X
    Categories: everYตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามีทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2 บทที่ 54-57 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

ทดลองอ่านเรื่อง  ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2

ผู้เขียน :  ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)

แปลโดย :  qMondae

ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 54

เดต

 

ระหว่างทางกลับบ้าน ลู่อวี๋พูดอย่างกระดี๊กระด๊า “พี่เยี่ยน พรุ่งนี้เรานัดเดตกันเถอะ!”

สมัยเรียนมหาวิทยาลัยไม่เคยรู้เลยว่าวันหยุดสุดสัปดาห์แสนล้ำค่าแค่ไหน เพราะวันธรรมดาก็มีวันที่ไม่มีเรียน แต่พอต้องทำงานหนักติดต่อกันเกือบครึ่งเดือนลู่อวี๋ก็รู้สึกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ช่างงดงามขึ้นมาทันที มันดีงามจนซาบซึ้งใจ

ในวันที่ดีงามนี้ แน่นอนว่าควรออกไปเดตกับคนที่ชอบถึงจะไม่ใช้เวลาไปอย่างเสียเปล่า

เดิมพรุ่งนี้หมิงเยี่ยนอยากจะไปดูโรงงาน แต่เมื่อสบกับดวงตาเป็นประกายของลู่อวี๋ก็เปลี่ยนใจแล้วกล่าว “เอาสิ พรุ่งนี้จะไปหาซื้อเสื้อผ้าให้นายพอดี นายไม่ค่อยชอบใส่เสื้อผ้าของลู่ต้าอวี๋”

ตอบเสร็จหมิงเยี่ยนถึงเพิ่งรู้สึกไม่ถูกต้อง เขาตอบตกลงว่าจะกลับไปมีความสัมพันธ์แบบคนรักกับลู่อวี๋แล้วเหรอ คำว่า ‘นัดเดต’ คำนี้กำกวมเกินไปแล้วจริงๆ

ลู่อวี๋เอียงคอมองหมิงเยี่ยนที่มีสีหน้างุ่นง่านหลายส่วนออกมา ก้มหน้าแอบยิ้ม “พี่ตกลงจะไปเดตกับผมแล้วนะ งั้นพวกเรา…อย่างน้อยก็เป็นความสัมพันธ์ที่จะตกลงคบหากันต่อหลังจากนัดบอดสำเร็จสินะ”

หมิงเยี่ยนถูกคำแสนเชยอย่างคำว่า ‘นัดบอดสำเร็จ’ จี้ต่อมหัวเราะ ไม่ได้เถียงกลับ

“ถ้าจะซื้อเสื้อผ้า งั้นสถานีแรกพวกเราไปห้างกัน” ลู่อวี๋เริ่มวางแพลนอย่างกระตือรือร้น “ผมยังไม่เคยไปห้างสมัยนี้เลย มันดูไฮเทคขึ้นมากเลยใช่เปล่า แบบคนสามารถขึ้นไปชั้นบนสุดจากชั้นล่างได้ในชั่วพริบตา หรือสามารถเด้งไปที่ร้านค้าได้เลยแค่เอามือลูบหน้าจอบอกสถานที่”

หมิงเยี่ยนส่ายหน้า “ไม่ได้เว่อร์ขนาดนั้น”

การปฏิรูปทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสิบปีนี้เกิดขึ้นแค่ด้านเครื่องมือสมองอัจฉริยะเท่านั้น ประเภทเครื่องจักรขนาดใหญ่ยังไม่ได้มีการพัฒนาขนาดนั้น

พอได้ฟังการคาดเดาต่างๆ ของลู่อวี๋ หมิงเยี่ยนพลันตระหนักได้ว่าตั้งแต่ลู่เสี่ยวอวี๋ตื่นขึ้นจนถึงตอนนี้ เขาแทบไม่ได้ออกไปเที่ยวเลยสักครั้ง เขาใช้ชีวิตเป็นเส้นตรงตลอด ครั้งเดียวที่ได้ออกไปคือตอนที่ไปดื่มเหล้าหลอกถามข้อมูลกับเหล่าหยาง เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบแปดคนหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าจะอดทนทำงานตลอดเวลาแบบนี้ได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้หมิงเยี่ยนก็ไม่รู้สึกเสียใจที่ตกลงไปเดตกับลู่อวี๋แล้ว

 

กินมื้อค่ำเสร็จ ลู่อวี๋ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ เขาลากลู่ตงตงมาวางโปรแกรมเดตวันพรุ่งนี้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ไปกินข้าวที่ไหน จะเตรียมเซอร์ไพรส์เล็กๆ แบบไหนดี

หนึ่งคนหนึ่งปลาแอบไปคุยงุ้งงิ้งกันในห้องหนังสือ

เสิ่นไป๋สุ่ยแค่นหัวเราะ “พวกคนบ้านนอกสองคน จะวางโปรแกรมออกมาได้แค่ไหนเชียว”

หมิงเยี่ยนนั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าต่างบานยาวจรดพื้นของห้องนั่งเล่น พลิกเปิดนิตยสารออกแบบหน้าหนึ่งอย่างเอ้อระเหย “เธอเข้าใจเรื่องนี้ด้วยเหรอ”

ลูกโป่งท่านประธานนั่งบนที่พักแขนเก้าอี้ กอดแขนอย่างผยองลำพอง “สกิลที่ประธานบริษัทต้องมีผมมีหมดนั่นแหละ คุณอย่ามองว่าตอนจบผมไม่ได้คู่กับหนึ่งชายครึ่งหญิงสักคน แต่ความจริงแล้วในเนื้อเรื่องน่ะมีคนชอบผมเยอะแยะไป มีโอกาสก็เล่นตามน้ำเป็นครั้งคราว การใช้ใบหน้าหล่อเหลาทำเป้าหมายให้สำเร็จเรื่องพวกนี้ผมเคยทำมาไม่น้อย แน่นอน เป้าหมายทุกอย่างก็เพื่อเงิน ผมไม่สนใจเรื่องความรักพวกนั้นหรอกนะ”

หนึ่งชายครึ่งหญิง* เขาใช้กันแบบนี้เหรอ

หมิงเยี่ยนหน่ายใจ ยกมือขึ้นยีหัวลูกโป่งท่านประธานแล้วอ่านหนังสือต่อ

เสิ่นไป๋สุ่ยกลับติดลม เริ่มคุยโม้เหม็นถึงคลังความรู้ของตัวเอง “การเดตต้องแตกต่างไปตามบุคคลที่จะเดตด้วย ยกตัวอย่างเช่นคุณ ศิลปินกราฟิกแบบนี้ควรพาไปดูนิทรรศการภาพวาด เดินพิพิธภัณฑ์ จากนั้นก็ไปกว้านซื้อสินค้าในร้านแบรนด์เนม สุดท้ายต้องมีดินเนอร์ใต้แสงเทียนอันแสนโรแมนติก ดีที่สุดต้องเป็นภัตตาคารหรูระดับไฮเอ็นด์ที่อาหารหน้าตาดีมากแต่เข้าไม่ค่อยถึงพวกนั้น”

หมิงเยี่ยนครุ่นคิดแล้วพยักหน้า เป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าเป็นโปรแกรมเดตแบบนี้อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ “เธอดูจะเข้าใจมากจริงๆ งั้นถ้าไปเดตกับลู่อวี๋ล่ะ”

ลูกโป่งท่านประธานกลอกตา “เจ้าคนสมองนิ่มนั่นอะนะ แค่พาเขาไปเล่นวิดีโอเกมทั้งวัน หรือไถสเก็ตบอร์ดทั้งวันก็ได้แล้ว จากนั้นก็ไปกว้านซื้อของแบรนด์เนม ดินเนอร์ก็หาร้านที่อร่อยและไม่แพง หรือจะพาไปเดินตลาดกลางคืนก็ยังได้ คนอย่างเขาเป็นพวกขี้สงสัย ถึงจะอยู่ในบรรยากาศของชาวบ้านธรรมดาๆ ก็ยังมองหาแรงบันดาลใจเอาไว้เขียนนิยายได้”

จู่ๆ ลู่อวี๋ก็โผล่หัวออกมาจากด้านหลังเก้าอี้ “แล้วทำไมแผนนายจะต้องไปกว้านซื้อของแบรนด์เนมตลอดเลย” เขาว่าพลางยื่นมือออกไปจิ้มหัวลูกโป่งท่านประธาน จิ้มจนลูกโป่งตัวเบาหวิวกระเด็นตก ก่อนลอยขึ้นมาใหม่อย่างกระฟัดกระเฟียด

“อย่างอื่นล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่า เงินทองสิถึงจะเป็นนิรันดร์ ถ้าจะตกคู่เดตให้ได้ สิ่งสำคัญคือการกว้านซื้อสินค้าในร้านแบรนด์เนม แสดงความมั่งคั่งทางการเงินและสถานะทางสังคมของตัวนายออกมา” เสิ่นไป๋สุ่ยกางแขน แสดงทฤษฎีว่าเงินทองสำคัญที่สุดออกมา

“จิ๊ เจ้าเด็กบูชาเงิน ห่มผ้าห่มผืนเล็กของนายแล้วจงนอนไม่หลับไปตลอดกาลพร้อมกับเงินซะเถอะ” ลู่อวี๋โยนผ้าห่มสกรีนลายเหรียญทองเต็มผืนคลุมหัวลูกโป่งท่านประธาน จากนั้นเอื้อมแขนไปอุ้มหมิงเยี่ยนในท่าเจ้าหญิง

หมิงเยี่ยนตกใจร้องเสียงหลง รีบโอบรอบคอลู่อวี๋ พยายามถ่ายน้ำหนักตัวเองไปเกาะที่ไหล่เขาให้มากที่สุด

ลู่อวี๋กลั้นหายใจ อุ้มหมิงเยี่ยนตรงดิ่งเข้าห้องนอน แล้วโผไปบนเตียงพร้อมกัน เขายันแขนคร่อมตัวหมิงเยี่ยนพลางหอบหายใจสองที หัวเราะคิกคัก “ผมเก่งไหม” เขาแอบเพิ่มแรงโน้มถ่วงในแคปซูลเกมมิ่ง เวลาทำงานทุกวันจึงได้ออกกำลังกายไปด้วย

หมิงเยี่ยนตกตะลึงมากจริงๆ “เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน นายก็แรงเยอะขึ้นอีกแล้ว”

“ถูกต้อง ผมมันยอดอัจฉริยะฟ้าประทาน” ลู่อวี๋เอ่ยอย่างลำพอง สีหน้านั้นราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกับเสิ่นไป๋สุ่ยที่พูดจาใหญ่โตด้วยเสียงฉะฉาน “อย่างอื่นก็เพิ่มขึ้นด้วยนะ อยากลองเช็กดูไหม”

หมิงเยี่ยนย่นจมูก ยกมือขึ้นผลักเขา “ทะลึ่ง! ฉันไม่ดูหรอก”

ลู่อวี๋มึนไปครู่หนึ่ง “ผมหมายถึงกล้าม พี่คิดไปถึงไหนน่ะ” จากนั้นเขาก็มีการตอบสนอง มุมปากค่อยๆ ฉีกไปถึงหลังหู ขยับเข้าไปถามข้างหูหมิงเยี่ยน “พี่คิดไปถึงไหนเหรอ รีบพูดเร็ว ขอแค่พี่พูดออกมา ผมจะเปิดให้พี่เช็กเลย”

หมิงเยี่ยนอ้าปากจะพูด แต่รู้สึกเหมือนไม่ว่าตัวเองพูดอะไรก็จะถูกแซวได้หมด จึงครุ่นคิดแล้วเอ่ย “รักแร้”

“หา?” คราวนี้ลู่อวี๋ไม่รู้จะพูดอะไร ใครบ้างจะพูดว่าขอดูรักแร้ตอนกำลังจู๋จี๋กัน!

