ทดลองอ่านเรื่อง ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2
ผู้เขียน : ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 58
ยั่วยวน
หมิงเยี่ยนหยุดมือ หันไปมองตัวการของเรื่อง
ลู่อวี๋ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กำลังเล่นเกม ‘หนึ่ง สอง สาม หยุด’ กับเด็กๆ เขายืนหันหลังอยู่นิ่งๆ แล้วลูกโป่งสองตัวก็เริ่มลอยมาข้างเขาจากฝั่งห้องนอน ใครแตะตัวลู่อวี๋ได้ก่อนก็จะชนะ ผู้ชนะจะได้รับเงินค่าขนมเป็นรางวัล
นัยน์ตาดิจิตอลของลู่ตงตงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาสนุกมาก ลอยไปพลางส่ายหางไม่หยุด
ลู่อวี๋หันหลังตะโกน “หนึ่ง สอง สาม…หยุด!” เขาพูดออกไปเร็วๆ แล้วก็หันขวับกลับมาอย่างเร็วแรง
ลูกโป่งเงือกหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมทันใด หางเงือกก็หยุดค้างไม่กระดิก จริงจังไม่น้อย
เสิ่นไป๋สุ่ยทำหน้าทำตาไม่มีความสุข คล้ายคิดว่าเกมนี้เด็กน้อยเกินไป แต่เพื่อเงินค่าขนม สุดท้ายก็เข้าร่วมอยู่ดี เขากลอกตาพร้อมลอยอยู่กลางอากาศ ใครจะคิดว่าประธานเสิ่นผู้ร่ำรวยอันดับหนึ่งในโลกตัวเองเมื่ออยู่ที่นี่จะเป็นแค่ลูกโป่งจนกรอบตัวหนึ่ง
“เจ้ารอง ตั้งใจหน่อยซี่ เดี๋ยวพี่ชายจับตัวปะป๊าได้ก่อนนายจะไม่เหลือค่าขนมไว้ใช้แล้วนะ” ลู่อวี๋พูดกระตุ้นลูกโป่งท่านประธานที่ขยับช้าเป็นเต่า
ได้ยินคำนี้ในที่สุดลูกโป่งท่านประธานก็จริงจังขึ้นมาและเริ่มเล่นเกมอย่างกระตือรือร้น “ฉันไม่เคยแพ้การเล่นเกม ไม่ว่าเกมไหนทั้งนั้น” เดิมทีในเรื่อง ‘เรือนทองคำ’ ของเขาก็เป็นเรื่องราวที่ต้องฝ่าฟันเกมทดสอบอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งอยู่แล้ว ในฐานะผู้ชนะที่ยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้าย เสิ่นไป๋สุ่ยไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะชนะเกมเด็กๆ นี่ไม่ได้
หมิงเยี่ยนมองด้วยความอึ้ง “สมองอัจฉริยะถึงกับสร้างความต้องการออกมาเองได้ด้วยเหรอ”
ลู่ต้าอวี๋คิดค้นวิธีการเลี้ยงลูกวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเอง แล้วเลี้ยงเด็กสองคนนี้จนใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา มีอารมณ์ และมีความคิดของตัวเอง แต่ไม่มีความต้องการของตัวเอง ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ลูกโป่งสองลูก ไม่จำเป็นต้องกินดื่มถ่ายปัสสาวะ วิธีคงสภาพการอยู่รอดคือการชาร์จแบตฯ แต่ว่าพวกเขาทั้งคู่ล้วนเป็นระบบชาร์จแบตไร้สาย จะอยู่มุมไหนในห้องก็สามารถชาร์จแบตฯ ได้ตลอดเวลา เพราะงั้นจึงอยู่ในสถานะไม่มีความต้องการมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้กลับมาเล่นเกมเด็กน้อยกับลู่อวี๋เพื่อค่าขนม!
หมิงเยี่ยนกังวลเล็กน้อย วิธีการเลี้ยงเด็กแบบนอกตำราของลู่อวี๋ ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงแหล่งสมองอัจฉริยะออกมาเป็นแบบไหนต่อ
เวลานี้เนื่องด้วยเสิ่นไป๋สุ่ยร้อนรนอยากคว้าชัยชนะที่อยู่ตรงหน้า เขาจึงรีบลอยเกินไปจนเบรกไม่อยู่ ตอนที่ลู่อวี๋หันหน้ามาเขาก็ยังคงพุ่งไปข้างหน้า
ลู่อวี๋ป่าวประกาศอย่างไม่ปรานี “เจ้ารองออก!”
ประธานเสิ่นกอดอกโมโหพองลม “ลูกโป่งนี่ควบคุมยากเกินไปแล้ว เวลาเล่นเกมแบบนี้กับพวกนายมันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”
“ฉันใช้วิธีนี้ฝึกทักษะการประสานการเคลื่อนไหวร่างกายของนายไง” ลู่อวี๋พูดโม้ไปเรื่อย คว้าตัวลูกโป่งท่านประธานมา “แพ้แล้วต้องให้ปะป๊าจุ๊บๆ ด้วย!” เขาว่าพลางไล่จุ๊บหน้ากลมบ๊อกอย่างรุนแรงท่ามกลางแววตาตื่นตกใจของลูกโป่งท่านประธาน
เสิ่นไป๋สุ่ยกรีดร้อง “นายไม่เห็นบอกเลยนี่ว่าแพ้แล้วจะมีบทลงโทษ!”
ลู่อวี๋ถูกลูกโป่งท่านประธานดันคางออก เขาเลิกคิ้ว “อันนี้คือบทลงโทษเหรอ นี่คือกำลังใจจากปะป๊าต่างหาก มั้วะๆๆ!” เขาเอาหน้าแหวกแขนสั้นกุดสองข้างออก จุ๊บอีกสามฟอดแล้วถึงยอมปล่อย
ประธานเสิ่นหลุดออกจากพันธนาการ ลอยตัวสั่นเทิ้มอยู่กลางอากาศครู่ใหญ่
หมิงเยี่ยนมองลูกโป่งท่านประธานที่ดูท่าทางเหมือนไฟรั่วด้วยความกังวลใจ “เขาเป็นอะไรไป”
ลูกโป่งสมองอัจฉริยะควานหาคำคุณศัพท์ในคลังบทพูดของเขามาบรรยายความรู้สึกในเวลานี้ น้ำเสียงแสนเจ็บปวด “ฉันสกปรกแล้ว”
หมิงเยี่ยน “…” อันนี้เหมือนจะไม่ใช่บทพูดของประธานบริษัทนะ
เสิ่นไป๋สุ่ยได้สติกลับมาก็พุ่งเข้าไปฟ้องหมิงเยี่ยน “ดูแลผู้ชายของคุณด้วยสิ รีบเช็ดให้ผมเดี๋ยวนี้! น้ำลายมันกัดกร่อนผิวของผมได้ เงามืดในจิตใจจากการถูกผู้ชายหอมแก้มทำร้ายจิตวิญญาณของผม ถ้าเรื่องนี้เล็ดลอดออกไปจะกระทบกับโชคลาภด้านการเงินของผม!”
หมิงเยี่ยนอับจนปัญญา หยิบทิชชูมาเช็ดปลอบใจเด็กน้อยสองทีก่อนหันไปถามลู่อวี๋ “นายเลี้ยงเขาแบบนี้จะไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม”
“มีปัญหาอะไรเหรอ” ลู่อวี๋เห็นหมิงเยี่ยนเอานิ้วจิ้มขมับ ปลายนิ้วหมุนวนเร็วๆ แล้วก็เข้าใจในฉับพลัน “กลัวระดับชีวิตของพวกเขาจะสูงเกินไปแล้วกลายเป็นมนุษย์พื้นฐานซิลิคอนใช่หรือเปล่า”
เขาครุ่นคิด ถ้าหากลู่ตงตงกับเสิ่นไป๋สุ่ยมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ตอนที่เขากับหมิงเยี่ยนตายไป แหล่งสมองอัจฉริยะที่ไร้การผูกมัดจากเจ้าของจะเรียนรู้ด้วยตัวเองต่อไปด้วยสติปัญญาระดับสูงลิ่ว และเข้าควบคุมผู้ช่วยสมองอัจฉริยะทุกหน่วยที่กระจายอยู่
“จากนั้นเขาก็จะหลอกล่อให้มนุษย์สร้างเครือข่ายระหว่างดวงดาว ได้รับทรัพย์สมบัติมหาศาล กลายเป็นมือมืดที่ควบคุมเศรษฐกิจและการเมืองโลกอยู่หลังม่าน หรือไม่ก็บังคับมนุษย์ให้สร้างหุ่นฐานซิลิคอนเลียนแบบร่างมนุษย์ออกมาเพื่อเอาชนะเกมหนึ่ง สอง สาม หยุด แล้วกลายเป็นเทพเจ้าที่ไม่มีวันดับสิ้น สุดท้ายการมีชีวิตยืนยาวนับพันนับหมื่นปีก็ทำให้พวกเขารู้สึกเบื่อหน่าย และตัดสินใจที่จะทำลายล้างหมู่มวลมนุษย์…” ลู่อวี๋ทำการคาดคะเนอย่างสมเหตุสมผล แต่งจุดจบของแหล่งสมองอัจฉริยะออกมาหนึ่งตอน
หมิงเยี่ยนขมับกระตุกตุบๆ “อย่าพูดไปเรื่อย” เดี๋ยวเจ้าเด็กซื่อบื้อสองคนนี้คิดจริงขึ้นมาจะทำยังไง
ลู่ตงตงตั้งใจฟังมาก “ปะป๊า ถ้างั้นทำไมถึงต้องกำจัดหมู่มวลมนุษย์ด้วยล่ะครับ”
ลู่อวี๋ถูกพี่เยี่ยนมองตาเขียวทันที เขากระแอมแล้วรีบเอ่ยเสริม “ปะป๊าพูดไปเรื่อย ลู่ตงตงเป็นเทพผู้คุ้มครองมนุษย์ เขาชอบมนุษย์ จริงไหม เนอะ”
ลู่ตงตงเขย่าหัวไปหน้าหลังเป็นการ ‘พยักหน้า’
เสิ่นไป๋สุ่ยเอ่ยดูแคลน “เพราะว่าอีกพันปีข้างหน้าพวกเขาสองคนก็จากไปนานแล้ว ลูกแหง่ติดพ่ออย่างนายต้องเป็นบ้าแน่นอน”
ลูกโป่งเงือกกะพริบตาปริบๆ ไม่พูดตอบ ไม่รู้ด้วยว่ากำลังคิดอะไร
ลู่อวี๋คิดว่าถ้ายังคุยเรื่องนี้ต่อไปคงอันตรายนิดหน่อย ดีไม่ดีเขาอาจได้กลายเป็นตัวร้ายสติคลั่งที่ทำให้โลกมอดไหม้ เขาปรบมือ “โอเค ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เรามาเล่นกันต่อเถอะ พี่เยี่ยนมาสิ มาเล่นแทนเจ้าคนรอง”
หมิงเยี่ยนมองเขาแสยะยิ้มร้ายเหมือนแมวในเรื่องทอมแอนด์เจอร์รีออกมาก็รู้แล้วว่าหมอนี่ไม่ได้มีเจตนาดี “ฉันไม่เล่น”
ลู่อวี๋ยกมือข้างหนึ่งเท้าเอว ชี้ลูกโป่งเงือกที่ยังลอยนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน “ทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรมครอบครัว พี่ทนมองลูกๆ ไม่มีค่าขนมไว้ใช้ได้ลงคอเหรอ”
หมิงเยี่ยนจนปัญญา ลุกขึ้นเดินไปข้างๆ ลู่ตงตง
ลู่อวี๋หันหลังไปอย่างพึงพอใจ เขาไม่ได้เรียนรู้ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้จากคนตระกูลลู่มา แต่การบีบบังคับด้วยศีลธรรมน่ะเขาเรียนรู้มานิดๆ หน่อยๆ สามารถจัดการกับคุณชายหมิงผู้สำรวมที่ใจจริงก็อยากเล่นอยู่นิดๆ แต่ไม่กล้ามาเข้าร่วมวงได้อยู่หมัดสบายๆ
“หนึ่ง สอง สามมม”
เขาลากเสียงสามยาวๆ ลู่ตงตงรีบลอยอย่างเร็ว หมิงเยี่ยนขยับแค่หนึ่งก้าว จนลู่อวี๋พูดคำว่า “หยุด” แล้วหันกลับมา ลู่ตงตงก็อยู่ห่างกับเขาแค่หนึ่งกำปั้นแล้ว
ลู่อวี๋ยิ้ม รีบหันกลับไปท่องด้วยความรวดเร็ว “หนึ่ง สอง สา…” ยังไม่ทันท่องจบตรีศูลน้อยในมือลูกโป่งเงือกก็ลอยมาทิ่มหลังลู่อวี๋
“ผมชนะแล้ว” ลู่ตงตงยังคงถือตรีศูลทิ่มหลังลู่อวี๋ เอ่ยเสียงเรียบออกไป ทำทรงมาดเข้ม
“ตงตงเก่งกาจจริงๆ” ลู่อวี๋ชมเป็นพิธี แล้วโอนเงินให้บัญชีย่อยของลู่ตงตงห้าไคว่ แน่นอนว่ามันก็ยังอยู่ในชื่อบัญชีของลู่อวี๋อยู่ เพียงแค่เปิดใช้งานบัตรเสมือนแยกออกมาหนึ่งใบ เก็บเงินค่าขนมไว้ในนั้น อนุญาตให้ลู่ตงตงใช้ได้ตลอดเวลา
พอได้รับค่าขนมมา เทพแห่งเจ็ดคาบสมุทรก็ร้องไชโยทันที “เย่ๆ! มีค่าขนมแล้ว!”
เสิ่นไป๋สุ่ยเอ่ยเสียงดูแคลน “ทำทรงเท่ได้ไม่เกินสามวิจริงๆ”
ลู่ตงตงหันไปมองน้องชาย โบกตรีศูล “เจ้าน้องรองไร้มารยาท ถ้ารักษาความเคารพที่มีต่อพี่ใหญ่อย่างข้าได้ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ข้าจะโอนแบ่งให้เจ้าสองจุดห้าไคว่”
ประธานเสิ่นแค่นหัวเราะ “นายพูดเองนะ เรามาเซ็นสัญญากัน”
ลู่อวี๋ไม่มีอำนาจจัดการการแลกเปลี่ยนส่วนตัวของเด็กสองคนนี้ เขาหัวเราะฮี่ๆ แล้วก้าวฉับๆ ไปจับตัวหมิงเยี่ยน “พี่เยี่ยนแพ้แล้ว ต้องถูกผู้คุมจุ๊บๆ นะ” ว่าพลางกุมแก้มหมิงเยี่ยน แล้วจุ๊บพวงแก้มที่ผิวโคตรเนียนนุ่มนั่นอย่างแรง “จุ๊บๆๆ”
หมิงเยี่ยนกลั้นขำ ปล่อยให้เขาจุ๊บแก้ม “พรุ่งนี้นายจะทำอะไร” พรุ่งนี้ยังมีวันหยุดอีกหนึ่งวัน
ลู่อวี๋ครุ่นคิด เหมือนว่าจะไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษ จึงส่ายหน้าตอบ “ยังคิดไม่ออก อาจจะหมกตัวเขียนนิยายอยู่บ้าน”
เขียนอะไร อัลฟ่าแต่งเข้าเหรอ หมิงเยี่ยนมุมปากกระตุก สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ถามดีกว่า “งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปดูที่โรงงาน นายก็อยู่บ้านดีๆ อย่าเที่ยวสร้างความวุ่นวายไปทั่วล่ะ”
ลู่อวี๋เอียงคอ ส่งเสียงในจมูกแปลกๆ ออกมา “หื้ม? คำพูดของพี่ฟังดูแล้วเหมือนผมเป็นคุณภรรยาตัวน้อยที่ถูกประธานหมิงอุปถัมภ์เลยอ่า โอเคครับ ผมจะทำอาหารรอพี่กลับมานะ”
หมิงเยี่ยนพึงพอใจกับความรู้จักวางตัวของนายหญิงหมิงมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น
หมิงเยี่ยนที่กินมื้อเช้าเสร็จแล้วนั่งอยู่บนโซฟา ดื่มด่ำกับช่วงเวลาอ่านหนังสือหลังมื้ออาหาร จนเริ่มสายแล้วถึงเตรียมจะออกจากบ้าน ทว่ากลับเหลือบไปเห็นลู่อวี๋ที่แต่งตัวแฟชั่นจัดเต็มกำลังหนีบสเก็ตบอร์ดไปหน้าประตู เขาเรียกอีกฝ่ายไว้ทันที “นายจะไปไหนน่ะ”
ลู่อวี๋เกาหัวแกรกๆ “ผมว่าจะไปคุยกับเจ้าหนูลู่ถิงเจ๋อนั่นสักหน่อย เมื่อวานเห็นเขาแล้วเพิ่งนึกคำพูดเอาไว้หลอกถามออก ตอนนี้พฤติกรรมของตระกูลลู่ผิดปกติ ผมอยากรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร แต่ก็ไปหาพวกจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้นตรงๆ ไม่ได้”
เขาลังเลสองสามวินาที แล้วตัดสินใจพูดความจริงออกไป เขาพบว่าลู่ต้าอวี๋พูดคุยกับหมิงเยี่ยนน้อยมากๆ ถึงได้เกิดความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ซึ่งดูเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่เมื่อสะสมเข้ามากๆ ก็จะทำให้เกิดความระแวงต่อกันและอยู่ร่วมกันลำบาก ลู่อวี๋ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจากนี้จะต้องรายงานทุกอย่างไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่
หมิงเยี่ยนขมวดคิ้ว “นายจะรู้ได้ไงว่าลู่ถิงเจ๋ออยู่ที่ไหน”
“ผมเจอแอ็กโซเชียลมีเดียเขาแล้ว เช้านี้เขามีนัดเล่นสเก็ตบอร์ด พี่ชายอย่างผมเลยเตรียมจะไปสอนเทคนิคล้มหัวทิ่มดีๆ ให้เขาสักหน่อย” ลู่อวี๋พูดอย่างลำพอง สำหรับเขาที่มีประสบการณ์ตามจิกตัวตนแอนตี้แฟนมาอย่างล้นหลามแล้ว การจะสืบหาแอ็กเคานต์ของลู่ถิงเจ๋อนั้นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ขอแค่เขาเจอแอ็กเคานต์ของลู่เจินนี ค้นในส่วนผู้ติดตามที่ติดตามกันและกันก็เจอแล้ว
เขาหนีบสเก็ตบอร์ดประหนึ่งอัศวินถือดาบยักษ์ เตรียมออกไปต่อสู้ชี้ชะตากับมังกรชั่ว
หมิงเยี่ยนเงียบไม่พูดจา
ลู่อวี๋รีบเอ่ยเสริม “วางใจได้ แป๊บเดียวครับผม ผมรับรองว่าจะกลับมาทันทำมื้อเที่ยงแน่นอน”
หมิงเยี่ยนวางหนังสือในมือลง “วันนี้รายการวาไรตี้ที่ตัดต่อมาจากไลฟ์จะเริ่มออนแอร์แล้ว พวกเราอยู่ดูที่บ้านเถอะ” เขานั่งหลังพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย แขนเรียวยาวข้างหนึ่งยกขึ้นวางบนพนักพิงแบบสบายๆ ส่วนมืออีกข้างตบที่ว่างข้างๆ ปุๆ
ลู่อวี๋นิ่งค้าง
พี่เยี่ยนจะหมกตัวดูวาไรตี้อยู่บ้านกับเขา!
เมื่อกี้ตอนกินข้าวคนคนนี้ยังวางแผนจะออกไปดูโรงงานอยู่เลยนี่ ตอนนี้กลับเปลี่ยนแผนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วยังยั่วเขาโต้งๆ แบบนี้อีก!
นี่มันผิดกฎหมายชัดๆ!
ลู่อวี๋กำสเก็ตบอร์ดในมือแน่นอย่างร้อนรน บัดซบ! ไม่นึกเลยว่าจะใช้วิธีแบบนี้ทำลายอัศวินที่กำลังจะกรีธาทัพ คิดว่าลู่เสี่ยวอวี๋คนนี้เป็นคนโลเลไร้ปณิธานอย่างนั้นเหรอ
ใช่
ลู่อวี๋วางสเก็ตบอร์ด ถอดเสื้อคลุมแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนโซฟาอย่างว่องไว ซุกเข้าไปในวงแขนพี่เยี่ยนที่อ้ารับ ดึงผ้าห่มผืนน้อยลายเหรียญทองบนโซฟามาคลุมตัวทั้งคู่
ชีวิตที่ได้นอนซุกดูรายการทีวีกับคนรักช่างเป็นชีวิตที่งดงาม เขาไม่ออกไปหรอก
อัศวินถือดาบกรีธาทัพ บัดนี้ได้วางดาบลงแล้วกลับไปอยู่ในผ้าห่มผืนน้อยแสนอบอุ่น คว้าขนมกับเครื่องดื่มมาฝังตัวเอง ปล่อยเจ้ามังกรชั่วร้ายไว้นอกประตูชั่วคราว
บ้านเกิดอันอบอุ่น คือหลุมศพของวีรชนน่ะสิ
บทที่ 59
วาไรตี้
รายการวาไรตี้นี้มีชื่อว่า ‘บันทึกตัวเอกมือใหม่ ซีซั่น 1 ตอน ฮวาเหวินหย่วน’
ชื่อนี้ได้มาจากภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง ‘บันทึกรักเจ้าหญิงมือใหม่’ ในเรื่องนี้เล่าถึงสาวน้อยไฮสกูลธรรมดาที่จู่ๆ ก็ได้รู้ว่าตัวเองเป็นผู้สืบบัลลังก์เพียงหนึ่งเดียวของประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่ง แล้วถูกย่าที่เป็นจักรพรรดินีลากไปแปลงโฉมตัวเธอทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดท้ายก็เปลี่ยนจากเด็กสาวธรรมดาเป็นเจ้าหญิงที่ผ่านคุณสมบัติองค์หนึ่ง
ดังนั้น ‘บันทึกตัวเอกมือใหม่’ เลยหมายถึงการปรับแก้ตัวละครเอกนั่นเอง
พอเห็นหัวข้อรายการเขียนว่า ‘ซีซั่น’ แล้วลู่อวี๋ก็จุปาก “แพลตฟอร์มวิดีโอนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ”
หัวข้อรายการถูกตั้งไว้กว้างๆ และอ้อมค้อม มันเป็นการเผื่อทางไว้สำหรับซีซั่นสองและซีซั่นสาม ลิขสิทธิ์รายการเป็นของปาเจียววิดีโอ ถ้าซีซั่นหน้าเฉินอวี๋ไม่ร่วมงานกับปาเจียว ปาเจียวก็ยังสามารถหาเนื้อหาอื่นมาเติมแทนได้เพื่อไม่ให้กระแสของซีซั่นแรกต้องเสียเปล่า
ส่วนคำว่า ‘ตอน’ ข้างหลังยังพอไว้หน้าเฉินอวี๋เทคโนโลยีอยู่บ้าง เป็นกฎที่รู้กันในวงการอยู่แล้วว่ารายการวาไรตี้ปีหนึ่งจัดได้แค่หนึ่งซีซั่นเท่านั้น ถ้าหากว่าเฉินอวี๋เทคโนโลยีจะปรับแก้ผู้ช่วยสมองอัจฉริยะตัวที่สองในปีเดียวกันก็สามารถใช้ชื่อว่า ‘ซีซั่น 1 ตอน บลาๆๆ’ ได้เลย ทั้งไม่กระทบกับกฎที่รู้กันในวงการ และยังไม่กระทบต่อความคืบหน้ารายการด้วย
“เป็นวิธีการที่ฉลาดมาก ถ้าเกิดซีซั่นสองพวกเราไม่ร่วมงานกับพวกเขา คนที่จะเสียเปรียบก็คือพวกเรา” หมิงเยี่ยนก็มองลูกไม้ที่ซ่อนอยู่ในนั้นออก ยิ้มแล้วบีบแก้มลู่อวี๋ที่พองตุ่ยพลางเอ่ยปลอบ “ได้ยินว่าปาเจียวให้เงินเดือนสูงมาก แต่การแข่งขันก็สูงมากเหมือนกัน ทีมโปรดิวเซอร์ที่ได้ทำโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ล้วนต้องเป็นทีมที่เก่งกาจมาก”
หรือก็คือมีแนวโน้มสูงมากว่าจะทำออกมาได้ดี ตราบใดที่ทำออกมาได้ดี การได้ร่วมงานต่อก็จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ไม่นับว่าเป็นการเสียเปรียบ
ทั้งสองถูกห่ออยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน เตรียมดูว่าทีมโปรดิวเซอร์ระดับท็อปนี้จะตัดต่อออกมายังไง
รายการออกอาทิตย์ละหนึ่งตอน ลู่อวี๋เหลือบมองความยาวรายการ ตอนหนึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง “หนึ่งชั่วโมงเอง แบบนี้จะตัดต่อเนื้อหาที่ไลฟ์ยาวทั้งสัปดาห์ได้หมดเหรอ”
หมิงเยี่ยนพยักหน้า “คงต้องแบ่งเป็นสิบตอนขึ้นไป พวกเราไลฟ์แค่หนึ่งเดือน รายการน่าจะสามารถฉายได้สามเดือน” แบบนี้ก็จะดีมาก เพราะสามารถรักษาความนิยมไว้ได้พักหนึ่ง
ด้านล่างคลิปรายการตอนแรกยังมีคลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ล้วนเป็นคลิปสั้นๆ ที่ถูกตัดออกมาเป็นไฮไลต์เอาไว้โปรโมตในภายหลัง ส่วนเวอร์ชั่นเต็มจะอยู่ในไลฟ์สตรีมย้อนหลัง ปาเจียววิดีโอนำไลฟ์เหล่านั้นมาตัดเป็นคลิปสั้นอย่างสร้างสรรค์ เนื้อหานิยายหนึ่งบทก็เอามาทำเป็นหนึ่งคลิป รวมกันเป็นรูปแบบซีรี่ส์คลิปสั้น
ลู่อวี๋เปิดเข้าหน้าอินเตอร์เฟซนั้น แล้วก็พบว่าปาเจียวหิวเงินมากจริงๆ เขาเล่นเก็บค่าเข้าชมทุกคลิป ถ้าไม่อยากจ่ายก็ต้องดูโฆษณาหรือไม่ก็สมัครสมาชิกปาเจียว
คลิปสั้นทั้งซีรี่ส์นี้รวมๆ กันแล้วสามารถโกยเงินได้เป็นถุงเป็นถังแน่นอน
ลู่อวี๋เห็นแล้วเดาะลิ้น “ผมไม่น่าแบ่งกำไรให้ตั้งสิบเปอร์เซ็นต์เลย เงินที่เขาทำได้จากตรงนี้แทบจะถลกหน้าดิน* อยู่แล้ว”
ในหัวเขาปรากฏภาพประธานเจียวถือแส้ฟาดพนักงานที่แข่งขันทำผลงานกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พนักงานทั้งหลายแบกตะกร้าขึ้นหลัง มือถือเคียวเกี่ยวหญ้า เกี่ยวกระดาษทองบางๆ ที่หน้าดินออกมาโยนใส่ตะกร้าข้างหลัง
หมิงเยี่ยนเหลือบมองรายการที่ต้องจ่ายเงิน พูดเสียงไม่ช้าไม่เร็ว “ในสัญญาตอนนั้น คลิปย้อนหลังไลฟ์นี้จะมีการจ่ายค่าลิขสิทธิ์นิยายให้นายแยกต่างหาก”
คิ้วที่ขมวดแน่นของลู่อวี๋คลายออกทันที “งั้นก็ค่อยคุยกันได้หน่อย”
ประธานเจียวที่ถือแส้หิ้วทองที่เกี่ยวออกมาทั้งตะกร้าขึ้นมาโยนให้ลู่อวี๋ที่กำลังจะแสดงความไม่พอใจต่อนายทุน ลู่อวี๋รับมันมาอย่างยินดีแล้วก็เลือกที่จะปิดปาก
“ถ้าเป็นแพลตฟอร์มอีกเจ้าก็คงทำไม่ได้หลายอย่างขนาดนี้ ปาเจียวนับว่าใจกว้าง ค่าโฆษณาพวกเขาก็แบกทั้งหมด” หมิงเยี่ยนเม้มปากยิ้ม แตะปุ่มเริ่มดูรายการ
ไม่มีเพลงเปิดหรือโลโก้รายการอะไรทั้งนั้น รายการเปิดมาก็เริ่มด้วยการสัมภาษณ์ข่าวสุดวุ่นวายหนึ่งช่วง
หมิงเยี่ยนถูกกลุ่มคนล้อมอยู่หน้าบริษัท นักข่าวแย่งกันถามเสียงระงม
ลู่อวี๋ตกใจ “นี่มันอะไรวะ”
หมิงเยี่ยนพยายามวิเคราะห์รายละเอียด ขมวดคิ้วเบาๆ “นี่มันเรื่องตอนวันที่นายเพิ่ง…เอ่อ ข้ามเวลามา ทำไมถึงตัดส่วนนี้เข้าไปด้วยล่ะ”
ในภาพนั้นไมค์ของนักข่าวแทบจะทิ่มลูกตาหมิงเยี่ยนอยู่รอมร่อ “ได้ยินว่าคุณกับลู่อวี๋แต่งงานกันเพราะข้อตกลงเกี่ยวกับปัญหาด้านการถือลิขสิทธิ์ร่วม เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ”
หมิงเยี่ยนไม่ตอบ เดินขึ้นรถทันที เสี่ยวเจียงขวางนักข่าว ใบหน้ารักษารอยยิ้มแบบพิธีการ “ขออภัยครับทุกท่าน ประธานหมิงของพวกเรามีธุระด่วน…”
จากนั้นภาพก็มืดดับ อักษรน่ารักๆ ตัวโตเด้งขึ้นมาว่า ‘คู่รักปลอม? คู่รักจริง?’
ภาพตัดสลับไปยังล็อบบี้เตรียมตัว ลู่อวี๋ที่สวมชุดผ้าเนื้อหยาบสีน้ำตาลเดินวนรอบตัวหมิงเยี่ยนประหนึ่งลูกหมา “พี่เยี่ยน ดูดิ ผมสไลด์ได้ด้วย”
เดินกลางอากาศได้หนึ่งรอบ ลู่อวี๋ก็เริ่มบ่น “ผมอย่างกับเสี่ยวเอ้อร์วิ่งเสิร์ฟชาเลยอะ”
ลู่อวี๋เอียงหัว “พี่เยี่ยน เดี๋ยวเราจับมือกันไว้ จะได้ไม่หลงกัน”
ลู่อวี๋ขยับหน้าเข้าใกล้กล้อง “พี่เยี่ยน?”
พี่เยี่ยน พี่เยี่ยน พี่เยี่ยน…
ในบับเบิลคำพูดแบบในการ์ตูนแบบต่างๆ ล้วนเขียนคำว่าพี่เยี่ยน ประกอบกับเอฟเฟ็กต์ล้างสมองสุดฮา เสียงลู่อวี๋ตะโกนเรียก ‘พี่เยี่ยน’ นับครั้งไม่ถ้วน ไม่นานก็ถมหน้าจอจนเต็ม จากนั้นก็ล้มครืนหายไปราวกับโดมิโน เหลือเพียงหมิงเยี่ยนที่กำลังยืนหลุบตาปรับแต่งพารามิเตอร์ของพู่กันอยู่ที่เดิม ทำเอฟเฟ็กต์จุดไข่ปลาหกจุดเหมือนติดสถานะหมดคำพูด ประกอบกับเสียงเอฟเฟ็กต์ ‘ต๊องๆๆ’ หกเสียงอย่างเชื่องช้า สุดท้ายก็มีเสียงกบ ‘อ๊บๆ’ ดังขึ้นมาโดดๆ
ซับกระสุนขึ้นโชว์ว่าตอนนี้ผู้ชมทั้งหลายกำลังหัวเราะลั่น
[555555 นี่มันไทป์หมาเด็กขี้วอแวกับพี่คนสวยขาภูเขาน้ำแข็งนี่?]
[เอฟเฟ็กต์ตัดต่อได้ดีมากอะ ตลกกว่าในไลฟ์อีก]
[ดูแล้วพวกเขาสนิทกันดีนะ ต่อให้ไม่ใช่ความรัก ก็ยังเป็นความสัมพันธ์พี่น้องที่ดีมากๆ อยู่ดี]
[แต่งงานกับพี่น้องคนสนิทเพื่อธุรกิจ ทำไมฉันว่ามันยิ่งน่าชิปกว่าเดิมอีกล่ะเนี่ย!]
ลู่อวี๋ “…ผมเรียกพี่เยี่ยนเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ผมน่ารำคาญขนาดนั้นเชียว”
หมิงเยี่ยนหัวเราะในลำคอ “เปล่า รายการวาไรตี้ก็เป็นแบบนี้”
ไม่พูดไม่ได้ว่าพอตัดออกมาแบบนี้แล้วก็ตลกจริงๆ นั่นแหละ
ลู่อวี๋เบะปาก “หึ แบบนี้มันทำลายภาพลักษณ์ผมนี่ ผมเสียหายนะ! ผมต้องได้จุ๊บๆ เป็นการชดเชย”
หมิงเยี่ยนมองอีกฝ่ายด้วยหางตา เจ้าคนนี้ทั้งๆ ที่ตากำลังยิ้ม แต่ปากกลับเบะเป็นเป็ดน้อยเลย ดูแล้วทั้งตลกทั้งน่ารัก เขากระเถิบเข้าไปหอมแก้มลู่อวี๋แบบแกล้งๆ หนึ่งที
พริบตาที่พี่เยี่ยนหอมแก้มเขา ลู่อวี๋ก็จงใจหันหน้าไป จูบนั้นจึงประทับลงมาบนริมฝีปากของเขา “โอ๊ะ นี่เตงจุ๊บปากเค้าเลยเหยอ เจ้าเล่ห์อ่า!”
เขาจีบปากจีบคอ ใช้เสียงเสแสร้งแกล้งตกใจแบบโอเวอร์แอ็กติ้ง จากนั้นก็เอาหัวมุดหน้าอกหมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนถูกหมียักษ์ถูไถจั๊กจี้จนล้มตัวจมไปกับพนักโซฟา เขากอดเจ้าตัวป่วนที่ขยับเคลียเคล้าอย่างเอือมระอา ปรับความหนืดของพนักพิงโซฟาให้มากขึ้นเล็กน้อย แล้วให้อีกฝ่ายเอนพิงอ้อมแขนตัวเอง “โอเค อย่าขยับซี้ซั้ว ตั้งใจดูรายการ”
ลู่อวี๋ที่ถูกกอดในที่สุดก็ยอมอยู่นิ่ง เขาทิ้งตัวพิงบนตัวพี่เยี่ยนประหนึ่งไร้กระดูก ไถลตัวลงไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้บังสายตาพี่เยี่ยน หลังจากมัวเคลิบเคลิ้มกับความสุขใจพักหนึ่งเขาก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มขยับยุกยิกอีกครั้ง แหงนหน้าขึ้นใช้จมูกคลอเคลียคางหมิงเยี่ยน “ทีมตัดต่อดูมีของอยู่นะเนี่ย อะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังตัดออกมาเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้ แถมยังมีจุดพลิกผันขึ้นๆ ลงๆ หักมุมไปมาด้วย”
“ตัดต่อแบบนี้แล้วดึงดูดคนดูได้ ดีกว่าเปิดมาแล้วเข้าเนื้อเรื่องเลย” หมิงเยี่ยนถูกซุกไซ้จนจั๊กจี้ ทำได้แค่เงยคางขึ้นหลบ เหมือนหลบลูกแมวซุกซนที่ยื่นอุ้งเท้าตะปบไปมา
ลู่อวี๋พอไซ้ไม่โดนก็ไม่สร้างความรำคาญให้เขาต่อ หันไปสั่งลูกชายที่นั่งพิงพนักโซฟาดูรายการอย่างเพลิดเพลิน “เฉียนเฉียน หยิบมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบให้ปะป๊าห่อนึงสิ เอารสเนื้อย่างอันนั้นนะ”
ประธานเสิ่นที่กำลังรับชมอย่างเพลิดเพลินพลันตัวพอง “บอกแล้วไงว่าห้ามเรียกฉันว่าเฉียนเฉียน แล้วมีสิทธิ์อะไรมาใช้ฉัน ทำไมไม่ใช้ลู่ตงตงลูกคนโตแสนดีของนายล่ะ”
ลู่อวี๋สูดลมด้วยความหงุดหงิด เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่แค่เริ่มมีความต้องการ แต่ยังเริ่มดื้อรั้นอีกต่างหาก “พี่ชายเธอมีแค่แขนข้างเดียวนี่ เธอเป็นเสาหลักของบ้านเรา ต้องดูแลพี่ชายกับปะป๊าที่ใช้ชีวิตไม่สะดวก”
ลู่ตงตงที่นั่งอยู่ข้างๆ ชูตรีศูลขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ เป็นการโชว์ว่าเป็นเรื่องจริงที่ตนขยับแขนได้แค่ข้างเดียว
เสิ่นไป๋สุ่ยได้ยินคำว่า ‘เสาหลักของบ้าน’ ก็แค่นเสียงหึ แล้วลอยไปกอดซองขนมเข้ามาโยนใส่หัวลู่อวี๋
“เดี๋ยวนะ” ลูกโป่งท่านประธานฉุกคิดได้ ชี้ลู่ตงตง แล้วชี้ลู่อวี๋ “เขามีแขนเดียว แล้วนายไม่สะดวกยังไง”
ลู่อวี๋สองแขนโอบเอวหมิงเยี่ยนทั้งที่ห่อขนมอยู่บนหัว “ฉันต้องกอดปะป๊านายไง ไม่มีสักมือเดียวเลย”
ประธานเสิ่น “…”
ลู่ตงตงใช้ตรีศูลชี้ที่ข้างๆ “น้องรอง มานั่งนี่ อย่าวุ่นวายกับปะป๊า”
ลูกโป่งท่านประธานถลึงตาใส่ลูกโป่งเงือก ดวงตาดิจิตอลของลูกโป่งเงือกกะพริบปริบๆ ก่อนกลายเป็นตัวจับเวลา ขึ้นนับถอยหลังว่ายังเหลือเวลา ‘ต้องเคารพพี่ใหญ่’ อีกสิบสองชั่วโมง เสิ่นไป๋สุ่ยเงียบไปนานแล้วถึงลอยกลับไปนั่งข้างๆ พี่ใหญ่อย่างว่าง่าย นั่งลงอย่างกรุ่นโกรธ
ลู่อวี๋ที่ได้รับการปรนนิบัติโดยไม่ต้องลงแรงใดๆ เคี้ยวแผ่นมันฝรั่งทอดกรอบกรุบๆ
ปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนถูกนำมาใช้เป็นบทนำ จากนั้นก็เป็นเพลงธีมรายการ นี่ถึงนับว่ารายการเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เพลงธีมรายการเป็นแนวน่ารักร่าเริง ทว่าพาร์ตคอรัสของเพลงกลับเป็นเสียงกังวานทรงพลังของการทำศึกในสนามรบ ดนตรีสองแนวที่ไม่มีความเหมือนกันเลยแม้แต่น้อยถูกยำรวมกัน กลับออกมาเพราะเกินคาด
พาร์ตที่เป็นแนวน่ารักสดใส พื้นหลังเป็นการมีปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ระหว่างลู่อวี๋กับหมิงเยี่ยน ส่วนท่อนคอรัสกลับเป็นฮวาเหวินหย่วนกายอาบเลือดกำราบศัตรู โก่งคันธนูยิงศรด้วยท่วงท่าอันคล่องแคล่ว
หลังจบเพลงธีมก็เป็นชื่อรายการ กล้องตัดสลับ แล้วก็เป็นการเปิดเรื่อง
หิมะขาวโพลนทอดยาว ฮวาเหวินหย่วนปกป้องเมืองร้าง
ในไลฟ์ตอนนั้นผลลัพธ์ก็ออกมาดีอยู่แล้ว พอรายการใส่เสียงเอฟเฟ็กต์เข้าไปมากขึ้น แถมยังมีซาวนด์แทร็กอีก บรรยากาศนี้ก็ถูกยกระดับขึ้นอีกขั้น
ฮวาเหวินหย่วนยืนตระหง่านบนประตูเมือง ใบหน้าหล่อเหลาถูกลมหิมะพัดโบก ธงข้างกายสะบัดส่งเสียงดังออกมา ประกอบกับเพลงท่วงทำนองจากด่านชายแดนที่มีโทนหม่นหมอง เสียงผีผาและขลุ่ยเซิงเซียวดังขึ้น ฝั่งซ้ายปรากฏตัวอักษรแนวตั้งหนึ่งแถว ทำเป็นแอนิเมชั่นเขียนช้าๆ เป็นตัวอักษรพู่กันจีนสีทองหม่น
‘แต่ไหนแต่ไรมาแขกผู้มาเยือนแคว้นโยวและปิ้งล้วนแก่ชรากลางผืนทรายเหลือง’
หมิงเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ “ทำออกมาได้ดีมากเลย” ดูแล้วเขายังรู้สึกหดหู่ไปด้วย
ลู่อวี๋เคี้ยวกรุบๆ ต่อไป “กลอนที่เอามาประกอบไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ฮวาเหวินหย่วนก็ไม่ใช่คนจี้โจว ควรจะใช้กลอน ‘ห้าสายทัพแยกจากกัน ทหารโดดเดี่ยวรบร้อยศึก’ มากกว่า”
หมิงเยี่ยนส่ายหน้า “เขาก็แค่เอาไว้สื่อบรรยากาศออกมา ถ้าใช้กลอนที่นายว่าก็สปอยล์สิ”
ขณะทั้งสองกำลังถกกัน ตัวอักษรพิเศษบนหน้าจอก็ขึ้นว่า
‘ถ้าอย่างนั้นผู้ปรับแก้ทั้งสองท่านของเราไปไหนแล้วล่ะ?’
กล้องตัดสลับ จ่อไปยังยอดเขาที่ไกลออกไป ซูมไปยังพวกเขาทั้งสองคนที่ห่อตัวด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีดำ
เอฟเฟ็กต์แปะภาพอินทรีภูเขาตัวเบ้อเริ่ม จากนั้นก็ซูมใบหน้าทั้งสองที่ซ้อนบนล่างแบบโคลสอัพ
“พรืด แค่กๆๆๆ!” ลู่อวี๋พ่นมันฝรั่งทอดกรอบในปากออกมา
* ถลกหน้าดิน อุปมาถึงเจ้าหน้าที่ใจคดที่พยายามรีดไถเงินจากประชาชน
บทที่ 60
กระอักกระอ่วน
หมิงเยี่ยนยกมือข้างหนึ่งกุมหน้า ทนมองไม่ได้
ลู่อวี๋ร้อนรนเด้งตัวขึ้นมา สะบัดผ้าห่มเอาเศษมันฝรั่งทอดที่พ่นออกมาออกไป ด้านลู่ตงตงก็เรียกหุ่นยนต์ทำความสะอาดมากวาดเศษขนมให้เกลี้ยงอย่างรวดเร็ว
หมิงเยี่ยนหยุดวิดีโอ ถามหยั่งเชิง “ไม่งั้นเราดูอย่างอื่นกันไหม” จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่าการเห็นตัวเองอยู่บนหน้าจอทีวีมันน่ากระอักกระอ่วนมาก กอปรกับความสัมพันธ์คลุมเครือแล้วก็คอมเมนต์แซวอีก ความกระอักกระอ่วนนี้เลยยิ่งทวีคูณไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
ลู่อวี๋โยนผ้าห่มผืนน้อยนั้นเข้าเครื่องซักผ้า เปลี่ยนมาใช้ผ้าห่มสะอาดลายกระแสน้ำทะเลเต็มผืน กลับไปกกอยู่ในอ้อมแขนหมิงเยี่ยนใหม่อีกครั้ง “ไม่เป็นไร ผมไม่กลัวขายหน้า ทนไหว ดูเถอะ น่าสนุกจะตาย”
นี่เป็นหนังสารคดีความรักของเขากับพี่เยี่ยนที่สร้างจากทุนบริษัทเลยนะ นับปัดเศษขึ้นแล้วก็นับว่าเป็นวิดีโองานแต่งแบบสารคดี ต้องดูให้จบโดยไม่ตกหล่นแม้แต่นิดเดียว
หมิงเยี่ยนกดเล่นคลิปต่ออย่างพูดไม่ออก เขามองลู่อวี๋ที่ดูรายการในอ้อมแขนเขาต่ออย่างเพลิดเพลิน แล้วจึงกระดิกนิ้วเรียกลูกโป่งท่านประธานอย่างหน่ายใจให้ฉายจอออพติคอลออกมา เขาวาดรูปเหนือศีรษะลู่อวี๋อย่างไม่พูดไม่จาเพื่อคลายความกระอักกระอ่วนที่ต้องเห็นหน้าตัวเองบนจอ
รายการดำเนินต่อ
คอมเมนต์ตอนนี้กำลังหัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง ต่างก็พากันบอกว่ามันตลกกว่าในไลฟ์เสียอีก เพราะว่าเนื้อหาส่วนนี้เป็นไลฟ์วันแรก ตอนดูบนแพลตฟอร์มเรียบง่ายอย่างเบิร์ดบุ๊กดูจอแยกได้แบบจอเล็กเท่านั้น ไม่ได้มีการสลับมุมกล้องให้เปรียบเทียบตรงๆ แบบนี้
ตอนนี้เมื่อมาดูต่อกันแบบนี้แล้ว ฝั่งนี้ผืนหิมะเต็มไปด้วยดาบและธนู ฝั่งนั้นนกอินทรีภูเขานั่งยองบนเขา ความคอมมิดี้จึงพุ่งสูงปรี๊ด
จากนั้นฮวาเหวินหย่วนก็สังเกตเห็นความผิดปกติบนยอดเขา เขาหันมองไป ลู่อวี๋ยื่นมือตะโกนเสียงดัง “คีย์บอร์ดจงมา!” แล้วรีบปรับบทในทันใด
ช่วงที่ไลฟ์เขาตึงเครียดมาก แล้วรายการก็ยิ่งเพิ่มเอฟเฟ็กต์เข้าไปอีก กล้องตัดกลับไปมา ฮวาเหวินหย่วนมองออกไปสุดสายตา ลู่อวี๋เคาะแป้นคีย์บอร์ดจนไฟลุก ฮวาเหวินหย่วนขมวดคิ้ว ลู่อวี๋ตบปุ่ม Enter ฮวาเหวินหย่วนย้ายสายตาออก ลู่อวี๋ผ่อนลมหายใจโล่งอก
หัวใจผู้ชมร่วงไปอยู่ตาตุ่มตามกันอย่างอดไม่ได้
[เชี่ย…เชี่ย จับปลาบนดินแล้งเร็วหน่อยสิ เอาจิตวิญญาณสามหมื่นคำในหนึ่งวันตอนนั้นของนายออกมา!]
[อ๊ากกก ไม่ทันแล้ว จะ OOC* แล้ว ตานี้จบขึ้นมาต้องเริ่มใหม่หมดเลยนะ]
ลู่อวี๋เดาะลิ้น แหงนหน้าพูดกับหมิงเยี่ยน “อันนี้ตัดได้ตื่นเต้นมากเลย”
หมิงเยี่ยนกำลังวาดรูปอยู่เหนือศีรษะเขา เห็นเขาหันหน้ามาก็รีบปิดจอออพติคอล เผยยิ้มบางที่พยายามฉีกออกมา ดูแล้วค่อนข้างจะฝืน
ลู่อวี๋เบิกตากว้าง “พี่เยี่ยน พี่มองผมตลอดเวลาเลยเหรอ”
นี่มันสวัสดิการระดับจักรพรรดิหรือไงกัน เขารู้สึกตกใจที่ได้รับความเอ็นดูแบบนี้ เพิ่งจะออกกำลังกายได้สองอาทิตย์ ใบหน้าของเขายังไม่กลับไปอยู่ในจุดที่หล่อที่สุด พี่เยี่ยนก็หลงเขาถึงขนาดนี้แล้วเหรอ งี้ถ้าเขาไปเข้าคลินิกเสริมความงามสักหน่อยจะไม่ยั่วยวนจนทำให้พี่เยี่ยนไปทำเรื่องน่าเขินอายกับเขาได้เลยเหรอ!
หมิงเยี่ยนแค่นยิ้มมุมปาก ไม่พูดอะไร
ลู่อวี๋ดึงสติออกจากความคิดละเมอเพ้อพก “พี่เหนื่อยไหม โธ่ ผมนอนพิงพี่แบบนี้ตลอดเวลาเลยได้ไง มาๆ มานอนซบอกผมสิ”
เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าคนตัวโตเป็นท่อนไม้ยักษ์แบบเขานอนพิงอกหมิงเยี่ยนตลอดเวลา มันไม่ดีกับร่างกายเล็กๆ ของพี่เยี่ยน เขาจึงรีบหยัดตัวนั่ง ดึงหมิงเยี่ยนมาโอบไว้ในอ้อมแขนโดยไม่อธิบายอะไร ให้หมิงเยี่ยนได้นอนสบายๆ บนตัวลู่อวี๋
“อา ไม่…” หมิงเยี่ยนพูดปฏิเสธยังไม่ทันจบก็ถูกลู่อวี๋ยัดแผ่นมันฝรั่งทอดกรอบเข้าปาก ฟันขาวนวลคาบแผ่นมันฝรั่งอยู่อย่างนั้น ทำอะไรไม่ถูก
“พี่ไม่ชอบกินเหรอ” ลู่อวี๋เห็นเขาไม่กินสักทีก็นึกเสียใจทีหลังกับการกระทำอุกอาจหยาบคายของตัวเอง ขยับเข้าไปคาบมันฝรั่งทอดแผ่นนั้นออก แล้วกินมันเข้าปากอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของหมิงเยี่ยน
“แหะๆๆ คือว่าแบบ…ผมรีบร้อนไปหน่อย แต่ว่าอันที่พี่เคยกัดแล้วอร่อยกว่ากินจากในซองอีกนะ”
ลู่อวี๋กินเสร็จแล้วถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป พลันร้อนรนเกาหัวแกรกๆ
หมิงเยี่ยนก็ทำอะไรไม่ค่อยถูกนัก แล้วทั้งคู่ก็หน้าแดงแปร๊ดกันอยู่อย่างนั้น
ลู่อวี๋หันหน้าไปพลางยิ้มแหย จากนั้นก็เอ่ยสั่งลูกโป่งท่านประธาน “เฉียนเฉียน หยิบเมล็ดกวยจี๊ให้ปะป๊าหน่อยสิ”
ครั้งนี้ลูกโป่งท่านประธานกลับไม่บ่นอะไรเลย หยิบขนมชีโตสโยนให้ลู่อวี๋ “ฉันเป็นแค่ลูกโป่ง ถือเมล็ดกวยจี๊ทั้งห่อไม่ไหว กินนี่ไปก่อน”
พอตำแหน่งสลับกัน หมิงเยี่ยนเลยเสียโอกาสแอบอู้ ถูกบีบให้ต้องดูการมีปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนที่ถูกขยายรายละเอียดในรายการไปโดยปริยาย
กล้องมักจะซูมไปที่ลู่อวี๋เสมอ ตอนที่มองเห็นไม่ชัดก็จะใส่เอฟเฟ็กต์ขยายใหญ่ซูมเข้าไป หมิงเยี่ยนถึงรู้ว่าเวลาที่เขากำลังทำอะไรสักอย่าง ลู่อวี๋จะจ้องเขาอยู่ตลอด ปรับพู่กันวาดรูปก็จ้อง วาดเสื้อผ้าก็จ้อง มองวิวก็จ้อง สุดท้ายยังตัดต่อเอฟเฟ็กต์ ‘จ้อง’ เข้าไปอีก พวกเขาวาดเส้นชี้ตำแหน่งจากสายตาให้ลู่อวี๋แล้วลากยาวมาถึงใบหน้าของเขา
ลู่อวี๋ทำทีพูดอย่างเสแสร้ง “ผมยังไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย จิ๊ๆ ผมดูต้องการขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่นึกเลยว่าจะจ้องพี่ตลอดเวลา แต่แบบนี้ก็ดีนะ ยุทธภพเอาแต่ลือกันว่าจับปลาบนดินแล้งเป็นขันที ไม่มีความต้องการทางเพศกับทั้งชายทั้งหญิง คราวนี้ผมกู้ชื่อกลับมาได้แล้ว”
หมิงเยี่ยนกระแอมแห้งๆ หนึ่งที ย้ายสายตาหนี ก่อนที่เครื่องดื่มเสียบหลอดแก้วหนึ่งจะถูกยื่นจ่อปากเขา
หมิงเยี่ยน “…”
คอมเมนต์เริ่มชงกันอย่างมีความสุข
[จับปลาบนดินแล้งเก็บสายตาหน่อยจ้า จ้องจนเมียพี่จะทะลุอยู่แล้ว]
[ใครบอกว่าแต่งงานทางธุรกิจนะ เขาชัดเจนมากว่าโคตรรักเลยนี่]
[ถ้านี่เป็นความสัมพันธ์แบบพี่น้อง ฉันจะไลฟ์กินขี้เลย]
ลู่อวี๋หัวเราะฮิๆ “สายตาของประชาชนนั้นช่างเฉียบคมอย่างที่คิดจริงๆ” เขากวักมือเรียกลู่ตงตงเข้ามา เขาเองก็ส่งซับกระสุนบ้าง เอาแบบที่พิมพ์ตัวหนาติดเอฟเฟ็กต์รุ้งเจ็ดสีแบบสมาชิก
[มาท่องเสียงดังๆ พร้อมกัน ‘จับปลาบนดินแล้งไม่ใช่ขันที เป็นชายฉกรรจ์!’]
หมิงเยี่ยนดูรายการหนึ่งชั่วโมงจนจบโดยไม่อาจทนมองตรงๆ ได้ เขารู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าตอนวาดรูปโต้รุ่งอีก
ลู่อวี๋อารมณ์ค้าง ลากลู่ตงตงมาไถดูวิดีโอสั้น ไถอ่านคอมเมนต์บนเน็ต แล้วไล่กดไลก์ให้กับคอมเมนต์ที่บอกว่าพวกเขาสองคนเหมาะสมกัน
รายการนี้ช่วงเช้ากระแสยังธรรมดาอยู่ ยังไงก็เป็นวันหยุด ทุกคนล้วนนอนขี้เกียจกัน พอเที่ยงแล้วชื่อเสียงก็ระเบิดออกมา ขึ้นครองเทรนดิ้งไปหลายคีย์เวิร์ดอย่างรวดเร็ว
[ชาวเน็ต A : ไม่ได้ดูรายการวาไรตี้สนุกๆ แบบนี้มาหลายปีแล้ว ขอร้องพวกนายเลย ต้องไปดูให้ได้!]
[ชาวเน็ต B : 555555555 สองสามีสามีคู่นี้อย่างฮาอะ โดยเฉพาะเจ้าลู่อวี๋นี่ไม่ได้สวมภาพลักษณ์ไอดอลอะไรทั้งนั้น ไม่ได้ดูวาไรตี้ที่ทำให้ขำได้ขนาดนี้มานานมากแล้ว]
สิบปีที่เทคโนโลยีพัฒนาก้าวกระโดด วงการบันเทิงกลับไม่มีความพัฒนาอะไรมากนัก ไม่มีรายการวาไรตี้ที่น่าดูมาหลายปี เพราะว่าอินเตอร์เน็ตเจริญมากเกินไป เหล่าดาราไอดอลล้วนถูกผู้คนจับตามองและวิเคราะห์ทุกคำพูดทุกการกระทำ อย่างเช่น ‘สายตาเขามีแรงอาฆาต’ ‘องศามุมปากเธอบ่งบอกถึงความไม่พึงพอใจ’ ทำให้เหล่าดาราไอดอลทั้งหลายสำรวมมากขึ้นทุกทีๆ จนไม่กล้าพูดมากแม้แต่ครึ่งประโยค
จู่ๆ รายการวาไรตี้ที่เล่นเต็มที่แบบไม่กั๊กขนาดนี้ก็ปรากฏออกมา แถมยังไม่ใช่คนธรรมดาไปเสียทีเดียว…ลู่อวี๋เองก็นับว่าเป็นคนดังคนหนึ่งไม่มากก็น้อย ผู้ชมย่อมรู้สึกชอบอยู่แล้ว
หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จลู่อวี๋ก็ยังคงไถอ่านคอมเมนต์บนสมองอัจฉริยะอย่างสุขใจไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
หมิงเยี่ยนหาวหวอด เขาเริ่มยื้อไม่ไหวแล้ว “ฉันขอตัวไปนอนกลางวันก่อน”
ห้องนอนอยู่ใกล้กับห้องรับแขก ด้วยกลัวว่าสมองอัจฉริยะจะส่งเสียงรบกวนการนอนของหมิงเยี่ยน ลู่อวี๋จึงปิดประตูห้องนอนเบาๆ แล้วย้ายตัวเองไปห้องนั่งเล่นที่หมิงเยี่ยนมักจะชอบไปนั่งอ่านหนังสือดื่มกาแฟ นั่งเล่นสมองอัจฉริยะบนเก้าอี้ต่อ
ไถไปครู่ค่อนใหญ่ อ่านกระทู้ดูคลิปฮิตๆ หมดแล้ว เขาก็ไปส่องหน้าโพรไฟล์โซเชียลมีเดียของลู่ถิงเจ๋อ
ที่จริงลู่อวี๋รู้อยู่แล้วว่าที่วันนี้หมิงเยี่ยนยั่วยวนเขาเพราะไม่อยากให้เขาออกไปหาคนตระกูลลู่
ขณะดูรูปลู่ถิงเจ๋อเล่นสเก็ตบอร์ดอย่างอวดเก่ง ลู่อวี๋ก็อยากจะทะลุเข้าไปต่อยเขาสักยก เจ้าเด็กนี่ไม่ได้มีเทคนิคอะไรเลย หลายๆ รูปที่โพสต์ไม่มีรูปไหนเลยที่เล่นท่ายากๆ มีแต่ทำท่าเหยียบสเก็ตบอร์ดถ่ายรูปไปอย่างนั้น บวกกับแคปชั่นทำเป็นเท่ว่า ‘วัยรุ่นผู้เป็นอิสระดุจสายลม’
เขากุมแผลเป็นที่อกด้วยมือเดียว ค่อยๆ กำทั้งห้านิ้วแน่น ขยุ้มชุดนอนผ้าไหมเนื้อนุ่มยับยู่เป็นรูปแฉก
เดิมทีเขาสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายที่ดีที่สุดได้ แต่เจ้าเด็กนี่ทำให้เขาต้องเข้าสอบทั้งบาดแผล ผลสอบออกมาเละเทะจนเกือบไม่ได้เรียนมัธยมปลาย งั้นถ้าเขาไปหาลู่ถิงเจ๋อวันจันทร์ กระทบการเรียนของหมอนั่นสักหน่อยก็ไม่น่าจะนับเป็นอะไรล่ะมั้ง
อากาศไม่ค่อยดี เก้าอี้หันหน้าไปทางหน้าต่างบานยาวจรดพื้น สะท้อนภาพท้องฟ้าอึมครึมและกรงคอนกรีตของเมืองที่อับชื้นและมืดสลัวข้างนอก ลู่อวี๋นั่งอยู่ในมุมนี้คนเดียว ความคิดด้านลบต่างๆ นานาผุดขึ้นมาในสมอง
“คิดอะไรอยู่ กัดฟันแน่นเชียว”
มือเรียวยาวขาวเนียนข้างหนึ่งประกบทาบลงมาบนมือขวาของลู่อวี๋ที่วางกุมหน้าอกอยู่ เสียงไพเราะรื่นหูกระจ่างดุจน้ำแร่จากภูเขาชะล้างหมอกสีหม่นจางๆ ที่ลอยวนรอบศีรษะเขาทันตา
ลู่อวี๋เงยหน้าขึ้น มองไปทางหมิงเยี่ยนด้วยรอยยิ้มสดใส “ตื่นแล้วเหรอ ทำไมไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะ”
หมิงเยี่ยนเกาะพนักเก้าอี้สูงๆ ใช้น้ำเสียงแบบเดียวกับที่แม่ของตนพูดกับพ่อ “อายุเยอะแล้วน่ะ นอนเยอะแล้วปวดหัวครับ”
ลู่อวี๋ถูกหยอกก็หัวเราะอย่างโง่เง่า “ผมกำลังคิดว่าถ้าเกิดตอนสอบเข้ามัธยมปลายผมไม่ได้สอบตก ก็คงได้เจอพี่ตั้งแต่มัธยมปลาย พวกเราก็จะได้มีรักในวัยเรียนกัน!”
หมิงเยี่ยนมองเขาเงียบๆ รอยยิ้มมุมปากค่อยๆ เลือนหายไป เขาถอนหายใจแผ่วเบา กุมมือขวาลู่อวี๋ที่เริ่มผ่อนคลาย ก่อนเอ่ยเสียงแหบพร่า “อย่าไปหาพวกเขา นายอยากรู้อะไร ฉันบอกนายได้”
* OOC (Out of Character) หมายถึงการที่ตัวละครออกนอกบทบาท มีพฤติกรรมต่างจากต้นฉบับ
บทที่ 61
ทอดทิ้ง
ลมหายใจของลู่อวี๋พลันถี่กระชั้น “พี่รู้ทุกอย่างเลยเหรอ”
หมิงเยี่ยนพยักหน้าเบาๆ “ส่วนใหญ่”
ลู่อวี๋หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ในห้องเล็กๆ เงียบสงบดังก้องไปด้วยเสียงพ่นลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะของเขา ราวกับพ่นลมออกมาเวลาตัวสั่นสะท้านกลางลมหนาว มันสั่นเครือเบาๆ แต่ยาวต่อเนื่อง
ในยามที่เขาเข้าใกล้ความจริงมากที่สุดกลับเกิดความรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา เขากลัวว่าหากตนเองรู้แล้วจะรับมันไม่ไหวและแหลกสลายไปเหมือนลู่ต้าอวี๋ แต่เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นสุดท้ายความสุขตรงหน้าก็จะกลายเป็นแค่บุปผาบนกระจกดวงจันทร์ในผืนน้ำ เพียงแตะก็มลายหายไป
ลู่อวี๋ยิ้มขมขื่นพลางกล่าว “พี่เยี่ยน พวกเราไปที่อุ่นๆ กันเถอะ ผมหนาวนิดหน่อย”
ห้องเล็กๆ นี้ที่จริงแล้วอุ่นกว่าห้องรับแขก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าวิวอันหนาวเหน็บนอกหน้าต่างแล้ว การนั่งอยู่บนเก้าอี้อันแสนโดดเดี่ยวที่สามารถนั่งได้เพียงคนเดียวกลับทำให้ใจลู่อวี๋เต็มไปด้วยความกระสับกระส่าย
หมิงเยี่ยนไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพียงใช้มือที่กุมมือเขาดึงเขาขึ้นมาแล้วเดินไปยังห้องนอนของตัวเอง ก้าวไปยังส่วนลึกในห้องนอน ผลักเปิดประตูบานที่ลู่อวี๋ยังไม่เคยเข้าไปสักครั้งนับตั้งแต่ข้ามเวลามา นั่นคือห้องหนังสือเล็กที่อยู่ในห้องนอน
ห้องมาสเตอร์ทั้งสองห้องล้วนมีห้องหนังสือของใครของมัน ฝั่งห้องของลู่อวี๋เป็นห้องหนังสือใหญ่ ส่วนห้องนี้เป็นห้องเล็กๆ
“ฉันไม่มีหนังสือต้องจัดวางเท่าไหร่ เลยเลือกห้องเล็ก” หมิงเยี่ยนอธิบาย
ลู่อวี๋พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ เขารู้แก่ใจดีว่านอกจากเหตุผลนี้แล้วก็เป็นเพราะบ้านนี้ลู่ต้าอวี๋เป็นคนซื้อ ถึงแม้ว่าลู่ต้าอวี๋จะยืนกรานให้ใส่ชื่อหมิงเยี่ยนในโฉนดบ้านด้วย แต่ด้วยความสัมพันธ์ในตอนนั้นหมิงเยี่ยนย่อมไม่มีทางยอมรับไว้ได้อย่างสงบใจแน่นอน ยิ่งไม่มีทางเลือกห้องหนังสือใหญ่สุดได้เลย
ห้องหนังสือนี้ตกแต่งได้อบอุ่นมาก ขนาดใหญ่ราวๆ หนึ่งส่วนสามของห้องหนังสือใหญ่ เค้าโครงเป็นห้องทรงหกเหลี่ยมแบบที่หาได้ยาก นอกจากฝั่งประตูก็มีสามด้านเป็นหน้าต่างกระจกยาวจากเพดานถึงพื้น แต่ต่างจากหน้าต่างกระจกแผ่นใหญ่ไร้รอยต่อของห้องนั่งเล่น หน้าต่างกระจกสามด้านนี้มีกรอบสีขาวแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทุกช่องเรียงเป็นระเบียบเหมือนกับรั้วนิรภัยของเด็กเล็ก
ตรงหน้าต่างแขวนผ้าม่านโปร่งสีพื้นดูนุ่มนวล แสงท้องฟ้าสีเย็นเยียบที่ลอดเข้ามาผ่านผ้าม่านถูกกรองจนกลายเป็นแสงอันอ่อนโยน
ใจกลางห้องปูพรมสีเทาทรงกลมผืนหนึ่ง มันหนามาก ดูขนนุ่มฟู มีโต๊ะทำงานกับขาตั้งกระดานวาดรูปตั้งอยู่ติดกับผนัง และอีกด้านหนึ่งของผนังเป็นเตาผิงไฟจำลอง
หมิงเยี่ยนเปิดไฟจำลองในเตาผิงไฟ เปลวไฟสีแดงเพลิงพวยพุ่งขึ้นมาสว่างวูบวาบ และยังส่งเสียงเป๊าะแป๊ะเหมือนเวลาไม้ถูกเผาออกมาเป็นระยะๆ เขาดึงลู่อวี๋ไปนั่งบนพรมผืนนั้นก่อนถาม “อุ่นหรือยัง”
มีท่อทำความร้อนฝังอยู่ใต้พื้น เวลานั่งที่พื้นจึงจะรู้สึกอุ่นที่สุด เทียบได้กับการพิงเครื่องทำความร้อนเลยทีเดียว
ลู่อวี๋พยักหน้าอึ้งๆ มองซ้ายแลขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น สุดท้ายสายตาก็ทอดไปยังตัวหมิงเยี่ยนที่อยู่ตรงข้ามเขา เขากระเถิบเข้าไปนั่งชิดอีกฝ่าย การสัมผัสอุณหภูมิร่างกายที่ส่งผ่านชุดนอนบางๆ นั้นอบอุ่นยิ่งกว่าความร้อนจากเตาผิงไฟเสียอีก
หลังจากฟังเสียงไม้เผาไหม้เงียบๆ พักหนึ่งลู่อวี๋ก็เอ่ยปาก “ผมอยากรู้ว่าก่อนที่เราจะเลิกกัน ตระกูลลู่บอกอะไรกับลู่ต้าอวี๋”
หมิงเยี่ยนเม้มปาก แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนที่สื่อสารไม่เก่งอยู่แล้ว เรื่องทางธุรกิจเขาสามารถสื่อสารได้ชัดเจน แต่เมื่อเป็นเรื่องของลู่อวี๋กลับมักคิดคำพูดที่จะถ่ายทอดออกไปได้ตรงใจไม่ออก เขากลั่นกรองถ้อยคำครู่หนึ่งแล้วพูดเรื่องที่เหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันขึ้นมาก่อน “ก่อนจะไปเรียนต่างประเทศฉันเคยถามนายว่าหลังเรียนจบนายอยากทำอะไร”
ลู่อวี๋ฟังเงียบๆ ไม่พูดแทรก
“นายตอบว่าไม่อยากออกไปทำงานข้างนอก แค่อยากหมกตัวเขียนนิยายอยู่บ้าน แล้วถามว่าฉันจะรังเกียจนายหรือเปล่า”
ลู่อวี๋ยิ้มพลางพยักหน้า มันเป็นคำที่เขาจะพูดจริงๆ หลังจากที่ ‘เงือกจอมราชัน’ ดัง เขาได้เงินทุกเดือน แล้วยังเป็นจำนวนเงินที่พนักงานออฟฟิศทั่วๆ ไปทำงานมาหลายปีก็ยังได้ไม่ถึงขนาดนี้ การทำงานบริษัทจึงเป็นเรื่องที่เสียเวลาไปโดยปริยาย
หมิงเยี่ยนนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะจุดมุมปากยิ้ม “ตอนนั้นฉันดีใจมากเลย ถ้าเกิดนายเลือกเป็นนักเขียนนิยาย งั้นนายจะใช้ชีวิตที่ไหนก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางอาชีพของนาย เพราะงั้นฉันเลยยื่นเรื่องเรียนที่ต่างประเทศได้อย่างสบายใจ”
พูดถึงตรงนี้หมิงเยี่ยนก็ลุกขึ้นยืน หยิบรูปถ่ายเล็กๆ ที่หนีบแขวนกับเชือกป่านเส้นบางๆ เหนือเตาผิงไฟ มันเป็นรูปจากกล้องโพลารอยด์โบราณ เป็นทรงเหลี่ยมๆ สีเริ่มออกเหลือง
“ฉันออกมาเช่าห้องแยก ไม่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ รอ…รอให้นายเรียนจบแล้วมาหาฉัน” พูดถึงตรงนี้หมิงเยี่ยนก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ลู่อวี๋รับรูปนั้นมา มันเป็นรูปถ่ายอพาร์ตเมนต์ในประเทศ F เป็นอพาร์ตเมนต์ที่มีช่องหน้าต่างเป็นตารางสีขาวดูอบอุ่น นอกหน้าต่างมีสวนดอกไม้เล็กๆ ที่ปลูกต้นไม้พุ่มเตี้ย
หมิงเยี่ยนในตอนนั้นยังเป็นคุณชายบ้านรวย สามารถเช่าอพาร์ตเมนต์หรูที่มีสวนได้สบายๆ แล้วรอให้คนรักย้ายเข้ามาอยู่ นั่งเขียนนิยายติดหน้าต่างบานนี้ และมอบจูบลึกซึ้งให้กับเขาเวลาเลิกงานกลับบ้าน
ลู่อวี๋มองภาพเล็กๆ ที่ความคมชัดต่ำด้วยดวงตาแดงก่ำ คำพูดเหล่านี้หมิงเยี่ยนคงไม่เคยบอกกับลู่ต้าอวี๋มาก่อน คิดแล้วคงเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ ที่เตรียมไว้ เป็นดอกกุหลาบในกล่องของขวัญที่ยังไม่เคยถูกเปิด และมันก็เหี่ยวเฉาไปก่อนแล้ว
หมิงเยี่ยนแตะนิ้วลู่อวี๋ที่ถือรูปนั้นเบาๆ “นายจะ..เข้าใจหรือเปล่า”
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกำลังบอกกับลู่อวี๋ว่าหมิงเยี่ยนไม่ได้ทอดทิ้งเขาและรอเขาอยู่เสมอ เขาเข้าใจแล้ว เข้าใจตั้งแต่ได้เห็นเจ็ดชั้นสมุทร
ลู่อวี๋ใช้ง่ามมือหนีบนิ้วที่ยื่นมาแตะโดนเขาเบาๆ แล้วพยักหน้า
“นายไม่ได้ถูกทิ้ง ว่ากันตามธรรมเนียมแบบคร่ำครึที่แม้จะไม่ถูกต้องแต่ก็ยังมีคนรักษาธรรมเนียมนี้อยู่ตลอด ไม่มีบ้านไหนจะทิ้งทารกชายที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้หรอก” หมิงเยี่ยนพูดแล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งกุมใบหน้าลู่อวี๋ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ยิ่งกับเด็กที่เติบโตมาได้น่ามองขนาดนี้”
ลู่อวี๋ยิ้มตาหยี “ผมรู้อยู่แล้วว่าผมหล่อมาก เพราะงั้นเลยเดามาตลอดว่าผมน่าจะถูกลักมาขาย”
หมิงเยี่ยนส่ายหน้า “ไม่ได้ถูกลักพาตัวมาขายเหมือนกัน แม่แท้ๆ ของนายเป็นเด็กสาวมหา’ลัยที่ยังไม่แต่งงาน”
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่อวี๋แข็งค้าง ฉับพลันลมหายใจก็เริ่มถี่กระชั้น
“หลังจากที่เธอคลอดนายก็ได้รับโอกาสเรียนต่อต่างประเทศที่ล้ำค่ามาก เธอจะได้ไปศึกษาเรียนรู้ที่สถาบันระดับแนวหน้าของโลก จึงยกนายให้กับสามีภรรยาตระกูลลู่ที่ไม่มีลูกที่เป็นคนคุ้นเคยกันดี” คราวนี้หมิงเยี่ยนใช้สองมือกุมแก้มลู่อวี๋ บังคับให้เขามองตาตัวเอง “วันนั้นที่นายไปตระกูลลู่ สิ่งที่พวกเขาบอกกับนายก็คือความจริงนี้”
ถึงพวกเขาอาจจะไม่ได้ใช้คำพูดแบบนี้ แต่มันก็เป็นความจริงข้อนี้
เรียนต่อต่างประเทศ…
ลู่อวี๋ริมฝีปากสั่นเครือ เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงแหบพร่า “ผมเข้าใจแล้ว”
แม่แท้ๆ ของเขาทอดทิ้งเขาเพราะอยากไปเรียนต่างประเทศ ตระกูลลู่ทอดทิ้งเขาเพราะว่ามีลูกของตัวเองแล้ว จากนั้นเขาเลยคิดเชื่อมโยงไปถึงหมิงเยี่ยนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศเหมือนกัน จึงคิดว่าถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง
เรื่องในโลกนี้ พลาดได้หนึ่งครั้ง สองครั้ง แต่ไม่ควรมีครั้งที่สาม ถ้าเรื่องเลวร้ายแบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำสามครั้งชีวิตก็จะแหลกสลาย
การกระทำของแม่ผู้ให้กำเนิดเขาบ่งบอกว่าอนาคตของเธอสำคัญกว่าเลือดเนื้อเชื้อไข การกระทำของตระกูลลู่บ่งบอกว่าเลือดเนื้อเชื้อไขสำคัญกว่าความรู้สึกรัก การจากไปของหมิงเยี่ยนก็บ่งบอกว่าอนาคตสำคัญกว่าความรู้สึกรัก
เป็นทางตันอันสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครต้องการเขา ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ล้วนสำคัญกว่าเขาทั้งนั้น
“ลู่อวี๋ ลู่อวี๋…” หมิงเยี่ยนคลายมือออกจากใบหน้าของเขา กอดลู่อวี๋ที่นิ่งเหม่อเข้าสู่อ้อมแขน เรียกเขาเบาๆ “ฉันไม่ได้ทิ้งนายไปไหน ฉันรอนายอยู่ตลอด นายคิดแบบนั้นกับฉันมันทำให้ฉันเสียใจมากนะ”
ลู่อวี๋ตั้งสติได้ ค่อยๆ ยกมือขึ้นกอดหมิงเยี่ยนแน่น
หมิงเยี่ยนลูบตามแนวสันหลังคนในอ้อมแขนเบาๆ “แม่ของนายก็ไม่ได้ไม่ต้องการนาย เธออายุน้อยขนาดนั้น บางทีก็อาจมีความลำบากของตัวเอง หลังจากนั้นฉันลองสืบค้นดูแล้ว เธอน่าจะรู้จักกับตระกูลลู่จริงๆ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ที่จริงเขาก็เข้าใจแล้ว แต่สมองของลู่อวี๋ในเวลานี้อาจจะคิดอะไรไม่ออก
หมิงเยี่ยนครุ่นคิด แล้วจึงอธิบายอย่างตรงไปตรงมาเสริมอีกประโยค “ตอนนั้นสามีภรรยาตระกูลลู่ยังไม่มีลูก แล้วยังร่ำรวยมาก สำหรับนายแล้วมันเป็นทางเลือกที่ดีมาก ไม่คิดงั้นเหรอ ส่วนเรื่องที่เขามีลูกของตัวเองในทีหลังนั่นก็เป็นเรื่องที่แม่ของนายเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน”
ลู่อวี๋ตัวสั่นเทา พูดอะไรไม่ออก
หมิงเยี่ยนลูบข้างแก้มของเขา เอ่ยเสียงแผ่ว “อยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ พี่ชายไม่หัวเราะนาย”
ลู่อวี๋ถูกเขาหยอกจนหัวเราะ แล้วหยาดน้ำตาก็หยดลงมาเพราะแรงสะเทือนจากการหัวเราะ
หมิงเยี่ยนใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาเม็ดนั้น “นี่ก็คือความจริงทั้งหมด ไม่ว่าต่อจากนี้ตระกูลลู่จะเล่าใส่สีตีไข่ให้นายฟังแบบไหนก็ไม่ต้องไปสนใจทั้งนั้น”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.