X
    Categories: everYตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามีทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง  ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1

ผู้เขียน :  ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)

แปลโดย :  qMondae

ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 9

หนี้สิน

 

ไม่รอให้จ้าวเยียนชิงเข้าใจ เลขาฯ กับหยางเฉินก็มารับช่วงต่อ ดันตัวเขาออกจากห้องประชุมไป

เขาเพียงรู้สึกเหมือนมีลมโบกผ่าน ตามองประตูใหญ่ของห้องประชุมปิดดัง ‘ปัง’ จนเมื่อสติกลับมาตัวก็อยู่นอกห้องไปแล้ว

“ประธานจ้าว เชิญทางนี้ครับ” น้องชายเลขาฯ รักษาองศารอยยิ้มได้อย่างสมบูรณ์แบบ เชิญประธานจ้าวไปยังห้องรับรอง

เลขาฯ ดูท่าทางอย่างกับหุ่นยนต์ ทำอะไรก็เพอร์เฟ็กต์ไปหมดทุกสิ่ง ประหนึ่งว่าคำนวณมาแล้วทุกองศา เขารินน้ำชาให้จ้าวเยียนชิงแล้วก็ยกของว่างมาให้หนึ่งจาน ก่อนเอ่ยแนะนำอย่างใส่ใจ “ผมถามผู้ติดตามของคุณแล้ว คุณชอบกาแฟบลูเมาน์เทนอุณหภูมิหกสิบองศาเซลเซียสและบิสกิตแบบเค็ม บริษัทของเราไม่มีกาแฟบลูเมาน์เทน มีแต่เมล็ดกาแฟทั่วไป ทว่าก็รักษาอุณหภูมิไว้ที่หกสิบองศาครับ รบกวนดื่มแทนไปก่อนนะครับ”

จ้าวเยียนชิงยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มหนึ่งอึก ก่อนพยักหน้าแบบนับว่าพึงพอใจ “เมื่อกี้ประธานลู่ของพวกนายเรียกฉันว่าประธานซีเหมินใช่หรือเปล่า เขาหมายความว่าไง” เขารู้สึกว่าคำนี้ไม่ได้หมายถึงอะไรดีๆ แน่

เลขาฯ หน้าไม่เปลี่ยนสี องศามุมปากไม่มีความเปลี่ยนแปลง “ได้ยินผิดแล้วล่ะครับ เขาบอกให้คุณไปทางประตูตะวันตก*

จ้าวเยียนชิงไล่สายตามองเลขาฯ ตัวน้อยหัวจรดเท้า เห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตาสมส่วนดูดี สุภาพเรียบร้อย “…หัวไวดีนี่ ชื่ออะไรล่ะ”

“คุณเรียกผมว่าเสี่ยวเจียงก็ได้ครับ”

ประธานจ้าวดื่มกาแฟอีกหนึ่งคำ “ไม่สนใจมาทำงานที่ชิงฉวีแคปิตอลเหรอ ฉันจะให้เงินเดือนเยอะกว่าที่นี่หนึ่งจุดห้าเท่าเลย แถมยังได้ทำโปรเจ็กต์ด้วย เป็นไง”

เลขาฯ เสี่ยวเจียงดันแว่นพลางลุกขึ้นยืนช้าๆ “ขอบคุณสำหรับความกรุณาครับประธานจ้าว แต่ว่าผมเป็นคนของประธานเสิ่น ผมจะไม่ไปจากที่นี่ครับ”

“หืม?” จ้าวเยียนชิงอึ้ง เขาไม่เคยเห็นแซ่เสิ่นในรายชื่อบอร์ดบริหารระดับสูงของเฉินอวี๋เลย แล้วประธานเสิ่นนี่โผล่มาจากไหนกัน

 

อีกฝั่ง ในห้องประชุม

สิ่งที่เรียกว่าประชุมหารือเรื่องการระดมทุนนั่น ตอนนี้ก็มีแค่พวกเขาสามคนเท่านั้นที่เข้าร่วมประชุม

ลู่อวี๋ยังคงทำท่าเหมือนเดิม เกาะพนักพิงแล้วบ่นอุบ “เจ้าคนแซ่จ้าวนี่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนดี”

“นั่นสิ” เหล่าหยางเห็นด้วย

หมิงเยี่ยนตบๆ แขนของลู่อวี๋ออก บอกให้เขาไปนั่งดีๆ “ยังไงเขาก็เป็นเสาทองคำของสถาบันการเงิน พวกนายต้องเกรงใจเขาหน่อย”

ลู่อวี๋เอาแขนออกอย่างไม่เต็มใจ แล้วทรุดนั่งลงข้างหมิงเยี่ยน หยิบจดหมายสอบถามบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน พอได้เห็นเนื้อหาในนั้นชัดเจนสีหน้าก็ย่ำแย่ขึ้นมาทันใด “พี่จะหย่ากับผมเพราะไอ้นี่น่ะเหรอ”

“พวกเราจำเป็นต้องมีเงินก้อนนี้” หมิงเยี่ยนไม่ปฏิเสธ เพียงสั่งให้สมองอัจฉริยะฉายตารางการเงินออกมา “เครื่องจำลองที่นายทำใช้เงินทุนเยอะมาก พวกเรากู้เงินมาแล้ว แถมยังออกหุ้นกู้ของบริษัทด้วย”