ไม่รอให้ลู่อวี๋ตั้งสติได้ หมิงเยี่ยนก็เป่าลมร้อนๆ ใส่ฝ่ามือชั่วร้ายของตัวเองแล้วยื่นมือไปทางรักแร้ของเขา

ลู่อวี๋เป็นพวกบ้าจี้สุดๆ เขาร้องเอิ๊กอ๊ากออกมาทันใด “พี่เล่นอะไร ฮ่าๆๆๆๆๆ…”

ทั้งสองเริ่มเล่นกันบนเตียง แย่งกันจั๊กจี้รักแร้บ้าง ฝ่าเท้าบ้าง กลิ้งขลุกๆ กลมเป็นก้อน

หมิงเยี่ยนกระชากกระดุมเสื้อนอนของลู่อวี๋หลุดโดยไม่ทันระวังขณะกำลังพลิกตัวมาอยู่ด้านบนพอดี เขาจับคอเสื้อตรงนั้นเหม่อๆ

ลู่อวี๋ลมหายใจถี่กระชั้น ส่วนตนก็ดึงคอเสื้ออีกข้างออก “พี่เยี่ยน มาสิ ไม่ต้องสงสารผมเพราะผมเป็นหญ้าอ่อนอายุสิบแปดหรอกน่า”

เสื้อนอนเปิดโชว์หรา เผยให้เห็นรอยแผลเป็นรูปดอกไม้ไฟบนอก

หมิงเยี่ยนยื่นนิ้วไปลูบรอยแผลเป็นนั้นเบาๆ ก่อนรีบชักมือกลับราวกับโดนลวก แล้วคลุมผ้าให้เขาอย่างรวดเร็ว “นายจะบอกว่าฉันเป็นวัวแก่เหรอ”

ลู่อวี๋ “???”

เห้อ ไม่ใช่สิ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้เล่า

ลู่อวี๋จับข้อเท้าอีกฝ่ายที่กำลังจะหนีแล้วกระชากให้พลิกลงไปอยู่ใต้ร่างตัวเอง “หึ พี่แค่จะหาข้ออ้างมาปฏิเสธผม ลูกไม้เช่นนี้เราประสบพบเจอมานักต่อนัก อย่างไรคืนนี้เราก็จะต้องโปรดปรานเจ้าให้ได้”

“นี่ ไม่เล่นแล้ว” หมิงเยี่ยนไม่รู้ว่าหมอนี่ไปฝึกพลังกายมาจากไหนนักหนา ไม่นึกเลยว่าจะกระชากข้อเท้ากลับไป ดึงเขาไปกอด ซ้ำยังข่มขู่

“อย่าคิดจะขยับนะ ยามนี้เสาค้ำสวรรค์ของเรากำลังตั้งตระหง่าน หากเจ้าขยับส่งเดชเราจะจัดการเจ้า” ลู่อวี๋พูดอย่างโหดเหี้ยม จุ๊บดังๆ ที่หน้าผากคนในอ้อมแขน

หมิงเยี่ยนรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของลู่อวี๋ เห็นเขาจงใจขยับออกห่างเพื่อป้องกันไม่ให้หยาบคายต่อตน หมิงเยี่ยนอดใจอ่อนไม่ได้ อยากทำอะไรสักหน่อย แต่เม้มปากอยู่นานก็พูดอะไรไม่ออก

ลู่อวี๋กุมมือเขาที่ทำท่ายึกๆ ยักๆ เหมือนจะยื่นมือแต่ไม่ยื่น “ไม่เป็นไร ผมขอพักหายใจแป๊บนึงก็พอ อยู่แบบนี้ผมก็ฝันดีได้”

ภายในห้องเงียบกริบไปพักใหญ่ หมิงเยี่ยนเอ่ยเสียงเบา “นายนอนตัวชิดกับฉันได้ ฉันไม่ถือ”

หมิงเยี่ยนนึกว่าลู่อวี๋หลับไปแล้วถึงได้พูดงึมงำในลำคออย่างกับกำลังละเมอ คิดไม่ถึงว่าวินาทีต่อมาระยะห่างอันน้อยนิดระหว่างพวกเขาสองคนจะถูกลู่อวี๋ลบหายไปหมด เขาแนบตัวเข้าหาแล้วถูไถคลอเคลียอย่างมีความสุข

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่อวี๋ที่ได้กอดพี่เยี่ยนนอนหลับฝันดีก็ตื่นขึ้นมาด้วยกำลังวังชาเต็มเปี่ยม ยืดอกเชิดคางไปเดต

ในห้างไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากจริงๆ พวกเขาไปซื้อเสื้อผ้าสองสามชุด ลู่อวี๋ได้สวมเสื้อผ้าใหม่ก็มีความสุขมาก “แบรนด์แฟชั่นสมัยนี้ดูดีจริงๆ”

จับคู่สีอย่างกล้าหาญ รูปแบบเว่อร์วัง แต่ใส่แล้วกลับหล่อเท่เกินคาด

ลู่อวี๋สวมหมวกปีกกว้างสีม่วงที่สามารถบดบังดวงตาได้ แล้วเขย่ามือโพสท่าคลาสสิกของแร็พเปอร์ “โย่วๆๆ นี่คือลู่อวี๋ aka fish on the land.”

พนักงานร้านแบรนด์แฟชั่นยังต้องหัวเราะให้เขา หมิงเยี่ยนอับอายไม่อยากจะมอง หันไปรูดสมองอัจฉริยะจ่ายเงิน จ่ายเงินเสร็จหันกลับมาอีกทีลู่อวี๋ก็วิ่งพรวดหายวับไปจากสายตาประหนึ่งหมาที่ถูกปล่อยเชือกจูง

ลู่อวี๋รีบไปซื้อเครื่องดื่มสองแก้วอย่างว่องไวแล้วยัดใส่มือหมิงเยี่ยนหนึ่งแก้ว ห้างนี้เปิดฮีตเตอร์ได้ดีเกินไป เขารู้สึกเหมือนจะถูกอบจนแห้งอยู่รอมร่อ ลู่อวี๋กระดกดื่มจนชี้ก้นแก้วขึ้นฟ้า เอาเครื่องดื่มสามร้อยมิลลิลิตรเข้าปากอึกๆๆ รวดเดียว แล้วมองไปทางหมิงเยี่ยนที่ค่อยๆ ใช้หลอดดูดตาปริบๆ “ผมอยากเล่นอันนั้นอะ”

หมิงเยี่ยนมองตามนิ้วมือเขา ไม่นึกเลยว่าจะเป็นโซนเกมเซ็นเตอร์ ตรงตามที่ลูกโป่งท่านประธานบอกไว้เป๊ะๆ

เลี้ยงแฟนหนุ่มที่อายุหดหายไปสิบปีก็ช่วยไม่ได้อย่างนี้แหละ หมิงเยี่ยนทำได้แค่ไปเล่นเป็นเพื่อนเขา

เกมเซ็นเตอร์กลับมีการพัฒนาไม่น้อย มีเทคโนโลยีระดับสูงมากมายเพิ่มขึ้น แต่ลู่อวี๋นอนเล่นอยู่ในแคปซูลเกมมิ่งระดับสูงสุดมาทั้งอาทิตย์จึงไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับเกม VR ระดับล่างพวกนั้นเลยสักนิด เล่นรอบสองรอบก็เบื่อ เลยเล่นแต่ตู้เกมบาสเกตบอลซึ่งเป็นตู้เกมดั้งเดิมที่สุด

การติดตั้งตู้เกมบาสเกตบอลนี้ดูทันสมัยกว่าแบบที่อยู่ในเกมเซ็นเตอร์เมื่อก่อนมาก ลู่อวี๋เล่นอย่างมีความสุข

สาวๆ ที่ชู้ตบาสอยู่ข้างๆ สังเกตเห็นเขา แอบมองใบหน้าด้านข้างของลู่อวี๋กัน แล้วกระซิบกับกลุ่มเพื่อนสาว “หล่อเนอะ”

สาวๆ พูดคุยคิกคักอย่างตื่นเต้น ก่อนยื่นลูกบาสในมือไปให้ลู่อวี๋ “สุดหล่อ ช่วยฉันชู้ตสักสองลูกได้ไหมคะ ตานี้ถ้าฉันโยนไม่เข้าอีกฉันจะแพ้แล้ว”

ลู่อวี๋เพิ่งใช้เหรียญของตัวเองหมดพอดี เหลือบมองหน้าจอคะแนนตู้เกมบาสเกตบอลข้างๆ แล้วรับมันมาอย่างยินดี ก่อนโยนลูกบาสลงห่วงสามลูกติดในรวดเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ บนหน้าจอฉายพลุออกมาฉลอง

สาวๆ กรี๊ดกร๊าดผลักผู้หญิงที่เป็นคนยื่นลูกบาสออกมา ให้เธอขอช่องทางการติดต่อ

สาวน้อยขี้อายยังไม่ทันเอ่ยปาก ฝั่งลู่อวี๋ก็วิ่งกลับไปอยู่ข้างๆ หมิงเยี่ยนอย่างตื่นเต้นดีใจ “ผมเก่งรึเปล่า”

หมิงเยี่ยนตอบส่งๆ “เก่งๆ”

ลู่อวี๋ฉวยโอกาสนี้ขยับเข้าประชิดแล้วจุ๊บแก้มนุ่มๆ หนึ่งที

หมิงเยี่ยนนิ่งอึ้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงแหลมสูงของผู้หญิง “หมิงเยี่ยน?”

เขามองไปตามเสียง ไม่นึกเลยว่าจะเป็นลู่เจินนีที่ไม่เจอกันมาหลายวัน ข้างๆ ลู่เจินนียังมีผู้ชายหิ้วถุงเล็กถุงใหญ่เดินตามต้อยๆ เธอใช้นิ้วที่ต่อเล็บปลอมยาวๆ ชี้หมิงเยี่ยน ทำหน้าตาตื่นเต้นที่เจอหลักฐานมัดตัว “ไม่นึกว่านายจะมาอุปถัมภ์หนุ่มมหา’ลัยอยู่ข้างนอก ลู่อวี๋รู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

ไม่รอให้หมิงเยี่ยนเอ่ยปากตอบ ลู่อวี๋ก็เดินมาบังตัวเขา งอนิ้วตั้งท่าจะดีดเล็บยาวๆ นั่นออกไป “อยากรู้ว่าลู่อวี๋รู้หรือเปล่าก็ควักเงินมาห้าล้านแล้วฉันจะตอบให้”

 

 

* หนึ่งชายครึ่งหญิง หมายถึงลูกสาวหรือลูกชายก็ได้ ขอแค่มีลูกสักคนก็พอ มักใช้ในครอบครัวที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูกเสียที

บทที่ 55

โรแมนติก

 

“ลู่อวี๋?” ลู่เจินนีตกใจตัวโยน เธอหวาดผวากลัวว่าวินาทีต่อมาเล็บจะถูกดีดกระเด็นมีเลือดสาดกระจาย จึงรีบเก็บนิ้วทันที

ช่วงนี้ลู่อวี๋ดูแปลกๆ มักจะทำให้เธอนึกถึงลู่อวี๋วัยสิบหกสิบเจ็ดที่บ้าคลั่ง หัวขบถคนนั้น ที่วันๆ เอาแต่จะจัดการเธอ เธอไม่กล้าพนันแม้แต่นิดเดียว

ผู้ชายข้างๆ เดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ชำเลืองมองลู่อวี๋ที่แต่งกายแฟชั่นจัดเต็ม ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่เจินนี คนนี้ใครเหรอ” เขาได้ยินชื่อลู่อวี๋ อย่าบอกนะว่าเป็นเถ้าแก่ของเฉินอวี๋เทคโนโลยีที่กำลังดังอยู่ในช่วงนี้น่ะ

ชายหนุ่มนับว่าหน้าตาหล่อเหลาแต่ดูขลาดกลัว อยากออกมาเข้าสังคมแต่ก็ดูลังเล สุดท้ายเลยถอยกลับไปเซฟโซนให้ลู่เจินนีเป็นคนเอ่ยแนะนำ

หมิงเยี่ยนเข้าใจแล้ว ผู้ชายคนนี้ต่างหากคือหนุ่มหน้ามนที่ลู่เจินนีอุปถัมภ์อยู่ ลู่เจินนีชอบเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เลยคิดว่าเขาก็กำลังอุปถัมภ์หนุ่มมหาวิทยาลัยเหมือนตัวเอง จะว่ายังไงดี ลู่เจินนีคนนี้บางทีก็ตลกดีเหมือนกัน

ลู่อวี๋ประหนึ่งได้ยินความคิดของหมิงเยี่ยน เขายอมไม่ได้อย่างยิ่ง เขาจะต้องเป็นคนตลกกว่าลู่เจินนีให้ได้ เชิดคางเอ่ย “ฉันเป็นปู่ลำดับที่เก้าของยัยลู่เจินนี คนต่ำๆ อย่างนายน่ะ ฉันไม่อนุญาตให้เหยียบเข้าประตูตระกูลลู่เด็ดขาด ขอแนะนำให้นายรีบยอมแพ้ซะตั้งแต่เนิ่นๆ”

หมิงเยี่ยนหวิดจะพ่นเครื่องดื่มออกมา เบี่ยงหน้าแอบหัวเราะ

ชายคนนั้นคอหด ไม่กล้าพูดจา

ลู่อวี๋ยังสะใจไม่พอ พูดด้วยความหวังดี “ปู่คนนี้จะแนะนำอะไรนายให้นะ หางานมั่นคงทำ อย่าคิดแต่จะเกาะสาวสวยหมวยรวยกิน จะว่าไปลู่เจินนีของพวกเราไม่ได้สวยหมวยรวยสักเท่าไหร่นี่นา ขนาดผ่านไปสิบปีแล้วยังใช้รถคันเดิมอยู่เลย”

ลู่เจินนีโมโหสุดขีด กระแทกส้นสูงสิบสามเซนติเมตร “พูดเพ้อเจ้ออะไรของนาย นายเป็นปู่ของใครกันยะ นาย…”

ที่จริงเธอไม่ได้เสียงดังนัก แต่เสียงแหลมปรี๊ด เสียงแหลมๆ นี้สามารถดังไปได้ไกล ไม่ช้าก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบๆ มาให้มามุงดู

คนที่ตีตัวตุ่นได้ครึ่งหนึ่งก็ตีไม่โดนอีกเลยสักตัวเพราะมัวแต่หันมาดูความครึกครื้น ในเมื่อเสียเหรียญเกมไปโดยเปล่าประโยชน์แล้วเลยวิ่งมาดูซะเลย คนที่มาถึงช้าถามคนรอบๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น นักรบปราบตัวตุ่นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไล่อธิบายให้ทุกคนฟังอย่างมีน้ำใจ “หลานสาวใช้เงินเลี้ยงต้อยหนุ่มหน้ามนแล้วปู่มาเจอเข้า กำลังโดนสั่งสอนอยู่เลย”

“ไหนปู่”

“คนนั้นน่ะ ที่สวมฮู้ดใหญ่ๆ น่าจะเป็นแบบลำดับญาติสูงกว่าแต่อายุน้อย เห็นว่าเป็นปู่ลำดับสิบเก้าอะไรสักอย่าง”

หนุ่มหน้ามนคนนั้นเห็นสายตาลู่เจินนีค่อยๆ แปลกไป เขาเป็นแค่นักแสดงตัวเล็กๆ สองปีนี้หางานไม่ได้ เลยอยากจะอาศัยเส้นสายจากเมียรวยๆ ลู่เจินนีบอกว่าจะช่วยดันเขา ใช้เส้นสายแนะนำงานให้เขา ที่บ้านเธอร้ายกาจอย่างนู้นอย่างนี้ เขาเลยติดตามเธอต้อยๆ

ตอนนี้คิดดูแล้วลู่เจินนีดูเหมือนจะมีแต่เปลือก ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง จนถึงตอนนี้ไม่เห็นเธอจะใช้เส้นสายแนะนำงานอะไรให้เขาเลยสักอย่าง รถสปอร์ตที่ขับบ่อยๆ ก็เป็นรุ่นเมื่อสิบปีที่แล้วจริงๆ

ลู่เจินนีโมโหจนหน้าดำหน้าแดง เสียงก็สูงขึ้นเรื่อยๆ

ลู่อวี๋เตือนเธอเสียงเบา “ลู่เจินนี มีคนดูอยู่ตั้งเยอะแยะ อย่าเอะอะนักสิ โดนถ่ายคลิปโพสต์ลงเน็ตขึ้นมาคนที่จะขายหน้าไม่ใช่ฉันหรอกนะ”

ลู่เจินนีกัดฟัน จนลู่อวี๋หันหลังเตรียมจะเดินออกไป จู่ๆ เธอก็เอ่ย “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าช่วงนี้นายกำลังอวดดีอะไรอยู่ นายไม่อยากร่วมมือทำสมองอัจฉริยะกับตระกูลลู่แล้วเหรอ ต้องให้ฉันเตือนนายหน่อยไหมว่ามีแค่ตระกูลลู่เท่านั้นที่ได้รับใบอนุญาตเข้าร่วมสมาพันธ์ปัญญาดิจิตอลน่ะ”

ลู่อวี๋ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองเธอ ชูนิ้วบอกให้เธอเงียบๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

คนรอบๆ ยังคงมุงดูถ่ายคลิป ลู่เจินนีตกใจกลัวนึกว่าตัวเองเผลอหลุดปากอะไรไป เธอกลับมาทำท่าทางเหมือนคุณผู้หญิง สั่งให้ฝูงชนออกไป “ถ่ายอะไรคะ ใครกล้าโพสต์ลงเน็ตฉันเรียกทนายมาฟ้องคุณแน่ค่ะ” ว่าจบก็ลากดาราเล็กๆ คนนั้นจากไป

จนทุกคนยังอินไม่หาย ลู่อวี๋ก็หายวับไปแล้ว

ลู่อวี๋ถอดเสื้อนอกสีม่วงสะดุดตาออก เปลี่ยนมาสวมสีเขียว ยังคงดึงฮู้ดใหญ่ๆ คลุมหัว เสร็จถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

หมิงเยี่ยนยกมือขึ้นดึงหมวกฮู้ดเขาลง เม้มปากกลั้นขำ “ถ้าเป็นสีเขียวก็อย่าสวมเลยเถอะ”

หมวก…สีเขียว

ลู่อวี๋ฮึมฮัมในลำคอ คว้ามือหมิงเยี่ยนแล้วเผยยิ้มชั่วร้าย “พี่ว่าถ้าตอนนี้พี่คบกับผม จะถือว่าเป็นการสวมหมวกเขียวให้ลู่ต้าอวี๋หรือเปล่า”

หมิงเยี่ยนมองลู่อวี๋ที่กำลังชูคอลำพองอย่างยากจะอธิบาย ไม่รู้เขากำลังดีใจอะไร

ทั้งสองก้าวฉับๆ ไปอีกห้างหนึ่ง ในที่สุดก็หลุดออกจากความอึดอัดใจที่ต้องถูกล้อมมุง แล้วลู่อวี๋ถึงถามขึ้น “ใบอนุญาตเข้าร่วมสมาพันธ์ปัญญาดิจิตอลคืออะไร”

หมิงเยี่ยนครุ่นคิด ส่ายหน้าเป็นเชิงตอบว่าตนก็ไม่แน่ใจ

เขาถอดสมองอัจฉริยะบนข้อมือซ้ายออกมาพลิกดูด้านหลังหน้าปัด บนนั้นมีตรา IDU ของสมาพันธ์ปัญญาดิจิตอล “สมองอัจฉริยะทุกตัวจะมีตรา IDU นี้ทั้งหมด พวกเราไม่ได้ผลิตสมองอัจฉริยะ เลยไม่เกี่ยวข้องกับสมาพันธ์นี้ ฉันเดาว่าน่าจะคล้ายๆ กับใบอนุญาตการเข้าถึงข้อมูล เหมือนที่จะมีด้านหลังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องน่ะ”

ลู่อวี๋ขมวดคิ้ว ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมอารองลู่ถึงได้อวดดีขนาดนั้น ถ้าอยากจะผลิตสมองอัจฉริยะเชิงพาณิชย์ก็ไม่มีทางมองข้าม IDU นี้ได้ ตระกูลลู่ผลิตโทรศัพท์มือถือมาหลายปีขนาดนั้น ย่อมต้องมีช่องทางพิเศษอยู่ในนั้นบ้าง

หรือที่แผนธุรกิจผลิตสมองอัจฉริยะของลู่ต้าอวี๋ถูกพับเก็บไปคงไม่ใช่ว่าติดแหง็กตรงนี้?

หมิงเยี่ยนใช้นิ้วโป้งนวดหว่างคิ้วลู่อวี๋ “ไม่ต้องไปสนใจเธอ พวกเราไม่ได้ผลิตสมองอัจฉริยะสักหน่อยนี่” เขาไม่ต้องการให้ลู่เสี่ยวอวี๋ได้รับอิทธิพลลบจากตระกูลลู่ จึงรีบเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาทันที

ลู่อวี๋กลับมารู้สึกตัว มองหมิงเยี่ยนที่ดูเหมือนไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรเลยแล้วยกยิ้ม “ไปกัน พวกเราทำโปรแกรมสุดท้ายของเดตในห้างให้เสร็จกันเถอะ ไปกว้านซื้อของแบรนด์เนมกัน!”

หมิงเยี่ยนถูกเขาลากแขนเดินมุ่งหน้าไปอย่างช่วยไม่ได้ “อย่าซื้อของอะไรโดยไม่จำเป็น ที่บ้านไม่ได้ขาดอะไร”

ตอนนี้บริษัทยังอยู่ในช่วงลำบาก ยังไม่ถึงเวลาที่จะใช้เงินเป็นเบี้ยได้ ในฐานะที่หมิงเยี่ยนเป็นดีไซเนอร์คนหนึ่ง เสื้อผ้า เครื่องประดับในบ้านเขาก็เป็นคนจัดการซื้อเอง และทั้งหมดนั้นก็ล้วนเป็นแบบที่สวยและไม่สิ้นเปลืองเงิน สิ่งที่ควรมีก็มีหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มอะไรเข้าไปอีก

ลู่อวี๋รู้ว่าเขาไม่อยากให้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายจึงเอ่ย “เมื่อวานพี่ใหญ่โดเนตให้คอลัมน์นิยายของผมมาแสนนึง หักค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มแล้วก็เหลือห้าหมื่น งั้นพวกเราซื้อในงบห้าหมื่นโอเคไหมครับ”

หมิงเยี่ยนคิดครู่หนึ่ง “ได้ ลาภที่ได้มาแบบไม่คาดคิด เมื่อได้มาแล้วก็ควรจะเอาไปใช้สักหน่อยจริงๆ นั่นแหละ”

ลู่อวี๋เพิ่งจะเคยได้ยินคำพูดแบบนี้ครั้งแรก “พี่กลายเป็นคนงมงายตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” พอพูดขึ้นมาเขาก็ฉุกนึกขึ้นได้ หมิงเยี่ยนในสิบปีข้างหน้าดูให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้มากกว่าเมื่อก่อนจริงๆ พวกโชคลาภเอย ฮวงจุ้ยเอย ตอนพาเขาไปหาหมอยังจุดธูปไหว้จางจ้งจิ่งด้วย

“ช่วยไม่ได้ ก็อายุเยอะแล้วนี่นา” หมิงเยี่ยนเลียนแบบน้ำเสียงของคุณแม่ตัวเอง พูดเชิงหยอกล้อ

พี่เยี่ยนของเขาทำเสียงน่ารักเป็นด้วย! ลู่อวี๋ถูกหางเสียงคำว่า ‘นี่นา’ นุ่มฟูนั่นโจมตีจนซู่ซ่าไปทั้งตัว ก่อนถูกหมิงเยี่ยนดึงแขนเดินไปข้างหน้าอย่างโง่งม “พี่เยี่ยน พี่…พี่พูดแบบเมื่อกี้อีกรอบได้ไหม”

หมิงเยี่ยนมองเขาตาเขียว

ลู่อวี๋ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าการให้คนอื่นพูดว่าตัวเองอายุมากแล้วอีกรอบเป็นสิ่งที่น่าโดนต่อยมากจริงๆ เขาหัวเราะแหะๆ ขยับเข้าไปคลอเคลีย “ผมแค่อยากฟังหางเสียงน่ารักๆ หลังจากนี้พี่พูดกับผมแบบนี้ได้ไหมครับ”

ถ้าอยู่บนเตียงแล้วพี่เยี่ยนพูดออกมาว่า ‘ใหญ่เกินไปแล้วนะ’ ‘อย่าเร็วได้ไหมนะ’ เขาต้องเลือดสูบฉีดอย่างกับฉีดเลือดไก่เต็มโดส แล้วทำสงครามสู้รบได้อีกห้าร้อยปีชัวร์ๆ

“ฝันไปเถอะ” หมิงเยี่ยนยิ้มชำเลืองมองเขา แสงวาววับเคลื่อนไหวอยู่ในดวงตาคู่งาม จนลู่เสี่ยวอวี๋ที่ไม่เคยได้พบเจออะไรแบบนี้จากอีกฝ่ายถึงกับสมองหยุดทำงาน

 

เดินเล่นไปรอบหนึ่ง ลู่อวี๋ก็เดินมาถึงหน้าร้าน RZ

แบรนด์นี้มีบุญคุณความแค้นกับหมิงเยี่ยนเยอะจนเล่าไม่หมด เขาอยากจะเห็นเหลือเกินว่าแบรนด์นี้มีอะไรโดดเด่นตรงไหนกันแน่ เมื่อเห็นหมิงเยี่ยนดูไม่ได้ตั้งแง่อะไรกับมันก็ยกเท้าก้าวเข้าไปในร้าน

แบรนด์ RZ มีสินค้าหลากหลาย แต่เน้นขายอัญมณีและนาฬิกาข้อมือเป็นหลัก

อาจเพราะกิจการนาฬิกาข้อมือซบเซาลงมาก ยอดขายของ RZ จึงตกต่ำไปด้วย แต่ก็ยังมีเครื่องประดับอัญมณีช่วยหนุนไว้ได้ เลยไม่ได้ล้มลงในทีเดียวเหมือนกับหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรี

ลู่อวี๋มองรอบๆ แล้วถูกสร้อยข้อมืออัญมณีเส้นหนึ่งดึงดูด

มันเป็นสร้อยข้อมือฝังอัญมณีเจ็ดเม็ด แต่ละเม็ดล้วนเป็นสีน้ำเงิน แต่เป็นสีน้ำเงินคนละเฉด เรียงร้อยอย่างเป็นลำดับที่แปลกตา ราวกับแสงประกายดาวบนคลื่นทะเลลึก และเหมือนกับสีสันของมหาสมุทรที่ตัดกันชัดเจน งดงามมากทีเดียว

สิ่งสำคัญที่สุดคือชื่อของมัน…เจ็ดชั้นสมุทร

เมื่อเห็นเขาถูกใจ พนักงานขายก็หยิบสร้อยเส้นนั้นมาวางบนถาดโชว์สินค้ากำมะหยี่อย่างกระตือรือร้น “คุณผู้ชายตาถึงมากเลยค่ะ เจ็ดชั้นสมุทรเส้นนี้เป็นได้ทั้งสร้อยข้อมือ แล้วก็เป็นสายนาฬิกาได้ด้วย ผู้ชายผู้หญิงใส่ก็สวยค่ะ”

นัยน์ตาหมิงเยี่ยนสั่นเครือ อึ้งเบาๆ “นายชอบมันเหรอ”

ลู่อวี๋พยักหน้า “สวยมากเลย อย่างกับความฝันเกิดขึ้นจริงตรงหน้า ไม่นึกว่าจะชื่อเจ็ดชั้นสมุทร ใครเป็นคนออกแบบ”

อยากที่รู้กัน โลกเราประกอบด้วยห้ามหาสมุทร และทะเลอีกห้าหกสิบแห่ง มีแต่ใน ‘เงือกจอมราชัน’ ของเขาที่เขียนให้เซ็ตติ้งโลกเปลี่ยนไปมีเจ็ดมหาสมุทร แบบนี้เวลาลู่ตงตงท่องบทก็จะได้ดูหล่อเท่ว่า ‘ข้าคือเทพแห่งเจ็ดคาบสมุทร ประมุขแห่งเผ่าพันธุ์วิปลาส!’

พนักงานร้านยิ้มตอบ “นี่คือผลงานของคุณ Yan อดีตดีไซเนอร์แสนล้ำค่าท่านหนึ่งของเราค่ะ” เธอว่าพลางให้เขาดูข้างใต้ตะขอล็อกสร้อยแพลทตินั่ม มีตัวอักษรเล็กๆ สามตัวสลักอยู่บนนั้น

ลู่อวี๋ตะลึง หันขวับไปมองหมิงเยี่ยน

หมิงเยี่ยนหลุบตาลง เหม่อมองสร้อยข้อมือเส้นนั้น

หัวใจของลู่อวี๋เต้นด้วยความปวดร้าวหนักอึ้ง เขารู้ว่าเมื่อก่อนหมิงเยี่ยนเคยเป็นดีไซเนอร์ให้ RZ และชื่อที่อีกฝ่ายใช้ตอนอยู่ต่างประเทศก็คือ Yan นี่คือผลงานที่หมิงเยี่ยนเคยออกแบบไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ประเทศ F

ในไดอารี่ของลู่ต้าอวี๋ ดูเหมือนเขาจะคิดว่าหมิงเยี่ยนทอดทิ้งเขา คิดดูแล้วในความรักทางไกลเป็นเวลานาน เขาเองก็คงมีความกังวลต่างๆ และจิตใจฟุ้งซ่านอยู่เหมือนกัน แต่ทำได้เพียงฮึดทำงานเก็บเงินอย่างเต็มกำลัง ไม่รู้ว่าตระกูลลู่ไปพูดอะไรกับเขาเข้าถึงทำให้เขาหมดกำลังใจ แล้วคลุ้มคลั่งขึ้นมาเพราะคิดว่าหมิงเยี่ยนไม่รักเขา

ความจริงแล้วเวลาที่หมิงเยี่ยนอยู่ไกลถึงต่างประเทศ เวลาที่วาดแบบร่างสเก็ตช์ออกแบบของตัวเอง เวลาที่จับแพลทตินั่มเส้นบางพันรอบอัญมณีเขาก็คิดถึงลู่อวี๋อยู่ตลอด ผลงานชิ้นแรกที่ออกสู่วงการแฟชั่นมีชื่อเรียกแสนโรแมนติกว่า ‘เจ็ดชั้นสมุทร’

เมื่อลู่ต้าอวี๋รู้เรื่องนี้ มันก็จะเป็นเซอร์ไพรส์ชิ้นใหญ่ในความสัมพันธ์!

