X
    Categories: everYตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามีทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2 บทที่ 46-49 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

ทดลองอ่านเรื่อง  ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2

ผู้เขียน :  ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)

แปลโดย :  qMondae

ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 46

ฮีโร่

 

ทนายความถือใบรายการที่แก้ใหม่แล้วเดินจากไปด้วยหัวใจหนักอึ้ง

หยางเฉินโยนลู่อวี๋ที่ไม่น่าไว้วางใจเข้าแคปซูลเกมมิ่ง พอไลฟ์เริ่มเขาก็ไปนั่งจับตามองความคืบหน้าของทีมข้อมูลอยู่ด้านหลัง ไลฟ์หลายวันที่ผ่านมาเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว คนในทีมข้อมูลค่อยๆ คุ้นชินกับงาน ไม่จำเป็นต้องให้เขาเข้าไปคุมด้วยตัวเอง เหล่าหยางลูบศีรษะมันโล้น ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงมาได้บ้าง

“ประธานหยาง คุณได้ยินเรื่องหลี่เชาหรือยังครับ” พนักงานคนหนึ่งในทีมข้อมูลเห็นเขาว่างๆ เลยแอบกระเถิบเข้ามาหา

หยางเฉินเงยหน้าจากหน้าจอไลฟ์สตรีม เลิกคิ้วเล็กน้อย “ว่าไง”

วันนั้นที่ลู่อวี๋ลากเขาไปจัดการหลี่เชาตอนกำลังเมาได้ที่ ถึงตอนทำจะรู้สึกดีมากก็เถอะ แต่พอสร่างเมาแล้วเขาค่อนข้างกลัวไม่น้อย ถ้าเกิดหลี่เชาแจ้งความแล้วสืบรู้ว่าเป็นฝีมือพวกเขาสองคนล่ะก็ได้เป็นเรื่องใหญ่แน่

สองวันมานี้เขาพยายามควบคุมตัวเองไม่ไปสอบถามสถานการณ์ของหลี่เชา เพราะกลัวว่าจะขุดหลุมฝังตัวเองเข้า

“ฮี่ๆๆ คุณคงไม่ได้อยู่ในกลุ่ม ‘พันธมิตรปราบปรามหลี่เชา’ สินะ ไอ้เวรนั่นโดนต่อยครับ!” ตอนที่หยางเฉินลาออกมาทำบริษัทเอง เพื่อนร่วมงานไม่น้อยได้ตามเขามาด้วย พนักงานคนนี้เป็นเพื่อนร่วมงานเก่าของเขาและเคยถูกรังแกด้วยน้ำมือของหลี่เชาเหมือนกัน

“เกิดอะไรขึ้น” หยางเฉินไม่ได้หันหน้าไป ทำเป็นกำลังดูไลฟ์สตรีม ทักษะการแสดงเขาไม่ดีเท่าลู่อวี๋ กลัวควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วจะหลุดพิรุธ คราวหน้าเดี๋ยวต้องเรียนรู้การจัดการสีหน้ากับทนายคนนั้นสักหน่อยแล้ว รายนั้นน่ะเรียกได้ว่าถึงภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้าใบหน้าคงไม่เปลี่ยนสีของจริง

พนักงานคนนั้นหัวเราะชั่วร้าย ส่งคลิปหนึ่งให้หยางเฉิน “ไม่กี่วันก่อนหลี่เชาโดนใครไม่รู้ต่อย วันต่อมาไม่ได้ไปทำงาน แต่เย็นวันนั้นมีคนไปเจอเขาแล้วถ่ายคลิปมา”

หยางเฉินลอบสะพรึงในใจ รีบกดเปิดดูคลิป แล้วก็โล่งอก คลิปนั้นถูกถ่ายในลานจอดรถใต้ดิน หลี่เชาที่หน้าช้ำดำเขียวเดินประคองเอวกะเผลกๆ ไปทางรถตัวเองอย่างไว มี รปภ. คนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีเลยเข้าไปสอบถามอาการ “ซี้ด ประธานหลี่ ไปทำอะไรมาครับเนี่ย ทำไมกลิ่น…นี่มันกลิ่นอะไรครับ” ด้านหลี่เชาพูดอ้อมแอ้มว่า “เมื่อกี้ล้มในห้องน้ำ” แล้วก็รีบมุดเข้ารถตัวเอง

คลิปตัดจบตรงนี้ พนักงานคนนั้นหัวเราะคิกคัก “ได้ยินว่าบนตัวหลี่เชามีแต่กลิ่นเหม็นตุๆ คนที่ไปต่อยเขาไม่ได้แค่ต่อยอย่างเดียวแต่ยังฉี่ใส่เขาด้วย ฮ่าๆๆๆ สุดยอดอัจฉริยะ สะใจผมสุดๆ เลย! ผมอยากทำอย่างนี้มานานแล้ว ไม่รู้ผู้กล้าคนนั้นเป็นใครมาจากไหน จากนี้ไปเขาจะเป็นไอดอลของผม”

พนักงานไม่รู้ว่าไอดอลของเขาคือคนตรงหน้า แถมยังยื่นประวัติการแชตในกลุ่มให้เหล่าหยางอ่านด้วย

หลี่เชาคนนี้เป็นญาติผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัท ความสัมพันธ์คอนเน็กชั่นแน่นแฟ้นมาก เขาทำตัวกร่างในบริษัทแห่งนั้นมานานปี แต่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ ‘กลุ่มปราบปราม’ นั่นล้วนเป็นคนใต้บังคับบัญชาหลี่เชาทั้งสิ้น ทั้งคนที่ลาออกมาแล้วและยังไม่ได้ลาออกก็อยู่ในนั้นหมด ตอนนี้ทุกคนต่างกำลังคุยกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน

จากรายงานของพนักงานที่ยังทำงานในบริษัทนั้น หมอนี่ไม่ได้ไปแจ้งความ ถึงขึ้นไม่กล้าทำให้เรื่องราวใหญ่โตด้วยซ้ำไป แค่ทำเรื่องขอลาหยุดยาวประจำปี

หยางเฉินผ่อนลมหายใจ ฟังพนักงานคนนั้นพูดจ้อไม่หยุดปากอยู่ข้างหูพลางอดมีความสุขไม่ได้ เขาปัดมือบอกให้พนักงานไปทำงานต่อ ส่วนตัวเองนำกำปั้นขวาทุบอกซ้ายให้ลู่อวี๋ที่อยู่ในจอไลฟ์สตรีม ถ้าไม่ใช่เพราะลู่อวี๋พาเขาไป ทั้งชีวิตนี้เขาคงไม่มีความกล้าทำแบบนี้แน่ๆ เพื่อนรักของเขา ฮีโร่ตัวจริง!

ทว่าวินาทีต่อมาเพื่อนรักฮีโร่ตัวจริงของเขาได้นั่งยองแอบฟังลูกชายคนที่สามของตัวเองอยู่ตรงฐานกำแพง

เหล่าหยาง “…”

ถึงจะเป็นฮีโร่ แต่กิริยาถ่อยชะมัด

 

ในไลฟ์ ฮวาเหวินหย่วนจัดระเบียบทหารองครักษ์ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว กำลังพาพวกเขาไปยังค่ายใหญ่เจียงโจว

เรื่องเอาตำลึงเงินไปทำหน้าไม้นั้น เขามอบหมายให้องครักษ์คนหนึ่งไปจัดการแล้ว ส่วนตนก็พาท่านอารอง อาสะใภ้รอง และญาติผู้น้องขี่ม้าเร็วมุ่งหน้าไปยังเจียงโจว

ที่เจียงโจวนั้นยังนับว่าอุดมสมบูรณ์ ในปลายราชวงศ์ที่เกิดภัยพิบัติขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านที่นี่ยังคงพอประทังชีวิตอยู่ได้และยังไม่ลุกฮือชูท่อนไม้ก่อกบฏ ค่ายรักษาการณ์ใหญ่เจียงโจวที่ไร้ซึ่งความตระหนักถึงภัยอันตรายแห่งนี้เละเทะไร้ความเป็นระเบียบ กลางวันไม่ฝึกซ้อม กลางคืนไม่เฝ้ายาม อย่าว่าแต่จะนำทัพไปปกป้องชายแดนเลย แค่จะปราบปรามกลุ่มคนก่อกบฏก็ยังไม่ไหว เดินไปได้ครึ่งทางก็ต้องกระเจิงหายกันหมด

ฮวาเหวินหย่วนกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ก่อนพบว่าไร่นาของกองทัพแทบทั้งหมดถูกครอบครองโดยหัวหน้ากองพันสี่นาย ครอบครัวกองทัพล้วนตกต่ำกลายเป็นเพียงชาวนาเช่าที่ดิน ซึ่งหลายปีมานี้บ้างตายตก บ้างหนีหาย จนเหลือประชากรทหารจริงๆ ไม่ถึงครึ่งที่บันทึกไว้ในทะเบียนเรือน ส่วนทหารที่ประจำการมากกว่าครึ่งกลับเป็นชาวบ้านผู้กล้าที่ถูกเกณฑ์กำลังมาจากท้องถิ่น

“เหลวไหลสิ้นดี” เซี่ยฉงอวิ๋นถึงจะไม่ค่อยชอบใช้สมองนัก แต่อย่างไรก็เกิดในตระกูลบัณฑิต ถูกบังคับให้อ่านหนังสือ เขาจึงรู้ว่าการที่ทะเบียนเรือนมีประชากรไม่ถึงครึ่งมีความร้ายแรงอย่างไร

ด้วยได้ยินว่าราชสำนักจะส่งแม่ทัพเข้ามาควบคุม เพื่อเสริมกำลังทหารให้เพียงพอ เหล่าหัวหน้ากองพันจึงเรียกระดมชาวบ้านมาเป็นทหาร คนหนุ่มในชนบทแถบนี้ที่หาเลี้ยงชีพไม่ได้จึงมาสมัครเป็นทหารเพื่อหวังอาศัยข้าวกิน ทว่าเงินเดือนทหารมักจะถูกค้างจ่าย พวกเขาจึงยังคงอดอยาก นานวันเข้าคนเหล่านี้ก็หนีหายกันไปหมด

“เป็นเช่นนี้แล้ว จะมิถึงคราวล่มจมได้อย่างไร” ฮวาเหวินหย่วนรู้สึกชิงชังยิ่ง เขามองทะเบียนเรือนเหล่านั้นแล้วปวดหัวจะระเบิด หันไปมองหมิงเยี่ยนด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ “ท่านอาสะใภ้รองเปี่ยมด้วยวิชาความรู้ ท่านช่วยหลานคนนี้ดูบัญชีได้หรือไม่”

ชาติก่อนเขาแต่งงานอย่างราบรื่นและนำบัณฑิตสองคนของสกุลเฉิงมาช่วยงานที่เจียงโจวด้วย บัดนี้เขายกเลิกงานแต่งไปแล้ว ย่อมไม่มีคนจากสกุลเฉิงมาช่วยงานเขา เขาจึงให้ความสนใจไปยังหมิงเยี่ยนที่ดูเหมือนจะเก่งด้านบัญชี

หมิงเยี่ยนกำลังจะตอบตกลง แต่ถูกลู่อวี๋ปรามก่อน

ลู่อวี๋โบกมือปัด “เจ้าจงไปหาบัณฑิตสักสองสามคนมาทำบัญชี แล้วนำสรุปบัญชีมาให้อาสะใภ้รองดูก็พอ เราต้องรู้ภาพรวมก่อน รีบรวบรวมคนที่คิดว่าใช้งานได้มาสักสองพันคน แล้วเรื่องไปปราบกบฏค่อยว่ากันทีหลัง”

ฮวาเหวินหย่วนพยักหน้า ทว่ายังคงขมวดคิ้ว

ลู่อวี๋ตบไหล่เขา เอ่ยให้กำลังใจ “อย่าบึ้งตึงไปเลยน่า เดี๋ยวผู้ช่วยใช้โปร* ของเจ้าก็จะมาถึงแล้ว”

ฮวาเหวินหย่วนมองอย่างงุนงง “ใช้โปรคืออะไร”

ลู่อวี๋ชี้แจงให้เขาฟังว่าโปรคืออะไร พออธิบายเสร็จฮวาเหวินหย่วนกลับงงหนักยิ่งกว่าเดิม ถามเขาว่ารู้ได้อย่างไรว่าจะมีคนใช้โปรมา

ลู่อวี๋ลูบหนวดเคราที่ไม่มีอยู่จริง ทำหน้าตาประหนึ่งหมอดูกำมะลอ “แค่ข้านับนิ้วก็คำนวณออกมาได้แล้ว”

ฮวาเหวินหย่วนถามแล้วไม่ได้อะไรกลับมาจึงไม่เซ้าซี้อีก ยกดาบขึ้นแล้วเดินออกไป ตั้งใจจะฆ่าหัวหน้ากองร้อยนั้นเพื่อขู่ผู้คนสักหน่อย รอให้รายการบัญชีเรียบร้อยแล้วค่อยไปประหารหัวหน้ากองพันทั้งสี่นายให้เหี้ยน

ซับกระสุน

 

[หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง : สุนัขลู่ ห้ามสปอยล์ ไม่อนุญาตให้สปอยล์ข้อมูลกับฮวาเหวินหย่วน ยกเว้นแต่จะพาฉันไปด้วย!]

[หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง ส่งของขวัญ –––– เรือยอชต์ปาเจียวระดับซูเปอร์วีไอพี x 300]

 

ฮวาเหวินหย่วนพุ่งออกไปด้วยจิตสังหารเดือดพล่าน ไม่นานนักทหารสิบกว่านายในค่ายก็ร่วงกราว เข่นฆ่าจนย้อมพื้นศิลาเขียวของลานฝึกให้กลายเป็นสีดำแดง ในที่สุดพลทหารที่ยืนโย้เย้ไม่เป็นระเบียบก็ตั้งสติกันได้

 

กลางดึก ลู่อวี๋ลากหมิงเยี่ยนไปนั่งยองอยู่ใต้หน้าต่างห้องนอนฮวาเหวินหย่วน

หมิงเยี่ยนฟังเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้อง ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น “นี่น่ะเหรอโปรที่นายว่า”

“ไม่ใช่อยู่แล้ว” ลู่อวี๋ส่ายหัว “กว่าโปรจะมายังอีกตั้งหลายบท อย่างน้อยต้องรอให้เขาประกาศก่อกบฏก่อนถึงจะมาครับ” ในห้องนี้มีอิสตรีที่ถูกหนึ่งในหัวหน้ากองพันส่งตัวมา

หมิงเยี่ยนกลอกตา หยัดกายลุกขึ้นหมายจะเดินออกไป แต่ถูกลู่อวี๋โอบตัวไม่ให้ขยับไปไหน

ลู่อวี๋บ่นอุบเสียงเบา “พี่ใจร้ายอ่า ความบริสุทธิ์ของลูกชายจะแปดเปื้อนอยู่แล้ว พี่กลับจะหนีซะงั้น”

“ฉันรู้อยู่แล้วว่าจะไม่สำเร็จ” หมิงเยี่ยนก็เคยอ่านต้นฉบับมาแล้ว พูดถึงตรงนี้เขาสงสัยเล็กน้อย “เรื่องนี้เป็นแนวต่อสู้แย่งชิงอำนาจเพื่อความเป็นหนึ่งในใต้หล้า ตามหลักการแล้วพระเอกน่าจะได้ครอบครองนางสนมแสนงามในวังหลังสามพันคนสิ ทำไมนายถึงเขียนให้ฮวาเหวินหย่วนรักษาตนให้บริสุทธิ์ดั่งหยกขนาดนี้ล่ะ”

นิยายประเภทนี้ต่อให้ไม่เขียนฉากเลิฟซีนก็ไม่เป็นไร ยังไงเรื่องความรักใคร่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลักอยู่แล้ว แต่ฮวาเหวินหย่วนกลับบริสุทธิ์ผุดผ่องตลอดทั้งเรื่อง นี่มันแปลกจากพิสัยทั่วไป ด้วยเหตุนี้จับปลาบนดินแล้งจึงถูกกลุ่มนักอ่านชายด่าไม่เลี้ยงไปไม่น้อย

ถามจบหมิงเยี่ยนก็พลันรู้สึกว่าไม่เหมาะนัก ลู่เสี่ยวอวี๋ไม่ได้เป็นคนแต่งนิยายเรื่องนี้ แต่เป็นลู่ต้าอวี๋ต่างหาก

ทว่าคำถามนี้ทำอะไรลู่อวี๋ไม่ได้ เขาส่งเสียงเย็นเยียบในลำคอ “ผมที่เป็นพ่อของเขายังไม่มีเมีย เรื่องอะไรเขาต้องมีล่ะ”

เวลานั้นเองจู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากในห้อง ฮวาเหวินหย่วนตะโกนลั่น “ออกไป!”

ตามมาด้วยเสียงร้องห่มร้องไห้ของหญิงสาว นางกล่าว “ข้าน้อยไม่มีหนทางอื่นเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ ได้โปรดช่วยข้าน้อยเถิดเจ้าค่ะ หากข้าน้อยออกไปทั้งอย่างนี้คงไม่เหลือทางใช้ชีวิตแล้วเจ้าค่ะ”

“จะมาแล้ว จะมาแล้ว” ลู่อวี๋ตื่นเต้นระริกระรี้ เห็นเงาร่างหนึ่งวิ่งหนีออกมาจากในห้อง เขากดหมิงเยี่ยนเข้าอ้อมแขนของตัวเองอย่างมือไวตาไว ไม่ให้อีกฝ่ายดู “ไม่เหมาะสมกับเด็กเล็ก พี่เยี่ยนอย่าดูนะ”

หมิงเยี่ยนผลักเขา “ฉันเป็นคนวาดเอง มีตรงไหนที่มองไม่ได้ล่ะ” คนคนนี้ลากเขามามุงดูความครึกครื้น แต่พอถึงจุดสำคัญดันไม่ให้เขาดูเสียอย่างนั้น

ลู่อวี๋มองฮวาเหวินหย่วนที่สวมกางเกงตัวในวิ่งออกมาแล้วงงเต้ก “เอ๊ะ ทำไมเขาถึงสวมกางเกงตัวในออกมาล่ะ ในต้นฉบับไม่ได้เป็นแบบนี้นี่”

หมิงเยี่ยนดิ้นจนหลุด เอ่ยอย่างหน่ายใจ “ถ้าไม่สวมเสื้อผ้าเลยเดี๋ยวไลฟ์จะโดนแบน”

ลู่อวี๋ค่อนข้างเสียดาย “จิ๊ๆ อดเห็นเขาเปลือยก้นเลยอะ งี้ก็ไม่มีจุดอ่อนไว้มาขู่ให้เขาเชื่อฟังแล้วสิ”

“เปลือยก้นอะไร” ฮวาเหวินหย่วนที่สวมกางเกงตัวในหันมาถามพร้อมมองท่านอารองที่นั่งยองอยู่ใต้หน้าต่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

* โปร มาจากคำว่า ‘โปรแกรมช่วยเล่น’ หมายถึงการใช้โปรแกรมโกงในเกม

บทที่ 47

ก่อกบฏ

 

“ข้าบอกว่าถ้าเกิดเจ้าเปลือยก้นออกมาก็จะถูกคนจับจุดอ่อนได้ ต้องรีบๆ ออกมา เดี๋ยวไม่แน่อาจจะมีคนมาจับชู้” ลู่อวี๋อ้าปากพล่ามออกมาโดยหน้าไม่แดงใจไม่เต้นเลยสักนิด

ฮวาเหวินหย่วนคว้าเสื้อคลุมตัวนอกที่ตากอยู่ในสวนมาสวมแบบส่งๆ เขาโมโหฉุนเฉียวอย่างยิ่ง เข้าห้องไปบีบคอสตรีผู้นั้นจนสลบแล้วหิ้วธนูคันใหญ่ออกมา ก่อนบ่นกับลู่อวี๋ “นางเป็นบุตรีของครอบครัวทหาร* เพิ่งจะเสียสามีไป แล้วถูกหัวหน้ากองพันนายหนึ่งขู่บังคับให้มาล่อลวงข้าเพราะอยากจะทำลายชื่อเสียงและบารมีของข้า”

ชาติที่แล้วเขาเคยเห็นวิธีสกปรกมาแล้วทุกรูปแบบ เรื่องเล็กน้อยเหมือนฝนปรอยแค่นี้ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่รู้สึกโมโหที่ใช้ความอ่อนแอของสตรีและเด็กเล็กมาเป็นเครื่องมือให้ร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะใส่ร้ายสำเร็จหรือไม่ ในโลกอันเละเทะวุ่นวายเช่นนี้คนที่ไร้พลังต่อสู้ก็ไม่ต่างอะไรกับเหยื่อล่อที่ไม่มีทางรอดชีวิต

“อย่าโกรธน้าๆ” ลู่อวี๋ลูบหัวฮวาเหวินหย่วนประหนึ่งกล่อมเด็ก เจ้าหนูนี่น่ารักจริงๆ กล้าหาญ เที่ยงธรรม ใจอารี แต่ไม่ได้ถึงขั้นเป็นพ่อพระ มีความเด็ดขาด จะฆ่าหรือไม่ฆ่านั้นล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา มันทำให้ลู่อวี๋คาดหวังอย่างยิ่งว่าหากพาเขากลับไปยังชีวิตในโลกแห่งความจริงแล้วจะเป็นอย่างไร

ฮวาเหวินหย่วนที่ถูกลูบหัวอึ้งงันเล็กน้อย

ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครปลอบเขาแบบนี้มาก่อน ท่านแม่ทัพใหญ่ที่ฆ่าคนไม่กะพริบตาชั่วขณะหนึ่งกลับทำอะไรไม่ถูก เขากระแอมเบาๆ บอกให้ท่านอารองกับอาสะใภ้รองอย่าเดินไปไหนส่งเดช ก่อนจะเรียกทหารองครักษ์ไปทำงานให้ ส่วนตนก็ถือธนูคันใหญ่ไปนั่งบนหลังคารอให้คนมาตามจับชู้

“ฮี่ๆ ผมเรียนรู้มาจากพี่เลยนะ ท่าทางพิเศษในการฝึกลูกหมา เอาเขาอยู่หมัดแบบสบายบรื๋อเลย” ลู่อวี๋โบกฝ่ามือไปมา ค่อนข้างจะภาคภูมิ

หมิงเยี่ยน “…ฉันไม่ได้ฝึกสุนัขสักหน่อย”

ลู่อวี๋เอาศีรษะถูไถกับไหล่เขา “ฝึกสามีกับฝึกหมาไม่ต่างกันนี่ครับ ยังไงซะผมก็ค่อนข้างชอบที่ฝึกให้เชื่องด้วยวิธีนี้นะ”

หมิงเยี่ยนเอียงศีรษะมองเขา ครู่ใหญ่ผ่านไปถึงเม้มปากหัวเราะเบาๆ

ไม่นานนักคนที่มาตามจับชู้ก็มาถึง ผู้ที่มาเพิ่งจะผลักเปิดประตูเรือนก็ถูกฮวาเหวินหย่วนยิงลูกธนูเสียบทะลุท่อนขา เขาส่งเสียงร้องแล้วคุกเข่าลงกับพื้น เข้ามาอีกคนหนึ่งก็คุกเข่าล้มไปอีกหนึ่ง หลังคุกเข่าติดกันสามคน คนที่อยู่ด้านนอกเรือนถึงหยุดชะงักฝีเท้าไม่กล้าก้าวเข้าไป

“ท่านแม่ทัพฮวา พวกข้ามาตามหาบุตรสาวอนุของหัวหน้ากองพันเฉินที่หายตัวไป มีคนเห็นว่านางเข้าไปในเรือนของท่าน” คนนอกเรือนตะโกนเสียงดัง

ฮวาเหวินหย่วนยิ้มเย็น “ท่านหัวหน้ากองพันเฉินช่างไม่เสียดายเลยเสียจริง ไม่นึกเลยว่าจะใช้บุตรสาวตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ผู้แซ่ฮวารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

ว่าจบก็ยกคันธนู ง้างศร ปล่อยสาย ลูกธนูหางแดงดอกหนึ่งพุ่งทะลุประตูไม้เรียบง่ายด้วยพลังมหาศาล เสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้นพร้อมกับลูกธนูที่ปักเข้ากระดูกสะบักของหัวหน้ากองพันเฉินผู้ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเต็มแรงจนทำให้ร่างนั้นล้มลงพื้น ไม่นานก็ส่งเสียงร้องโหยหวนตามมา

ด้านนอกเกิดความโกลาหลทันที ทุกคนตรงนั้นต่างร้องตกใจไม่กล้าเดินเข้าประตูมากกว่าเดิม ทำได้เพียงหมอบคุกเข่ากับพื้นตัวสั่นระริก

ลู่อวี๋ดึงตัวหมิงเยี่ยนขยับเข้ามาหลบที่ฐานกำแพง “พี่ดูสิ นั่งหลบที่ฐานกำแพงเป็นความคิดที่ถูกแล้วใช่ไหมล่ะ ถ้าพวกเราเกาะอยู่บนกำแพงต้องโดนเขายิงทะลุหัวใจแหงๆ ถึงตอนนั้นทำได้แค่ต้องให้อาสามฟื้นคืนชีพกลับมา แล้วพี่จะต้องเป็นอาสะใภ้รองผู้น่าสงสารต้องแต่งงานอีกครั้งกับอาสาม เพราะคนพี่ตายสมบัติเลยตกสู่คนน้อง”

หมิงเยี่ยนถองศอกใส่เขา “พล่ามให้มันน้อยลงหน่อยเถอะนายน่ะ” บทกำลังตึงเครียด แต่เขากลับมาเล่นมุกอยู่แถวนี้ ทำลายบรรยากาศหมด

“นั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรนะครับ” ลู่อวี๋ยู่ปากพึมพำเสียงเบา

 

ทักษะธนูดุจเทพของฮวาเหวินหย่วนทำให้พวกคนที่มาจับชู้ตกใจจนตัวสั่นงันงก ถึงขั้นไม่กล้าเข้าไปประคองหัวหน้ากองพันเฉินที่ถูกศรปัก ตัวแข็งทื่อกันไปครู่ใหญ่ ขณะเดียวกันเหล่าทหารองครักษ์ของฮวาเหวินหย่วนก็จับหัวหน้ากองพันสามนายที่เหลือมาแล้ว มีนายหนึ่งเห็นได้ชัดว่าถูกจับมาจากบนเตียง เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เรียบร้อย ปากพ่นคำด่ากราด

“ในเมื่อทุกท่านมิอยากหลับนอน เช่นนั้นก็มาดื่มกันเถิด” ฮวาเหวินหย่วนกระโดดลงจากหลังคา เชื้อเชิญให้ทุกคนไปยังโถงจัดเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในค่ายรักษาการณ์ใหญ่เจียงโจว

ฮว่าเหวินหย่วนสั่งให้คนจุดเทียน ก่อนนั่งกางขาตรงตำแหน่งประธาน ตบดินปิดไหสุราออก แล้วให้เซี่ยฉงอวิ๋นยกไปรินสุราให้หัวหน้ากองพันทั้งสี่ที่ใบหน้าซีดเผือดด้วยความกลัว

เซี่ยฉงอวิ๋นรู้สึกสนุก ใช้หนึ่งนิ้วเกี่ยวไหสุรา รินให้ทุกคนอย่างขอไปที สุรารินไหลจากปากไหลงจอก เทราดจากที่สูง หยาดสุรากระเด็นกระดอน ขาดก็แต่รดลงบนศีรษะ

หยดสุรากระเซ็นโดนแผลของหัวหน้ากองพันเฉินที่ยังมีลูกธนูปักคาอยู่ เขาเจ็บแสบจนต้องกัดฟัน

ลู่อวี๋ลังเลครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ขอเมล็ดกวยจี๊ห่อหนึ่งจากหมิงเยี่ยน แล้วนั่งแทะแก๊บๆๆ อยู่บนที่นั่งอย่างเบิกบาน แถมยังยื่นให้หัวหน้ากองพันเฉินที่อยู่ข้างๆ หนึ่งกำอย่างมีน้ำใจ “มาๆๆ กินแกล้มสุรา ไม่ต้องเกรงใจ”

หัวหน้ากองพันเฉินริมฝีปากสั่นระริก พูดอะไรไม่ออก

หัวหน้ากองพันที่สวมเพียงกางเกงชั้นในเปิดปากเอ่ยถามขึ้น “ฮวาเหวินหย่วน เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

ฮวาเหวินหย่วนไม่ตอบ เพียงจิบสุราช้าๆ

ชีวิตชาติที่แล้วเขาอดทนกับคนแก่ทั้งสี่นี้นานมาก รอจนบัณฑิตสกุลเฉิงตรวจสอบรายการบัญชีเสร็จเรียบร้อยถึงแย่งชิงอำนาจทางทหารของคนพวกนี้มาได้อย่างยากลำบาก แล้วทำการจัดสรรที่นาทหารใหม่ แต่คราวนี้เขาไม่อยากอดทนแล้ว

หมิงเยี่ยนว่างจนเบื่อ จึงวาดเมล็ดกวยจี๊ไม่มีเปลือกให้ตัวเองหนึ่งกำ เขาตีมือลู่อวี๋ที่พยายามยื่นมือมาขโมย แล้วลอบยัดใส่มือฮวาเหวินหย่วนทางใต้โต๊ะ ฮวาเหวินหย่วนยัดมันเข้าปากหน้าไม่เปลี่ยนสี ดื่มสุราอย่างสง่างามต่อ

เขากักตัวคนกลุ่มนี้ดื่มสุราจนฟ้าสาง รอจนดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วเหล่าทหารองครักษ์ก็นำหีบใบใหญ่เข้ามาหลายใบ ด้านหลังยังมีคนไม่น้อยเดินตามมา ครอบครัวทหารทุกนายส่งตัวแทนออกมาหนึ่งคน ทหารองครักษ์บอกให้พวกเขามารับเสบียง จะมอบให้แก่ตัวแทนแต่ละบ้าน

พอได้ยินว่ามีเสบียง ทุกครัวเรือนก็มาถึงอย่างพร้อมหน้า

ฮวาเหวินหย่วนลุกขึ้นยืน บอกให้เซี่ยฉงอวิ๋นเปิดหีบ ในนั้นกลับเต็มไปด้วยใบหลักฐานการยืมสีขาวโพลน

“ที่นาทหารนั้นเดิมทีจัดสรรให้กับครอบครัวทหารที่ประจำการชายแดนใช้เพาะปลูกเพื่อยังชีพให้แก่กองทัพ หาใช่เพื่อเลี้ยงดูครอบครัวหัวหน้ากองพัน!” ฮวาเหวินหย่วนคว้าใบหลักฐานการยืมออกมาปึกหนึ่ง “คนบางพวกได้เป็นหัวหน้ากองพันก็หลงคิดว่าตนเป็นขุนศึกท่านโหว ยึดครองที่นาทหารเป็นของส่วนตัว ฮุบกลืนเสบียงกองทัพ แล้วยังปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยสูงอีก”

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็มีชายชราคนหนึ่งพุ่งปราดออกมาแล้วคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ “ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพโปรดช่วยข้าน้อยตัดสิน ครอบครัวข้าน้อยมีแปดปากท้อง ล้วนถูกบีบให้อดตาย”

หัวหน้ากองพันทั้งสี่นายนี้ฉวยโอกาสที่ประสบภัยพิบัติมานานปี อ้างว่าได้เสบียงทหารมาไม่ครบ ยึดที่ดินครอบครัวทหารแล้วปล่อยเช่าให้พวกเขาปลูกไร่ทำนา ก่อนจะเก็บค่าเช่าสูงๆ ครั้นครอบครัวทหารจ่ายค่าเช่าก็ทำให้ไม่พอกิน จึงต้องไปยืมเสบียงของหัวหน้ากองพัน กลายเป็นมีหนี้สินติดตัว ครั้นไม่อาจคืนหนี้สินได้ ก็ทำได้เพียงต้องขายบุตรขายสตรีแลกข้าว

ฮวาเหวินหย่วนไม่ต้องฟังรายละเอียดก็รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่อง จุดไฟเผาใบหลักฐานการยืมทั้งหมดทิ้งและตัดหัวของหัวหน้ากองพันทั้งสี่ต่อหน้าทุกคน

ทุกคนตะลึงอึ้งค้าง ชายชราที่เข้ามาร้องทุกข์ผู้นั้นพูดเสียงสั่นเทา “ทะ…ท่านแม่ทัพ หัวหน้ากองพันก็นับเป็นขุนนางของราชสำนัก ท่านปลิดชีพพวกเขาเช่นนี้…”

วิธีการนี้รุนแรงเกินไป ไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่นิด

ฮวาเหวินหย่วนหัวเราะเสียงเบา ประคองชายชราที่คุกเข่าคนนั้นขึ้นมาด้วยมือเดียว “ไม่เป็นไร ในถิ่นของข้าพวกเขามินับเป็นขุนนาง พวกเจ้าเองหลังจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระเป็นครอบครัวทหารอีกต่อไป”

ว่าจบก็แบ่งที่นาของกองทัพแก่ผู้ที่กำลังลงแรงไถหว่านอยู่ในยามนี้ แล้วประกาศคำสั่งไปว่าทหารในกองทัพทั้งหมดล้วนมีสิทธิ์ได้รับที่นา บัดนี้ให้แบ่งแก่ครอบครัวทหารเดิมก่อน เมื่อปราบกบฏสำเร็จจะมีที่นาใหม่แบ่งให้เพิ่มเติมอีก

ผู้ที่มีประสบการณ์ความรู้ตระหนักได้แล้วว่าฮวาเหวินหย่วนกำลังทำสิ่งใด เขาไม่ได้มาเพื่อเป็นแม่ทัพ หากแต่มาก่อกบฏ!

แต่ทุกคนต่างเลือกที่จะนิ่งเงียบ

 

[หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง : เขาก่อกบฏแล้ว! โปรจะมาแล้ว! สุนัขลู่ รีบพาฉันไปเล่นด้วยเร็ว ฉันอยากรีบไปเจอโปรคนนั้น ฉันรู้ว่านายเข้าใจฉัน!]

[หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง ส่งของขวัญ –––– เรือยอชต์ปาเจียวระดับซูเปอร์วีไอพี x 600]

 

 

* ครอบครัวทหาร หมายถึงครอบครัวที่ทางการกำหนดว่าต้องรับราชการทหาร

บทที่ 48

ปมเงื่อน

 

ไลฟ์รอบเช้าจบลงตรงนี้

ลู่อวี๋ถอดหมวกกันน็อก ยีผมที่โดนทับแบน ก่อนเห็นเลขาฯ เจียงถือแท็บเลตเดินเข้ามา

เพราะสมองอัจฉริยะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ฝังอยู่ในสมอง จึงทำให้ตัวเจ้าของมองเห็นเนื้อหาบนจอออพติคอลได้อย่างชัดเจน แต่หากให้คนอื่นดู พวกเขาจะเห็นเป็นแบบกึ่งโปร่งแสงแทน เว้นแต่ว่าจะฉายหน้าจอไปยังฉากหลัง มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแอบมองในระดับหนึ่ง

ที่นี่คือห้องปฏิบัติการ และยังมีห้องไลฟ์สตรีมอยู่ด้านนอก ดังนั้นเลขาฯ เจียงจึงเลือกที่จะไม่ฉายหน้าจอออพติคอล แต่ให้ลู่อวี๋ดูหน้าจอจากเครื่องแท็บเลตจริงๆ

เลขาฯ เจียงพูดเสียงเบา “หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดงส่งของขวัญให้ถึงหนึ่งล้านแล้วครับ”

ลู่อวี๋เหลือบมองภาพย้อนหลังไลฟ์สตรีมบนหน้าจอ “ไวขนาดนี้เลย พี่ชายคนนี้รวยจังนะ เรียกเขามา…ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันไปบอกเขาเอง”

ด้วยความเคารพในตัวพี่ใหญ่ท็อปโดเนตอันดับหนึ่ง เขาต้องไปแจ้งกับเจ้าตัวด้วยตัวเอง จะให้เลขาฯ ไปไม่ได้

เขาจ้องหน้าจอโดยละเอียดอีกที แล้วพบว่าพี่ใหญ่ไม่ได้พูดถึงชื่อของตัวละคร ‘โปร’ ในนิยายเลย ระหว่างส่งของขวัญก็ยังระมัดระวังไม่สปอยล์เนื้อเรื่องด้วย เป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ เลยนะเนี่ย!

ลู่อวี๋กดเปิดสมองอัจฉริยะ ส่งข้อความหา ‘หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง’ บนเบิร์ดบุ๊ก

 

[จับปลาบนดินแล้ง V : ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ส่งของขวัญให้ สองวันนี้มีเวลาว่างหรือเปล่า มาเที่ยวที่เฉินอวี๋สิ เดี๋ยวให้คุณมาเล่นเป็น NPC ฉากนึง]

 

ฝั่งนั้นตอบกลับมาทันที

 

[หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง : ฉันคิดไว้แล้วว่าถ้าส่งถึงล้านจะมีเซอร์ไพรส์! สุนัขลู่ นายเป็นคนดีจริงๆ พี่ใหญ่รักนาย! ฉันจะไปพรุ่งนี้เช้าเลย รอฉันนะ!]

 

หลังจากนัดแนะวิธีการติดต่อกับพี่ใหญ่เสร็จแล้ว เขาก็เรียกเสี่ยวเจียงให้ไปเตรียมตัวเพื่อรับรองพี่ใหญ่ในวันพรุ่งนี้

ลู่อวี๋ปิดสมองอัจฉริยะแล้วลุกขึ้นไปกินข้าวกับหมิงเยี่ยน

แต่เพิ่งจะนั่งลงบนโซฟาของห้องทำงาน หัวหน้าแผนกพีอาร์ก็มาเคาะประตูหาลู่อวี๋

“ประธานลู่ ช่วงนี้พวกเรามีแผนร่วมงานกับทางตระกูลลู่หรือเปล่าครับ” หัวหน้าแผนกพีอาร์ถามสีหน้าจริงจัง

“ร่วมงานกับผะ…” ลู่อวี๋อยากจะพูดว่าร่วมงานกับผีสิ แต่ในเมื่อหัวหน้าแผนกพีอาร์ถามมา แปลว่ามีเรื่องอะไรแน่ๆ จึงหันไปมองทางหมิงเยี่ยน

หมิงเยี่ยนตอบอย่างมั่นใจ “ไม่มี”

สีหน้าของหัวหน้าแผนกพีอาร์กลับไม่ผ่อนคลายลง เขาให้ทั้งสองดูข่าวหนึ่ง “มันเป็นข่าวของเช้าวันนี้ครับ”

พาดหัวข่าวเขียนได้อย่างสะดุดตา

 

‘ลูกเลี้ยงเศรษฐีจะตอบแทนบุญคุณ? เครือตระกูลลู่เผย อนาคตจะมีการร่วมงานกับเฉินอวี๋เทคโนโลยี’

 

ลู่อวี๋อ่านพาดหัวข่าวจบก็โมโหจนหลุดหัวเราะ ใช้คำพูดคำจาเป็นสื่อฮ่องกง* เชียว ตอนนี้ตระกูลลู่ไม่สนศักดิ์ศรีแล้วหรือไงถึงมาพูดเรื่องบุญคุณกับเขา

เขากดเล่นคลิปในข่าว ดูเหมือนจะเป็นงานแถลงข่าว เครือตระกูลลู่จะแข่งขันเสนอราคาเข้าซื้อโรงงานผลิตสมองอัจฉริยะแห่งหนึ่ง ผู้ออกมาแถลงข่าวนี้คือ CEO คนปัจจุบันของเครือตระกูลลู่ พ่อของลู่เจินนี หรือก็คืออารองแค่ในนามของลู่อวี๋

อารองลู่กำลังประกาศออกงานว่าอยู่ระหว่างเจรจาร่วมงานกับเฉินอวี๋เทคโนโลยี หากเจรจาสำเร็จจะติดตั้งสุดยอดผู้ช่วยแสนฉลาดของเฉินอวี๋เทคโนโลยีลงบนสมองอัจฉริยะ

“ทำไมถึงเกาะเก่งขนาดนี้นะ ก่อนจะพูดออกมาได้มาคุยกับฝั่งข้าบ้างหรือยังวะ”

คราวก่อนลู่เจินนีอยู่ๆ ก็ถ่อมาถึงที่นี่ บอกให้เขารับซื้อโรงงานผลิตโทรศัพท์มือถือของตระกูลลู่ จะได้ขยายขนาดองค์กรเพื่อช่วยให้เฉินอวี๋เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ตอนนี้ก็มาประกาศว่าจะร่วมงานกับเฉินอวี๋ ร่วมงานในฝันพวกเขาหรือไง

ในคลิปนักข่าวถามขึ้นว่า คุณมั่นใจไหมครับว่าจะได้ร่วมงานกับเฉินอวี๋

อารองลู่ยกยิ้ม สายตาที่มองกล้องแฝงนัยลุ่มลึก ลู่อวี๋ก็เป็นคนของตระกูลลู่เหมือนกัน

ลู่อวี๋ดูจบก็อ้าปากด่ากราดทันที “หน้าหนาขนาดนี้ได้ไงวะ! ยังเอาเปรียบข้าไม่พออีกใช่ไหม!”

อารองคนนี้ไม่ชอบหน้าเขาตั้งแต่เด็ก ลู่อวี๋ในวัยเด็กไม่เคยเข้าใจ กระทั่งโตมาพอรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ลูกเลี้ยงจึงเข้าใจทุกอย่าง อารองคิดว่าธุรกิจใหญ่โตของตระกูลนี้ไม่ควรยกให้เด็กนอกสายเลือดที่เก็บมาจากข้างนอกอย่างเขา

หมิงเยี่ยนจับมือลู่อวี๋ที่ระเบิดอารมณ์ประดุจฟ้าผ่า ก่อนหันไปเอ่ยกับหัวหน้าแผนกพีอาร์ “ไม่มีเรื่องแบบนั้น แต่ไม่ต้องไปตอบโต้อะไร คุณรู้ว่าต้องทำยังไง”

ตอนนี้เฉินอวี๋เทคโนโลยีกำลังรุ่งเรือง ใครๆ ก็อยากมาเกาะกิน ต้องพูดให้น้อยที่สุด

หัวหน้าแผนกพีอาร์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้วหมุนตัวเดินออกไป

“โอเค กินข้าวเถอะ” หมิงเยี่ยนเปิดกล่องข้าวบนโต๊ะ วางเรียงทีละอย่าง

อาหารวันนี้ลู่อวี๋บอกให้เสี่ยวเจียงเป็นคนสั่ง เป็นอาหารจากโรงแรมดัง ช่วงนี้มีงานเยอะเหนื่อยเกินไป เขากลัวว่าหมิงเยี่ยนจะได้กินไม่ดีเลยสั่งกุ้งผัดใบชาหลงจิ่งกับซุปไข่ม้วนผักรวมที่หมิงเยี่ยนชอบมาให้

มันไม่ใช่กุ้งผัดใบชาหลงจิ่งแบบดั้งเดิม แต่เป็นการเอาใบชาหลงจิ่งไปทอดกรอบแล้วโรยบนกุ้งที่ผ่านการปรุงรสอย่างซับซ้อนมาแล้วประหนึ่งโรยต้นหอม มีแค่โรงแรมนี้เท่านั้นที่ทำอร่อยที่สุด

หมิงเยี่ยนอึ้งเล็กน้อย “นายรู้ได้ไงว่าฉันชอบกินของพวกนี้” อาหารที่เขาชอบช่วงนี้มีเปลี่ยนไปบ้าง ไม่ได้ชอบเหมือนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ตามหลักแล้วลู่เสี่ยวอวี๋น่าจะไม่รู้เรื่องนี้

ลู่อวี๋ตักซุปไข่ม้วนผักรวมใส่ถ้วยแล้ววางตรงหน้าหมิงเยี่ยน “ลู่ต้าอวี๋เขียนจดไว้ในเมโมน่ะครับ” เขาไม่คิดว่าจะมีอะไรแปลก อยากรู้ว่าหมิงเยี่ยนชอบกินอะไร ก็ต้องเข้าไปค้นเมโมในสมองอัจฉริยะของลู่ต้าอวี๋อยู่แล้ว

ทว่าหมิงเยี่ยนกลับชะงักกึก “เขาจดไว้ในเมโมงั้นเหรอ…มีจดอะไรอีกไหม”

ลู่อวี๋หักตะเกียบยื่นให้เขา ขยิบตาส่งวิงก์ “ไม่บอกพี่หรอก นี่มันหนังสือคู่มือการจีบพี่ของผมเลยนะ ถ้าหลุดสปอยล์ไปจะสร้างเซอร์ไพรส์ยังไงเล่า”

หมิงเยี่ยนมองซุปไข่ม้วนในมือด้วยความซับซ้อนในใจ ก่อนจะค่อยๆ ซดน้ำซุปจนหมดเกลี้ยง

กินมื้อเที่ยงเสร็จแล้วลู่อวี๋ก็กล่อมหมิงเยี่ยนนอนกลางวัน ก่อนที่ตนจะแจ้นไปคุ้ยหาเอกสารในห้องทำงานของลู่ต้าอวี๋ เขากังวลจริงๆ ว่าเจ้าเวรลู่ต้าอวี๋จะเคยตอบตกลงอะไรกับตระกูลลู่ไว้ ต้องรีบค้นให้เจอจะได้เตรียมรับมือทัน

เขาเจอไฟล์แผนธุรกิจที่ล้มเลิกไปกลางคันในคอมพิวเตอร์ออฟฟิศของเขาจากคำแนะนำของลู่ตงตง

ลู่อวี๋ขมวดคิ้วพลางกดเปิดไฟล์อ่านอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ

มันดูเหมือนเป็นแผนธุรกิจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลลู่ เขียนถึงเรื่อง ‘ความเป็นไปได้ในการรวมหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีเข้ากับสมองอัจฉริยะสมัยใหม่’

ลู่ต้าอวี๋เคยคิดถึงการร่วมมือกับบริษัทผลิตสมองอัจฉริยะสักแห่งจริงๆ แต่ว่าแผนนี้ก็ถูกดองไปแล้ว

“เปลี่ยนนาฬิกาข้อมือเป็นกรอบสมองอัจฉริยะ?” ลู่อวี๋ลูบคาง เป็นวิธีที่ดี ถ้าเกิดสำเร็จขึ้นมาก็ช่วยทั้งห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมได้เลย นาฬิกาพกเป็นไปได้มากสุดคงต้องเดินสายแบรนด์หรูเท่านั้น อยากให้หมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีกลับมาดำเนินงานได้ ยังไงก็ต้องมียอดออเดอร์จำนวนมาก

บางทีลู่ต้าอวี๋อาจจะเคยเผยความคิดนี้กับตระกูลลู่? แต่เพราะอะไรทำไมแผนถึงถูกดองไว้แบบนี้ ในนี้ก็ไม่ได้เขียนอะไรไว้ด้วย

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับพ่อ” รอบๆ ไม่มีใครอยู่ ลู่ตงตงจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยตัวเอง “บางครั้งคุณจะถอดสมองอัจฉริยะแล้วทิ้งผมไว้ที่บ้าน ผมเลยไม่สามารถฟังข้อมูลตรงนั้นได้”

“มันเป็นเรื่องปกติมาก เพราะในบางสถานที่จะมีการขอให้ทุกคนถอดสมองอัจฉริยะวางไว้ข้างนอก นายมีมูลค่าสูงเกินไป ฉันไม่วางใจที่จะวางไว้ข้างนอกแน่ๆ” ลู่อวี๋ลูบๆ หน้าปัดสมองอัจฉริยะ ใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างละเอียด

ไม่ว่าลู่ต้าอวี๋จะเคยติดต่อกับตระกูลลู่หรือไม่ ตอนนี้ตระกูลลู่จู่ๆ ก็พูดถึงเขา เขาก็ไม่อาจนั่งรอความตายได้ การปรับแก้ฮวาเหวินหย่วนของเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ จะเกิดปัญหาไม่ได้เด็ดขาด เมื่อเผชิญหน้ากับคนตระกูลลู่เขาก็เสียเปรียบด้านกระแสสังคมไปโดยปริยายอยู่แล้ว ยังไงเขาต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อน

 

ขึ้นไลฟ์ช่วงบ่ายต่อ

ฮวาเหวินหย่วนจัดระเบียบค่ายใหญ่เจียงโจวด้วยวิธีดุจฟ้าผ่า เขาพักฟื้นบ้านเมืองอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยจัดระเบียบงาน ทำให้ชาวบ้านรู้สึกมั่นคง สุดท้ายก็ฝึกทหารที่พอใช้งานได้ขึ้นมาหนึ่งกอง

ลู่อวี๋ยืนอยู่ข้างลานฝึกซ้อม มองเหล่าทหารที่เหวี่ยงแทงหอกอย่างพร้อมเพรียง เขาทอดถอนใจ “ถ้าฮวาเหวินหย่วนอยู่ในสังคมยุคปัจจุบัน ให้เขาไปฝึกทหารให้เด็กๆ ในโรงเรียน ผลลัพธ์ต้องออกมาดีแน่”

หมิงเยี่ยนส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ “นายให้ท่านแม่ทัพไปเป็นครูฝึกทหาร เหมือนกับให้นายไปสอนเด็กประถมเขียนบทความนั่นแหละ”

“ผมไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้หรอกน่า ผมไม่ใช่นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่อะไรสักหน่อย” ลู่อวี๋รีบห้ามไม่ให้หมิงเยี่ยนอวยเขาหน้ามืดตามัว “พี่อย่าว่าไป บทความเด็กประถมน่ะผมสอนไม่ได้จริงๆ ตอนอยู่ประถมคะแนนเขียนบทความผมไม่ดีเลยสักนิด”

ขณะกำลังคุย ฮวาเหวินหย่วนก็เดินผ่านพวกเขาสองคนจึงถูกลู่อวี๋ฉุดตัวไว้

“เสี่ยวหย่วนเอ๋ย เจ้ารู้ไหมว่าเด็กประถมคืออะไร” คลาสเรียนของอาจารย์ลู่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

“แค่ก ท่านอารอง ยามนี้ข้ายุ่งมาก ประเดี๋ยวเราค่อยกลับมาคุยกันอีกที” ฮวาเหวินหย่วนใช้เล่ห์กลจนหลุดพ้นออกจากกรงเล็บปีศาจของลู่อวี๋ไปได้ กระโดดขึ้นไปบนแท่นสูงเริ่มเรียกชื่อทหาร

เขาเตรียมจะนำกองทัพทหารสองพันนายนี้ไปกวาดล้างกบฏที่ฝั่งตะวันตก กบฏที่พูดถึงนั้นได้ยินว่าเป็นช่างตีเหล็กนามว่าเฮ่อต้าฉุย เพราะทนงานแรงงานเกณฑ์ของพวกช่างฝีมือไม่ไหว จึงฆ่าขุนนางที่คุมงานแล้วลุกขึ้นก่อกบฏ แม้ก่อความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ มาหลายเดือน แต่ก็ยึดเมืองเล็กๆ มาได้เมืองเดียว สำหรับฮวาเหวินหย่วนแล้วทหารสองพันนายเพียงพอที่จะจับเป็นเฮ่อต้าฉุยมาตีเหล็กให้เขา

เพิ่งจะเตรียมพร้อมออกศึกเสร็จ จู่ๆ พระราชโองการจากเมืองหลวงก็ถูกส่งมา สั่งให้ฮวาเหวินหย่วนมิต้องสนใจกบฏน้อยผู้นั้น แต่ให้รีบไปด่านชายแดนเพื่อรับมือกับพวกต๋าจื่อ

ฮวาเหวินหย่วนขับไล่ขุนนางที่มาถ่ายทอดพระราชโองการออกไป ตนนั่งอยู่กลางกระโจมใคร่ครวญครู่ใหญ่ แล้วยกพู่กันเขียนจดหมาย กล่าวว่าเจียงโจวมีเสบียงไม่เพียงพอ เหล่าทหารสิบกองเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ บัดนี้ไม่เหลือกำลังทหารใดๆ มีกำลังคนไม่ถึงสองพันนาย ทำได้เพียงปราบโจรในพื้นที่เล็กๆ ไร้ความสามารถที่จะไปด่านชายแดน

 

กระหม่อมบังอาจขอกราบทูลเสนอแม่ทัพเฉียน เฉียนพั่วตี๋ แม่ทัพเฉียนสั่งการทัพด้วยทักษะโดดเด่น ย่อมสามารถรักษาด่านเมืองหานเฉิงไว้ได้แน่นอน’

 

ชาติก่อนนั้นแม่ทัพเฉียนพยายามช่วงชิงอำนาจกองทัพผ่านขันทีแต่ก็ไม่สำเร็จ จนตายก็ยังไม่ได้มีโอกาสบัญชาการกองทัพแม้แต่วันเดียว ชาตินี้สมควรแล้วที่จะเติมเต็มปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเขา

เมื่อจดหมายฉบับนี้ถูกส่งออกไป ฮ่องเต้คงทรงทราบแล้วว่าฮวาเหวินหย่วนได้รับอำนาจทหารเจียงโจวมาครอง ทว่าไม่ยอมรับพระราชโองการจากโอรสสวรรค์ นี่คือการก่อกบฏ

แต่ฮ่องเต้ก็ไม่อาจพูดได้ว่าฮวาเหวินหย่วนจะก่อกบฏ เพราะอีกฝ่ายส่งจดหมายเสร็จก็ไปปราบกบฏทันที

ฮ่องเต้ที่อยู่ในเมืองหลวงทรงกังขาอย่างยิ่ง ถามเสนาบดีกรมทหาร “ฮวาเหวินหย่วนมีนัยอันใดอย่างนั้นหรือ”

เสนาบดีกรมทหารรู้แจ้งแก่ใจ ทว่ามิบังอาจกราบทูลความจริง อย่างไรตอนนี้ต่อให้ยืนยันแล้วว่าฮวาเหวินหย่วนก่อกบฏจริงก็ไม่มีกำลังทหารเหลือไปปราบปรามเขาแล้ว ทำได้เพียงตอบอ้อมแอ้ม “เจียงโจวพบเจอภัยพิบัติต่อเนื่องเป็นเวลานาน บรรดาภาษีอากรจึงมิอาจเก็บได้ครบถ้วน อาจมีการขาดดุลงบประมาณอยู่โดยแท้ ขุนนางสกุลฮวาจงรักภักดีมาหลายชั่วอายุคน ซ้ำฮวาเหวินหย่วนยังอายุเพียงสิบหก คงยังมิกล้ากระทำการกบฏเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ฟังแล้วเห็นด้วย ฮวาเหวินหย่วนเพิ่งจะสิบหก อายุสิบหกใครเล่าจะตั้งตนเป็นกบฏได้

เพราะต่างฝ่ายต่างกลบเกลื่อนกัน สุดท้ายจึงสั่งให้แม่ทัพเฉียนไปคุ้มกันชายแดนหานเฉิงจริงๆ

 

ส่วนฮวาเหวินหย่วนกำลังควบม้าอย่างสง่างามดุจเทพสวรรค์ เรียกให้เฮ่อต้าฉุยเปิดประตูอยู่นอกเมือง “กบฏอวดดี จงรีบเปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

“จุๆ แบบนี้มันไม่เข้าทำนองขโมยตะโกนจับโจรเหรอ เจ้าเป็นกบฏ ข้ารู้ว่าข้าเองก็เป็นกบฏ แต่ตราบใดที่ข้าไม่พูด ข้าก็สามารถอ้างความชอบธรรมกำจัดเจ้าได้อยู่ดี”

ลู่อวี๋นั่งมองความครึกครื้นอยู่ตรงศาลาบนเนินเขานอกเมือง พูดกับหมิงเยี่ยนที่ก้มหน้าวาดรูป “เหมือนกับพ่อแม่ผมเลย ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ พวกเขาก็ยังพูดออกมาว่า ‘ทำไมถึงคลอดเด็กไม่เอาไหนอย่างแกออกมาได้’ ”

ลู่อวี๋พูดจบก็แทะเมล็ดกวยจี๊แก๊บๆ ต่ออย่างแสนลำพองใจ คิดจะเอากระแสสังคมมากดดัน เดี๋ยวเจอข้าวางปมเงื่อนดักล่วงหน้า ตระกูลลู่อย่าคิดจะมาหาเรื่องกันเลยดีกว่า

เขาแค่พูดลอยๆ ออกไปเป็นการขุดหลุมวางปมเงื่อนไว้ หมิงเยี่ยนกลับฟังแล้วเก็บไปคิด เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างปวดใจ “นายรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ”

หมิงเยี่ยนคิดว่าลู่อวี๋น่าจะรู้ชาติกำเนิดของตัวเองช่วงมัธยมปลาย ตระกูลลู่ก็เพิ่งจะบอกเขาเรื่องนี้หลังจากที่เขาบรรลุนิติภาวะ แต่ตอนนี้ฟังจากที่พูดแล้วคงไม่เป็นอย่างนั้น

ลู่อวี๋สบสายตาที่เต็มไปด้วยความปวดใจสงสารของหมิงเยี่ยน เขาทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย เลยหันหนีไปมองสนามรบที่อยู่ไม่ไกลออกไป ทำเป็นพูดด้วยท่าทีสบายๆ “รู้ตั้งแต่น้องชายเกิด”

หมิงเยี่ยนกำหมัดแน่น นั่นเป็นตอนเขาอายุสิบขวบเองนะ “ทำไมล่ะ”

ลู่อวี๋ที่อายุน้อยขนาดนั้น มีไหวพริบดีถึงขนาดมองออกได้ยังไง

ลู่อวี๋จุปาก “เพราะเขาตั้งชื่อให้น้องชายว่าลู่ถิงเจ๋อ* ไง ชื่อแบบนี้แค่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นชื่อของประธานจอมเผด็จการที่สั่งให้ปิดถนนทางด่วนทั้งเมืองเพื่อตามหานางเอก ส่วนผมน่ะเรอะ ลู่อวี๋…คุณหนูคุณชายตระกูลเศรษฐีชื่อลู่อวี๋ที่หมายถึงปลาโต้งๆ มันใช่เหรอ”

 

* มาจากการที่สื่อฮ่องกงขึ้นชื่อด้านการเหน็บแนมและใช้คำรุนแรง เน้นดราม่า

* ถิงเจ๋อ หมายถึงสระน้ำแห่งสายฟ้า

บทที่ 49

ลูกเลี้ยง

 

เพราะหมิงเยี่ยนร่วมวงด้วย การวางปมเงื่อนที่ตอนแรกไม่ได้น่าสนใจอะไรเลยกลายเป็นหัวข้อพูดคุยขึ้นมา พริบตาซับกระสุนก็กระหน่ำรัวอย่างกับระเบิดลง

 

[นี่จับปลาบนดินแล้งถูกรับเลี้ยงเหรอเนี่ย ลูกเลี้ยงในตระกูลเศรษฐีมีอยู่จริง?]

[ปฏิบัติสองมาตรฐานแบบนี้มันเกินไปรึเปล่า! คุณชายตระกูลเศรษฐีชื่อปลาแบบนี้ก็ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ…]

[ทุ่งหญ้าเขียวขจี : จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาคืออยากจะทำตัวน่าสงสารต่อหน้าหมิงเยี่ยนหรือไง]

[ทุ่งหญ้าเขียวขจีนี่ชงโมเมนต์เก่งมากอะ เป็นชิปเปอร์เหรอ? ชิปเปอร์สายเปย์มาเข้ากลุ่มเร็ว มาชงด้วยกันกับพวกเราสิ เลขกลุ่มคือ XXXX]

[หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง : สุนัขลู่ไม่ร้องนะ พี่ชายรักนาย]

[หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง ส่งของขวัญ –––– เรือยอชต์ปาเจียวระดับซูเปอร์วีไอพี x 100]

 

จนกระทั่งไลฟ์จบแล้ว ความกระตือรือร้นในการพูดคุยหัวข้อนี้ของทุกคนมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนดันแฮชแท็กหัวข้อ #ลูกเลี้ยงเศรษฐี# ขึ้นเทรนด์จนได้

ลู่อวี๋มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย หน้าตาก็หล่อเหลา เขาถูกขุดคุ้ยประวัติยันกางเกงในไปตั้งนานแล้ว แฟนคลับในยุคนั้นนิยมขุดอดีตของคนดัง จับปลาบนดินแล้งชื่อจริงชื่ออะไร ครอบครัวทำอาชีพอะไร ทุกคนรู้กันหมด ถึงขั้นที่ว่าชาติกำเนิดอย่างกับละครน้ำเน่านี้ยังกลายเป็นที่ถกกันอย่างร้อนแรงมานานมากแล้ว

เพียงแต่เขาไม่ออกผลงานมานานหลายปี จนบางคนเริ่มลืมเลือนกันไปแล้ว ตอนนี้พอยกขึ้นมาพูดอีกครั้งก็มีพวกคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไปขุดคลิปสัมภาษณ์ต่างๆ กับกระทู้แฉเก่าๆ ออกมาแล้วเป็นที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงอีกครั้ง

 

[ชาวเน็ต A : ไม่คิดเลยว่าฉากลูกเลี้ยงเศรษฐีในนิยายจิ้นเจียง** เมื่อสิบปีก่อนจะเกิดขึ้นในชีวิตจริง เป็นจริงอย่างที่เขาบอกกันเลยว่าศิลปะนั้นมาจากชีวิตจริง]

[ชาวเน็ต B : ลู่ตงตงพระเอกในนิยายเรื่องแรกที่จับปลาบนดินแล้งเขียนก็ถูกรับเลี้ยงเหมือนกัน หลังจากนั้นเขาถูกคนในครอบครัวทอดทิ้ง เลยเป็นปลาโดดเดี่ยวเร่ร่อนอยู่นาน อย่างกับว่าเขากำลังเขียนเรื่องตัวเองอยู่เลย]

[ชาวเน็ต C : พวกนายเคยดูสัมภาษณ์ของจับปลาบนดินแล้งเมื่อนานมาแล้วรึเปล่า เขาเคยบอกว่าสิ่งที่เขาเขียนคือความไม่ยอมจำนนในวัยเด็กของเขา]

 

หมิงเยี่ยนสวมชุดนอน นั่งบนโซฟาในบ้าน จ้องหน้าจอออพติคอลของสมองอัจฉริยะเสียจริงจัง

ลู่อวี๋ที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้วขยี้ผมที่เพิ่งเป่าแห้งเดินเข้ามา “พี่เยี่ยน ไปนอนกัน”

“อือ” หมิงเยี่ยนส่งเสียงตอบส่งๆ ในจมูก นับเป็นการตอบรับเขาแล้ว แต่ยังคงจ้องหน้าจอออพติคอลต่อ

นานๆ ทีจะได้เห็นเขาติดสมองอัจฉริยะแบบนี้ ลู่อวี๋เผยรอยยิ้มร้าย แล้วยกมือข้างหนึ่งเท้าเอวชี้นิ้วสั่ง “กี่โมงกี่ยามแล้วยังเล่นสมองอัจฉริยะอยู่อีก ทำการบ้านเสร็จหรือยัง ล้างหน้าแปรงฟันหรือยัง มา ตามฉันไปที่ห้องเลยนะ ต้องให้อาจารย์ลู่ผู้คุมหอสอนกฎในการนอนให้เธอแล้ว”

หมิงเยี่ยนเมินเขา ยังคงอ่านต่อ

ลู่อวี๋เดินวนรอบโซฟาแต่ก็ยังดึงดูดความสนใจจากเขาไม่ได้ เลยพุ่งตัวไปบนโซฟา ทิ้งตัวลงข้างๆ หมิงเยี่ยนประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ ยื่นศีรษะเข้าไปคลอเคลียกับไหล่อีกฝ่าย “ดูอะไรอยู่เหรอ น่ามองเท่าผมรึเปล่า เอ๊ะ ทำไมผมเห็นหน้าจอออพติคอลสมองอัจฉริยะของพี่ชัดจังเลย”

หน้าอินเตอร์เฟซสมองอัจฉริยะของหมิงเยี่ยนปรากฏตรงหน้า แทบไม่ต่างอะไรจากตอนที่เขามองสมองอัจฉริยะของตัวเองเลย

ลูกโป่งท่านประธานมองบน “เพราะพวกนายแต่งงานกันแล้วไง เลยมีสิทธิของคู่สมรส”

“ว้าว งั้นก็นอกใจยากเลยสิ” ลู่อวี๋ถูไถคลอเคลียหน้าตัวเองกับลาดไหล่อุ่นร้อนหอมสดชื่น อดอ้าปากขบเบาๆ ไม่ได้

หมิงเยี่ยนเหลือบมองเขา “ถ้าเสื้อสกปรกนายต้องใช้คืนด้วยนะ”

“เดี๋ยวผมซักให้” ลู่อวี๋พอไม่โดนตีก็ขบๆ งับๆ ต่ออย่างอารมณ์ดี “ซักมือให้ด้วย! กางเกงในใช้แล้วก็ให้ผมซัก…โอ๊ย!”

หลังโดนไปหนึ่งป้าบ ในที่สุดลู่อวี๋ก็ประพฤติตัวดี นั่งดูสมองอัจฉริยะกับหมิงเยี่ยนอย่างสงบ

บนหน้าจอกำลังฉายคลิปสัมภาษณ์ของจับปลาบนดินแล้ง ตอนนั้นลู่อวี๋ยังหนุ่มมาก เพียงแต่แววตาไม่ได้ซุกซนเหมือนตอนอายุสิบแปด เขาดูสุขุมขึ้นไม่น้อย แบ็กดร็อปด้านหลังเป็นหน้าปกเรื่อง ‘เงือกจอมราชัน’ น่าจะเป็นงานโปรโมตหนังสือรูปเล่ม

พิธีกรถือหนังสือในมือ ถามอย่างนุ่มนวล “บนเน็ตจะมีคำพูดว่านิยายที่จับปลาบนดินแล้งเขียน คือเขียนถึงความไม่ยอมจำนนของตัวเองในวัยเด็ก เป็นเรื่องจริงไหมคะ”

ลู่อวี๋ “เรื่องบางเรื่องตอนเด็กคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ เลยอยากตามหาคำตอบในหนังสือ แต่ในหนังสือก็ไม่มีเหมือนกัน ผมเลยเขียนหนังสือขึ้นมาเอง ที่จริงไม่ใช่แค่ผมหรอก แต่คนเขียนหนังสือหลายๆ คนต่างเขียนถึงเรื่องในใจตอนเด็กกันทั้งนั้น พวกเขากำลังตามหาคำตอบที่ติดอยู่ในใจตัวเองตอนเด็กครับ”

พิธีกร “คุณไม่รู้คำตอบ งั้นเขียนคำตอบออกมาได้ยังไงเหรอคะ”

ลู่อวี๋ “เขียนตัวละครให้มีชีวิต รอให้เขาไปตีความด้วยตัวเอง ดูว่าเขาจะช่วยผมหาคำตอบเจอหรือเปล่า”

พิธีกร “งั้นคุณเจอคำตอบหรือยังคะ”

ลู่อวี๋ “เจอแล้วครับ ก็คือสิ่งที่ลู่ตงตงพูดในตอนจบ”

จากนั้นหน้าจอด้านหลังก็เปลี่ยนเป็นประโยคปิดท้ายของ ‘เงือกจอมราชัน’

 

‘ฝากความหวังแก่ผู้อื่น เฝ้ารอให้เทพเจ้าดูแล ได้แต่ภาวนา ฝากความหวังไว้ที่ตัวข้า ไม่ต้องรอเมตตา ข้าเป็นเทพเจ้าเองได้’

 

แล้วการสัมภาษณ์ก็จบลงตรงนี้

ลู่อวี๋ที่กำลังคาบชุดนอนบริเวณไหล่หมิงเยี่ยนใช้โอกาสนี้เอ่ยแทรก “ฮิๆ ผมเก่งจริงๆ ประโยคดัดจริตแบบนี้ก็ยังเขียนเป็นรูปประโยคคู่ขนานที่คล้องจองได้ พอเอาคลิปไปลงในแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น แล้วใส่คลิปรำดาบโบกกระบี่ที่ดูไม่รู้เรื่องแต่โคตรเท่ลงไปด้วยต้องล้างสมองมากแน่ๆ”

หมิงเยี่ยนปิดจอออพติคอล ใช้นิ้วหยิกแก้มลู่อวี๋ “ไหนดูหน่อย หน้านายมันหนาขึ้นใช่ไหมเนี่ย หืม มีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นมาจริงด้วย”

หมิงเยี่ยนชอบพวงแก้มน้อยๆ นั่นที่สุด เพราะว่าลู่เสี่ยวอวี๋กินอร่อยหลับสนิท ราวกับหน่อไม้อ่อนงอกขึ้นมา สันกรามคมกริบราวกับมีดกลายเป็นสันกรามละมุนๆ ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะอิดโรยดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาขึ้นมา

“นุ่มเด้งสู้มือดีใช่ไหมล่ะ พี่อยากกัดสักคำไหม” ลู่อวี๋พองแก้ม ลองยั่วอีกฝ่าย

หมิงเยี่ยนจ้องมองด้วยใบหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ขยับเข้าไปหาจริงๆ

ลมหายใจชุ่มชื่นเจือกลิ่นมิ้นต์เย็นๆ ของยาสีฟันฟุ้งอยู่ในบริเวณที่จมูกลู่อวี๋สามารถสัมผัสได้ ทำให้ขนอ่อนทุกเส้นบนใบหน้าเขาตั้งชัน ประดุจพื้นหญ้าในสวนดอกไม้แห้งเฉาที่ถูกรดน้ำจากระบบสปริงเกลอร์ หญ้าทุกใบล้วนชูชันขึ้นมาอย่างผ่อนคลาย ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี เฝ้าคอยความชุ่มฉ่ำแสนหวานมากกว่านี้

ตอนนั้นเองลู่ตงตงพลันส่งเสียงเรียกเข้า หน้าจอออพติคอลแสดงชื่อ ‘พ่อเลี้ยง’

หมิงเยี่ยนหยัดตัวตรงทันใด พร้อมกับเก็บนิ้วมือที่หยิกแก้มเขาเบาๆ กลับมา

นาทีนี้ลู่อวี๋หงุดหงิดจนเหมือนจะฆ่าคนได้ ขมวดคิ้วพลางคว้าตัวลู่ตงตง

“ให้ฉันรับเถอะ” หมิงเยี่ยนขวางเขา

“ไม่เป็นไร” ลู่อวี๋กุมมือหมิงเยี่ยนมาจรดใต้จมูกแล้วสูดลึกๆ หนึ่งที ใจเขาสงบลงไปเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนยกมือขึ้นรับสาย

เสียงคุณพ่อลู่ดังมาจากปลายสาย ยังคงไม่มีความเกรงใจต่อกันเหมือนเคย ทันทีที่เอ่ยปากก็ซักไซ้เชิงตำหนิ “แกพูดเรื่องพวกนั้นออกไลฟ์ทำไม แกมีอะไรไม่พอใจก็มาพูดกันส่วนตัวนี่ ไปพูดอะไรไร้สาระในไลฟ์ที่มีคนดูเป็นสิบล้าน แกรู้ไหมว่ามันส่งผลกระทบต่อที่บ้านขนาดไหน”

ลู่อวี๋ได้ยินแล้วอึ้งงัน ก่อนจะข้ามเวลามา ครั้งที่ทะเลาะกับที่บ้านอย่างรุนแรงที่สุดผ่านไปนานมาก เขาไม่ได้ยินคำตำหนิตรงไปตรงมาแบบนี้มาพักใหญ่ๆ แล้ว

ตอนที่ทะเลาะกันรุนแรงที่สุด พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงคนหนึ่งเล่นบทร้ายคนหนึ่งเล่นบทดี คุณพ่อลู่ตำหนิเขาเสียงดัง ถึงขั้นหยิบไม้พลองมาทุบตี ส่วนคุณแม่ลู่ร้องห่มร้องไห้เกลี้ยกล่อมคุณพ่อลู่ แต่พูดไปทั่วว่าเขาหัวขบถอกตัญญู ตอนนี้ผ่านมาสิบปีแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้นสักเท่าไหร่

ดังคาด ไม่นานนักเสียงร้องไห้ฟูมฟายของคุณแม่ลู่ก็ดังลอดเข้ามา “น้องชายเธอยังเรียนอยู่เลย เธอเล่นพูดชื่อเขาออกมาแบบนี้ ถ้าเพื่อนร่วมชั้นรุมแกล้งเขาขึ้นมาจะทำยังไง”

ไม่รอให้ลู่อวี๋ตั้งสติได้ หมิงเยี่ยนที่ปกติไม่เคยรบกวนใครตอนคุยโทรศัพท์พลันพูดแทรก “ผมขอพูดอะไรสักอย่างหน่อยครับ ลู่ถิงเจ๋อเคยออกทีวีแล้ว ทั้งสองท่านไม่ควรโทษว่าที่ข้อมูลส่วนตัวเขาหลุดออกไปเป็นความผิดลู่อวี๋นะครับ”

ฝั่งนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่คุณแม่ลู่จะพูดขึ้นมาเสียงเบา “ใช่ลูกชายคนนั้นของตระกูลหมิงหรือเปล่า”

คุณพ่อลู่เงียบสักพัก ไม่ต่อบทสนทนากับหมิงเยี่ยน “ลู่อวี๋ ช่วงนี้กลับมาบ้านหน่อยสิ มีเรื่องอยากจะปรึกษาแกหน่อย”

ลู่อวี๋สูดหายใจเข้าลึก หัวเราะเยาะ “ช่วงนี้ผมยุ่งมาก ถ้าพวกคุณอยากเจอผมก็ติดต่อเลขาฯ ผมแล้วกัน อ้อ จริงสิ อย่าให้ลู่เจินนีแจ้นมาก่อความวุ่นวายที่บริษัทผมอีก ช่วงนี้ต้องขึ้นไลฟ์ทุกวัน ถ่ายติดเธอขึ้นมาคนที่จะขายหน้าไม่ใช่ผมหรอกนะ”

ว่าจบลู่อวี๋ก็ตัดสาย ก่อนกอดลู่ตงตง อารมณ์คุกรุ่นยากจะสงบ

คำพูดจากพ่อแม่ที่เลี้ยงเขามาจนโต ต่อให้ธรรมดามากๆ ก็ทำให้หวนนึกถึงความทรงจำฝังใจ กระตุ้นอารมณ์ต่างๆ ขึ้นมาอัตโนมัติ

หมิงเยี่ยนมองเขาอย่างเป็นห่วง จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “สองปีก่อนลู่ถิงเจ๋อเคยออกรายการวาไรตี้ลูกเศรษฐี เรื่องแดงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

“ผมไม่โทษตัวเองเพราะเรื่องแบบนี้หรอก” ลู่อวี๋ก้มหน้า น้ำเสียงติดเย้ยหยัน “เขาพูดกับเพื่อนๆ ในห้องว่าตัวเองเป็นคุณชายตระกูลลู่ตั้งแต่ปอหนึ่งแล้ว พวกเขาแค่อยากบีบบังคับโดยอ้างศีลธรรมเฉยๆ ตั้งแต่สิบขวบผมก็ได้ยินคำพูดพวกนี้ทุกวัน ฟังจนหูด้านไปนานแล้วครับ”

หมิงเยี่ยนขมวดคิ้ว ยื่นมือไปแตะหลังลู่อวี๋เบาๆ ก่อนลูบท้ายทอยของเขา “ถ้านายไม่อยากเจอคนตระกูลลู่ก็ไม่ต้องไป ตระกูลลู่ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลู่เสี่ยวอวี๋วัยสิบแปดจะจัดการได้”

ลู่อวี๋ประหนึ่งของเล่นขนนุ่มๆ ไม่มีน้ำหนัก พอถูกลูบท้ายทอยไปทีหนึ่งก็ตัวอ่อนยวบ เกาะแกะแนบอ้อมอกหมิงเยี่ยนอย่างกับปลาหมึก “ไม่เป็นไร แค่พี่ให้ผมหอมๆ สักฟอดก็ดีขึ้นแล้ว”

หมิงเยี่ยนมองคนในอ้อมแขนด้วยความหมั่นไส้ทั้งยังน่าหัวเราะ จึงไม่ผลักเขาออกไปอย่างหาได้ยากยิ่ง

** จิ้นเจียง เป็นเว็บไซต์ที่ใช้อ่านและเผยแพร่นิยายออนไลน์ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของประเทศจีน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: