ทดลองอ่านเรื่อง ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1
ผู้เขียน : ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11
คาดเดา
หมิงเยี่ยนยิ้มแล้วยื่นมือซ้ายออกไป “มาสิ”
ลู่ตงตงวางมือลงบนฝ่ามือหมิงเยี่ยนอย่างว่าง่าย เล็บของเขายังคงเป็นกรงเล็บแหลมคมเพราะเมื่อครู่เพิ่งใช้พลังไป ด้วยกลัวว่าจะทำร้ายหมิงเยี่ยนจึงกำมือแล้วเก็บเล็บกลับไป
ปลายนิ้วที่เมื่อกี้นี้ยังคมกริบดูอันตราย พริบตากลับกลายเป็นนิ้วที่ละมุนอ่อนโยน
หมิงเยี่ยนยกดินสอขึ้น ตวัดวาดเบาๆ บนนิ้วชี้เรียวยาวนิ้วนั้น “แหวนนี้ฉันออกแบบไว้ตอนที่ไปเรียนต่างประเทศ ตอนนั้นคิดไว้อยู่ว่าน่าจะวาดไว้บนรูปคอนเซ็ปต์อาร์ตของเธอ”
ประธานจ้าวหนังตากระตุกกึกๆ มองอยู่ข้างๆ มีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ประหลาดในโลกจำลองแถมยังคุยเสียจริงจังอีก หมิงเยี่ยนที่เป็นแบบนี้ดูแปลกตาหน่อยๆ
หยางเฉินเห็นท่าไม่ดีก็พยายามส่งซิกให้ลู่อวี๋สุดแรงเกิด ทว่าลู่อวี๋เอาแต่สนใจจ้องภรรยาที่กำลังวาดรูป ไม่ได้สนใจไยดีความเป็นความตายของเพื่อนเลย เหล่าหยางทำได้แค่หัวเราะแห้งอย่างแสนระอา “surprise! นี่คือช่วงพูดคุยกับตัวละครที่ผมตั้งค่าไว้ รู้สึกตกใจหรือเปล่า”
มุมปากประธานจ้าวกระตุก ขณะเดียวกันก็ผ่อนลมหายใจ “ตกใจ ตกใจมาก ถ้าคุณไม่บอกผมก็นึกว่าคนกระดาษมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ซะอีก”
ทั้งสามคนที่อยู่ตรงนั้นชะงักพร้อมกัน
ลู่อวี๋จู่ๆ ก็เหมือนเครื่องค้าง ค่อยๆ หันหน้า ‘กึกกึกกึก’ ไปทางเขา พูดน้ำเสียงอึมครึม “จะเป็นไปได้ยังไง ไม่แน่พวกเราสามคนอาจจะกลายเป็นคนกระดาษไปแล้วก็ได้”
“หา?!” จ้าวเยียนชิงตกใจตัวโยน
“พรืด…” เหล่าหยางอดไม่ได้หลุดขำพรืด ถองศอกใส่ลู่อวี๋พลางกระซิบ “แสบเหลือเกินนะนายน่ะ”
“ชิ วิกนายร่วงแล้ว” ลู่อวี๋หลุดหัวเราะ ก่อนจะหันไปหาหมิงเยี่ยน
“เชี่ย!” เหล่าหยางลูบหัวที่เย็นวาบป้อยๆ แล้วถึงเพิ่งสังเกตว่าวิกที่ระบบใส่ให้เขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ คงจะปลิวหายไปตอนนั่งพรมบิน “สมจริงเกินไปแล้วว้อย ทำไมวิกถึงหล่นได้ด้วยเนี่ย”
แหวนไพลินเส้นสุดท้ายถูกจรดลากสำเร็จแล้ว หมิงเยี่ยนหมุนปลายดินสอเล็กน้อย จุดลงที่รูปแหวนหนึ่งที อัญมณีลายเส้นดินสอสีขาวเทาพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นไพลินระยิบระยับใสกระจ่าง ถูกยึดเกาะแน่นหนาด้วยหนามเตยทองคำขาวแสนซับซ้อนงดงาม
หมิงเยี่ยนลูบแหวนวงนั้น แล้วก็วาดรูปเงือกง่ายๆ ตัวเล็กๆ ไว้ด้านในวงแหวน ก่อนจะสวมให้ลู่ตงตงใหม่อีกครั้ง
“สวยมากเลย!” ลู่ตงตงยกมือขึ้น ท้องฟ้าหม่นเทาไร้แสงอาทิตย์ เขาดีดนิ้วหนึ่งที เมฆครึ้มพลันถูกขับออกไป แสงท้องฟ้าสาดส่องทะลุริ้วเมฆลงมากระทบลงบนแหวนไพลินวงนั้น มันระยิบระยับพร่างพราว งดงามจนสรรหาคำมาชมไม่หมด
หมิงเยี่ยนมองเงือกหนุ่มที่เอาแต่ยกมือขึ้นมองตรงนั้นตรงนี้ แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
เวลานี้เองมือที่เห็นข้อนิ้วชัดเจนข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามา
ลู่อวี๋ยื่นมือตัวเองให้ พร้อมเลียนแบบน้ำเสียงของลู่ตงตง “พี่ครับ ผมก็อยากได้แหวนสักวง”
หมิงเยี่ยนมองมือของเขาไม่พูดจา และไม่รับมือเขามาด้วย
ประธานจ้าว “แหวะ” เขาที่เดิมทีก็อาการยังไม่ดีขึ้นอยู่แล้ว ซ้ำยังถูกลู่อวี๋หลอกให้ตกใจไปอีกหน จึงทนไม่ไหวอาเจียนออกมาอีกรอบ
เหล่าหยางตบหลังประธานจ้าว “ผมเข้าใจคุณนะ ผมก็รับไม่ได้กับบรรยากาศของสองคนนี้เหมือนกัน”
ประธานจ้าวถลึงตามองเหล่าหยาง อึกอักอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก เพียงอ้าปาก คำแรกก็คือ ‘แหวะ’
“ควรกลับกันได้แล้ว” หมิงเยี่ยนเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์
เหล่าหยางพยักหน้า เริ่มทำการเด้งออกจากระบบ
ลู่อวี๋ยังคงยัดเยียดมือให้อย่างดื้อด้าน จ้องหมิงเยี่ยนตาปริบๆ หมิงเยี่ยนยังคงไม่รับมือเขา เพียงแต่ฉวยจังหวะตอนที่อีกสองคนไม่สนใจรีบวาดรูปหัวหมูง่ายๆ บนหลังมือข้างนั้นลวกๆ
“ทำไมของตงตงได้เพชรพลอย ของผมมีแค่หัวหมูล่ะ” ลู่อวี๋ยู่ปาก กุมมือที่วาดหัวหมูขึ้นมาอย่างทะนุถนอม
ลู่ตงตงโบกมือยิ้มตาหยี “พ่อ ปะป๊า แล้วเจอกันครับ”
“หืม?” ลู่อวี๋แหงนหน้าขึ้นมองลู่ตงตง แล้ววินาทีต่อมาภาพตรงหน้าก็ย้อนกลับมาเป็นภาพภายในแคปซูลเกมมิ่ง
ประธานจ้าวรีบปลดเข็มขัดนิรภัย ล้มลุกคลุกคลานปีนออกจากเครื่อง แล้วคุกเข่าอาเจียนแห้งกับพื้น
เมื่อกี้ที่เขาอาเจียนในเกมไป ก็อาเจียนออกมาในแคปซูลเกมมิ่งด้วย และเจ้าหมวกกันน็อกเกมมิ่งวิปริตนี่ก็ยังมีที่สำหรับรองรับของเหลวอย่างอาเจียนด้วย เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาแล้วพบสิ่งนี้ก็รู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาอีกรอบ เพียงแต่ในกระเพาะเขาตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว จึงได้แต่อาเจียนแห้งออกมา
พนักงานผู้เชี่ยวชาญการซ่อมบำรุงแคปซูลเกมมิ่งรีบเข้ามาจัดการเก็บกวาดอุปกรณ์ ด้านเลขาฯ เสี่ยวเจียงก็ยื่นทิชชูเปียกและน้ำให้อย่างทันใจ “ประธานจ้าว ดื่มน้ำกลั้วปากสิครับ”
ประธานจ้าวกลั้วปาก รับแก้วใบใหม่มาดื่มน้ำ แล้วถึงค่อยดีขึ้นมานิดหน่อย “เสี่ยวเจียงคนนี้ไม่เลวเลย ประธานหมิงช่วยตัดใจยอมยกเขาให้มาทำงานกับผมทีเถอะ เลขาฯ ของผมสมองช้าซื่อบื้อ ไหวพริบไม่ได้ครึ่งเสี่ยวเจียงเลย”
หมิงเยี่ยนเองก็ถือผ้าขนหนูเช็ดหน้า เหลือบมองเสี่ยวเจียงที่ประคององศารอยยิ้มได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนมุมปากจะกระตุกเบาๆ อย่างสังเกตเห็นได้ยาก “เกรงว่าจะไม่ได้ครับ”
“อย่าอ้างกับผมว่าเสี่ยวเจียงเป็นคนของประธานเสิ่นเลย บนรายชื่อผู้บริหารระดับสูงของพวกคุณน่ะผมดูมาหมดแล้ว ไม่มีคนที่ชื่อเสิ่นเลยสักคน” จ้าวเยียนชิงถูกเครื่องจำลองโลกนวนิยายโฮโลแกรมทรมาทรกรรมจนอายุขัยหดหายไปครึ่งหนึ่ง กำลังไม่สบอารมณ์อย่างมาก แต่สามคนนั้นกลับเหมือนไม่เป็นอะไรเลย เขาเองก็โวยวายไม่ได้เดี๋ยวจะเสียฟอร์ม เลยได้แต่พาลไปลงกับเรื่องของประธานเสิ่นที่คิดว่าอีกฝ่ายจงใจปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา
หมิงเยี่ยนหน่ายใจ “เสี่ยวเจียงเป็นเลขาฯ ของเสิ่นไป๋สุ่ยครับ”
“เสิ่นไป๋สุ่ย?” จ้าวเยียนชิงรู้สึกคุ้นหูกับชื่อนี้นิดหน่อยแต่ก็นึกไม่ออก
เลขาฯ เสี่ยวเจียงดันแว่นกรอบทอง ดึงผ้าเช็ดหน้าประดับอกตรงกระเป๋าเสื้อสูทออกมาอย่างรู้สึกเกรงใจ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้โผล่ออกมาแค่มุมหนึ่ง คุณภาพเนื้อผ้าดูชั้นสูงมาก เมื่อเขาดึงออกมาทั้งหมดก็เผยให้เห็นรูปสกรีนเสิ่นไป๋สุ่ยเวอร์ชั่นจิบิ “ผมเกิดมาเป็นเลขาฯ ของท่านประธานเสิ่น ถึงตายก็จะเป็นเลขาฯ ดิจิตอลของประธานเสิ่นครับ”
ประธานจ้าว “…”
ลู่อวี๋เข้าใจแล้ว ไม่นึกเลยว่าสหายเสี่ยวเจียงคนนี้จะเป็นแฟนคลับของน้องรอง
เขาทำความเข้าใจเนื้อเรื่องของ ‘เรือนทองคำ’ มาบ้างแล้ว ข้างกายของเสิ่นไป๋สุ่ยมีเลขาฯ ที่มากความสามารถคนหนึ่ง ไม่ว่าจะทำอะไรก็แม่นยำยอดเยี่ยมหาที่เปรียบไม่ได้ แม้แต่องศาของรอยยิ้มก็ยังผ่านการคำนวณมาแล้วอย่างแม่นยำ และประธานเสิ่นก็ให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมาก เสี่ยวเจียงเองก็น่าจะเรียนรู้รูปแบบการทำงานมาจากเลขาฯ คนนั้น
เขาตบไหล่เสี่ยวเจียงอย่างตื้นตันใจ พูดแทรกในโอกาสที่เหมาะเหม็ง “วางใจเถอะเสี่ยวเจียง สวัสดิการที่นี่รับรองว่าเป็นไปตามมาตรฐานของประธานเสิ่นแน่นอน และยังสูงกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรมด้วย ถ้าเกิดวันไหนนายจากโลกนี้ไปด้วยเหตุไม่คาดฝัน ฉันจะเอานายไปเขียนไว้ในตอนพิเศษ ให้นายไปสมัครเป็นเลขาฯ ของเสิ่นไป๋สุ่ย เข้าร่วมเซ็ตติ้งเดียวกับโลกของเขา”
เสี่ยวเจียงตาเป็นประกายทันที มุมปากยกขึ้นสูงเกินองศามาตรฐาน มีความสุขอย่างยิ่ง “ขอบคุณประธานลู่ ผมจะพยายามครับ”
ประธานจ้าวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “พวกคุณชักจะเกินไปใหญ่แล้ว!” ถ้าเกิดคนในบริษัทนี้ไม่ใช่กลุ่มผู้ป่วยจิตเวช ก็คงรวมหัวกันทำให้เขาอับอาย
ลู่อวี๋มองเขาอย่างแปลกใจ “ทำไมเหรอ หรือให้ผมเขียนถึงคุณด้วยไหม”
จากนั้นลู่อวี๋ก็ล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าจริงๆ มันเป็นจดหมายสอบถามที่จ้าวเยียนชิงยื่นให้หมิงเยี่ยนเมื่อเช้า เขายื่นมือ เสี่ยวเจียงก็ส่งปากกาด้ามหนึ่งมาให้เขา เขาหมุนฝาปากกาออก แล้วเขียนตัวอักษรเล็กๆ สองคำลงในช่องข้างหลังประโยค ‘การสมรสระหว่างคุณหมิงเยี่ยนกับคุณลู่อวี๋จะยังคงมีผลอยู่หรือไม่’ ไปว่า ‘มีผล’ แล้วก็เอาจดหมายไปตบตรงอกจ้าวเยียนชิงพลางยิ้มตาหยี
“ตอนนี้ก็สายแล้ว เที่ยงนี้อยู่ทานด้วยกันสักมื้อสิครับ”
หมิงเยี่ยนถอนหายใจอย่างระอา เดินเข้าไปยืนข้างๆ ลู่อวี๋ “เราจัดการเรื่องมื้อเที่ยงไว้เรียบร้อยแล้ว ประธานจ้าวโปรดให้เกียรติมาทานกับเราสักมื้อสิครับ”
จ้าวเยียนชิงใช้นิ้วคีบจดหมายสอบถามใบนั้น เหลือบตาอ่าน แล้วจึงยิ้มเย็นยะเยือก “ไม่ล่ะ เมื่อครู่เพิ่งอ้วกไป ไม่รู้สึกอยากอาหาร ไว้วันอื่นแล้วกันครับ”
ทุกคนพาประธานจ้าวไปส่งหน้าบริษัท ทว่าเขากลับยกมือขึ้น “ไม่ต้องส่งหรอกครับ เรื่องการลงทุน พวกเราจะประชุมพิจารณาและหารือกันอีกครั้ง” ว่าจบก็เหลือบมองหมิงเยี่ยนหนึ่งครั้งก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ครั้นเห็นรถหรูของประธานจ้าวบึ่งออกไปด้วยความโมโห หมิงเยี่ยนก็ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความทุกข์ใจ
“ไม่ต้องห่วง ต่อให้เขาไม่ลงทุน พวกเราก็ทำเงินเองได้” ลู่อวี๋ยื่นแขนยาวไปลูบไหล่ฝั่งที่อยู่ไกลของหมิงเยี่ยน ดูแล้วเหมือนจะโอบคนเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
หมิงเยี่ยนชำเลืองมองอุ้งเท้าสุนัขที่เกาะอยู่บนไหล่ตัวเอง “ไลฟ์ปรับแก้ฮวาเหวินหย่วน นายจำเป็นจะต้องคุ้นเคยกับเนื้อเรื่องมากๆ ด้วย ‘ทะลวงหมาป่าสวรรค์’ มีสี่ล้านตัวอักษร ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ นายทำได้หรือเปล่า”
ลู่อวี๋ขมับกระตุกกึกๆ กัดฟันเอ่ย “ผู้ชายจะพูดคำว่าไม่ได้ได้ยังไง ก็ต้องได้อยู่แล้ว”
เหล่าหยางที่ยืนอยู่ไกลออกไปได้ยินบทสนทนาของพวกเขาไม่ชัด เอ่ยแทรกโดยไม่อ่านบรรยากาศ “ได้อะไรอยู่แล้ว”
ลู่อวี๋เหลือบมองเหล่าหยางที่บนหัวเหลือผมลู่ลมไปมาไม่กี่เส้น ก่อนคลายมือที่โอบหมิงเยี่ยนไปกำรอบคอเหล่าหยางแทน “เรื่องนี้ไว้ทีหลัง ฉันถามนายอย่างหนึ่งก่อน วันที่เก้าพฤศจิเมื่อสิบปีที่แล้ว พวกเราสองคนไปกินหมาล่าผัดด้วยกัน นายจำได้หรือเปล่า”
หยางเฉินหมดคำจะพูด “ฉันจะไปจำได้ได้ไง”
ลู่อวี๋หักนิ้วลงนับช่วยเขาย้อนความทรงจำ “วันนั้นพวกเราสองคนกินมันฝรั่ง กุ้ง ปูอัด ปีกไก่ ผักกาดขาว”
แล้วเหล่าหยางก็พยักหน้า “แน่นอน พวกเราสองคนไปกี่รอบก็สั่งประมาณนี้ตลอด บางครั้งก็ใส่เต้าหู้ปลาเพิ่มด้วย”
มือของลู่อวี๋ที่กำรอบคอเหล่าหยางยกขึ้นตบหัวของเขาทันที “วันนั้นแกไอ้ลูกหมาพกเงินสดออกไปข้างนอกแค่ยี่สิบไคว่เพื่อไม่ให้ฉันดื่มเหล้า แต่สุดท้ายแกดันสั่งข้าวไปสามถ้วย มื้อนั้นราคาสี่สิบเจ็ด ฉันจ่ายไปยี่สิบเจ็ด”
เหล่าหยางพยักหน้าอึ้งๆ “อันนี้ฉันจำไม่ได้แล้ว มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ฉันจ่ายไปยี่สิบเจ็ดไคว่ นั่นแปลว่านายติดฉันอยู่สามจุดห้าไคว่ ฉันถามนาย สามจุดห้าไคว่ตรงนี้นายคืนฉันมาหรือยัง” ลู่อวี๋จ้องตาเหล่าหยางแน่วแน่
หยางเฉินเหม่อ “ไม่เอาน่าลู่อวี๋ ตั้งสิบปีแล้ว นายยังจะทวงอีกเหรอ”
“พี่น้องแท้ๆ ต้องคิดบัญชีให้ชัดเจน” ลู่อวี๋ชี้ข้อมือซ้ายของเหล่าหยาง “นายค้นดูว่าสรุปคืนเงินฉันมาหรือยัง ไม่งั้นพอนึกได้ขึ้นมาคืนนี้ฉันนอนไม่หลับแน่”
“เชี่ย?” หยางเฉินไม่อาจเข้าใจพฤติกรรมของเขาได้เลย แต่ก็ยังคงเปิดสมองอัจฉริยะ เปิดแอพฯ คุยแชตโบราณขึ้นมาค้นประวัติการเดินบัญชีอย่างว่าง่าย สมัยพวกเขาสองคนเรียนมหาวิทยาลัยก็ใช้แอพฯ นี้โอนเงินตลอด “นี่หมิงเยี่ยน นายไม่ให้ค่าขนมกับหมอนี่เหรอ นี่มันเกินไปแล้วนะ”
หมิงเยี่ยนเม้มปาก พอจะรู้ว่าทำไมลู่อวี๋ถึงถามเรื่องนี้ เขาอยากพิสูจน์ว่าลู่ต้าอวี๋ได้ย้อนเวลากลับไปหรือเปล่า ถ้าลู่ต้าอวี๋ย้อนเวลากลับไป ต้องจำเรื่องนี้ไม่ได้แน่นอน และไม่มีทางทวงเงินสามจุดห้าไคว่กับเหล่าหยางด้วย
หยางเฉินค้นทั่วประวัติการโอนของแอพฯ แชตโบราณของปี 2023 แล้วทั้งเดือนพฤศจิกายน เดือนธันวาคม แต่ก็ไม่มีสามจุดห้าหยวนนี่เลย เขาทอดถอนใจ “สุดยอดจริงๆ เลยนายเนี่ย ยังจะจำได้อีก นายสมองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหรือไง”
ประโยคเหน็บแนมนี้กลับทำให้ลู่อวี๋หัวเราะไม่ออก เขาปล่อยมือออกจากคอเหล่าหยาง พูดเสียงแผ่ว “ลู่ต้าอวี๋ย้อนกลับไปจริงๆ”
หมิงเยี่ยนถอนหายใจ “ไม่แน่อาจจะคิดว่าเงินแค่นี้ ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยก็ได้”
“ไม่มีทาง!” ลู่อวี๋พูดเสียงเด็ดขาด “สมัยมหา’ลัยผมจนกรอบจนได้ยินแต่เสียงเศษเงินกรุ๊งกริ๊ง ผมกับเหล่าหยางทำพาร์ตไทม์หาเงินกันสุดชีวิต จะเศษเงินกี่เหมา* พวกเราสองคนก็จำได้หมด”
ตอนนั้นเหล่าหยางชีวิตยากจนแร้นแค้น เขาก็ทะเลาะกับตระกูลลู่จนไม่ได้เงินค่าครองชีพ เลยเข้มงวดกับเรื่องเงินกันมากๆ
หยางเฉินได้ยินประโยคหลังแล้วสีหน้าเหน็บแนมในทีแรกก็ค่อยๆ กลายเป็นความคิดถึงอดีต “นั่นสิ พวกเราสองคนตอนนั้นจนมากๆ เฮ้อ…คิดแล้วก็จริง กาลเวลาช่างผ่านไปเร็วเหมือนลูกธนู โลกเราไม่มีอะไรแน่นอนเลยน้า”
เมื่อนึกถึงวัยเด็กและวัยเยาว์ที่ยากจนของตัวเองแล้วหันกลับมามองความสำเร็จของตัวเองในตอนนี้ ถึงแม้จะยังเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่สำเร็จ ไม่ได้มีทรัพย์สินหมื่นล้าน หยิบปากกาขึ้นมาเขียนอัตชีวประวัติของตัวเอง แต่ก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้
เหล่าหยางตบไหล่ลู่อวี๋อย่างซาบซึ้งใจ “เหล่าลู่ พูดจริงๆ นะ ฉันรู้สึกขอบใจนายมากๆ เลย สมัยมหา’ลัยนายเป็นคนที่เชียร์ให้ฉันหาเงินด้วยการเขียนมินิโปรแกรมขาย ทำให้ฉันมีหน้ามีตาขึ้นมา แล้วก็เป็นนายเหมือนกันที่พาฉันออกมาก่อตั้งบริษัท ฉันพูดได้เลยว่าถ้าไม่มีนายก็คงไม่มีฉันในวันนี้”
ขณะพูดออกไปแบบนั้นเหล่าหยางที่วัยใกล้เลขสามก็น้ำตาคลอ พูดจนตัวเองซาบซึ้งเอง
ลู่อวี๋ตบไหล่เขา “เราพี่น้องกัน พูดเรื่องนี้ไปทำไม แค่คืนสามจุดห้าไคว่นั่นมาก็พอ”
เหล่าหยาง “…”
* เหมา เป็นหน่วยเงินที่เล็กที่สุดรองลงมาจากหยวน
บทที่ 12
ท่องจำ
เหล่าหยางแสนอับจนปัญญา “ได้ๆๆ คืนให้ๆ เอาตามดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารคือสองเปอร์เซ็นต์ ดอกเบี้ยสิบปีได้ศูนย์จุดเจ็ดเหมา รวมเป็นสี่จุดสองหยวน”
ว่าจบสมองอัจฉริยะของลู่อวี๋ก็ได้รับเงินโอนสี่จุดสองหยวน แล้วก็อดจุปากชื่นชมไม่ได้ “โห คณิตศาสตร์ของนายตอนนี้ใช้ได้เลยนี่ คำนวณเป๊ะสุด”
หยางเฉิน “ไสหัวไปเลย ข้าเคยคณิตศาสตร์ไม่ดีด้วยเหรอ”
“ฮิๆ รวยแล้วๆ ” ลู่อวี๋โอบคอเหล่าหยางอย่างสุขใจ “ไปๆๆ มื้อเที่ยงฉันเลี้ยงไอติมโบราณนายสามแท่งเลย”
“ฉันไปทำกรรมอะไรมาหรือไงถึงได้มาเจอคนแบบนาย” เหล่าหยางบ่นว่าไม่หยุด
สุดท้ายทั้งสามก็ไม่ได้กินอะไรดีๆ นัก เพราะว่าอาทิตย์หน้าก็ต้องเปิดไลฟ์สตรีมแล้ว งานที่ต้องเตรียมมีเยอะเหลือเกิน เหล่าหยางยุ่งจนส้นเท้ากระแทกท้ายทอย* กินข้าวรองท้องที่โรงอาหารเสร็จก็ต้องวิ่งวุ่นกลับไปทำงาน
ภายในออฟฟิศยามบ่าย ลู่อวี๋หมกตัวอ่านหนังสือนิยายอยู่ในห้องทำงานของหมิงเยี่ยน
เขาต้องรีบอ่าน ‘ทะลวงหมาป่าสวรรค์’ นิยายสี่ล้านตัวอักษร เหลือเวลาไม่ถึงเจ็ดวัน วันหนึ่งต้องอ่านหกแสนตัวอักษร กล่าวตามหลักแล้วมันเป็นภารกิจที่ไม่มีทางทำให้สำเร็จได้เลย โชคดีที่เป็นนิยายที่ตัวเองเขียน เขารู้ว่าตรงไหนคือใจความสำคัญ ตรงไหนคือบทไร้สาระ อ่านผ่านๆ ได้สิบบรรทัดในพริบตา
หมิงเยี่ยนมองเจ้าคนที่ซุกอยู่บนโซฟาอย่างกับไม่มีกระดูกอย่างไรอย่างนั้น “ทำไมนายถึงไม่ไปอ่านที่ห้องทำงานตัวเองล่ะ”
ลู่อวี๋เงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มยิงฟัน “ทำการบ้านด้วยกันสองคนประสิทธิภาพสูงกว่า ถ้าทำคนเดียวแอบอู้ง่าย”
อ่านนิยายขนาดนี้ ยังจะอู้อะไรอีก หมิงเยี่ยนเอือมระอา จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก โฟกัสกับการวาดรูปของตัวเอง
ตัวละครและฉากในเครื่องจำลองจำเป็นต้องวาดไว้ล่วงหน้า ระดับความละเอียดก็ต้องสูงมากเช่นกัน เฉินอวี๋มีทีมอาร์ตที่ใหญ่มากหนึ่งทีม ทุกๆ วันต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อวาดรูป และดราฟต์ที่สำคัญทั้งหมดก็ต้องเอามายื่นให้หมิงเยี่ยนอนุมัติ สั่งแก้ เพื่อให้สไตล์ภาพออกมาในทางเดียวกัน
ส่วนตัวละครหลักอย่างฮวาเหวินหย่วนนั้นหมิงเยี่ยนจะเป็นคนวาดด้วยตัวเอง
เม้าส์ปากกาตวัดวาดลงบนหน้าจอ แม่ทัพหนุ่มในชุดสีแดงง้างคันธนูเตรียมปล่อยลูกศร ความมุ่งมั่นฮึกเหิมเต็มเปี่ยม สองนิ้วกางออก ซูมเข้าไปดูในรูป ตรงปลายโลหะของคันธนูถูกวาดดอกไม้เล็กๆ หนึ่งดอก เมื่อซูมออกมาก็มองไม่เห็นดอกไม้เล็กๆ ที่ถูกซ่อนไว้ดอกนั้นแล้ว
หมิงเยี่ยนพอใจมาก ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องสะดุ้งตกใจ
ลู่อวี๋ที่ควรจะอ่านหนังสืออยู่บนโซฟากลับมาหมอบเกาะฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทำงานเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วยังมองเขาตาเป็นประกายอีก
หมิงเยี่ยนเหลือบมองเขา “ทำอะไร”
ลู่อวี๋มองแพขนตาเรียวยาวของหมิงเยี่ยน หัวใจคันยุบยิบ “รุ่นพี่ พี่กับลู่ต้าอวี๋ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่กันจริงๆ เหรอ”
“นายคิดว่าไงล่ะ” หมิงเยี่ยนก้มหน้า เติมเต็มรายละเอียดในรูปต่อ
ลู่อวี๋เบะปาก “เขาไม่น่าจะห่วยแตกขนาดนี้นะ สิบปีแล้วยังจีบไม่ติดอีก”
หมิงเยี่ยนมือชะงัก “ความคิดของคนเปลี่ยนไปได้เสมอ นายตอนสิบแปดชอบฉัน ตอนสิบเก้าก็อาจจะไม่ได้ชอบแล้ว”
“ไม่มีทาง!” ลู่อวี๋เถียงกลับโดยไม่แม้แต่จะคิด “ถึงอายุเก้าสิบแปดผมก็ยังจะชอบพี่!”
หมิงเยี่ยนเหลือบสายตาขึ้นมองเขา
ลู่อวี๋จู่ๆ ก็เงียบกริบ หน้าเขาค่อยๆ ขึ้นสีแดง เขาเพิ่งมารู้สึกตัวกับ ‘ตอนสิบแปด ชอบฉัน’ ที่แท้ตอนนั้นเทพบุตรก็รู้อยู่แล้วว่าเขาชอบอีกฝ่าย
ที่จริงตอนนั้นเขาเคยเล่าให้เหล่าหยางฟังว่าที่หมิงเยี่ยนยอมรับคอมมิชชั่นจากเขาก็เพราะชอบเขา เขาแค่โม้ไปอย่างนั้น ไม่ได้มั่นใจเลยว่าเทพบุตรเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อออกไปหรือเปล่า บางทีอาจจะมองว่าเขาเป็นแค่ลูกค้าที่มาจ้างคนหนึ่งจริงๆ ทว่าแท้จริงแล้วหมิงเยี่ยนกลับรู้หมดทุกอย่าง
ความสุขที่ไม่อาจหาคำมาบรรยายได้แผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ ไม่รอให้ลู่อวี๋ลุกขึ้นอายม้วน ปลายจมูกแดงแจ๋จู่ๆ ก็ถูกปากกาเคาะเบาๆ
“ถ้าโกหกจมูกจะยาวขึ้นนะ” หมิงเยี่ยนยกแขนหนึ่งข้างขึ้นเท้าคาง เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม
ลู่อวี๋ที่ถูกจิ้มจมูกรู้สึกชาวาบๆ ตรงนั้น แต่ในใจกลับไม่สบอารมณ์นัก รุ่นพี่ที่เขารู้จักเป็นคุณชายหยิ่งยโสนิสัยไม่ดีที่เข้าหายาก หน้าตาหล่อทะลุฟ้าแต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปขอวีแชต ตอนนี้กลับเป็นพี่ชายข้างบ้านที่มักควบคุมอารมณ์อยู่เสมอ ถึงขั้นดูมีความขี้กังวลอยู่หลายส่วนด้วย มันไม่ถูกต้องเลย
ถ้าเป็นเมื่อก่อน อันธพาลแก่อย่างจ้าวเยียนชิงคงถูกคุณชายหมิงสาดกาแฟใส่ไปนานแล้ว
เขายอมให้หมิงเยี่ยนดุเขา ไล่เขาให้ไสหัวไปเล่นไกลๆ ดีกว่าจะต้องมาเห็นหมิงเยี่ยนพูดจาหดหู่เศร้าสร้อย สร้างบรรยากาศเหมือนกล่อมเด็กแบบนี้
ไอ้เจ้าลู่ต้าอวี๋รู้จักแต่ทำความชั่ว!
ลู่อวี๋วางแผนจะถามกับใครสักคนว่าตกลงหลายปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนที่เหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุดคือเหล่าหยาง แต่ถ้าจู่ๆ โผล่หน้าไปถามแบบนั้นเหล่าหยางต้องรู้สึกว่าเขาเป็นโรคอัลไซเมอร์แน่ แต่ก็บอกว่าตัวเองข้ามเวลามาจากอดีตก็ไม่ได้อีก ต้องมอมเหล่าหยางแล้วหลอกถามข้อมูล!
แต่ว่าก็ต้องรอให้เขาอ่าน ‘ทะลวงหมาป่าสวรรค์’ จบก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องด่วนมากเหลือเกิน
“ฮัดชิ่ว” หยางเฉินที่เร่งเขียนโค้ดอย่างบ้าคลั่งอยู่ในห้องข้างๆ จู่ๆ ก็จามออกมา “รู้สึกเหมือนโดนอะไรสักอย่างหมายหัวเลยอะ”
ลู่อวี๋ไม่รบกวนหมิงเยี่ยนอีก หมอบเกาะโต๊ะหมิงเยี่ยนแล้วอ่านหนังสือเงียบๆ
อ่านเอาโครงเรื่องคร่าวๆ ก่อน
ฮวาเหวินหย่วนเป็นคุณชายน้อยจากตระกูลขุนนางที่เป็นแม่ทัพ สกุลฮวาประกาศกับภายนอกเสมอว่าเขาร่างกายไม่ดี มีอายุขัยได้ไม่พ้นสิบแปด ที่จริงก็เพราะว่าสกุลฮวาไม่อยากให้เขาไปสนามรบ ท่านลุง ท่านพี่หลายๆ คนของเขาล้วนสิ้นชีพบนสนามรบทั้งสิ้น และในยุคสมัยนั้นราชสำนักก็ไร้คุณธรรม บ้านเมืองเต็มไปด้วยปัญหาทั้งนอกและใน ประชาราษฎร์ตกทุกข์ได้ยาก
จุดเริ่มต้นของเรื่องคือฮวาเหวินหย่วนได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เขารู้ว่าราชวงศ์นี้กำลังมาถึงทางตันแล้ว เขาจะต้องยึดอำนาจทางการทหารมาไว้ในมือให้ได้ก่อนจะจัดการปัญหาภายในแล้วค่อยรับมือกับศัตรูภายนอก เขาจะไม่เป็นขุนนางโง่เง่าผู้จงรักภักดีคนนั้นอีก ในเมื่อสังคมนี้ไม่ให้เขามีชีวิต ไม่ให้ราษฎรอยู่รอด เช่นนั้นเขาจะก่อกบฏลุกขึ้นโค่นบัลลังก์สวรรค์เพื่อสร้างความสงบสุขให้ใต้หล้าเอง!
ฮวาเหวินหย่วนถนัดอาวุธธนูเป็นพิเศษ ฝีมือการยิงธนูของเขาโดดเด่น และยังเป็นเทพนักธนูอันดับหนึ่งในใต้หล้า เขาซื่อตรงกล้าหาญ สง่างาม และเด็ดขาด หักเป็นหักไม่มีงอ…
ลู่อวี๋ลูบคาง เขาคิดว่าบทบรรยายของตัวละครนี้มีนัยบางอย่างแฝงอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนั้นลู่ต้าอวี๋เขียนด้วยอารมณ์แบบไหน เขาอยากกระตือรือร้นทะเยอทะยานก่อตั้งกิจการขยายอาณาเขต ก็เลยสร้างแม่ทัพหนุ่มที่กล้าหาญไม่กริ่งเกรงต่อสิ่งใดแบบนี้ออกมา หรือว่าเขาในชีวิตจริงเป็นพวกไม่เด็ดขาด ยืดเยื้อ จู้จี้จุกจิก ก็เลยหวังว่าตัวเองจะเด็ดขาดเหมือนกับฮวาเหวินหย่วน
นี่เป็นเรื่องสุดท้ายที่ลู่ต้าอวี๋เขียน บางทีในย่อหน้าเหล่านี้เขาอาจจะค้นพบสาเหตุที่ทำให้เจ้าหมอนี่กลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยากในตอนหลังก็ได้
เมื่อคิดได้แบบนั้นลู่อวี๋ก็อ่านใหม่ตั้งแต่แรก
ต้นเรื่องเปิดด้วยเรื่องของชาติที่แล้ว
ปลายราชวงศ์โจว ภัยพิบัติเกิดขึ้นไม่ขาดสาย ภายนอกมีศัตรูแกร่งจ้องโจมตี ภายในก็เต็มไปด้วยขันทีมากอำนาจและขุนนางกังฉิน ราษฎรทุกข์ยาก ในฐานะที่ฮวาเหวินหย่วนเป็นแม่ทัพผู้ครองดินแดน เขายืนหยัดปกป้องด่านสำคัญนานถึงสามปี ทว่ากลับถูกปองร้ายโดยคนทรยศ ฮ่องเต้มีราชโองการมาถึงเขาเก้าฉบับติดต่อกัน สั่งให้เขากลับไปรับการไต่สวนที่เมืองหลวงโดยด่วน เสบียงอาหารถูกตัดขาดเส้นทาง กองทัพเริ่มอ่อนล้า เขาจึงควบม้าออกไปจากประตูเมืองด้วยความมุ่งมั่น และสุดท้ายแม่ทัพเทพแห่งธนูก็ถูกลูกธนูนับพันทะลวงร่างอยู่ท่ามกลางพายุหิมะนอกด่าน แม้ตายก็ยังไม่อาจหลับตาลง
ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ย้อนกลับมาในคืนก่อนที่จะถูกตระกูลบังคับแต่งภรรยาในวัยสิบหกปี…
ลู่อวี๋อ่านแล้วเลือดลมสูบฉีด ตื่นเต้นจนลืมตัว อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาดังลั่น “เขียนโคตรดีเลย คนแต่งนี่มันอัจฉริยะชัดๆ สำนวนการเขียนโคตรสุดอะ!”
หมิงเยี่ยนตกใจกับเสียงตะโกนจนมือกระตุก เผลอเติมหนวดให้ฮวาเหวินหย่วนไปข้างหนึ่ง เขาวางเม้าส์ปากกาลงอย่างเหลืออด ก่อนไล่เจ้าปีศาจน่ารำคาญตรงหน้าออกไป
ลู่อวี๋ถูกโยนออกนอกห้องทำงานและไม่กล้ากลับเข้าไปอีก ได้แต่หน้าม่อยหนีมาอยู่ในห้องฟิตเนสภายในของบริษัท ฟังหนังสือเสียงไปด้วยออกกำลังกายไปด้วย โดยที่เปิดเครื่องอ่านหนังสือให้เล่นเร็วแบบสามเท่า ความเร็วลู่วิ่งของลู่อวี๋ก็เลยจังหวะเร็วขึ้นตามไปด้วย
จนหมิงเยี่ยนเลิกงานออกมาตามหาเขา ลู่อวี๋ก็นอนแหมะตัวเหลวอยู่บนเครื่องซิตอัพ นิ่งไม่ไหวติงอย่างกับผ้าขนหนูเปียก แต่ก็ยังคงท่องอย่างยืนหยัดไม่ยอมแพ้ว่า “8335927 รุ่นพี่ชอบกินไก่ทอดกรอบโรยเกลือ 6421970 ฮวาเหวินหย่วนบุกโจมตีเมืองเฟิ่งหวงใต้แสงจันทร์ ขันทีจางหย่งเผาเสบียงทหารและหญ้าม้า พานชีทหารชั้นผู้น้อยสร้างคุณูปการครั้งใหญ่…”
หมิงเยี่ยนได้ยินแล้วปวดกะโหลกจึงถาม “ตัวเลขที่นายท่องมันคืออะไร”
ลู่อวี๋นอนเงยหน้ากลับหัวมองเขา “เลขหวยไง จากที่ผมวิเคราะห์กับหมอเชวียเต๋อมา ถ้าเกิดว่าลู่ต้าอวี๋ย้อนกลับไป งั้นอีกไม่นานเราสองคนก็จะถูกสลับกลับไปที่เดิม พอผมกลับไปแล้วมันก็จะเป็นเงินถังแรกของผม เดี๋ยวถึงตอนนั้นผมซื้องวดแรก เหล่าหยางซื้องวดที่สอง แล้วพวกเราก็จะรวยด้วยกัน ฮิๆๆ”
แผนเยอะจริงเชียว
หมิงเยี่ยนเดินไปตรงหน้าเขา ก้มลงยิ้มพลางมองอีกฝ่าย “ถ้าได้เงินก้อนมาแล้วนายคิดจะทำอะไร”
ลู่อวี๋ยกมือขึ้นหักนิ้วนับ “ก่อนอื่นก็เอาเงินคืนตระกูลลู่ก่อน จากนั้นก็ซื้อบ้านสักหลังมาอยู่กับพี่ ขอมอร์นิ่งคิสทุกเช้า ฮิๆๆ…โอ๊ย ผมจะขาดอากาศหายใจแล้ว!”
ลู่อวี๋ที่กำลังหัวเราะได้ใจพลันหัวเราะไม่ออก เขาดิ้นพล่านเป็นหนอนแมลงวันอยู่บนเครื่องซิตอัพกว่าจะพยายามสูดลมหายใจเข้าได้สักเฮือก ก่อนตะโกนด่าอย่างเจ็บแค้นใจ “ลู่ต้าอวี๋ไอ้เศษขยะไร้ค่าเอ๊ย!”
หมิงเยี่ยนมองลู่เสี่ยวอวี๋ที่พลังเหลือล้น นัยน์ตาก็สั่นไหวเบาๆ “งั้นถ้ากลับไปไม่ได้ล่ะ”
“ถ้ากลับไปไม่ได้…” ลู่อวี๋แหงนหน้ามองเขา พลันยื่นมือออกไปคล้องรอบคอหมิงเยี่ยน “งั้นผมจะขอคิสๆ ตอนนี้เลย!”
* ส้นเท้ากระแทกท้ายทอย หมายถึงยุ่งมากจนไม่มีเวลาได้พัก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.