แต่ลู่ต้าอวี๋ไม่เคยได้รู้เรื่องนี้

ลู่อวี๋ลูบสร้อยเส้นนั้นเบาๆ รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เขาหันไปกอดหมิงเยี่ยน มุดหน้าซุกซอกคออีกฝ่าย “พี่เยี่ยน…พี่เยี่ยน ผมชอบพี่มากเลย”

หมิงเยี่ยนเป็นคนที่โรแมนติกมากจริงๆ และลู่อวี๋ก็ดันชอบความโรแมนติกแบบนี้มากๆ ด้วย เขาชอบมันเหลือเกิน

เมื่อรู้ว่าเขาเข้าใจความหมายของมัน หมิงเยี่ยนจึงกระซิบถามเสียงเบา “ฉันเอาไอเดียของนายมาใช้ นายไม่ถือสาเหรอ”

ลู่อวี๋กอดอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม “จะเป็นไปได้ไง พี่จะเอาผมไปแกะสลักเป็นหุ่นไม้ขายก็ยังได้”

หมิงเยี่ยนหัวเราะ ยีท้ายทอยเขา “เด็กโง่” ฉันจะขายนายลงได้ไง

ลู่อวี๋อยากจะซื้อกำไลข้อมือที่ราคาเกินงบเส้นนี้ พนักงานร้านจึงตาลุกวาว “คุณผู้ชายตาถึงมากจริงๆ ค่ะ ต้องการให้ฉันแก้เป็นสายนาฬิกาให้เลยไหมคะ” เธอขยับคล่องแคล่วเตรียมพร้อมนำลงกล่อง

“เดี๋ยวก่อน” ลู่อวี๋พลันหยุดความคิด หันไปถามหมิงเยี่ยน “พี่ได้ค่าคอมจากการขายด้วยหรือเปล่า”

หมิงเยี่ยนส่ายหน้า เอ่ยอธิบาย “ตอนนั้นฉันเซ็นสัญญาสำหรับดีไซเนอร์หน้าใหม่ ถ้าเกิดออกจากบริษัทไปแล้วเขาจะให้ค่าคอมแค่สามปี ตอนนี้หมดสัญญาแล้ว”

ในวงการแฟชั่น การขายสินค้านั้นต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบ และทรัพย์สินทางปัญญานี้จะมีผลตลอดไป แต่ว่าวงการนี้อยู่นานหลายปีจนอิ่มตัวเกินไป เริ่มมีการกลั่นแกล้งน้องใหม่ในวงการ ดีไซเนอร์หน้าใหม่ที่อยากแจ้งเกิดทำได้แค่เซ็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมทั้งน้ำตา

ลู่อวี๋ไม่สบอารมณ์ทันที เขาวางสร้อยข้อมือลง “งั้นไม่ซื้อ”

พนักงานที่ไม่ได้ยินบทสนทนาเบาๆ ของพวกเขาร้อนรนถามกลับ “คุณผู้ชาย มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”

ลู่อวี๋ตรงไปตรงมา “ฉันไม่มีตังค์!”

บทที่ 56

หิมะตก

 

ลู่อวี๋คิดว่านี่เทียบได้กับตอนที่เขาแต่งนิยายเสร็จหนึ่งเรื่องแล้วให้สำนักพิมพ์ตีพิมพ์และวางขาย แต่สำนักพิมพ์กลับไม่ยอมให้เงินเขา เขาทำได้แค่จ้องมองคนเขาวางขายงานตัวเองในร้านหนังสือ แต่กลับไม่มีแม้แต่ขนสักเส้นที่เกี่ยวข้องกับเขา แม้แต่หนังสืออภินันทนาการยังไม่ให้ ถ้าอยากได้ก็ต้องควักเงินซื้อเอง มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!

แค่คิดก็โมโหจนจะกระอักเลือด

หมิงเยี่ยนพยักหน้า แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พึงพอใจกับการตัดสินใจของลู่อวี๋มาก

อารมณ์ละเอียดอ่อนของผู้สร้างสรรค์ผลงานแบบนี้ คงมีแต่ลู่อวี๋ที่เข้าใจ

ลู่อวี๋ลากหมิงเยี่ยนออกจากร้าน RZ ท่ามกลางสายตาสับสนของพนักงาน ตรงไปยังร้านฝั่งตรงข้ามร้าน RZ ซื้อผ้าพันคอแคชเมียร์สองผืน ผืนหนึ่งสีน้ำเงิน ผืนหนึ่งสีแดง สีน้ำเงินเรียบหรูงามโดดเด่นเหนือธรรมดา ผืนนี้ของหมิงเยี่ยน สีแดงสดใสเปี่ยมความมีชีวิตชีวา ผืนนี้ของเขาเอง

“ทำไมไม่ซื้อสีเหลืองแปะก๊วยผืนนั้นล่ะ เข้ากับเสื้อสีเขียววันนี้ของนายมากกว่านะ” หมิงเยี่ยนมองลู่อวี๋แมตช์ชุดเขียวแดงอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ลู่อวี๋พึงพอใจกับการแมตช์ชุดของตัวเองมาก เพราะว่า ‘แดงน้ำเงินนั้นอยู่คู่กันมาแต่โบราณ เราสองคนเป็นคู่กัน คนหนึ่งควรจะสวมสีน้ำเงิน ส่วนอีกคนสวมสีแดง’

หมิงเยี่ยนถูกกระตุกต่อมหัวเราะอีกครั้ง ยื่นมือออกไปจัดผ้าพันคอให้เขาแล้วพันเป็นปมอย่างสวยงาม ผ้าพันคอนี้ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ สีแดงนี้ก็เลือกเฉดกำลังดี ทั้งสวยงามแล้วยังหรูหรา ช่วยขับใบหน้าหล่อเหลาขาวผ่องแบบที่ไม่โดนแดดมานานของลู่อวี๋ให้ดูเหมือนกับตุ๊กตาหิมะตัวจ้อย

ตุ๊กตาหิมะตัวนี้จู่ๆ ก็โผล่ออกมาในช่วงต้นฤดูหนาว หลังพันผ้าพันคอผืนนี้เขาก็กลายเป็นตุ๊กตาหิมะที่มีคนรับเลี้ยงแล้ว

เมื่อหมิงเยี่ยนคิดถึงตรงนี้ สีหน้าพลันหม่นหมองลงเล็กน้อย

ลู่อวี๋เอียงคอมองเขา “เป็นอะไรไป ผมใส่แล้วน่าเกลียดเหรอ”

หมิงเยี่ยนส่ายหน้า “ดูดีมาก ฉันถึงกับขอให้ฤดูใบไม้ผลิไม่ต้องรีบมาถึงเลยล่ะ”

ลู่อวี๋รู้สึกอิ่มเอมกับประโยคนี้มาก “พี่เยี่ยน พี่ควรไปเป็นกวีนะ”

ร้านแบรนด์เนมร้านนี้อยู่ใกล้กับประตูห้าง จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงคนพูด “หิมะตกแล้ว ว้าว รีบออกไปถ่ายรูปข้างหน้าเร็ว!”

ลู่อวี๋หันไปมอง เห็นเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าแล้วตกลงบนเกล็ดหิมะจำลองขนาดใหญ่หน้าประตูห้าง โรยเกล็ดน้ำตาลหนึ่งชั้นให้กับเกล็ดหิมะจำลองนั้น ยิ่งทำให้มันดูละมุนละไมยิ่งกว่าเดิม

เขาสังเกตเห็นว่ามีคนกำลังสแกนสมองอัจฉริยะตรงลูกบอลจิ๋วหน้าเกล็ดหิมะยักษ์ จากนั้นก็ไปยืนโพสท่ากับเพื่อนๆ หน้าเกล็ดหิมะ ลู่อวี๋เข้าใจทันที ลูกบอลนั่นคือกล้องถ่ายรูปจิ๋ว แค่เชื่อมต่อกับสมองอัจฉริยะก็สามารถถ่ายรูปแล้วส่งรูปตรงเข้าสมองอัจฉริยะได้เลย

ลู่อวี๋ดึงมือหมิงเยี่ยน “พวกเราไปถ่ายรูปกันเถอะ”

เช็กอิน ถ่ายรูป เป็นโปรแกรมที่ต้องทำเวลาไปเดต ทั้งคู่ไปถ่ายรูปคู่กับเกล็ดหิมะยักษ์อย่างกับคู่รักวัยรุ่นเมื่อหลายปีที่แล้ว

ลู่อวี๋สแกนลูกบอลจิ๋วนั่นอย่างกระดี๊กระด๊า แล้วลากหมิงเยี่ยนไปยืนหน้าเกล็ดหิมะจำลอง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงถ่ายรูป เสียงลู่ตงตงบนข้อมือแจ้งเตือน “พ่อครับ จะถ่ายรูปเหรอ”

ลู่อวี๋ “ใช่สิ ทำไมเธอถึงช้ากว่าสมองอัจฉริยะธรรมดาๆ ของคนอื่นเขาอีกเนี่ย”

ลู่ตงตงจนปัญญา “ต้องกดยืนยันบนสมองอัจฉริยะด้วยครับ ช่างเถอะ เดี๋ยวผมช่วยตั้งค่าเอง”

ด้วยเหตุนี้ลู่อวี๋จึงไม่ต้องทำแม้แต่ขั้นตอนการยืนยัน สุดยอดผู้ช่วยสมองอัจฉริยะลู่ตงตงก็ช่วยเขาปรับพารามิเตอร์* การถ่ายรูปให้เรียบร้อย ยืนยันการเชื่อมต่อกับกล้องภายนอกโดยอัตโนมัติ และปิดการโพสต์รูปอัตโนมัติกับโปรแกรมที่เป็นไปได้ที่จะถูกแอบดูดข้อมูลส่วนตัว แล้วจึงเอ่ยแจ้ง “พ่อครับ พวกคุณช่วยขยับไปทางซ้ายยี่สิบเซนติเมตรหน่อยครับ มุมนี้แสงสวย”

มีคนใช้สมองอัจฉริยะเยอะแยะมากมาย แต่มีเพียงลู่อวี๋ที่ทำให้สมองอัจฉริยะทำทุกอย่างอย่างอัตโนมัติได้จริงๆ

ลู่อวี๋โอบเอวหมิงเยี่ยนขยับไปทางซ้ายครึ่งก้าว ชูมือซ้ายทำท่าหัวใจกับพี่เยี่ยนอย่างมีความสุข ทว่าจังหวะที่ลู่ตงตงตะโกน “หนึ่ง สอง สาม” หมิงเยี่ยนพลันขยับเข้าไปหอมแก้มลู่อวี๋

แชะ! ภาพถูกแช่ไว้ที่โมเมนต์นั้น เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่นึกฝันทำให้ลู่อวี๋ในภาพชูแขนค้อมตัว เบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่ปากยิ้มแหยอย่างคนโง่ ดูเหมือนอุรังอุตังสติคลั่งกำลังจะปากล้วยใส่คน

ลู่อวี๋ถ่ายเสร็จก็ไม่แม้แต่จะสนใจเช็กรูปของตัวเอง เขาหันมองหมิงเยี่ยนด้วยสายตาอึ้งๆ มือไม้ปัดไปมาพูดจาไม่เป็นประโยค “พี่เยี่ยน พี่จุ๊บผม? เมื่อกี้…พี่จุ๊บผม!”

หมิงเยี่ยนทำเพียงตอบ “อืม” ด้วยสีหน้าราบเรียบ ราวกับมันเป็นแค่เรื่องปกติธรรมดาทั่วไป

ลู่อวี๋ยกมือขึ้นหมายจะลูบจุดที่ถูกจุ๊บ แต่ก็ไม่อยากทำลายร่องรอยความอุ่นที่ยังคงเหลือติดอยู่ “งะ…งั้นผม…สะ…สอบผ่านแล้วใช่หรือเปล่า”

หมิงเยี่ยนแหงนหน้า มองหิมะที่โปรยปรายลงจากม่านฟ้าอย่างสบายอกสบายใจพลางยิ้มบางๆ “ฉันแค่คิดว่านายพูดได้มีเหตุผล”

ลู่อวี๋ไล่สรุปรวบยอดเรื่องราวทั้งหมดที่ทำในวันนี้ในหัวหนึ่งรอบด้วยความเร็วว่าตรงไหนกันแน่ที่ทำให้คนงามชอบใจ พลันปิ๊งไอเดีย “เพราะงี้คนอ่อนไหวสองคนถึงควรอยู่ด้วยกันใช่ไหมครับ”

หมิงเยี่ยนถอนสายตาที่จ้องมองหิมะกลับมาแล้วหันไปมองลู่อวี๋ ความเจ้าเล่ห์เผยออกมาทางแววตาหลายส่วน เขาเอ่ยพลางยิ้มถือดี “ต้องรีบใช้เวลาเพลิดเพลินกับหนุ่มมหา’ลัยแล้ว”

“หา?” ลู่อวี๋เลิกคิ้วข้างหนึ่ง ขยับเข้าไปใช้ปลายจมูกจ่อปลายจมูกอีกฝ่าย “งั้นพี่อยากลองเพลิดเพลินกับส่วนอื่นของหนุ่มมหา’ลัยไหมล่ะครับ” ปลายจมูกหมิงเยี่ยนเย็นเฉียบด้วยความหนาว เกล็ดหิมะน้อยๆ ตกลงมาบนนั้น แล้วละลายไปในพริบตาที่ลู่อวี๋สัมผัส

“ไม่เอา” หมิงเยี่ยนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย หมุนตัวเดินหนี

ลู่อวี๋ก้าวตามทันในสองก้าว กอดเอวเขา “ฮิๆ จับได้แล้ว ให้ผมจุ๊บทีนึงสิ หนุ่มมหา’ลัยคนนี้ขอเรียกร้องความยุติธรรมนะคร้าบ ทำมาก็ต้องทำกลับ!”

หมิงเยี่ยนหัวเราะพลางเบี่ยงตัวหลบ “ไม่เล่น มีคนมองตั้งเยอะแยะ”

“งั้นให้ผมจุ๊บทีนึงจะไม่กวนแล้ว”

“ฮ่าๆๆๆๆ…”

หลังจากถ่ายรูปเช็กอินเสร็จแล้วทั้งคู่ก็ขับรถไปสถานีถัดไปของการเดต

ลู่อวี๋นั่งเบาะข้างคนขับ มองรูปที่ถ่ายเมื่อกี้อย่างสุขสันต์ ถึงแม้จะถ่ายเขาออกมาได้ดูโง่มาก แต่หน้าด้านข้างของหมิงเยี่ยนกลับออกมาสมบูรณ์แบบ โครงหน้าสง่างามชัดเจน แพขนตายาวมีเกล็ดหิมะเกาะ ดวงตาคู่งามกับหางตาชี้ขึ้นพอเหมาะพอดี งดงามจนไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริง

“ไอ้หยา ตอนเค้าถ่ายรูป จู่ๆ ไม่รู้ใครที่ไหนเข้ามาจุ๊บเค้าแหละ” ลู่อวี๋เลียนแบบน้ำเสียงน่ารักๆ ของแม่ยาย “สวยจังเลยเนอะ ต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ เลย!”

คำพูดนั้นหวานเลี่ยนเกินทน หมิงเยี่ยนมุมปากกระตุก ทำเป็นไม่ได้ยิน

ลู่อวี๋ยังคงหัวเราะคิกคักไม่หยุด เขาตั้งรูปนั้นเป็นวอลล์เปเปอร์หน้าจอของสมองอัจฉริยะ แต่กลัวว่าจะไม่มากพอ เลยเปลี่ยนภาพพื้นหลังทุกที่ที่เปลี่ยนได้ให้เป็นภาพนี้ จากนั้นส่งรูปให้เหล่าหยาง

 

สุนัขลู่ : เหล่าหยางดูนี่ หิมะตกแล้ว!

เหล่าหยาง : …หิมะตกจริงๆ นั่นแหละ มิน่าล่ะฉันถึงได้ยินเสียงชามข้าวหมาดังก๊องแก๊งๆ

 

ลู่อวี๋จุปาก อารมณ์ขันของเหล่าหยางพัฒนาขึ้นเยอะเลย ไม่เลวๆ จากนั้นเขาส่งรูปต่อให้คนอื่น คราวนี้ส่งให้กระเทียมเยอะแยะ

 

[จับปลาบนดินแล้ง V : เจ้ากระเทียม หิมะตกแล้ว!]

[กระเทียมเยอะแยะ : ฉันพิมพ์งานยันตีสี่กว่าจะได้นอน เพิ่งตื่นไม่ทันไรก็ต้องเห็นรูปนี้น่ะนะ ฉันตายแบบเฉียบพลันได้เลยนะเว้ย! เจ้าดินแล้ง นายอยากฆ่าชิงบัลลังก์ฉันใช่ไหมหา?]

 

ลู่อวี๋พึงพอใจกับปฏิกิริยาของเพื่อนเกย์มาก เขาลูบคาง จากนั้นส่งให้พี่ใหญ่ท็อปโดเนต

 

ลู่อวี๋ : ขอบคุณพี่ใหญ่ที่สนับสนุนค่าผ้าพันคอ ผมใช้ค่าของขวัญที่พี่ใหญ่ให้ซื้อล่ะ

พี่ใหญ่ท็อปโดเนต : นายนี่ขี้ตืดจริงๆ ให้แสนนึงนายเอาไปซื้อผ้าพันคอสองผืนเนี่ยนะ? ทำไมคนอย่างนายถึงมีเมียได้วะเนี่ย

 

ลู่อวี๋อยากตอบว่า ‘นั่นก็ต้องเป็นเพราะว่าฉันหน้าตาดีน่ะสิ’ แต่อีกฝ่ายเป็นถึงพี่ใหญ่ท็อปโดเนต เขาควรรักษาความเคารพต่ออีกฝ่ายไว้ดีกว่า เลยส่งแค่สติกเกอร์หน้าแมวลำพองใจกลับไป แล้วเงียบปาก

เขาครุ่นคิด สุดท้ายก็กดส่งให้ประธานซีเหมินที่ไม่ได้ติดต่อนานหลายวัน เพราะว่าไลฟ์สตรีมของเขาดังทะลุปรอท ท่าทีของฝั่งชิงฉวีแคปิตอลจึงดีขึ้นชัดเจน ประธานซีเหมินไม่มาวางท่ายุแยงถึงที่อีก ทำให้ลู่อวี๋รู้สึกเหงาไม่น้อย

 

ลู่อวี๋ : เหมินชิง หิมะตกแล้ว! เอารูปบรรยากาศมาให้ดู!

 

แชตฝั่งประธานซีเหมินขึ้นว่ากำลังพิมพ์ กำลังพิมพ์อยู่ครึ่งค่อนวันแล้วสุดท้ายก็ไม่ตอบอะไรกลับมา

ลู่อวี๋จ้องอยู่ครู่ใหญ่ “โถๆๆ คงไม่ได้ร้องไห้หรอกมั้งเนี่ย”

ถึงอวดรูปกับหลายคนแล้วแต่ลู่อวี๋ก็ยังรู้สึกไม่พอใจ อยากส่งรูปลงกรุ๊ปบริษัทให้พนักงานทุกคนเห็น แต่คิดได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ พวกพนักงานคงไม่อยากเห็นข้อความจากเถ้าแก่เท่าไหร่ งั้นช่างมันแล้วกัน

“เฮ้อ ผมมีคนรู้จักน้อยจัง ช่วงเวลาดีงามแบบนี้กลับเงียบสงบเหมือนหิมะโปรย” ลู่อวี๋มองหิมะนอกหน้าต่าง วิญญาณกวีเข้าสิงอย่างอดไม่ได้ “ตำนานกล่าวว่าจักได้พบรักแท้ยามหิมะแรกโปรยปราย เพราะหิมะขาวพรายฝังกลบโลกหม่นหมอง เหลือเพียงสีขาวผุดผ่องกับความรักจากใจผม หิมะเอย เจ้าช่างขาวนัก พี่เยี่ยนเอย ผมอยากทำกับพี่…แค่ก”

หมิงเยี่ยนเหลือบมองเขา “ทำไมไม่คล้องจองแล้วล่ะ”

ลู่อวี๋ร้อนรนมองไปรอบๆ ดวงตาพลันส่องประกาย “มันเผา! พี่เยี่ยน จอดรถก่อน ผมขอลงไปซื้อมันเผาหน่อย มันเผาหน้าโรงเรียนมอปลายผมอร่อยที่สุดแล้ว”

พวกเขาขับมาถึงหน้าโรงเรียนมัธยมปลายของลู่อวี๋พอดี

ตอนสอบเข้ามัธยมปลายเขาสอบไม่ติดโรงเรียนที่ดีที่สุด เลยเข้าโรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ บ้านแทน

ไม่นึกเลยว่าคุณลุงที่ขายมันเผาจะยังเป็นคนเดิมอยู่ เพียงแต่ตอนนี้เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาวล้วนไปแล้ว

บนรถสามล้อตั้งเตาอบดินเหลืองแบบโบราณ ด้านบนครอบด้วยโถกระเบื้องเคลือบเก่าๆ วางมันเผาที่เผาเรียบร้อยแล้วไว้รอบๆ ส่งกลิ่นหอมและมีน้ำตาลของมันไหลเยิ้มออกมา หน้าแผงตั้งเครื่องจ่ายเงินสมองอัจฉริยะ และยังมีจอดิจิตอลที่ทำแบบเรียบง่าย เขียนข้อความไว้ว่า ‘มันเผาเจ้าเก่า’ วันนี้วันเสาร์ เด็กนักเรียนหยุดเรียนกลับบ้านกัน คุณปู่จึงเปิดเพลงร็อกแอนด์โรลเรียกลูกค้าอย่างไม่กลัวเสียงดังรบกวน พั้งก์ร็อกสุดๆ

ลู่อวี๋เข้าไปเลือกมันเผาที่เปลือกมีน้ำตาลไหม้เกาะอยู่หนึ่งหัว “ปู่ ยังอินเทรนด์เหมือนเดิมเลย!”

“เอ็งเองเรอะ ไม่ได้เห็นนานแล้วนะเนี่ย!” คุณปู่จำลูกค้าประจำที่กลับมาอุดหนุนบ่อยๆ ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้ เขาหัวเราะ “เราก็ต้องตามยุคสมัยให้ทันไม่ใช่รึ อย่างน้อยก็อย่าให้เด็กรุ่นใหม่ดูถูกเราได้”

ลู่อวี๋ประคองมันเผาร้อนๆ ขณะกำลังจะกลับขึ้นรถ จู่ๆ ก็เหลือบเห็นแผ่นหลังคุ้นเคยของคนสองคน

คุณพ่อลู่ที่สวมสูทกับรองเท้าหนังกับคุณแม่ลู่ที่แต่งตัวหรูหราเลอค่า พวกเขาเดินลงจากรถเพื่อการพาณิชย์สีดำ คุณพ่อลู่โบกมือให้กับกลุ่มนักเรียนที่เพิ่งเลิกเรียน เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปดสวมชุดนักเรียนเดินหน้าเหม็นเบื่อออกมา เมื่อเห็นคุณแม่ลู่ ถึงสีหน้าจะยังคงบูดบึ้งเหมือนเดิม แต่กลับวิ่งเข้าไปหาอย่างกับลูกนก กระโจนเข้าสู่อ้อมแขนมารดา

คิดดูแล้ว นั่นคงเป็นลู่ถิงเจ๋อที่โตแล้วสินะ

คุณพ่อลู่ยิ้มพลางรับกระเป๋าหนังสือในมือลูกชายมาถือ

ลู่อวี๋มองภาพตรงหน้าอึ้งๆ มันเป็นภาพพ่อแม่มารับลูกหลังเลิกเรียนที่แสนปกติธรรมดา แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าเด็กมัธยมปลายก็สามารถมารับส่งเช่นนี้ได้

มือเรียวยาวอบอุ่นข้างหนึ่งยื่นเข้ามาปิดดวงตาของลู่อวี๋

เสียงไพเราะอ่อนโยนของหมิงเยี่ยนดังขึ้นข้างหู พร้อมเสียงหายใจราวกับจะกล่อมให้หลับฝันดี “อย่ามอง”

ลู่อวี๋กุมมือข้างที่ปิดดวงตาเขา ค่อยๆ ดึงมันลง แล้วจูบหนักๆ อย่างลุ่มลึกบนฝ่ามือ ก่อนหันไปโผเข้าใส่อ้อมแขนของหมิงเยี่ยน “ไม่เป็นไร ผมไม่รู้สึกเศร้าหรอก ผมก็มีบ้านเหมือนกัน”

 

 

* พารามิเตอร์ (Parameter) คือตัวแปรที่ใส่เข้าไปในฟังก์ชันหรือโปรแกรมเพื่อให้แสดงผลตามที่ต้องการ

บทที่ 57

แรงบันดาลใจ

 

หมิงเยี่ยนแค่รู้สึกเหมือนถูกสัตว์ตัวใหญ่ๆ กระโจนเข้าใส่เต็มรัก อีกฝ่ายยังพยายามโถมร่างกายที่สูงกว่าซุกในเสื้อโค้ตของเขา เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยลู่อวี๋ พูดเหมือนกล่อมเด็กน้อย “ใช่แล้ว นายหญิงหมิงมีบ้านของตัวเองแล้ว พวกเราไม่ได้มีน้อยกว่าหรอก”

ลู่อวี๋ได้ฟังคำนั้นก็กอดแน่นกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้เขาไม่มีความมั่นใจที่จะพูดอะไรแบบนี้ออกมา แต่เมื่อกี้พี่เยี่ยนเพิ่งจะหอมแก้มเขา ยืนยันสถานะแฟนหนุ่มของเขา ตอนนี้ยังยอมรับฐานะ ‘นายหญิงหมิง’ กับปากตัวเอง ลู่อวี๋รู้สึกล่องลอย เหมือนว่าถ้าตัวเองไม่กอดพี่เยี่ยนให้แน่นเท้าก็จะลอยขึ้นจากพื้น

หมิงเยี่ยนมองครอบครัวนั้นเดินไกลออกไปผ่านลาดไหล่ลู่อวี๋ แล้วดึงสายตากลับมา โอบแผ่นหลังลู่อวี๋เบาๆ

ลู่อวี๋พูดเสียงอู้อี้ “พี่เยี่ยน ผมอยากกอดพี่ต่ออีกหน่อยนะ แต่ว่า…มันเผาโคตรร้อนเลยอะ”

หมิงเยี่ยนหัวเราะ ปล่อยลู่อวี๋แล้วรับมันเผาในมือเขามาถือ มันร้อนมากจริงๆ คนตรงหน้ารีบร้อนจะกินเลยไม่ได้ขอถุงกับคุณปู่ เมื่อกี้จึงถือด้วยมือเปล่าไปครู่ค่อนใหญ่

ลู่อวี๋สะบัดมือ แล้วเอามันเผามาถือสลับไปมาระหว่างมือสองข้าง “พวกเราขึ้นไปกินบนรถกันเถอะ”

“ไม่ได้” หมิงเยี่ยนปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด “ห้ามกินของที่มีกลิ่นบนรถของฉัน”

“งั้น…” ลู่อวี๋มองซ้ายแลขวา ก่อนชี้มุมกำแพงใต้ต้นไม้หน้าโรงเรียน “พวกเราไปนั่งยองกินตรงนั้นกัน ตรงนั้นมีที่บังลม ถ้ายืนกินโต้ลมผมกลัวพี่จะท้องเสีย”

หมิงเยี่ยน “…งั้นก็ไปกินบนรถเถอะ”

นั่งยองกินอยู่ตรงตีนกำแพงมันประหลาดเกินไปแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ในเครื่องจำลองสักหน่อย ถ้าเกิดมีคนถ่ายรูปไว้ได้แล้วพาดหัวว่า สองสามีสามีประธานบริษัทดังนั่งยองกินมันเผาข้างกำแพง น่าอดสู’ มันน่าอายกว่าพาดหัวข่าว ‘ประธานบริษัทควักลูกตาคางคกถึงหน้าบ้านคู่แข่ง’ เยอะ

ทั้งสองกลับขึ้นรถ แบ่งมันเผากันคนละครึ่ง

ลู่อวี๋บิมันเผาเป็นสองซีก เอาครึ่งที่เผาจนเปลือกเกรียมๆ ให้หมิงเยี่ยน กำชับเป็นพิเศษว่า “ตรงที่ไหม้นิดๆ ตรงนั้นจะกรอบกำลังดี เป็นส่วนที่อร่อยที่สุด อย่าโยนทิ้งนะ” ว่าพลางช่วยหมิงเยี่ยนปอกเปลือกส่วนที่ไหม้เกรียมออก เผยให้เห็นเนื้อที่ถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทองปานรังผึ้งและกรอบอร่อย

หมิงเยี่ยนตะลึง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เองหรอกเหรอ”

ลู่อวี๋เงยหน้า “ทำไมเหรอ”

หมิงเยี่ยนมองมันเผาครึ่งหนึ่งในมือด้วยสีหน้าซับซ้อน “ก่อนหน้านี้ลู่ต้าอวี๋ก็เคยแบ่งมันเผาที่ซื้อมาให้ฉันกิน…”

ตอนนั้นลู่ต้าอวี๋เอาครึ่งที่ถูกเผาเกรียมให้เขา ตอนแรกเขายังคิดอยู่เลยว่าอีกฝ่ายไม่มีความเกรงใจต่อกันเลย แต่พอคิดอีกทีตัวเองก็ไม่ใช่แฟนของอีกฝ่าย อีกฝ่ายย่อมไม่จำเป็นต้องเอาส่วนดีให้เขาอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อคิดเชื่อมโยงกับตอนที่ลู่อวี๋อยู่กับเหล่าหยาง พวกเขาสองคนมักจะแย่งของกินอร่อยๆ เสมอ แทบอยากจะเอาดินให้อีกฝ่ายกินด้วยซ้ำ เท่านี้ก็อธิบายทุกอย่างแล้ว

ยังไม่ทันพูดสิ้นเสียงดี ลู่อวี๋ก็เข้าใจในทันใด คุณชายน้อยตระกูลใหญ่อย่างหมิงเยี่ยนคงไม่เคยกินมันเผาจากเตาดินแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าฝั่งนั้นจะอร่อยกว่า แล้วเจ้าลู่ต้าอวี๋อาจจะลืมนึกถึงเรื่องนี้ หรืออาจจะชินกับการอมพะนำไม่ยอมพูด เลยไม่ได้อธิบายกับหมิงเยี่ยน

ลู่อวี๋หัวเราะ “วางใจเถอะ ไม่ว่าจะผมหรือลู่ต้าอวี๋ก็ต้องเก็บของดีๆ ไว้ให้พี่เยี่ยนอยู่แล้ว”

หมิงเยี่ยนถอนหายใจ ลูบใบหน้าลู่อวี๋ที่เปื้อนเขม่าถ่านอย่างรู้สึกผิด

ลู่อวี๋คลอเคลียกับปลายนิ้วนั้นอย่างมีความสุขพร้อมเอ่ย “รีบกิน เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย กินเสร็จเราไปสถานีถัดไปกัน” วันนี้เขาคาดหวังต่อแพลนการเดตทุกโปรแกรมมาก นี่เป็นเดตอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเขา ต่อให้ฟ้าถล่มก็จะล้มเลิกกลางคันไม่ได้

โปรแกรมเดตช่วงบ่ายคือชมงานนิทรรศการจำกัดเวลาแห่งหนึ่ง ชื่อว่าท้องฟ้าพร่างดาว มันเป็นนิทรรศการที่ผสมผสานระหว่างศิลปะกับเทคโนโลยี เปิดให้เข้าชมแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น เนื้อหาหลักๆ คือการใช้เทคโนโลยีระดับสูงมาจำลองท้องฟ้ายามราตรีและกาแล็กซี่ ค่าเข้าชมคนละสองร้อยหยวน

นิทรรศการท้องฟ้าพร่างดาวจัดในหอศิลป์เล็กๆ แห่งหนึ่ง สามารถเข้างานได้ครั้งละหกคน คนที่อยู่กลุ่มเดียวกับพวกเขาเป็นคู่รักชายหญิงคู่หนึ่งกับคู่สาวเพื่อนสนิทอีกคู่หนึ่ง

ลู่อวี๋จับมือหมิงเยี่ยนเดินเข้าไปทีละก้าวๆ “จับผมแน่นๆ นะ เดี๋ยวถ้าเกิดมีหลุมดำโผล่ออกมาพวกเราจะได้ไม่แยกกัน แบบนี้ต่อให้ทะลุมิติก็จะได้ทะลุไปอยู่ในยุคเดียวกัน”

คู่รักวัยรุ่นข้างๆ สบสายตา ก่อนเบะปากออกมาพร้อมกัน มีคนเสี่ยวยิ่งกว่าพวกเขาได้ไง

สองสาวเพื่อนรักกลับมองกันตาลุกวาว เดินก้าวย่ำเงียบๆ

กลุ่มคนเดินเข้าไปยังใจกลาง ล้อมเป็นวงกลม แล้วยืนหันหลังมองออกไป ไฟดับลง สภาพแวดล้อมค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมืดสลัวลง แสงดวงดาวระยิบระยับปรากฏขึ้นมา

มันเป็นภาพสามร้อยหกสิบองศา พื้นดำสนิทค่อยๆ จมลึกลงไป มีจุดแสงกะพริบอย่างไม่มีหลักการ ราวกับเหวลึกที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด จากนั้นจุดแสงเหล่านั้นก็แผ่ขยายไปรอบๆ ถึงหลังคาโดม จุดแสงค่อยๆ เชื่อมกันเป็นผืนเดียว พริบตาก็กลายเป็นทางช้างเผือกอันไร้สิ้นสุด

ทั้งหกคนราวกับยืนอยู่กลางจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล มองดวงดาวที่คงอยู่เป็นนิรันดร์นับแต่โบราณกาลรอบตัวค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

“ว้าว!” มีคนร้องออกมาเบาๆ

หลังชื่นชมทะเลดวงดาวอันไร้ที่สิ้นสุดจบ หมู่ดาวยามราตรีก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไป เมื่อมองดูดีๆ มันไม่ได้ขยับห่างออกไป หากแต่ทั้งหกคนเริ่มเข้าไปใกล้ดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง

ดาวดวงนั้นพื้นผิวของมันเป็นเปลวเพลิงเผาไหม้อย่างร้อนแรง สว่างจ้าแสบตา จากนั้นจู่ๆ มันก็เริ่มพองตัว อุณหภูมิสูงพุ่งปะทะใบหน้าเข้ามา กลืนกินกลุ่มคนที่กำลังมองอย่างครึกครื้น

มันกำลังแสดงวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง สุดท้ายดาวฤกษ์มหึมานั้นก็ระเบิดอย่างรุนแรงเกินกว่าจะบรรยาย แล้วยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหลุมดำที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง บดขยี้สิ่งรอบข้างให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง

เป็นอย่างที่ปากพระร่วงของลู่อวี๋พูดไว้

เหล่าเพื่อนร่วมกลุ่มที่จมดิ่งอยู่ในนั้นพากันร้องด้วยความตกใจอย่างอดไม่ได้ ตอนนั้นหมิงเยี่ยนจับมือลู่อวี๋แน่นขึ้นด้วยกลัวว่าเขาจะตกลงไป ส่วนลู่อวี๋ก็กอดอีกฝ่ายไว้ “พี่เยี่ยน ต่อให้ตายเราจะไม่แยกจากกัน! ถ้าเกิดทะลุมิติ พี่ก็ไปด้วยกันกับผมเถอะ”

สาวน้อยที่กรี๊ดโผเข้าใส่อ้อมอกแฟนหนุ่มอีกฝั่ง “…” เธอสู้ไม่ไหวจริงๆ เลยทุบอกแฟนหนุ่มไปหนึ่งหมัด

ชายหนุ่ม “อะไร”

สาวน้อย “ตัวเองดูคู่นั้น เขาหยอกกันเก่งมาก แต่ตัวเองอย่างกับท่อนไม้เลย”

ชายหนุ่มหัวเราะอย่างสง่างาม สบถสาบานอย่างหนักแน่น “มันของปลอมทั้งนั้น กลัวอะไร”

หลังจากหลุมดำแตกสลาย ทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ ดาวฤกษ์ดวงใหม่ถือกำเนิดอีกครั้งแล้วออกห่างจากพวกเขาไปไกลแสนไกล สุดท้ายก็กลายเป็นทางช้างเผือกไร้ก้นบึ้ง

เงินสองร้อยหยวน ให้ชมแค่สิบห้านาที ชายหนุ่มที่มากับแฟนสาวคนนั้นตะโกนเสียงดังว่าโดนหลอกกินตังค์แล้ว

ทว่าหมิงเยี่ยนกลับรู้สึกคุ้มค่ามาก เขาพูดกับลู่อวี๋อย่างตื่นเต้น “ฉันคิดออกแล้วว่านาฬิกาเรือนต่อไปจะออกแบบยังไงดี ฉันจะออกแบบหลุมดำแห่งกาลเวลา พื้นหลังเป็นน้ำวนสีดำที่กลืนกินห้วงเวลาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ข้างหน้าคือดวงดารายามค่ำคืนที่หมุนวนอย่างดิ้นรน”

ลู่อวี๋ดวงตาเป็นประกาย “แค่ฟังก็รู้สึกเจ๋งแล้ว!”

หมิงเยี่ยนมีความสุขมาก หันไปมองลู่อวี๋ “นายตระหนักอะไรได้บ้างไหม”

มาเดตแท้ๆ ไหงถึงมีคำถามแบบสุ่มเหมือนในห้องเรียนโผล่มาได้ล่ะเนี่ย ลู่อวี๋รู้สึกกินปูนร้อนท้อง เมื่อกี้นอกจากดูการแสดงสีสันตระการตาพวกนั้นแล้วก็มองแต่หน้าหมิงเยี่ยน ไม่ได้ใช้เวลาครุ่นคิดอะไรเลย

แต่ว่านี่ทำอะไรลู่เสี่ยวอวี๋ที่แรงบันดาลใจพลุ่งพล่านไม่ได้ เขาหวนคิดพลางลูบคาง “ผมคิดว่าเรื่องต่อไปอาจจะเขียนธีมเกี่ยวกับสงครามดาราจักร อืม แต่ว่าแนวนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับกลุ่มผู้ชายเท่าไหร่ ดังยาก เว้นแต่ว่าจะแทรกเป็นอาร์กหนึ่งในนิยายทะลุมิติ หรือไม่ก็ใส่เซ็ตติ้งเกี่ยวกับ ‘เทพสงครามแต่งเข้า’ อะไรทำนองนี้เข้าไปด้วย”

หมิงเยี่ยนมองเขาอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “เทพสงคราม…แต่งเข้า?”

ลู่อวี๋พยักหน้า เริ่มจ้ออย่างตื่นเต้น “ก็คือแนวแบบว่าเทพสงครามแห่งดาราจักรได้รับบาดเจ็บ แล้วถูกบีบให้ไปเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านสตรี ตอนถูกดูหมิ่นรังแกก็จะตะคอกคำรามด้วยความเดือดดาลว่า ‘สามสิบปีแม่น้ำอยู่ฝั่งตะวันออก อีกสามสิบปีแม่น้ำไหลไปฝั่งตะวันตก* อย่าดูแคลนเด็กหนุ่มยามยาก!’ น่ะ”

หมิงเยี่ยน “…”

ลู่อวี๋เกาหัว “ไม่งั้นผมเปิดแอ็กหลุมไปแต่งนิยายวายลงจิ้นเจียงดีมะ” แนวระหว่างดวงดาวไม่เป็นที่นิยมในนักอ่านกลุ่มผู้ชาย แต่ถ้าในจิ้นเจียงก็พอได้

หมิงเยี่ยนมุมปากกระตุก “ถ้าเป็นนิยายวายนายจะเขียนยังไง”

“สงครามระหว่างดวงดาวอย่างเดียวไม่ค่อยน่าอ่าน แล้วก็เขียนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ยาก ถ้าจะเขียนนิยายวายแนวระหว่างดวงดาวก็ต้องเลือกเขียนแนว ABO**” ลู่อวี๋ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันฟังดูใช้ได้ หมัดซ้ายชกมือขวา “งั้นก็เขียน ‘อัลฟ่าผู้แต่งเข้า’ แล้วกัน!”

หมิงเยี่ยน “???”

เขาคร้านจะฟังต่อ หมุนตัวเดินไปเปิดประตูรถ ลู่อวี๋ที่จู่ๆ ผุดไอเดียบรรเจิดพูดจ้อไล่หลังเขาไม่หยุดปาก พรรณนาเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ที่ตัวเองเพิ่งคิดได้หมาดๆ “เดิมทีเขาเป็นอัลฟ่าเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งหน่วยเรือรบทางช้างเผือก แต่อันดับตกเพราะได้รับบาดเจ็บหนักกลายเป็นคนพิการ ถูกเพื่อนๆ ขับไล่ไสส่ง ตระกูลก็ดูหมิ่นรังแกเขา ด้วยความโกรธแค้นเขาจึงตัดสินใจเป็นเขยแต่งเข้าตระกูลหมิง กลายเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านโอเมก้าตระกูลหมิง!”

หมิงเยี่ยนเพิ่งจะเปิดประตูรถ ได้ยินประโยคนี้ก็หลุดขำพรืด ก่อนหันหลังไปดันเจ้าคนที่เกาะติดเขาออกไป “เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ไปขึ้นรถฝั่งนู้น” ฝั่งนี้เป็นฝั่งคนขับรถ หมอนี่แทบจะเบียดเขาชนพวงมาลัยรถอยู่แล้วเพราะมัวแต่โม้ไม่เลิก

“ไม่ได้เพ้อเจ้อสักหน่อย นี่คือคำพูดจากใจของผม ผมละอยากให้ที่นี่เป็นโลก ABO มากเลย ในฐานะที่พี่เป็นโอเมก้าเดียวของตระกูล แน่นอนว่าจะต้องหาลูกเขยแต่งเข้าตระกูล แต่อัลฟ่าทั่วไปไม่ยินดีแต่งเข้าหรอกนะ มีแค่ผมที่เต็มใจจริงๆ แถมพกทรัพย์สินมาด้วย จริงใจไม่จิงโจ้”

 

การออกเดตวันนี้จบลงอย่างอิ่มเอมใจหลังจากไปกินอาหารมื้อใหญ่หนึ่งมื้อ

กลับมาถึงบ้าน หมิงเยี่ยนนั่งชันเข่าบนโซฟา ถือกระดาษวาดรูปสเก็ตช์อย่างเร็ว พยายามจดบันทึกแรงบันดาลใจในวันนี้ เขาวาดหน้าปัดนาฬิกาที่ด้านหน้าเป็นท้องฟ้ายามราตรี ขณะกำลังจะวาดโลโก้หมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีลงไป จู่ๆ เนื้อเรื่องที่มีเลเวลความล้างสมองสูงลิ่วของลู่อวี๋ก็พลันเด้งขึ้นมาในสมอง ABO alpha omega อัลฟ่า โอเมก้า…แล้วเขาก็มือไวเผลอวาดโลโก้แบรนด์ OMEGA ลงไปบนหน้าปัด

หมิงเยี่ยน “…”

 

* สามสิบปีแม่น้ำอยู่ฝั่งตะวันออก อีกสามสิบปีแม่น้ำไหลไปฝั่งตะวันตก หมายถึงชะตาชีวิตคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่าดูแคลนใครเพียงเพราะเขากำลังยากลำบาก

** ABO หรือโอเมก้าเวิร์ส (Omegaverse) คืองานเขียนซึ่งจินตนาการถึงโลกที่มนุษย์มีเพศรองเป็น ‘อัลฟ่า’ ‘เบต้า’ และ ‘โอเมก้า’ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับสถานภาพทางสังคมของแต่ละคน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: