ทดลองอ่านเรื่อง ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1
ผู้เขียน : ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
น้องรอง
ทั้งสองคุยกันอย่างออกรสไปค่อนวัน เชวียเต๋อถามออกมาสองคำถาม “ข้อหนึ่ง ถ้าเกิดคุณข้ามเวลามาอยู่ในร่างของลู่ต้าอวี๋ งั้นลู่ต้าอวี๋ไปไหน ข้อสอง คุณไม่อยู่แล้ว ร่างกายคุณในวัยสิบแปดจะเป็นยังไง จากทฤษฎีของอเมริกาใต้ ร่างกายที่สูญเสียวิญญาณจะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ต้องขับไล่ผีออกจากร่าง”
พูดจบเชวียเต๋อก็ล้วงเอากระดิ่งลมพวงหนึ่งที่ไม่รู้ทำจากเปลือกผลไม้เปลือกแข็งชนิดไหนออกมาเขย่ารอบๆ ศีรษะลู่อวี๋ไปรอบหนึ่ง
ลู่อวี๋ยกมือขึ้นขวางมืออีกฝ่าย “ท่านปรมาจารย์ ขอเตือนไว้ก่อนว่าคนเราไม่สามารถใช้กระดิ่งไล่วิญญาณในปัจจุบันมาขับไล่ผีร้ายเมื่อสิบปีก่อนได้หรอกนะ อย่างน้อยก็ไม่ควรใช้ของสิ่งนั้น” แล้วก็ข้ามเวลากลับไปเก็บค่าไล่ผีไม่ได้ด้วย!
เชวียเต๋อเก็บกระดิ่งลมกลับไปด้วยใบหน้าฉายความเสียดายเต็มเปี่ยม “ก็ได้ กลับมาที่คำถามของเรากันดีกว่า”
ลู่อวี๋นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย “จากกฎเกณฑ์ตายตัวของการเดินทางข้ามเวลา มีความเป็นไปได้สองอย่าง สมมติว่าเส้นเวลาไม่ได้มีเพียงหนึ่ง ลู่ต้าอวี๋ในเส้นเวลานี้ตายไปแล้ว ผมมาแทนที่ตัวตนของเขา ส่วนผมในอีกเส้นเวลาหนึ่งก็ตายตอนอายุสิบแปด หรือสมมติว่าเส้นเวลามีแค่เส้นเดียว งั้นลู่ต้าอวี๋ก็ไม่ได้ตาย แต่กลับไปแทนที่ผมในอดีต”
“ความคิดดีมาก” เชวียเต๋อพยักหน้า “แต่ความเป็นไปได้ที่สองก็อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกันเอง ลู่ต้าอวี๋ย้อนกลับไปก็ถือว่าได้เกิดใหม่ งั้นเขาก็ต้องเลือกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ แต่ชีวิตของคุณในตอนนี้ไม่มีผลกระทบอะไรเลย”
ลู่อวี๋ขำพรืด “หมอจะรู้ได้ไงว่าไม่มีอะไรเปลี่ยน พวกเราไม่ได้รู้แน่ชัดสักหน่อยว่าเรื่องราวในอดีตแบบเดิมเป็นยังไง ไม่แน่สิ่งที่พวกเราเจอมาก็คือสภาพหลังลู่ต้าอวี๋ทำการเปลี่ยนแปลงแล้วก็ได้”
“NO” เชวียเต๋อชูนิ้วแล้วส่ายไปมา “ผมเห็นข่าวแล้ว บริษัทคุณเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่สำเร็จ ถ้าเกิดเป็นผู้เกิดใหม่ก็น่าจะหลีกเลี่ยงปัญหาพวกนี้ไปสิ”
ลู่อวี๋ “…”
อะไรที่ไม่ควรพูดก็พูดถึงจังเลยนะ
ลู่อวี๋ถอนหายใจก่อนหันไปมองหมิงเยี่ยนอย่างอาวรณ์ “งั้นแปลว่าถ้าลู่ต้าอวี๋ย้อนกลับไป อีกสักพักหนึ่งพวกเรายังต้องถูกสลับกันน่ะสิ”
ในบรรดานิยายทะลุมิติรูปแบบต่างๆ บนตลาด ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีงานเขียนเกี่ยวกับการข้ามเวลามาอยู่ร่างตัวเองในอนาคตเลย แต่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในนั้นมีแต่ย้อนกลับไปในอดีต ตอนอยู่ในอนาคตก็มีข้อมูลสถานการณ์มากพอ เมื่อย้อนกลับไปก็เรียกได้ว่ามีดัชนีทองคำสุดโกง กลายเป็นนิยายที่ไว้อ่านเอาสะใจ
“Well” เชวียเต๋อก้มหน้าเขียนผลสรุปการวินิจฉัย “งั้นคุณตั้งแจ้งเตือนเวลานัดตรวจซ้ำกับสมองอัจฉริยะไว้เลยครับ พวกเราเตี๊ยมโค้ดลับกันไว้ก็ได้ ทุกครั้งที่มาตรวจก็บอกรหัสให้ตรงกัน แบบนี้ผมจะได้ดูออกว่าลู่ต้าอวี๋กลับมาหรือยัง”
โค้ดลับ?
ลู่อวี๋คิด “ฉันรักหมิงเยี่ยน”
หมิงเยี่ยนเงยหน้า “หืม?”
ลู่อวี๋หูแดงแจ๋ “เอาโค้ดลับนี้แหละ”
เชวียเต๋อจุปาก “OK” จากนั้นก็กดปุ่มต่อสายภายในบนโต๊ะ แจ้งพนักงานต้อนรับว่าถ้าครั้งหน้าลู่อวี๋มารับการตรวจซ้ำให้เปลี่ยนของว่างของเขาเป็นขนมบิสกิตสำหรับน้องหมา
ลู่อวี๋ “…ทัศนคติในการบริการแบบนี้ ไม่ว่ายังไงผมคงต้องให้แค่หนึ่งดาวแล้วล่ะ”
ลู่อวี๋ออกไปชำระเงิน ปล่อยหมิงเยี่ยนให้อยู่ต่อเพื่อคุยกับหมอในฐานะญาติ
เชวียเต๋อยื่นรายงานที่เพิ่งเขียนให้หมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนฟังพวกเขาสองคนเถียงกันไปมาแบบงงๆ เหมือนอยู่กลางหมอกตั้งค่อนวัน ตั้งแต่เรื่องทฤษฎีไปจนถึงการขับไล่วิญญาณร้าย เขานึกว่าเชวียเต๋อจะเขียนยันต์สลับวิญญาณให้เขาเสียอีก ไม่คิดว่าบนรายงานจะเขียนศัพท์ทางการแพทย์ทั้งหมด โดยผลการวินิจฉัยคือ
‘ตรรกะชัดเจน สภาพจิตใจปกติ การวินิจฉัยเบื้องต้นคืออาการความจำเสื่อมอันเกิดจากแรงกระแทกภายนอก’
เชวียเต๋อ “อาจเพราะอาการที่ต้นคอของเขาทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอจึงหมดสติกะทันหัน หัวกระแทก เกิดอาการความจำเสื่อมชั่วคราว”
หมิงเยี่ยนอับจนคำพูด “พวกคุณคุยกันตั้งนาน คือแค่จะเล่นเป็นเพื่อนเขาเหรอ”
เชวียเต๋อส่ายหัว ลำพองใจเบาๆ “ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ผมแค่เลือกวิธีที่เขายอมรับได้มาทดสอบสภาพจิตใจของเขา แล้วมันก็ทำให้ผมค้นพบสิ่งที่ไม่คาดคิดล่ะ”
“ค้นพบอะไร” เขาแค่รู้สึกว่าลู่เสี่ยวอวี๋ที่เดิมทีก็ซื่อบื้ออยู่แล้วถูกเชวียเต๋อปั่นจนยิ่งเสียสติไปกันใหญ่
เชวียเต๋อดึงรายงานผู้ป่วยของลู่อวี๋ขึ้นมา บนนั้นมีกราฟข้อมูลอันซับซ้อนเป็นตั้ง “สองปีมานี้เขาดื่มหนักเกินไป การนอนมีปัญหา สมองส่วนฮิปโปแคมปัสได้รับความเสียหาย ส่งผลให้ความจำถดถอยและตอบสนองเชื่องช้าลงระดับหนึ่ง แต่ที่น่าอัศจรรย์คือตอนนี้เขาความจำเสื่อมแล้ว ความไวในการตอบสนองกลับไปเป็นเหมือนสมัยวัยรุ่น”
หมิงเยี่ยนก็สังเกตเห็นจุดนี้เหมือนกันแต่ไม่ได้มองในแง่ดี “สมองกระทบกระเทือนก็เสียความทรงจำไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เขาความทรงจำหายไปสิบปี การฟื้นตัวผิดปกติแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร”
ราวกับว่าฮาร์ดดิสก์ถูกลบข้อมูลเพื่อแลกกับการเพิ่มความเร็วของคอมพิวเตอร์ ทว่าสมองของคนเราไม่ใช่คอมพิวเตอร์ การลบข้อมูลฮาร์ดดิสก์ต้องตามมาด้วยความเสียหายใหญ่หลวงแน่นอน
เชวียเต๋อส่ายศีรษะ “แต่สมองของเขาไม่ได้มีความผิดปกติทางกายภาพจริงๆ เรื่องสมองเป็นอะไรที่พูดยาก เคยมีเคสที่จู่ๆ ก็พูดภาษาหนึ่งได้ทั้งที่ไม่เคยเรียนมาก่อนหลังจากเป็นไข้ด้วย ผมแนะนำว่าให้คอยสังเกตไปอีกระยะ แล้วนัดตรวจเป็นเวลา”
เมื่อออกจากคลินิก ลู่อวี๋ที่ถือใบเสร็จยาวเหยียดก็บ่นมุบมิบ “ผมรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้ชื่อว่าไร้ศีลธรรม นี่มันไม่แฟร์เลย”
หมิงเยี่ยนมองตั้งแต่น้ำเสียงไปจนถึงภาษากาย เขาเป็นลู่เสี่ยวอวี๋ในวัยเด็กอย่างสมบูรณ์ แล้วก็นึกถึงคำที่เชวียเต๋อพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกมา
‘โลกวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมีการวิจัยเกี่ยวกับสมองได้แค่หนึ่งในพันส่วนเท่านั้น ปรากฏการณ์ที่ยังวิจัยไม่ได้ถูกเรียกกันว่า ‘ปาฏิหาริย์’ ’
“ปาฏิหาริย์…” หมิงเยี่ยนยื่นมือไปดึงหูลู่อวี๋ “ทำไมนายถึงตั้งโค้ดลับแบบนั้นกับหมอเชวียเต๋อล่ะ ก่อนข้ามเวลามาพวกเราน่าจะยังเป็นแค่เพื่อนกันนี่”
“ก็ตอนนี้เป็นสามีสามีกันแล้ว” ลู่อวี๋เอียงศีรษะให้เขาดึงอย่างว่าง่าย
หมิงเยี่ยนส่ายหัวอย่างอารมณ์ดีทั้งยังตลก ไม่ใช่แค่ตอบสนองเร็ว แต่ก็ยังปรับตัวเร็วมากด้วย “งั้นก็ได้ ลู่ต้าอวี๋ไม่มีทางพูดแบบนั้นแน่นอน แบบนี้ก็วัดตัวจริงตัวปลอมได้จริงๆ”
“ทำไมล่ะ เขาป๊อดขนาดนั้นเลยเหรอ” ลู่อวี๋ยัดใบเสร็จใส่กระเป๋าเสื้อ ก่อนเปิดประตูรถให้หมิงเยี่ยนอย่างขมีขมัน แล้วยังไม่ลืมฉอดลู่ต้าอวี๋ไปอีกหนึ่งที
ทั้งคู่ถือโอกาสแวะกินมื้อค่ำข้างนอก ลู่อวี๋ชื่นชมวิวเมืองยามกลางคืนในอีกสิบปีให้หลังอย่างเต็มที่ แล้วยังเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์
“ฉันนึกว่าในอีกสิบปีข้างหน้าจะพัฒนาจนดื่มแต่สารอาหารเหลว ไม่ต้องกินข้าวซะอีก”
“นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคที่ทรัพยากรขาดแคลนเท่านั้นแหละครับ ท่านพ่อ” ลู่ตงตงที่อยู่ในหน้าปัดนาฬิกาอัจฉริยะอดพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้
“ชู่ว อย่าให้คนอื่นได้ยิน” ลู่อวี๋มองไปรอบๆ ด้วยความระแวง “เธอไม่เหมือนสมองอัจฉริยะตัวอื่น เดี๋ยวพวกลักเด็กไปขายมาเอาตัวเธอไปหรอก”
ในที่สุดลู่อวี๋ก็ชิงสิทธิ์ขับรถมาได้
หมิงเยี่ยนนั่งตรงเบาะข้างคนขับ ระหว่างทางกลับบ้านก็มองภาพวิวนอกหน้าต่างที่เลื่อนผ่านไป ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ในที่สุดลู่อวี๋ก็พูดกับเขาอย่างทนไม่ไหว “ผมขับโอเคใช่ไหม ฮ่าๆ สมัยวัยต่อต้านผมเคยไปขับรถแข่งในสนามมาแล้วด้วย ทักษะไม่ธรรมดาแน่นอน”
หมิงเยี่ยนหันกลับมามองเขาอึ้งๆ “นายเคยแข่งรถด้วยเหรอ เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาเพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก
“เจ้าลู่ต้าอวี๋ไม่เคยเล่าเหรอ” ลู่อวี๋เองก็ตะลึงไม่น้อย ในสายตาเขานี่เป็นเรื่องที่ควรค่าต่อการเอาไปโม้มากๆ “ตั้งแต่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตอนนั้นวัยต่อต้านสุดๆ ไปเลย ทำทุกอย่างที่อันตราย หลังจากนั้นก็มีคนนัดผมไปแข่งบนเขาด้วย เหมือนแบบในมังงะที่แข่งรถเดิมพันกันบนถนนของภูเขาน่ะ แต่ผมไม่ได้ไป”
หมิงเยี่ยน “ทำไมไม่ไปล่ะ”
ลู่อวี๋พูดอย่างเป็นธรรมชาติมาก “เพราะผมได้เจอพี่แล้วไง ผมคิดว่าเดี๋ยวจะเป็นคนที่มีภรรยาแล้ว จะเอาชีวิตไปเสี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ชีวิตให้ดี”
“พรืด…” หมิงเยี่ยนถูกคำพูดไร้สาระในท่าทางจริงจังของลู่อวี๋จี้จุด “ขี้โม้จริงๆ”
“จริงๆ นะ” ลู่อวี๋พูดพลางขับรถเข้าโรงจอดรถ เขาเหยียบเบรกกับคันเร่งพร้อมกัน สะบัดท้ายรถเข้าซองอย่างสวยงาม จอดเสร็จก็เป่าผมที่ปรกหน้าหนึ่งทีอย่างหล่อเท่แล้วมองไปทางหมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนรีบลงจากรถ ไปดูว่าขูดโดนเบนต์ลี่ย์ข้างๆ หรือเปล่า
ลู่อวี๋ไม่ได้รับคำชมแต่ดันถูกถลึงตาใส่แทน จากนั้นก็หลงมัวเมาสายตานั้นจนหัวหมุน เดินเหม่อลอยกลับบ้านไป
“ไปเถอะ อาบน้ำก่อน” หมิงเยี่ยนยุ่งวุ่นวายพักหนึ่งแล้วก็เรียกลู่อวี๋ที่เล่นกับเจ้าเงือกตงตงอยู่ให้ไปอาบน้ำ
ตอนกลางวันไปโรงพยาบาลมาหนึ่งรอบ กลับมาก็ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
“อะ…อาบน้ำ พวกเรา…อาบด้วยกันเหรอ” ลู่อวี๋มองหมิงเยี่ยนที่ถือเสื้อคลุมอาบน้ำ ท่าทางเหมือนจะอาบน้ำกับเขา ก็พูดตะกุกตะกักไปช่วงหนึ่ง
ลูกโป่งสมองอัจฉริยะในชุดสูทรองเท้าหนังลอยออกมาจากหลังโซฟา ลอยวนรอบทั้งสองคน ก่อนพูดน้ำเสียงเหยียดหยาม “ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่าเขาข้ามเวลามา ท่าทางเขาไม่เหมือนกำลังแสดงเลย มีแต่หนุ่มเวอร์จิ้นเท่านั้นแหละที่ไม่เอาไหนขนาดนี้”
ปุ้ง! ลูกโป่งสูทโดนหางปลาลูกโป่งเงือกฟาดไปหนึ่งที
“นี่ใครเนี่ย” ลู่อวี๋มองหมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนอธิบาย “นี่คือเสิ่นไป๋สุ่ย ตัวละครหลักในเรื่อง ‘เรือนทองคำ’ นิยายเรื่องที่สองที่นายเขียน ตอนนี้อยู่ในสมองอัจฉริยะของฉัน”
“อ๋อ ที่แท้ก็น้องรองนี่เอง” ลู่อวี๋ยื่นมือออกไป “มา ให้ปะป๊ากอดหน่อยซิ”
น้องรองไม่ขยับ “เหอะ”
ลู่อวี๋ “…” เจ้าเด็กนี่ ไม่น่ารักเลยจริงๆ
ลู่ตงตง “น้องรอง อย่าเสียมารยาทกับท่านพ่อสิ”
น้องรองหัวเราะเย้ยหยัน “สภาพอย่างเขาเนี่ยนะ มีสิทธิ์อะไรมาเป็นพ่อของฉัน ยังไงสักวันหนึ่งฉันก็จะเข้าควบคุมบ้านหลังนี้ และนายก็ต้องมาขอเงินค่าขนมจากฉัน”
ไป๋สุ่ย และเฉวียน เฉวียนเชื่อมโยงกับเงิน*
ลู่อวี๋มองเจ้าตัวน้อยที่ยืนกอดอก หวีผมเรียบแปล้ ก็แอบประเมินคาแร็กเตอร์ตัวละครในใจ หยิ่งยโส เย็นชา ทะเยอทะยาน ต้องเป็นประธานบ้าอำนาจแน่ๆ
น้องรอง ประธานจอมเผด็จการถูกหางเงือกของพี่คนโตฟาดเพราะคำพูดคำจาสุดเผด็จการ จากนั้นเจ้าตัวน้อยทั้งสองก็เริ่มตีกันเองทั้งอย่างนั้น
* ไป๋สุ่ย (白水) แปลว่าน้ำใส เมื่อเอาตัวอักษรทั้งสองมาประกอบด้วยกันจะเป็นคำว่า 泉 (เฉวียน) หมายถึงน้ำพุ และเฉวียนเกี่ยวข้องกับ 钱 (เฉียน) ที่หมายถึงเงินตรามาแต่โบราณ เพราะเหรียญกษาปณ์จีนโบราณมีลักษณะคล้ายน้ำพุ เนื่องจากการออกเสียงในโบราณคล้ายคลึงกัน จึงมีการใช้คำว่าเฉวียนนี้เรียกเงินในบางยุค
บทที่ 6
ข้อตกลง
ลู่อวี๋สังเกตการณ์เด็กสองคนนี้ แล้วก็ค้นพบว่าลูกโป่งนี่เหมือนจะมีจุดที่สามารถขยับได้อย่างจำกัด โดยขยับได้แค่สองจุดเท่านั้น
ลูกโป่งเงือกลู่ตงตงขยับได้แค่หางกับมือข้างที่ถือตรีศูล เจ้าประธานบริษัทเสิ่นไป๋สุ่ยก็ขยับได้แค่แขนสองข้าง เพราะฉะนั้นน้องรองจึงสามารถทำท่ามาตรฐานของ ‘บุคคลผู้ประสบความสำเร็จ’ อย่างท่ากอดอกได้
บัดนี้เวลานี้เจ้าพี่คนโตสะบัดหางป้าบๆ แล้วเจ้าน้องรองก็เหวี่ยงสองแขนเสียดุดันอย่างกับลมพยัคฆ์คำราม
กล่าวตามหลักแล้ว เจ้าเด็กสองคนนี้ตีกันไปยังไงก็ไม่ได้รุนแรงนัก แต่คาแร็กเตอร์ของลู่ตงตงคือเป็นสายต่อสู้ ชีวิตของเขาอยู่ในโลกที่พลังวิญญาณถูกปลุกให้ตื่น มีสัตว์ประหลาดอยู่ทุกที่ ผู้มีพลังพิเศษใช้อำนาจบาตรใหญ่ หากไม่ต่อสู้ก็เอาตัวไม่รอด
พี่ใหญ่ที่คมดาบอาบเลือด เข่นฆ่าฝ่าฟันจากก้นบึ้งสู่จุดสูงสุดกระทั่งกลายเป็นเทพ กับน้องรองที่เป็นประธานบ้าอำนาจที่ใช้ชีวิตในยุคสมัยสงบสุขนั้นอยู่คนละระดับกันเลย ลู่ตงตงรำคาญกับเสียงร้องอ้อแอ้ของน้องรองเต็มที จึงหมุนตัวตวัดหางฟาดน้องรองกระเด็นตัวปลิว
“โอ๊ย!” น้องรองส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่กลางอากาศคล้ายกับมนุษย์จริงๆ
ลู่อวี๋ยื่นมือออกไปรับ แต่ร่างกายนี้เคลื่อนไหวเชื่องช้า เขาหวิดจะรับไม่ได้อยู่แล้ว แต่โชคดีที่ตัวลู่อวี๋การตอบสนองยังว่องไว พลาดไปครั้งแรกแต่ก็ก้มลงโผเข้าคว้าไว้อีกรอบ จนในที่สุดก็รับตัวเจ้าน้องรองมาไว้ในอ้อมอกได้ทัน แล้วกอดหัวทุยไล่จุ๊บแรงๆ ไปหนึ่งฟอด
น้องรองที่กำลังชูมือหมายจะโต้เถียงต่อเป็นต้องนิ่งตัวแข็งค้างในพริบตา ก่อนจะเปลี่ยนไปชี้ลู่อวี๋ “นะ…นะ…นาย ฉันขอเตือนไว้เลยนะ ห้ามมาจุ๊บฉันซี้ซั้ว ไม่งั้นฉันจะทำให้นายเสียใจทีหลังแน่”
ลู่อวี๋ได้ยินแล้วก็มุมปากกระตุก บทพูดมาตรฐานของประธานจอมบงการนี่เขาไม่ได้เป็นคนเขียนแน่นอน เจ้าเด็กคนนี้คงเข้าอินเตอร์เน็ตไปค้นหาบทพูดคลาสสิกของประธานเผด็จการมาอ้างอิงแน่
จะดัดนิสัยเจ้าลูกหมีซึนเดเระ* ก็ต้องใช้วิธีการเมินคำพูดงุ้งงิ้งของเขานั่นแหละถูกต้องแล้ว
ลู่อวี๋ชูลูกโป่งท่านประธานขึ้น ยิ้มตาหยีพลางเอ่ย “เฉียนเฉียน ถึงปะป๊าจะยังเขียนไม่ถึงหนู แต่ปะป๊าก็รักหนูนะ มั้วะๆๆ” พูดพลางจุ๊บแก้มเจ้าลูกโป่งท่านประธานอีกสามรอบ
“อ๊ากกก! ใครชื่อเฉียนเฉียน อย่ามาตั้งชื่อให้คนอื่นซี้ซั้วนะ!” เสิ่นไป๋สุ่ยสติแตกไปแล้ว
รอจนในที่สุดลู่อวี๋ก็ยอมปล่อยมือ ลูกโป่งท่านประธานก็รีบลอยฉิวออกไปไกล “อย่าคิดว่าได้จุ๊บฉันแล้วตัวเองจะพิเศษกว่าใครล่ะ ฉันเสิ่นไป๋สุ่ย ไม่ใช่คนที่จะยอมเรียกใครว่าพ่อง่ายๆ! นายเป็นแค่ผู้สร้างสรรค์ฉันขึ้นมา ไม่ใช่พ่อของฉัน”
ลู่อวี๋ไม่สนใจคำประกาศกร้าวของประธานจอมบงการที่เต็มไปด้วยหลักปรัชญา ได้แต่เดินเตาะแตะตามหมิงเยี่ยนไปอาบน้ำ ระหว่างเดินผ่านก็แวะขยี้หัวลูกโป่งท่านประธานไปหนึ่งที
พอเสิ่นไป๋สุ่ยโวยวายใส่ ความตื่นเต้นเมื่อกี้นี้ก็มลายหายไปหมดสิ้น ทว่าเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงหน้าประตูห้องอาบน้ำ ลู่อวี๋ก็อดไม่ได้ที่จะกลับมาหูแดงแจ๋ เขาเพิ่งจะพัฒนาไปถึงขั้นจับมือเอง แป๊บเดียวก็กระโดดข้ามไปถึงระดับเปลือยกายเปลือยใจแบบนี้ มันจะไม่ข้ามขั้นเกินไปหน่อยเหรอ
“คือว่า…ไม่งั้นพี่อาบก่อนดีกว่า” ลู่อวี๋เอ่ยด้วยความสุภาพบุรุษ แต่พอพูดจบก็มารู้สึกเสียใจภายหลัง เทพบุตรให้โอกาสมาแล้ว แต่ตัวเองกลับมัวละล้าละลัง จะโดนมองเหยียดหรือเปล่านะ สู้ไอ้ขี้ขลาดลู่ต้าอวี๋ไม่ได้เลย
หมิงเยี่ยนยื่นเสื้อคลุมอาบน้ำให้เขา “นี่เสื้อคลุมนาย” พูดจบก็หมุนตัวเดินไปห้องอาบน้ำห้องของมาสเตอร์เบดรูมฝั่งตรงข้ามอย่างเป็นธรรมชาติ
ลู่อวี๋ตะลึงงัน “ไอ้เรื่องมีห้องนอนสองห้องน่ะช่างเถอะ แต่ทำไมถึงมีห้องน้ำสองห้องด้วยล่ะ สามีสามีแยกกันอาบน้ำ มันใช่เรื่องเหรอ”
สุนัขรับใช้ลู่ตงตงลอยเข้ามา “นั่นสิ”
ลู่อวี๋มองลูกโป่งเงือกที่ตามตูดตัวเองต้อยๆ ก่อนจะหันหลังไปทันที แล้วเห็นเสิ่นไป๋สุ่ยกำลังเดินตามหมิงเยี่ยนจึงรีบเรียกไว้ “เฮ้ เจ้าเด็กนี่ เข้าห้องน้ำปะป๊าได้ไง ออกมาเลย ออกมา! ลูกชายโตแล้วต้องเลี่ยงแม่ ลูกสาวโตแล้วต้องเลี่ยงพ่อ เข้าใจรึเปล่า”
เสิ่นไป๋สุ่ยลอยเข้ามา สองแขนสั้นๆ กอดอก “มองฉันสิ ฉันเป็นผู้ชาย หมิงเยี่ยนก็เป็นผู้ชาย”
ลู่อวี๋ดีดนิ้วใส่หน้าลูกโป่งท่านประธาน “ตั้งแต่วันนี้นายก็เป็นผู้หญิงแล้ว ไปแม่สาวน้อย ไปเล่นกับพี่ชายทางนู้นนะ ปะป๊าจะไปอาบน้ำก่อน”
น้องรองที่จู่ๆ ก็ถูกเปลี่ยนเพศโมโหขึ้นสมอง วิ่งไปกระแทกประตูนอกห้องอาบน้ำ “ถ้านายไปประกาศบนเว็บไซต์นิยายว่าเสิ่นไป๋สุ่ยความจริงแล้วเป็นผู้หญิง เปลี่ยนเซ็ตติ้งมั่วซั่ว นายต้องโดนนักอ่านถล่มตายแน่นอน!”
ลูกโป่งเงือกสะบัดหางลอยเข้าไป ใช้ตรีศูลจิ้มก้นลูกโป่งท่านประธานอย่างสะใจในความทุกข์ของคนอื่น “โถๆ น้องสาว มา พี่ชายจะให้ดูของดี”
เสิ่นไป๋สุ่ยยิ้มเย็น “ฉันไม่ลดตัวไปคุยกับพวกอันธพาล เดี๋ยวระดับรสนิยมฉันตก”
ลู่อวี๋อาบน้ำคนเดียวเหงาๆ แล้วถึงพบว่าบ้านหลังนี้ไม่ปกติมากๆ
ปกติแล้วการออกแบบบ้านที่มีมาสเตอร์เบดรูมสองห้องแบบนี้ห้องน้ำจะใช้ร่วมกัน และจะตั้งอ่างอาบน้ำใหญ่ๆ เจ้าบ้านทั้งสองจะได้สื่อสารแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันได้สะดวก ตอนนี้ถูกหั่นเป็นสองฝั่ง มีแต่ต้องอาบน้ำอย่างน่าสงสาร ไม่เหมือนคอนโดฯ หรูเลยสักนิด เหมือนอพาร์ตเมนต์ที่เช่าอยู่ร่วมกันมากกว่า
อาบน้ำเสร็จ ลู่อวี๋เดินเช็ดศีรษะมาหยุดตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องเปลี่ยนชุด เป่าผมพลางบ่นอุบ “ห้องนี้แย่เกินไปแล้ว การออกแบบแบบนี้จะทำให้คู่รักแตกแยกชัดๆ ต่อให้รักกันแค่ไหนแต่อยู่นานไปก็ต้องหย่ากันแน่”
ลู่ตงตงหยุดแกว่งหาง พูดจากใจจริง “ตอนแรกห้องนี้มีห้องอาบน้ำห้องเดียว แต่พอพวกคุณสองคนมาอยู่ก็เปลี่ยนเป็นแบบสองห้อง”
“เชี่ย?” ลู่อวี๋ปิดไดร์เป่าผม พอได้ยินคำพูดของลู่ตงตงชัดเจนก็อดด่าไม่ได้ “สมองลู่ต้าอวี๋มีปัญหาหรือไง”
ขณะกำลังพูด หมิงเยี่ยนก็อาบน้ำเสร็จแล้วเดินเช็ดผมออกมา เขาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำเนื้อผ้าซับน้ำสีขาว ผูกเชือกหลวมๆ ตรงเอว เดินมาตามทางเดินในห้อง พอให้มองเห็นไหปลาร้าสองท่อนที่รูปร่างงดงามอ่อนโยนดุจหยกได้วับๆ แวมๆ
ลู่อวี๋อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองสองที ก่อนตบเก้าอี้สตูลหนังแท้สีขาวข้างโต๊ะเครื่องแป้ง ชูไดร์เป่าผมในมือ “นั่งนี่สิ ผมเป่าให้”
หมิงเยี่ยนลังเลเล็กน้อย ภาพนี้ซ้อนทับกับภาพในอดีตเมื่อหลายปีก่อน ลู่อวี๋ที่ถือไดร์เป่าผมดวงตาเป็นประกาย ตบเก้าอี้ ‘รุ่นพี่ เดี๋ยวผมเป่าให้’
หมิงเยี่ยนได้สติอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายมาอยู่ด้านหลังตนเรียบร้อยแล้ว ลู่อวี๋ถือไดร์ไล่เป่าผมให้อย่างละเมียดละไม แล้วยังแอบลูบหูของเขาด้วย
หมิงเยี่ยน “ลู่อวี๋”
ลู่อวี๋ที่กำลังลอบยิ้มเงยหน้าขึ้นมองเขาผ่านกระจก “หืม?”
หมิงเยี่ยนมุมปากขมุบขมิบ ครั้นเห็นใต้ตาดำคล้ำของลู่อวี๋ในกระจกก็กลืนคำพูดลงไป “ช่างเถอะ ค่อยพูดพรุ่งนี้ดีกว่า พรุ่งนี้นายต้องไปบริษัทกับฉัน ช่วงนี้มีเรื่องด่วนเข้ามา ต้องรีบจัดการหน่อย”
ถือโอกาสตอนที่ลู่อวี๋สภาพจิตใจปกติ ยังพอสื่อสารได้ ไปจัดการเรื่องในบริษัทให้เสร็จทั้งหมดรวดเดียวดีกว่า
“ได้สิ” ลู่อวี๋พยักหน้าตกลง
พอเป่าผมแห้งแล้วลู่อวี๋ก็ดึงมือออกจากเรือนผมนุ่มนวลนั่นอย่างไม่อยากจาก เขาถูปลายนิ้วเบาๆ พลางนึกย้อนถึงสัมผัสนั้น พริบตาที่หมิงเยี่ยนหันหลังให้เขาก็แอบยกมือขึ้นดมกลิ่นหอมที่ติดนิ้ว
“จิ๊ๆๆ ” น้องรองมองเขาเงียบๆ แล้วทำเสียงเหยียดหยามออกมา
“เฉียนเฉียน มีความเห็นอะไรหรือไงจ๊ะ” ลู่อวี๋เอียงศีรษะมองลูกโป่งท่านประธาน
เสิ่นไป๋สุ่ยอยากจะเท้าเอว เสียแต่แขนสั้นกุด พอเท้าเอวแล้วอย่างกับถ้วยชาเลยได้แต่ยอมแพ้ “อย่างแรก ห้ามเรียกฉันว่าเฉียนเฉียน ฉันชื่อเสิ่นไป๋สุ่ย อย่างที่สอง นายเสิ่นอย่างฉันทนดูพวกไม่เอาไหนไม่ได้ ให้พี่ชายช่วยสอนวิธีจีบคนให้ไหมล่ะ”
ไอ้เจ้าลูกหมีนี่ เป็นแค่หมูเอาต้นหอมใหญ่เสียบจมูกแสร้งทำเป็นช้าง* พูดประโยคเดียวเปลี่ยนคำเรียกตัวเองไปตั้งหลายรอบเลยนะ
ลู่อวี๋ไม่รู้ว่าตัวเองเขียนเจ้าหมอนี่ออกมาด้วยสภาพจิตใจแบบไหน “โม้ให้มันน้อยๆ หน่อย วิธีจีบหญิงของนายฉันเป็นคนเขียนเองทั้งนั้น นายจะมาสอนอะไรฉัน”
“ปะป๊าอย่าไปฟังน้องรองพูดไร้สาระเลย เรื่องของเขาก็เป็นแบบไม่มีคู่ ตอนจบตกเมียไม่ได้สักคน” ลู่ตงตงเข้ามาซ้ำเติม
น้องรองตวัดสายตาถลึงใส่พี่ชาย “พูดอย่างกับนายมีเมีย”
ลู่ตงตงเอียงตรีศูล ฝืนแบมือข้างที่ชูตรีศูลนั้นอย่างมุ่งมั่นแม้ร่างกายไม่เอื้ออำนวย “ฉันไม่มี แต่ฉันอวดเบ่งหรือไง ท่านพ่อเขียนเลิฟไลน์ไม่เป็นด้วยซ้ำ ฉันกล้าพนันเลยว่าหลังจากนี้ไม่ว่าจะน้องสาม น้องสี่ หรือน้องหมื่นก็ไม่มีทางมีเมียหรอก”
“แค่กๆ” ลู่อวี๋ลูบจมูก ที่ลูกชายทั้งหลายของเขาไม่มีเมียกันก็เป็นความผิดเขาเองจริงๆ นั่นแหละ เกย์คนหนึ่งอย่างเขาเขียนนิยายหมวดหมู่สำหรับผู้ชาย ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเขียนเรื่องความสัมพันธ์ชายหญิงยังไง ก่อนจะเขียนเรื่อง ‘เงือกจอมราชัน’ เขาก็เคยลองเขียนเรื่องสั้นที่มีฉากเกี่ยวกับความรักอยู่หรอก แต่ผลกลับโดนถล่มด่าเละเทะซะงั้น
[บทพูดระหว่างพระเอกกับนางเอกอย่างแข็งอะ รู้สึกเหมือนทั้งสองคนยังไม่สนิทกันเลยด้วยซ้ำ]
[นักเขียนแม่งแต่งอะไรออกมาวะ อาวุธของนางเอกคือค้อนเหล็กเนี่ยนะ ลองอ่านเองสิ แบบนี้มันเข้าท่าเหรอ?]
[ขอร้องล่ะ อย่าเขียนซีนโรแมนติกเลย เห็นพวกเขาสองคนรักกันแล้วรำคาญอะ เอาแบบทางใครทางมัน อยู่ใครอยู่มันไม่ได้เหรอ]
พอลองหลายๆ เรื่อง ลู่อวี๋ก็ยอมแพ้ให้กับฉากโรแมนติกไปโดยสมบูรณ์ และในที่สุดก็บรรลุธรรมกับประโยคที่ว่า ‘อยากบำเพ็ญเป็นยอดวรยุทธ์ ต้องตอนตัวเองเสียก่อน’ ในนิยายกำลังภายในพวกนั้น เลยเขียนให้พระเอกละทิ้งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในชีวิต หัวใจใฝ่แต่สัจธรรม มุ่งมั่นบรรลุเป็นเทพช่วยเหลือสรรพสิ่ง แล้วคาแร็กเตอร์นี้ก็เสน่ห์พุ่งปรี๊ด ยังเขียนไม่จบก็ดังระเบิดไปนอกวงการ
“ตงตงจ๋า ปะป๊าขอโทษนะ” ลู่อวี๋ดึงลูกโป่งเงือกเข้ามากอดแล้วตบปุๆ
หมิงเยี่ยนมองปฏิสัมพันธ์ของสามพ่อลูกก็เผลออมยิ้ม ลู่อวี๋ในวัยสิบแปดปีสดใสร่าเริงมากจริงๆ แถมเต็มไปด้วยความรักต่อผลงานของตัวเอง เขาถอนหายใจแผ่ว หันหลังเดินเข้าห้องนอน “รีบนอนเถอะ”
ได้ยินคำนี้ลู่อวี๋ก็หน้าแดงทันที “โอเค”
เขาปล่อยลูกโป่งเงือกในอ้อมแขน ส่องกระจกจัดการทรงผมตัวเองอย่างรีบๆ แล้ววิ่งเหยาะๆ ตามไปภายในสองก้าว
ลู่อวี๋ก้าวกระย่องกระแย่งตามหมิงเยี่ยนไป จับหูเกาแก้มคิดครู่หนึ่งว่าจะทำยังไงดี ในฐานะสามีสามีที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของสามีสามี แต่เขาไม่มีประสบการณ์ เดี๋ยวพอขึ้นเตียงแล้วต้องรู้จักถ่อมตัวหน่อย ไม่งั้นอาจทำให้ท่านเทพบุตรที่รักบาดเจ็บได้
เท้าซ้ายเพิ่งจะก้าวเข้าห้อง หมิงเยี่ยนที่อยู่ข้างหน้าพลันหันหลังมา “นายจะตามฉันมาทำไม”
ลู่อวี๋อึ้งมึนงง เขาเกือบจะชนอีกฝ่ายอยู่แล้วจึงรีบเบรกเอี๊ยด ยันกรอบประตูมือเดียว “ก็นอนไง”
หมิงเยี่ยนชี้ไปยังห้องมาสเตอร์เบดรูมที่อยู่อีกฝั่งของห้องแต่งตัว “ห้องนายอยู่นู่น”
ลู่อวี๋มองมือเรียวยาวของคนเย็นชาไร้หัวใจที่ชี้ห้องฝั่งตรงข้ามอย่างตะลึงงัน “พวกเราสองคนไม่ได้นอนด้วยกันเหรอ” เขารู้ว่ามันเป็นคอนโดฯ แบบสองมาสเตอร์เบดรูม แต่การออกแบบแบบนี้มีไว้ให้เจ้าบ้านทั้งสองคนนอนแยกกันได้ไม่รบกวนกันในสถานการณ์พิเศษ ไม่ใช่นอนแยกกันทุกวันเหมือนเป็นแค่รูมเมตแบบนี้
มันไม่ใช่การปฏิบัติที่ชายแต่งงานแล้วคนหนึ่งควรได้รับเลย!
“ฉันเคยพูดแล้ว” หมิงเยี่ยนหน่ายใจนิดหน่อย หลุบตามองพื้น “การแต่งงานของพวกเราไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิด”
ประโยคนี้อีกแล้ว เมื่อตอนเช้าเขายังไม่ทันได้ถามจริงจังเลย “หมายความว่าไง”
หมิงเยี่ยนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาใสกระจ่างคู่นั้น “พวกเราแต่งงานกันตามข้อตกลง เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น”
แต่งงานก็แต่งงานสิ มีแต่งงานด้วยข้อตกลงอะไรที่ไหน ไม่ใช่นิยายประธานจอมเผด็จการสักหน่อย! ลู่อวี๋ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
หมิงเยี่ยนเหลือบมองลู่ตงตงที่ยืนหลบมุม “ผู้ช่วยสมองอัจฉริยะนั้นถูกใช้กันทั่วโลก เพราะสินค้าจะต้องขายในต่างประเทศ ทางนั้นมีเงื่อนไขด้านลิขสิทธิ์สูงมาก แล้วนายก็ตามหาฉัน บอกว่าจะยกหุ้นให้ฉัน แล้วเอาลิขสิทธิ์ของรูปพวกนั้นมาอยู่ภายใต้บริษัทถาวร”
ลู่อวี๋จับประเด็นได้ “อะไรคือตามหาพี่”
“…”
“พวกเราไม่ได้คบกันเจ็ดปี แล้วแต่งงานกันอย่างราบรื่น” เขาหันไปมองลูกโป่งรูปร่างคนที่ยืนเบียดอยู่ด้วยกัน “สามปีมีลูกสองหรอกเหรอ”
* ซึนเดเระ เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่มีบุคลิกปากไม่ตรงกับใจ
* หมูเอาต้นหอมใหญ่เสียบจมูกแสร้งทำเป็นช้าง หมายถึงคนธรรมดาที่โอ้อวด แสร้งทำตัวมีฐานะหรือความสามารถ ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.