สมองอัจฉริยะวงสีแดงที่คอลัมน์เงินกู้กับหนี้สินบริษัทโดยอัตโนมัติ แล้วก็วงช่องกำไรรายเดือนกับเงินฝากด้วยสีน้ำเงิน

หลังจากวงเสร็จ ไม่รอให้หมิงเยี่ยนเอ่ยปาก เจ้าสมองอัจฉริยะเสี่ยวไป๋ก็แสดงผลการคำนวณอย่างละเอียดตรงพื้นที่ว่างข้างๆ อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ และส่งเสียงของเสิ่นไป๋สุ่ยออกมา “จากการคำนวณ กำไรของเดือนนี้ยังคงเพียงพอที่จะชำระเงินกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนนี้ได้ แต่ถ้าหากว่ากำไรของทุกเดือนไม่เพิ่มขึ้น ด้วยสถานะทางการเงินในตอนนี้จะไม่สามารถใช้หนี้บริษัทที่จะครบกำหนดในอีกสามเดือนข้างหน้าได้”

ลู่อวี๋สูดลมหายใจ อยากจะหยุดการโชว์สกิลอย่างอิสระของลูกคนรองมาก เขาเหลือบสายตาขึ้นมองเหล่าหยางที่สีหน้ายังคงเหมือนเดิม แล้วปิดปากอย่างสงบใจ

เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าข้อมูลดั้งเดิมของลู่ตงตงกับเสิ่นไป๋สุ่ยก็เป็นเหล่าหยางนี่แหละที่ปั้นขึ้นมากับมือ อีกฝ่ายย่อมเข้าใจถึงความแตกต่างที่ไม่เหมือนสมองอัจฉริยะตัวอื่นของเด็กสองคนนี้ดี

“ถ้าเกิดว่าครบกำหนดชำระแล้วเรายังได้เงินไม่พอ ก็จะตกอยู่ในวิกฤตหนี้สิน เครดิตของบริษัทต้องเจ๊งแน่” มือของหมิงเยี่ยนที่วางทับกันอยู่บนโต๊ะกำแน่น “และชิงฉวีแคปิตอลก็เป็นกลุ่มสถาบันการเงินเดียวที่ยื่นกิ่งมะกอก* มาให้เรา”

ในห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบชั่วคราว

ลู่อวี๋ใช้สองนิ้วคีบจดหมายสอบถามใบนั้น “แล้วตอนนี้พวกเขาคิดอะไรอยู่ อยากให้พวกเราหย่ากัน?”

หยางเฉินเอื้อมมือไปหยิบจดหมายมาอ่าน “ก็แค่ถามแหละมั้ง ไม่ได้บอกนี่ว่าถ้าพวกนายไม่หย่าก็จะไม่ช่วยลงทุน”

หมิงเยี่ยนวิเคราะห์อย่างสงบ “ในเมื่อฝั่งผู้ลงทุนต้องการให้ไม่มีผู้ตัดสินใจร่วมกัน การหย่าก็น่าจะเซฟกว่าอยู่แล้ว”

“ฉันไม่เห็นด้วย! ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าสามีภรรยาจะทำงานบริษัทเดียวกันไม่ได้ เมียของเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเขาด้วยซ้ำ” ลู่อวี๋พูดแล้วก็เลือดขึ้นหน้า ชี้ไปทางห้องรับรองแล้วอ้าปากด่ากราด “ฉันว่าไอ้เจ้าซีเหมินชิ่งนั่นใช้อำนาจในทางที่มิชอบ!”

หมิงเยี่ยนกำมือซ้ายแน่นจนปลายนิ้วเป็นสีขาว พูดขึ้นเสียงเล็กน้อย “เราแต่งงานกันด้วยเหตุผลทางธุรกิจ งั้นตอนนี้ถ้าหย่ากันเพื่อเหตุผลทางธุรกิจจะมีปัญหาอะไร แถมตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกว่าสามปี ตอนนี้ก็ใกล้จะครบกำหนดแล้ว”

“ถ้าครบกำหนดแล้วพี่อยากหย่าเราก็มาปรึกษากันใหม่ได้ แต่จะหย่าเพราะถูกเขาขู่ไม่ได้ มันเป็นเรื่องของหลักการ!” ลู่อวี๋โมโหจนเส้นเลือดคอปูด ชี้จดหมายสอบถามฉบับนั้น “วันนี้เขาใช้มันทำให้เราสองคนหย่ากันได้ พรุ่งนี้ก็ทำให้พี่แต่งกับเขาได้ มะรืนก็ทำให้เหล่าหยางคลอดลูกให้เขาได้!”

เหล่าหยางที่กำลังเหม่อสะดุ้งโหยง “มะ…ไม่ค่อยเหมาะมั้ง”

ลู่อวี๋สูดหายใจเข้าลึกๆ ถูกเจ้าซีเหมินชิงเอาเงินฟาดหัวขู่ให้หย่าเนี่ยนะ เรื่องแบบนี้มันน่าน้อยใจมากจริงๆ “นอกจากเรื่องเงินทุนแล้ว พวกเรายังมีวิธีอื่นอีกหรือเปล่า”

หยางเฉินพยักหน้า “มีสิ อีกหนึ่งอาทิตย์จะมีไลฟ์ถ่ายทอดสดปรับแก้สินค้าใหม่ ถ้าโปรโมตสินค้าใหม่สำเร็จ พวกเราก็อาจจะได้กำไรสูงพอใช้หนี้ได้”

