X
    Categories: everYคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1 บทที่ 15-16 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ เล่ม 1

ผู้เขียน : เจี้ยงจื่อเป้ย

แปลโดย : ปราณหยก

  

ผลงานเรื่องคุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ 

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

  

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 15

 

หัวคิ้วของลู่เยี่ยนขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแต่ยังคงไม่ได้เปิดปาก

หลินชิงมองเห็นความฉงนของกู้ซวีเลยกระตุกมุมปาก “ผมกำลังถ่ายหนังครับ เป็นทรัพยากรที่ผู้ช่วยสวีช่วยผมจัดการ พี่ลืมแล้วเหรอครับ”

“ไม่ได้ลืม” กู้ซวีดึงแขนของตัวเองออก “แต่ฉันไม่รู้เรื่องนี้”

พูดจบเขาก็เดินไปหาลู่เยี่ยน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “อยากกินอะไร”

ลู่เยี่ยนใส่หน้ากากอนามัยเอาไว้ “ได้หมดครับ”

“ทำไมหน้ากากอนามัยของคุณเอียงอยู่เรื่อย” กู้ซวียื่นมือมาดึงด้านขวาของหน้ากากอนามัยเพื่อจัดให้ตรง “ไปกันเถอะ”

“ครับ”

หลินชิงยืนอยู่ที่เดิม รอยยิ้มแข็งค้างอยู่บนใบหน้า “พี่ซวีครับ พวกพี่จะไปไหนกันเหรอครับ”

“กินข้าว”

“ขอผมไปด้วยคนได้หรือเปล่าครับ” หลินชิงได้สติ เขากระโดดมาหากู้ซวีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ถึงข้าวกล่องกองจะมีเงินทุนเพียงพอ แต่ผู้กำกับเฉินค่อนข้างเข้มงวดกับการถ่ายทำมาก กว่าจะถ่ายเสร็จข้าวกล่องก็เย็นหมดแล้ว ไม่อร่อยเลย!”

หลินอันเอาข้าวกล่องมาให้ลู่เยี่ยนแล้วได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี เมื่อคืนเขาได้ยินเสี่ยวหลิวเล่าเรื่องนี้ให้ฟังไม่น้อย และวันนี้เขาได้เห็นความสามารถในการถ่ายทำฉาก NG ของหลินชิงแล้วเลยอดกระแอมไม่ได้ว่า “แค่เล่นให้โดนสั่งคัตน้อยลงสักสองสามรอบข้าวกล่องก็ไม่เย็นแล้ว เสี่ยวเยี่ยนเองต้องเหนื่อยเพราะนายจนต้องกินข้าวกล่องเย็นๆ เหมือนกัน เขาเคยพูดอะไรไหม”

หลินชิงหน้าแดงเพราะคิดไม่ถึงว่าหลินอันจะไม่ไว้หน้ากันแบบนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายหรือโกรธ เขามองสีหน้าของกู้ซวีแต่กลับพูดกับลู่เยี่ยนว่า “พี่เยี่ยนครับ ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ ผมเพิ่งเคยจับงานถ่ายหนังเลยทำให้พี่ต้องลำบาก”

“ไม่เป็นไร ใครๆ ก็เคยเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น” ลู่เยี่ยนตอบเสียงไม่เบาไม่หนักและถามหลินอันว่า “เอาข้าวกล่องไปเก็บเถอะ ฉันจะออกไปกินข้าวกับกู้ซวี ว่าแต่ทำไมนายยังไม่ไปสนามบินล่ะ”

“ไฟลต์บินเก้าโมง” หลินอันบอก “ฉันจองตั๋ววันมะรืนไว้ให้นาย แล้วก็บอกกล่าวผู้กำกับเฉินไว้เรียบร้อย”

“รู้แล้ว”

“สวัสดีครับประธานกู้” พอหลินอันต่อว่าหลินชิงเสร็จถึงค่อยนึกได้ว่าข้างตัวยังมีบอสใหญ่ระดับหัวหน้าของเขายืนอยู่ด้วย หลินอันจึงทักทายกู้ซวีด้วยรอยยิ้มจนตาหยี และพูดกับลู่เยี่ยนแบบมีนัยว่า “งั้นพวกนายรีบไปกินข้าวเถอะ จำไว้ว่าอย่าทำตัวเด่นและอย่าถูกใครถ่ายรูปได้ล่ะ”

ลู่เยี่ยนผงกศีรษะ ทั้งสองเตรียมจะเดินออกจากสตูดิโอ แต่กู้ซวีถูกหลินชิงดึงไว้อีกครั้ง

“พี่ซวีครับ…”

ลู่เยี่ยนก้าวเท้ายาว ตอนนี้เลยเดินออกไปนอกสตูดิโอแล้ว กู้ซวีปัดมือของหลินชิงออกโดยไม่ได้หยุดฝีเท้า “ฉันจองไว้แค่สองที่”

 

ตอนที่กู้ซวีขึ้นนั่งบนเบาะฝั่งคนขับ ลู่เยี่ยนถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าวันนี้สวีเฟยไม่ได้ตามมาด้วย

พูดอีกอย่างหนึ่งคือกู้ซวีขับรถราวครึ่งชั่วโมงเพื่อมาเยี่ยมกองของเขา

ลู่เยี่ยนเลยปลดเข็มขัดนิรภัย “ผมขับเองดีไหม”

“รัดเข็มขัดซะ” กู้ซวีมองรอยคล้ำใต้ตาของลู่เยี่ยนแวบหนึ่ง “ผมขับเอง คุณนอนพักสักหน่อย ถึงแล้วผมจะปลุก”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ง่วง” ลู่เยี่ยนขยี้ตา

เพลงในรถเป็นเพลงภาษาอังกฤษฟังสบาย

ลู่เยี่ยนสังเกตว่าตอนกู้ซวีขับรถอีกฝ่ายจะไม่ค่อยพูดคุย ชายหนุ่มขับรถนิ่งมาก สองมือจับพวงมาลัยตลอด ทำให้ลู่เยี่ยนแทบไม่รู้สึกถึงความโคลงเคลงเลย

เหมือนกับตัวเขาที่ทั้งหนักแน่นและทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจ

ระหว่างนั้นทัศนียภาพด้านนอกเป็นวิวทะเล ลู่เยี่ยนเท้าแขนไว้บนหน้าต่างรถและใช้มือยันศีรษะ ท่าทางดูเหม่อลอย

สำหรับเด็กใหม่แล้วบทชิวหรงถือเป็นก้าวแรกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

เฉินจิงบอกว่าหลินชิงยัดเงินเข้ามา แล้วลู่เยี่ยนลืมไปได้อย่างไรว่าหลินชิงมาจากบริษัทเดียวกันกับเขา เรื่องยัดเงิน ถ้าครอบครัวของหลินชิงไม่ร่ำรวย เช่นนั้นก็เท่ากับว่า…บริษัทต้องการดันหลินชิง

ลู่เยี่ยนพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนที่เขาเซ็นสัญญากู้ซวีบอกประมาณว่า ‘ทางเราไม่ขาดทรัพยากร แต่ไม่สามารถทุ่มทรัพยากรส่วนใหญ่ให้คุณ’ ประกอบกับเมื่อครู่การแสดงออกอย่างสนิทสนมที่หลินชิงมีต่อกู้ซวีก็ฟ้องชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ไม่ใช่แค่ผิวเผิน

คำตอบเหมือนจะเผยตัวออกมาแบบแดงโร่

เพราะหากพูดกันจริงๆ แล้วด้วยความสามารถเช่นนั้นของหลินชิง บริษัทไม่มีเหตุผลที่จะดันเขา

ถ้าอย่างนั้นหลินชิงกับกู้ซวีเป็นอะไรกัน

เจ้านายกับลูกน้อง เพื่อน ญาติ คนรัก?

ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของลู่เยี่ยน จู่ๆ เขาก็รู้สึกจุกจนพูดไม่ออก

พอลงจากทางด่วนก็เจอสัญญาณไฟจราจร กู้ซวีหันหน้ามาเห็นลู่เยี่ยนกำลังมองจ้องออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรอยู่

เขาจึงทำลายความเงียบ “ผมจองร้านอาหารเอาไว้”

“ไม่ทำเองแล้วเหรอครับ” ลู่เยี่ยนหลุดปากออกไปแล้วถึงค่อยรู้ตัวว่าพลั้งปากไปหน่อย เขากระแอมเบาๆ “ก็จริง ทำอาหารเองค่อนข้างยุ่งยาก”

“ไม่ถือว่ายุ่งยากอะไรหรอก” กู้ซวียิ้ม “แต่ผมกลัวว่าคุณจะเบื่อเมนูประจำบ้านเลยจะเปลี่ยนรสชาติ”

ร้านอาหารที่กู้ซวีจองไว้เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส

เมื่อส่งรถให้พนักงานรับรถเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็เดินเคียงกันเข้าไปในร้านอาหาร การตกแต่งภายในร้านแห่งนี้หรูหรามาก เดินเข้าประตูใหญ่ไปก็มีพนักงานมาต้อนรับทันที

“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าจองไว้หรือเปล่าครับ”

“แซ่กู้ครับ”

“รบกวนรอสักครู่นะครับ” พนักงานดูรายชื่อในมือแล้วพลันทำหน้าปั้นยาก “คุณกู้ครับ ที่นี่มีบันทึกการจองของคุณอยู่จริง แต่…”

“เฮ้ พี่น้อง”

น้ำเสียงร่าเริงของใครคนหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้ว่าเฉินอีหมิงโผล่ออกมาจากไหน เขากอดไหล่กู้ซวีหมับ

กู้ซวีนิ่วหน้า “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“มาเที่ยวน่ะ ฉันส่งวีแชตไปบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันมาตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว”

“ฉันไม่ได้ดูวีแชต” กู้ซวีดึงมือเขาออก

“โอเค งั้นตอนนี้นายก็รู้แล้ว” เฉินอีหมิงพูดจบถึงค่อยสังเกตเห็นว่าที่ด้านหลังของกู้ซวีมีคนเดินตามมาอีกคน ถึงชายหนุ่มคนนั้นจะสวมหน้ากากอนามัย แต่อย่างไรข้อมูลของอีกฝ่ายก็เคยวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเฉินอีหมิงหลายวัน เขามองปราดเดียวก็จำลู่เยี่ยนได้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแกมดีใจ “ลู่เยี่ยน คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

ลู่เยี่ยนคิดไม่ถึงว่าจะมีคนจำเขาได้เลยค่อนข้างแปลกใจ แต่จังหวะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูดกู้ซวีก็พลันเบี่ยงตัวมากันลู่เยี่ยนไปอยู่ด้านหลังของตน “เขามากินข้าว”

“อ้อเหรอ พี่น้อง แบบนี้นี่เอง” เฉินอีหมิงยิ้มแห้ง “ฉันมาที่นี่เพื่อเที่ยวก็จริง แต่หลักๆ ก็ยังต้องมาคุยเรื่องธุรกิจด้วย ได้ยินว่าคู่ค้าชอบมากินข้าวที่ร้านนี้เป็นพิเศษ แต่ผู้ช่วยไม่เอาไหนของฉันดันจองโต๊ะให้ไม่ได้”

เฉินอีหมิงกระแอมเบาๆ “ฉันเลยตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะเพื่อดูว่าพอจะมีวิธีอื่นอีกไหม ผลคือ เฮ้ บังเอิญมาก ฉันเห็นชื่อของนายอยู่ในรายชื่อการจองทันที ตัวอักษรสองตัวนั้นเหมือนจะเปล่งรัศมีสีทองออกมา แถมด้านบนของตัวอักษรยังมีสายรุ้งพาดผ่าน ด้านล่างของตัวอักษรมีพื้นหญ้าเขียวขจี…”

ลู่เยี่ยนทนไม่ไหว ขำพรืดออกมาหนึ่งครั้ง

กู้ซวีเลิกคิ้ว “เข้าประเด็น”

เฉินอีหมิง “ฉันบอกพนักงานว่าเรามาด้วยกันและคอนเฟิร์มด้วยเบอร์โทรศัพท์ ทำให้ได้ที่นั่งมา…เป็นตอนจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งจริงๆ”

น้ำเสียงของกู้ซวียังคงไม่เปลี่ยน “งั้นตอนนี้นายก็พาคู่ค้าของนายไปได้แล้ว”

เฉินอีหมิงทำหน้าหงอยทันที “ไม่เอาน่ะ ฉันต้องทำนัดอยู่นานกว่าเขาจะยอมออกมากินข้าวด้วย”

เมื่อเห็นกู้ซวีไม่ยอมตกปากรับคำ เฉินอีหมิงก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที เขาเดินอ้อมตัวกู้ซวีไปมองลู่เยี่ยนด้วยท่าทางน่าสงสาร “เสี่ยวเยี่ยนเยี่ยน ไว้กลับเมืองหลวงแล้วผมจะจัดวันแพ็กเกจเซอร์วิส* ให้คุณนะ แต่วันนี้คงต้องทำให้คุณกับกู้ซวีลำบากหน่อยได้ไหมครับ”

ในที่สุดลู่เยี่ยนก็จำชายตรงหน้าได้ว่าเขาคือประธานบริษัทอวี่เช่อ อีกฝ่ายเคยยื่นกิ่งมะกอกให้ลู่เยี่ยนในช่วงยกเลิกสัญญากับซิงอวี๋ อีกทั้งเงื่อนไขที่เสนอให้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว

เฉินอีหมิงสวมชุดลำลอง ดูไม่เข้ากับบรรยากาศภายในร้านอาหารเลยสักนิด เวลานี้เขากำลังฉีกยิ้มมองลู่เยี่ยน

“แค่อาหารมื้อเดียวเองครับ ไม่เป็นไร” ลู่เยี่ยนยิ้ม

“พี่น้องที่แสนดี ไว้กลับไปแล้วติดต่อกันนะ!” เฉินอีหมิงพูดพลางโอบไหล่ลู่เยี่ยน

กู้ซวีปัดมือเขาออก “ไสหัวไปกินข้าวของนายเลยไป”

เฉินอีหมิงเอ่ย “ตัดหน้ากันดื้อๆ ยังพอว่า แต่นี่แค่แตะนิดแตะหน่อยก็ยังไม่ได้อีกเหรอ ขี้งกชะมัด”

“ฉันไม่ได้ตัดหน้า แต่นายเซ็นสัญญากับเขาไม่ได้เอง” กู้ซวีหัวเราะเสียงเย็น

พอเฉินอีหมิงเดินจากไป ทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านอาหาร ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ฟ้ามืดแล้ว

กู้ซวีจึงถามว่า “กลับบริษัทไปให้ผมทำอาหารดีไหม”

ลู่เยี่ยนเดินออกจากร้านอาหารมาก็พลันได้กลิ่นหอมของเซาเข่า*

ในช่วงสิบนาทีสั้นๆ ตอนที่คุยกันเมื่อครู่นี้ฝั่งตรงข้ามร้านอาหารก็มีแผงเซาเข่าแผงหนึ่งมาตั้ง

เนื่องจากเพิ่งตั้งเลยมีลูกค้าแค่โต๊ะเดียว เจ้าของร้านพลิกปีกไก่บนตะแกรงอย่างชำนาญ ปากก็ร้องตะโกนว่า “เซาเข่าจ้า เจ้าเก่าอายุห้าปี ไม่อร่อยไม่เอาเงิน!”

ลูกกระเดือกของลู่เยี่ยนขยับเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองผู้ชายสวมสูทกับรองเท้าหนังที่อยู่ข้างๆ “กินเซาเข่าไหมครับ”

เวลานั้นไฟถนนยังไม่สว่าง แต่ดวงตาของลู่เยี่ยนทั้งดำขลับและสุกสว่างในความมืดสลัว

กู้ซวีมองอีกฝ่ายแล้วคำว่า ‘สกปรก’ ก็หยุดอยู่ที่ริมฝีปาก สิ่งที่เขาพูดออกมาเปลี่ยนเป็น…

“ไม่ต้องใส่พริกนะ”

 

ลู่เยี่ยนกลืนหอยนางรมย่างตัวโตในคำเดียวแล้วตะโกนบอกเจ้าของร้านว่า “อร่อยมาก!”

เจ้าของร้านกำลังย่างของกินเลยไม่ได้หันหน้ามา “เจ้าหนูนี่ตาแหลม! เดี๋ยวแถมกุยช่ายย่างให้ ผู้ชายกินกุยช่ายแล้วดี!”

ลู่เยี่ยนยิ้ม “ขอบคุณครับ!”

กู้ซวีเอ่ย “คุณกินอาหารตามแผงเซาเข่าบ่อยเหรอ”

“ไม่ได้กินนานมากแล้วครับ ตอนนี้เมือง B ไม่มีแผงลอยข้างทางแล้ว” ลู่เยี่ยนเห็นกู้ซวีไม่กินเลยสักคำจึงถามว่า “ทำไมไม่กินล่ะครับ”

“ผมไม่ชินกับการกินของเสียบไม้”

“เรื่องนี้จัดการง่ายมาก” ลู่เยี่ยนหยิบเซาเข่าสองสามไม้มา ก่อนจะใช้ตะเกียบรูดของที่เสียบอยู่บนไม้ลงมาในจานแล้วเลื่อนจานไปข้างหน้า “ชิมดูสิครับ เจ้าของร้านเขาทำได้เข้าเนื้อดีนะ”

พูดจบลู่เยี่ยนก็ส่งหอยนางรมตัวใหญ่ตัวหนึ่งเข้าปากตัวเองจนริมฝีปากเปื้อนคราบน้ำมัน ดูชุ่มฉ่ำเหมือนทาลิปบาล์ม

กู้ซวีโค้งมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหยิบตะเกียบแล้วคีบอาหารขึ้นมาชิมหนึ่งคำ

ลู่เยี่ยนมองเขา “เป็นไงบ้างครับ”

“อืม” กู้ซวีผงกศีรษะ ดวงตามีความรักใคร่เอ็นดูที่สังเกตเห็นได้ยาก “อร่อยมาก”

ลู่เยี่ยนยิ้ม “รู้ไหมว่าของอร่อยที่สุดในแผงเซาเข่าคืออะไร”

“อะไร”

“กุยช่ายย่าง” ลู่เยี่ยนพูดพลางรูดกุยช่ายย่างออกจากไม้เสียบ

เจ้าของร้านเอากุยช่ายที่แถมฟรีมาให้แล้วได้ยินพอดีเลยตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง! กุยช่ายนี่เป็นของดี ทั้งอร่อย ทั้งมีประโยชน์! พวกเธอสองคนหล่อเหลากันทั้งคู่ ต้องกินให้เยอะหน่อย!”

ทั้งคู่กินเซาเข่ามื้อนั้นจนสาแก่ใจกันแล้วก็นั่งพักย่อยอาหาร

ลู่เยี่ยนหรี่ตาลงอย่างอิ่มเอม ขณะที่กู้ซวีมองเขาและพูดโพล่งออกมาว่า “ดูคุณกินแล้วท่าทางจะเป็นคนกินเก่งมาก”

ลู่เยี่ยนยิ้ม “คุณบอกว่าผมตะกละเลยก็ได้ครับ”

“ไม่หรอก” กู้ซวีว่า “แต่คุณกินคำใหญ่จริงๆ กินแบบนี้ไม่ดีต่อการย่อยนะ”

“มันชินน่ะครับ” ลู่เยี่ยนยิ้ม “สมัยเข้าวงการใหม่ๆ ผมได้รับบทเล็กๆ แล้วนักแสดงนำเขากินข้าวเร็วมาก มีหลายครั้งที่ผมยังกินข้าวไม่เสร็จก็ต้องเริ่มถ่ายงาน พอตกเย็นก็มักหิวโซ”

ลู่เยี่ยนเล่าด้วยสีหน้าสบายๆ แต่น้ำเสียงกลับมีกระแสเยาะตัวเอง

กู้ซวีบอกว่า “ต่อไปไม่ต้องแล้ว”

“อะไรนะครับ”

กู้ซวีมองเขา “ต่อไปคุณไม่ต้องรีบกินให้เสร็จก่อนคนอื่น คุณอยากกินนานแค่ไหนก็กินไป”

เสียงของกู้ซวีทุ้มต่ำ น้ำเสียงอ่อนโยน

ทั้งที่เป็นประโยคธรรมดา แต่ลู่เยี่ยนกลับรู้สึกแปลกๆ…

ใบหน้าร้อนนิดๆ และหัวใจอุ่นวาบ

พอกลับขึ้นรถทั้งคู่ก็ทำเหมือนตอนขามาคือไม่ได้คุยอะไรกันเหมือนเดิม แต่บรรยากาศกลับไม่กระอักกระอ่วนอีกต่อไป ลู่เยี่ยนเจอท่าทางที่สบายในการพิงแล้วก็เริ่มง่วง

แต่เสียงเรียกเข้าของมือถือก็ทำลายความเงียบลง เขามองชื่อบนหน้าจอ ลู่เหมี่ยว

“ครับแม่”

“กินข้าวแล้วหรือยัง”

“เพิ่งกินครับ แม่ล่ะ กินมื้อเช้าแล้วหรือยังครับ”

“กินแล้วจ้ะ” น้ำเสียงของลู่เหมี่ยวแปลกไปเล็กน้อย เธอลังเลอยู่นานก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง “ช่วงนี้…ลูกได้เจอใครหรือเปล่าจ๊ะ”

 

* วันแพ็กเกจเซอร์วิส (One Package Service) เป็นการให้บริการรอบด้านอย่างดีเลิศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ที่พัก การเดินทาง และความบันเทิง

* เซาเข่า เป็นเนื้อเสียบไม้ปิ้งย่างหรือบาร์บีคิวของจีน

บทที่ 16

 

ลู่เยี่ยนจับความผิดปกติในน้ำเสียงของลู่เหมี่ยวได้ทันที เขาพลันขยับนั่งตัวตรง “อะไรนะครับ”

“ไม่มีอะไรจ้ะ” ลู่เหมี่ยวเงียบไปพักหนึ่ง “ตารางเดินทางของแม่เปลี่ยนแล้ว อีกสองสามวันจะกลับนะ”

ลู่เยี่ยนรู้จักนิสัยของแม่ดี ถึงเมื่อก่อนลู่เหมี่ยวจะไปไหนมาไหนคนเดียวแต่ก็วนเวียนอยู่แค่สามแห่งคือบริษัท ร้านอาหาร และบ้าน ความจริงแล้วเธอไม่ใช่พวกอินโทรเวิร์ดที่ชอบเก็บตัว แต่ไหนแต่ไรมาเมื่อมีปัญหาลู่เหมี่ยวจะมองโลกในแง่ดีมาก จึงเป็นเรื่องยากที่เธอจะอารมณ์ดิ่งแบบนี้

มือที่ถือมือถือของลู่เยี่ยนบีบแน่น เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างมั่นใจ

“โจวหมิงติดต่อไปหาแม่”

กู้ซวีเลิกคิ้วน้อยๆ และปล่อยคันเร่งที่เท้าเล็กน้อย

ปลายสายเงียบไปนานมาก สุดท้ายก็ถอนหายใจเสียงเบาจนเกือบไม่ได้ยิน

“เขาให้แม่มากล่อมลูกว่าพรุ่งนี้…” ประโยคต่อไปลู่เหมี่ยวพูดต่อไม่ได้

ลู่เหมี่ยวเป็นคนทำอะไรเด็ดขาด ไม่เหลือทางหนีทีไล่ แต่ในเรื่องของความรักเธอกลับปล่อยวางได้ยากกว่าใคร

เมื่อก่อนเธอไม่ยอมฟังคำเตือน ดื้อดึงจะแต่งงานกับเด็กหนุ่มยากจนด้วยความรักเต็มหัวใจ ต่อให้สุดท้ายพวกเขาสองคนต้องหย่าร้างกัน ลู่เหมี่ยวก็ไม่เคยต่อว่าอดีตสามีต่อหน้าลูกชาย ทั้งยังมักทำเหมือนอย่างตอนนี้ที่แสดงละครว่าทั้งคู่ปรองดองกันดี

ลู่เยี่ยนหัวเราะเสียงเย็นออกมาทันที “แม่ครับ แม่อย่ายุ่งเรื่องนี้ดีกว่า”

เหมือนลู่เหมี่ยวจะได้ยินความเย็นชาในน้ำเสียงของลู่เยี่ยนเลยรีบแก้คำว่า “ช่างเถอะ เสี่ยวเยี่ยน ถือซะว่าแม่ไม่เคยพูดแล้วกัน เราอยู่ของเราดีกว่า”

ลู่เยี่ยนทำเสียงอืม “แม่สบายใจได้ครับ”

ลู่เหมี่ยวเห็นว่าน้ำเสียงของลู่เยี่ยนเรียบเฉยก็โล่งอกอยู่ในใจ เธอแสดงความเป็นห่วงลูกชายอีกสองสามประโยคแล้ววางสาย

พอสายตัดไปลู่เยี่ยนก็โทรหาหลินอัน

“ว่าไง ฉันกำลังจะขึ้นเครื่องเดี๋ยวนี้แล้ว”

ลู่เยี่ยนดูเวลาก่อนพูดเสียงเรียบ “ยกเลิกตั๋วเครื่องบินวันมะรืนแล้วจองไฟลต์ห้าทุ่มให้ฉันที”

“หา?” หลินอันอึ้ง “ห้าทุ่ม? ห้าทุ่มวันนี้เหรอ”

“ขอแค่เป็นไฟลต์คืนนี้คือได้หมด ฉันจะไปถึงสนามบินประมาณสี่ทุ่ม นายดูเรื่องการจองให้ด้วย”

“ไม่ได้โว้ย ฉันจะขึ้นเครื่องเดี๋ยวนี้แล้ว จะไปจองตั๋วให้นายได้ที่ไหน อีกอย่างพรุ่งนี้นายไม่ถ่ายหนังเหรอ”

“งั้นนายคิดหาวิธีมา ส่วนเรื่องทางสตูดิโอฉันจะคุยกับผู้กำกับเอง”

“…โอเคๆๆ นายนี่มันเป็นบรรพบุรุษของฉันแท้ๆ! วางก่อนนะ ฉันจะไปคิดหาวิธี”

กู้ซวีแบ่งสมาธิมามองลู่เยี่ยนระหว่างขับรถอย่างหาได้ยาก

ใบหน้าของลู่เยี่ยนซ่อนอยู่ในความมืด ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ท่าทางงอตัวสบายๆ เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นนั่งตัวตรงแล้ว

แม้น้ำเสียงตอนคุยโทรศัพท์จะนิ่งสนิท แต่กู้ซวีสัมผัสได้ว่าลู่เยี่ยนกำลังโมโห

ไม่นานหลังจากนั้นสายของหลินอันก็โทรเข้ามา เขาพูดเสียงงึมงำ “เสี่ยวเยี่ยน ไฟลต์คืนนี้ไม่มีตั๋วแล้ว มีแต่ไฟลต์เจ็ดโมงเช้าวันพรุ่งนี้”

ลู่เยี่ยนนวดหัวคิ้ว “งั้นจองไฟลต์เจ็ดโมง”

เพิ่งขาดคำกู้ซวีก็พลันลดความเร็วลงเพื่อจอดรถเทียบไหล่ทาง

กู้ซวีโทรศัพท์ท่ามกลางสายตาที่มีคำถามของลู่เยี่ยน

“จองตั๋วเครื่องบินกลับเมือง B คืนนี้สองใบ”

“ฉันกับลู่เยี่ยน”

“เฟิร์สต์คลาส”

จบคำพูดสั้นๆ สามประโยคก็ตัดสาย กู้ซวีเก็บมือถือแล้วกลับไปขับรถด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง “ไฟลต์ห้าทุ่ม จะกลับไปเก็บของแล้วตรงไปสนามบินเลยไหม”

ลู่เยี่ยนอึ้งงัน ก่อนจะได้สติเพราะเสียง “ฮัลโหลๆ” ของหลินอันที่อยู่ในสาย ลู่เยี่ยนจึงรีบบอกว่า “ไม่ต้องจองแล้ว” แล้ววางสายไป

ภายในรถกลับมาเงียบสนิท กู้ซวีรออยู่นานก็ไม่ได้รับคำตอบเลยทวนคำถามเมื่อครู่อีกครั้ง

ลู่เยี่ยนเอ่ย “…ครับ คุณจะกลับด้วยเหรอครับ”

“อืม งานทางนี้เสร็จแล้วเหมือนกัน”

 

เมื่อเข้าไปนั่งอยู่ในห้องพักรอของผู้โดยสารระดับวีไอพี ลู่เยี่ยนถึงเพิ่งค่อยๆ ได้สติกลับมา

สวีเฟยคิดหาวิธีอย่างเต็มที่กว่าจะได้ตั๋วเครื่องบินสองใบนี้มา ทำให้พวกเขาได้เดินทางกลับในเที่ยวบินนี้โดยไม่มีใครตามมาด้วย

กู้ซวีที่อยู่ข้างๆ วางมาดสบายๆ เขาใส่หูฟังไว้ที่หูขณะอ่านแท็บเลตในมืออย่างเอาจริงเอาจัง สายหูฟังสีขาวตัดกับสูทสีดำที่เขาสวมอย่างแรง ทำให้ลู่เยี่ยนรู้สึกว่ามัน…น่ารักแบบขัดแย้งกัน

ชายหนุ่มอดชำเลืองมองหน้าจอแวบหนึ่งไม่ได้

เดิมทีเขาเข้าใจว่ากู้ซวีกำลังดูแผนการลงทุนอะไรทำนองนั้น คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่อยู่ในแท็บเลตจะเป็นซีรี่ส์ เรื่องดำเนินไปถึงช่วงกลางแล้ว กู้ซวีน่าจะดูไปแล้วครึ่งหนึ่งและค่อยมาดูต่อ

ทันใดนั้นลู่เยี่ยนก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่ากู้ซวีกำลังดูซีรี่ส์ประเภทไหน

แต่เมื่อเขาเขม้นมองมันสองสามแวบ

“ทำไมคุณถึงดูซีรี่ส์เรื่องนี้!”

ชายหนุ่มที่ใส่ชุดเดินชายหาดกับรองเท้าแตะ ผมใส่เจลไปครึ่งขวดที่อยู่ในนั้นคือตัวเขาเองไม่ใช่เหรอ!!!

ลู่เยี่ยนไม่ได้เข้าวงการมาปุ๊บก็ได้เป็นพระเอกปั๊บ ผลงานเรื่องแรกตอนที่เขาเข้าวงการบันเทิงคือบทพระรองที่ถือว่าพอใช้ได้ แต่นั่นเป็นแค่ของหวานล่อใจที่ซิงอวี๋โยนมาให้เขาในตอนแรกสุดเท่านั้น เพราะอีกสองสามเรื่องต่อจากนั้นอันดับของเขาก็ตกลงไม่น้อย กว่าลู่เยี่ยนจะได้อยู่ในตำแหน่งบทนำก็อีกสองปีกว่าให้หลัง

ซีรี่ส์ที่กู้ซวีกำลังดูอยู่เป็นซีรี่ส์เรื่องแรกที่ลู่เยี่ยนแสดง

ในซีรี่ส์เรื่องนี้เขาแสดงเป็นมหาเศรษฐีที่โปรยเงินเหมือนเศษดิน ยโสโอหังไร้เหตุผลคนหนึ่ง

พระรองอะไร นี่มันตัวรับกระสุน* ที่มาช่วยเสริมความเพอร์เฟ็กต์ให้พระเอกต่างหาก

ด้วยเหตุนี้ภาพลักษณ์ของลู่เยี่ยนในเรื่องจึงเชยเสียยิ่งกว่าเชย โง่เสียยิ่งกว่าโง่ โอ้อวดเสียยิ่งกว่าโอ้อวด

มุมปากของกู้ซวีโค้งขึ้น “มีเพื่อนแนะนำ”

เพื่อนคนไหนช่างสรรหาเรื่องทำเหลือเกิน ถึงได้แนะนำซีรี่ส์ที่มีเรตติ้งต่ำเตี้ยหน้าทิ่มลงพื้นถนนเมื่อห้าปีก่อนให้คุณดู

เมื่อเห็นลู่เยี่ยนเงียบไป กู้ซวีก็พลันช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างขบขัน “หมอนี่คล้ายคุณดีนะ”

ลู่เยี่ยน “…”

ในเมื่อคุณไม่ยอมรับ ผมก็ไม่เอาตัวไปหาเรื่องให้ถูกขำดีกว่า 🙂

สายตาของกู้ซวีย้อนกลับไปมองแท็บเลตอีกครั้ง ทั้งคู่นั่งใกล้กันจนลู่เยี่ยนได้กลิ่นโคโลญบนตัวเขา

หอมเข้มแต่ไม่ฉุน

ทำให้อารมณ์ขุ่นข้องดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

จากนั้นลู่เยี่ยนก็เตรียมเล่นเกมเซียวเซียวเล่อ** เพื่อฆ่าเวลา แต่พอเปิดมือถือก็เห็นว่ามีข้อความสองสามข้อความ

 

หลินอัน ฉันถึงแล้ว อยากให้ฉันช่วยเปลี่ยนตั๋วเป็นวันพรุ่งนี้ไหม

 

ลู่เยี่ยนจึงส่งตำแหน่งที่อยู่ไปให้

 

หลินอัน ???

หลินอัน นายอยู่สนามบิน?? ฉันยังไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินเลยนะ!!

ลู่เยี่ยน กู้ซวีช่วยจองให้ฉัน

หลินอัน ไม่จริงมั้ง เขาจองได้ยังไงในเมื่อที่นั่งเต็มหมดแล้ว

หลินอัน ช่างเถอะ จองได้ก็ดีแล้ว จริงสิ ทำไมจู่ๆ นายถึงรีบร้อนกลับมา

ลู่เยี่ยน มีธุระต้องไปสะสาง

หลินอัน โอเค ถ้ามีปัญหาอะไรจำไว้ว่าต้องติดต่อฉันนะ

 

แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะแน่นแฟ้น แต่ลู่เยี่ยนไม่ได้เล่าเรื่องครอบครัวให้หลินอันฟังอย่างละเอียด แค่บอกอย่างคลุมเครือว่าเขามาจากครอบครัวที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หลินอันเองก็รู้ว่าลู่เยี่ยนไม่อยากพูดอะไรมากเลยไม่เคยถาม

ลู่เยี่ยนเตรียมจะปิดหน้าต่างการสนทนา แต่อีกฝ่ายส่งข้อความมาอีกเสียก่อน

 

หลินอัน นายว่าทำไมกู้ซวีถึงดีกับนายขนาดนี้

หลินอัน เขาคงไม่ได้ชอบนายหรอกนะ เขาสารภาพรักกับนายแล้วหรือยัง

 

ลู่เยี่ยนอึ้ง เขาหันไปมองคนข้างตัวตามจิตใต้สำนึก

ดูเหมือนกู้ซวีจะ…ดีต่อเขาจริงๆ

ทั้งส่งเขากลับบ้าน ทั้งต้มโจ๊กให้เขา

ขนาดไปทำงานนอกสถานที่ก็ยังทำอาหารส่งน้ำแกงมาให้เขา ทั้งยังมาเยี่ยมกองถ่ายอีกด้วย

เมื่อกี้ก็เหมือนกัน กู้ซวีไม่ถามเลยว่าทำไมจู่ๆ ลู่เยี่ยนถึงจะกลับเมืองหลวง แต่ช่วยเขาจองตั๋วเครื่องบินทันที

ชอบเหรอ

กู้ซวีรับรู้ได้ถึงสายตาจึงเงยหน้าขึ้นอย่างปุบปับและพูดเสียงเบา “มีอะไรเหรอ”

ลู่เยี่ยนส่ายหน้า “ไม่มีอะไรครับ”

กู้ซวีดูเวลาแล้วลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ ขึ้นเครื่องได้แล้ว”

พอเขาเดินไปได้สองสามก้าวแล้วพบว่าคนข้างหลังไม่ได้ตามมาก็หันหน้ากลับไปมอง เห็นลู่เยี่ยนยังคงนั่งมองเขาอยู่บนเก้าอี้ด้วยแววตามึนงง

ครั้นสบตากันลู่เยี่ยนก็ได้สติทันที เขากดหมวกให้ต่ำลงแล้วรีบตามอีกฝ่ายไป “มาแล้วครับ”

ลู่เยี่ยนเดินตามหลังกู้ซวีทั้งที่มือยังพิมพ์แป้นบนหน้าจอ

 

ลู่เยี่ยน นายเดาอะไรบ้าๆ

หลินอัน เฮ้ ก็มันเรื่องจริง โอเคไหม!

หลินอัน อีกอย่างฉันก็ไม่ได้พูดผิดสักหน่อย เขาดีต่อนายมากอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง

 

ลู่เยี่ยนขี้เกียจตอบเลยปิดมือถือไปดื้อๆ

 

เครื่องบินใช้เวลาเดินทางแค่สองชั่วโมงกว่า เนื่องจากเป็นไฟลต์ดึกแสงไฟในห้องโดยสารจึงถูกปรับให้มืดสลัว ทำให้ผู้โดยสารพากันง่วงงุน

ลู่เยี่ยนถ่ายหนังมาทั้งวัน เดิมทีระหว่างเดินทางกลับสตูดิโอเขาก็ง่วงจะไม่ไหวอยู่แล้ว แต่สายจากลู่เหมี่ยวทำให้เขาตื่นตัวขึ้นมาเสียก่อน ตอนนี้เมื่ออยู่ระหว่างเดินทางกลับความง่วงก็ม้วนตัวเข้ามาอีกครั้ง

ชายหนุ่มสวมผ้าปิดตา เตรียมงีบหลับสักครู่

ระหว่างนั้นเสียงของกู้ซวีก็ดังขึ้นที่ข้างตัว เขาพูดเสียงเบามาก “ขอผ้าห่มผืนหนึ่งครับ”

ไม่นานผ้าห่มหนึ่งผืนก็ถูกคลุมลงบนร่างของลู่เยี่ยนอย่างเบามือมาก และยังดึงชายผ้าให้อย่างระมัดระวังด้วย

พอลงจากเครื่องบินรถที่ถูกจัดเตรียมไว้ก็พาพวกเขาไปส่งที่คอนโดฯ

ลู่เยี่ยนกล่าวลากู้ซวีแล้วเดินกลับบ้าน จากนั้นเขาก็เปิดมือถือและพบข้อความจากหลินอันเด้งออกมาอีกครั้ง

 

หลินอัน นายขึ้นเครื่องแล้วเหรอ

หลินอัน ถึงแล้วบอกฉันด้วยนะ

 

เหนือข้อความสองข้อความนี้คือ ‘เขาดีต่อนายมากอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง’

ลู่เยี่ยนขยับนิ้วแล้วตอบกลับว่า ถึงแล้ว’ ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียง

ดูเหมือนความง่วงงุนทั้งหมดจะถูกข้อความนั้นของหลินอันขับไล่ให้หายไป

ลู่เยี่ยนจุปาก ก่อนดึงหน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวออกเตรียมเอาไปทิ้ง แต่บัตรเชิญสีแดงสดใสในถังขยะกลับดึงดูดสายตาของเขา

ชายหนุ่มเก็บบัตรเชิญขึ้นมากวาดตามองอย่างรังเกียจแล้วเปิดบันทึกการโทรในมือถือ เลื่อนหาอยู่นานมากกว่าจะเจอชื่อที่ต้องการ

ตอนที่อีกฝ่ายรับสายนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจมาก “พี่เยี่ยน?”

 

กู้ซวีถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์

เสียงของเขาที่เอ่ยออกมาค่อนข้างไม่พอใจ หัวคิ้วยังยับย่นจนสามารถบีบยุงตายได้หนึ่งตัว “อยากตายหรือไง”

“พี่น้อง เลิกนอนได้แล้ว ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย!” กู้ซวีงัวเงียมาก แต่สายนี้เรียกได้ว่าเป็นสายที่เฉินอีหมิงใช้เวลาคิดอยู่นานกว่าจะกดโทรออก

“บริษัทนายล้มแล้วเหรอ”

“เฮ้ ฉันจะกล้าเอาเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มารบกวนการนอนของนายได้ยังไง” พอล้อเล่นเสร็จเฉินอีหมิงก็เข้าโหมดจริงจัง “เรื่องลู่เยี่ยนต่างหาก”

กู้ซวีปรือตา “ว่ามา”

“สายที่ฉันวางไว้ในกลุ่มปาปารัซซี่ส่งข่าวมาว่าทางปาปารัซซี่ได้ข่าวร้อนเกี่ยวกับลู่เยี่ยนมา” เฉินอีหมิงนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะบอกเรื่องน่าตกใจ

“เขาบอกว่าวันนี้ลู่เยี่ยนจะไปพังงานแต่ง!”

“พังงานแต่งของใคร”

“ดาราสาวคนหนึ่ง ชื่อหลิวหมิงอี”

กู้ซวีลุกขึ้น เขาเปิดลำโพงพลางเดินเข้าไปในโซนล้างหน้าแปรงฟัน “ข่าวเชื่อถือได้ไหม”

“เชื่อได้สุดๆ คืนนี้หลิวหมิงอีจะแต่งงาน ลู่เยี่ยนเลยจะหาคนไปพังงาน แม่เจ้า ไอ้หนูนี่น่าสนใจจริงๆ! แมนมาก!” เฉินอีหมิงจุปาก “แต่เขาเป็นบุคคลสาธารณะ ถ้าเขาไปพังงานจริงแล้วถูกถ่ายภาพไว้ ภาพลักษณ์จะต้องพังพินาศ…กลายเป็นมือที่สามที่ทำลายงานแต่งของคนอื่น”

“อ้อ อย่าหาว่าพี่ไม่เตือนนะน้องชาย ตอนนี้ลู่เยี่ยนมีสัญญากับนาย ถ้าเขาพังงานแต่งนี้จริงแล้วเป็นเรื่องขึ้นมา เส้นทางการเป็นดาราของเขาก็ย่อยยับแล้ว”

กู้ซวีเงียบไปนานมากก่อนโพล่งถามออกมาว่า “เจ้าบ่าวชื่อโจวหมิง?”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง”

“เช็กดู”

“ไม่สิ นายจะสนใจไปทำไมว่าเจ้าบ่าวชื่ออะไร เพราะพอพ้นคืนนี้ไปนายเรียกเขาว่าหมวกเขียว* น้อยก็ได้”

“ฉันบอกให้นายเช็กก็เช็ก”

“…ขอรับ ถือเสียว่าฉันติดค้างเรื่องข้าวนายเมื่อวาน จริงสิ ถ้าเรื่องนี้ดังแล้วนายอยากยกเลิกสัญญากับลู่เยี่ยนก็บอกฉันนะ ฉันจะดูว่าพอจะดึงเขาเข้าสังกัดได้ไหม”

อีกฝ่ายตัดสายทันที

 

* ตัวรับกระสุน มีที่มาจากทหารไร้ค่าในสงครามซึ่งจะอยู่หรือตายก็ไม่มีค่าอะไร เป็นคำที่มักนำมาใช้เรียกตัวประกอบในนิยาย

** เซียวเซียวเล่อ เป็นเกมมือถือที่นิยมเล่นเพื่อฆ่าเวลาเกมหนึ่ง โดยจะต้องเรียงวัตถุแบบเดียวกันให้อยู่ในแนวเดียวกันตามเงื่อนไขภารกิจในแต่ละด่าน

* หมวกเขียว หมายถึงการโดนคนรักนอกใจ มักใช้กับผู้ชาย

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน คุณชายแซ่กู้กับเจ้าสุนัขลู่จอมดุ

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: