เซลฟี่รูปนี้พร้อมพิมพ์ว่า
[สู้เขา พ่อหนุ่มมือกีตาร์ [ซุกซน]]
เวยป๋อเพิ่งถูกรีโพสต์ไปได้ไม่นานก็ได้รับคอมเมนต์จำนวนมหาศาล
[อ๊าๆๆๆๆ เหล่ากงโพสต์เวยป๋อแล้ว!!! ฉันนึกว่าคุณลืมรหัสเข้าเวยป๋อไปแล้วเสียอีก [ยิ้มน้อยๆ]]
[ตอนเห็นแจ้งเตือนในมือถือฉันยังนึกว่าตัวเองเห็นภาพหลอน เพราะฉันตั้งค่าลู่เยี่ยนไว้เป็นผู้ที่ฉันติดตามเป็นพิเศษ]
[อา คนที่ชื่ออวิ๋นอันชิงนี่ก็น่ารักมากเหมือนกันนะ ฉันแวะไปดูเวยป๋อของเขาหน่อยดีกว่า]
[เหล่ากงไม่ได้มาอัพเวยป๋อนานแล้ว น้อยใจ กลิ้ง สะอื้น]
ลู่เยี่ยนนั่งดูนั่นดูนี่หนึ่งรอบ ช่วงนี้ไม่มีข่าวอะไรนอกจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึง ทำให้กระแสเรื่องของถังหมิงกำลังจะถูกเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยประเภทต่างๆ กลบไป
ชายหนุ่มเปิดอัลบั้มเพื่ออัพเดตชีวิตของตัวเองในเวยป๋อ
ผลคือสองสามรูปล่าสุดในอัลบั้มเป็นน้ำแกงข้นประเภทต่างๆ ทั้งหมด
เนื่องจากทุกครั้งที่ได้รับน้ำแกงเขาจะถ่ายรูปไว้หนึ่งรูปจนเดี๋ยวนี้กลายเป็น ‘การฆ่าเชื้อก่อนกินข้าว’ ไปแล้ว อันที่จริงเมื่อก่อนเขาไม่ได้มีนิสัยแบบนี้ ทว่านับตั้งแต่ได้กินเมนูประจำบ้านที่กู้ซวีทำสองสามอย่าง ก่อนกินน้ำแกงเขาเป็นต้องหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปเอาไว้หนึ่งรูปโดยจิตใต้สำนึก
นิ้วของชายหนุ่มค้างอยู่กลางอากาศนานมาก สุดท้ายก็เลือกภาพน้ำแกงข้นแปดภาพมาต่อกันเป็นภาพเก้าช่อง โดยตรงกลางเติมภาพเมนูประจำบ้านสองสามอย่าง
ลู่เยี่ยน ⓥ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยใกล้จะมาถึงแล้ว ขอนำเสนอเมนูช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยของผมให้ทุกคนพิจารณานะครับ ขอให้ทุกคนทำได้ทุกข้อ ต่อให้มั่วก็ถูกหมด สู้ๆ นะครับ [ให้กำลังใจ]
หลินอันดูเวยป๋อแล้วกอดไหล่ลู่เยี่ยนอย่างเบิกบานใจ “พี่น้องที่แสนดี! จริงสิ ฉันยังมีเรื่องจะบอกนาย อีกสองสามวันจะมีงานเลี้ยงอาหารค่ำเนื่องในโอกาสวันครบรอบของซิงอวี๋ พวกเขาส่งบัตรเชิญมาให้นายด้วย”
เมื่อพูดถึงงานเลี้ยงอาหารค่ำเนื่องในโอกาสวันครบรอบของซิงอวี๋ขึ้นมาก็ทำให้ลู่เยี่ยนฉุกคิดถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยโสภานัก ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเย็น “ไม่ไป”
หลินอันเดาคำตอบของลู่เยี่ยนได้ตั้งแต่ต้น “เสี่ยวเยี่ยน ฉันว่านายไปดีกว่านะ อย่างแรกคือคนนอกมองว่านายหมดสัญญากับซิงอวี๋ด้วยดี แต่ยังมีอีกหลายคนที่ลือว่าเป็นเพราะนายกับสวี่เจ๋อเลิกกัน รอบนี้ซิงอวี๋หาเรื่องตายด้วยการส่งบัตรเชิญมาทางเวยป๋อแบบเฉพาะเจาะจง ถ้านายไม่ไปก็ไม่รู้ว่านักข่าวจะพูดกันยังไง แถมหนังเรื่องบทเพลงแห่งสงครามยังปิดข่าวกันอยู่ไม่ใช่เหรอ นายไม่ได้โชว์ตัวมาเกินครึ่งเดือนแล้ว รอบนี้ออกไปโชว์ตัวสักหน่อยดีกว่านะ”
ที่ลู่เยี่ยนกับหลินอันร่วมงานกันได้หลายปีเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพราะนิสัยของทั้งคู่เข้ากันได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเวลาที่ลู่เยี่ยนใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ หลินอันจะสามารถหยิบจับผลประโยชน์ในเรื่องนี้ออกมาได้อย่างเฉียบแหลมทันควันและเตือนให้ลู่เยี่ยนตัดสินใจได้อย่างถูกต้องที่สุด
ลู่เยี่ยนถอนหายใจก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม “เมื่อไหร่”
หลินชิงมองดูเวยป๋อด้วยสีหน้าเยียบเย็น ไม่พูดเลยสักคำ
เพราะเวยป๋อของลู่เยี่ยนเพิ่งโพสต์ได้แค่สิบนาทีก็มีคอมเมนต์เกือบหมื่นแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าเขามีชื่อเสียงโด่งดังในระดับไหน
นอกจากนี้ในเวยป๋อที่ลู่เยี่ยนเพิ่งโพสต์ออกไป ตัวกล่องเก็บอุณหภูมิในรูปยังเป็นสิ่งที่ทิ่มแทงสายตามากยิ่งกว่า สัปดาห์นี้หลินชิงเห็นผู้ช่วยสวีหิ้วกล่องเก็บอุณหภูมิหน้าตาแบบนี้เข้าออกสตูดิโอทุกวัน ทำให้หลินชิงต้องยอมรับว่ากู้ซวีใส่ใจลู่เยี่ยนมาก
เฉินลี่ถือข้าวกล่องเดินเข้ามา “กินมื้อเย็นสิ ตอนค่ำยังมีถ่ายซีนกลางคืนอีกหลายฉากนะ”
หลินชิงมองข้าวกล่องที่ทั้งแห้งและเย็นชืด แล้วมองน้ำแกงข้นในจอมือถือด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มกลอกตามองเฉินลี่ “ไม่กินแล้ว!”
การถูกพาลใส่อย่างไม่มีเหตุผลทำให้เฉินลี่เริ่มไม่พอใจ แต่เขายังคงอดกลั้นเอาไว้และกล่อมว่า “ไม่กินข้าวตอนค่ำจะหิวนะ และถ้าไปกระทบการถ่ายทำก็จะไม่ดี”
แต่หลินชิงหูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ แล้วและโทรหากู้ซวีอีกครั้ง กู้ซวีไม่รับสายเขามาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ อีกทั้งหลินชิงก็สอบถามอะไรจากสวีเฟยไม่ได้ เขาจึงร้อนใจมาก นี่คือสาเหตุที่ทำให้ช่วงนี้เขาถ่ายทำฉาก NG* บ่อยๆ
ผลคือมือถือยังโชว์ว่าไม่สามารถติดต่อได้เหมือนเดิม
หลินชิงวางสายอย่างเศร้าๆ เขากลับไปที่หน้าเวยป๋อของลู่เยี่ยนอีกครั้ง
ลู่เยี่ยนเพิ่งรีโพสต์เวยป๋อของเด็กใหม่คนหนึ่ง หลินชิงเลยเข้าไปดู ก่อนจะพบว่าเด็กใหม่คนนั้นได้แฟนคลับเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งแสนกว่า!
เขาจึงกดติดตามลู่เยี่ยนแบบไม่ได้หยุดคิดแล้วส่งข้อความส่วนตัวไปหาอีกฝ่าย
หลินชิง ⓥ พี่เยี่ยนครับ ผมหลินชิง~
ผลคือจนกระทั่งหมดเวลากินมื้อเย็นหลินชิงก็ยังไม่ได้รับการติดตามจากลู่เยี่ยน
ฉากแรกของซีนกลางคืนเป็นซีนของหลินชิงกับลู่เยี่ยน ระหว่างที่เฉินจิงกำลังสั่งการเรื่องปรับอุปกรณ์ประกอบฉากเป็นรอบสุดท้าย หลินชิงก็เดินมาหาลู่เยี่ยนด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
“พี่เยี่ยนครับ ผมกดติดตามเวยป๋อพี่แล้วนะ!” หลินชิงคิดว่าการพูดแบบนี้น่าจะชัดเจนพอแล้วล่ะมั้ง
ลู่เยี่ยนลูบขนม้าเบาๆ “เห็นแล้ว”
หลินชิงกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง “เรากดติดตามกัน…”
หลินชิงยังพูดไม่ทันจบก็ถูกลู่เยี่ยนตัดบทว่า “นายกดยกเลิกเถอะ เราต้องปิดข่าวในช่วงการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ถ้าจู่ๆ เราสองคนกดติดตามกันจะทำให้นักข่าวสงสัย เกิดพวกเขาตรวจเจออะไรขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”
พูดจบเขาก็ส่งม้าให้สตาฟฟ์แล้วเดินไปคุยเรื่องบทกับเฉินจิง
ทิ้งให้หลินชิงยืนอยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาว
วันต่อมาลู่เยี่ยนเพิ่งถ่ายฉากสุดท้ายในช่วงบ่ายเสร็จก็เห็นกู้ซวีนั่งอยู่ข้างเฉินจิง
ทั้งคู่สบตาและยิ้มให้กัน
ลู่เยี่ยนถอดชุดเกราะแล้วเดินออกมาจากห้องแต่งหน้า เตรียมไปหากู้ซวี
แต่ทันใดนั้นก็มีลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านข้างตัวเขาไป หลินชิงวิ่งผ่านลู่เยี่ยนไปหยุดอยู่ข้างๆ กู้ซวีก่อนลู่เยี่ยนหนึ่งก้าว
เด็กหนุ่มยกมือกอดแขนกู้ซวีอย่างเป็นธรรมชาติแล้วยิ้ม “พี่ซวีครับ ในที่สุดพี่ก็มาเยี่ยมผมที่กองแล้ว!”
* นิ่งเงียบเหมือนไก่ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงคนที่ปกติแล้วพูดมากแต่เมื่อถึงเวลาจำเป็นกลับไม่พูดอะไรเลย
* NG ย่อมาจาก No Good หมายถึงฉากที่ถ่ายทำไม่ผ่านเนื่องจากนักแสดงทำผิดไปจากบท เช่น พูดผิดหรือลืมบทระหว่างการถ่ายทำ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.