ทดลองอ่านเรื่อง ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1
ผู้เขียน : ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
ข้ามเวลา
แต่กๆๆๆ แต่กๆๆๆ
ภายในหอพักมหาวิทยาลัย ลู่อวี๋กำลังเคาะแป้นคีย์บอร์ดด้วยความเร็วสูง นิ้วทั้งสิบเต้นระบำจนแทบเห็นเป็นภาพเบลอ
ช่วงนี้เขาอาศัยการเขียนนิยายลงเว็บไซต์หาเงิน กำลังเขียนถึงตอนที่พระเอกชำระแค้นไล่สังหารไปทั่วทุกหนแห่ง แล้วแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กก็ถูกเขาทุบดังปัง ราวกับจะทำลายให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
จู่ๆ โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะก็แผดเสียง
ลู่อวี๋ชำเลืองสายตามอง ‘สายจากลูกพี่ลูกน้องสาว’ ที่ทั้งแสบหูและระคายลูกตา ก่อนจะยกมือขึ้นกดปิดเสียง
รูมเมตยื่นหัวออกมาจากโต๊ะข้างๆ “เหล่า* ลู่ ซื้อคีย์บอร์ดดีๆ ไว้สักอันเถอะ ถ้าเราจะเป็นเทพด้วยการเขียนนิยาย งั้นก็ต้องมีอาวุธชั้นเทพก่อนถูกไหม”
ลู่อวี๋ยกมือขึ้นดันหัวรูมเมตกลับไปโดยไม่แม้แต่จะมอง “มีแต่พวกไก่อ่อนเท่านั้นแหละที่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก ยอดฝีมือของจริงแค่กิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน”
เขากำลังจะพิมพ์ต่อ โทรศัพท์มือถือที่ปิดเสียงและคว่ำจอหนีก็สั่นครืดๆ แล้วก็ครืดๆ จากนั้นก็ครืดๆๆๆ ไม่หยุด จนร่วงจากขอบโต๊ะ
ลู่อวี๋หยิบขึ้นมา ก่อนเห็นข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจออย่างต่อเนื่อง
‘ลู่อวี๋! ทำไมถึงไม่รับสาย?’
‘พี่รู้ไหมว่าลุงกับป้าเสียใจแค่ไหน? ทำไมถึงใจเหี้ยมขนาดนี้!’
‘ตระกูลลู่เลี้ยงดูพี่มาสิบแปดปี อาหารดีๆ เสื้อผ้าสวยๆ ก็มีให้พี่ตลอด ถึงพี่จะไม่สำเหนียกบุญคุณ รู้จักแต่เรียกร้องความสนใจแข่งกับน้องชายก็เถอะ แต่เพิ่งจะมาทำตัวงี่เง่าจะเป็นจะตายให้ใครดูตอนนี้?’
ลู่อวี๋ขมวดคิ้วไล่อ่านจนจบก็ตอบกลับไวจี๋
‘สำนึกบุญคุณใช้แบบนี้ เธอใช้คำผิดแล้ว’
กดส่งเสร็จก็กดบล็อกต่อทันที
โลกกลับมาเงียบสงบ แต่ความคิดที่กำลังใช้เขียนนิยายถูกขัดจังหวะไปแล้ว
ลู่อวี๋ส่งเสียง “จิ๊” ด้วยความหงุดหงิด ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผมไปข้างหลัง ก่อนจ้องข้อความบรรทัดสุดท้ายที่เขียน
‘ตัวตนมนุษย์เงือกสายพันธุ์ประหลาดถูกเปิดโปง เขาไม่ใช่เด็กดีที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยคุณธรรมซึ่งใครๆ ต่างชื่นชมคนนั้นอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นลูกสัตว์นอกคอกนอกรีตที่หากถูกกำจัดก็จะเป็นที่ปรีดาของทุกคน’
ย่อหน้านี้เขียนถึง ‘ลู่ตงตง’ พระเอกของเรื่อง เดิมทีลู่ตงตงเป็นเด็กมัธยมปลายธรรมดาคนหนึ่ง แต่วันหนึ่งถูกเปิดโปงตัวตนว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นเงือกตัวหนึ่งที่ปะปนอยู่ในกลุ่มคน บัดนี้ถูกผู้คนหักหลัง ญาติมิตรหันหลังให้ คนทั้งโลกมองเป็นศัตรู
เหมือนกับตัวเขาเอง อยู่ในตระกูลลู่มาสิบแปดปีแต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนตระกูลลู่ เมื่อแผ่นกระดาษบนหน้าต่างชั้นนี้ถูกเจาะขาด* ความอ่อนโยนจอมปลอมก็มอดไหม้ปลิวหายไปดังเถ้าถ่าน
ลู่อวี๋จับปลายนิ้ว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพิมพ์ต่อ
‘เขาต้องการ และเขาก็ควรจะรู้สึกเช่นนั้น ฉีกทึ้งโลกอันแสนจอมปลอมนี้ทิ้งเสีย เขาไม่ต้องการความอ่อนโยน ไม่ต้องการความสงสาร เขาเป็นเทพแห่งเจ็ดคาบสมุทร ประมุขแห่งเผ่าวิปลาส กรงเล็บคมกริบของเขาสามารถฉีกทึ้งขุนเขาให้แหลกลาญ หางเงือกของเขาเพียงสะบัดก็ปลุกคลื่นยักษ์ได้เป็นพันเป็นหมื่นลูก สั่นกลัวเสียสิ เจ้าพวกมนุษย์โลกตัวเล็กจ้อยและโง่เขลาทั้งหลาย!’
ติ๊ง!
แอพพลิเคชั่นแชตพลันเด้งขึ้นมาส่งเสียงแจ้งเตือนแสนไพเราะเพราะพริ้งที่มีเฉพาะเวลากดรับแจ้งเตือนจากแอ็กเคานต์หนึ่งเป็นพิเศษ หน้าต่างแชตที่กะพริบถูกทำเครื่องหมายว่า ‘เทพบุตร’
เทพบุตรส่งรูปหนึ่งมาให้เขา แล้วบอกอย่างเกรงอกเกรงใจว่าไม่พอใจตรงไหนสามารถบอกให้เขาแก้ไขได้
ในรูปเป็นมนุษย์เงือกเวอร์ชั่นจิบิตัวอวบอ้วน มือน้อยกลมๆ ชูตรีศูลทื่อๆ หางปลาอาบแสงสีฟ้าเรืองรองโค้งงอแบบฝืนๆ เพราะหางสั้นเกินไป น่ารักน่าชังสุดๆ
ลู่อวี๋ที่ตอนแรกยังหน้าบูดบึ้งดุร้าย อารมณ์ยังคงจมอยู่ในการเขียนนิยาย พอได้เห็นสิ่งนี้มุมปากสองฝั่งก็คลี่ยิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ ทั้งใบหน้าบิดเบี้ยวบู้บี้ไปหมด
รูมเมตเห็นเขาเป็นอย่างนั้นก็หดคอกลัวๆ “เหล่าลู่ นายโอเคไหมวะ”
ลู่อวี๋ไม่ทันได้ปรับสีหน้าตัวเอง ชี้หน้าจอด้วยมือสั่นระริก “หมิงเยี่ยน…”
เหมือนเขาเพิ่งจะตั้งสติได้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหน้าจอโน้ตบุ๊กไม่อาจแสดงความงดงามของภาพนี้ออกมาได้ทั้งหมด ลู่อวี๋รีบมองหาแท็บเลต เปิดรูป ชูขึ้น ประหนึ่งลิงบาบูนเฒ่าชูราชาราชสีห์เกิดใหม่ในหนังการ์ตูน ทั้งภาคภูมิทั้งเลื่อมใส “หมิงเยี่ยนวาดรูปให้ฉัน! เขาต้องชอบฉันแน่ๆ”
รูมเมตที่ถูกแท็บเลตจ่อประชิดหน้าอับจนคำพูด “ก็นายจ่ายสามร้อยไคว่** จ้างเขาวาดตัวละครในนิยายให้นายไม่ใช่หรือไง” การซื้อขายแบบที่มือหนึ่งยื่นเงิน อีกมือหนึ่งยื่นผลงานให้มันเกี่ยวกับเขาชอบนายตรงไหนกันฟะ
ลู่อวี๋ตบหัวรังนกของรูมเมตไปหนึ่งป้าบ “นายจะไปเข้าใจอะไร เขาเป็นคุณชายใหญ่ กะอีแค่สามร้อยไคว่จะมาแคร์ทำไม นายเคยเห็นเขารับงานคนอื่นด้วยเหรอ ก็ไม่!”
รูมเมตเกาหัว “ถ้าพูดอย่างงั้น…”
“แถมนี่ไม่ใช่แค่รูปธรรมดานะ นี่เป็นตัวละครที่ฉันสร้างขึ้นมา แล้วเขาวาดให้ ปัดเศษขึ้นก็นับว่านี่คือลูกของพวกเราสองคน” ลู่อวี๋น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “มีลูกด้วยกันแล้ว เขาจะปฏิเสธไม่ให้ฉันตามจีบเหรอ ไม่มีทาง!”
รูมเมต “บะ…แบบนั้นก็ได้ด้วยเหรอ”
ลู่อวี๋ยัดแท็บเลตใส่อ้อมแขนรูมเมต “มา อุ้มหลานคนโตของนายซะสิ รอเขาโตแล้วจะได้รู้จักกตัญญูกับนาย”
รูมเมตอุ้มหลานชายสองมิติที่เพิ่งออกมาจากเตาหมาดๆ แบบงงๆ พลางมองลู่อวี๋กระโดดโลดเต้นถึงขั้นตีลังกากลับหลังอยู่ในหอพักอย่างลิงโลด
เขารู้ว่าลู่อวี๋ชอบหมิงเยี่ยนมานานมากแล้ว แล้วก็รู้ว่าการตอบรับจากเดือนคณะวิจิตรศิลป์ผู้สูงส่งเย็นชาคนนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง แต่ก็เข้าไม่ถึงความระริกระรี้จนเกินเหตุของลู่อวี๋อยู่ดี
“ลู่อวี๋!”
ลู่อวี๋ที่ดีใจจนตัวลอยได้ยินเสียงตื่นตระหนกของรูมเมต วินาทีต่อมาภาพตรงหน้าพลันมืดสนิท ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น
เกิดอะไรขึ้น
เขาคงไม่ได้ล้มหัวกระแทกพื้นหรอกนะ
ลู่อวี๋รู้สึกเหมือนตัวเองถูกโยนเข้าถังเครื่องซักผ้า หมุนติ้วไปมาไม่รู้กี่รอบ ศีรษะถูกเบียดทับ กระแทก คอถูกหักงอ ดึงยืด
“เฮือก!” ความเจ็บปวดแสนสาหัสบีบให้ลู่อวี๋ส่งเสียงโหยหวนแหบพร่าออกมาอย่างยากลำบาก เขาดิ้นทุรนทุรายหายใจไม่ออกท่ามกลางความมืดก่อนเบิกตาโพลง
สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเขาคือเพดานแสนหรูหรา ใต้ร่างเป็นพื้นพรมหนานุ่ม
ลู่อวี๋มั่นใจว่ามหาวิทยาลัย T ของพวกเขา ไม่ว่าจะด้านความแข็งแกร่งโดยรวมหรือว่าระดับความขี้เหนียวก็จัดอยู่ในท็อปสามของประเทศได้แน่นอน ไม่มีทางที่จะปักลวดลายทองบนผ้าให้หอพักนักศึกษาแหงๆ
มันไม่ถูกต้องสุดๆ
ลู่อวี๋เด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างแรงเป็นปลาคาร์ปดิ้น…แต่ลุกไม่ขึ้น ร่างกายหนักอึ้งมาก ไม่มีกำลังเหมือนปกติเลยสักนิด แขนขารับคำสั่งจากสมองช้าไปเกือบหนึ่งวินาทีอย่างกับขึ้นสนิม
“เชี่ย ใครมันลักพาตัวข้ามาฟะ” ลู่อวี๋ได้แต่ใช้แขนยันตัวเองลุกขึ้นนั่งช้าๆ มองไปรอบๆ พลางร้องโวยวายเสียงดัง “จะบอกพวกแกให้ จับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ข้าตัดขาดกับพวกตระกูลลู่ไปแล้ว พวกแกไม่ได้ไปสักแดงเดียวหรอก”
ไม่มีใครตอบ
ที่ที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นห้องหรูประดับประดาฟุ้งเฟ้อ น่าจะเป็นห้องหนังสือ สองฝั่งผนังเป็นตู้หนังสือบิลท์อินสูงถึงเพดานห้อง จอโปรเจ็กเตอร์ขนาดใหญ่เต็มผนังด้านหลังกำลังถ่ายทอดข่าวหนึ่งซ้ำๆ
“ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ แผนการเปิดขายหุ้นสู่ตลาดหลักทรัพย์ของเฉินอวี๋เทคโนโลยีถูกระงับ ตลาดภายในประเทศยังคงขาดความเชื่อมั่นในเฉินอวี๋เทคโนโลยี บนตลาดผู้ช่วยสมองอัจฉริยะกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่เฉินอวี๋เทคโนโลยีไม่ได้สร้างผลงานที่จุดกระแสมานานถึงหนึ่งปี คนไม่น้อยคิดว่าลู่อวี๋เป็นเจียงหลางหมดสิ้นพรสวรรค์*…”
“ไร้สาระ!” ลู่อวี๋คว้ารองเท้าแตะที่เท้าขึ้นมาปา “ฉันเพิ่งจะเขียนผลงานดังระเบิดไป มันจะ…”
เดี๋ยวนะ เฉินอวี๋เทคโนโลยีคืออะไร
เขาเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยปีสอง ยังไม่เคยเปิดบริษัทเทคโนโลยีอะไรเลยด้วยซ้ำ
ลู่อวี๋ดูหน้าจออย่างละเอียด ภาพในข่าวคือด้านหน้าตึกบริษัทที่มีชื่อว่า ‘เฉินอวี๋เทคโนโลยี’ หน้าต่างเล็กๆ ขึ้นรูปถ่ายของบุคคลผู้ประสบความสำเร็จที่แต่งชุดสูทรองเท้าหนังสุดเนี้ยบ แล้วเขาคนนั้นก็ดูเหมือนลู่อวี๋ที่ดูโตขึ้นมานิดหน่อย มุมขวาล่างของหน้าจอปรากฏวันที่ ‘9 พฤศจิกายน 2033’
ปี 2033!
โกหกน่า ตอนนี้น่าจะปี 2023 สิ เขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่เทอมแรกของมหาวิทยาลัยปีสองเองนะ อีกตั้งสิบปีถึงจะปี 2033
โจรลักพาตัวสมัยนี้สบายอกสบายใจกันจริงๆ ยังมีอารมณ์มาเล่นเกมห้องไขปริศนากับเขาด้วย
ลู่อวี๋ร้อง “ชิ” หนึ่งที หันไปสำรวจของประดับตกแต่งในห้อง ทว่าในใจกลับรู้สึกสะพรึงอย่างที่สุด มีเวลามาจัดฉากซะซับซ้อนแบบนี้ ต้องไม่ใช่แค่การลักพาตัวธรรมดาแน่
จากนั้นเขาก็เห็นกระจกบานหนึ่ง…
ลู่อวี๋มองใบหน้าผู้ใหญ่สภาพอิดโรยของตัวเองในกระจกอย่างเหลือเชื่อ เขาเช็ดใต้ตาสีเขียวคล้ำและลูบเครารกรุงรัง “ถ้านี่เป็นการแต่งหน้าก็ใช้เทคนิคดีเกินไปแล้วมั้ง”
จังหวะการหายใจเริ่มถี่กระชั้น เขากระชากชุดนอนที่เลอะคราบไวน์แดง เผยรอยแผลเป็นรูปร่างเหมือนดอกไม้ไฟบนหน้าอกขาวซีด
นี่คือร่างกายของลู่อวี๋ แต่ไม่ใช่ลู่อวี๋ที่อายุสิบแปดคนนั้น
เขาข้ามเวลา ข้ามเวลามายังอนาคตสิบปีข้างหน้า
ในฐานะนักเขียนนิยายออนไลน์ที่อ่านนิยายมาแล้วนับไม่ถ้วน ลู่อวี๋รู้อยู่แก่ใจดีว่าถ้าย้อนเวลากลับไปสิบปีก่อน นั่นเรียกว่าดัชนีทองคำ** ของการเกิดใหม่ แต่ถ้าข้ามเวลาไปสิบปีข้างหน้า นั่นน่ะหลุมฝังศพของแท้ เขาเก็บข้อมูลได้น้อยกว่าคนทั่วไป มิหนำซ้ำยังเสียร่างกายอันหนุ่มแน่นกำยำไปอีก!
“แค่ตีลังกาทีนึงก็ถึงกับข้ามเวลาเลยเหรอ ซุนหงอคง* ยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลยไหม ชีวิตวัยรุ่นสิบปีของฉัน แค่ตีลังกาก็หายวับไปกับตาทั้งอย่างนี้เลยอะนะ?” เมื่อมองกล้ามหน้าท้องที่เหลือแค่ก้อนเดียวกับร่องวีไลน์ที่ใกล้จะเลือนหายไป ลู่อวี๋ก็อดเศร้าโศกาไม่ได้
ในฐานะรุกแท้คนหนึ่ง ถ้าไม่มีกล้ามหน้าท้องหกก้อนขึ้นไป เขาก็ไม่สะดวกใจจะลงไปทิ้งขยะใต้ตึกแล้ว!
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง!
กริ่งประตูพลันดังขึ้น กดย้ำสองทีอย่างร้อนใจ ลู่อวี๋ที่กำลังหงุดหงิดงุ่นง่านปิดปากฉับ ลุกขึ้นยืนเต็มตัวอย่างระแวดระวัง
ไม่รอให้ลู่อวี๋เดินไปเปิดประตู คนข้างนอกก็เริ่มกดรหัสด้วยตัวเอง เสียงติ๊ดๆๆ ดังขึ้นแล้วตามมาด้วยเสียงเปิดประตูดังแกร๊ก จากนั้นชายหน้าเหลี่ยมสวมเสื้อสูทกั๊กสีดำพร้อมถุงมือสีขาวก็เดินเข้ามา
ผู้มาใหม่มองเห็นลู่อวี๋ก็ชะงักอย่างชัดเจน “คุณชายลู่? ผมคือพ่อบ้านของตึกนี้ครับ คุณผู้ชายของคุณโทรมาบอกว่าเหมือนคุณจะเป็นลมไป จึงมอบสิทธิ์การเข้าถึงให้พวกเราเข้ามาตรวจสอบ ตอนนี้คุณโอเคหรือเปล่าครับ ต้องการให้เราพาคุณไปโรงพยาบาลไหม”
ลู่อวี๋ไม่ค่อยเข้าใจสรรพนามประหลาดๆ อย่าง ‘คุณผู้ชายของคุณ’ นัก แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จะถามออกไปได้ “ผมน้ำตาลในเลือดตกเลยสะดุดล้มเฉยๆ ไม่เป็นอะไร”
พ่อบ้านของคอนโดฯ ผ่อนลมหายใจโล่งอก ยิ้มพลางพยักหน้า “ครับ งั้นผมไม่รบกวนแล้ว กรุณากดยืนยันบนสมองอัจฉริยะด้วยนะครับ”
สมองอัจฉริยะ?
ลู่อวี๋เลิกคิ้วเรียวน้อยๆ โลกอนาคตนี่ทันสมัยจริงๆ เขาก็พอรู้อยู่หรอกว่าสมองอัจฉริยะคืออะไร มันน่าจะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ระดับสูงยิ่งกว่าโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ แต่ปัญหาคือไอ้ของที่ว่านั่นมันอยู่ไหนกันล่ะ
เมื่อเห็นเขายังนิ่งไม่ไหวติง พ่อบ้านประจำคอนโดฯ ก็มองข้อมือข้างซ้ายของลู่อวี๋ด้วยสายตาไม่เข้าใจ
ลู่อวี๋ยกมือซ้ายขึ้นตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วเห็นเครื่องประดับทรงกลมเหมือนสมาร์ตวอตช์เรือนหนึ่งบนข้อมือ เขาจึงทำทีเป็นกดๆ จิ้มๆ หน้าปัด ปากพูดพึมพำ “ยืนยัน…”
หน้าปัดฉายลำแสงสายหนึ่งออกมา พร้อมเสียงพูดของชายหนุ่ม “ท่านพ่อ ท่านต้องการยืนยันว่าพ่อบ้านเข้ามาทำการตรวจสอบและยกเลิกการแจ้งเหตุ ใช่หรือไม่”
ลู่อวี๋ผ่อนลมหายใจ “ใช่”
“รับทราบครับ ท่านพ่อ” สมองอัจฉริยะตอบรับ ก่อนทำการยืนยันกับสมองอัจฉริยะของพ่อบ้านอัตโนมัติ
พ่อบ้านมุมปากกระตุก ท่าทางเหมือนอยากจะพูดแต่ไม่พูดออกมา
ลู่อวี๋ผ่อนคลายลง วางท่าเป็นนายท่านชาย “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
พ่อบ้านยิ้ม “เปล่าครับ สมองอัจฉริยะของคุณชายใช้คำเรียกได้ไม่เหมือนใครดีครับ”
ลู่อวี๋ผายมือเตรียมจะปิดประตู “ไม่เห็นจะมีอะไร โทรศัพท์มือถือผมก็เรียกผมว่าพ่อเหมือนกัน” ทุกครั้งที่เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ เขาก็จะบอกกับผู้ช่วยเสียง** AI ของสมาร์ตโฟนว่าเขาชื่อ ‘พ่อ’
พ่อบ้านอึ้งไปทีหนึ่ง
ลู่อวี๋เพิ่งจะได้สติอย่างน่าตกใจว่าเขาอาจจะไม่ควรพูดถึงโทรศัพท์มือถือ บางทีสำหรับคนในปี 2033 โทรศัพท์มือถือคงจะกลายเป็นวัตถุโบราณไปแล้ว เหมือนเวลาที่คนในยุคนั้นพูดถึงเพจเจอร์ มันออกจะแปลกเกินไปหน่อย เลยรีบเอ่ยเสริมไปอีกประโยค “เพื่อนๆ ของผมก็เรียกผมว่าพ่อ ปกติมาก ถ้าคุณยินดีจะเรียกด้วยก็ได้นะ”
พ่อบ้าน “…”
ลู่อวี๋ “แค่กๆ”
ถึงจะไม่มีมารยาทเอามากๆ แต่ก็ทำให้พ่อบ้านลืมเรื่อง ‘โทรศัพท์มือถือ’ ได้สำเร็จ
พ่อบ้านเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ย “ยังไงผมแจ้งให้คุณผู้ชายของคุณรีบกลับมาดีกว่าครับ”
* เหล่า เป็นคำที่ใช้เรียกคนสนิท
* แผ่นกระดาษบนหน้าต่างชั้นนี้ถูกเจาะขาด มาจากสำนวน ‘เจาะกระดาษแปะหน้าต่างจนขาด’ อุปมาถึงการพูดเปิดอก หรือพูดเรื่องราวให้ชัดเจน
** ไคว่ หมายถึงเงินหยวนที่ใช้ในภาษาพูด
* เจียงหลางหมดสิ้นพรสวรรค์ หมายถึงคนที่เคยมีความสามารถหรือพรสวรรค์สูงส่ง แต่ตอนนี้หมดความสามารถหรือหมดไอเดีย ไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ได้อีกต่อไป
** ดัชนีทองคำ เป็นคำสแลง หมายถึงได้เปรียบกว่าผู้อื่นเพราะมีความสามารถหรือตัวช่วยที่เหนือกว่า
* ซุนหงอคง เป็นพญาวานรในตำนานเทพของจีน มีอิทธิฤทธิ์มาก ในวรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว ซุนหงอคงปั่นป่วนแดนเทพเซียนจนถูกโทษผนึกตรึงไว้กับภูเขา 500 ปี จนพระถังซำจั๋งมาปลดปล่อย ซุนหงอคงจึงติดตามไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีปด้วยและใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยปราบปีศาจที่พบเจอระหว่างทาง
** ผู้ช่วยเสียง คือแอพพลิเคชั่นที่ทำให้เกิดการโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีผ่านการใช้ภาษาธรรมชาติ
บทที่ 2
สมองอัจฉริยะ
ดีร้ายอย่างไรก็พูดไล่พ่อบ้านคอนโดฯ กลับไปได้ จากนั้นลู่อวี๋ก็มานั่งศึกษาสมองอัจฉริยะบนโซฟา เขาอยากรีบทำความเข้าใจข้อมูลในตอนนี้โดยเร็ว อินเตอร์เน็ตย่อมเป็นวิธีที่ไวที่สุด
พริบตาที่เขามองไป สมองอัจฉริยะก็ฉายหน้าจอออพติคอล* ขึ้นกลางอากาศ หน้าอินเตอร์เฟซ** เหมือนเป็นเดสก์ท็อปของมือถือที่ไว้โชว์แอพพลิเคชั่นต่างๆ
“ชัดแจ๋วขนาดนี้เชียว” ลู่อวี๋ตื่นตาตื่นใจมาก ขยับข้อมือซ้ายขวา หน้าจอออพติคอลก็ยังคงหันหาเขาในด้านตรงเสมอ ชัดอย่างกับเป็นหน้าจอเรติน่าของมือถือระดับท็อปเลย
ตอนเขามองหน้าจอออพติคอลของพ่อบ้านเมื่อกี้ไม่ได้ชัดขนาดนั้น มันเหมือนกับจอกึ่งโปร่งแสง คล้ายๆ กับสิ่งประดิษฐ์สุดเพี้ยนเมื่อสิบปีก่อน…อย่างโทรทัศน์จอใส โทรทัศน์แบบนั้นสามารถมองเห็นหน้าจอได้ทั้งสองฝั่ง ใสแบบมองทะลุและบางเบา แต่มองเห็นไม่ชัดเลยสักนิด ไร้ประโยชน์สุดๆ
“เวลาดูสมองอัจฉริยะของตัวเองกับของคนอื่นจะเห็นไม่เหมือนกันครับ” สมองอัจฉริยะคล้ายจะรู้ถึงความสงสัยของเขา จึงส่งเสียงตอบออกมาโดยตรง
ลู่อวี๋เข้าใจแล้ว เดาว่าอาจจะเป็นเทคโนโลยีโพลาไรซ์*** หรือไม่ก็ฝังอุปกรณ์รับสัญญาณในสมอง จากนั้นก็ต้องสะดุ้งตกใจขนหัวลุก “ระดับสติปัญญาของนายสูงเกินไปแล้วมั้ง”
ที่จริงแล้วคณะที่เขาเรียนก็เป็นด้านปัญญาประดิษฐ์นี่แหละ ถึงจะเพิ่งขึ้นปีสอง แต่ทฤษฎีพื้นฐานก็แน่นมาก อย่างพวกผู้ช่วยเสียง Siri เสี่ยวอ้าย**** เสี่ยวตู้***** ล้วนเป็นระบบตอบสนองแบบตั้งรับ หรือก็คือ ‘ถ้าคุณไม่ถามมันจะไม่ตอบ’
แต่พฤติกรรมของเจ้าสมองอัจฉริยะเมื่อครู่ชัดเจนว่าความสามารถของมันสูงเกินระดับนั้นไปแล้ว เขาไม่ได้ถาม มันกลับตอบออกมาแล้ว แถมยังทำการคาดเดาความคิดของเขาในระดับหนึ่งด้วย
หน้าปัดสีดำคล้ายมีริ้วแสงวาบผ่าน สมองอัจฉริยะเงียบไปสองวินาทีก่อนเอ่ยตอบ “ผมไม่เหมือนกับสมองอัจฉริยะตัวอื่น”
เอ๋?
ลู่อวี๋ได้ยินคำตอบนี้ก็ลิงโลดขึ้นมาทันที หรือว่านี่จะเป็นดัชนีทองคำสุดโกงของการข้ามเวลา? ระบบที่ล้ำหน้ายุคสมัย!
“ก็ว่าแล้วไง” ลู่อวี๋นั่งไขว่ห้างอย่างลำพอง “ในฐานะบิดา…ของเทพแห่งเจ็ดคาบสมุทร ประมุขแห่งเผ่าพันธุ์วิปลาส ฉันต้องได้รับความเอ็นดูจากสวรรค์แน่นอน”
สมองอัจฉริยะ “…ไม่พูดถึงเรื่องนี้ได้หรือเปล่า”
ลู่อวี๋ไม่สนใจที่สมองอัจฉริยะเริ่มพูดจาไม่เคารพ เขานึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงถาม “จริงสิเจ้าระบบ ‘คุณผู้ชายของคุณ’ ที่พ่อบ้านพูดถึงหมายความว่าไง”
สมองอัจฉริยะ “ผมมีชื่อครับ คุณเรียกผมว่าตงตงก็ได้”
“ลู่ตงตงเหรอ” เขาคิดว่าด้วยความเจ๋งเท่ของเขา จะเอาชื่อตัวละครที่ตัวเองเขียนมาตั้งให้สมองอัจฉริยะก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ชื่อผู้รับของจากขนส่งเขาก็กรอกชื่อลู่ตงตงมาตลอด
“ใช่ครับ” สมองอัจฉริยะยืนยันคำตอบให้เขา จากนั้นอินเตอร์เฟซคล้ายหน้าเว็บไป่เคอ* ก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอออพติคอล “ ‘คุณผู้ชายของคุณ’ หมายถึงคู่สมรสอันถูกต้องตามกฎหมายของคุณ หมิงเยี่ยน ปัจจุบันเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของเฉินอวี๋เทคโนโลยี”
“…หา?”
คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย หมิงเยี่ยน เขาฟังเข้าใจทั้งสองอย่าง แต่พอเอามาวางไว้ด้วยกันแล้วสมองเขากลับขัดข้องตรงนั้นทันที หัวใจเริ่มเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งจนควบคุมไม่ได้
มะ…หมายความว่ายังไง
บนหน้าจอออพติคอลโชว์รูปปัจจุบันของหมิงเยี่ยนออกมาชุดหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นรูปที่ถูกถ่ายในชุดสูทขณะร่วมงานประชุมต่างๆ ถึงจะไม่ชัดมาก แต่ไม่สามารถปิดบังความสง่างามสูงศักดิ์และความงามเป็นเลิศที่ทะลุออกมานอกจอได้ ทำให้ลู่อวี๋ไม่มีทางจำผิดคนแน่นอน เป็นเทพบุตรของเขาจริงๆ!
โลกพลันเต็มไปด้วยแสงสว่าง เสียงนกขับขานหอมกลิ่นบุปผา เสียงร้องประสานเสียงโทนต่ำดังขึ้นข้างหูเขา “ฮาเลลูย่าห์…”
“เหมือนคุณจะเจอกับปัญหา จำชื่อผมและคู่สมรสตัวเองไม่ได้ สถานการณ์นี้ต้องการให้ผมทำการซิงค์กับคุณชายหมิงหรือไม่ครับ”
ลู่อวี๋ไม่ได้ฟังคำพูดประโยคท้ายของสมองอัจฉริยะสักนิด “เธอหมายความว่าฉันแต่งงานแล้ว และคู่ของฉันคือหมิงเยี่ยน?”
สมองอัจฉริยะ “ใช่ครับ”
พริบตานั้นโคมม้าวิ่ง* ฉายภาพความทรงจำของชีวิตก็กะพริบวาบๆ ในหัวลู่อวี๋ ภาพของตอนอายุสิบแปดที่ต้องทนอยู่อย่างอึดอัดในตระกูลลู่ ความรู้สึกใจเต้นตึกตักเมื่อได้พบกับหมิงเยี่ยนเป็นครั้งแรก เจ้าเงือกอ้วนที่เขาส่งให้ก่อนจะข้ามเวลา…
ลู่อวี๋เงียบไปเนิ่นนาน ก่อนถอนหายใจล้มตัวนอนแหมะบนโซฟา “ชีวิตข้าพเจ้านั้นเกิดมาคุ้มแล้ว”
เฉินอวี๋เทคโนโลยี
“ประธานหมิง จะตอบกลับจดหมายสอบถามของชิงฉวีแคปิตอลยังไงดีครับ” เลขาฯ วางจดหมายสอบถามปั๊มโลโก้สีทองลงบนโต๊ะ
‘จดหมายสอบถามเกี่ยวกับหลักฐานยืนยันสถานะการสมรสของคุณหมิงเยี่ยนและคุณลู่อวี๋’
หมิงเยี่ยนมองตัวอักษรสีดำตัวโตเตะตาบนนั้นแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เข้าใจแล้ว วางไว้เถอะ”
“ครับ” เลขาฯ ไม่กล้าถามมาก รับคำหนึ่งเสียงแล้วจึงออกไป
แผนการเปิดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ถูกระงับ ทำได้แค่ต้องขอเงินอัดฉีดจากกลุ่มสถาบันการเงินขนาดใหญ่เพื่อให้ข้ามพ้นวิกฤตไปได้ เขากับลู่อวี๋ต่างเป็นผู้บริหารระดับสูงและเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ชัดเจนมากว่ากลุ่มสถาบันการเงินไม่ชอบการมี ‘ผู้ตัดสินใจร่วม’ สองคนแบบนี้ มันทำให้บริษัทยิ่งดูเหมือนกิจการครอบครัว
หมิงเยี่ยนหลุบตาลง นั่งเหม่ออยู่เนิ่นนาน ก่อนจะส่งข้อความให้ลู่อวี๋
‘เราหย่ากันเถอะ’
ลบๆ แก้ๆ สุดท้ายก็เขียนออกมาแค่สี่พยางค์นี้ ช่วงนี้สภาพลู่อวี๋ดูไม่ค่อยดี เจ้าตัวปฏิเสธที่จะคุยกับเขา เขาจึงต้องเลือกส่งข้อความ
ติ๊ง! ข้อความได้รับการตอบกลับในทันที
‘นี่คือสมองอัจฉริยะของลู่อวี๋ เมื่อครู่จู่ๆ ลู่อวี๋ก็ล้มหมดสติครับ ผมทำการเรียกรถพยาบาลแล้ว กำลังพยายามปลุกให้ตื่นครับ’
หมิงเยี่ยนผุดลุกขึ้นทันใด ก่อนจะสวมเสื้อสูทตัวนอกเดินออกไปข้างนอก เดินพลางออกคำสั่งกับสมองอัจฉริยะให้ส่งรหัสแบบใช้ครั้งเดียวกับพ่อบ้านประจำคอนโดฯ ให้ขึ้นไปยืนยันอาการของลู่อวี๋
“ประธานหมิง เกี่ยวกับเรื่องที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ คุณมีความคิดยังไงบ้าง”
“ไลฟ์สตรีมปรับแก้ผลิตภัณฑ์ใหม่ในอาทิตย์หน้าจะเป็นไปตามกำหนดการเดิมไหมคะ”
“ได้ยินว่าคุณกับลู่อวี๋แต่งงานกันเพราะข้อตกลงเกี่ยวกับปัญหาด้านการถือลิขสิทธิ์ร่วม เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ”
เพิ่งจะเดินออกจากบริษัทไม่ทันไร กลุ่มนักข่าวก็เข้ามารุมเกาะอย่างกับปลิงเห็นเลือด ไมค์สีดำตัวหนึ่งหวิดจะทิ่มเข้าเบ้าตาหมิงเยี่ยนอยู่รอมร่อ
หมิงเยี่ยนไม่หลบไม่หลีก ทำเพียงยืนพูดเสียงเย็นเยียบอยู่ที่เดิม “หลีกไป”
เหล่านักข่าวเงียบกริบในพริบตา เลขาฯ กับ รปภ. เพิ่งจะไล่ตามทัน รีบเข้าไปแยกฝูงชนออกทันที “ขออภัยครับทุกท่าน ประธานหมิงของพวกเรามีธุระด่วน…”
ไม่รอให้เลขาฯ อธิบายจบ หมิงเยี่ยนก็เดินก้าวฉับๆ ผ่านทางแคบๆ ที่ถูกแหวกขึ้นรถไป แล้วขับฉิวออกไปไม่เห็นฝุ่น
“ฮิๆๆ” ลู่อวี๋ชูทะเบียนสมรสของทั้งคู่พลางกลิ้งไปมาบนโซฟา ส่งเสียงหัวเราะโง่ๆ แถมน่าเกลียดออกมา “อันที่จริงข้ามเวลามาแบบนี้ก็ไม่เลวเลย ข้ามความลำบากทุกอย่างขึ้นมาเป็น CEO แต่งงานกับมิสเตอร์เพอร์เฟ็กต์ อยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต ฮิๆๆ…”
“ท่านพ่อ ขออนุญาตเตือนหนึ่งประโยค แม้พ่อบ้านจะยืนยันแล้วว่าคุณไม่ได้หมดสติ แต่คุณหมิงยังรีบเดินทางกลับมาอยู่” สมองอัจฉริยะเอ่ยแจ้ง
ลู่อวี๋สะดุ้งลุกขึ้นนั่งทันที แล้วพุ่งตัวเข้าห้องอาบน้ำปานไฟลนก้น เขาจะเจอเทพบุตรของเขาในสภาพนี้ไม่ได้
หลังผ่านสงครามการอาบน้ำเสร็จอย่างรวดเร็วแล้ว ลู่อวี๋ก็เดินไปเลือกเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวที่พวกเขาสองคนใช้ร่วมกัน
ห้องชุดนี้มีมาสเตอร์เบดรูมสองห้อง ตรงกลางเชื่อมกันด้วยห้องแต่งตัวที่เปิดโล่ง ในห้องแต่งตัวแขวนเสื้อผ้าต่างๆ อย่างละสองไซส์ ถึงหมิงเยี่ยนจะรูปร่างสูงแต่โครงกระดูกเล็ก จึงสวมเสื้อผ้าเล็กกว่าลู่อวี๋หนึ่งไซส์
ลู่อวี๋จับแขนเสื้อชุดนอนไซส์เล็กกว่าตัวหนึ่งขึ้นมา รู้สึกเหมือนมีแมวกำลังข่วนหัวใจ มันคันยุบยิบนุบนิบ เขามองซ้ายแลขวาประหนึ่งหัวขโมย อดดึงแขนเสื้อมาจ่อใกล้ๆ จมูกแล้วสูดดมไม่ได้ กลิ่นหอมหวานสดชื่นจางๆ ของต้นไม้และหญ้าผสมกับกลิ่นไม้จันทน์อ่อนๆ ไม่ใช่แค่ขจัดความคันยุบยิบในใจไม่ได้ แต่กลับยิ่งทำให้ลู่อวี๋เสพติด สูดหายใจติดกันอีกสองรอบอย่างไม่อาจควบคุม
“คุณมีเวลาอีกแค่ประมาณห้านาที” สมองอัจฉริยะแจ้งเตือน
“แค่ก” ลู่อวี๋กระแอมเบาๆ หนึ่งที ฝืนใจหันไปมองหาฝั่งที่แขวนชุดสูท
เขาหยิบสูทลายตารางออกมาชุดหนึ่ง เอาทาบกับตัว นึกภาพตัวเองสวมสูทแล้วคาบดอกกุหลาบแดง โคลงแก้วไวน์แดงในมือ เรียกหมิงเยี่ยนเสียงทุ้มแผ่วว่า ‘ที่รัก’ ตอนที่เจ้าตัวเดินเข้ามาในห้อง อีกฝ่ายต้องหลงเขาจนโงหัวไม่ขึ้นแน่
“ฮิๆ นี่แหละสิทธิพิเศษของชายชาตรีที่สุกงอมเต็มที่”
ขณะกำลังแต่งหล่อ ลู่อวี๋พลันเห็นว่าท่อนบนของตัวเองในกระจกไม่หลงเหลือกล้ามหน้าท้องแถมผิวยังขาวซีดก็ยิ้มไม่ออก
สมองอัจฉริยะเอ่ยออกความเห็นอย่างถูกเวลา “พูดตามตรง มันเฉิ่มมากเลยครับ”
“หุบปาก” ลู่อวี๋โยนสูททิ้งอย่างฉุนเฉียว ก่อนเลือกชุดนอนผ้าไหมสีดำมาสวม ไม่รู้ว่าตัวเองในโลกอนาคตคิดอะไรอยู่ พอแต่งงานแล้วถึงได้ละทิ้งการดูแลร่างกาย ใช้ชีวิตอย่างกับพวกชายแท้มอมๆ น่าขายหน้าจริงๆ
ดีนะที่เขาไหล่กว้าง ถึงพยุงเสื้อผ้าไหมที่ทิ้งน้ำหนักดีสุดๆ ได้ พอยืนตัวตรงก็พอพรางหุ่นได้อยู่ เข้ายิมออกกำลังกาย อาบแดด ต้องเอาลิสต์พวกนี้เข้ากิจวัตรประจำวันด่วน
ลู่อวี๋ละเมียดละไมโกนหนวดเครา ตัดแต่งขนคิ้วรุงรัง หยิบแวกซ์มาจัดผมตัวเอง ถึงดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง เสียดายที่เขาแต่งหน้าไม่เป็น ยังไงซะใบหน้าในวัยหนุ่มของเขาก็ไม่มีตำหนิเลยสักนิด เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเบ้าตาคล้ำแถมนัยน์ตามีเส้นเลือดฝอยนี้ดี
“นี่ตงตง เธอรู้วิธีกลบใต้ตาดำหรือเปล่า” ลู่อวี๋ขอความช่วยเหลือกับสมองอัจฉริยะสารพัดประโยชน์
สมองอัจฉริยะน้ำเสียงสดใส “แนะนำให้คุณนำผมไปติดตั้งในลูกโป่ง ผมสามารถช่วยคุณหาแว่นกรองแสงที่เหมาะกับคุณได้”
ลู่อวี๋ทำตามที่สมองอัจฉริยะแนะนำ เมื่อเจอหุ่นลูกโป่งรูปร่างมนุษย์เงือกวางอยู่บนตู้โชว์เขาก็สูดลมหายใจเย็นเยียบ “นี่มัน…”
นั่นเป็นตุ๊กตาเงือกขนาดเท่าแมวโตเต็มวัยตัวหนึ่ง เหมือนกับรูปลู่ตงตงเวอร์ชั่นจิบิที่เพิ่งได้รับก่อนจะข้ามเวลามาเป๊ะๆ อย่างกับเคาะออกมาจากรูปวาด ทำให้เขารู้สึกไม่ถูกต้องอย่างกับว่าโลกสองมิติกลายเป็นโลกจริงเลยอย่างไรอย่างนั้น
ลู่อวี๋อดอุ้มเงือกตัวนั้นขึ้นมาไม่ได้ ความยืดหยุ่นของผิวสัมผัสนั้นยอดเยี่ยม เป็นวัสดุที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลย ทั้งตัวตุ๊กตาเบาหวิว แทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนักเลยสักนิด ถ้าไม่ผูกเชือกถ่วงน้ำหนักไว้คงจะลอยหายไปด้วยซ้ำ อย่างกับเป็นร่างลูกโป่งที่อัดพวกก๊าซฮีเลียมเข้าไปเลย
“กรุณานำอุปกรณ์เสริมสมองอัจฉริยะใส่ลงในสล็อต” หน้าจอออพติคอลของสมองอัจฉริยะแสดงภาพเคลื่อนไหวให้คำแนะนำ
ลู่อวี๋แกะหน้าปัดสีดำออกมาเสียบลงไปในสล็อต พริบตาสีของหน้าปัดก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสีโดยรอบ จากนั้นดวงตาของลูกโป่งเงือกก็ส่องแสง ดวงตากลมโตเป็นหน้าจอดิจิตอลสองจอ มันปรับสีหน้าเล็กน้อย แล้วหางปลาก็เริ่มขยับดุกดิก
“ตงตง” ลู่อวี๋อุ้มลูกโป่งเงือกที่ส่ายหางเบาๆ ขึ้นมาด้วยสีหน้าแทบเรียกได้ว่าหลงใหล ทั้งลูบๆ ผมและบีบหาง ไม่พอยังดึงตรีศูลเป่าลมในมือเล็กกลมเบาๆ อีกหนึ่งที “ความคิดดีเลยนี่ ทำให้ตัวละครที่ชอบขยับได้ แถมยังให้สมองอัจฉริยะสวมบทตัวละครได้ด้วย โลกสิบปีข้างหน้าคือสวรรค์ของโอตาคุจริงๆ!”
เงือกกะพริบตาปริบๆ ผละออกจากการควบคุมของลู่อวี๋ แกว่งหางเบาๆ แล้วลอยตัวหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศได้ด้วยตัวเอง ใช้เสียงเคร่งขรึมของเด็กหนุ่มพูด “ไม่ใช่การสวมบท”
น้ำเสียงนี้ บทพูดนี้ พูดจาเหมือนลู่ตงตงใน ‘เงือกจอมราชัน’ ฉบับหนังสือเสียงเปี๊ยบเลย มันให้ฟีลครั่นคร้ามน่ากลัว แล้วก็มีความฮึกเหิมของราชาหนุ่มอยู่หลายส่วน
ลู่อวี๋ตะลึง จู่ๆ ความคิดไร้สาระก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา ไม่รอให้เขาคิดออกก็ได้ยินเงือกสมองอัจฉริยะเอ่ยปาก
“ผมก็คือลู่ตงตง”
* หน้าจอออพติคอล (Optical Screening) คือหน้าจอที่มีการแสดงภาพอย่างมีประสิทธิภาพและคมชัด
** อินเตอร์เฟซ (Interface) คือภาพกราฟิกของหน้าจอมอนิเตอร์ที่แสดงต่อผู้ใช้งาน
*** เทคโนโลยีโพลาไรซ์ (Polarized Technology) คือเทคนิคที่ใช้การควบคุมทิศทางของแสงโพลาไรซ์ เพื่อลดแสงสะท้อน ปรับปรุงคุณภาพของภาพ หรือเพิ่มความคมชัด
**** เสี่ยวอ้าย คือผู้ช่วยเสียงจาก xiaomi (小米)บริษัทเกี่ยวกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศจีน
***** เสี่ยวตู้ คือผู้ช่วยเสียงจาก Baidu (百度)เสิร์ชเอ็นจิ้นของประเทศจีน
* ไป่เคอ หรือไป่ตู้ไปเคอ เป็นสารานุกรมออนไลน์ที่ร่วมกันเขียนในภาษาจีน จัดทำโดยไป่ตู้ คล้ายเว็บไซต์วิกิพีเดีย
* โคมม้าวิ่ง คือโคมไฟสวยงามชนิดหนึ่ง ตกแต่งด้วยกระดาษตัดเป็นรูปม้าหรือรูปอื่นๆ เมื่อจุดไฟด้านในโคมจะหมุน เกิดเป็นภาพเคลื่อนไหว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.