ทดลองอ่านเรื่อง ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1
ผู้เขียน : ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
หย่า
“เธอคือลู่ตงตง?” ลู่อวี๋หัวเราะด้วยอารามฉุนเฉียว “แม่งพูดเหลวไหลให้น้อยๆ หน่อยเถอะ เธอรู้ไหมว่าลู่ตงตงเป็นใคร ถ้าเธอเป็นลู่ตงตง ฉันแม่งก็เป็นซุนหงอคงแล้ว!”
ลู่ตงตงเป็นตัวละครหลักใน ‘เงือกจอมราชัน’ นิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของเขา สำหรับเขาแล้วลู่ตงตงไม่ใช่แค่ตัวละครในนิยาย แต่ยังเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขา เพื่อนที่เขาฝากฝังความเจ็บปวด การไม่ยอมแพ้ และความปรารถนาในวัยเยาว์ของเขาไว้ ไม่มีใครแทนที่ได้
เจ้าหุ่นยนต์นี่คงสวมบทลู่ตงตงนานเกินไป เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนกระดาษ* จริงๆ ไปแล้ว
ลู่อวี๋ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห คว้าเชือกถ่วงน้ำหนักของลูกโป่งเงือกหมับ “เธอคือลู่ตงตงใช่ไหม มาๆ แสดงอิทธิฤทธิ์ผู้อภิบาลลมพายุให้ฉันดูหน่อยสิ”
นั่นเป็นพลังเวทพื้นฐานของลู่ตงตง สามารถควบคุมพายุฝนได้ ทำให้ฟ้าแจ่มใสฝนกระหน่ำ แผ่นดินเกิดพายุคลั่ง
ลูกโป่งเงือกส่ายหาง พูดเสียงเรียบ “ที่นี่ไม่ใช่โลกของผม ไม่มีพลังวิญญาณ และไม่มีธาตุเวทมนตร์ด้วย นี่คือโลกของคุณ ท่านพ่อ”
นี่ไม่ใช่บทพูดจากในหนังสือ เป็นบทบรรยายดั้งเดิมที่ตรรกะชัดเจน ซ้ำยังไม่หลุดคาแร็กเตอร์เลยสักนิด อย่างกับคนจริงๆ กำลังพูดอยู่ในเนื้อหนังลูกโป่งนั่น ถ้าเกิดเป็นแค่การสวมบทจริงๆ AI ไม่น่าจะสร้างบทพูดขึ้นมาเองได้ มีแต่จะหาบทพูดที่มีอยู่แล้วมาใช้เท่านั้น
ลู่อวี๋เริ่มทำการระดมความคิด
หรือว่าเจ้านี่จะเป็นลู่ตงตงจริงๆ คนกระดาษอัพเกรดเป็นหุ่นยนต์แล้ว?
ในเมื่อเขายังข้ามเวลามาได้ งั้นคนกระดาษจะมีชีวิตขึ้นมาก็ไม่ใช่อะไรน่าแปลกนี่นา อธิบายได้พอดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเป็น ‘สมองอัจฉริยะที่ไม่เหมือนใคร’
ถ้าเกิดว่านี่คือลูกชายคนกระดาษของเขา…
หัวใจลู่อวี๋พลันร้อนเร่า หันมองลู่ตงตงอย่างตื้นตันใจ ลู่ตงตงยิ้มหน้ากะล่อนออกมา
ลู่อวี๋ “…”
ลู่ตงตง “ถ้าเกิดว่าคุณแสดงวิชาตีลังกาดั้นเมฆ** ได้ บางทีผมอาจจะลองใช้ท่าผู้อภิบาลมรสุมดู”
แม่ง โดนสมองอัจฉริยะเล่นแล้วไง!
ลู่อวี๋รู้สึกโมโหปรี๊ดขึ้นมาจากหัวใจ เกรี้ยวกราดจนถุงน้ำดีโต คว้าหมอนอิงบนโซฟาขึ้นมา “ฉันจะแสดงโทสะของบิดาให้แกดูก่อนเลย!”
ลูกโป่งเงือกสะบัดหางลอยหนี ลู่อวี๋สับเท้าไล่ตามหลัง ไล่ตามเสียจริงจังเกินจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู เขาวิ่งทะลุห้องรับแขกปราดเข้าโถงประตู แล้วชนเข้ากับหมิงเยี่ยนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาเสียเต็มรัก
ตัวจริงเสียงจริง เทพบุตรตัวอุ่นๆ!
“ตุ้บ” หมอนอิงร่วงลงพื้น
ความงดงามที่จู่โจมในระยะประชิดทำให้ลู่อวี๋ลืมหายใจ เขากลั้นหายใจจนเวียนหัวถึงตั้งสติได้ กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วรีบคลายมือออก แต่ก็กลัวหมิงเยี่ยนจะยืนไม่อยู่ อยากแตะต้องแต่ก็ไม่กล้า ร้อนรนจนเดินหมุนไปหนึ่งรอบ เหมือนลูกหมาที่ได้กลิ่นกระดูกแสนหอมหวาน แต่ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้านายก็ไม่กล้าลงมือแทะ
หมิงเยี่ยนสวมเสื้อสูท เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมคอสองเม็ด คลายเนกไทคล้องคอไว้หลวมๆ ยืนตระหง่านอยู่ใต้แสงไฟสว่างจ้าหน้าโถงประตู เทียบกับใบหน้าอ่อนๆ สมัยเป็นเดือนมหาวิทยาลัยแล้ว หน้าตาและออร่าของเขาอัพเกรดขึ้นเป็นทวีคูณ เสมือนแสงจันทร์เยือกเย็นกลายเป็นดวงอาทิตย์เจิดจ้าเปล่งประกาย ถึงขั้นสามารถทะลวงหัวใจหนุ่มน้อยลู่อวี๋ได้ในเสี้ยววินาที
ลู่อวี๋มองเหม่อ พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง ทำได้แค่เดินวนหนึ่งรอบเพื่อมองหาว่าชนสมบัติล้ำค่าคนนี้เสียหายตรงไหนหรือเปล่า
หมิงเยี่ยนมองลู่อวี๋ที่เดินวนรอบตัวเองไปมาอย่างกับลูกหมาก็รู้สึกว่าสภาพเขาวันนี้ดูสบายตาขึ้นมาก ถึงขั้นน่ารักนิดๆ จนอดยื่นมือออกไปหมายจะลูบศีรษะที่มีกลิ่นหอมหลังอาบน้ำไม่ได้ แต่ยื่นมือได้ครึ่งทางกลับชะงัก ก่อนค่อยๆ กำหมัดแล้วเอาไพล่หลัง “พ่อบ้านแจ้งว่าอาการของนายตอนคุยกับเขาไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ เกิดอะไรขึ้น”
“เรื่องนี้มันซับซ้อนนิดหน่อย…” ลู่อวี๋ชะงักเล็กน้อย ทำหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ “ผมแค่ล้อเขาเล่นเฉยๆ น่ะ ไม่คิดว่าเขาจะไม่มีอารมณ์ขันเลยสักนิด”
เขายังคิดไม่ออกเลยว่าจะอธิบายกับหมิงเยี่ยนเรื่องที่เขาข้ามเวลามายังไงดี คงพูดไม่ได้ว่า ‘สามีพี่เก่าเกินไป ถูกส่งกลับไปซ่อมบำรุงที่โรงงาน ตอนนี้เปลี่ยนไส้ในชั่วคราว เพราะงั้นเลยคุยกับพ่อบ้านไม่รู้เรื่อง’ หรอกนะ ทำได้แค่ต้องโทษว่าพ่อบ้านเป็นคนแข็งกระด้างเคร่งขรึมเกินไป ไม่เข้าใจมุกตลกของเขา
หมิงเยี่ยนถอดเสื้อตัวนอกแล้วเดินไปทางโซฟา “นายให้คนอื่นเรียกตัวเองว่าพ่อ คนปกติเขาไม่ขำกับอะไรแบบนี้หรอกนะ”
“ฮะๆๆๆ” ลู่อวี๋หัวเราะแห้ง ตามหมิงเยี่ยนไปนั่งบนโซฟา แล้วขยับเข้าไปเบียดเขาอย่างสนิทสนม “พี่หิวหรือเปล่า ผมทำอะไรให้กินไหม”
หมิงเยี่ยนมองเขาด้วยสายตาลุ่มลึก “นายเห็นข้อความที่ฉันส่งไปหรือยัง”
ลู่อวี๋มองภรรยาที่สดใหม่จากเตาของตัวเองตาเป็นประกาย พอสบตาคู่สวยนั้นสมองก็ว่างเปล่า ตอบกลับเหมือนคนโง่ “ข้อความอะไร ผมยังไม่ได้ดูเลย สลบไปเพิ่งจะลุกขึ้นน่ะ” ก่อนที่จะถูกความงามแย่งชิงสติสัมปชัญญะทั้งหมดไป เขาพยายามพูดเสริมไปอีกหนึ่งประโยค พยายามดิ้นรนแสดงออกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายซกมกที่ต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าถึงจะมีสภาพดูดีแบบนี้ได้
เจ้าเงือกที่เผ่นหนีไปไกลค่อยๆ ลอยกลับมา ฉายจอออพติคอลด้านหลังหมิงเยี่ยน โชว์ข้อความสุดท้ายที่ถูกส่งมา
‘เราหย่ากันเถอะ’
หย่า?!
ลู่อวี๋รูม่านตาสั่นไหวอย่างหนัก
ไม่นึกเลยว่าข้อความสุดท้ายที่ส่งมาจะเป็นข้อความขอหย่า มิน่าล่ะ สายตาที่หมิงเยี่ยนมองเขาถึงได้แปลกๆ คงคิดว่าเขาพยายามประจบประแจงง้อขอคืนดีเพราะเห็นข้อความขอหย่าสินะ
ภรรยาที่เพิ่งจะได้รับมาหมาดๆ ยังไม่ทันหายร้อนก็จะบินหนีไปแล้วเหรอ เขารู้สึกถึงความชั่วร้ายอันน่าสยดสยองของโลกใบนี้
หมิงเยี่ยนถอนหายใจ “ช่างเถอะ พูดต่อหน้าเหมาะสมกว่า”
ลู่อวี๋ “เดี๋ยว!”
หมิงเยี่ยน “เราหย่ากันเถอะ”
ลู่อวี๋ “ผมทะลุมิติมา”
หมิงเยี่ยน “…”
ความเงียบอันแปลกประหลาดปกคลุมทั่วห้อง
ลู่อวี๋กระแอมเสียงแหบ พยายามอธิบาย “คือว่าแบบ ผมข้ามเวลามาจากเมื่อสิบปีก่อน ไม่ใช่ลู่อวี๋ร่างเดิมตอนนี้ พี่จะเรียกผมว่าลู่เสี่ยวอวี๋ก็ได้ ส่วนคนก่อนก็เป็นลู่ต้าอวี๋*”
หมิงเยี่ยนนวดหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า “เล่นละครอะไรอีก พล็อตนิยายเรื่องใหม่หรือไง”
นิยายที่ลู่อวี๋เขียนเมื่อก่อนจะชอบเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกนั้น แม้แต่วิธีการพูดหรือรูปแบบพฤติกรรมก็เปลี่ยนได้ ถึงขนาดที่ว่าช่วงมหาวิทยาลัยหมอนี่เบียว** มากด้วยซ้ำ ช่วงที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ก็กร่าง บ้าอำนาจมาก แต่หลายปีมานี้ลู่อวี๋เขียนนิยายน้อยลง หลังจากเปิดบริษัทก็ยุ่งหัวหมุนจนยิ่งไม่อาจเขียนนิยาย นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เป็นแบบวันนี้
“จริงๆ นะ ผมข้ามเวลามาจริงๆ” ลู่อวี๋ทำได้แค่พูดความจริงออกไป “หนึ่งวิฯ ก่อนหน้านี้ผมยังอยู่ในหออยู่เลย ลืมตามาอีกทีก็นอนอยู่ในห้องทำงานนี่แล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สรุปคือผมไม่ใช่เขา ผมรับผิดชอบเรื่องการแต่งงานของพวกพี่สองคนไม่ได้ ถ้าจะหย่าก็รอเขากลับมาก่อนแล้วค่อยคุยกับเขาเถอะ”
หมิงเยี่ยนหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ ลมหายใจที่พ่นออกมาขาดห้วง เหมือนพยายามสะกดกลั้นโทสะ “ลู่อวี๋ ฉันเหนื่อยมากจริงๆ ไม่มีแรงมาเล่นกับนายหรอกนะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่อวี๋ค่อยๆ เลือนหาย
เห็นสีหน้าแบบนั้นของเขาแล้วหมิงเยี่ยนก็แสนปวดใจ ลอบด่าในใจว่า ลู่ต้าอวี๋ นายมันรู้จักแต่ทำความชั่ว ไปหนึ่งที ถึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ด่าลู่อวี๋ก็เป็นสิ่งที่ถูกแล้ว
เงียบไปครู่หนึ่ง ลู่อวี๋ก็ดึงเนกไทที่พันอยู่บนข้อมือหมิงเยี่ยนเบาๆ “ผมไม่ได้เล่นนะ ผมพูดความจริงทั้งหมดเลย รุ่นพี่”
เมื่อได้ยินคำเรียกที่ไม่ได้ยินมานานหมิงเยี่ยนก็ลืมตาขึ้น สบกับนัยน์ตากระจ่างใสจนเห็นก้นบึ้ง แล้วก็ต้องตะลึง นี่ไม่มีทางเป็นแววตาที่ลู่อวี๋วัยยี่สิบแปดปีจะมีแน่นอน
หลายปีที่เริ่มทำธุรกิจ หมิงเยี่ยนเคยพบเจอคนหน้าไหว้หลังหลอกมาหลายรูปแบบ เขารู้ว่าแววตาเป็นสิ่งที่ปลอมแปลงได้ยากที่สุด ถ้าหากลู่อวี๋แสดงได้ถึงขั้นนี้ ยังจะต้องเขียนนิยายอะไรอีก ไปเป็นราชาจอเงินซะเลยดีกว่า
“ท่านพ่อไม่ได้แสดงละครนะครับ” ลูกโป่งเงือกลอยเข้ามาช่วยอธิบายให้พ่อของตน “ก่อนที่คุณจะกลับมา เขาก็กรี๊ดใส่ทั้งกระจก กล้ามหน้าท้อง แล้วก็โปรเจ็กเตอร์ แถมยังวิ่งพล่านไปทั่วห้อง ขว้างสลิปเปอร์ กลับหัวปัสสาวะ…”
“ฉันไม่ได้กลับหัวฉี่! อย่ามาพูดบ้าๆ นะเจ้านี่!” ตอนแรกลู่อวี๋ก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่หรอก แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่ใช่ เขาดึงเจ้าลูกโป่งเงือก พยายามจะอุดปากของมัน
ไอ้เจ้าลูกเต่า บังอาจมาทำลายภาพลักษณ์ของเขาต่อหน้าเทพบุตร!
หมิงเยี่ยนเห็นท่าทางของเขา มุมปากก็ยกขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เขาพูดผ่านสมองอัจฉริยะของนาย ปิดปากไปก็ไร้ประโยชน์”
ลู่อวี๋เก็บมือกลับมาอย่างกระอักกระอ่วน ตีก้นเจ้าเงือกไปหนึ่งฉาด “นิสัยเจ้านี่เหมือนกับเจ้าเด็กเวรลู่ตงตงเปี๊ยบเลย อ้าปากทีก็พูดแต่อะไรเหลวไหล”
ลู่ตงตงในนิยายเรื่อง ‘เงือกจอมราชัน’ เดิมเป็นคุณชายน้อยที่ชีวิตมั่งคั่ง วันหนึ่งโลกเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พลังวิญญาณตื่นจากการหลับใหล สัตว์ประหลาดป่ายปีนขึ้นมาจากใต้พิภพและก้นสมุทร และสายเลือดมนุษย์เงือกในตัวเขาก็ตื่นขึ้น คนในครอบครัวกลัวเขาที่พลังตื่นขึ้นมาจึงขับไล่เขาออกจากบ้าน จากนั้นเขาก็เร่ร่อนไร้ที่อยู่มานาน จนกลายเป็นคนที่จงเกลียดจงชังโลกอันขมขื่น โหดเหี้ยมอำมหิต ชั่วช้ามากเล่ห์
“ผมก็คือลู่ตงตง ปะป๊า คุณบอกพ่อทีสิ” ลูกโป่งเงือกลอยมาตรงหน้าหมิงเยี่ยน เอ่ยฟ้องกระเง้ากระงอด
หมิงเยี่ยนใคร่ครวญครู่หนึ่ง “ตงตงเป็นสินค้าหลักของบริษัทเรา”
สินค้า? ภาพเงือกเวอร์ชั่นจิบิถูกวางอยู่บนแผงสินค้าลอยเข้ามาในหัวลู่อวี๋ ลู่ต้าอวี๋ในสภาพเหี่ยวเฉานั่งยองตะโกนขายของอยู่ข้างๆ ‘พ่อแม่พี่น้องที่ผ่านไปผ่านมา บ้านฉันยากจนหิวโหยไม่มีอันจะกิน ทำได้แต่ต้องเอาลูกชายมาขาย เสนอราคาได้นะครับ’
ลู่อวี๋ตบเท้าแขนโซฟาทันที “ทำแบบนี้ได้ยังไง ฉันลู่อวี๋ ต่อให้ต้องปักป้ายขายหัวตัวเองก็ไม่มีทางขายลูกสาวลูกชายเด็ดขาด!”
หมิงเยี่ยน “…สินค้าเราคือผู้ช่วยสมองอัจฉริยะส่วนตัว ผู้ช่วยตงตงเป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด”
ลูกโป่งเงือกรีบแจ้นไปประจบเอาใจทันที เขาเปิดโฆษณาผลิตภัณฑ์ของเฉินอวี๋เทคโนโลยีช่วงหนึ่ง ในโฆษณานั้นผู้ใช้งานคนหนึ่งยกสมองอัจฉริยะในมือขึ้นมา เสียงของลู่ตงตงดังออกมาจากหน้าปัด “สวัสดี ฉันคือผู้ช่วยตงตง เมื่อไหร่ที่คุณต้องการความช่วยเหลือจากฉัน กรุณาเรียกชื่อฉันว่า ‘ตงตง’ เทพแห่งเจ็ดคาบสมุทร ประมุขแห่งเผ่าวิปลาส ผู้ช่วยส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปฐพี พร้อมให้บริการท่านตลอดเวลา”
ประโยคก่อนหน้านี้ออกจะดูแข็งกระด้างไปนิด แต่ประโยคหลังนี่เบียวสุดปรอท อย่างกับเอานิสัยของตงตงมาสวมทับแม่แบบทั่วไปของผู้ช่วยสมองอัจฉริยะ
หมิงเยี่ยนชี้เจ้าหนูที่แอบชูตรีศูลขึ้นมาเขี่ยๆ ผมของลู่อวี๋ “เขาเป็นซอร์ซโค้ด* ของลู่ตงตง เป็นตัวรับรองข้อมูลทั้งหมดของลู่ตงตง แล้วยังถูกนาย…อืม ถูกลู่ต้าอวี๋เลี้ยงเหมือนคนจริงๆ มาสามปี เทรนการโต้ตอบบทสนทนาด้วยทุกวัน หรือในแง่หนึ่งเขาก็คือลู่ตงตงจริงๆ ฉันอธิบายเข้าใจหรือเปล่า”
ที่จริงหมิงเยี่ยนไม่ค่อยเข้าใจหลักการในนั้นสักเท่าไหร่ ยังไงเขาก็เป็นแค่เด็กวิจิตรศิลป์ที่อ่อนแอไร้ที่พึ่งคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ลู่อวี๋กลับเข้าใจ
สิ่งที่เขาขายให้กับลูกค้าเป็นแค่ข้อมูลส่วนหนึ่งของลู่ตงตงเท่านั้น รูปแบบการให้บริการจะคล้ายๆ กับ Siri หรือเสี่ยวตู้ที่ ‘ถ้าไม่ถามก็ไม่ตอบ’
และแหล่งข้อมูลของ AI…ก็คือลู่ตงตงที่อยู่ในสมองอัจฉริยะของเขาตัวนี้มีความทรงจำของลู่ตงตงในหนังสือ แล้วยังถูกนักเขียนเทรนพฤติกรรมของมนุษย์จริงๆ ด้วย นอกจากใช้เวทมนตร์ไม่ได้ เขาก็ใกล้เคียงกับคนกระดาษนั้นอย่างไร้ข้อจำกัดแล้ว
ลู่อวี๋ผ่อนลมหายใจโล่งอก “ที่แท้ก็ไม่ได้ทะลุออกมาจากหนังสือ แต่เป็นซูเปอร์เทคโนโลยีสุดโหดสินะ”
ลูกโป่งเงือกเห็นเขาเข้าใจได้สักทีก็ส่ายหางดุกดิกอย่างมีความสุข
“คิดอะไรอยู่ ต้องเชื่อในวิทยาศาสตร์สิ” หมิงเยี่ยนดึงข้อมือลู่อวี๋ขึ้นมา “ไปเถอะ พวกเราไปโรงพยาบาลกัน”
“หา? ผม…ผมไม่ไป ผมไม่ได้ป่วย” ลู่อวี๋กำลังจมอยู่กับการอภิปรายทางวิชาการ ทว่าจู่ๆ ก็มีการสัมผัสกันทางผิวหนังกะทันหัน สมองของเขาเลยดังวิ้งหนึ่งทีแล้วโอเวอร์โหลด เริ่มมีควันผุดออกมา
เห็นได้ชัดว่าหมิงเยี่ยนยังไม่เชื่อเขา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับลู่อวี๋ที่จิตใจและสติปัญญาย้อนกลับไปสิบปี เขาจึงได้แค่กล่อมอีกฝ่ายด้วยความอดทน ยื่นมือไปลูบหน้าผากที่เริ่มขึ้นสีแดงของเจ้าตัว “หน้าแดงขนาดนี้ไข้ขึ้นแล้วแน่ๆ ต้องไปตรวจดู”
ลู่อวี๋คลอเคลียกับฝ่ามือนุ่มเบาๆ แล้วถึงเอา ‘ฮีตเตอร์ต้มน้ำ’** เรียวยาวและขาวผ่องที่แตะหน้าผากข้างนั้นลงมาได้ ก่อนแอบกุมไว้ในมือ “แค่ก ไม่มีไข้ แค่ตื่นเต้นนิดหน่อย ไปโรง’บาลไม่ได้ เรื่องทะลุมิติจะมีหมอคนไหนวินิจฉัยได้ เขาต้องบอกว่าผมบ้า แล้วถ้าเกิดเรื่องแพร่ออกไป พรุ่งนี้หุ้นบริษัทร่วงระนาวแน่ๆ”
หมิงเยี่ยน “…บริษัทเรายังเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ ไม่มีมูลค่าหุ้นหรอก”
* คนกระดาษ หมายถึงตัวละครการ์ตูนสองมิติหรือในเกม
** วิชาตีลังกาดั้นเมฆ คือวิชาเหาะเหินของซุนหงอคง พญาวานรในวรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว ซึ่งการตีลังกาหนึ่งครั้งสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลถึงหนึ่งแสนพันแปดลี้
* เสี่ยว แปลว่าเล็ก เป็นการบอกว่าเขาเป็นลู่อวี๋ในวัยเด็ก ต้า แปลว่าใหญ่ เป็นการบอกว่าลู่อวี๋ในอนาคตคือลู่อวี๋ตอนโต
** เบียว หรือโรคจูนิเบียว เป็นคำบรรยายถึงวัยรุ่นในภาวะที่คิดว่าตนเองแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป มีพลังลึกลับที่ซ่อนอยู่ รอวันเปล่งประกาย
* ซอร์ซโค้ด (Source Code) หรือรหัสต้นฉบับ เป็นชุดคำสั่งที่โปรแกรมเมอร์เขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์อ่านออก ก่อนที่จะถูกแปลงไปเป็นรหัสเครื่องในรูปเลขฐานสองเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
** ฮีตเตอร์ต้มน้ำ (Immersion Heater) คืออุปกรณ์ทำความร้อนที่ใช้สำหรับให้ความร้อนกับของเหลวชนิดต่างๆ ทำมาจากฮีตเตอร์สแตนเลสนำมาดัดเป็นตัวยูแล้วเชื่อมเข้ากับหัวเกลียวหรือหน้าแปลน ในที่นี้หมายถึงฝ่ามือของหมิงเยี่ยน
บทที่ 4
เชวียเต๋อ
“งะ…งั้น” ลู่อวี๋ไม่รู้จะพูดยังไง ได้แต่งั้น งั้น งั้น เป็นครึ่งวัน ก็ยังพูดอะไรที่มีสาระออกมาไม่ได้ “งั้นเอาเถอะ”
ลืมไปแล้วว่ามีเรื่องเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่สำเร็จด้วย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเขาไม่เคยเจอบุตรแห่งโชคชะตาคนไหนที่ล้มเหลวกับการยื่นเรื่องเข้าตลาดหลักทรัพย์มาก่อนเลย น่าขายหน้าจริงๆ เลยโว้ย! ถ้าเกิดมีปาร์ตี้ผู้ทะลุมิติ แต่ละคนคงพูดว่า ‘ฉันย้อนอดีตไปยุคโบราณแล้วได้เป็นฮ่องเต้ที่หาได้ยากในรอบพันปี’ ‘ฉันทะลุมิติโลกอนาคตแล้วได้เป็นจอมพลระหว่างดวงดาว’ จากนั้นทุกคนก็มองมาทางลู่อวี๋เป็นตาเดียว แล้วถามด้วยสายตาว่านายทะลุมิติไปเป็นอะไรเหรอ ‘ฮ่าๆๆ ฉันข้ามเวลาไปเป็นประธานบ้าอำนาจที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้…’
หมิงเยี่ยนมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายของอีกฝ่าย จากนั้นก็พบว่ามือข้างนั้นที่แอบกุมมือเขาเหงื่อแตกท่วมฝ่ามือ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางคิดว่าสมกับเป็นเด็กน้อยอายุสิบแปดจริงๆ “แต่ว่าที่นายพูดก็มีเหตุผล เรื่องนี้ถ้าฝั่งผู้ลงทุนรู้เข้าคงไม่ดี คนก็รู้จักนายไม่ใช่น้อยๆ ด้วย”
ตอนที่ลู่อวี๋เขียนนิยายระดับขึ้นหิ้งอย่าง ‘เงือกจอมราชัน’ ขึ้นมา เขาเองก็หน้าตาดีไม่ใช่เล่น ได้โปรโมตกับเว็บไซต์ เคยถูกสัมภาษณ์มามากมาย ถึงขั้นเคยออกรายการวาไรตี้บนสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมด้วย
หลังเงียบใคร่ครวญไปครู่หนึ่งหมิงเยี่ยนก็เปิดสมองอัจฉริยะ “ฉันจะนัดเวลากับหมอส่วนตัว”
หลังจากผ่านไปหลายขั้นตอน อีกฝั่งก็พูดด้วยใจบริการดีเยี่ยมว่า “ขออภัยค่ะ นัดตรวจผู้ป่วยนอกของหมอเชวียวันนี้เต็มแล้ว เร็วสุดคือพรุ่งนี้หลังบ่ายสองโมงค่ะ หากคุณผู้ชายรีบ สามารถเข้ามาทำการตรวจเบื้องต้นได้ แล้วพรุ่งนี้ก็เข้ารับการวินิจฉัยต่อหน้าได้เลย แน่นอนว่าแทรกคิวได้ค่ะ แต่จำเป็นต้องเก็บค่าบริการเพิ่มเติมด้วย”
ลู่อวี๋ได้ยินก็อึ้งเบาๆ “นี่มันคลินิกเถื่อนอะไรกันเนี่ย มีการชักจูงให้ลูกค้าจ่ายเงินแทรกคิวด้วย ดีนะพวกเราไม่รีบ”
หมิงเยี่ยน “จ่ายครับ ขอคิววันนี้ให้ผมเลย”
ลู่อวี๋ “…”
พนักงาน “รับทราบค่ะ”
จากนั้นลู่อวี๋ก็ถูกลากออกจากห้องอย่างไม่เต็มใจประหนึ่งเด็กน้อยที่ถูกผู้ปกครองลากไปฉีดวัคซีน
โรงจอดรถใต้ดินเป็นโรงจอดรถส่วนบุคคลขนาดเล็กสำหรับครอบครัว โรงจอดรถบ้านพวกเขามีที่จอดรถสำหรับสี่คัน แต่มีรถจอดอยู่เพียงสองคัน หมิงเยี่ยนกดเปิดรถพอร์ชอย่างคล่องตัว บ่งบอกให้ลู่อวี๋ขึ้นรถ
“ทำไมไม่ขับเบนต์ลี่ย์คันนั้นล่ะ” ลู่อวี๋ชี้เบนต์ลี่ย์สีน้ำเงินคันข้างๆ ในใจก็ไหววูบหนึ่งที อย่าบอกนะว่านั่นเป็นเบนต์ลี่ย์ที่ลู่ต้าอวี๋ขับประจำ แต่ให้เมียขับแค่พอร์ชคันเล็กอะนะ? นั่นมันก็ไม่ใช่คนแล้ว
หมิงเยี่ยนส่ายหน้า “เบนต์ลี่ย์บอบบางเกินไป ซ่อมทีหนึ่งต้องใช้เงินเยอะมาก จะขับเฉพาะตอนต้องออกไปคุยธุรกิจ”
ทำไมลู่อวี๋ถึงไม่คิดถึงเหตุผลนี้เลยนะ มันแย่เกินกว่าที่เขาคาดอีก ต้องบอกก่อนว่าหมิงเยี่ยนโตมาในครอบครัวคนรวย เคยต้องกังวลเรื่องอะไรแบบนี้ซะที่ไหน พอแต่งงานกลับต้องมาวางแผนการเงินอย่างถ้วนถี่ นี่มันอย่างกับคนสวย รวย ขาว มาแต่งงานกับชายหงส์* แล้วคุณภาพชีวิตตกฮวบๆ ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกผิดจนไม่รู้จะรู้สึกผิดยังไง “เจ้าลู่ต้าอวี๋ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว!”
หมิงเยี่ยนเห็นเขากัดฟันกรอดๆ ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ไร้ประโยชน์ยังไง”
ลู่อวี๋กระฟัดกระเฟียด “ถ้าเป็นผมนะ ต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วเราก็ซื้อรถหรูจอดให้เต็มโรงจอดใต้ดิน ขับหนึ่งคันทิ้งหนึ่งคันไปเลย”
หมิงเยี่ยนหัวเราะกับความตลกของเขา “ถึงมีเงินแค่ไหนก็ใช้แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ ต้องรู้จักมัธยัสถ์สิถึงจะร่ำรวย”
ฟังแล้วมีเหตุผลมาก แต่ในใจลู่อวี๋ก็ยังคงไม่สบายใจแปลกๆ เขายั้งมือหมิงเยี่ยนที่กำลังเปิดประตูรถ “ผมขับแล้วกัน”
หมิงเยี่ยน “นายมีใบขับขี่เหรอ”
ลู่อวี๋ยืดอก “มีสิ ผมไปสอบตั้งแต่เพิ่งบรรลุนิติภาวะได้หมาดๆ”
เขาคว้ากุญแจรถไปอย่างภาคภูมิ เตรียมจะเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้หมิงเยี่ยน วางแผนในหัวว่าจะคาดเข็มขัดให้ภรรยายังไง แกล้งทำเป็นว่าลื่นแล้วฉวยโอกาสนี้…ฮิๆๆ
หมิงเยี่ยนเอ่ยเตือนสติแบบสบายๆ “สิบปี ใบขับขี่นายหมดอายุแล้ว” จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่ลู่อวี๋กำลังนิ่งอึ้งคว้ากุญแจรถกลับมาอย่างง่ายดาย ซ้ำยังลูบหัวบื้อๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งที
ลู่อวี๋ถูกลูบหัวก็ว่าง่ายทันที ขึ้นไปนั่งบนเบาะข้างคนขับอย่างชอบใจ แล้วคาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองอย่างเชื่อฟัง จนเมื่อรถขับออกไปไกลแล้วถึงเพิ่งคิดได้ “ไม่ใช่สิ ผมใช้ใบขับขี่ของลู่ต้าอวี๋ก็ได้นี่”
“ฮ่าๆๆ…” หมิงเยี่ยนกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป ลั่นหัวเราะออกมา
ลู่อวี๋ยกมือข้างหนึ่งปิดตา วันนี้เขาดูโง่เกินไปแล้วจริงๆ เทพบุตรจะรังเกียจเขาหรือเปล่า ด้วยสมองที่ขัดข้องบ่อยๆ แบบนี้ เขาจะเอาอะไรไปช่วยลู่ต้าอวี๋กอบกู้ชีวิตสมรสที่อยู่ในขั้นวิกฤตนี้ล่ะ
ในรถอบอวลด้วยกลิ่นของหมิงเยี่ยนทำให้คนรู้สึกเมามาย ลู่อวี๋นิ่งเงียบไปสามวินาทีแล้วก็ตั้งสติ มองถนนหนทางข้างนอกอย่างสนใจใคร่รู้
เวลาสิบปี เพียงพอแล้วที่จะพลิกโฉมเมืองหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง ลู่อวี๋มองเมืองที่คุ้นเคยและท้องถนนที่แปลกตาข้างนอก “ที่นี่เปลี่ยนไปมากเลย”
หมิงเยี่ยนหยุดรอสัญญาณไฟจราจร ก่อนหันไปมองเขา “ทำไมนายถึงคิดว่าตัวเองข้ามเวลา ไม่ใช่ความจำเสื่อมล่ะ”
ลู่อวี๋ดึงสายตากลับมา ทว่ากลับไม่กล้ามองตาหมิงเยี่ยนเพราะกลัวตัวเองจะสติหลุดอีก เลยต้องจ้องกรอบคางสวยได้รูปนั่นแทน “ผมถามพี่นะ วันที่เก้าพฤศจิเมื่อสิบปีก่อนพี่กำลังทำอะไรอยู่”
หมิงเยี่ยนส่ายหน้า “ฉันจะไปจำได้ได้ไง”
ลู่อวี๋หลุบตาลง “ผมจำได้ วันนั้นผมเขียนนิยายอยู่ในหอ แล้วได้รับรูปลู่ตงตงที่พี่วาดให้ผม ผมจำรายละเอียดได้ทุกอย่าง แน่นอน พี่จะพูดก็ได้ว่าเพราะผมมีความทรงจำกับมันลึกซึ้งเลยจำได้ถึงตอนนี้ แต่เรื่องก่อนวันที่เก้าผมก็ยังจำได้ วันที่เจ็ดผมไปกินหมาล่าผัดกับเหล่าหยาง ใส่มันฝรั่ง ลูกชิ้นกุ้ง ปูอัด ปีกไก่ ผักกาด เหล่าหยางกินข้าวไปสามถ้วย วันที่สิบจะมีควิซ สอบเรื่องพีชคณิตเชิงเส้น สองวันนี้ผมก็เพิ่งจะทบทวนจบ พี่จะลองออกข้อสอบทดสอบความรู้ผมก็ได้”
ไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีเขียว หมิงเยี่ยนเหยียบคันเร่งขับข้ามสี่แยก ไม่เล่นตามเขา
เงียบไปครู่ใหญ่ ลู่อวี๋ก็ช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่าย “พี่ยังไม่เชื่อเหรอ”
หมิงเยี่ยน “ฉันไม่เคยเรียนเรื่องพีชคณิตเชิงเส้น”
ลู่อวี๋ “…”
ลืมไปว่าคุณภรรยาเป็นเด็กสายศิลป์ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยคงไม่มีวิชานี้
“แค่กๆ ” ลู่อวี๋รีบเปลี่ยนเรื่อง “พวกเราแต่งงานกันมานานเท่าไหร่แล้วเหรอ”
“สามปี แต่ไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอกนะ” หมิงเยี่ยนหมุนพวงมาลัยเบาๆ เลี้ยวเข้าพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยแมกไม้เขียวขจี ก่อนหยุดจอดหน้าตึกสีขาวสไตล์ตะวันตก
ไม่รอให้ลู่อวี๋ถามคลายความสงสัย หมิงเยี่ยนก็ลงจากรถ พาเขาไปลงทะเบียนจองคิวที่เคาน์เตอร์ ไม่นึกว่าที่นี่จะมีประวัติการรักษาของเขาอยู่แล้ว น้องชายหน้าเคาน์เตอร์เห็นลู่อวี๋ก็เอ่ยทักทาย “คุณลู่ ไม่ได้เจอกันพักนึงแล้วนะครับเนี่ย อันนี้บัตรคิวครับ”
“โรงพยาบาลไม่ใช่ร้านอาหาร ฉันต้องมาทุกวันเลยเหรอ” ลู่อวี๋เสียงไม่สบอารมณ์
พูดจาอะไรของเขา ไม่เป็นมงคลเลย
น้องชายหน้าเคาน์เตอร์ไม่ใส่ใจในท่าทางผิดปกติของลู่อวี๋ เชิญเขาเข้าไปตรวจร่างกายตามโปรแกรมในห้องตรวจก่อนด้วยใบหน้าที่ยังคงประดับรอยยิ้ม
“หมอเชวียเป็นคนต่างชาติ พนักงานที่เขาอบรมก็พูดจาเหมือนเขา บางครั้งจะแปลกๆ นิดหน่อย ไม่ต้องใส่ใจ” หมิงเยี่ยนชี้แจงแถลงไข แล้วเข้าห้องตรวจไปเป็นเพื่อนลู่อวี๋
คนต่างชาติแซ่เชวีย? ลู่อวี๋คิดไม่ออกว่าทำไมนามสกุลคนต่างชาติถึงมีคำที่ออกเสียงแบบนี้ด้วย แต่พอหันหน้ากลับไปก็เห็นชื่อ ‘คลินิกหมอเชวียเต๋อ*’ ตัวเบ้อเริ่มอยู่ตรงเคาน์เตอร์
อ้อ เป็นคนต่างชาติจริงๆ นั่นแหละเนอะ คนปกติที่ไหนจะตั้งชื่อแบบนี้
สภาพแวดล้อมในคลินิกดีมาก ไม่เหมือนคลินิก แต่เหมือนกับคลับระดับสูงมากกว่า ที่นี่ทำให้คนมักจะคิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานพยาบาล กระนั้นก็มีเครื่องมือครบครัน และราคาก็ดีมากด้วย
หลังทำ CT Scan กับ MRI เสร็จ พนักงานบริการก็เชิญพวกเขาไปนั่งรอในห้องรับรอง ก่อนจะยกขนมยกน้ำชามาเสิร์ฟอย่างใส่ใจ
ห้องรับรองเป็นห้องรับแขกเล็กๆ ห้องหนึ่ง เชื่อมต่อกับห้องตรวจ ในห้องปูพรมขนแกะผืนหนา วางโซฟาผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม เปิดเสียงไวท์นอยซ์** เป็นเสียงสายฝนพรำคลอไปด้วย บรรยากาศน่าสบายใจมากจริงๆ บนชั้นวางนิตยสารมีวารสารทางการแพทย์และนิตยสารเศรษฐกิจภาษาอังกฤษล้วนวางอยู่ บนผนังเขียนคำปฏิญาณของฮิปโปกราตีส* บนโต๊ะยาวสไตล์พระราชวังยุโรปทางเหนือของห้องตั้งบูชาเทวรูปองค์หนึ่ง ดูดีๆ แล้วเหมือนจะเป็นจางจ้งจิ่ง**
จางจ้งจิ่ง? ลู่อวี๋นึกว่าตัวเองตาฝาด ถึงกับหันขวับไปมองซ้ำอีกสองรอบ
หมิงเยี่ยนเห็นจนชินแล้ว เขายังหยิบเอาธูปสามดอกไปจุดบูชากราบไหว้ท่านนักปราชญ์แห่งการแพทย์อย่างบริสุทธิ์ใจด้วย
ลู่อวี๋ย่นจมูก ยากจะเข้าใจ “แพทย์แผนตะวันตกทำไมถึงบูชาจางจ้งจิ่งด้วยล่ะ”
จังหวะนี้เองประตูห้องตรวจถูกเปิดออกพอดี คุณหมอหนุ่มผมบลอนด์นัยน์ตาเขียวออกมายืนหน้าประตูพร้อมรอยยิ้ม ก่อนพูดภาษาจีนกลางด้วยสำเนียงแปร่งๆ ว่า “การผสานแพทย์แผนจีนและตะวันตกให้ผลการรักษาที่ดี เส้นทางแห่งการแพทย์กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ผมยังเคยทำการวิจัยเรื่องอายุรเวชในประเทศ Y มาด้วย แล้วก็เต้นระบำขับไล่สิ่งชั่วร้ายของอเมริกาใต้เป็น อ้อจริงสิ ไวท์นอยซ์ที่เปิดอยู่ตอนนี้ก็เป็นดนตรีบำบัดจากอเมริกาใต้เหมือนกัน เป็นเสียงของกระบอกสร้างเสียงฝนซึ่งทำมาจากต้นกระบองเพชรน่ะ”
เชวียเต๋อพูดพลางยื่นกระบอกทรงยาวให้เขา ก่อนให้เขาเอียงกระบอกไปมา ในกระบอกเหมือนมีเมล็ดข้าวเม็ดเล็กๆ อยู่เยอะมาก มันค่อยๆ ร่วงลงช้าๆ เกิดเป็นเสียงหยาดฝนซ่าๆ เสนาะหู
เชวียเต๋อยิ้มตาหยี “ผมกำลังอยากแนะนำอันนี้ให้คุณ แล้วคุณก็มาพอดีเลย”
ลู่อวี๋ถือกระบอกกระบองเพชรเรียบลื่นในมือด้วยความรู้สึกว่าหมอคนนี้เชื่อถือไม่ได้สุดๆ
หลังจากอ่านรายงานผลตรวจทั้งหมดเสร็จแล้ว เชวียเต๋อก็หยิบไม้เล็กๆ มาชี้แผ่นฟิล์มเอ็กซเรย์ “ตอนนี้ยังไม่เจอปัญหาใหญ่อะไร แค่อาการที่กระดูกต้นคอมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย แต่มันเป็นโรคเก่าของเขาอยู่แล้ว ครั้งนี้รู้สึกไม่สบายตรงไหนล่ะ ทำไมถึงตรวจเยอะขนาดนี้”
ลู่อวี๋ “วันนี้ผมหมดสติน่ะ”
หมิงเยี่ยน “เขาบอกว่าเขาข้ามเวลามา”
ลู่อวี๋ “…” เรื่องนี้บอกคนอื่นได้ด้วยเหรอ
เชวียเต๋อเงยหน้าขึ้นจากรายงานผู้ป่วย มองสายตาลู่อวี๋ที่พยายามส่งซิกให้ภรรยาตัวเองเป็นบ้าเป็นหลังอย่างละเอียด แล้วเอ่ยชมเปาะ “ว้าว มหัศจรรย์จริงๆ”
หมิงเยี่ยน “…”
หลังฟังเหตุการณ์คร่าวๆ จบ เชวียเต๋อก็ถามลู่อวี๋น้ำเสียงจริงจัง “คุณแน่ใจได้ยังไงว่าคุณข้ามเวลามาจากอดีต ไม่ใช่ความจำเสื่อม บางทีคุณอาจจะแค่สูญเสียความทรงจำช่วงสิบปีนี้ไปก็ได้”
ลู่อวี๋ได้แต่เอาคำพูดที่เพิ่งพูดกับหมิงเยี่ยนมาพูดซ้ำอีกครั้ง “หมอจำได้หรือเปล่าล่ะว่าวันที่เก้าพฤศจิเมื่อสิบปีที่แล้วตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
เชวียเต๋อครุ่นคิด “จำได้สิ”
ลู่อวี๋ “…” ทำไมคนคนนี้ถึงไม่เดินตามเกมเขาเลย
เชวียเต๋อไหวไหล่ “อ่า ถามเรื่องนี้กับผมไปก็ไม่มีความหมาย เพราะผมเป็นอัจฉริยะ เป็นโรคความจำดี* ระดับต้น แต่ผมก็เข้าใจสิ่งที่คุณอยากจะสื่อนะ คุณจะบอกว่าคุณจำเรื่องก่อนจะข้ามเวลาได้อย่างชัดเจนมากใช่ไหมครับ”
ลู่อวี๋พยักหน้า “ผมเพิ่งจะทบทวนเรื่องพีชคณิตเชิงเส้นจบ หมอจะลองตั้งคำถามทดสอบผมก็ได้”
เชวียเต๋อหยิบกระดาษกับปากกาออกมา ครุ่นคิด แล้วก็วางปากกาลง “ผมไม่เคยเรียนพีชคณิตเชิงเส้น”
ลู่อวี๋ “เป็นไปได้ไง หมอเป็นนักเรียนแพทย์ไม่ใช่เหรอ”
เชวียเต๋อแบมือ “คณะแพทย์ของเมืองนอกไม่ต้องเรียนพีชคณิตเชิงเส้น แต่ผมคิดว่าที่คุณพูดก็มีเหตุผล โจทย์คณิตที่ซับซ้อนแบบนี้ผ่านไปสิบปีก็ไม่น่าจะจำได้ ถึงเป็นโรคความจำดีก็เป็นไปไม่ได้ คณิตศาสตร์นี่ฝืนธรรมชาติของมนุษย์จริงๆ”
“ใช่ไหมล่ะ” ลู่อวี๋รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าตนเจอเพื่อนรู้ใจแล้ว เขาจึงคุยกับเชวียเต๋ออย่างสุขใจ
หมิงเยี่ยน “…” คนคนนี้เชื่อถือไม่ได้จริงๆ ด้วย
* ชายหงส์ เป็นคำสแลง หมายถึงผู้ชายฐานะต่ำที่ศึกษาเล่าเรียนด้วยความมานะจนได้ทำงานที่ดีและได้แต่งงานกับผู้หญิงชาวกรุง
* เชวียเต๋อ (阙德) พ้องเสียงกับคำว่าเชวียเต๋อ (缺德) ที่หมายถึงไร้ศีลธรรม
** ไวท์นอยส์ (White noise) คือเสียงรบกวนที่มีคลื่นความถี่สม่ำเสมอ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงความสงบนิ่ง
* ฮิปโปกราตีส (Hippocrates) เป็นแพทย์ชาวกรีกโบราณ ได้รับการยกย่องจากชาวตะวันตกว่าเป็น ‘บิดาแห่งการแพทย์’
** จางจ้งจิ่ง เป็นแพทย์ชาวจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หนึ่งในหมอเทวดาแห่งเจี้ยนอัน เป็นผู้ก่อตั้งหลักการ ‘วินิจฉัยและจำแนกกลุ่มอาการของโรคเพื่อกำหนดวิธีการรักษา’ ซึ่งถือเป็นหลักการรักษาขั้นพื้นฐานของแพทย์แผนจีน
* โรคความจำดี หรือไฮเปอร์ธีมีเซีย (Hyperthymesia) คือโรคที่สมองของผู้ป่วยมีระบบเก็บความทรงจำแบบอัตโนมัติ สามารถจดจำเรื่องต่างๆ ที่ประสบพบเจอในชีวิตอย่างชัดเจน ถึงขั้นจดจำรายละเอียดในเหตุการณ์นั้นๆ ได้อย่างไม่มีวันลืม
Comments
comments
No tags for this post.