ทดลองอ่านเรื่อง ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1
ผู้เขียน : ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 13
ลงแดง
หมิงเยี่ยนถูกโอบคอก็ไม่รู้สึกรำคาญ กลับกันเขาอาศัยแรงดึงนี้โน้มตัวลงไปมากกว่าเดิม
ใบหน้าที่มีองคาพยพประณีตงดงามถึงที่สุดค่อยๆ ขยับเข้ามาประชิด เป็นครั้งแรกที่ลู่อวี๋ได้มองตาหมิงเยี่ยนอย่างละเอียด ไม่รู้ทำไมข้อมูลที่เคยรีเสิร์ชสมัยตอนเขียนนิยายจู่ๆ ก็ผุดเข้ามาในหัวเขา ‘บริเวณที่เปลือกตาบนล่างมาบรรจบกันตรงหัวตา เรียกว่ามุมหัวตาด้านใน’ ดวงตาของหมิงเยี่ยน ตรงมุมหัวตาด้านในมีมุมตะขอเล็กๆ ที่แหล็มคม ดูเหมือนจะงอยปากของนกกระจอก ตาสองชั้นตรงหางตาก็เชิดขึ้น นัยน์ตาสีดำกลมโตและสว่างไสว มันทำให้ดวงตาทั้งดวงประดุจนกติ๊ดกางปีกเตรียมโบยบิน
นกติ๊ดนี้นำมาซึ่งกลิ่นหวานสดชื่นของแมกไม้ใบหญ้า มันโชยเข้ามาแตะจมูกของเขาตรงๆ ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดใบหน้าชื้นเหงื่อของลู่อวี๋ ทำให้เม็ดเหงื่อที่เกาะแก้มเดือดพล่าน
หัวใจลู่อวี๋เต้นรัวเหมือนตีกลองจนแทบจะกระเด็นหลุดออกจากอก ทั้งเนื้อทั้งตัวล่องลอยเหมือนอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง
ทันใดนั้นหมิงเยี่ยนพลันยันสองมือค้ำเครื่องซิตอัพ หยุดเว้นระยะห่างจากลู่อวี๋ไม่กี่เซนติเมตร เอ่ยพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ฝันไปเถอะ”
จากนั้นเขาลุกขึ้นอย่างไร้เยื่อใย พร้อมดึงตัวลู่อวี๋ที่นอนเผละเป็นโคลนขึ้นมาแล้วลากออกไปด้วยกัน
ลู่อวี๋ถูกแหย่จนโง่งมไปแล้ว เขาถูกลากออกจากห้องฟิตเนสทั้งที่ตัวแข็งทื่อ เดินโงนเงนเข้าลิฟต์ เหม่อลอยออกจากบริษัท กระทั่งถูกจับยัดเข้ารถถึงเพิ่งกลับมามีสติ เอ่ยว่า “พี่เสียคนแล้ว สมัยเรียนไม่ได้เป็นแบบนี้นี่”
หมิงเยี่ยนสตาร์ตรถอย่างอารมณ์ดี หมุนล้อออกจากลานจอดรถ “นายยังไม่เคยคบกับฉันสักหน่อย รู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นคนแบบไหน”
ลู่อวี๋ส่งเสียงเหอะ พลันรู้สึกทะแม่งๆ ครุ่นคิดประโยคนั้นโดยละเอียด “พูดแบบนี้ พี่เคยคบกับลู่ต้าอวี๋เหรอ”
ไม่รู้ความคิดของเจ้าหมอนี่กระโดดข้ามมาถึงตรงนี้ได้ยังไง หมิงเยี่ยนเลิกคิ้ว ไม่ตอบคำถาม
ลู่อวี๋เห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ระริกระรี้ขึ้นมาทันที ยกหมัดซ้ายชนฝ่ามือขวาอย่างมั่นใจ “ต้องเคยคบแน่ ชิ! ชีวิตส่วนตัวของเจ้าลู่ต้าอวี๋ดีขนาดนี้แล้วยังไม่พอใจ เขายังต้องการอะไรอีก”
หมิงเยี่ยนตามน้ำไปหนึ่งที “นั่นสิ” จากนั้นก็ตลกตัวเอง
“คบกันตอนไหนครับ สมัยเรียนมหา’ลัยเหรอ” ลู่อวี๋มองหมิงเยี่ยนที่หัวเราะจนตาหยี นกติ๊ดแสนสวยสองตัวนั้นกำลังกระพือปีก สะกิดลงมาที่หัวใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า มันจั๊กจี้ยุบยิบ จนอดถามคะยั้นคะยอไม่ได้
“นับว่าใช่มั้ง” รอยยิ้มของหมิงเยี่ยนจางลงเล็กน้อย เขาชำเลืองมองลู่เสี่ยวอวี๋ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ “ถามเยอะขนาดนั้นทำไม สปอยล์เยอะเกินเดี๋ยวนายกลับไปก็ไม่เหลือความตื่นเต้นหรอก”
“ผมนี่แหละชอบการสปอยล์ ปกติตอนอ่านนิยายผมจะไปอ่านตอบจบก่อน จากนั้นก็ทำเหมือนตัวเองเป็นตัวเอกที่เกิดใหม่” ลู่อวี๋พูดจ้อไปเรื่อย มองหมิงเยี่ยนด้วยสายตาเร่าร้อน “เล่าเรื่องหลังจากนั้นให้ผมฟังหน่อยสิครับ กลับไปผมจะได้ลองดูว่ามีวิธีแก้ไขปัญหาที่ดีกว่านี้หรือเปล่า”
หมิงเยี่ยนเม้มปาก เงียบไปหลายวินาทีแล้วถึงถอนหายใจเบาๆ “เคยคบกันสั้นๆ หลังจากนั้นก็เลิกกัน เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันเลยหลายปี ตอนนี้พวกเราเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกัน เหมือนนายกับเหล่าหยางน่ะ อย่าไปคิดเยอะขนาดนั้นเลย”
“เหมือนเหล่าหยางกับผีสิ” ลู่อวี๋ลองเอาเจ้าหัวล้านเหล่าหยางมาแทนที่บทบาทของหมิงเยี่ยนแล้วชาวาบไปทั้งตัว ถ้าเหล่าหยางขยับเข้ามาใกล้แกล้งทำเป็นจะจุ๊บเขา เขาต้องต่อยเจ้านั่นจนนอนให้น้ำเกลือดูแลตัวเองไม่ได้แน่นอน
หมิงเยี่ยนเหลือบมองลู่อวี๋ที่ทำหน้าอย่างกับกินแมลงวันเข้าไปก็อดหัวเราะไม่ได้ เด็กน้อยนี่มันแกล้งสนุกจริงๆ
ไม่กี่อึดใจก็มาถึงโรงจอดรถของบ้าน ส่วนลู่อวี๋นั้นเพิ่งหลุดพ้นจากเงาดำมืดของ ‘จุ๊บๆ ของเหล่าหยาง’ ได้
เวลาหมิงเยี่ยนจอดรถจะจอดเว้นระยะห่างกับรถเบนต์ลี่ย์หนึ่งช่อง จะได้ลงจากรถสะดวก
ลู่อวี๋ก้าวลงจากรถเดินไวๆ ไปเปิดประตูบ้านให้หมิงเยี่ยนอย่างขยันขันแข็ง เขาไม่กล้าถามว่าทำไมพวกเขาสองคนถึงเลิกกันเพราะกลัวว่าจะทำลายบรรยากาศการพูดคุยดีๆ จึงเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น “ตอนพวกพี่สองคนคบกัน ลู่ต้าอวี๋เรียกพี่ว่าอะไรเหรอ ที่รัก? เบบี๋?”
“เรียกรุ่นพี่” หมิงเยี่ยนถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก แล้วถือโอกาสย้ำเตือนเขาให้เคารพผู้อาวุโสไปด้วย
“จิ๊ ไม่สร้างสรรค์ขนาดนั้นเลยเหรอ” ลู่อวี๋บึนปาก แต่คิดดูแล้วถ้าตัวเองจีบหมิงเยี่ยนติดตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก็คงไม่ใจกล้าเรียกด้วยคำเสี่ยวๆ แบบนี้แน่ หมิงเยี่ยนในตอนนั้นสูงส่งเย่อหยิ่งเกินไป “งั้น…จากนี้ผมเรียกพี่ว่าพี่เยี่ยนนะ โอเคไหมครับ”
เขาต้องขีดเส้นแบ่งระหว่างเขากับลู่ต้าอวี๋
คำเรียกนี้อีกแล้ว ตอนเช้าที่อีกฝ่ายให้เขาช่วยผูกเนกไทก็เรียกเขาแบบนี้ ไม่รู้ทำไมเวลาลู่เสี่ยวอวี๋เรียกแบบนี้ มันฟังแล้วไม่เหมือนกับ ‘พี่ X’ ‘คุณพี่ X’ ที่เรียกกันในสนามการทำงานเลยสักนิด พี่เยี่ยนของเขาติดหางเสียงออดอ้อนออเซาะและเจือไปด้วยความเอาแต่ใจ น่าฟังมากๆ
หมิงเยี่ยนรับคำในลำคออย่างไม่คัดค้านแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วย แล้วหมุนตัวเดินเข้าลิฟต์ โดยมีลู่อวี๋เดินเตาะแตะตามไป
ในลิฟต์ไม่มีใครอยู่เลย ลู่อวี๋หันซ้ายแลขวาแล้วพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้นยันผนัง ขังหมิงเยี่ยนไว้ในอ้อมแขน “พี่เยี่ยน ผมไม่รู้หรอกนะว่าจะได้กลับไปเมื่อไหร่ ก่อนจะถึงตอนนั้นพี่มีอะไรอยากให้ผมทำหรือเปล่า สิ่งที่ลู่ต้าอวี๋ทำไม่ได้ ผมสามารถทำให้พี่ได้หมดเลย”
หมิงเยี่ยนมองเจ้าเด็กซนที่มาทำท่าคาเบะด้ง* เลียนแบบผู้ใหญ่ น้ำเสียงแข็งกระด้าง คำพูดคำจาแสนเชย ก็อดหัวเราะในลำคอไม่ได้ “หย่า”
“อันนี้ยังไม่ได้” ลู่อวี๋ส่ายหน้า “ผมต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนว่าตกลงพวกพี่สองคนมีเรื่องอะไรกันแน่แล้วค่อยว่ากัน มีอย่างอื่นไหมครับ”
หมิงเยี่ยนมองลู่อวี๋ที่มีท่าทีจริงจัง ครุ่นคิดก่อนเอ่ย “ฉันอยากได้เงิน เงินเยอะๆ”
ลู่อวี๋ชะงักไปชั่วครู่ คิดยังไงก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคำตอบนี้ ก่อนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ผมจะพยายาม”
มองหนุ่มน้อยที่มุ่งมั่นตั้งใจตรงหน้าแล้ว หมิงเยี่ยนหมายจะยื่นมือออกไปขยี้หัวของเขา ก่อนพบว่าผมของอีกฝ่ายเปียกชื้นเหงื่อจนผมเกาะเป็นกระจุกๆ จึงดึงมือกลับมา ยกเท้าก้าวเดินออกจากลิฟต์ “อย่าคิดเยอะเกินไป ตอนนี้นายยังเป็นผู้ป่วยอยู่”
“ผมไม่ได้ป่วยนะ!” ลู่อวี๋ปฏิเสธทันควัน แล้วมารู้สึกตัวทีหลังว่ายิ่งพูดแบบนั้นยิ่งเหมือนผู้ป่วยทางจิต โชคดีที่ไม่มีเพื่อนบ้านขึ้นลิฟต์มาด้วย เขากระแอมแห้ง “โอเค โรคทะลุมิติก็เป็นโรคเหมือนกัน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก่อนไปผมจะเซ็นหนังสือหย่า ยกทรัพย์สินทั้งหมดให้พี่ ให้เจ้าลู่ต้าอวี๋หมดตูดตัวเปล่าออกจากบ้านไปเลย”
หมิงเยี่ยนใส่สมองอัจฉริยะเข้าไปในลูกโป่งท่านประธาน “ได้ที่ไหนกันล่ะ”
ลูกโป่งท่านประธานลอยขึ้นมา กอดอก “ความคิดเด็กน้อย!”
“เอ๋?” ลู่อวี๋ยกมือขึ้นคว้าเจ้าคนรอง “เจ้าหนู แกดูกระดูกกระเดี้ยวแข็งแรงดีนี่ เหมาะมาทำงานกับปะป๊ามากเลย ไปกัน”
“ปล่อยฉันนะ นายยังไม่อาบน้ำเลย ในมือมีแต่กลิ่นเหงื่อเหม็นโฉ่” น้องคนรองกรีดร้อง
สุดท้ายลู่อวี๋ก็ไปอาบน้ำแล้วหอบลูกชายทั้งสองไปทำงานเป็นเพื่อนเขาในห้องหนังสือ
นิยายที่อ่านไปตอนบ่ายวันนี้เขาจำใส่สมองไว้แล้ว เขาได้ไอเดียคร่าวๆ แล้วว่าจะปรับแก้ฮวาเหวินหย่วนยังไง แต่ยังต้องขอคำแนะนำจากลูกคนโตกับคนรองผู้มีประสบการณ์ก่อน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ล้าหลังไปสิบปี ยังเข้าใจเรื่องการฝึกเอไอกับการสร้างสมองอัจฉริยะไม่ถึงแก่นพอ
ก่อนหน้านั้นเด็กสองคนนี้ต่างถูกแก้ไขข้อมูลโดยตรง อัพโหลดข้อมูลเรื่องราวของพวกเขาเข้าไปในระบบ จำลองคาแร็กเตอร์ที่เหมาะสมออกมาสู่โลกแห่งความจริง แล้วทำการฝึกการสนทนามายาวนานหลายปี
แต่การแก้ไขข้อมูลสำหรับเครื่องจำลองครั้งนี้ต้องเข้าไปในโลกของเรื่องราวนั้นโดยตรง อันที่จริงทำแบบนี้ประสิทธิภาพจะดีกว่าแต่ก็ยุ่งยากกว่ามาก สิ่งสำคัญคือจะทำยังไงให้ตัวละครในโลกจำลองเข้าใจสิ่งที่เกี่ยวกับสมองอัจฉริยะ และยินดีจะมาเป็นสมองอัจฉริยะในโลกความเป็นจริง
แผนงานที่ลู่ต้าอวี๋เขียนมีความเป็นไปได้อยู่ระดับหนึ่ง แต่ว่าห่วยมาก ความคิดของเขาคือปั้นโมเดลสมองอัจฉริยะพกไปยังโลกยุคโบราณด้วย แสร้งทำเป็นว่ามันคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์ เอาให้ฮวาเหวินหย่วนไปใช้ให้ชิน บทบาทของลู่ต้าอวี๋เมื่อเข้าไปในโลกนั้นก็ยังจัดการไม่เรียบร้อย บทบาท ‘ราชครูผู้มาจากต่างโลก’ อะไรนั่น
ลู่อวี๋นึกถึงภาพอันผิดแปลกนั่นแล้วก็ส่ายหัว นี่จะทำให้ผลลัพธ์ของไลฟ์ยิ่งออกมาดูแย่มากๆ ถ้าได้ดูลู่ต้าอวี๋เอาแต่สาดคำศัพท์เทคนิคใส่ฮวาเหวินหย่วนอย่างกับเรียนออนไลน์ทั้งวัน ต่อให้สามารถปรับแก้ให้เป็นผู้ช่วยสมองอัจฉริยะได้สำเร็จ คนดูก็คงหนีหายไปหมดแล้ว
เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของไลฟ์เครื่องจำลองไม่ใช่การปรับแก้ฮวาเหวินหย่วน แต่เป็นการทำให้ผู้ชมรู้สึกสนอกสนใจในการผลิตผู้ช่วยคนใหม่คนนี้ จากนั้นก็ขายอย่างเต็มที่
เขาโยนแผนงานของลู่ต้าอวี๋ทิ้งไปแล้วเปิดไฟล์ขึ้นมาใหม่ พิมพ์ ‘แต่กๆๆ’ เร็วจี๋ หลังเขียนร่ายไปเต็มๆ สองหน้ากระดาษก็รู้สึกไม่เข้าใจเนื้อเรื่องเล็กน้อย เลยติดแหง็กอยู่ตรงนั้น เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง
ในตอนนี้เองก็ตระหนักได้ว่าขาดอะไรไป เขาทรมานไปทั้งตัว มือซ้ายยื่นออกไปด้านข้างตามความทรงจำของกล้ามเนื้ออย่างไม่รู้ตัว ตรงนั้นไม่มีอะไรวางอยู่ เป็นแค่โต๊ะผิวสัมผัสแบบหนังที่มีรอยบุ๋มลงไปหนึ่งจุด
รอยนั้นทั้งลึกและกลม รอยสองฝั่งรอบๆ ลึกแต่ตรงกลางตื้น ดูแล้วเหมือนเป็นรอยกดทับของแก้วทรงสูง
ลู่ตงตงเกาะหลังหน้าจอคอมแล้วยื่นศีรษะออกมา “ปะป๊า อาการลงแดงกำเริบอีกแล้วเหรอครับ”
ลู่อวี๋ขมวดคิ้ว “ฉันติดเหล้าเหรอ”
ลูกโป่งเงือกอยากพยักหน้า แต่เขาไม่มีคอ เลยได้แต่โยกไปข้างหน้าข้างหลัง “ใช่แล้ว ทุกครั้งเวลาที่เขียนอะไรปะป๊าจะต้องดื่มสองแก้ว บอกว่าต้องกรึ่มๆ หน่อยถึงจะเขียนออก”
สองปีมานี้ลู่ต้าอวี๋ยังไม่เคยเปิดเรื่องใหม่เลย แต่ก็พยายามคิดจะเขียนออกมาสักหน่อย เขาเขียนตอนพิเศษตีพิมพ์ออกมาเล็กน้อย แล้วก็เตรียมการกับอุปสรรคใหม่ๆ ไว้มาก แต่ก็เขียนออกมาไม่ค่อยน่าพอใจนัก
ลู่ตงตงเล่าสถานการณ์คร่าวๆ จากที่เขาคอยสังเกตมา เสิ่นไป๋สุ่ยเสริมไปอีกประโยคว่า “เชอะ ลุงขี้เมาจะไปเขียนอะไรดีๆ ออกมาได้”
ลู่อวี๋เปิดโฟลเดอร์ที่เตรียมไว้สำหรับเรื่องใหม่ ในนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรที่สื่อความคิดออกมาไม่ได้กับประโยคที่ไม่สมบูรณ์ แถมยังมีตารางเซ็ตติ้งอันซับซ้อนแต่กลับดาษดื่นธรรมดาไม่มีอะไรแปลกใหม่
“ก็เพราะเขียนตอนดื่มหนัก ตรรกะเลยไปด้วยกันไม่ได้” ลู่อวี๋ขยี้หัวเจ้าคนรองเป็นการบอกว่าเจ้าตัวพูดถูกแล้ว เจ้าคนรองหลบมือเขา หนีโดยไม่แม้แต่จะหันกลับ
การลงแดงมีผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ลู่อวี๋ไม่มีอาการทางจิตใจ แต่ว่าร่างกายเจ้าสวะนี่กลับมีอาการ เดิมทีวันนี้เขาก็เพลียจากการออกกำลังกายหนักมากอยู่แล้ว ตอนนี้มาเขียนแบบแผนสมองยิ่งทำงานสูงผลาญพลังงานไปอีกมาก อาการทางร่างกายจากการลงแดงเลยประดังประเดเข้ามาทวงหนี้คืนเป็นเท่าตัว
ลู่อวี๋ยันโต๊ะลุกขึ้นยืน กัดฟันกรอด “เจ้าลู่ต้าอวี๋ แกมันรู้จักแต่ทำความชั่ว!”
เขาทรมาน แต่ไม่มีทางดื่มเหล้าแน่นอน ลู่อวี๋เดินวนรอบห้อง ตั้งใจว่าจะชงชาเข้มๆ มาทำให้สมองปลอดโปร่ง
เมื่อเดินไปถึงเคาน์เตอร์ชงชาในโถงรับแขก ลู่อวี๋ยันเคาน์เตอร์พักหายใจ เมื่อหันหน้าไปก็เห็นหมิงเยี่ยนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างยาวจากเพดานจรดพื้น หันหลังให้เขา
เสพสุราไม่ได้ แต่เสพภรรยาได้นี่! พอโชคหล่นทับลู่อวี๋ก็ไอเดียบรรเจิด ลากขาที่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเดินโซซัดโซเซโผเข้าใส่
เขาไม่ได้กล้าเข้าไปกอดจริงๆ เพียงแค่วางศีรษะไว้บนไหล่ของหมิงเยี่ยนอย่างระมัดระวัง มุดเล็กน้อย แล้วพูดเสียงกระเง้ากระงอด “พี่เยี่ยน อาการนั้นมันกำเริบอีกแล้ว ทรมานมากเลย ช่วยผมหน่อยสิ”
กล้ามเนื้อไหล่หมิงเยี่ยนพลันเกร็งแน่น แข็งทื่อไปทั้งเนื้อทั้งตัว
ลู่อวี๋รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง จึงแหงนหน้ามองดูว่าหมิงเยี่ยนกำลังทำอะไร แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อเช่นกัน
หมิงเยี่ยนกำลังใช้ลูกโป่งท่านประธานวิดีโอคอลล์ อีกฝั่งของสายคือชายอายุห้าสิบหกสิบคนหนึ่ง คนคนนี้ลู่อวี๋เคยเห็นในข่าวมาก่อน เขาคือกรรมการบริหารบริษัทหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรี…พ่อของหมิงเยี่ยน!
ลู่อวี๋ “…”
* คาเบะด้ง มีที่มาจากท่าทางในมังงะหรืออะนิเมะรักวัยรุ่นของญี่ปุ่น โดยตัวละครชายจะใช้มือข้างหนึ่งกักขังตัวละครหญิงไว้กับกำแพง ทำให้อีกฝ่ายไม่มีทางหนีไปอย่างสิ้นเชิง
บทที่ 14
ทัศนคติ
ทั้งสองฝั่งต่างเงียบกริบไปครึ่งนาทีเต็มๆ
คุณพ่อหมิงมีร่องลึกตรงหว่างคิ้วสองเส้นซึ่งเกิดจากการขมวดคิ้วบ่อยๆ เป็นเวลาหลายปี แค่มองก็รู้ว่าเป็นชายอาวุโสที่เข้มงวด เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขาใบหน้าก็เคร่งขรึม เม้มปากอยากพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ออก สุดท้ายกล่าวออกมาแค่หนึ่งประโยคว่า “วางสายเถอะ”
เมื่อลู่อวี๋เห็นว่าจะแย่แล้วก็รีบยืนอธิบายตัวตรงแหน็ว “คุณลุง อา…ฮ่าๆ ไม่รู้ว่ากำลังคอลล์กันอยู่ คือว่ามันแบบ…ไม่ใช่อย่างที่คุณลุงคิด…”
ไม่รอให้ลู่อวี๋พูดตะกุกตะกักจบ คุณพ่อหมิงพลันถามเสียงขรึม “อาการอะไร”
หมิงเยี่ยน “ติดเหล้า”
ลู่อวี๋ “ติดโซเชียล”
เสียงทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกัน
คุณพ่อหมิง “…” ร่องตรงหว่างคิ้วลึกขึ้น
ทั้งสองคนรีบกู้สถานการณ์ แก้คำพูด
หมิงเยี่ยน “ติดโซเชียล!”
ลู่อวี๋ “ติดเหล้า!”
คุณพ่อหมิง “…วางสายเถอะ”
หมิงเยี่ยนยกมือข้างหนึ่งปิดหน้า ลู่อวี๋หมุนวนอยู่กับที่เหมือนแฮมสเตอร์ถูกไฟลนก้น “คุณลุง ฟังผมอธิบายก่อน”
ตอนนี้เองบนหน้าจออีกฝั่งก็มีใบหน้าสวยหวานเบียดเข้ามา “สรุปเป็นอะไรกันแน่จ๊ะ โถ่ๆ หนูลู่อวี๋ ป้าไม่ได้จะว่าหนูนะ แต่ขอบตาดำหนูจะยาวลงไปถึงหลังเท้าอยู่แล้ว อย่าไปคิดเรื่องไร้สาระพวกนั้นเลย ดูแลตัวเองด้วยสิจ๊ะ”
หมิงเยี่ยนกระซิบอธิบายกับลู่อวี๋ “นี่แม่ฉัน”
ลู่อวี๋เบิกตากว้าง ไม่คิดว่าแม่ของหมิงเยี่ยนจะตัวเล็กน่ารักแบบนี้ คุณพ่อหมิงดูดุดันตัวสูงใหญ่ คุณแม่หมิงกลับตัวเล็กตัวน้อย ในที่สุดเขาก็รู้ได้สักทีว่าโครงกระดูกเล็กๆ แต่ว่าตัวสูงของหมิงเยี่ยนได้มายังไง
เขารีบยิ้มชี้แจง “คุณป้าครับ ผมแค่นึกคึกอยากล้อเขาเล่นเฉยๆ พวกคุณคุยกันต่อเลยครับ” ว่าพลางก็คุกเข่าลง หายออกไปจากภาพในกล้อง แล้วคลานถอยออกไป
หมิงเยี่ยนหันกลับไปดูเขาคลานกับพื้นพรมอย่างกับกบยักษ์บูลฟร็อกที่สวมแค่ชุดนอน มุมปากก็กระตุกกึกๆ ลู่อวี๋นอนหมอบกับพื้น ยกมือทำสัญญาณในสนามรบบอกว่า ‘สู้ต่อไป’ จากนั้นตัวเองก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง
ตอนแรกเขาอาการลงแดงกำเริบ แต่ตอนนี้เขาไม่เหลือพลังกายแล้ว
คุณพ่อหมิงยังมีเรื่องที่อยากคุยอีกจริงๆ พอเห็นลู่อวี๋หายตัวไปประหนึ่งลงลิฟต์ก็เงียบครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ฉันไม่สนว่าเธอกำลังเตรียมทำอะไรอยู่ แต่มีอย่างหนึ่ง อาเยี่ยน คำสอนของตระกูลเรา เธอยังจำได้หรือเปล่า”
หมิงเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ “จงหยัดยืนอย่างซื่อสัตย์ กระทำการอย่างเที่ยงตรงและเปิดเผย”
คุณพ่อหมิงพยักหน้า “เวลาไหนที่คิดไม่ออก ก็ท่องหนึ่งรอบ หลังจากพวกเธอไลฟ์ครั้งแรกจบแล้วก็กลับมาบ้านสักหน่อยนะ”
หมิงเยี่ยน “ครับ”
คุยประเด็นหลักจบแล้ว คุณแม่หมิงก็เบียดกลับเข้ามาเอ่ยแทรก “อาเยี่ยน ตุ๋นแกงนกพิราบกับแกงตะพาบอะไรพวกนี้ให้ลู่อวี๋บำรุงกำลังสักหน่อยสิลูก อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ แต่สภาพดันอย่างกับถูกสูบพลังแบบนั้น ไม่ดีเลยนะจ๊ะ”
เธอพูดติดสำเนียงคนเจียงหนาน* แผ่วๆ นุ่มๆ น่าฟังมากๆ
ลู่อวี๋อดไม่ได้ โผล่หัวออกมาครึ่งหนึ่ง “ไม่เป็นไรครับคุณป้า ผมแค่อดนอนเยอะไปหน่อย แค่นอนไวๆ ก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“อุ๊ยตาย เสี่ยวลู่ ตกใจหมดเลยจ้ะ” คุณแม่หมิงเอามือตบอกแล้วก็ยิ้มออกมา เผยให้เห็นลักยิ้มมุมปากเล็กๆ สองข้าง “เสี่ยวลู่จ๊ะ ถ้าว่างก็มาบ้านบ้างนะ เดี๋ยวป้าทำลูกนกพิราบย่างให้ทานเนอะ เพิ่งไปศึกษามาเลย อร่อยมากนะ”
ลู่อวี๋พยักหน้าอย่างกับตำกระเทียม “ได้เลยครับ ได้เลย”
หลังวางสาย ลู่อวี๋ที่นั่งอยู่บนพื้นมึนๆ นิดหน่อยว่าทำไมพ่อแม่หมิงเยี่ยนมีท่าทีแบบนี้ คุณพ่อหมิงไม่ต้องพูดถึง คุณแม่หมิงดีกับเขาเกินไปแล้ว อย่างกับว่าเขาเป็นลูกเขยที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากตระกูลหมิงจริงๆ อย่างนั้นแหละ
หมิงเยี่ยนนั่งยองลงมองเขา ขำขันนิดหน่อย “งั้นนายคิดว่าพวกเขาควรจะทำยังไงล่ะ”
“ยังไงก็ต้องตำหนิเสียงดังใส่สิ” ลู่อวี๋ว่า แล้วโรคโอเวอร์แอ็กติ้งก็กำเริบ เขาชี้ลูกโป่งท่านประธานที่ลอยกลางอากาศ “เจ้าอันธพาลน้อยนี่ อยู่ห่างๆ จากลูกชายของฉันซะ ลูกชายของฉันเป็นเด็กดีมาตั้งแต่เด็ก จะเป็นพวกชอบเพศเดียวกันได้ยังไง จะไปถูกพวกกุ๊ยอย่างแกพาเดินผิดทางได้ยังไง! รออยู่นั่น ฉันจะไปหาแก จะไปหักขาสุนัขของแกทิ้งเดี๋ยวนี้!” ว่าพลางก็หันไปหาท่อนไม้ข้างหลังอย่างอินบทบาท
น้องรองถูกเขาปาบทใส่ก็ทำอะไรไม่ถูก ลูกโป่งลูกหนึ่งลอยเออร์เรอร์กลางอากาศไปหลายวินาที โมโหฮึดฮัด “ฉันไม่ได้พาลูกชายคุณเดินผิดทาง ฉันประธานเสิ่นเป็นชายแท้ระดับเพชร ผู้ครองฮาเร็มสาวงามสามพันนางต่างหาก!” จากนั้นก็กระแทกลูกโป่งเงือกอย่างไม่ชอบใจไปทีหนึ่ง แล้วก็ถูกพี่ใหญ่ฟาดหางกลับไปหนึ่งป้าบ
“ฮ่าๆๆๆ” หมิงเยี่ยนโดนจี้เส้นก็นั่งลงกับพื้นไปด้วย ตบๆ ศีรษะลูกหมาของลู่อวี๋ปุๆ “พวกเขา…พวกเขารู้ว่าเราเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจกัน ไม่ทำให้นายลำบากใจหรอก”
ลู่อวี๋ได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่ใช่แค่ไม่โล่งใจขึ้นเลย แต่กลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขายอมโดนพ่อตาทุบสักยกดีกว่าได้รับความถ่อมตัวแบบนี้ เขาเซ้าซี้อย่างไม่ยอมแพ้ “งั้นที่พ่อเราบอกให้พี่จงหยัดยืนอย่างซื่อสัตย์คืออะไรเหรอ”
คุณพ่อหมิงรู้สึกแคลงใจที่พวกเขาสองคนมีอะไรไม่สุจริต อยากเตือนสติให้หมิงเยี่ยนไม่ทำอะไรสกปรกโสมมหรือเปล่า
หมิงเยี่ยนเหลือบมองเขา
ลู่อวี๋ใจฝ่อ กระแอมแห้งหนึ่งที “แค่กๆ แบบ…เราสองคนแต่งงานกันแล้ว พ่อพี่ก็คือพ่อของผมเหมือนกัน มีผลยอมรับทางกฎหมาย”
หมิงเยี่ยนไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา “ก็แค่บอกให้ฉันไม่แกล้งนายนั่นแหละ”
ลู่อวี๋ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด คิดไว้แล้วเชียว พ่อตาช่างมีนัยน์ตาทิพย์สุวรรณอัคคี* มองออกว่าพวกเขามีอะไรไม่บริสุทธิ์ เขาจะทำเป็นโดนรังแกแล้วไปฟ้องเพื่อทวงหาความเป็นธรรมดีไหม ยังไงเขาก็เด็กกว่าหมิงเยี่ยน ดูเหมือนเขาเสียเปรียบมากๆ ด้วย
ไม่ได้!
ลู่อวี๋หันหน้าไปมองหมิงเยี่ยน เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนใจลอยไปไกล ก็มองออกเลยว่ากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ คำพูดเมื่อกี้ก็คงแค่จะหลอกเขาเฉยๆ เขาทำทีเป็นถอนหายใจอย่างสมบทบาท “ลู่ต้าอวี๋นี่น้า เหลวแหลกจนน่าเวทนา ขนาดพ่อตายังไม่อยากตีนายเลย”
“ปะป๊า ทำไมถึงอยากให้พ่อตาตีล่ะครับ” ลูกโป่งเงือกลอยเข้ามาถามอย่างไม่เข้าใจ ปกติแล้วการฝึกสมองอัจฉริยะ ผู้ฝึกจะเป็นคนถามคำถาม และ AI จะค้นหาคำตอบมาตอบด้วยตัวเอง จะป้อนความรู้เข้าไปก็เอาความรู้เข้าปากให้ AI ไปเลยตรงๆ แต่ลู่ตงตงนั้นพัฒนาไปอีกระดับแล้วอย่างชัดเจน เขาสามารถตั้งคำถามด้วยตัวเองได้
ลู่อวี๋ตั้งใจอธิบาย “พ่อตาโกรธ ก็แปลว่าเขายอมรับความสัมพันธ์ของเราสองคน แล้วจะรู้สึกถึงอันตรายเหมือนลูกชายของเขาจะถูกเด็กเกเรพาเสียคน”
หมิงเยี่ยนไม่ได้เข้าร่วมการปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา ลุกขึ้นเตรียมตัวออกจากวงสนทนา ทว่ากลับถูกลู่อวี๋ตาไวมือไวกอดขาหมับ
“พี่เยี่ยนครับ ผมลงแดงอีกแล้ว ทรมานมากเลย ในฐานะพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ พี่ต้องให้ความช่วยเหลือผมในยามจำเป็นด้วยนะครับ” ลู่อวี๋เอาหน้าแนบกางเกงนอนเนื้อผ้าไหมตรงน่องขาของหมิงเยี่ยน คลอเคลียสุดฤทธิ์
หมิงเยี่ยนถูกเขาเกาะแกะจนเดินเซ ลงไปนั่งบนโซฟา
ลู่อวี๋ถือโอกาสปีนขึ้นโซฟา ซุกหน้ากับไหล่หมิงเยี่ยนแล้วสูดหายใจสุดปอด กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าผสมกับกลิ่นไม้จันทน์สดชื่นรื่นใจ ดมแล้วรู้สึกเมามายยิ่งกว่าซิการ์ที่เขาว่าแรงที่สุดอีก โดพามีนที่ให้ความสุขจำนวนมากกำลังหลั่งอยู่ในสมอง ช่วยต่อต้านความกระหายโดพามีนจากอาการติดเหล้าได้
หมิงเยี่ยนจั๊กจี้ ทำอะไรไม่ได้ “ฉันไม่เคยได้ยินพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจที่ไหนเขาขอความช่วยเหลือแบบนี้มาก่อน”
“งั้นตอนนี้ก็ได้ยินแล้วนี่ไง” ลู่อวี๋สูดต่ออีกหลายฟอด ล่องลอยอย่างกับบรรลุเป็นเซียน เขาซุกจมูกกับคอเสื้อเนื้อนุ่มของอีกฝ่าย “การช่วยพาร์ตเนอร์เอาชนะอุปสรรค ปรับทัศนคติ เป็นหน้าที่ที่พี่ควรทำให้เต็มที่นะ”
ลู่อวี๋ฉุกนึกบทสุดคลาสสิกในนิยายวายที่พระเอกชอบบีบบังคับขึ้นมาได้ ‘นายคงไม่อยากให้คนอื่นเห็นคลิปของนายใช่ไหมล่ะ’ เขาถึงกับเงยหน้าขึ้น ยิ้มร้ายหนึ่งที แล้วใช้เสียงสั่นต่ำแหบพร่าเหมือนฟองอากาศกระซิบข้างหูหมิงเยี่ยน “พี่คงไม่อยากให้คนอื่นเห็นไอ้ขี้เหล้าออกไลฟ์ใช่ไหมล่ะ”
“พรืด…” หมิงเยี่ยนโดนเขากระตุกต่อมหัวเราะ ยกมือขึ้นขยี้ศีรษะลูกสุนัขของเขา ยีเส้นขนที่เพิ่งจะเป่าแห้งจนสภาพเป็นรังนก
ลู่อวี๋ถูไถคลอเคลียฝ่ามือของหมิงเยี่ยน แล้วก็ฉวยจังหวะนี้ไหลตัวลงไปนอนทับตักของอีกฝ่ายอย่างกระเง้ากระงอด “ผมจะต้องเลิกเหล้าให้ได้ ไอ้นี่มันทำร้ายคนเกินไปแล้ว ถึงตอนนั้นผมจะคืนลู่ต้าอวี๋ที่สุขภาพแข็งแรงให้พี่ ลู่ต้าอวี๋นี่ดีจริงจริ๊ง อุปสรรคอะไรผมก็ต้องมาแบกแทนหมด เขาแทบไม่ต้องออกแรงเลย เจ้าหมอนี่ย้อนกลับไปสิบปีที่แล้ว ก็ยังไม่รู้อีกว่าจะย่ำยีร่างกายอันอ่อนเยาว์ของผมแบบไหน”
หมิงเยี่ยนมองเจ้าคนที่เนียนเอนลงนอนตักเขาอย่างเป็นธรรมชาติแล้วก็ต้องส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ
เวลานั้นเองลูกโป่งท่านประธานลอยเข้ามาหา กระซิบเสียงเบา “ข้อความใหม่ครับ”
หมิงเยี่ยนกดเปิดสมองอัจฉริยะ แล้วก็เห็นข้อความที่ลู่เจินนีส่งมาให้ เขาก็คือลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงของลู่อวี๋ที่ค่อนข้างเอะอะโวยวายคนนั้น
‘ลู่เจินนี : หมิงเยี่ยน พรุ่งนี้พวกเรามาเจอกันหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเข้าตลาดหลักทรัพย์ของเฉินอวี๋เทคโนโลยี ตระกูลลู่ของเราช่วยได้นะ’
หมิงเยี่ยนก้มหน้ามองลู่อวี๋ เจ้าเด็กนี่ไม่รู้ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พลังกายของลู่ต้าอวี๋แย่มากจริงๆ วุ่นวายมาทั้งวันแป๊บเดียวก็หมดเรี่ยวแรง เขาเกลี่ยผมที่เข้ามาใต้ชายเสื้อนอนตรงเอวของตัวเอง ยกมือขึ้นตอบข้อความ
‘ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลา ถ้าจะนัดล่วงหน้าแจ้งเลขาฯ ฉันได้เลย’
ลู่เจินนีที่อยู่อีกฝั่งราวกับกินรังแตน ส่งข้อความเสียงยาวเหยียดเข้ามา หมิงเยี่ยนไม่ได้กดเปิดฟัง แต่กดแปลงเสียงเป็นข้อความ
‘ลู่เจินนี : คนแซ่หมิงทำไมถึงได้ไร้มารยาทขนาดนี้? ที่ลู่อวี๋แตกหักกับตระกูลลู่เป็นเพราะนายเข้ามายุแยงใช่หรือเปล่า? นายรู้หรือเปล่าว่าคุณลุงกับคุณป้าของฉันเสียใจแค่ไหน? คอยดูเลยนะ พรุ่งนี้ฉันจะไปหานายที่บริษัท!’
หมิงเยี่ยนตอบกลับ
‘ถ้าเกิดพวกเขาเสียใจ ก็กรุณาให้พวกเขามาคุยกับลู่อวี๋ด้วยตัวเองครับ’
หมิงเยี่ยนถอนหายใจ ก้มหน้าลงมองลู่เสี่ยวอวี๋ที่นอนหลับเคลิ้ม อดไม่ได้ที่จะลูบๆ ผมนุ่มฟูของเขา ก่อนพูดเสียงแผ่ว “ปลาน้อยปลาน้อย* อย่าโตเลยนะ ไม่ต้องมองไม่ต้องฟังไม่ต้องกลัว”
มันเป็นเพลงกล่อมเด็กที่เขาฟังในวัยเด็ก เนื้อร้องเดิมคือ ‘เด็กดีเด็กดี รีบๆ โตนะ ลมโบกพายุฝนไม่ต้องกลัว’
วันรุ่งขึ้นลู่อวี๋ตื่นขึ้นจากการนอนอิ่มเต็มที่ ก่อนจะพบว่าตัวเองนอนหลับอยู่บนโซฟา แล้วก็ต้องรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาทันที เทพบุตรของเขาใจดำเกินไปแล้ว ปล่อยให้เขานอนอยู่บนโซฟาอย่างนี้ทั้งคืนเลยเหรอ
จากนั้นเขาก็เห็นผ้าห่มสักหลาดที่คลุมอยู่บนตัว พิมพ์ลายเหรียญสีทองอร่าม แล้วก็ยังเอาชายผ้าห่มคลุมรอบคอเขาให้มิดชิดอย่างใส่ใจด้วย
“ฮิๆๆ เมียจ๋าห่มผ้าให้ด้วยอะ! ใช่ๆ เขาอุ้มฉันไม่ไหว แต่ก็ปลุกฉันไม่ลงสินะ ฮิๆๆๆ!” ลู่อวี๋เริ่มไม่อยากขยับตัวไปไหน เขาเรียกลู่ตงตงให้มาถ่ายรูปเต็มตัวให้เขา จากนั้นก็กลิ้งตัวคลานลุกขึ้น รีบส่งรูปให้หยางเฉิน
‘สุนัขลู่ : เคยเห็นผ้าห่มที่น่ารักขนาดนี้หรือเปล่า? [แนบรูป]’
เหล่าหยางลืมตาตื่นยามเช้าด้วยความสะลึมสะลือ แล้วก็ต้องมาเห็นรูปแบบนี้ เขาหมดคำจะบรรยาย ได้แต่ตอบกลับไป
‘ไข่หยาง : นี่มันกู๊ดส์ของน้องรองไม่ใช่เหรอ ฉันก็ต้องเคยเห็นสิ’
มันเป็นกู๊ดส์อะนิเมะของเสิ่นไป๋สุ่ย ในห้องรับรองของบริษัทมีวางเรียงเป็นตับ
‘สุนัขลู่ : ไม่ นายไม่เคยเห็น มันคือผ้าห่มผืนน้อยที่พี่เยี่ยนห่มให้ตอนฉันหลับ’
‘ไข่หยาง : ชิ่วๆๆๆๆๆๆๆๆ!’
ไปอวดกับเหล่าหยางเสร็จ ลู่อวี๋ก็เดาะลิ้นอย่างพึงพอใจ ครุ่นคิดว่าจะส่งไปอวดกับใครได้อีก น่าเสียดายที่เขาเพิ่งจะมาอยู่ในอนาคตสิบปีข้างหน้าได้แค่สองวัน จำนวนคนที่รู้จักยังมีจำกัด
จ้าวเยียนชิงที่มาถึงบริษัทแต่เช้าเพื่อมาดูแผนการแล้วจะได้เอาไปเตรียมประชุม จู่ๆ ก็ได้รับข้อความหนึ่งจากลู่อวี๋ เขายิ้มเย็น ตอนนี้มาตรัสรู้แล้วว่าไม่ควรจาบจ้วงเสาทองคำ เลยทักมาขอโทษงั้นสินะ
เมื่อกดเปิดอ่าน
‘ลู่อวี๋ : เคยเจอผ้าห่มที่น่ารักขนาดนี้หรือเปล่า นี่น่ะ พี่เยี่ยนเขามาห่มให้ผมตอนนอนแหละ [แนบรูปลู่อวี๋นอนอยู่ใต้ผ้าห่มที่เต็มไปด้วยเหรียญสีทอง]’
จ้าวเยียนชิง “…” เขาส่งเครื่องหมายคำถามกลับไปตัวโตๆ
พริบตาฝั่งลู่อวี๋ก็ส่งมาอีกข้อความ แต่ก็ไม่ได้ยกเลิกข้อความก่อนหน้านี้คืน
‘ลู่อวี๋ : ขอโทษที ส่งผิดอะ’
จ้าวเยียนชิงกดวิดีโอคอลล์มาหา “ลู่อวี๋ ผมว่าคุณเข้าใจอะไรผมผิดนะ”
ลู่อวี๋มองจ้าวเยียนชิงในกล้องที่สวมสูทใส่รองเท้าหนังโปะแป้งและเซ็ตผมมันย่องแล้วก็ไม่ชอบใจมาก เขาดึงผ้าห่มมาคลุมขาตัวเอง “ไม่นี่ครับ ผมเข้าใจคุณอย่างแจ่มแจ้งแถมยังลึกถึงแก่นด้วย”
จ้าวเยียนชิงขมวดคิ้ว “เรามาคุยกันหน่อยสิครับ”
ลู่อวี๋ส่ายหน้า “วันนี้ไม่ได้ครับ ผมยังเตรียมตัวไม่พร้อม อีกสักพักแล้วกันนะ”
จ้าวเยียนชิงกัดฟัน “มากินมื้อเที่ยงด้วยกันสักมื้อก็ได้ครับ คุณต้องเตรียมตัวอะไรด้วยเหรอ”
ลู่อวี๋ไม่ตอบ ใช้คีย์บอร์ดสมมติค้นหาบนหน้าจอออพติคอลอย่างเร็วจี๋
‘คอร์สสอนต่อสู้ฉบับเร่งรัด’
‘สามสิบหกกระบวนท่าเด็ดใช้จัดการเมียน้อยสำหรับเมียหลวง’
‘จะทำให้ผู้ชายที่มักมากอยากได้ผู้ชายของฉันยอมถอดใจในหนึ่งกระบวนท่าได้ยังไง’
จ้าวเยียนชิง “…เวลาเสิร์ชหาข้อมูลก็ไม่จำเป็นต้องอ่านออกเสียงก็ได้นะคุณ”
* เจียงหนาน คือพื้นที่บริเวณตอนล่างของแม่น้ำแยงซีในประเทศจีนปัจจุบัน
* นัยน์ตาทิพย์สุวรรณอัคคี หมายถึงดวงตาเฉียบแหลม แยกแยะเท็จจริงได้
* ปลาน้อย ออกเสียงว่าเสี่ยวอวี๋
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.