ในตอนนั้นเองสมองอัจฉริยะของหมิงเยี่ยนก็อดพูดแทรกไม่ได้ “จากการคำนวณของฉัน ขอแค่ยอดขายของน้องสามสูงถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของฉันก็สามารถใช้หนี้ที่จะครบกำหนดในอีกสามเดือนได้ แต่ว่านะ เขาเป็นคนยุคโบราณ แล้วยังซื่อบื้อน่ารำคาญ อาจจะขายไม่ดีก็ได้”

ประโยคสุดท้ายเป็นคำพูดของเสิ่นไป๋สุ่ยเอง ไม่มีค่าพอให้ใช้อ้างอิงได้จริง

ลู่อวี๋ตบมือ “ก็แค่นั้นเองนี่ ไป พวกเราไปดูเครื่องจำลองกัน”

หมิงเยี่ยนไม่พูดอะไรอีก ได้แต่เดินตามสองหนุ่มที่ดีอกดีใจออกไปข้างนอกเงียบๆ

เครื่องจำลองที่ว่า ชื่อเต็มของมันคือเครื่องจำลองโลกนวนิยายแบบโฮโลแกรม…รุ่นเฉินอวี๋สเปเชียลอีดิชั่น ทั้งโลกมีแค่เครื่องนี้เครื่องเดียวเท่านั้น ลู่ต้าอวี๋ไปสั่งทำมันกับบริษัทเกมโฮโลกราฟีขั้นสูงจากต่างประเทศ แล้วก็ผ่านการปรับแต่งใหม่อย่างทรงพลังดั่งม้าสวรรค์ทะยานฟ้าจากเขากับหยางเฉิน

ตั้งแต่ที่สมองอัจฉริยะออกมาเปิดตัวต่อชาวโลก ‘โฮโลแกรม’ ที่เห็นได้บ่อยในผลงานแฟนตาซี sci-fi เองก็ถือกำเนิดขึ้นมาตามกัน สามารถทำให้ผู้คนเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมเสมือนจริงนั้นด้วยตัวเองได้ พร้อมรับสัมผัสจากทุกด้าน ไม่ว่าจะการมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น หรือการสัมผัส เพียงแต่ว่าปัจจุบันนี้อุปกรณ์ของเกมโฮโลแกรมยังแพงอยู่มาก มันฮิตอยู่แค่ในกลุ่มเล็กๆ ของเหล่าคนรวยเท่านั้น

“โฮโลแกรมสินะ” ลู่อวี๋ฟังหมิงเยี่ยนกระซิบอธิบายให้เขาฟัง แล้วก็ค่อนข้างตั้งตารอเลยทีเดียว “ลู่ต้าอวี๋ซื้อแคปซูลเกมมิ่งโฮโลแกรมมาปรับแต่งเยอะมากเลยเหรอ” ถ้าเกิดซื้อแค่เครื่องเดียวก็ไม่น่าจะใช้เงินเยอะขนาดนั้น

หมิงเยี่ยนมองเขาด้วยสายตามีความหมายลึกซึ้ง “เขาซื้อเซิร์ฟเวอร์มาทั้งชุด”

เท่ากับว่าขนบริษัทเกมบริษัทหนึ่งกลับมา สุดยอดของสุดยอดเผาผลาญเงิน

“…” ลู่อวี๋มองเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่ครองพื้นที่ไปทั้งชั้นตรงหน้านี้ ริมฝีปากสั่นระริก พูดอะไรไม่ออกทั้งนั้น

มิน่าล่ะ ทำไมถึงติดหนี้ก้อนโตขนาดนั้น!

และในฐานะที่เป็นผู้ลงทุนในอนาคต ประธานจ้าวเองก็โชคดีได้มาเข้าชมที่นี่ด้วย

หยางเฉินเอ่ยแนะนำความสามารถของเครื่องจำลองนี้อย่างง่ายๆ “พูดง่ายๆ ก็คือเราสามารถจำลองโลกในนิยายออกมาได้ โดยการสร้างเป็นภาพโฮโลแกรม ถ้าใช้ควบคู่กับแคปซูลเกมมิ่งก็สามารถมีปฏิสัมพันธ์หรือพูดคุยกับตัวละครในนิยายได้”

“พวกคุณผลาญเงินไปมากมายเพื่อสิ่งนี้น่ะเหรอ” จ้าวเยียนชิงในฐานะที่เป็นคนนอกวงการที่ทำงานด้านการเงินคนหนึ่งไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก

“เดี๋ยวสักพักเปิดเครื่องให้ดูคุณก็จะเข้าใจเอง มันคุ้มค่าแน่นอน” เหล่าหยางตื่นเต้นมาก เขามองเซิร์ฟเวอร์ที่เหมือนสัตว์ประหลาดยักษ์พวกนี้ราวกับมองยอดคนงามแห่งใต้หล้าอะไรทำนองนั้น

พอได้ดูเซิร์ฟเวอร์แล้วทุกคนก็มายังห้องปฏิบัติการ ที่นี่ต่างจากห้องเครื่องที่มืดทึบเงียบสงัดมาก มันสว่างจ้าและประณีต ในห้องปูพรมหนา จัดวางแคปซูลรูปทรงไข่หลายเครื่อง โครงสร้างโค้งมนลู่ลม เปี่ยมล้นด้วยความล้ำยุค

เมื่อได้เห็นสิ่งนี้จ้าวเยียนชิงก็เริ่มสนอกสนใจ “เดี๋ยวผมเข้าไปลองด้วยสักหน่อย”

เหล่าหยางมองเขาด้วยสายตารังเกียจ “ได้ๆๆ อย่าเสียใจทีหลังแล้วกันครับ”

“ประธานหยางของพวกเราต้องการจะสื่อว่าเครื่องจำลองทำงานร่วมกับแคปซูลเกมมิ่งทำให้อาจจะมีการสะเทือนจิตใจนิดหน่อย หวังว่าคุณจะเตรียมใจให้พร้อมครับ” เสี่ยวเจียงแปลความหมายให้อย่างใส่ใจ

จ้าวเยียนชิงได้ฟังแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมา เขาเหลือบมองรายชื่อผู้บริหารระดับสูงอีกครั้ง หลังมั่นใจว่าไม่มีประธานเสิ่นที่ว่านั่นก็ปักใจไปแล้วว่าเสี่ยวเจียงแค่หาข้ออ้างปฏิเสธเขา เขาจึงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่ารอเข้าชมเสร็จจะขอดึงตัวเสี่ยวเจียงไปทำงานด้วยกับหมิงเยี่ยนตรงๆ

ขณะกำลังคิดแบบนั้นเขาก็ขยับเข้าใกล้หมิงเยี่ยน “ประธานหมิงช่วยนั่งใกล้กับผมหน่อยได้ไหมครับ”

ลู่อวี๋เข่นเขี้ยว ยกเท้าขึ้นหมายจะเข้าไปต่อยคน แต่ก็ถูกหยางเฉินรั้งไว้ “อย่าใจร้อน เดี๋ยวค่อยเข้าไปต่อยในนิยาย ฉันเลือกโลกของตงตงไว้ เอาให้มันฉี่ราดไปเลย!”

ลู่อวี๋เหลือบมองหน้าจอ

 

‘กำลังดาวน์โหลดโลก เงือกจอมราชัน…’

 

ลู่อวี๋ยื่นมือไปคว้าหลังคอเสื้อซีเหมินชิงที่จะเข้าไปเกาะแกะหมิงเยี่ยน “คุณไปนั่งข้างเหล่าหยางครับ”

หยางเฉินลงไปนั่งที่เครื่องข้างๆ ประธานจ้าวอย่างกระตือรือร้น แล้วคาดเข็มขัดนิรภัยให้อีกฝ่ายด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์โดยไม่รอฟังคำอธิบายใดๆ “เรานั่งด้วยกันดีกว่า ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับเจ้าเครื่องนี้ จะได้ดูแลคุณได้”

ว่าจบเหล่าหยางก็ลุกขึ้นติดตั้งอุปกรณ์ให้หมิงเยี่ยนกับลู่อวี๋ แล้วก็นั่งกลับลงไป หยิบหมวกกันน็อกโฮโลแกรมขึ้นมาเตรียมจะสวมใส่ พลันนึกอะไรขึ้นได้ก็วางมันลง แล้วเอื้อมตัวเข้าไปกระซิบกับประธานจ้าว

“คือว่า ผมหัวล้านกรรมพันธุ์นะครับ มันส่งต่อไปถึงรุ่นลูกได้”

ประธานจ้าวไม่ค่อยเข้าใจนัก “พูดเรื่องนี้กับผมทำไมครับ”

เหล่าหยาง “แค่กๆ ไม่มีอะไร แค่ฉีดวัคซีนกันไว้ก่อน คุณรู้ไว้ก็พอแล้วครับ”

ประธานจ้าว “???”

 

* ‘ไปทางประตูตะวันตก’ ออกเสียงว่า ‘ซีเหมินโจ่ว’ (西门走) ซึ่งคล้ายกับคำว่า ‘ซีเหมินจ่ง’ (西门总) ที่หมายถึงประธานซีเหมิน

* ยื่นกิ่งมะกอก หมายถึงการแสดงความพร้อมที่จะเจรจาหรือสมานฉันท์

บทที่ 10

ราชันเงือก

 

ลู่อวี๋เข้าไปนอนในแคปซูลเกมมิ่ง มองซ้ายแลขวาด้วยความสนอกสนใจ

ภายในแคปซูลเกมมิ่งมีองค์ประกอบคล้ายๆ เก้าอี้นวด มีวัสดุพิเศษที่เหมือนจะเป็นโฟมแข็ง สามารถโอบล้อมคนได้ทั้งตัว

เกมโฮโลแกรมในปัจจุบันนี้อาศัยการเชื่อมต่อผ่านชิปสมองอัจฉริยะที่ฝังอยู่ในสมอง แต่เพื่อความปลอดภัยเป็นสำคัญ ชิปนี้จะไม่สามารถถ่ายทอดประสาทสัมผัสทั้งห้าได้โดยตรง ดังนั้นจึงต้องพึ่งแคปซูลเกมมิ่งกับหมวกกันน็อกมาช่วยเสริมการรับรู้ภายนอก

“ทำไมเลือกโลกของตงตงล่ะ” หมิงเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ถามเหล่าหยางที่กำลังตรวจสอบอุปกรณ์เบาๆ

“แค่เข้าไปดูเฉยๆ ไม่มีการสำรวจลงลึก” เหล่าหยางเอ่ยปลอบหมิงเยี่ยนแล้วหันไปล็อกเข็มขัดนิรภัยให้ลู่อวี๋

ลู่อวี๋เห็นหมิงเยี่ยนกำลังปรับลมหายใจ เผยอาการตื่นเต้นออกมาชัดเจน จึงเกาะแคปซูลเกมมิ่งตะโกนบอกเขา “ไม่ต้องกลัว สามีจะปกป้องพี่เอง”

หมิงเยี่ยนลืมตาขึ้นมองศีรษะทุยกับสองอุ้งมือที่โผล่ออกมาจากขอบค็อกพิทแคปซูล อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น แล้วรีบปั้นหน้าตึงอย่างรวดเร็ว “พูดเพ้อเจ้ออะไร รีบนั่งลง เดี๋ยวจะเริ่มแล้ว”

พอถูกลู่เสี่ยวอวี๋ปั่นป่วน ความตื่นเต้นก็หายไป เขาแค่มีปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติกับมันนิดหน่อยเพราะมาตรการความปลอดภัยของแคปซูลเกมมิ่งเหมือนกับรถไฟเหาะเกินไป

หยางเฉินเห็นพวกเขาสองคนแล้วก็แสยะยิ้มด้วยความหมั่นไส้ ดึงสายรัดลู่อวี๋สุดแรง

“เชี่ยเอ๊ย พนักงานดูแลความปลอดภัยที่นี่เป็นอะไรของมัน คิดจะลอบฆ่าลูกค้าเหรอ ฉันจะฟ้องร้องนาย” ลู่อวี๋ยกเท้าขึ้นถีบเขา

เหล่าหยางเอี้ยวตัวหลบ “ว้าย ถีบก็ไม่โดน”

ไม่รอให้ลู่อวี๋ออกอีกกระบวนท่า ฝากระจกของแคปซูลเกมมิ่งก็พับลง เสียงแจ้งเตือนของเครื่องยนต์พลันดังขึ้น

ระดับออกซิเจนและระดับอุณหภูมิภายในเครื่องปกติ หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน กรุณากดปุ่มสีแดงทางซ้ายมือเพื่อบังคับเปิดฝาแคปซูล

ลู่อวี๋ล็อกหน้ากากตัดแสงของหมวกกันน็อก หลังจากเสียงแจ้งเตือน ‘ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด’ ดังขึ้นสามครั้ง ภาพตรงหน้าก็พลันเกิดความเปลี่ยนแปลง

ในความมืดสนิทที่ยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้ว ปรากฏตัวอักษรฟอนต์ Simsun ตัวใหญ่ๆ

 

‘เงือกจอมราชันบทที่ 1250 ตอนพิเศษ เยือนเมืองเก่าอีกครั้ง’

 

จากนั้นไฟก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมาเหมือนในโรงหนัง แสงเรืองรองส่องสว่างในห้องล็อบบี้

“หน้าต้อนรับเข้าสู่โลกมันลวกเกินไปแล้วเฟ้ย อย่างกับดึงข้อมูลจากหน้าเว็บนิยายมาโต้งๆ อย่างนั้นแหละ” ลู่อวี๋เห็นแล้วมุมปากกระตุก มันไม่ดึงดูดเลยสักนิด ไม่เหมือนกับภาพที่เขาคิดไว้เลย แถมทำไมถึงมาโผล่ตอนที่พันสองร้อยห้าสิบเลยล่ะ

“อันนี้เอามาใช้ทดสอบน่ะ เอาตอนพิเศษมาใช้สองสามตอน” เสียงของเหล่าหยางดังขึ้นในห้องล็อบบี้ ไม่นานนักเหล่าหยางที่ถูกสร้างขึ้นด้วยระบบจำลองก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าลู่อวี๋ “ข้อมูลของตงตงตั้งค่าไว้สมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นอีก”

ขณะกำลังพูด ฝั่งหมิงเยี่ยนกับจ้าวเยียนชิงก็เข้ามาแล้วเช่นกัน ลู่อวี๋รีบเดินเข้าไปอยู่ข้างๆ หมิงเยี่ยนแล้วเดินวนรอบเขาหนึ่งที “ดูดีจริงๆ”

ตัวละครที่ระบบสร้างขึ้นมาใหม่จะเหมือนร่างจริงของผู้ใช้งานแปดในสิบส่วน เพียงแต่จะค่อนข้างเหมือนตัวละครในการ์ตูนแอนิเมชั่นสามมิติมากกว่า มีความแตกต่างจากคนจริงๆ ในระดับหนึ่ง องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าของหมิงเยี่ยนมีมิติแต่เดิมอยู่แล้ว หลังจากสร้างโมเดลขึ้นใหม่ก็ยังคงเห็นชัดเจนกว่าเดิม อย่างกับตัวละครที่นักวาดตัวละครในเกมระดับสูงวาดออกมาเลย งดงามจนน่าเหลือเชื่อ

หมิงเยี่ยนเองก็เงยหน้าขึ้นมองลู่อวี๋ แล้วก็เห็นเขาวนมาซ้ายย้ายไปขวาอยู่รอบตัวเองอย่างกับ NPC* จึงคว้าข้อมือเขาอย่างหน่ายใจ “ยืนดีๆ จะเริ่มแล้ว”

ลู่อวี๋ในระบบไม่มีขอบตาที่ดำคล้ำแล้ว เนื้อแก้มที่ห้อยนิดๆ ก็กลับมาเต่งตึง กอปรกับดวงตามีชีวิตชีวาคู่นั้นของเขา เป็นใบหน้าของเขาในวัยสิบแปดจริงๆ เมื่ออยู่กับลู่เสี่ยวอวี๋ในวัยสิบแปด หมิงเยี่ยนก็มักจะมีน้ำอดน้ำทนเพิ่มขึ้นมา

ประธานจ้าวกำลังตื่นตาตื่นใจกับร่างโมเดลใหม่ของตัวเอง ฝั่งเหล่าหยางก็เลือกให้ระบบสวมวิกให้เสร็จแล้ว เขาตะโกน “ออกเดินทาง!”

ภาพตรงหน้าของทุกคนเป็นลายพร้อย จากนั้นก็มายืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองหนึ่ง

ท้องฟ้าหม่นหมองไม่เห็นนกโบยบิน เมืองหลวงในยุคปัจจุบันที่มีตึกตั้งสูงตระหง่านเหมือนป่าประดุจภาพเก่าสีซีดเหลือง ทับด้วยฟิลเตอร์สีเหลืองแห้งแล้ง ตึกสูงที่ถล่มไปแล้วเกินครึ่ง ตามท้องถนนและร้านค้าไม่เห็นเงามนุษย์ มีเพียงทะเลสาบเทียมข้างๆ เท่านั้นที่ใสจนเห็นก้นทะเลสาบ ระลอกคลื่นกระเพื่อม บ่งบอกถึงความมีชีวิต

ลู่อวี๋เองก็ไม่รู้ว่ากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร ตอนเขาข้ามเวลามาก็ยังเขียน ‘เงือกจอมราชัน’ ไม่จบ ย่อมไม่รู้เนื้อเรื่องในส่วนตอนพิเศษ แต่ในเมื่อเป็นโลกของลู่ตงตงก็ย่อมไม่มีทางสงบสุขแน่นอน เขายื่นมือโอบแผ่นหลังของหมิงเยี่ยนแบบเว้นระยะห่าง มองซ้ายแลขวา “ระวัง…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ผืนแผ่นดินก็ส่งเสียงครืนๆ แล้วพลันแยกตัว พื้นสั่นไหวภูเขาสะเทือน สัตว์ประหลาดสี่ตาแปดขาตัวหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากรอยแยก กระโจนเข้าใส่เหล่าหยางกับประธานจ้าว

“เชี่ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…” หยางเฉินสบถคำหยาบเสียไม่เป็นภาษา ส่วนประธานจ้าวตกใจจนหน้าซีดเผือด ตัวแข็งค้าง

ลู่อวี๋กระโดดไกลเข้าไปหา อ้าแขนสองข้างกดตัวทั้งสองล้มลง แล้วถึงหลบพ้นก้ามของสัตว์ประหลาดที่ยื่นเข้ามาได้อย่างหวุดหวิด ก้ามอันแหลมคมของมันแทงเข้าไปในพื้นโคลนลึกถึงสองเมตร ถ้าโดนประธานจ้าวขึ้นมา เขามีหวังได้เด้งออกจากเกมทันทีแน่

“พวกนายมีไหวพริบกันหน่อยสิ” ลู่อวี๋ตะโกนเตือนสติทั้งสอง ไม่แม้แต่จะช่วยดึงผู้ลงทุนผู้สูงส่งให้ลุกขึ้นมา พอตัวเองลุกขึ้นได้ก็วิ่งไปทางหมิงเยี่ยนด้วยกลัวว่าสัตว์ประหลาดจะย้อนกลับมาทำร้ายอีกฝ่าย

หยางเฉินกลิ้งขลุกๆ คลานลุกขึ้น แล้วก็ดึงตัวประธานจ้าววิ่งไปทางฝั่งหมิงเยี่ยนด้วย

“อย่าวิ่งไปทั่ว” จ้าวเยียนชิงหลบไม่ทัน ถูกเหล่าหยางลากคอวิ่งไปตลอดทาง

“ต้องตามติดพวกเขาสองคนไว้ พวกเราไม่มีอาวุธ!” หยางเฉินวิ่งพลางพูด

ลู่อวี๋วิ่งมาถึงตัวหมิงเยี่ยนได้แล้วก็เอามือยันเข่าหอบหายใจรัวๆ “เชี่ยเอ๊ย ร่างกายนี้ปวกเปียกเกินไปแล้ว วิ่งแค่สองก้าวก็หอบกิน…”

พูดยังไม่ทันจบประโยคสัตว์ประหลาดก็พลันหันกลับมาส่งเสียงกรีดร้องหวีดแหลม แล้วพ่นลูกไฟสูงเสียดฟ้ามาทางพวกเขา

“อ๊ากกกก!” เหล่าหยางกับประธานจ้าวรีบสาวเท้ากระโจนไปที่ขาหมิงเยี่ยน

หมิงเยี่ยนยกแขนขึ้น ฝ่ามือขวาปรากฏแสงเรืองรอง แล้วจู่ๆ ดินสอสีขาวนวลใสดุจหยกแท่งหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา เขารังสรรค์ผลงานกลางอากาศอย่างไม่ชินมือนัก วาดกำแพงโปร่งใสออกมาอย่างรวดเร็ว

ตู้ม! ลูกไฟชนเข้ากับกำแพง ไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาได้

สัตว์ประหลาดส่งเสียงร้องอย่างไม่ยอมแพ้ มันพ่นลูกไฟออกมาลูกใหญ่กว่าเดิม

“เจ้านี่โง่นิดหน่อย มันอ้อมไม่เป็น” เหล่าหยางหมอบลงพื้น พอเห็นโอกาสก็แวะแขวะไปหนึ่งที

“นี่มันอะไรเนี่ย!” ประธานจ้าวคลานลุกขึ้นหน้าตามอมแมม สติแตกสุดๆ

ลู่อวี๋กลับตาเป็นประกาย “นี่มันอะไรเนี่ย”

หมิงเยี่ยนแบมือให้เขาดูดินสอในมือ “ทั้งหมดนี่เป็นการตั้งค่าของนาย เอ่อ…ลู่ต้าอวี๋น่ะ เขาสร้าง ‘พู่กันของหม่าเหลียง’* สามารถปรับแต่ง วาดรูปเพิ่มในนี้ได้อย่างอิสระ”

ขณะกำลังพูดลูกไฟก็เผากำแพงล่องหนจนทะลุ หมิงเยี่ยนจึงรีบวาดเพิ่มอีกหนึ่งชั้น ทว่าลูกไฟก็ถูกพ่นออกมาอย่างรวดเร็ว คิดว่ากำแพงยื้อได้ไม่นานนัก

“ฉันไม่รู้ว่าเขาตั้งค่าอะไรไว้ให้ตัวเอง” หมิงเยี่ยนวาดพลางพูดไปด้วย “กำแพงนี่พังเร็วเกินกว่าฉันจะวาดซ่อมได้แล้ว รีบเข้ามาใกล้ๆ ฉัน!”

ทั้งสามเข้าไปเกาะอยู่กับหมิงเยี่ยนที่กำลังก้มหน้าวาดบางอย่างใต้เท้า

ลู่อวี๋ครุ่นคิด “ผมคิดว่าผมรู้ว่าลู่ต้าอวี๋จะตั้งค่าอะไรไว้ในนี้” เขาลุกขึ้น ยกมือ แล้วฟาดฝ่ามือลงไปพลางตะโกนกร้าว “คีย์บอร์ดจงมา!”

ลำแสงสายหนึ่งพุ่งเข้ามา ก่อร่างเป็นคีย์บอร์ดสีดำใต้ฝ่ามือของเขา

หมิงเยี่ยน “…”

เหล่าหยาง “เบียวมาก”

ประธานจ้าว “สมองกลับหรือเปล่า”

โครม! ในเวลานั้นเปลวไฟก็เจาะทะลุกำแพง พุ่งปราดเข้าใส่ทุกคน

ลู่อวี๋สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังร้อนระอุ ไม่รอให้เขาตอบสนอง พรมวิเศษก็พลันปรากฏขึ้นมาใต้เท้า นั่นเป็นผลงานที่หมิงเยี่ยนเพิ่งจะจรดเส้นสุดท้ายเสร็จ

เขารีบพิมพ์คีย์บอร์ดด้วยความไวจี๋โดยไม่ต้องคิดว่า ‘พรมสามารถบินได้’

ฟ้าว! พรมวิเศษพุ่งเข้ามารับตัวพวกเขาสี่คนแล้วพุ่งออกไปปานลูกธนู

“อ๊ากกกก!” เหล่าหยางกับประธานจ้าวหวีดร้องออกมาอย่างคุมตัวเองไม่อยู่

หมิงเยี่ยนวาดเชือกเพิ่มให้พรมเพื่อให้ตัวเองได้จับไว้ มืออีกข้างก็ดึงเสื้อของลู่อวี๋ ขณะที่อีกสองคนที่เหลือก็ทำได้แค่จับพู่ตรงมุมสองฝั่งของพรมวิเศษ ทั้งหมดถูกพาบินฉิวด้วยความเร็วสูง โดยที่สัตว์ประหลาดก็กำลังไล่ตามพวกเขาอย่างบ้าคลั่งพร้อมพ่นลูกไฟออกมานับไม่ถ้วนประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่

หยางเฉินกรีดร้องแล้วตะโกนใส่หูลู่อวี๋ “อ๊ากกกก…ลู่อวี๋ ว้ากกกก…รีบๆ คิดวิธีจัดการมันที อะจ๊ากกกก…”

“โอ้ยๆๆ ฉันโดนเผาแล้ว!” ลูกไฟพุ่งเฉียดก้นประธานจ้าว ร้อนลวกเสียจนร้องกรี๊ด

ลู่อวี๋เคาะแป้นอย่างรวดเร็ว เขาพยายามลองหลายประโยค ทั้ง ‘สัตว์ประหลาดหายไป’ ‘ตึกถล่มลงมาขวางทางสัตว์ประหลาด’ แต่ก็ไร้ผล แต่เมื่อเขียนว่า ‘เชือกของหมิงเยี่ยนสามารถควบคุมพรมวิเศษได้’ กลับได้ผล และเขาก็พอจะคลำทางเจอวิธีการใช้งานคีย์บอร์ดนี่แล้ว มันจำเป็นต้องเพิ่มข้อความที่ตรรกะสมบูรณ์เข้าไปถึงจะได้ผล เหมือนกับการเพิ่มเนื้อเรื่องเข้าไปในนิยาย

ถ้าต้องการจะต่อกรกับสัตว์ประหลาดก็ควรต้องรู้ชื่อจริงๆ ของสัตว์ประหลาดตัวนี้ด้วย ต้องเจาะจงถึงมันตรงๆ ถึงจะได้ผล ทว่าลู่อวี๋ไม่รู้เลยว่ามันชื่ออะไร

เขากลั้นหายใจพลางรัวแป้นคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว

 

ครั้นลู่อวี๋พบกับอันตราย ราชันเงือกลู่ตงตงพลันปรากฏตัวออกมาได้ทันเวลาแล้วช่วยเหลือพวกลู่อวี๋ หมิงเยี่ยน และคนอื่นๆ ที่บังเอิญนั่งพรมบินผ่านมาไว้ได้’

 

เขาตบปุ่ม Enter แล้วพลันรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าห้องมิติรอบๆ ปรากฏคลื่นแปลกๆ

ซ่าาาา เสียงสายน้ำเสนาะหูดังขึ้นกลางอากาศ ห้วงมิติราวกับถูกฉีกเปิดทาง ก่อนจะมีน้ำพุใสกระจ่างหลั่งทะลักออกมาจากตรงนั้น สิ่งที่ตามเสียงน้ำพุมาด้วยก็คือชาวเงือกขนาดยักษ์ตนหนึ่ง

เงือกตนนั้นเปลือยท่อนบน กล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบถูกเรือนผมยาวสีฟ้าน้ำทะเลบดบัง หางสีไพลินที่สะท้อนแสงดังแสงดาวขยับแกว่งไกวช้าๆ อยู่ท่ามกลางกระแสน้ำที่อยู่กลางอากาศ ครีบหางที่เป็นเยื่อบางใสสะท้อนแสงอาทิตย์ปรากฏประกายเจ็ดสี งดงามจนไม่อาจชมได้หมด

เงือกหนุ่มถูกอัญเชิญออกมา เขาชะงักไปชั่ววินาที ครั้นเห็นสถานการณ์ตรงหน้าแจ่มแจ้งแล้วก็ยกมือขึ้นดีดนิ้วใส่สัตว์ประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์ที่กำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปหนึ่งที จากนั้นสัตว์ประหลาดก็แหลกเละเป็นเศษซากประหนึ่งอาหารที่ถูกจับเข้าเครื่องปั่น มอดไหม้แหลกสลายเป็นจุณ

พรมวิเศษร่อนลงพื้น ประธานจ้าววิ่งโซเซลงไปโก่งตัวนั่งอาเจียนข้างๆ

หยางเฉินนอนเกาะพรมอย่างห่อเหี่ยว นิ่งไม่ไหวติง

ลู่อวี๋รีบดึงหมิงเยี่ยนมาตรวจเช็ก “ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม”

หมิงเยี่ยนหน้าซีดเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ฉันแค่ไม่ค่อยถูกกับรถไฟเหาะ”

เงือกตัวยักษ์ย่อส่วนตัวเองให้ขนาดเท่ามนุษย์ก่อนค่อยๆ ลอยลงมาที่พื้น หางแปรเปลี่ยนเป็นขาสองข้าง เดินย่างก้าวมาทางนี้อย่างเชื่องช้า

ประธานจ้าวที่ปลดปล่อยออกไปเต็มที่แล้วลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นลู่ตงตงที่ดูไม่เหมือนมนุษย์ก็ร่นถอยหลังด้วยความกลัว

ลู่อวี๋รีบปิดตาหมิงเยี่ยนพลางตะโกนบอกลู่ตงตง “สวมเสื้อผ้าด้วย!”

ราชาเงือกคนงามชะงัก ไม่รู้ไปเอาเสื้อผ้าจากไหนออกมาสวม แล้วถึงวิ่งเตาะแตะเข้ามาหา ฉากเปิดตัวอันแสนลึกลับและงามสง่าเมื่อครู่นี้พริบตาก็ถูกทำลายไปหมดสิ้น

“ท่านพ่อ เข้ามาในโลกของผมได้ยังไงกันครับ” ลู่ตงตงถามพร้อมยิ้มตาหยี

“เข้ามาเดินเล่นนิดหน่อยน่ะ” ลู่อวี๋ไม่พูดอะไรมาก

ลู่ตงตงพยักหน้า ไม่ได้ถามกลับให้มากความ เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ที่นี่อันตรายมาก” จากนั้นก็เหลือบไปเห็นดินสอสีขาวในมือหมิงเยี่ยน เขาชะงักเบาๆ “ผมสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งจากดินสอแท่งนี้ มันสามารถสั่นสะเทือนกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ได้เลย”

ประธานจ้าวที่มองอยู่ข้างๆ ตกใจเนื้อเต้น “เขาจะฆ่าชิงทรัพย์หรือเปล่า หมิงเยี่ยน อย่าไปคุยกับเขานะ พวกเรารีบออกไปกันเถอะ!”

เงือกเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ผู้หล่อเหลางดงาม เขาจุดมุมปากยิ้ม ฉับพลันก็ยื่นมือที่ไว้เล็บยาวและแหลมคมไปตรงหน้าหมิงเยี่ยน

ราชันเงือกที่ยิ่งใหญ่และอันตราย ผู้ปกครองของโลกใบนี้ เอื้อนเอ่ยด้วยเสียงที่มีเสน่ห์ลึกลับดุจต้องมนตร์ “ปะป๊า ผมอยากได้แหวนไพลินสักวง ช่วยวาดให้ผมหน่อยสิ”

 

 

* NPC (Non-player character) หมายถึงตัวละครใดๆ ที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้เล่น

* มาจากนิทานจีนเรื่อง ‘พู่กันวิเศษของหม่าเหลียง’ เล่าถึงเด็กยากจนชื่อหม่าเหลียงที่ได้รับพู่กันวิเศษ เมื่อวาดสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นจริง

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: