X
    Categories: everYตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามีทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2 บทที่ 50-53 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

ทดลองอ่านเรื่อง  ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2

ผู้เขียน :  ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)

แปลโดย :  qMondae

ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 50

โปร

 

ลู่อวี๋ค้นพบว่าคืนนี้หมิงเยี่ยนมีเค้าลางว่าจะเริ่มใจอ่อนแล้ว จึงถือโอกาสตามน้ำ เกาะหนึบเอาเปรียบอีกฝ่ายอยู่นาน จนถึงเตียงแล้วก็ยังไม่ปล่อยมือ ขนาดในฝันล้วนเป็นอ้อมกอดแสนอบอุ่นกับกลิ่นไม้หอมจางๆ

เช้าวันรุ่งขึ้นลู่อวี๋งัวเงียตื่นขึ้นมา รู้สึกว่าใต้มือข้างขาล้วนอุ่นไปหมด เขาเบิกตาโพลง แล้วเห็นว่าแขนของตัวเองกำลังโอบเอวคอดกิ่วนั่น ส่วนศีรษะก็ซุกอยู่กับซอกคอหมิงเยี่ยน!

เช้าตรู่เช่นนี้ช่างดีงามเหลือเกิน ลู่อวี๋ไม่อยากจะขยับไปไหน เขาซึมซาบอุณหภูมิอันน่าหลงใหลนี้อย่างตะกละตะกลาม แอบหัวเราะกับตัวเองจนส่งเสียงคิกคักๆ ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“อืม…” หมิงเยี่ยนตื่นขึ้นช้าๆ ส่งเสียงงึมงำในลำคอเบาๆ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นลูกตาคู่โตประหนึ่งลูกกระดิ่งของลู่อวี๋จ้องเขาตาไม่กะพริบ เขาหัวเราะเบาๆ อย่างอับจนปัญญา “ทำอะไร เช้าๆ แบบนี้มันน่ากลัวนะ”

เสียงของคนเพิ่งตื่นติดจะแหบพร่าหลายส่วน หมิงเยี่ยนเหยียดกายเบาๆ จนเกิดการเสียดสีกับท่อนขายาวที่แนบสนิทกับตัวเขา

ลู่อวี๋เพียงรู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดจากต้นขาขึ้นมายังกระดูกสันหลังแล้วพุ่งตรงขึ้นสมอง ก่อนจะตีลังกาวกกลับจากสมองลงไปที่กระดูกสันหลังกับตรงนั้น

จนหมิงเยี่ยนตื่นเต็มตา คนข้างๆ ก็ลุกพรวดจะเข้าห้องอาบน้ำแล้ว “ผมไปอาบน้ำเย็นหน่อยดีกว่า”

“อากาศหนาวๆ แบบนี้นายอาบน้ำเย็นทำไม”

“ความหนาวเหน็บทำให้ผมสดชื่น!”

หมิงเยี่ยนตะแคงตัวนอน ใช้แขนเท้าศีรษะ มองเงาร่างเลือนรางด้านหลังกระจกขัดฝ้าห้องอาบน้ำที่ดูท่าทางลนลาน จุดมุมปากยิ้ม

 

ทั้งคู่มาถึงบริษัทตอนแปดโมงกว่า เสี่ยวเจียงเชิญให้พวกเขาตรงไปที่ห้องรับรองแขกทันที เพราะพี่ชายท็อปโดเนตอันดับหนึ่ง ‘หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง’ มาถึงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ห้องรับรองแขกชั้นบนสุด ชายหนุ่มวัยรุ่นสวมเสื้อผ้าลุคแคชวลสบายๆ กำลังนั่งกินอาหารเช้าที่เสี่ยวเจียงซื้อให้ช้าๆ บนโซฟา เมื่อเห็นลู่อวี๋กับหมิงเยี่ยนมาแล้วก็เงยหน้ายิ้มทักทาย “สุนัขลู่! ประธานหมิง!”

ลู่อวี๋พิจารณาพี่ใหญ่ท็อปโดเนตคนนี้ด้วยความสนใจใคร่รู้ คนคนนี้ดูวัยรุ่นกว่าที่คิด ดูๆ แล้วน่าจะยี่สิบต้นๆ หน้าตาเองก็หล่อเหลาไม่น้อย เวลายิ้มมีลักยิ้มตรงแก้มซ้าย นี่ยิ่งทำให้เขาดูน่ารัก ไร้พิษภัยคุกคาม แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะใส่ฟิลเตอร์คนรวยด้วย เลยทำให้ทั้งตัวพี่ใหญ่ท่านนี้ดูเหมือนส่องแสงเรืองรองออกมา

แต่ว่าอายุน้อยขนาดนี้ เอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ อย่าบอกนะว่าเป็นเด็กเปรตยังไม่บรรลุนิติภาวะที่ผลาญเงินที่บ้านเล่นน่ะ

ลู่อวี๋หัวใจบีบรัด รู้สึกสุ่มเสี่ยงเหมือนของขวัญที่ตัวเองได้มากำลังจะถูกผู้ปกครองของเจ้าเด็กนี่โทรมาฟ้องร้องขอเงินคืน

เสี่ยวเจียงโผล่ออกมาได้ทันเวลา ยื่นคลิปบอร์ดหนีบเอกสารให้หมิงเยี่ยน บนนั้นมีชิปการ์ดหนึ่งใบ “อันนี้คือการ์ดเกมมิ่งของคุณหงครับ ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”

ลู่อวี๋มองการ์ดใบนั้น สงสัยอยู่ในใจ เครื่องแคปซูลเกมมิ่งของพวกเขาไม่ต้องใช้การ์ด แล้วเสี่ยวเจียงทำการ์ดเกมมิ่งให้เขาทำไม

เขาเหลือบมองเอกสารในมือหมิงเยี่ยนอีกครั้ง

หงอู่หยาง เพศชาย อายุยี่สิบห้าปี มีบริษัทภายใต้ชื่อเขาสองแห่ง เลขบัตรประจำตัวประชาชน…

โอเค เสี่ยวเจียงผู้มีไหวพริบใช้ข้ออ้างนี้ในการซักประวัตินี่เอง ลู่อวี๋ไพล่แขนไว้ข้างหลังแล้วแอบชูนิ้วโป้งให้เสี่ยวเจียง

เสี่ยวเจียงดันแว่นอย่างถ่อมตัว เดินไปรินชาให้แขก

ดูจากเอกสารของพี่ชายท็อปโดเนตแล้ว เป็นไปได้สูงว่าเขาอาจจะเป็นคุณชายที่โปรยเงินประหนึ่งเป็นดินคนหนึ่ง ลู่อวี๋ถอนหายใจโล่งอก แบบนี้ก็ดี จะได้ลงมือแบบไม่ต้องรู้สึกผิด เขาสบตากับหมิงเยี่ยนหนึ่งที อีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนายน้อยท่านนี้มาก่อน คิดว่าอาจจะเป็นลูกชายตระกูลเศรษฐีที่ปิดบังฐานะในวงสังคม

“พี่ใหญ่ พอใจกับมื้อเช้าไหม” ลู่อวี๋ส่งยิ้มอบอุ่นยิ่งกว่าเดิมออกมา ก่อนลงไปนั่งบนที่วางแขนโซฟาข้างๆ พี่ใหญ่

“ไม่เลว” คุณชายหงมองเสี่ยวเจียง ดวงตาเป็นประกาย “เลขาฯ คนนี้ของนายไม่เลวเลย ขายเปล่าอะ”

ลู่อวี๋หมดคำพูด “พี่ใหญ่ นี่คิดจะใช้เงินซื้อหมดทุกอย่างเลยหรือไงหา ไม่ขาย!”

คุณชายหงเบะปาก “นายเรียกฉันว่าพี่อู่ก็ได้ เพื่อนฉันเรียกงี้กันหมด”

“ได้ พี่อู่” ลู่อวี๋ไหลตามเป็นสายน้ำ ถึงแม้พี่ใหญ่ท่านนี้จะเด็กกว่าเขาก็เถอะ

คุณชายหงหันไปมองหมิงเยี่ยนที่ยืนเป็นสง่าราศี ยิ้มโชว์ลักยิ้ม “ประธานหมิง เรียกผมว่าเสี่ยวอู่ก็ได้นะครับ”

“ฮะ?” ลู่อวี๋ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เอียงตัวบังสายตาของหงอู่หยาง “ทำไมต้องสองมาตรฐานด้วยหา”

“นี่เป็นความเคารพที่มีต่อพี่สะใภ้” สหายเสี่ยวอู่พูดเสียงเบา แล้วเสริมต่อท้ายไปอีกประโยค ในขณะที่รอยยิ้มของลู่อวี๋ค่อยๆ เริ่มเป็นมิตร “ภรรยานายน่ามองจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเป็นผู้ชายแท้ๆ คงถามไปแล้วว่าจ้างให้นายยอมปล่อยมือต้องจ่ายเท่าไหร่”

ลู่อวี๋หมดคำพูด “โลกนี้มีอะไรที่นายไม่ใช้เงินซื้อบ้าง ถ้านายไม่มีที่ให้ละลายเงิน งั้นส่งของขวัญมาให้ฉันหมดเลยก็ได้ ฉันไม่ถือสา”

รอจนพี่ใหญ่กินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ลู่อวี๋ก็พาเขาไปห้องไลฟ์สตรีมทันที เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาเกิดความอยากซื้อที่ไม่จำเป็นต่อทรัพย์สินอื่นๆ ของบริษัท เมื่อเข้ามาในห้องปฏิบัติการแล้วลู่อวี๋ก็กำชับซ้ำๆ กับเจ้าหนุ่มที่พิจารณาแคปซูลเกมมิ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “นายเล่นได้แค่บททหารตำแหน่งเล็กๆ นะ จะมีบทพูดเยอะเกินไปไม่ได้ พยายามเลี่ยงการพูดคุยกับฮวาเหวินหย่วน จะได้ไม่กระทบต่อกระบวนการปรับแก้ของเขา”

“วางใจได้” คุณชายหงว่าง่ายเหมือนสายน้ำ ลงไปนั่งในแคปซูลอย่างเชื่อฟัง ให้หยางเฉินรัดเข็มขัดนิรภัยให้ “เร็วเข้า รีบเริ่มเร็ว เทพธิดาจื่อสยา* ของฉัน โอ๊ยๆๆ ฉันจะต้องได้เห็นเทพธิดาออกโรงกับตาตัวเอง!”

เทพธิดาจื่อสยาอะไร

ลู่อวี๋มุมปากกระตุก สวมหมวกกันน็อก เริ่มการไลฟ์

ในล็อบบี้เตรียมตัว เหล่าผู้ชมพบว่าข้างๆ ลู่อวี๋กับหมิงเยี่ยนมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน

ลู่อวี๋มองไปยังมุมมองหลัก เอ่ยแนะนำทุกคน “ท่านผู้นี้คือพี่ใหญ่ท็อปโดเนต ‘หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดง’ วันนี้มาให้คำชี้แนะเกี่ยวกับงานที่เฉินอวี๋เทคโนโลยี รับบทพลทหาร ก ตัวประกอบ”

คุณชายหงแต่งชุดผ้าเนื้อหยาบซอมซ่อ โบกมือให้ผู้ชมที่มองไม่เห็นอย่างดีอกดีใจ

ซับกระสุน

 

[เชี่ยเอ๊ย ไม่นึกว่าท็อปโดเนตจะได้อภิสิทธิ์แบบนี้ด้วย!]

[อ๊ากกก น้ำตาแห่งความอิจฉามันไหลออกมาจากปาก!]

[ฉันก็อยากไปเล่นบ้าง ฮือออ เสียดายที่ฉันจน พวกคนรวยน่ารังเกียจเอ๊ย!]

 

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของทุกคน เนื้อเรื่องได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ฮวาเหวินหย่วนยึดเมืองของเฮ่อต้าฉุยได้แล้ว บัดนี้กำลังเก็บกวาดสนามรบ

หมิงเยี่ยนรีบวาดชุดพลทหารให้กับพี่ใหญ่ท็อปโดเนต ให้เขาปะปนเข้าไปในกลุ่มทหารด้านหลัง

ลูกน้องของเฮ่อต้าฉุยล้วนเป็นพวกไร้กำลังความสามารถ อ่อนแอเปราะบาง คุ้มกันเมืองไม่เป็นเลยสักนิด เพียงบุกตีสองสามทีก็หนีหัวซุกหัวซุนไปคนละทิศละทาง เฮ่อต้าฉุยยอมให้จับแต่โดยดี รวมถึงค้อนดาวตกยาวสามฉื่อของเขาก็ถูกมัดลากไปที่กระโจมทหารด้วยกัน

เขาเป็นชายฉกรรจ์ที่สองแขนอัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อ แม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาหลายคนก็ล้วนเป็นช่างตีเหล็ก มีอาวุธมีพละกำลัง แต่ไม่มีสมองเท่าไหร่

ฮวาเหวินหย่วนออกคำสั่ง ประหารผู้ฆ่าฟันผู้บริสุทธิ์โดยไม่เลือกหน้า ประหารผู้ฉุดคร่าข่มขืน ประหารผู้กรรโชกทรัพย์สินชาวบ้าน ส่วนคนที่เหลือสามารถกลับบ้านตัวเองได้และจะไม่ไปไต่สวนอีก แน่นอนว่าทหารที่ปะปนมาในกลุ่มกบฏที่ไม่อยากกลับบ้านก็สามารถเข้าร่วมกองทัพ กลายเป็นทหารของฮวาเหวินหย่วนได้ ส่วนหัวหน้ากบฏทั้งหลาย ผู้ที่ยอมจำนนให้อยู่ทำงานตีเหล็ก ผู้ที่ไม่ยอมจำนนให้ประหารเสีย

เฮ่อต้าฉุยคุกเข่าอยู่กลางกระโจม มองฮวาเหวินหย่วนจัดการสั่งงาน แล้วค่อยๆ รู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง “ท่านแม่ทัพ วิถีเช่นนี้ของท่านดูไม่เหมือนวิถีของทหารทางการเลยขอรับ”

หากเป็นทหารทางการ หัวหน้ากบฏเช่นพวกเขาย่อมถูกลากไปตัดหัวเป็นแน่ แล้วยังต้องประหารทั้งตระกูลเก้าชั่วโคตร แม่ทัพของราชสำนักไหนเลยจะเก็บหัวหน้ากบฏไว้ตีเหล็กหลอมอาวุธให้ตัวเอง นี่มัน…มิใช่การรวมหัวก่อกบฏหรอกหรือ

อย่างอื่นเฮ่อต้าฉุยไม่แน่ชัด แต่ในฐานะช่างตีเหล็กที่มีชื่อในทะเบียนช่างคนหนึ่งแล้ว เขาย่อมรู้กฎเกณฑ์ในการตีเหล็กหลอมอาวุธเป็นอย่างดี

ฮวาเหวินหย่วนยิ้มพลางถามกลับอย่างแฝงนัยลึกซึ้ง “เช่นนั้นเหมือนสิ่งใดเล่า”

เฮ่อต้าฉุยไม่กล้าเอ่ยคำว่า ‘กบฏ’ ออกไป เขาอ้ำๆ อึ้งๆ เป็นครู่ค่อนใหญ่

“นี่ดูแล้ว…เป็นวิถีทางเช่นเดียวกับข้า ทว่าท่านแม่ทัพเก่งกาจกว่าข้ามากนัก” ช่างตีเหล็กที่ขึ้นมาเป็นกบฏได้ อย่างไรก็ต้องมีสมองอยู่บ้าง เขารีบเสริมอีกหนึ่งประโยค “ข้าอยู่ต่อไปไม่ไหวจริงๆ ราชสำนักต้องการกำราบพวกต๋าจื่อจึงเร่งให้พวกข้าตีเหล็กหลอมอาวุธทั้งวันทั้งคืน เจ็บไข้ได้ป่วยจนกระอักเลือดก็ไม่อนุญาตให้หยุดพัก ทุกวันล้วนมีคนตายด้วยความอ่อนแรงไปหลายคน”

ช่างตีเหล็กอีกคนด้านหลังเขาพอได้ยิน ความโศกเศร้าก็พรั่งพรูออกมาจากอก ร้องไห้ฟูมฟาย “พ่อข้า ลูกชายข้าล้วนตายตกกันหมด ฮือออ ข้ายังมีลูกชายที่ยังเล็กอีกหนึ่งคน พวกเขาก็ให้ลงทะเบียนช่าง เขาเพิ่งจะอายุได้สิบสาม ข้าจะเสียลูกชายไปอีกไม่ได้!”

พลทหาร ก ลอบใช้หัวไหล่ตัวเองปาดน้ำตาทั้งที่ยังยืนถือหอกจ่อหลังของช่างตีเหล็ก

ฮวาเหวินหย่วนตบไหล่เฮ่อต้าฉุย “เจ้ากับสหายช่างตีเหล็กของเจ้า ต่อจากนี้มาติดตามข้าเถิด ข้าจะจัดกำลังคนที่เพียงพอให้เจ้า จะมิให้พวกเจ้าเหน็ดเหนื่อยจนตายตก จากนั้นพวกเจ้าก็จะไม่ใช่ช่างในทะเบียนช่างอีก หากเจ้าทำอาวุธดีๆ ให้ข้า ข้าจะเลื่อนตำแหน่งให้พวกเจ้า”

เฮ่อต้าฉุยโขกศีรษะด้วยความฮึกเหิมทันใด “ข้าขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านแม่ทัพจนตัวตาย!”

นายอำเภอในเมืองเล็กๆ นี้ถูกเหล่ากบฏฆ่าตาย ที่ว่าการอำเภอก็ถูกคนมุทะลุกลุ่มนี้จุดไฟเผาเหี้ยน เดิมฮวาเหวินหย่วนคิดจะจัดการงานต่างๆ ในที่ว่าการอำเภอ บัดนี้เมื่อเห็นซากระเกะระกะแล้วเขาทำได้เพียงกลับไปที่กระโจม พักอาศัยอยู่ที่ค่ายใหญ่นอกเมืองเหมือนเคย

บัณฑิตที่รับสมัครมาก่อนหน้านี้จำนวนหนึ่งตามทหารไปจดบันทึกสภาพคร่าวๆ ตระกูลร่ำรวยในเมืองนี้มอบเงินและเสบียงกรังให้ช่างตีเหล็กจึงถูกฆ่าไปไม่มาก ทว่าพวกกบฏยึดเมืองไว้เกินเดือนแล้ว เหล่าเจ้าหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอล้วนถูกฆ่าหมด นอกเมืองไร้ผู้ใดดูแล ตระกูลใหญ่ในชนบทสองตระกูลก็ถูกพวกโจรปล้นหมดเกลี้ยง

โจรพวกนั้นลงมือค่อนข้างเหี้ยมโหด ปล้นเอาเงินทองเสบียงอาหารไปไม่พอ ยังสังหารคนแก่ไปยันเด็กเล็กยกบ้าน โหดร้ายจนไม่อาจทนมอง

เซี่ยฉงอวิ๋นออกปากเอ่ยอาสาไปกวาดล้างพวกโจรบนเขาบริเวณนี้ แล้วได้รับการอนุญาตจากฮวาเหวินหย่วน ในความตื่นเต้นก็เกิดความรู้สึกกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ท่านพี่ เป็นอันว่าบัดนี้พวกเราแปรเป็นกบฏแล้วถูกหรือไม่”

ฮวาเหวินหย่วนเหลือบสายตามองเขา “ถูกแล้ว เจ้ามานึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว”

“นึกเสียใจอันใดกันเล่า สิ่งนี้ล่ะงานอันใหญ่หลวงที่ข้านึกฝันถึง!” เซี่ยฉงอวิ๋นชูกำปั้นขึ้นฟ้า

ฮวาเหวินหย่วนถอนหายใจ “เจ้าตั้งนามใหม่ให้ตัวเองเถอะ อย่าให้เกี่ยวพันไปถึงตระกูล”

ยามนี้องค์ฮ่องเต้ยังทำอะไรกับสกุลฮวาไม่ได้ แต่ว่าสกุลเซี่ยนั้นล้วนเป็นบัณฑิตอ่อนแอ หากข่าวแพร่ออกไปว่าลูกหลานสกุลเซี่ยเป็นพวกกบฏก็เป็นอันตรายแล้ว

เซี่ยฉงอวิ๋นครุ่นคิด “เช่นนั้นก็เรียกข้าว่าจ้าวจื่ออวิ๋นแล้วกัน!” จ้าวอวิ๋น* ต้นแบบในดวงใจของเขา มีนามรองว่าจื่อหลง จับมารวมกันก็กลายเป็นชื่อเล่นของเขา

ฮวาเหวินหย่วนหมดคำพูดไปครู่ใหญ่ “…เอาเถอะ ตามใจเจ้า”

เซี่ยฉงอวิ๋นไปเรียกตัวทหารอย่างเริงร่า ครั้นเห็นพลทหาร ก ถือหอกผู้นั้นดูท่าทางไม่ธรรมดาก็ชี้ตัวเขา “เจ้า ตามข้ามา”

“ข้าไม่ไป” พลทหาร ก หงอู่หยางปฏิเสธเด็ดขาด

เซี่ยฉงอวิ๋นถลึงตากว้าง

ลู่อวี๋รีบเข้าไปแก้สถานการณ์ “พลทหารนายนี้เป็นทหารทำงานจิปาถะให้อาสะใภ้รองของเจ้า ข้าเพิ่งจะสั่งให้เขาไปซื้อพู่กันและหมึกในเมือง เขาไปกับเจ้าไม่ได้”

“ไม่ได้เรื่องจริงๆ” เซี่ยฉงอวิ๋นเบ้ปาก มองท่านอาสะใภ้ชายซึ่งท่าทางประดุจเซียนแวบหนึ่งแล้วพูดคำต่อว่าใดๆ ไม่ออก ทำได้เพียงจากไปด้วยความคับแค้นใจ

“สุนัขลู่ ใช้ได้เลย” พลทหาร ก ถองศอกใส่ลู่อวี๋หนึ่งที เขาจะไม่ไปจากตรงนี้เด็ดขาด เพราะฉากที่เขารอคอยกำลังจะมาถึงแล้ว

 

ที่นาของตระกูลใหญ่ที่อยู่นอกเมืองมีเยอะมาก บัดนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ไร้เจ้าของ สามารถแบ่งให้กับลูกน้องได้ ผู้รับผิดชอบงานธุรการในเมืองก็ต้องจัดการเรื่องนี้ ทว่าขุนนางในที่ว่าการอำเภอล้วนถูกสังหารหมดสิ้น บัณฑิตที่รับสมัครเข้ามาชั่วคราวก็แค่รู้หนังสืออ่านบัญชีเป็นแต่มิอาจทำหน้าที่ขุนนาง ตอนนี้จึงไม่มีใครที่ใช้งานได้เลย

ท่านอารองใจดำของเขาไม่ยอมให้อาสะใภ้รองช่วยเหลือเขาอีก

ฮวาเหวินหย่วนมองงานที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้า พลันรู้สึกปวดหัวตุบๆ

เวลานี้ทหารใต้บังคับบัญชาเข้ามารายงาน “เรียนท่านแม่ทัพ มีบัณฑิตผู้หนึ่งมาขอเข้าร่วมกับเราขอรับ”

“หืม?” ฮวาเหวินหย่วนเงยหน้าด้วยความฉงน เขายังไม่ทันประกาศก่อกบฏชัดเจนเลย เหตุใดถึงได้มีคนมาขอเข้าร่วมแล้วเล่า

พลทหาร ก ยืนข้างหลังลู่อวี๋ ดึงแขนเสื้อกว้างๆ ของหมิงเยี่ยนอย่างตื่นเต้น แต่ถูกลู่อวี๋ปัดออก จึงเปลี่ยนไปดึงแขนเสื้อลู่อวี๋แทน “มาแล้วๆ จะมาแล้ว!”

ลู่อวี๋อุดปากเขา ลากไปที่มุมหนึ่ง “เบาเสียงหน่อย”

ฮวาเหวินหย่วนเชิญบัณฑิตคนนั้นเข้ามา

ผ้าม่านของกระโจมพลันถูกเลิกขึ้น เห็นชายหนุ่มหน้าตางดงามวัยสิบหกสิบเจ็ดปี สะพายกล่องตำราทำจากไม้ไผ่ เดินเข้ามาด้วยดวงตาเปื้อนยิ้ม รอจนเขายืนนิ่งและได้มองอย่างละเอียดอีกคราถึงพบว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายไม่ได้ยิ้ม เพียงแต่มีดวงตาดอกท้อ คิ้วตาแต้มรอยยิ้มมีมาแต่กำเนิด ดูแล้วเป็นคนรู้จักเอาตัวรอด เข้ากับคนได้ทุกทาง เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มคนนั้นยกมือคารวะ เอ่ยเสียงกังวาน “ข้าน้อยเสิ่นอิง เป็นจวี่เหริน* ที่เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อสอบจ้วงหยวน”

เสิ่นอิง…

ฮวาเหวินหย่วนได้ยินนามนี้แล้วพลันผุดลุกขึ้นอย่างอดไม่ได้ ชื่อนี้เขาเคยได้ยินมาก่อน เพราะว่าจวี่เหรินน้อยแซ่เสิ่น นามอิง นามรองจื่อสยาผู้นี้จะได้เป็นจ้วงหยวนในการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิ** ของปีหน้า!

บัณฑิตจ้วงหยวนอัจฉริยะวัยสิบเจ็ดปี

ในปีที่ฮวาเหวินหย่วนตาย คนผู้นี้ก็เลื่อนขั้นกลายเป็นขุนนางใหญ่อย่างรวดเร็ว

ฮวาเหวินหย่วนย่างเท้าเข้าไปประคองบัณฑิตน้อยผู้นั้นด้วยมือเดียว “เสิ่นจวี่เหรินมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด หากมีความลำบากในการเดินทางเข้าเมืองหลวง เช่นนั้นต้องให้ผู้แซ่ฮวาส่งคนไปคุ้มกันหรือไม่”

เสิ่นอิงเงยหน้าขึ้น หยีตายิ้มมองฮวาเหวินหย่วน “ข้าน้อยยังอ่อนหัด ตั้งใจมาเข้าร่วมก่อกบฏ”

 

* เทพธิดาจื่อสยา เป็นตัวละครจากภาพยนตร์เรื่องไซอิ๋ว เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน 2 เป็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ที่ลงมาตามหารักแท้ชั่วนิรันดร์บนโลกมนุษย์

* จ้าวอวิ๋น นามรองจื่อหลง (จูล่ง) เป็นตัวละครจากวรรณกรรมจีนเรื่องสามก๊ก มีชื่อเสียงด้านความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ และภักดีต่อเล่าปี่

* จวี่เหริน เป็นคำเรียกผู้ที่ผ่านการสอบขุนนางในระดับเซียงซื่อ และมีสิทธิ์เข้าสอบในระดับฮุ่ยซื่อ

** การสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือการสอบฮุ่ยซื่อ เป็นการสอบขุนนางในระดับเมืองหลวงที่จัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยผู้ที่สามารถเข้าสอบได้คือจวี่เหรินซึ่งเป็นบัณฑิตที่สอบผ่านในระดับมณฑล

บทที่ 51

เสิ่นอิง

 

ทันทีที่เสิ่นอิงปรากฏตัว ซับกระสุนก็เริ่มร่ำไห้หน้าหลุมศพ

 

[อาอิง อาอิงของฉัน ฮืออออ…]

[ตัวละครในดวงใจที่คะนึงหาในหมวดนิยายผู้ชายของฉัน คืนอาอิงมาให้ฉันนะ!]

[จับปลาบนดินแล้ง เจ้าปลาซันมะ*** ไร้หัวใจ ไม่นึกเลยว่าจะวาดอาอิงออกมาได้งดงามขนาดนี้ นายคงอยากเห็นฉันตายจริงๆ สินะ]

[แต่ถึงอย่างนั้นคนที่วาดอาอิงออกมาให้งดงามแบบนี้คือหมิงเยี่ยนนะ]

[ประธานหมิงเป็นสุดยอดคนงาม ยอดคนงามจะทำผิดได้ยังไง ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเจ้าปลาซันมะ]

[ไม่เคยอ่านนิยายมาก่อน พวกนายร้องไห้กันทำไมอะ ตอนหลังเสิ่นอิงคนนี้จะตายเหรอ]

 

ทว่าแฟนนิยายทุกคนต่างรู้งานกันอย่างผิดปกติ ไม่มีใครสักคนที่หลุดสปอยล์ เพียงโฟกัสกับการร่ำไห้หน้าหลุมศพแล้วยังพากันส่งของขวัญไม่หยุดพลางขอให้ฝ่ายผู้จัดทำช่วยวาดเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ ให้เสิ่นอิงสวมเยอะๆ

ที่ปฏิกิริยาของทุกคนร้อนแรงขนาดนี้เพราะว่าเสิ่นอิงเป็นตัวละครสำคัญของนิยายเรื่อง ‘ทะลวงหมาป่าสวรรค์’ ความเฉลียวฉลาดอยู่บนจุดสูงสุด เป็นผู้ช่วยที่แกร่งที่สุด ทว่ากลับสิ้นใจในตอนที่ฮวาเหวินหย่วนประกาศศักดาสำเร็จ จากไปก่อนจะทันได้เห็นรุ่งอรุณ

ตัวละครเสิ่นอิงได้รับความนิยมสูงมากในตอนที่ลู่อวี๋อัพโหลดรายตอน ช่วงสุดท้ายที่เขาตายก็ยิ่งระเบิดอารมณ์ทั้งหมดของเรื่องให้ขึ้นไปถึงจุดพีค

ตอนนั้นมีการโหวตตัวละครสมทบในดวงใจที่คะนึงหา เสิ่นอิงชนะแสงจันทร์ขาว* ในใจของทุกคน คะแนนทิ้งห่างจากที่สองสิบเท่า กลายเป็นแชมป์ของปีนั้นไป

หงอู่หยาง พี่ใหญ่ท็อปโดเนตผู้นี้เมื่อได้เห็นเสิ่นอิงพูดได้ขยับได้อยู่ไม่ไกลก็ขอบตาแดงก่ำ

ฝั่งฮวาเหวินหย่วนหันมามองด้วยสายตาเฉียบคม ลู่อวี๋จึงรีบเข้าไปบังได้ทันการณ์ แล้วโบกมือบอกฮวาเหวินหย่วนว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น

ฮวาเหวินหย่วนเห็นท่านอารองกำลังทำตัวแปลกๆ ก็ชินกับพฤติกรรมของเขาแล้วไม่สนใจอีก จากนั้นสายตาก็ย้ายมาทอดมองบัณฑิตหนุ่มตรงหน้า

ครั้นเห็นฮวาเหวินหย่วนไม่เอ่ยคำใดสักที เสิ่นอิงก็ยิ้มมากเล่ห์ “ข้าพูดผิดไป มิได้มาเข้าร่วมกบฏ หากแต่ละทิ้งความมืดมิด หันหน้าเข้าสู่ทางสว่าง”

ฮวาเหวินหย่วนมุมปากกระตุก “เสิ่นจวี่เหรินมากพรสวรรค์ ควรเข้าร่วมการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ดีกว่าหรือ ไยจึงต้องร่วมการก่อกบฏด้วย” แม้ปากจะกำลังเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย แต่กลับไม่หลีกเลี่ยงคำว่า ‘ร่วมการก่อกบฏ’ ซ้ำยังยอมรับว่าตนกำลังจะกบฏจริงๆ

เสิ่นอิงส่ายหน้า วางกล่องตำราหนักอึ้งลง “สอบจ้วงหยวนได้แล้วอย่างไร ในเมื่อแผ่นดินนี้จะอยู่ไม่ถึงวันที่ข้าได้ขึ้นเป็นเสนาบดี ไยจึงต้องสิ้นเปลืองแรงด้วย”

เสียงสูดลมหายใจมากมายพลันดังลอดออกมาจากกระโจม

เหล่าทหารที่ตามฮวาเหวินหย่วนมาก่อกบฏแบบไม่รู้เรื่องอะไรนัก ไม่เคยพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมาก่อนเลยว่าเหตุใดเขาต้องทำการกบฏ เพียงแค่รู้สึกว่าเดินตามเขาย่อมมีอนาคตกว่าเดินตามฮ่องเต้ บัดนี้แม้แต่จวี่เหรินที่เมื่อก่อนพวกเขาได้แต่เงยหน้าชื่นชมยังหันมาสวามิภักดิ์ มิหนำซ้ำยังประกาศชัดว่าแผ่นดินต้าโจวจะล่มสลาย ได้ยินเช่นนี้ใครเล่าจะไม่ตกตะลึง อีกฝ่ายเป็นถึงบัณฑิต เหตุใดถึงได้มีบัณฑิตที่ใจกล้าเพียงนี้

ขณะเดียวกันคนเหล่านี้รวมทั้งเหล่าช่างตีเหล็กก็ล้วนสบายใจแล้ว เมื่อมีท่านจวี่เหริน ก็แปลว่าการเข้าร่วมก่อกบฏกับแม่ทัพฮวานั้นถูกต้อง

ฮวาเหวินหย่วนก็กำลังพิจารณาจ้วงหยวนในอนาคตท่านนี้ ปกติแล้วบัณฑิตนั้นยึดมั่นในคุณธรรมถึงที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบัณฑิตแห่งต้าโจว ในยุคที่ลัทธิหรู** รุ่งเรืองถึงที่สุด เหล่าบัณฑิตล้วนศรัทธาในคำกล่าวที่ว่า ‘อดตายเป็นเรื่องเล็ก การสูญเสียคุณธรรมนั้นเป็นเรื่องใหญ่’ ในฐานะที่เสิ่นอิงเป็นถึงยอดบัณฑิต จะบอกเข้าร่วมการก่อกบฏก็เข้าร่วมได้อย่างไร

มิหนำซ้ำไยเสิ่นอิงจึงรู้ได้ว่าเขาหันหลังให้ราชสำนักแล้ว

ครั้นมองออกถึงความแคลงใจของฮวาเหวินหย่วน เสิ่นอิงไม่ตอบหากแต่ถามกลับ “แม่ทัพฮวา เดิมทียามนี้ท่านควรจะนำทัพไปยังเมืองหานเฉิง เหตุใดจึงมารุกรานช่างตีเหล็กเพียงหยิบมือ ยึดเอาเมืองเล็กเพียงตารางชุ่น* อยู่ที่นี่กันเล่า”

ฮวาเหวินหย่วนเลิกคิ้ว สายตาคมกริบขึ้นมาทันใด

“คนชัดเจนมิกล่าววาจาอ้อมค้อม ท่านแม่ทัพ ท่านดูสิ่งนี้ก่อน นี่คือบทประพันธ์ที่ข้าน้อยเขียนระหว่างทาง” เสิ่นอิงล้วงกระดาษเซวียนจื่อ** บางๆ แผ่นหนึ่งออกมาจากกล่องตำรา บนนั้นเขียนตัวอักษรเล็กๆ อัดกันหนาแน่น “หากท่านแม่ทัพได้อ่านสิ่งนี้แล้วยังคิดว่าข้าน้อยไร้ประโยชน์ เช่นนั้นข้าน้อยก็จะออกเดินทางเพื่อไปสอบจ้วงหยวนให้ได้ก่อนจึงจะกลับมา”

ฮวาเหวินหย่วนรับกระดาษแผ่นนั้นมาไล่อ่านอย่างละเอียด รูม่านตาพลันหดเล็กทันที สิ่งที่เขียนบนกระดาษมิใช่บทประพันธ์ชั้นเลิศอะไร ทว่าเป็นบันทึกรายชื่อชุดหนึ่ง มีชื่อแซ่ ชาติกำเนิด และความสามารถของคนในแถบเจียงโจวที่สามารถใช้งานได้ บางคนเป็นมหาปราชญ์ที่ชื่อเสียงขจรกว้างไกล บางคนตอนนี้ยังดูธรรมดาไม่โดดเด่น บางคนถึงขั้นที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

ฮวาเหวินหย่วนเงยหน้ามองเสิ่นอิงอีกครั้ง อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มเป็นมิตรต่อคนและสัตว์ออกมา

ฮวาเหวินหย่วนเข้าใจแล้ว คนผู้นี้ก็เกิดใหม่!

เสิ่นอิงไม่เคยลืมสิ่งที่ผ่านตา หากเขาเกิดใหม่ ย่อมสามารถจดจำรายละเอียดทุกอย่างได้แจ่มชัด ด้วยเหตุนี้จึงมองออกถึงความผิดปกติของฮวาเหวินหย่วนจากวิถีที่เขาเคลื่อนทัพซึ่งต่างไปจากชาติก่อนอย่างสิ้นเชิง หลังคอยสังเกตอยู่ไกลๆ ก็เข้าใจว่าฮวาเหวินหย่วนเกิดใหม่และแปรพักตร์เป็นกบฏแล้ว

ฮวาเหวินหย่วนพับรายชื่อนั้นเก็บไว้ในอกอย่างถนอมและให้ความสำคัญ

มันมีประโยชน์กับเขามากเหลือเกิน! เขาที่เป็นแม่ทัพคนหนึ่งรู้สึกมืดแปดด้านกับการรับมือขุนนางฝ่ายบุ๋น ซ้ำชาติก่อนเขายังรีบไปด่านชายแดนจึงไม่รู้ข่าวคราวในราชสำนักเท่าไหร่นัก ไม่แน่ใจว่าผู้ใดดี ผู้ใดร้าย ผู้ใดมากพรสวรรค์ ผู้ใดเป็นตัวปลอมในกลุ่มคนมีความสามารถ ส่วนเสิ่นอิงผู้นี้หากเกิดใหม่จริง อีกฝ่ายได้เป็นถึงบัณฑิตจ้วงหยวนอายุน้อย เคยกราบเป็นศิษย์ของมหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เคยเป็นขุนนางใกล้ชิดโอรสสวรรค์ เคยออกตรวจราชการตามเมืองต่างๆ ไม่มีใครเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีไปกว่าเสิ่นอิงแล้ว

นี่หรือ ‘โปร’ ที่ท่านอารองกล่าวถึง

ฮวาเหวินหย่วนถอยก้าวหนึ่ง คำนับเสิ่นอิงอย่างตั้งใจหนึ่งครั้ง “คุณชายยินดีช่วยเหลือผู้แซ่ฮวา นับเป็นโชคดีของผู้แซ่ฮวาอย่างยิ่ง โปรดรับการคำนับจากเหวินหย่วนผู้นี้ด้วยเถิด”

เหล่าทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่สองฝั่งต่างงงงวย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่ทัพของตนจึงได้เปลี่ยนท่าทีรวดเร็วเช่นนี้ ซ้ำยังก้มหัวโค้งคำนับบัณฑิตน้อยผู้นี้ด้วย

เสิ่นอิงไม่หลบ รับการคำนับนี้อย่างสงบนิ่ง

ฮวาเหวินหย่วนผายมือเป็นการเชิญให้เสิ่นอิงนั่ง เรียกพลทหารเข้ามาแบกกล่องตำราที่ถูกโยนส่งๆ ลงบนพื้นไปวางไว้บนพรมหนังเสือ

เสิ่นอิงไปนั่งฝั่งซ้ายของที่นั่งประธานอย่างเป็นธรรมชาติ คว้าเอกสารราชการบนโต๊ะมาอ่าน งานธุรการซับซ้อนจับต้นชนปลายไม่ถูกเหล่านั้นถูกเสิ่นอิงจัดระเบียบเรียบเรียงภายในทีสองที ก่อนยกพู่กันตวัดเขียนด้วยความรวดเร็ว

ฮวาเหวินหย่วนถามลองเชิง “ก่อนหน้านี้คุณชายเคยทำเรื่องพวกนี้มาหรือ”

เสิ่นอิงไม่แม้แต่จะเงยหน้า จรดทิ้งอักษรเสี่ยวข่าย* ของจ้วงหยวนอันสุดแสนงดงามลงบนกระดาษ “ทำมาสิบปี ลำบากจนมิอาจพรรณนาเป็นคำพูด”

คำพูดนี้เป็นการยอมรับแล้ว

เสิ่นอิงเกิดใหม่จริงๆ ซ้ำชาติก่อนยังตายช้ากว่าฮวาเหวินหย่วน เขาได้เห็นชาติบ้านเมืองล่มจมกับสองตา ไร้กำลังพลิกฟ้าเปลี่ยนสถานการณ์ คำกล่าวที่ว่าลำบากจนมิอาจพรรณนาเป็นคำพูดก็ไม่รู้ว่าหมายถึงลำบากกับการเป็นขุนนาง หรือว่าลำบากกับการเฝ้ารักษาแผ่นดินที่ร่วงโรยเป็นแน่

ฮวาเหวินหย่วนนั่งลงข้างกายเสิ่นอิง ยิ้มขมขื่น “มิอาจพรรณนาเป็นคำพูด ฮ่าๆ เชิญท่านสั่งสอนข้าได้เลย”

พลทหาร ก หงอู่หยางย้ายกล่องตำราไม้ไผ่อย่างยินดีปรีดา วางลงเบาๆ ก่อนแอบลูบสองทีอย่างหวงแหน แล้วรินชาหนึ่งถ้วยให้เสิ่นอิงอย่างกระตือรือร้นหลังจากได้รับการอนุญาตจากลู่อวี๋ เขาได้รับเสียงเอ่ยขอบคุณแผ่วเบาจากเสิ่นอิงที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง แต่พี่ใหญ่ท่านนี้ก็ดีใจจนเนื้อเต้น หอบหายใจหนักแทบจะเป็นลมอยู่รอมร่อ

ลู่อวี๋รีบลากพี่ใหญ่ที่ดี๊ด๊าจนเกินเหตุออกจากกระโจม “อยู่มาตั้งนานเพิ่งจะรู้ว่านายเป็นแฟนคลับเสิ่นอิงนี่เอง ฉันนึกว่านายจะเป็นแฟนคลับฮวาเหวินหย่วนซะอีก”

พี่ใหญ่กล่าว “ใช่แล้ว ฉันคือแม่แท้ๆ ของตัวละครประกอบ! นี่ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับนายเลยนะ อุ๊บ…”

ลู่อวี๋อุดปากพลทหาร ก เอ่ยเตือนเสียงเบา “ห้ามสปอยล์นะเฟ้ย”

ถึงแฟนนิยายที่มาดูไลฟ์จะเยอะ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังไม่เคยอ่านฉบับนิยายมาก่อน ถ้าไม่สปอยล์คนจะได้อยากรู้แล้วไปอ่านฉบับนิยาย แล้วกดติดตามเป็นการสนับสนุนเขา เขาจะได้มีค่าต้นฉบับสูงขึ้น

ถึงยุงจะตัวเล็กแต่ก็เป็นเนื้อ!

พี่ใหญ่พยักหน้า “ได้ ลงไลฟ์แล้วค่อยว่ากัน”

จนไลฟ์จบแล้ว หงอู่หยางเดินออกมาจากแคปซูลเกมมิ่ง กระโดดโลดเต้นหนึ่งรอบฉลองที่ตัวเองได้เจอเสิ่นอิง จากนั้นก็จ้องลู่อวี๋ตาปริบๆ “รอบนี้นายช่วยไว้ชีวิตเสิ่นอิงหน่อยได้เปล่า คีย์บอร์ดนั่นของนายแก้ฉากในเนื้อเรื่องได้ไม่ใช่เหรอ”

ลู่อวี๋ทำทรงตอบแบบเท่ๆ “ไม่ได้”

“ทำไมล่ะ นายมีเงื่อนไขอะไรว่ามาเลย” หงอู่หยางยื่นต้นขาออกมาเป็นการบอกว่าพี่ชายมีเงินเยอะแยะ เชิญปอกลอกได้ตามสบาย

“เฮ้ นี่ไม่ใช่เรื่องของเงินนะ” ลู่อวี๋ส่ายหน้าถอนหายใจ หมุนตัวไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้หมิงเยี่ยน ซุกหน้ากับอีกฝ่ายแล้วแอบยิ้ม

หมิงเยี่ยนตีเขาหนึ่งที ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยโน้มน้าว “ทุกตัวละครล้วนถูกกำหนดชะตาชีวิตไว้แล้ว ถ้าเสิ่นอิงไม่ตาย คุณก็คงไม่รักเขาขนาดนั้น ไม่ถูกเหรอ”

“ไม่ใช่เลย เขาไม่ตายผมก็รักเขาน่า” หงอู่หยางกำหมัดแน่น “เขาทำเพื่อฮวาเหวินหย่วนตั้งขนาดนั้น ทำไมต้องให้เขาตายด้วย เขาควรจะได้ขึ้นเป็นอัครเสนาบดี มีอำนาจล้นฟ้าสิ!”

“ไม่ๆๆ” ลู่อวี๋เขย่านิ้ว “อู่ต้าเกอ นายไม่เข้าใจ นี่เรียกว่าศิลปะ เขาต้องตายเท่านั้น เส้นทางสู่บัลลังก์ฮ่องเต้ของฮวาเหวินหย่วนถึงจะสมบูรณ์ได้”

“อย่าเรียกฉันว่าอู่ต้าเกอนะ ฟังดูน่าเกลียดแปลกๆ ถ้าจะเรียกก็เรียกอู่เอ้อร์เกอ* เถอะ ในบ้านฉันเป็นพี่รอง” หงอู่หยางบ่นพึมพำ แต่ระบบความคิดยังคงชัดเจน “จะสมบูรณ์บ้าบออะไร เป็นฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องมีขุนนางผู้ภักดีกับแม่ทัพยอดฝีมือหรือไง”

ลู่อวี๋เงยหน้าขึ้นมองกล้องไลฟ์ที่อยู่นอกกระจกกั้น กล้องฝั่งนั้นไม่ได้ยินเสียงของฝั่งนี้ แต่สามารถมองเห็นภาพภายในห้องปฏิบัติการได้ เขาหยิบหมอนข้างฮวาเหวินหย่วนขึ้นมาอย่างครุ่นคิดใคร่ครวญ ยัดใส่มืออู่เอ้อร์เกอ เอ่ยเสียงโศกเศร้า “มีแต่ต้องทำแบบนี้ เขาถึงจะเป็นฮ่องเต้ผู้สมบูรณ์แบบ ต้องประกาศศักดาสืบทอดต่อไปพันปี แบกรับความโดดเดี่ยวหมื่นชั่วอายุคน”

หงอู่หยางกอดหมอนข้างฮวาเหวินหย่วนอึ้งๆ แล้วแววตาค่อยๆ หนักแน่นมั่นคง “พูดมาเลยเหอะ จะเอาเท่าไหร่”

 

*** ปลาซันมะ อยู่ในตระกูลปลาแม็กเคอเรล มีคำกล่าวที่ว่า ‘ปลาซันมะไม่มีวันหมดอายุ’ หมายถึงความรู้สึกรักไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรือหมดไป แต่ในที่นี้ต้องการบอกถึงความรู้สึกที่ตรงกันข้าม

* แสงจันทร์ขาว อุปมาถึงคนในดวงใจที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

** ลัทธิหรู หมายถึงลัทธิขงจื๊อ

* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบได้กับความยาวประมาณ 1 นิ้ว ระยะ 10 ชุ่นเป็น 1 ฉื่อ

** กระดาษเซวียนจื่อ คือกระดาษคุณภาพสูง เนื้อกระดาษนุ่มเหนียว ยับและขาดยาก ดูดซึมหมึกได้ดี ใช้สำหรับการเขียนตัวอักษรจีนและวาดภาพในสมัยโบราณ

* อักษรเสี่ยวข่าย หรืออักษรบรรจงเล็ก เป็นแบบอักษรจีนมาตรฐานที่ใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เริ่มพัฒนามาตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ฮั่น ลักษณะเส้นออกแบบให้สมดุลอยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยม ลายเส้นบรรจงหลุดพ้นจากอักษรภาพในยุคโบราณอย่างสมบูรณ์

* อู่เอ้อร์เกอ แปลว่าพี่รองอู่ ออกเสียงคล้ายชื่อ ‘อู่เอ้อร์หลาง’ หรืออู่ซง ฉายาอู่ซงผู้ล้มเสือ ตัวละครในวรรณกรรมจีนเรื่องซ้องกั๋ง เป็นอันดับสิบสี่ของ 108 ผู้กล้าเขาเหลียงซาน ส่วน ‘อู่ต้าเกอ’ แปลว่าพี่ใหญ่อู่ ออกเสียงคล้ายกับชื่อ ‘อู่ต้าหลาง’ พี่ชายของอู่เอ้อร์หลาง มีรูปลักษณ์น่าเกลียด ตัวแคระแกร็น ในตอนท้ายถูกภรรยาและชู้รวมหัวกันสังหาร

บทที่ 52

ตัวประกอบ

 

“ไม่ใช่เรื่องเงินจริงๆ” ลู่อวี๋ขมวดคิ้วส่ายหน้า

“ฉันให้นายสิบล้าน นายเขียนให้เขาอยู่รอด แล้วก็ทำกู๊ดส์ออกมาด้วย” อู่เอ้อร์เกอกัดฟัน โบกมืออย่างผึ่งผาย นาทีนี้เขาราวกับกลายร่างเป็นวีรบุรุษผู้ล้มเสือที่ตะโกนบอกเถ้าแก่เนี้ยว่า ‘เอามาอีกสามจอก’ อย่างไม่เชื่อคำที่ว่าดื่มสามจอกมิอาจข้ามเนินเขา** อะไรนั่น จะต้องใช้เงินทุบหัวเสือใหญ่ที่มาขวางเส้นทางชีวิตของเสิ่นอิงอย่างเจ้าปลาลู่อวี๋ให้ตายให้ได้

ลู่อวี๋ทำหน้าเบื่อหน่ายครู่หนึ่ง ไอแห้งหนึ่งที โอบไหล่พี่ใหญ่เดินออกไปนอกห้องปฏิบัติการ อธิบายด้วยความอดทน “ฟังที่ฉันจะพูดให้จบก่อน ฮวาเหวินหย่วนนี่ฉันเลี้ยงดูเขาเพื่อให้มาเป็นผู้ช่วยสมองอัจฉริยะ การตายของเสิ่นอิงเป็นกุญแจสำคัญที่จะหล่อหลอมเป็นบุคลิกของเขาในตอนสุดท้าย สิ่งที่ฉันขายคือฮ่องเต้ไร้หัวใจ ไม่ใช่แม่ทัพทะเล้นๆ ถ้าเกิดว่าฮวาเหวินหย่วนขายไม่ดีขึ้นมา ปัญหาจะไม่ได้อยู่แค่สิบยี่สิบล้าน แต่เป็นปัญหาใหญ่ระดับที่ว่าฉันไม่สามารถชำระหนี้บริษัทเกินกว่าพันล้านที่จะตามมาต่อจากนี้ได้เลย”

หงอู่หยางฟังจบก็ค่อยๆ ยู่หน้าจนยับเป็นซาลาเปา “เจ้าดินแล้ง ทำไมนายถึงตกอับได้ขนาดนี้”

ลู่อวี๋สะอึกหนึ่งทีก่อนกล่าว “นั่นสิ ถ้าไม่มีพี่ใหญ่ส่งของขวัญให้ฉัน ฉันคงไม่มีข้าวจะกินแล้ว เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวฉันกลับไปเขียนตอนพิเศษให้นาย เป็นเวอร์ชั่นพิเศษเขียนขึ้นมาเพื่อนายคนเดียวเลย ถ้านายชอบเดี๋ยวจะติดตั้งในเครื่องจำลองให้เล่นในนั้นรอบนึงก็ได้ ออกกู๊ดส์ก็ได้เหมือนกัน นายอยากได้กู๊ดส์อะไรก็บอกให้เสี่ยวเจียงจดไว้”

พี่ใหญ่ท็อปโดเนตอันดับหนึ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ไม่ได้ตอบตกลงในทันที “ขอคิดดูก่อน”

เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ยอมละทิ้งความมุ่งมั่นในการทำให้เสิ่นอิงรอดชีวิต

