ทดลองอ่านเรื่อง ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1
ผู้เขียน : ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
เบาะแส
สุดท้ายลู่อวี๋ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องนอน เขาเบิกตามองประตูห้องหมิงเยี่ยนที่ถูกปิดอย่างโหดร้ายตรงหน้า จากนั้นก็เดินหน้าม่อยคอตกกลับห้องตัวเอง
ได้นอนบนเตียงใหญ่ๆ ขนาดหกฟุตแท้ๆ แต่ทำไมถึงนอนไม่สบายเลย พอนอนแนวขวาง ไม่มีหัวเตียงแล้วรู้สึกเหมือนจะมีมือผีมุดออกจากใต้เตียงมาคว้าผมเขา พอนอนแนวตั้งก็รู้สึกสังเวชใจ เตียงดับเบิ้ลกว้างขวางขนาดนี้กลับมีเขานอนอยู่แค่คนเดียว เหมือนแต่งงานกับความเหงาเลย
กลางดึกของสิบปีให้หลังนี้ ในที่สุดลู่อวี๋ก็เข้าใจนัยแท้จริงของประโยคนั้นของคุณหลู่ซวิ่น* ที่กล่าวว่า ‘จะแนวขวางแนวตั้งข้าพเจ้าก็นอนไม่หลับ’
เขาตัดสินใจลองทำตามนักเขียนชื่อก้องโลก ลุกขึ้นมาเดิน
ตอนแรกคิดว่าแค่หลับตาลืมตาหนึ่งทีก็ได้เป็น CEO แต่งงานกับมิสเตอร์เพอร์เฟ็กต์ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต แต่ความจริงคือเขาเป็น CEO จริง แต่เป็นบริษัทที่กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตร้ายแรง แต่งงานกับมิสเตอร์เพอร์เฟ็กต์จริง แต่แต่งงานกันด้วยข้อตกลง สามปีแล้วก็ยังไม่ได้แอ้มสักคำ ส่วนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิตนั้น…
ลู่อวี๋เดินเข้าห้องหนังสือ ห้องที่เขาตื่นขึ้นหลังจากข้ามเวลามา
ไฟในห้องสว่างอัตโนมัติเมื่อเขาเดินเข้ามา แสงจากหลอดไฟทั้งสองแถวส่องกระทบชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดาน ชั้นหนังสือสูงตระหง่านติดตั้งบันไดไม้แบบเลื่อนได้ ทั้งหรูหราและคลาสสิก นี่เป็นห้องหนังสือในฝันของเขา เพียงแต่ไม่ได้มีหนังสือปกแข็งที่เลิกตีพิมพ์แล้วเต็มผนังแบบในจินตนาการ เพราะชั้นหนังสือทั้งสองฝั่งถูกคลุมด้วยผ้าคลุมทึบแสง
ลู่ตงตงวิ่งเข้ามา ส่ายหางดุกดิก “ปะป๊าพูดว่า ‘ตงตง กรุณาเปิดผ้าคลุม’ สิ รีบพูดเร็ว รีบพูดเร็ว”
ลู่อวี๋มุมปากกระตุก ทำตามอย่างหน่ายใจ “ตงตง กรุณาเปิดผ้าคลุม”
ลูกโป่งเงือกน้อยหยุดส่ายหางทันที แสร้งทำเป็นสมองอัจฉริยะทั่วไป ลอยตัวตรงแหน็วกลางอากาศ ดวงตาไร้แวว “รับทราบครับ”
ผ้าคลุมตรงหน้าถูกเก็บอย่างรวดเร็วเหมือนกับบาเรียแสงในหนัง sci-fi เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของชั้นหนังสือในพริบตา
จากนั้นเขาก็เห็นคีย์บอร์ดเต็มผนัง!
“อู้ฟู่จริงๆ ” ลู่อวี๋อึ้งเล็กน้อย อดเอ่ยค่อนขอดไม่ได้ “เอาไปเปิดเป็นร้านขายคีย์บอร์ดได้เลยนะเนี่ย”
คีย์บอร์ดทั้งหมดล้วนถูกจับตั้งขึ้นโชว์อยู่บนชั้น มีทุกรูปแบบ ทุกสีสัน ดูแล้วเหมือนจะเป็นคีย์บอร์ดแบบคัสตอมหมดเลยด้วย ลู่อวี๋สุ่มหยิบขึ้นมา น้ำหนักจากโลหะหนักอึ้งจนเขาเกือบจับไม่อยู่ ตัวกรอบเคลือบโลหะเล่นแสงเปลี่ยนสีไปมาเรื่อยๆ ตามการขยับใต้แสงไฟ อย่างกับแสงนีออนในโลกไซเบอร์ ทั้งดูแพงและดูโทรมไปพร้อมกัน
เขายื่นสี่นิ้วไปเคาะแป้น สัมผัสนุ่มมือ เสียงคลิกไพเราะเสนาะหู ปุ่มกดทุกปุ่มมีเสียงเหมือนกันหมด ไม่มีเสียงรบกวนอื่นเลยแม้แต่น้อย จินตนาการได้เลยว่าถ้าเกิดพิมพ์เร็วๆ ติดๆ กันจะกลายเป็นเสียงไวท์นอยส์อันแสนไพเราะ และจะไม่ถูกรูมเมตขอร้องอ้อนวอนให้เปลี่ยนคีย์บอร์ดด้วยความเหลืออดอีก
ลู่อวี๋หัวเราะ โยน ‘เครื่องดนตรี’ โลหะก้อนนั้นกลับเข้าชั้นวาง “เด็กเรียนไม่เก่งมักมีอุปกรณ์การเรียนเยอะ ลู่ต้าอวี๋นี่มันขยะจริงๆ”
ครั้นหันหลังไปทางผนังอีกด้านหนึ่ง หางตาก็เหลือบไปเห็นน้องรองที่ยื่นหน้ายื่นคอเข้ามาในประตู
ลู่อวี๋ยกมุมปาก พูดเสียงจริงจัง “เฉียนเฉียน กรุณาเปิดผ้าคลุม”
เสิ่นไป๋สุ่ยที่ฉุนกึกโผล่ออกมาทันใด ก่อนเถียงกลับ “พูดกี่รอบแล้ว ฉันไม่ได้ชื่อเฉียนเฉียน! แล้วฉันก็เป็นสมองอัจฉริยะของหมิงเยี่ยน นายไม่มีสิทธิ์สั่งงานฉัน”
ลู่อวี๋เลิกคิ้ว “โอเค เสี่ยวไป๋ กรุณาเปิดผ้าคลุม”
ลูกโป่งท่านประธานรับคำสั่ง “ครับ”
จากนั้นผ้าคลุมชั้นหนังสือฝั่งนี้ก็ตกลงมาด้วยวิธีเดียวกัน
เขาเดาถูกจริงๆ ด้วย ผู้ช่วยสมองอัจฉริยะเมื่อทำเป็นสินค้าย่อมไม่มีทางปล่อยให้ลูกค้าเรียกชื่อของสมองอัจฉริยะแบบเต็มๆ ทั้งชื่อจริงทั้งนามสกุล ไม่อย่างนั้นจะฟังดูโง่มาก ถ้างั้นสมองอัจฉริยะก็ต้องมีชื่อเล่นอย่าง ‘เสี่ยวอ้าย เสี่ยวตู้’ แน่นอน ของลู่ตงตงก็ชื่อตงตง ส่วนเสิ่นไป๋สุ่ยก็ควรจะชื่อเสี่ยวไป๋
เสิ่นไป๋สุ่ยกอดอกยิ้มเย็น “เหอะ ชั่วช้าเหมือนลู่ต้าอวี๋ไม่มีผิด”
ลูกโป่งเงือกลอยเข้าไปฟาดหางใส่ก้นน้องชาย
ลูกโป่งท่านประธานกระแทกตัวกลับไป “ฉันพูดผิดตรงไหน แต่งงานเพราะข้อตกลง แต่เขากลับหน้าหนามาเปิดสิทธิ์ใช้งานสำหรับคู่สมรส สามารถเปิดสมองอัจฉริยะของหมิงเยี่ยนได้”
“ปะป๊าก็มีสิทธิ์ใช้งานฉันเหมือนกัน ฉันบ่นอะไรหรือยัง”
เจ้าเด็กทั้งสองเริ่มทะเลาะกัน เปิดเข้าสู่โหมดดีเบต
ลู่อวี๋ไม่สนใจพวกเขา เงยหน้ามองชั้นหนังสือฝั่งนี้ ด้านนี้ทั้งหมดล้วนเป็นหนังสือ แต่ส่วนใหญ่เป็นผลงานของลู่อวี๋เอง
ดูอย่างนี้แล้วหลายปีมานี้เขาเองก็เขียนนิยายเรื่องยาวจบไปสามเรื่อง และทุกเรื่องมีความยาวมากกว่าสามล้านตัวอักษร
เขาไล้มือผ่านสันหนังสือช้าๆ จำแนกตัวอักษรบนนั้น
เรื่องแรก ‘เงือกจอมราชัน’ แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องนี้มีฉบับตีพิมพ์เป็นรูปเล่มหลายครั้ง และมีอยู่บนชั้นหนังสือนี้ทั้งหมด นอกจากฉบับตีพิมพ์ในประเทศแล้ว ยังมีฉบับแปลภาษาอังกฤษ รัสเซีย ฝรั่งเศส ไทย คงเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้มีแบ็กกราวนด์เป็นตำนานคธูลู* จึงเป็นที่นิยมในชาวต่างชาติได้ง่าย
เรื่องที่สอง ‘เรือนทองคำ’ คือเรื่องของเสิ่นไป๋สุ่ย รูปหน้าปกวาดอย่างสวยงามโอ่อ่า แค่เห็นก็รู้แล้วว่ารวย ข้างๆ กันยังตั้งฟิกเกอร์ของเสิ่นไป๋สุ่ยไว้ด้วย เป็นท่าทางของท่านประธานที่นั่งโคลงแก้วไวน์แดงอยู่บนโซฟา
เรื่องสุดท้ายชื่อ ‘ทะลวงหมาป่าสวรรค์**’ เป็นนิยายที่มีเซ็ตติ้งยุคโบราณ ลู่อวี๋หยิบออกมาเปิดเล่นเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ทำออกมาได้ประณีตมาก มันทำเลียนแบบสมุดเย็บสันแบบโบราณ สามารถกางอ่านแบบราบได้เลย
ตัวเอกในเรื่องชื่อว่าฮวาเหวินหย่วน เป็นแม่ทัพหนุ่มที่มีชีวิตในกลียุคซึ่งราชวงศ์กำลังล่มสลาย ประโยคเกริ่นนำของนิยายคือกลอนวรรคหนึ่ง
‘จักน้าวศรสลักโค้งดั่งจันทร์เพ็ญ แลเห็นพายัพ ยิงทะลวงหมาป่าสวรรค์’*
บนชั้นนอกจากหนังสือของเขาเองก็ยังมีผลงานของนักเขียนชื่อดังที่เขาอ่านบ่อยๆ และยังมีถ้วยรางวัลอีกหนึ่งแถว ลู่อวี๋รู้จักแค่อันเดียวคือถ้วยรางวัลจากปีที่เพิ่งเขียน ‘เงือกจอมราชัน’ ที่เว็บไซต์นิยายมอบรางวัล ‘ราชาหน้าใหม่’ ให้กับเขา ถ้วยรางวัลเป็นทรงคทาคริสตัลขนาดสั้นป้อม บนนั้นสลักตัวอักษรใหญ่ๆ ไว้ว่า ‘ราชาหน้าใหม่ จับปลาบนดินแล้ง’ ทั้งเชยทั้งเบียว
‘จับปลาบนดินแล้ง’ เป็นนามปากกาของลู่อวี๋
ถ้วยรางวัลอื่นๆ ลู่อวี๋ไม่เคยเห็นมาก่อน มีทั้งที่เว็บไซต์ให้ แล้วก็มีที่องค์กรอื่นให้ ถึงขั้นมีถ้วยรางวัลจากวงการเกมด้วย
ขณะนั้นเสิ่นไป๋สุ่ยโผล่ออกมาได้จังหวะพอดี เขาชี้ถ้วยรางวัลจากเกมแล้วอวยตัวเอง “นี่คือถ้วยรางวัลของฉัน ‘เรือนทองคำ’ ถูกสร้างเป็นเกม ได้กำไรเยอะมากด้วย ทำให้นายบรรลุ ‘เป้าหมายเล็กๆ’ เป็นครั้งแรกในชีวิต ตอนนี้รู้หรือยังล่ะว่าใครคือแหล่งรายได้ของบ้านหลังนี้ คือประธานเสิ่นอย่างฉันนี่แหละที่เป็นเสาหลักของบ้าน พวกนายควรจะเชื่อฟังฉัน”
ลู่อวี๋พยักหน้ารับ “ใช่ๆๆ เชื่อฟังนาย” แล้วหันไปทางโต๊ะหนังสือ เปิดคอมพิวเตอร์ เขาอยากดูว่าลู่ต้าอวี๋ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ให้บ้างหรือเปล่า
ถึงแม้สมองอัจฉริยะจะเป็นที่แพร่หลายแล้ว แต่คอมพิวเตอร์ก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
หลังจากเปิดเครื่องจำเป็นต้องใส่รหัส ลู่ตงตงกับเสิ่นไป๋สุ่ยต่างวิ่งเข้ามาหา
ลู่ตงตง “ฉันรู้รหัส ถามฉันสิ”
เสิ่นไป๋สุ่ย “ขอร้องฉันสิ ขอร้องให้ฉันบอกรหัสนาย”
ลู่อวี๋ชำเลืองมองสองคนนั้นก่อนกรอกรหัสที่ใช้เป็นประจำโดยไม่แม้แต่จะคิด แล้วก็ถูกต้องอย่างที่เขาคิดไว้ “คิดว่าฉันจะไม่รู้เหรอว่าตัวเองเป็นคนยังไง สิบปีไม่เคยเปลี่ยนรหัสเลยสักครั้งเดียว”
หน้าเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์รกเละเทะมาก กระจัดกระจายไปด้วยต้นฉบับที่เขียนแบบส่งๆ บางไฟล์มีชื่อ บางไฟล์ไม่มีชื่อ วอลล์เปเปอร์เป็นรูปที่แคปมาจากหนังเก่า มันเป็นฉากจบของเรื่อง ‘ไซอิ๋ว เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน’
นักรบตะวันรอนกับจอมยุทธ์สาวกอดกัน มองแผ่นหลังของซุนหงอคงที่แบกกระบองทองเดินจากไป ก่อนพูดประโยคหนึ่งว่า ‘เขาดูเหมือนสุนัขเลย’
ลู่อวี๋จ้องรูปวอลล์เปเปอร์นั้นครู่ใหญ่ ไม่เข้าใจว่าลู่ต้าอวี๋อยากจะสื่ออะไร เขาไล่เปิดไฟล์เหล่านั้นทีละไฟล์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นไฟล์ที่จดแรงบันดาลใจที่กระจัดกระจาย แต่หลายๆ คำไม่ถ่ายทอดความคิด เรียบเรียงไม่เป็นประโยค มีไฟล์หนึ่งขนาดค่อนข้างใหญ่ ตั้งชื่อไฟล์ว่า ‘แผนการปรับแก้ฮวาเหวินหย่วน’
ในแผนการนั้นเขียนเกี่ยวกับการปรับแก้ฮวาเหวินหย่วน พระเอกของเรื่อง ‘ทะลวงหมาป่าสวรรค์’ ให้กลายเป็นผู้ช่วยสมองอัจฉริยะส่วนตัว ดูเหมือนลู่ต้าอวี๋อยากจะนำฮวาเหวินหย่วนมาโปรโมตเป็นสินค้าใหม่
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ ลู่ต้าอวี๋คิดต่อไม่ไหว เขาเขียนไม่กี่บรรทัดก็เขียนแทรกสองสามประโยค
‘ไม่มีวิธีปรับเลย ฮวาเหวินหย่วนเป็นคนโบราณ ไม่มีทางยอมรับแนวคิดสมองอัจฉริยะได้ แต่ฉันก็ไม่มีผลงานอื่นแล้ว’
จากนั้นก็เป็นแบบแผนที่ฝืนเขียนขึ้นมา แล้วเขียนอีกสองสามบรรทัด จากนั้นก็เป็นบ้าต่อ เขียนเต็มหน้าว่า
‘หมิงเยี่ยน หมิงเยี่ยน หมิงเยี่ยน หมิงเยี่ยน…’
ลู่อวี๋รู้สึกว่าสิ่งที่ลู่ต้าอวี๋เขียนมีมลพิษต่อจิตใจอย่างรุนแรง เขาอ่านไปพักหนึ่งก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะบ้าตามไปด้วย
เขานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ เผชิญกับแสงจากหน้าจอที่ส่องสว่าง นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนตัดสินใจไม่ดู ปิดเครื่อง และนอน
ฟ้าถล่มลงมาก็คิดซะว่าเป็นผ้าห่มคลุมตัว ไม่ว่าลู่ต้าอวี๋จะมีความผิดปกติทางจิตใจอะไร เขาก็ไม่ใช่ลู่ต้าอวี๋คนนั้น
วันต่อมาลู่อวี๋ตื่นขึ้นหลังจากนอนเต็มอิ่ม ไม่นึกเลยว่าขอบตาคล้ำจะหายเกินครึ่ง อาการบวมที่หน้าก็หายไปแล้ว ตัวเขาดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา ระดับความน่าดึงดูดอัพเกรดขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น
หมิงเยี่ยนเห็นเขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “แบบนี้ไม่ต้องกลัวโดนคนแอบถ่ายแล้ว”
ถึงจะพูดแบบนั้นหมิงเยี่ยนก็ยังแนะนำให้ลู่อวี๋สวมหน้ากากอนามัย ไม่ให้ใครจำเขาได้เลยจะเป็นการดีที่สุด ประการแรก เพราะว่าลู่อวี๋ขลุกตัวเขียนงานอยู่แต่ในบ้าน กลัวสังคมภายนอกมาก ถ้าถูกนักข่าวมองออกแล้วเข้ามารุมหรือไล่ตามคงลำบาก ประการต่อมา ตอนนี้ลู่อวี๋ยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ถ้าถูกนักข่าวถามก็ไม่รู้จะตอบอะไร และถ้าเกิดพูดอะไรพลาดขึ้นมาจะยิ่งวุ่นวายไปใหญ่
“กลัวอะไร ลู่ต้าอวี๋กลัวนักข่าว แต่ผมไม่กลัว” ลู่อวี๋แสยะยิ้มมุมปากพลางเลือกชุดสูทมาสวมอย่างสุขใจ
นี่เป็นถึง ‘ช่วงเวลาของผู้ใหญ่’ ที่เขาใฝ่ฝันมานานเลยนะ ได้สวมชุดสูทราคาแพง ก้าวเท้าอย่างมั่นอกมั่นใจมุ่งสู่จักรวรรดิธุรกิจของตัวเอง เมื่อเจอนักข่าวสายเศรษฐกิจเข้ามาสัมภาษณ์แบบหาเรื่องก็แค่ยิ้มบางๆ ให้ ไม่มีทางลนลานเด็ดขาด
ประธานลู่ผู้ไม่มีทางลนลานเอาเนกไทมาคล้องคอ จากนั้นก็นิ่งจังงัง เขาที่เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะผูกเนกไทไม่เป็น!
ลู่อวี๋ดึงปลายเนกไทที่คล้องอยู่บนคอสองฝั่ง ก่อนยื่นมือไปสะกิดหมิงเยี่ยนที่เพิ่งผูกเนกไทเสร็จอยู่ข้างๆ “พี่เยี่ยน ช่วยผมผูกหน่อยสิ”
หมิงเยี่ยนได้ยินคำเรียก ‘พี่เยี่ยน’ มือที่อยู่บนเนกไทก็สั่นอย่างอดไม่ได้ ก่อนหันไปมองลู่อวี๋
ลู่อวี๋ที่ไม่มีขอบตาดำคล้ำดูสะอาดสะอ้าน เข้ากับดวงตาหนุ่มน้อยใสแจ๋วคู่นั้น…ทำตัวน่ารักได้น่าอับอาย! ในฐานะ top มาทำน่ารักแบบนี้ยิ่งน่าอับอายกว่าอะไรดี!
หมิงเยี่ยนรับเนกไทมาผูกปมอย่างชำนาญพร้อมกำชับเสียงเบา “ตรงทางเข้าบริษัทอาจมีนักข่าวมาดักรอกันเป็นกอง พยายามอย่าไปตอบคำถามนักข่าว พวกเขาแค่มาดูเรื่องน่าตลกเฉยๆ”
ลู่อวี๋จ้องลำคอขาวผ่องที่เผยออกมาเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวก้มหน้า เส้นเลือดสีเขียว ลูกกระเดือกงดงาม ไม่มีส่วนไหนไม่สมบูรณ์แบบ ยั่วยวนให้หมาป่าชั่วร้ายกระโจนเข้าใส่แล้วขย้ำแรงๆ หนึ่งคำ ทิ้งรอยฟันลึกไว้สองแถว เขากลืนน้ำลายบรรเทาความแห้งผากในลำคอ ถามอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ดูเรื่องน่าตลกอะไร”
ผูกเนกไทเสร็จแล้ว หมิงเยี่ยนยังช่วยเขาจัดปกเสื้อ ก่อนอธิบายอย่างใจเย็น “นายมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วในช่วงที่อยู่บนจุดสูงสุดก็เปลี่ยนสายงานไปทำอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้นใหม่ที่สุด พวกนั้นไม่เชื่อว่านายจะทำได้ดี และยินดีจะยืนยันการคาดการณ์ของตัวเอง หวังว่าจะเห็นนายโชคไม่ดี”
ลู่อวี๋ลูบคาง ถ้ายืนอยู่ในมุมของลู่ต้าอวี๋ก็น่าเวทนา บริษัทเจอกับคอขวด ภรรยาก็ใกล้จะครบกำหนดเวลา แต่ในสายตาของเขาไม่เหมือนกันเลยสักนิด “งั้นพวกเขาต้องผิดหวังแล้วล่ะ ต่อให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ นั่นก็เป็นบริษัทที่มีคุณสมบัติในการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และ ‘กำลังจะเข้าตลาดหุ้นเร็วๆ นี้’ ด้วย ฉันยังอายุน้อย ประสบความสำเร็จในอาชีพ มีทั้งเมียทั้งเงิน มีทั้งลูกสาวลูกชาย เชิญพวกเขาอิจฉาตายไปเลย!”
ว่าจบก็เดินเชิดหน้าอย่างมุ่งมั่นกล้าหาญองอาจออกจากบ้านไป
เสิ่นไป๋สุ่ยลอยมาอยู่ข้างหมิงเยี่ยน “เขาบอกมีเมียกับลูกสาว อย่าบอกนะว่าหมายถึงพวกเราน่ะ”
หมิงเยี่ยนหยิบหน้าปัดนาฬิกาออกมาติดบนข้อมือ “หมายถึงเธอ”
* หลู่ซวิ่น เป็นนามปากกาของโจวจางโซ่ว หนึ่งในนักเขียนชาวจีนคนสำคัญของคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมากจะเขียนวรรณคดีจีนสมัยใหม่ รวมทั้งวรรณคดีคลาสสิกจีน
* ตำนานคธูลู (The Cthulhu Mythos) คือจักรวาลเทพสมมติที่ H.P. Lovecraft เป็นผู้สร้างสรรค์และมี August William Derleth เป็นผู้เชื่อมโยงจักรวาลเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ โดยคธูลูเป็นตัวละครจากเรื่อง The Call of Cthulhu ซึ่งภายหลังจักรวาลนี้ทรงอิทธิพลจนกลายเป็นแรงบันดาลใจและแนวคิดให้นักเขียนหลายๆ ท่าน
** หมาป่าสวรรค์ หรือดาวเทียนหลาง เป็นชื่อของดาวโจร ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในตอนกลางคืนและสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คนโบราณเชื่อว่าดาวโจรเป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคลและความโหดเหี้ยม ในบทกวีมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แทนศัตรูหรือภัยคุกคามจากแดนตะวันตกเฉียงเหนือ
* มาจากบทกวี ‘บุตรแห่งเจียงเฉิง ออกล่าในมี่โจว’ ประพันธ์โดยซูซื่อ กวีสมัยราชวงศ์ซ่ง บทกวีบรรยายถึงท่าทางองอาจยามน้าวคันธนูของทหารกล้า โดยผสมผสานความรู้สึกอยากปกป้องบ้านเมืองอันกล้าหาญของกวีเข้าไปด้วย
บทที่ 8
ซีเหมิน
หน้าบริษัทเฉินอวี๋เทคโนโลยีมีนักข่าวกลุ่มหนึ่งมาดักรออยู่ดังคาด
พวกเขายืนเรียงแถวกันอยู่บนขั้นบันไดอย่างหนาแน่นคล้ายนกกระจอกที่ซุ่มเกาะอยู่บนสายไฟฟ้าแรงดันสูง แค่รอให้รถของหมิงเยี่ยนจอดสนิทพวกเขาก็จะกรูกันเข้าไปส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ‘แย่งอาหาร’ กันอย่างกับฝูงผึ้ง
“นกกระจอกนอกหน้าต่าง ส่งเสียงร้องจอแจบนสายไฟ*…” ลู่อวี๋ฮัมเพลงพลางมองเหล่านักข่าวที่ส่งเสียงวุ่นวายบนจัตุรัส “ตึกออฟฟิศนี่ไม่มีลานจอดรถใต้ดินเหรอ”
เฉินอวี๋เทคโนโลยีไม่ได้ดูกว้างขวางโอ่อ่าอย่างที่บริษัทเทคโนโลยีควรจะเป็น แต่เป็นตึกเตี้ยๆ ที่ออกจะซอมซ่อหน่อยๆ ด้านบนสุดของตึกแปะชื่อบริษัท แนบด้วยโลโก้รูปปลาอ้าปากซึ่งลำตัวครึ่งหนึ่งอยู่ในน้ำอันเรียบง่าย
ตึกนี้ไม่มีบริษัทอื่นอยู่ด้วย ถ้ามีลานจอดรถใต้ดินย่อมไม่ถูกสื่อมาเฝ้าตอรอกระต่ายตั้งแต่เช้า หมิงเยี่ยนไม่ตอบคำถามที่มีคำตอบชัดเจนอยู่แล้วนี้ เพียงเอ่ยกำชับ “รปภ. มารอหน้าประตูแล้ว นายลงจากรถแล้ววิ่งไปทางประตูใหญ่ได้เลย”
รถเพิ่งจะจอดสนิท นักข่าวก็กรูเข้าใส่ทันทีอย่างที่คิดไว้
“ประธานหมิง คุณคิดยังไงกับการที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่สำเร็จเหรอคะ”
“ได้ยินว่าเฉินอวี๋เทคโนโลยีกำลังเตรียมรับการระดมทุนจากชิงฉวีแคปิตอล เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ”
“มีข่าวว่าถ้าเฉินอวี๋เทคโนโลยีไม่รับการระดมทุนก็จะตกอยู่ในวิกฤตหนี้สิน คุณคงมีประสบการณ์กับการจัดการวิกฤตหนี้สินเป็นพิเศษเลยใช่ไหมคะ”
ฝูงชนเบียดอัดกัน ใบหน้าของนักข่าวแถวหน้าแทบจะแนบกับหน้าต่างรถจนบี้แบน หมิงเยี่ยนเปิดประตูรถไม่ได้ด้วยซ้ำ
ลู่อวี๋สวมหน้ากากอนามัยเดินลงจากฝั่งข้างคนขับ ก้าวฉับๆ เดินขึ้นบันไดก่อนดึงหน้ากากอนามัยลง “มีคำถามก็มาถามฉันนี่!”
กลุ่มคนเงียบกันไปหนึ่งวินาที จากนั้นก็พลันวุ่นวาย
“จับปลาบนดินแล้ง!”
“ลู่อวี๋!”
ฝูงนักข่าวเมื่อได้เห็นใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมานานก็เลิกเซ้าซี้หมิงเยี่ยนแล้วพุ่งกรูใส่ลู่อวี๋ทันที
ข้างประตูรถที่ตอนแรกคนหนาแน่นจนน้ำแทรกผ่านไม่ได้ว่างเปล่าในพริบตา หมิงเยี่ยนลงจากรถ ขมวดคิ้วมองลู่อวี๋ที่ถูกเลนส์บ้องข้าวหลามของกล้องจ่อรอบทิศ
“ประธานหมิง รีบไปเถอะครับ” เลขาฯ พาบอดี้การ์ดเข้ามาคุ้มครองหมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนบอกให้เลขาฯ ไปช่วยลู่อวี๋ ส่วนตนเดินเข้าล็อบบี้บริษัทจากประตูด้านข้าง
“ประธานลู่ คุณคิดยังไงกับการที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้คะ”
ไม่รู้นักข่าวสำนักไหน ทำไมถึงได้ยึดติดกับคำถามนี้นักนะ
ลู่อวี๋คว้าไมค์ตัวหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะมีฟังก์ชันเยอะ ก่อนจะกดเปิดโหมดขยายเสียง “บริษัทเพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน แต่ก็ผ่านเกณฑ์ที่ใช้เข้าสู่ตลาดหุ้นได้ นี่คือความรักความห่วงใยของโลกธุรกิจ แม้ว่าผมจะประสบความสำเร็จแบบนี้ตั้งแต่อายุยี่สิบแปด แต่ผมจะไม่หลงละเลิงหรือใจร้อน จะพยายามต่อไปอย่างไม่ย่อท้อครับ!”
เพียงพริบตาฝูงนกกระจอกที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวก็คล้ายกินยาเบื่อหนูเข้าไป ต่างเป็นใบ้ไปพร้อมกัน
มีคนหน้าหนาไม่รู้จักอายฟ้าดินขนาดนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอ
นักข่าวแถวหน้าตอบสนองว่องไว “ในเมื่อคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จมากแล้ว ทำไมถึงยังพยายามเสาะหาช่องทางเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์อีกล่ะ เพราะจะแก้ไขวิกฤตหนี้สินของเฉินอวี๋เทคโนโลยีด้วยวิธีที่เสี่ยงเหมือนดื่มยาพิษแก้กระหายใช่หรือเปล่า”
ลู่อวี๋เอ่ยตอบเสียงเกียจคร้าน “ทำไปเพื่อเปลี่ยนตึกออฟฟิศครับ ลานจอดรถที่นี่เป็นแบบกลางแจ้ง ถูกพวกนักข่าวรุมง่ายเกินไป”
ตอนนี้เองเหล่า รปภ. ก็เบียดเข้ามาได้สักที พร้อมลากตัวลู่อวี๋ไปได้ทุกเมื่อ
“โอเค การสัมภาษณ์วันนี้จบเท่านี้ ลำบากทุกท่านแล้ว!” ลู่อวี๋ยัดไมค์กลับใส่มือนักข่าวคนนั้นแล้วหมุนตัวเดินจากไป
จังหวะนี้เอง จู่ๆ ก็มีนักข่าวคนหนึ่งตะโกนลั่น “จับปลาบนดินแล้ง คุณเป็นเจียงหลางหมดสิ้นพรสวรรค์ถึงได้เปลี่ยนสายมาทำผู้ช่วยสมองอัจฉริยะ คุณเป็นพวกตัดช่องน้อยแต่พอตัว เป็นความอับอายของวงการนิยายเว็บ!”
“ตอนนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ คงมานั่งนึกเสียใจทีหลังใช่ไหมล่ะ”
ลู่อวี๋ชะงักฝีเท้า หันขวับกลับไป “พวกนายจะไปเข้าใจกับแม่…ยายสิ”
เลขาฯ ตกใจหน้าถอดสี ยื่นมือไปหมายจะดึงตัวลู่อวี๋ไว้เพราะกลัวเขาจะไปทะเลาะกับฝั่งนั้นเข้า เมื่อก่อนลู่อวี๋เกลียดที่คนอื่นบอกว่าเขาเป็น ‘เจียงหลางหมดสิ้นพรสวรรค์’ ที่สุด ถ้าได้ยินจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
ทว่ากลับผิดคาด ลู่อวี๋ไม่ได้โกรธ แถมย้อนถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าอุดมคติสูงสุดของนักเขียนคนหนึ่งคืออะไร”
ไม่รอให้ใครเข้าใจคำถาม ลู่อวี๋ก็ตอบเองด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมเปี่ยมพลัง
“คือการทำให้ลูกๆ คนกระดาษเรียกตัวเองว่าพ่อแม่สักครั้งในบั้นปลายชีวิต!” ว่าจบเขาก็ยื่นแขนซ้ายออกไป เผยให้เห็นอุปกรณ์สมองอัจฉริยะตรงข้อมือ ก่อนตะโกนกร้าว “ตงตง!”
สมองอัจฉริยะตอบกลับทันที “ครับ ท่านพ่อ!”
“ในวงการนิยายเว็บ ลูกชายลูกสาวคนกระดาษของใครบ้างที่เรียกผมว่าพ่อได้ทุกเวลาเหมือนลู่ตงตงของผม นี่ก็คือเหตุผลที่ผมทุ่มเททุกอย่างที่ทำได้เพื่อสร้างผู้ช่วยสมองอัจฉริยะ เพื่อให้เด็กๆ ของผมบรรลุสู่จุดสูงสุดของโลกไซเบอร์!”
ลู่อวี๋ชูมือซ้ายขึ้นสูงประหนึ่งนักรบแห่งแสงที่กำลังจะแปลงร่าง แสงอรุณสาดลงบนร่างกายเขาอย่างเจิดจ้าและยิ่งใหญ่
ทุกคนต่างอึ้งทึ่งกับภาพนี้ ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน มีแต่เสียงแฟลช ‘แชะๆๆ’ บันทึกภาพแห่งประวัติศาสตร์นี้ไว้
หัวข้อข่าวสดวันนี้
‘เป้าหมายสูงสุดของนิยายเว็บ คือการบรรลุสู่จุดสูงสุดของโลกไซเบอร์!’
หมิงเยี่ยนที่อยู่ในล็อบบี้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้า บอกให้บอดี้การ์ดไปดู ส่วนตัวเองก็หันหลังเดินเข้าลิฟต์ไป
อับอายขายหน้าเกินทนจริงๆ คนคนนี้
พอไล่พวกนักข่าวไปได้ ลู่อวี๋ที่เดินเข้าไปในล็อบบี้ของเฉินอวี๋เทคโนโลยีอย่างอิ่มอกอิ่มใจก็ปะทะเข้ากับหน้าผากเงาวับสะท้อนแสง
“เหล่าลู่ เมื่อกี้นายเท่มากจริงๆ!” ผู้มาใหม่กอดลู่อวี๋ รู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง
“เหล่าหยาง?” ลู่อวี๋มองชายตรงหน้าอึ้งๆ แม้จะเปลี่ยนไปมาก แต่หยางเฉินรูมเมตหัวรังนกของเขาคนนั้นก็ไม่หนีไปไหน “เชี่ย ไม่เจอกันตั้ง…ไม่กี่วัน ทำไมนายหัวล้านแบบนี้แล้วเนี่ย”
ความดกหนาบนหัวนั้น ตอนนี้ได้โรยราไปหมดสิ้น
หยางเฉินชกเขาหนึ่งหมัด “ไอ้เชี่ยนี่ ไม่พูดถึงมันได้ไหม ฉันเป็นแบบนี้เพราะใครกันล่ะ”
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย สิ่งที่หยางเฉินแสนภาคภูมิใจคือเส้นผมที่เหมือนฝอยขัดหม้อ แต่สายอาชีพของพวกเขาถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเป็นชาวนาฟาร์มโค้ด* ผมของเขาต้องล้านกว่าคนทั่วไปแน่นอน
ทว่าหลังจากเรียนจบ หยางเฉินถูกบริษัทใหญ่รับเข้าทำงาน ไม่ใช่แค่ต้องทำงานแบบ 996** แต่ยังถูกหัวหน้ากลั่นแกล้งรังแก เขาที่กลัดกลุ้มและไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตสักทีรู้สึกแสนเหนื่อยล้า ผมจึงค่อยๆ ร่วงเป็นหย่อมๆ ตอนนั้นเองลู่อวี๋ที่ทำตามเป้าหมายเล็กๆ ได้แล้วมาหาเขา บอกว่า ‘งั้นนายออกมาทำงานข้างนอกกับฉันดีกว่าไหม’
เหล่าหยางตามไปช่วยลู่อวี๋เปิดบริษัทเฉินอวี๋เทคโนโลยีโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองที่ทำงานเก่า แล้วก็ทำสำเร็จจริงๆ แต่เพราะว่าเป็นธุรกิจของตัวเองจึงไม่ต้องให้ใครมาคอยเร่ง เขาทำงานแบบ 007*** อย่างไม่รู้ตัวโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นไม่ใช่แค่ไม่อาจรั้งเส้นผมของตัวเองไว้ได้ แต่กลับล้านเร็วยิ่งกว่าเดิม ยังไม่ทันเข้าสามสิบก็ล้านจนไม่เหลือให้ล้านแล้ว
“ในที่สุดนายก็มาได้สักที ฉันปรับแต่งเครื่องจำลองเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอให้นายมาทดสอบอยู่นี่แหละ” หยางเฉินเห็นลู่อวี๋ที่ไม่เข้าบริษัทหลายวันก็ดีใจมาก ลากเขามาบ่นไม่ยอมหยุดปาก “อาทิตย์หน้าจะต้องขึ้นไลฟ์เปิดตัวสินค้าใหม่กันแล้ว ยังไงนายก็ควรไปลองทดสอบดูก่อน ไม่อย่างนั้นกลับมาต้องยุ่งมือเป็นระวิงแน่ๆ เจ้านี่มันสุดยอดมากจริงๆ นะ ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงยอมทุ่มเงินเพื่อมันขนาดนี้…จะว่าไปนายไหวไหมเนี่ย เขียนแผนโปรเจ็กต์ถึงไหนแล้ว” พูดไปครึ่งวันแต่ลู่อวี๋ก็ยังไม่มีการตอบสนอง หยางเฉินจึงถองศอกใส่เขาไปที
ลู่อวี๋ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาพูดอะไร แต่ก็ยังตอบรับอย่างตั้งอกตั้งใจ “วางใจเถอะ เดี๋ยวฉันไปดูแล้วค่อยว่ากัน”
หยางเฉินพยักหน้า ไม่ถามอะไรมาก ลากลู่อวี๋ขึ้นลิฟต์แล้วบอกให้พวกเลขาฯ ไปขึ้นลิฟต์อีกตัว
“มีอะไร ทำตัวลับๆ ล่อๆ” ลู่อวี๋ขยับออกหนึ่งก้าว รักษาระยะห่างกับหยางเฉิน “ฉันเป็นคนมีครอบครัวแล้วนะ”
“ไปไกลๆ เลย” หยางเฉินด่าเขาอย่างรังเกียจ “ไอ้เจ้าซีเหมินชิงนั่นมาอีกแล้ว นายต้องระวังๆ ไว้ล่ะ อย่าให้มันเข้าใกล้หมิงเยี่ยน”
“ซีเหมินชิ่ง**** อะไร” ลู่อวี๋หูผึ่ง ชื่อนี้แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา
“จิ๊ ก็ประธานจ้าวเยียนชิงของชิงฉวีแคปิตอลนั่นไง นายตั้งฉายาให้ว่าซีเหมินชิงเอง ลืมได้ไง” เหล่าหยางพูดอย่างโมโหที่ไม่ได้ดั่งใจ “ประชุมหารือเรื่องเงินทุนวันนี้ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาด้วย”
ห้องประชุมเล็กชั้นบน
จ้าวเยียนชิงที่สวมชุดสูทสีเทาอมฟ้าเข้าชุดนั่งฝั่งตรงข้ามกับหมิงเยี่ยน เขาดันจดหมายสอบถามที่มีโลโก้ปั๊มฟอยล์ทองไปตรงหน้าช้าๆ “ตอนนั้นผมขอให้คุณระดมทุนด้วยการเสนอขายแบบเจาะจง คุณไม่ทำ แต่ดันไปทำผู้ช่วยสมองอัจฉริยะอะไรนั่นกับคนแซ่ลู่ ตอนนี้เป็นไง คนที่มาระดมทุนกับผมตอนนี้ในมือได้จัดการเงินทุนเป็นแสนล้านแล้ว แต่คุณยังต้องมานั่งกลุ้มกับเงินระดมทุนแค่หมื่นล้านอยู่ คุณบอกมาหน่อยสิว่าแบบนี้คุณคุ้มตรงไหน”
การ์ดแข็งในซองจดหมายสอบถามแตะโดนปลายนิ้วของหมิงเยี่ยนที่วางบนโต๊ะแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุดดันไปข้างหน้าต่อ
หมิงเยี่ยนงอนิ้วกำหมัด ก่อนเก็บมือลงใต้โต๊ะ ไม่รับการ์ดใบนั้น “จดหมายนี้เมื่อวานคุณเคยส่งมาแล้วหนึ่งฉบับ ทำไมประธานจ้าวถึงมาส่งเองกับมืออีกฉบับล่ะครับ รีบร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ ดูไม่ใช่แนวของชิงฉวีแคปิตอลเลยนะครับ กระบวนการตรวจสอบและสอบถามก็ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองสัปดาห์”
จ้าวเยียนชิงยิ้มเอ่ย “ผมไม่ได้ใจร้อนหรอกครับ แต่เมื่อวานไม่ได้รับจดหมายตอบกลับ กลัวว่าคุณจะไม่รู้ถึงความตั้งใจของผม…บริษัทของเราก็เลยมาหาด้วยตัวเอง”
หมิงเยี่ยนเหลือบสายตาขึ้น สายตาคมกริบขึ้นมาในฉับพลัน
ปัง!
ประตูห้องประชุมพลันถูกกระแทกเปิดอย่างแรงจนกระแทกผนังแล้วก็เด้งกลับมา ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแสบหู
ทั้งคู่หันไป แล้วก็เห็นลู่อวี๋เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร เขามองสถานการณ์ภายในห้องแล้วเปลี่ยนไปมีท่าทีสบายๆ
ลู่อวี๋เดินมาหยุดตรงด้านหลังหมิงเยี่ยน สองแขนคร่อมอีกฝ่ายแล้วยันมือกับโต๊ะประชุม ดูเหมือนจะวางคางตัวเองกลางหัวหมิงเยี่ยนอย่างไรอย่างนั้น เขายิ้มตาหยีพลางพูด “วันนี้เป็นวันประชุมภายในของพวกเรา รบกวนประธานซีเหมินย้ายไปนั่งรอที่ห้องรับรองข้างๆ สักครู่นะครับ”
“เหอะๆ” จ้าวเยียนชิงปรายตามองลู่อวี๋ ก่อนลุกขึ้นยิ้มเย็นยะเยือก พอยกเท้าก้าวจากไป เดินได้สองก้าวก็พลันรู้สึกแปลกๆ “เดี๋ยวนะ ใครคือประธานซีเหมิน”
* ‘นกกระจอกนอกหน้าต่าง ส่งเสียงร้องจอแจบนสายไฟ’ เป็นเนื้อร้องจากเพลง 七里香 (Orange Jasmine) ของศิลปิน Jay Chou
* ชาวนาฟาร์มโค้ด หมายถึงโปรแกรมเมอร์
** 996 หมายถึงการทำงานตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 21.00 น. เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์
*** 007 หมายถึงการทำงานตั้งแต่เวลา 00.00 น. – 00.00 น. ตลอด 7 วันต่อสัปดาห์
**** ซีเหมินชิ่ง คือตัวละครจากนิยายจีนโบราณเรื่องบุปผาในกุณฑีทอง ตัวละครนี้เป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งและเป็นที่รู้จักจากพฤติกรรมเจ้าชู้และเสเพล
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.