เสี่ยวเจียงเดินเข้ามาเชิญให้หงอู่หยางไปเยี่ยมชมห้องจัดแสดงสินค้าเพื่อเลือกรูปแบบกู๊ดส์ที่อยากมี

ลู่อวี๋มองแผ่นหลังผึ่งผายของพี่ใหญ่ พูดกับหมิงเยี่ยน “เมื่อกี้ผมเกือบจะตอบตกลงอยู่แล้วเชียว ดีนะที่เป็นช่วงสำคัญของเรื่องพอดี เลยยังรักษาความยึดมั่นในคุณธรรมของบัณฑิตไว้ได้”

หมิงเยี่ยนมองเจ้าคนที่เข้ามาถูไถตนเอง เลิกคิ้วน้อยๆ “ความยึดมั่นในคุณธรรมของบัณฑิตที่จะเขียนตอนพิเศษให้พี่ใหญ่ แถมยังจะเล่นละครเป็นเพื่อนเขาด้วยน่ะเหรอ”

ลู่อวี๋ซุกหน้ากับซอกคอหมิงเยี่ยนแล้วคลอเคลีย “ความยึดมั่นในคุณธรรมที่ไม่ยอมแก้เนื้อเรื่องหลักโดยเด็ดขาด ส่วนตอนพิเศษไม่อยู่ในขอบเขตของคุณธรรมนี้”

หมิงเยี่ยนถูกเขาคลอเคลียจนรู้สึกจั๊กจี้ หัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ “ฮ่าๆ พอได้แล้ว ไม่เล่นแล้ว เดี๋ยวพนักงานมาเห็น”

“เห็นก็เห็นไปสิ เถ้าแก่กับเถ้าแก่จู๋จี๋กันมีอะไรให้น่าแปลกใจ” ลู่อวี๋พูดอย่างตรงไปตรงมา

เหล่าหยางที่เดินออกมาเพื่อตรวจสอบข้อมูลกับพวกเขาสองคนได้ยินเข้าก็โวยวาย “…พูดให้มันชัดเจนด้วยนะเฟ้ย”

ทุกคนต่างรู้กันว่าบริษัทนี้มีเถ้าแก่สามคน

 

ตอนเที่ยงเสี่ยวเจียงสั่งอาหารจากภัตตาคารใกล้ๆ บริษัท เชิญพี่ใหญ่ท็อปโดเนตมากินข้าวด้วยกันหนึ่งมื้อ จะรับแขกก็ต้องรับรองให้ครบถ้วนเต็มรูปแบบ ให้แขกรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน

บนโต๊ะอาหาร หงอู่หยางพูดเรื่องที่ได้เจอเสิ่นอิงเมื่อครู่เป็นต่อยหอย ราวกับชายหนุ่มที่ตกอยู่ในห้วงความรักร้อนแรง จดจำรายละเอียดได้ทุกเม็ดทุกหน่วย

“เขาน่ารักจริงๆ ตอนอายุสิบหกตัวแค่นี้เอง โอ๊ย ประธานหมิงวาดออกมาได้เหมือนภาพในหัวฉันเป๊ะๆ เลย ดีงามเหลือเกิน”

หมิงเยี่ยนยิ้ม “คุณชอบก็ดีแล้วครับ ช่วงหลังเสิ่นอิงยังมีคอสตูมอีกหลายแบบเลย วันนี้ผู้ชมส่งของขวัญให้เยอะมากเพื่อขอให้เพิ่มเสื้อผ้าให้เขา เดี๋ยวผมจะกลับไปเร่งฝ่ายอาร์ตให้รีบวาดออกมาครับ”

หงอู่หยางมีความสุขอย่างที่สุด เขาชนแก้วกับหมิงเยี่ยน

ในงานสังคม หมิงเยี่ยนยังคงรับมือได้อย่างคล่องแคล่วมีประสิทธิภาพ คุยแค่ครู่เดียวก็ล้วงข้อมูลมาได้ไม่น้อย คุณชายหงเป็นเศรษฐีรุ่นสองจริงๆ บ้านเขารวยมาก เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหลายๆ อย่างซับซ้อน ฟังดูแล้วเหมือนจะทำเกี่ยวกับธุรกิจเงินร่วมลงทุนโดยเฉพาะ

หลังจากหมิงเยี่ยนพอรู้คร่าวๆ แล้วก็รับแผ่นชิกิชิ* มาจากเสี่ยวเจียง ก่อนวาดเสิ่นอิงเวอร์ชั่นจิบิลงบนนั้นให้หงอู่หยาง

หลังมื้ออาหารจบลงอย่างอิ่มหมีพีมัน พี่ใหญ่ก็ประคองรูปจิบิที่หมิงเยี่ยนวาดให้พลางทอดถอนใจ “อาอิง อาอิงของฉัน”

หมิงเยี่ยนมองคุณชายหงที่เมื่อกี้ยังดีอกดีใจ แต่วินาทีถัดมากลับจมสู่ความทุกข์ตรม จึงหันไปกระซิบถามลู่อวี๋ “เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ไม่เป็นไร อันนี้เป็นอาการหลังได้เจอไอดอลตัวเอง เหมือนหลังดูคอนเสิร์ตแล้วกลับไปดื่มจนเมาที่บ้านคนเดียวอะไรทำนองนั้น มันเป็นผลมาจากการหลั่งโดพามีนอย่างพลุ่งพล่านจนร่างกายเหนื่อยล้า แล้วก็มารู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว” ลู่อวี๋จุปาก แล้วงับหูหมิงเยี่ยน “หลังจากผมแอบมองพี่ที่มหา’ลัยก็เป็นงี้เหมือนกัน”

หมิงเยี่ยนถองศอกใส่เขา เตือนว่าแขกยังอยู่ ให้ทำตัวดีๆ หน่อย

ลู่อวี๋มองกกหูขึ้นสีแดงจัดของหมิงเยี่ยนแล้วนั่งกลับไปที่เดิมอย่างอิ่มเอมใจ

ตอนนั้นเองแจ้งเตือนแอพพลิเคชั่นแชตบนสมองอัจฉริยะก็เด้งข้อความขึ้นมา เขาเหลือบมอง เป็นเพื่อนเกย์ที่แต่งนิยายของเขานี่เอง

 

[กระเทียมเยอะแยะ : เจ้าดินแล้ง นายโอเคปะ]

 

ลู่อวี๋งุนงง ตอบกลับไปหนึ่งข้อความ

 

[จับปลาบนดินแล้ง V : พ่อยังอยู่ดี ทักหาทำไม]

 

เขารู้จักกับเพื่อนเกย์คนนี้ตั้งแต่เพิ่งเริ่มเขียนนิยาย สำหรับเขาแล้วสนิทกันไม่ต่างจากเหล่าหยาง เป็นพี่น้องที่สามารถเรียกกันเองว่าพ่อได้

 

[กระเทียมเยอะแยะ : ปัดโธ่ ฉันอยากใส่ใจนายหน่อยไง จะว่าไปนายทำไลฟ์ออกมาโคตรดีเลย เอาลูกชายฉันไปทำเป็นผู้ช่วยสมองอัจฉริยะด้วยได้เปล่า ฉันขายถูกมากนะ ขอแค่แบ่งกำไรหลังขายผู้ช่วยมาให้ฉันนิดหน่อยก็พอ ฉันแค่อยากเห็นลูกๆ ไล่ล่าฆ่าฟันในเครื่องจำลองบ้าง]

[จับปลาบนดินแล้ง V : ผู้ชายพันธุ์ม้า** อย่างลูกชายนายปรับเป็นผู้ช่วยสมองอัจฉริยะไม่ไหวหรอก]

 

ลู่อวี๋เผยสีหน้าเจ็บปวดใจ ใครจะอยากเอาพวกพันธุ์ม้ามาติดตั้งในสมองอัจฉริยะของตัวเองกัน เห็นใครก็ตกหลุมรักคนนั้น อ้าปากก็พ่นคำหวานเลี่ยน ไม่แน่ว่าอาจจะอยากอ่อยแม้กระทั่งแม่ของเจ้าของตัวเองด้วยซ้ำ

 

[กระเทียมเยอะแยะ : ใครบอก ช่วงนี้ฉันเขียนแบบไม่มีคู่ต่างหาก แค่ยังเขียนไม่จบเฉยๆ หรอกน่า…]

 

คำพูดข้างหลังดูไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่นัก

ลู่อวี๋เกาหัว ถึงเขาไม่ถือสาที่จะช่วยเหลือเพื่อนพ้อง แต่การซื้อลิขสิทธิ์เพื่อทำผู้ช่วยสมองอัจฉริยะตัวใหม่นั้นเป็นการกระทำของบริษัท แถมยังไม่อาจยืนยันได้ว่าเรื่องที่เพื่อนเกย์เขียนจะดังหรือเปล่า ลู่เสี่ยวอวี๋ผู้อายุน้อยรู้ว่าจะพูดอะไรก็ต้องเผื่อทางให้ถอยไว้บ้าง แต่คำพูดพวกนี้เขาพูดได้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เลยยื่นสมองอัจฉริยะไปให้หมิงเยี่ยนอย่างขอความช่วยเหลือ

หมิงเยี่ยนเหลือบมอง ยกมือช่วยเขาพิมพ์ตอบ

 

[จับปลาบนดินแล้ง V : งั้นก็รีบเขียนให้เสร็จแล้วดูกระแส ถ้าดังขึ้นมาแล้วคาดว่าจะคืนทุนได้ ฉันจะไปขอซื้อลิขสิทธิ์กับเว็บ]

 

เพื่อนเกย์คนนั้นดีอกดีใจ ส่งสติกเกอร์แมวน้ำตาไหลตัวหนึ่งมา

 

[กระเทียมเยอะแยะ : เจ้าดินแล้ง นายเป็นคนดีจริงๆ รักนะ]

 

ลู่อวี๋เห็นข้อความตอบกลับที่เพื่อนเกย์ส่งให้หมิงเยี่ยนก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟทันที คว้าคีย์บอร์ดเสมือนจริงมารัวพิมพ์อย่างรวดเร็ว

 

[จับปลาบนดินแล้ง V : ชิ่วๆๆ! อย่ามายุ่งนะพวกชายแท้ จริงสิ ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ท็อปโดเนตที่หลอกนายไปเจอตัว-ตัวแล้วบังคับให้นายเขียนตอนพิเศษให้เขาชื่อว่าอะไรนะ]

 

เขาพิมพ์สมองอัจฉริยะต่อหน้าแขกอยู่นาน พฤติกรรมนี้ไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ ลู่อวี๋อยากเล่าเรื่องตลกให้พี่ใหญ่ฟังจะได้เปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อย มุกคลาสสิกอย่าง ‘พี่ใหญ่ท็อปโดเนตลวงนักเขียนไปต่อยกันตัว-ตัว’ นี่เขาจะต้องจำชื่อเสียงเรียงนามตัวต้นเหตุไว้ให้ดี หลังจากนี้จะได้เอาไว้คุยในงานสังคมเป็นหัวข้อประจำวงสนทนาสักหน่อย

 

[กระเทียมเยอะแยะ : หนึ่งบทเพลงมิรู้กี่แพรแดงไง]

 

ลู่อวี๋ “…”

 

[กระเทียมเยอะแยะ : ฉันนึกว่านายรู้อยู่แล้วซะอีก วันนี้นายยังขึ้นไลฟ์ด้วยกันกับเขานี่? ฉันเป็นห่วงความปลอดภัยนายเลยทักมาถามนี่ไง พี่ใหญ่คนนี้น่ะ ฉันจะบอกให้ เขาโคตรรวยเลย แต่ก็นั่นแหละ โคตรจะหัวแข็งเลยเหมือนกัน แม่งเอ๊ย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาให้ฉันมาเยอะ พี่ชายไม่มีทางยอมให้เจ้าหมอนี่หรอก นายต้องแข็งใจเข้าไว้นะ! ตบบ่า!]

 

ลู่อวี๋มุมปากกระตุกกึกๆ หันไปถามพี่ใหญ่ท็อปโดเนตที่มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เมื่อก่อนนายไปเจอกระเทียมเยอะแยะมาด้วย?”

หงอู่หยางพยักหน้า “ใช่แล้ว เขาเขียนให้ปีศาจสาวในดวงใจของฉันตาย แถมยังยืนกรานจะไม่แก้บท ฉันเลยได้แต่นัดเขาออกมาคุยกันหน่อย”

หมิงเยี่ยนฟังแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากล หันไปสบตากับลู่อวี๋ “เขาคือ…”

ลู่อวี๋พยักหน้าอย่างเจ็บปวด ลูบหน้าหนึ่งที “แล้วทำไมนายจะต้องชอบตัวละครประกอบตลอดเลยเล่า ตัวละครประกอบมีอัตราการตายเร็วสูงมากนะ”

คุณชายหงลูบเสิ่นอิงน้อยที่ยิ้มหยีตาอยู่บนแผ่นชิกิชิเบาๆ ก่อนถอนหายใจ “เพราะฉันก็เป็นแค่ตัวประกอบเหมือนกัน ฉันเป็นสิ่งที่ขับให้พี่ชายโดดเด่น เขาสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ด ฉันสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปด เขาติดสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ฉันติดสถาบันเทคโนโลยีประจำมณฑล เขาเป็นประธานของกรุ๊ป ฉันเป็นประลัยของตระกูล”

ลู่อวี๋ดีดนิ้วด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความเห็นใจ “คล้องจอง!”

 

 

** ดื่มสามจอกมิอาจข้ามเนินเขา เป็นคำที่ใช้เรียกสุราดีกรีสูง เมื่อดื่มสุราชนิดนี้แล้วจะไม่สามารถเดินทางบนภูเขาที่เดิมทีเดินยากอยู่แล้วได้ ซึ่งประโยคนี้ปรากฏในเรื่องราวของอู่เอ้อร์หลางที่หลังจากดื่มสุราสามจอกมิอาจข้ามเนินเขานี้แล้วยังสามารถฆ่าเสือได้ด้วยมือเปล่า

* แผ่นชิกิชิ เป็นกระดาษแข็งรูปสี่เหลี่ยมขลิบขอบ โดยทั่วไปแล้วมีขนาด 24×27 เซนติเมตร ใช้ในการขอลายเซ็นหรือรูปวาดของนักวาด

** ผู้ชายพันธุ์ม้า หมายถึงตัวละครชายในนิยายที่มีความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงกับผู้หญิงมากมาย

บทที่ 53

การจากไปก่อนวัยอันควร

 

“…” หมิงเยี่ยนถลึงตาใส่ลู่อวี๋หนึ่งที สั่งให้เขาเลิกเล่นมุกคำคล้องจองในเวลาแบบนี้ แล้วเอ่ยปลอบคุณชายรองหง “แค่เก่งกันคนละด้านเท่านั้นเองครับ”

พอถูกพี่เยี่ยนถลึงตาใส่ แถมพี่ใหญ่ท็อปโดเนตก็ไม่รับมุกเขา ลู่อวี๋เลยดึงมือกลับด้วยความขายหน้า “จริงสิ นายเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการเว็บไซต์นิยายออนไลน์เลยนะ เป็นพี่ใหญ่ในหมู่พี่ใหญ่ พี่ชายนายไม่มีทางเข้าใจเรื่องนี้หรอก ตัวละครบางตัวเหมือนจะเป็นตัวประกอบ แต่ไม่แน่เรื่องถัดไปเขาอาจจะเป็นตัวเอกก็ได้ นายชอบเสิ่นอิง งั้นเดี๋ยวฉันกลับไปเขียนเรื่องแยกให้เขาแล้วกัน”

ขอแค่พี่ใหญ่ให้ค่าต้นฉบับเขามากพอ เขาก็ไม่ถือสาหากต้องเขียนเรื่องสั้นของเสิ่นอิงสักสองแสนตัวอักษร คิดซะว่าเป็นตอนพิเศษแบบจัดเต็มแล้วกัน

หงอู่หยางที่อารมณ์ห่อเหี่ยวได้ยินเขาพูดขึ้นมาแล้วเกิดปิ๊งไอเดีย “จริงสิ นายก็เอาอาอิงของพวกเรามาทำเป็นผู้ช่วยสมองอัจฉริยะ แค่นี้เขาก็ได้เป็นตัวเอกแล้วนี่!”

ลู่อวี๋ “…” ทำไมถึงเอาใจยากขนาดนี้นะ

ลู่อวี๋เอาเทคนิคการพูดที่เพิ่งเรียนรู้จากพี่เยี่ยนหมาดๆ มาใช้ “ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แค่ต้องศึกษาวิจัยนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าจะเอามาใส่แม่แบบแล้ววางขายได้เลยเหมือนเจ้าอื่น กว่าเราจะผลิตรุ่นหนึ่งออกมาได้ต้องใช้ทุนสูงมาก ต้องมั่นใจก่อนว่ากระแสของเสิ่นอิงมากพอจะคืนทุนค่าสร้างผู้ช่วยสมองอัจฉริยะได้ ถึงจะ…”

“คืนทุนอะไร” พี่ใหญ่โบกมือปัดอย่างความอดทนต่ำ “ฉันให้เงินลงทุนนาย ฉันเป็นคนออกเงินเอง”

ลู่อวี๋กัดฟัน “ไอ้เวร นายคิดว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ได้งั้นเหรอ”

พี่ใหญ่รับมุกนี้อย่างราบรื่น “ขอโทษที มีเงินแล้วจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ได้จริงๆ”

พี่ใหญ่เมื่อมีความหวังใหม่แล้ว ความห่อเหี่ยวก็ถูกชะล้างไปหมด ตัดสินใจแล้วว่าเดือนนี้จะเริ่มทำงานที่เฉินอวี๋เทคโนโลยี เนื้อหางานคือตรวจสอบความเป็นไปได้ในการลงทุนโปรเจ็กต์ ภาษาชาวบ้านคือว่างงานไม่มีอะไรทำเลยมานั่งดูชาวบ้านทำงาน

ลู่อวี๋พยายามปฏิเสธ บอกว่าบริษัทของเรางานยุ่งมาก

พี่ใหญ่โบกมือปัด บอกว่าตัวเองจะจ่ายค่าเข้าทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วง

ลู่อวี๋ซุกหน้ากับแผ่นหลังหมิงเยี่ยนอย่างรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “ผมเกลียดพวกคนรวย”

เหล่าหยางที่เดินผ่านมากลับมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “คนเขาเป็นฝ่ายให้เงินนายนะ มีอะไรที่นายต้องไม่พอใจ”

 

ไลฟ์รอบบ่าย เหล่าหยางนั่งดูไลฟ์อยู่ตรงหน้าจอขนาดยักษ์ ยังมีคุณชายหงที่กดส่งของขวัญให้ลู่อวี๋อยู่เนืองๆ เหล่าหยางลูบหัวล้านเลี่ยนของตัวเอง “…ฉันเกลียดพวกคนรวย”

ถึงพี่ใหญ่จะทำตามใจตัวเองแต่ก็รักษาคำพูด บอกว่าเงินหนึ่งล้านค่าส่งของขวัญนั้นให้เขาเล่นได้หนึ่งรอบ พอตกบ่ายเขาก็ไม่ได้ตามลู่อวี๋เข้าเครื่องจำลองจริงๆ เพียงแค่นั่งเล่นกับเหล่าหยางอยู่ในห้องสังเกตการณ์

ด้านลู่อวี๋กับหมิงเยี่ยนนั้นก็ทำงานของตัวเองต่อ

 

เสิ่นอิงพาฮวาเหวินหย่วนไปรับสมัครซิ่วไฉ* จำนวนหนึ่ง ฝึกให้พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่พื้นฐานไว้ดูแลพื้นที่ใหม่ที่ยึดมา ในหมู่ซิ่วไฉมีคนผู้หนึ่งนามโจวเฉิงอวี้ที่จะถูกเสิ่นอิงเรียกตัวฝากฝังให้ทำงานสำคัญเป็นพิเศษ

“วันหน้าเขาจะเป็นบัณฑิตผู้ลือนาม หลังจากราชสำนักล่มสลาย เขาจัดตั้งกองกำลังชาวบ้านขึ้นต่อต้านพวกต๋าจื่อ ป้องกันอำเภอเฟิงเซี่ยนเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าอย่างกล้าหาญ จนสุดท้ายเมื่อเจียงโจวแตก โจวเฉิงอวี้จึงสู้รบกับพวกต๋าจื่อจนตัวตาย” เสิ่นอิงชี้แจงสาเหตุที่ตนวางแผนเช่นนี้กับฮวาเหวินหย่วน

ฮวาเหวินหย่วนพยักหน้า “เป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง”

วิธีการป้องกันเมืองของคนผู้นี้ก็น่าสนใจ อาศัยข้อได้เปรียบทางชัยภูมิของอำเภอเฟิงเซี่ยน เมื่อพวกต๋าจื่อมาถึงก็รีบเก็บเสบียงอาหารหนี แม้แต่ข้าวเม็ดเดียวก็ไม่เหลือ รอจนพวกนั้นไปแล้วจึงค่อยกลับมาทำนาต่อ

“แล้วชาติที่แล้วคุณชายตายอย่างไรหรือ” ฮวาเหวินหย่วนอยากจะแสดงความเคารพต่อจ้วงหยวนเสิ่น แต่สะกดความใคร่รู้ไว้ไม่อยู่

เสิ่นอิงยืนมือไพล่หลังอยู่บนเนินดิน มองที่นาดีเขียวชอุ่มผืนใหญ่ ดวงตาพลันเป็นประกาย ชี้ไปยังที่หนึ่ง “ท่านแม่ทัพ กระต่าย!”

ฮวาเหวินหย่วนง้างธนูโดยไม่แม้แต่จะคิด หนึ่งลูกศรพุ่งปักกระต่ายสีเทาที่ซุกซ่อนอยู่ในพงหญ้าคาพื้น

พลทหารผู้ติดตามรีบวิ่งเข้าไป พร้อมกับเก็บลูกธนูกลับมา

ฮวาเหวินหย่วนเช็ดหัวลูกธนูแล้วโยนกลับเข้าไปในกระบอกลูกธนู ยื่นกระต่ายที่ยังดิ้นพราดตัวนั้นให้กับคุณชายเสิ่น

“วันนี้มีเนื้อกินแล้ว” เสิ่นอิงหิ้วหูกระต่าย ยิ้มตาหยี ตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะเริ่มปูทางเสริมสร้างบารมี ขาดทั้งเงินทองและเสบียงอาหาร เหล่ากุนซือคนใหญ่คนโตในกองทัพใช่ว่าจะได้กินเนื้อทุกวัน

ในตอนที่ฮวาเหวินหย่วนนึกว่าเสิ่นอิงจะไม่ตอบคำถามแล้ว เสิ่นจื่อสยาที่ได้กระต่ายก็เอ่ยปากพูดเสียงเนิบช้า “ยามนั้นข้าได้รับมอบหมายในช่วงเวลาคับขัน ได้เป็นผู้ตรวจการเซียงหนาน มหาราชครูพาองค์ชายน้อยพระองค์หนึ่งหลบหนี ข้าคอยสกัดกั้นอยู่ด้านหลัง”

เขาป้องกันเมืองนั้นได้เจ็ดสิบสองวัน เมื่อป้องกันต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาก็ชักกระบี่เชือดคอตนเอง

“ยามนั้นขุนนางบุ๋นหลายคนล้วนตายเช่นนี้ มิใช่เรื่องแปลกอันใดเลย” เสิ่นอิงเอ่ยเย้ยหยัน “เทียบกับท่านแม่ทัพมิได้ หนึ่งคนหนึ่งม้าเปิดประตูเมืองฆ่าฟันศัตรู”

ฮวาเหวินหย่วนได้ฟังแล้วกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขากระแอมเบาๆ “เช่นนั้นองค์ชายน้อยเล่า”

เสิ่นอิงส่ายหน้าเงียบๆ

ตอนนั้นเขาเฝ้าปกป้องเซียงหนานอยู่ที่แนวหน้าตลอด มหาราชครูย่อมส่งข่าวคราวให้เขาไม่ได้ ได้ยินว่าองค์ชายน้อยสิ้นชีพไประหว่างทาง จากนั้นมีการตั้งราชสำนักเล็กๆ ทางฝั่งใต้สุด ไม่รู้ว่าเป็นองค์ชายพระองค์ใด แต่คงยื้ออยู่ได้แค่ไม่กี่วัน

ราชวงศ์โจวหมดสิ้นบุญวาสนา ใครก็ช่วยไม่ได้แล้ว

“พวกต๋าจื่ออ้างว่าเลื่อมใสในตัวข้า ตราบใดที่ข้ายอมแพ้ก็จะมิเข่นฆ่าชาวบ้าน ด้วยเหตุนั้นข้าจึงยอมแพ้” เสิ่นอิงหัวเราะเยาะหยันตัวเอง “แต่ข้าก็ตาย ไม่มีใครรู้ได้ว่าคนป่าเถื่อนกลุ่มนั้นจะรักษาคำพูดหรือไม่ แต่ไรมาอัจฉริยะมักจากไปก่อนวัยอันควร ข้ายังไม่ทันสามสิบก็ตายตกไป นับว่าตรงกับกฎสวรรค์แล้ว”

หากคนอื่นพูดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะคงน่าขันเล็กน้อย แต่เมื่อเสิ่นจื่อสยาพูดกลับทำให้ฮวาเหวินหย่วนรู้สึกเศร้าสลด

ฮวาเหวินหย่วนถอนหายใจ ชี้ไปยังทหารกับแม่ทัพที่เขาฝึกฝนซึ่งอยู่ไกลๆ “จากนี้พวกเราจะมีกองทัพที่แข็งแกร่ง และจะไม่ตกต่ำไปสู่จุดนั้นอีก ช้าเร็วอย่างไรพวกต๋าจื่อก็จะต้องถูกขับออกไป คุณชายสามารถมีชีวิตยืนยาวได้เป็นแน่”

เสิ่นอิงยิ้มพลางมองเขา “ความจริงแล้วข้าสามารถปกป้องเมืองได้เพียงเจ็ดสิบเอ็ดวันเท่านั้น แค่อยากให้เลขอยู่ในฤกษ์ดี จึงอดทนจนถึงยามจื่อ* ของวันที่เจ็ดสิบสองจึงค่อยเชือดคอตัวเอง หากวันหน้าข้าทำสิ่งผิดพลาดใหญ่หลวง ท่านแม่ทัพต้องการประหารข้า ก็อย่าลืมเลือกฤกษ์ดีๆ ให้ข้าด้วยล่ะ มิเช่นนั้นข้าจะกลายเป็นผีร้ายกลับมานั่งนับเลขข้างหูท่าน”

กระต่ายสีเทาในมือถีบขาสองทีแล้วขาดใจตายในที่สุด

ฮวาเหวินหย่วนเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนปิดฝากระบอกลูกธนู “คุณชายจะต้องมีชีวิตยืนยาวเป็นแน่ หนึ่งศตวรรษข้างหน้าจะจัดงานศพใหญ่โตเก้าวันเก้าคืนให้สมเกียรติของท่าน”

เสิ่นอิงหัวเราะเบาๆ หิ้วกระต่ายตัวนั้นไปหาพ่อครัว

“ฮืออออ อาอิง หม่าม้าจะไม่ปล่อยให้หนูตาย” หงอู่หยางนั่งอยู่หน้าหน้าจอยักษ์ กินหมาล่าหัวกระต่ายพลางเช็ดน้ำตา

 

ไลฟ์จบลง พี่ใหญ่ท็อปโดเนตตอกบัตรเลิกงานอย่างอิ่มเอมใจ ก่อนบอกว่าพรุ่งนี้ตนจะมาอีก

ลู่อวี๋รีบเข้าไปบอก “พรุ่งนี้มะรืนนี้หยุดพักผ่อน วันจันทร์ค่อยมาเถอะ”

พี่ใหญ่เบิกตากว้างอย่างตะลึงงัน “หยุดพักผ่อน? สตรีมกำลังมีกระแสเลยนะ นายจะพักผ่อนได้ยังไง”

ตามกฎเกณฑ์การไลฟ์สตรีมรายการวาไรตี้แล้วต้องไลฟ์ต่อเนื่องไม่หยุดถึงจะสามารถตรึงผู้ชมไว้ได้ แถมช่วงวันเสาร์อาทิตย์จะมีเอ็นเกจเมนต์เยอะที่สุด แต่หมอนี่กลับจะหยุดไลฟ์เนี่ยนะ

ลู่อวี๋แบมือ “พวกเราเป็นบริษัทเทคโนโลยี ไม่ใช่บริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์ พนักงานก็ต้องใช้วันหยุดสุดสัปดาห์เหมือนกัน”

ถึงการยอมปล่อยเอ็นเกจเมนต์ตรงนั้นไปจะน่าเสียดาย แต่เรื่องแบบนี้จะเริ่มเกิดขึ้นในบริษัทเขาไม่ได้ ถ้าหากเริ่มระบบการทำงานแบบต่อเนื่องไม่รู้จบขึ้นมา อนาคตข้างหน้าการพัฒนาสินค้าใหม่ทุกชิ้นก็จะต้องทำงานด้วยระบบนี้ แบบนั้นจะต่างอะไรกับบริษัทใหญ่ๆ ที่เอารัดเอาเปรียบเหล่าหยางล่ะ

อีกอย่างนั่นไม่ถึงกับเป็นการยอมปล่อยเอ็นเกจเมนต์ไปเสียทั้งหมด ถ้าดูติดต่อกันเยอะเกินไปผู้ชมจะรู้สึกล้า วันเสาร์อาทิตย์ปาเจียววิดีโอจะปล่อยคลิปวิดีโอรายการวาไรตี้เวอร์ชั่นตัดต่อแล้วออกมา ถือว่าได้ชดเชยให้คนที่ไม่มีเวลาดูไลฟ์ในสัปดาห์นี้ได้ดูพอดี

คุณชายหงพยักหน้าอย่างไม่เห็นด้วยนัก

“อีกอย่าง” ลู่อวี๋เปลี่ยนหัวข้อฉับพลัน “ฉันยังต้องไปเดตกับพี่เยี่ยนอีก”

คุณชายหงมองเขาอย่างเหลือเชื่อ เหล่าหยางเดินเข้ามาตบไหล่พี่ใหญ่ปุๆ “เขาก็เป็นงี้แหละ เดี๋ยวก็ชิน”

พี่ใหญ่ฮึดฮัดให้กับความไม่ยุติธรรม กอดอกไม่ยอมแพ้ “น่ารังเกียจ มีเมียแล้วยิ่งใหญ่นักหรือไง”

หยางเฉินคล้อยตาม วางแขนข้างหนึ่งไว้บนไหล่พี่ใหญ่ “นั่นสิ มีเมียแล้วยิ่งใหญ่นักเหรอ”

ตอนนั้นเองหมิงเยี่ยนก็ขับรถมาจอดหน้าประตูบริษัท “ขึ้นรถ กลับบ้าน”

“มาแล้ว!” ลู่อวี๋วิ่งดุกดิกไปทางนั้น แล้วไม่ลืมหันกลับไปกล่าว “โทษทีนะ มีเมียนี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุด!”

 

 

* ซิ่วไฉ เป็นคำเรียกผู้ที่ผ่านการสอบขุนนางในระดับย่วนซื่อ

* ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: