X
    Categories: everYตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามีทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1 บทที่ 15-16 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง  ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1

ผู้เขียน :  ลวี่เหยี่ยเชียนเฮ่อ (绿野千鹤)

แปลโดย :  qMondae

ผลงานเรื่อง : 再少年 (Zai Shao Nian)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 15

วันรุ่ง

 

สุดท้ายลู่อวี๋ก็ตกลงยอมมาเจอกับจ้าวเยียนชิง เพราะว่าอีกฝ่ายจะคุยเรื่องเกี่ยวกับหมิงเยี่ยน

ตอนนี้เขารู้ข้อมูลน้อยเกินไป หมิงเยี่ยนยังไม่ยอมเล่าให้เขาฟังอีก ต่อให้จะเป็นคำพูดท้าทายจากปากซีเหมินชิง เขาก็อยากฟังดูสักหน่อย ดูว่าจะสามารถกลั่นกรองอะไรที่มีประโยชน์ออกมาได้หรือเปล่า

ไม่รอให้ลู่อวี๋พับผ้าห่มเตรียมตัวทำมื้อเช้าแห่งความรักให้ภรรยา หมิงเยี่ยนก็แต่งตัวครบชุดเตรียมพร้อมออกไปทำงานแล้ว

“ทำไมออกเช้าขนาดนี้ล่ะ” ลู่อวี๋หิ้วผ้าห่ม มองนาฬิกาบนผนัง

“วันนี้มีธุระต้องทำเยอะนิดหน่อย จะไปกินมื้อเช้าที่บริษัทเลย” หมิงเยี่ยนเดินพลางผูกเนกไทไปพลาง

ลู่อวี๋เลยได้แต่ต้องวางผ้าห่มลง วิ่งบึ่งไปห้องเปลี่ยนชุด “ขอแป๊บเดียว”

หมิงเยี่ยนชะงัก เหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “วันนี้นายมีงานอะไร”

ลู่อวี๋แปรงฟันพลางเปิดตารางงานที่เสี่ยวเจียงส่งมาให้ วันนี้ไม่มีธุระอะไร เขาแค่ต้องเอาแผนการปรับแก้ให้เหล่าหยาง ส่วนภารกิจอื่นก็คืออ่านหนังสือต่อให้ครบโควตาหกแสนคำสำหรับวันนี้

หมิงเยี่ยนพยักหน้า “งั้นวันนี้ไม่ต้องเข้าบริษัทแล้ว ทำงานที่บ้านเถอะ ประหยัดเวลา”

ลู่อวี๋รีบบ้วนน้ำล้างปาก วิ่งไปที่โถงทางเข้า ดึงชายเสื้อของหมิงเยี่ยน “พี่รำคาญผมเหรอ ผมรับรองว่าจะไม่รบกวนพี่ตอนทำงานเลย”

หมิงเยี่ยนหน่ายใจ “วันนี้มีประชุมทีมอาร์ต ต้องประชุมยาวทั้งวัน ไม่มีเวลาเล่นเป็นเพื่อนนายหรอกนะ” วันไลฟ์ใกล้เข้ามาทุกที ไม่ใช่แค่ทีมอาร์ตที่ต้องเคลียร์งานอันหนักหน่วง แต่ยังมีธุระอีกมากมายหลายอย่างที่จะต้องประสานงานอีก ตรงส่วนนี้ก็รวมไปถึงงานที่เดิมเป็นหน้าที่ของลู่อวี๋ด้วย ซึ่งตอนนี้มีแค่เขาคนเดียวที่ทำได้

แต่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบอกเรื่องนี้กับลู่เสี่ยวอวี๋ แค่เขาสามารถอ่านสี่ล้านตัวอักษรจบภายในเจ็ดวันได้ก็รู้สึกขอบคุณฟ้าดินแล้ว

“หึ ผมว่าแล้ว” ลู่อวี๋เบะปากฟ้องร้อง “เมื่อคืนยังเรียกเค้าตัวน้อยอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงไล่เค้าแล้วล่ะ”

หมิงเยี่ยนงอนิ้วดีดหน้าผากเขา “ตั้งใจทำงาน ไม่งั้นอาทิตย์หน้าอย่าว่าแต่ตัวน้อยเลย บริษัทน้อยๆ ของนายก็ไม่เหลือแน่”

ลู่อวี๋กุมหัว สบถสาบานออกมา “วางใจครับ ไม่มีทางแน่นอน ผมจะปั้นบริษัทให้เติบโตเป็นบริษัทใหญ่กว่าหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีได้แน่ ให้พ่อพี่ยอมรับการแต่งงานของเรา!”

ได้ยินคำว่าหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีแล้วหมิงเยี่ยนก็ชะงักไปเล็กน้อย “หมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีอยู่มาเป็นร้อยปีแล้วนะ…”

ความหมายในคำพูดคือ ‘คนชื่อลู่อวี๋อย่าได้คิดไปเทียบกับวัตถุโบราณนับร้อยปีนั่นเลย’

ลู่อวี๋โบกมือปัด “ไม่เป็นไร บริษัทเราก็อยู่ถึงร้อยปีได้ รอให้พ่อพี่อายุร้อยห้าสิบแล้วค่อยเชิญเขามาพูดสุนทรพจน์ครบรอบร้อยปี”

หมิงเยี่ยนถูกเขาพูดจี้เส้นอีกแล้ว สองมือจับแก้มของเขามาดึง พ่อใครจะอยู่ได้ถึงร้อยห้าสิบปีบ้างล่ะ เจ้าเด็กบ้านี่อ้าปากก็เอาใหญ่เลยนะ

ลู่อวี๋ถูกมือนุ่มนิ่มกุมหน้า นิ้วเรียวยาวนั้นสอดตรงหูเขาพอดี ความวาบหวามแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขารู้สึกมึนเมา “จังหวะแบบนี้ ไม่ใช่ว่าควรจูบผมเหรอ”

หมิงเยี่ยนมองใบหน้าที่ถูกเขากุม ที่จริงแล้วใบหน้านี้หล่อเหลามาก แต่ไม่ได้ออกไปตากแดดนาน ตัวจึงขาวจนจะมองทะลุได้อยู่รอมร่อแล้ว โชคดีที่เดี๋ยวนี้ไม่มีใต้ตาดำ ทำให้ดูสวยงามกว่าเดิมไม่น้อย ถ้าเกิดว่าเอาเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเหมือนเมื่อก่อนกลับมาได้ก็ต้องน่ารักมากแน่นอน

เขาบีบแก้มที่ไม่มีเนื้อเลยหนึ่งที “คิดอะไรของนาย”

ตอนนี้พวกเขาเป็นแค่พาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ มาจงมาจูบอะไร เกือบจะหลงกลเจ้าเด็กนี่แล้วสิ

ลู่อวี๋พูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “ทำไมล่ะ พี่บอกว่าสมัยเรียนก็เคยคบกับผมนี่ งั้นก็แปลว่าช่วงเวลานั้นพวกเราคบกันอย่างคนรัก ตอนนี้ผมก็คือลู่เสี่ยวอวี๋สมัยเรียนมหา’ลัย เทียบบัญญัติไตรยางศ์แล้วพวกเราตอนนี้ก็ถือว่าเป็นคนรักกันอยู่”

คนรัก ก็ต้องมีสิทธิ์ได้รับคิสๆ สักหนึ่งทีตอนที่ถูกกุมใบหน้าสิ

หมิงเยี่ยนปล่อยเขา ส่ายหน้าแล้วหลุดหัวเราะ “คนสอนคณิตให้นายเป็นอาจารย์สายภาษาหรือไง”

สุดท้ายลู่อวี๋ก็ไม่สามารถใช้ตรรกะของอาจารย์สายภาษามาหลอกรับจูบไปได้ เขาทำแซนด์วิชพร้อมบ่นงุ้งงิ้งก่อนจะคาบไปห้องทำงาน

 

ลู่อวี๋อ่านหนังสือครู่หนึ่ง แล้วหัวก็หวนนึกถึงท่ากุมใบหน้าพิฆาตหัวใจเมื่อเช้านี้ เขาอิ่มอกอิ่มใจจนส่ายหัวออกมา

เขาดึงกระดาษ A4 ออกมาหนึ่งแผ่น วาดเส้นไทม์ไลน์ลงบนกระดาษ

ตอนที่พวกเขาสองคนรู้จักกัน เขาอยู่ปีสอง หมิงเยี่ยนเรียนปีสาม ด้วยความสามารถของเขา จะตามจีบติดภายในหนึ่งปีไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ก่อนหน้านี้หมิงเยี่ยนเคยพูดกับลู่ตงตงที่อยู่ในเครื่องจำลองอยู่ว่าตอนไปเรียนต่างประเทศ งั้นก็แสดงว่าหลังหมิงเยี่ยนเรียนจบก็อาจจะไปศึกษาระดับสูงต่อที่ต่างประเทศ

งั้นก็คบกันอย่างน้อยหนึ่งปี

ส่วนหลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้แล้ว ลู่ต้าอวี๋เหมือนจะไม่ได้ตามไปต่างประเทศด้วย คบกันทางไกลก็ไม่รู้จะคบกันได้นานแค่ไหน

จากนั้นลู่อวี๋ก็ก่อตั้งเฉินอวี๋เทคโนโลยีเมื่อห้าปีก่อน แล้วหมิงเยี่ยนก็มาเข้าร่วมตอนสามปีก่อน

ลู่อวี๋มองเส้นไทม์ไลน์ด้านหลังพลางเกาหัว

กล่าวกันตามหลักหลังจากหมิงเยี่ยนเรียนจบแล้วก็น่าจะไปรับช่วงต่อธุรกิจครอบครัวสิ ทำไมถึงได้มาขลุกอยู่กับบริษัทสตาร์ตอัพกับเขาล่ะ

หมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีเป็นกิจการของตระกูลที่สืบทอดกันมานับร้อยปี ในอดีตใช้ชื่อว่า ‘หมิงรื่อวอตช์สโตร์’ แรกเริ่มเดิมทีแล้วเป็นบริษัทต่างชาติที่จัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ต่างประเทศ จากนั้นก็เปลี่ยนมาผลิตเอง ช่วงร้อยปีมานี้มีขึ้นมีลง สุดท้ายก็กลายมาเป็นผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำของประเทศ

เมื่อก่อนมีสโลแกนในโฆษณาบนทีวีที่ดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองว่า ‘วันรุ่งและวันรุ่ง อีกกี่วันรุ่งถึงจะสิ้นสุด จงใช้เวลาอย่างรู้คุณค่าสิ’*

วลีนี้เคยถูกดาราดังในแต่ละยุคท่องมาก่อน แค่นี้ก็พอให้เห็นแล้วว่ากิจการของตระกูลหมิงเยี่ยนใหญ่โตแค่ไหน แล้วเขายังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลด้วย

“หมิงเยี่ยนต้องชอบลู่ต้าอวี๋อยู่แน่ๆ” ลู่อวี๋ปักความเห็น เขาต่อยใส่รูปลู่ต้าอวี๋ไปหนึ่งทีด้วยความไม่ได้ดั่งใจ ไอ้หมอนี่ใจไม่สู้เอาซะเลย สามปีแล้วก็ยังย่ำอยู่ที่เดิมเนี่ยนะ!

เมื่อนึกถึงหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรี ลู่อวี๋ก็มานั่งใคร่ครวญว่าควรจะแทรกโฆษณาของพ่อตาในไลฟ์อาทิตย์หน้าสักหน่อยดีไหม จะได้ทำคะแนนเพิ่มด้วย

ว่าแล้วก็ลงมือ ลู่อวี๋เปิดคอมฯ ค้นหาหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีก็แน่ใจแล้วว่าสโลแกนโฆษณาในปัจจุบันยังไม่เปลี่ยน

เขากดค้นหา ข่าวเกี่ยวกับหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีก็เด้งออกมาเป็นแพ ลู่อวี๋อึ้งเบาๆ

 

หมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการจาก RZ Group

หมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากทุนต่างชาติ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างหนัก’

หมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีปล่อยหุ้นกู้เพื่อรักษาการดำเนินงาน ประธานบริษัท หมิงจือกู้’ ประกาศกร้าวว่าไม่มีวันยอมจำนน’

หมิงรื่อวอตช์อินดัสทรี เผชิญวิกฤตหนี้สิน ทายาทหนุ่ม ‘หมิงเยี่ยน’ กลับประเทศเพื่อเข้ากุมบังเหียน…’

 

ข่าวพวกนี้เป็นข่าวเมื่อห้าปีที่แล้วทั้งนั้น จากนั้นก็ไม่มีข่าวใดๆ เกี่ยวกับหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีอีกเลย จะมีก็แต่ข่าวเกี่ยวกับหมิงเยี่ยนเล็กน้อยเท่านั้น

ลู่อวี๋เหม่อไปครู่ใหญ่ ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองหนึ่งทีดังเพียะเสนาะหู เขาไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เมื่อเช้ายังแซวอยู่เลยว่าจะเติบโตเป็นบริษัทใหญ่อย่างหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีให้ได้ต่อหน้าหมิงเยี่ยน

“ไม่ใช่แค่ลู่ต้าอวี๋แล้วล่ะที่เป็นไอ้เฮงซวย ฉันเองก็เป็นไอ้เฮงซวยเหมือนกัน”

เขานั่งไม่ติดอีกต่อไป คว้าลู่ตงตงมาสวมที่ข้อมือ สวมหูฟัง แล้วออกจากบ้านทันที

ลู่อวี๋เดินพลางฟัง ‘ทะลวงหมาป่าสวรรค์’ ความเร็วสามเท่าไปด้วย เขามุ่งตรงไปยังหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีที่อยู่ใจกลางเมือง หูฟังตัดเสียงรบกวนหลังผ่านนวัตกรรมมา ตอนนี้สวมแค่ข้างเดียวก็สามารถได้ยินเสียงชัดเจน เขาทำสองอย่างพร้อมกัน ไม่ช้าก็เดินมาถึงถนนย่านการค้า

ตึกที่ตั้งอยู่ใจกลางถนนย่านการค้าคือหมิงรื่อวอตช์สโตร์ เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อน เป็นร้านหลักของหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรี ตึกรามรอบข้างล้วนแล้วแต่เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ศตวรรษก่อน ตึกบริษัทการค้าต่างประเทศที่สร้างจากหินสีเทาขาวสลักลวดลาย แขวนป้ายตัวอักษรจีนแนวตั้งแบบดั้งเดิมที่สืบทอดมาเป็นร้อยปี ป่าวประกาศถึงความรุ่งโรจน์ที่ดำเนินมาต่อเนื่องตั้งแต่ร้อยปีก่อนจวบจนปัจจุบัน

พนักงานในร้านยืนหงอยเหงาอยู่ด้านหลังตู้โชว์กระจก เมื่อเห็นลู่อวี๋เดินเข้ามาก็ราวกับมองเห็นสัตว์หายากอะไรทำนองนั้น พูดเสียงไร้ชีวิตชีวา “คุณผู้ชาย ตามหานาฬิกาข้อมือใช่ไหมคะ รุ่นใหม่เหมาะกับการสวมมือขวา ไม่เป็นอุปสรรคในการใช้งานสมองอัจฉริยะของคุณผู้ชายแน่นอนค่ะ”

ลู่อวี๋พลันเข้าใจทุกอย่าง หมิงรื่อวอตช์อินดัสทรีไม่ใช่แค่ได้รับการบีบคั้นจากทุนต่างชาติ แต่ยังถูกผลกระทบจากการมาของสมองอัจฉริยะโจมตีด้วย ตอนนี้เกรงว่าคงกำลังปากกัดตีนถีบอยู่

ลู่อวี๋หยิบเรือนหนึ่งขึ้นมาเทียบกับข้อมือขวา รู้สึกหน่ายใจเล็กน้อย คนทั่วไปไม่มีทางสวมนาฬิกาข้อมือที่ข้อมือขวาแล้วสวมสมองอัจฉริยะที่ข้อมือซ้ายหรอก เพราะมันจะทำให้ดูโง่เง่ามาก

“เอ๋?” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ลู่อวี๋หันหน้าไปเห็นจ้าวเยียนชิงที่นัดกินข้าว ‘ง่ายๆ’*

จ้าวเยียนชิงอึ้งมาก

“ผมกำลังอยากจะซื้อนาฬิกาหมิงรื่อสักเรือนพอดี จะได้เตือนคุณให้ดูสถานการณ์ของหมิงรื่อด้วย ไม่คิดว่าคุณจะมาก่อน พอดีเลย ตอนเที่ยงไม่ต้องเลี้ยงข้าวคุณแล้ว คุยที่นี่เลยแล้วกัน” เขาพูดพลางหยิบนาฬิกาข้อมือในมือลู่อวี๋ขึ้นมามองเวลา แล้วเชิดคางเบาๆ “ตอนนี้คุณมีเวลาคุยกับผมยี่สิบนาที”

ลู่อวี๋ฉุนจนแค่นหัวเราะ “ประธานซีเหมิน ปกติคุณไม่มีเพื่อนเลยเหรอ คุณนัดผมออกมา แต่มากำหนดเวลาผมยี่สิบนาทีเนี่ยนะ น่ารังเกียจจริงๆ”

จ้าวเยียนชิงยิ้มเย็น “เวลาของผมมีค่ามาก ไม่เหมือนคุณหรอก ว่างจนออกมาเดินช็อปปิ้งได้”

พนักงานมองเขาแกว่งนาฬิกาสีทองเรือนนั้นไปมาจึงกังวลอย่างมาก ยื่นสองมือไปรองข้างใต้ ก่อนเอ่ยแทรกในเวลาพอเหมาะพอดี “คุณชายซีเหมิน ต้องการให้ฉันห่อนาฬิกาเรือนนี้ให้เลยไหมคะ”

“เอ่อ ห่อเลย…” จ้าวเยียนชิงยังไม่ทันว่าจบ พลันเลือดขึ้นหน้า “ใครบอกเธอว่าฉันคือคุณชายซีเหมิน!”

 

 

* พรุ่งนี้ ในภาษาจีนคือคำว่าหมิงรื่อ (明日) ซึ่งเป็นคำเดียวกับ ‘หมิงรื่อ’ ในหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรี

* ง่ายๆ ในภาษาจีนสามารถแปลได้ว่าขับถ่ายอีกด้วย

บทที่ 16

ยั่วยุ

 

“โถ่ สาวน้อยคนนี้เขาก็แค่ได้ยินมา ไม่เห็นจะต้องดุขนาดนั้นเลยนี่ครับ” ลู่อวี๋เกลี้ยกล่อมท่าทีประจบประแจงหนึ่งประโยค แล้วเอ่ยกับพนักงานที่ส่งสายตาซาบซึ้ง “ช่วยห่อให้ประธานซีเหมินหนึ่งเรือน แล้วค่อยห่อให้ประธานจ้าวอีกหนึ่งเรือนนะครับ”

ไฟโทสะของจ้าวเยียนชิงจุกอยู่ในลำคอ กลืนไม่ได้คายไม่ออก กัดฟันถาม “ลู่อวี๋ ทำไมคุณถึงต้องเรียกผมว่าประธานซีเหมินด้วย”

ลู่อวี๋เอนพิงเคาน์เตอร์อย่างกับไม่มีกระดูก เอ่ยอย่างหาเรื่อง “แค่ชื่อคุณเหมาะกับแซ่นี้เกินไป พอผมพูดไปรอบนึงก็ติดจำชื่อนี้ไปแล้ว เลยเผลอเรียกผิดตลอด ขอโทษจริงๆ ครับ”

พูดคำนั้นจบ พนักงานร้านก็ห่อนาฬิกาสองเรือนเสร็จพอดี เธอนำไปบรรจุใส่ถุงหูหิ้วแสนวิจิตรงดงาม ปั๊มโลโก้หมิงรื่อ ลวดลายเรียบๆ แต่ให้ความรู้สึกหรูหราสง่างาม ไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนนัก ลู่อวี๋เห็นแล้วรู้สึกชอบ คาดเดาในใจว่าหมิงเยี่ยนต้องเป็นคนออกแบบให้ใหม่หลังจากกลับมาแน่นอน

ลู่อวี๋ยัดสองถุงนั้นใส่มือประธานจ้าวพลางกล่าว “ขอบคุณที่อุดหนุน” ประหนึ่งว่าเป็นธุรกิจของเขาเองอย่างไรอย่างนั้น

จ้าวเยียนชิงหันหลังเดินจากไปด้วยสีหน้ามืดครึ้ม แต่ถูกลู่อวี๋ก้าวฉับๆ ตามไปเอาแขนโอบรอบคอ เขาเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ สีหน้าแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดเจ้าคนแซ่ลู่ก็รู้สักทีว่าเขาคือเสาทองคำ จะเล่นล้ำเส้นเกินไปไม่ได้ คงจะมาขอโทษเขาสินะ

ลู่อวี๋ตบอกจ้าวเยียนชิง “ไปๆ ผมเลี้ยงข้าวเอง เฮ้อ เห็นคุณใจแคบขนาดนี้แล้ว ผมจ่ายค่าข้าวให้เองดีกว่า”

จ้าวเยียนชิง “…” หน้าอกที่ถูกตบกลายเป็นว่าอัดอั้นตันใจหนักกว่าเดิม ราวกับว่าเลือดคั่งรวมกันเป็นแอ่งอยู่ในนั้น

 

ทั้งสองเข้าไปในร้านอาหารสเปนร้านหนึ่ง เลือกนั่งตรงตำแหน่งติดหน้าต่าง

ประธานจ้าวสั่งของตัวเองก่อน แล้วถือแก้วน้ำมองฝูงชนที่เดินขวักไขว่ไปมาบนถนนด้านนอก พูดคล้ายกับว่าคิดถึงอดีต “หมิงเยี่ยนชอบตำแหน่งที่เห็นวิวถนนแบบนี้ที่สุดเลยล่ะ เมื่อก่อนตอนอยู่ประเทศ F เขามักจะมานั่งตรงโต๊ะติดหน้าต่างแล้วมองคนเดินบนถนน นั่งทีนึงก็นั่งทั้งบ่าย”

บนถนนต่างประเทศที่ฝนตกปรอยๆ ภายในกระจกที่มีแสงไฟสีเหลืองนวล คนงามที่นั่งและแต่งกายรสนิยมสูงมีแววตาระทมทุกข์ ภาพแบบนั้นแค่นึกถึงก็รู้สึกเมามายในหัวใจ

ลู่อวี๋สั่งอาหารของตัวเอง วางใบเมนูลง แล้วมองจ้าวเยียนชิงด้วยสายตาประหลาดหนึ่งที “คุณนี่มันคิดไม่ซื่อจริงๆ เดินบนถนนต่างประเทศ จะเอาแต่จ้องคนที่กินข้าวอยู่ข้างในหน้าต่างขนาดนั้นทำไม ถ้าไม่รู้คงคิดว่าคุณเป็นเด็กชายขายไม้ขีดไฟ* แล้ว”

ประธานจ้าวที่พยายามจะอวด “…”

ลู่อวี๋ยกจานของว่างที่ถูกยกเสิร์ฟมาก่อนขึ้นมา เคี้ยวหงับๆ แล้วยังดันจานให้ประธานจ้าวกินด้วย

เมื่อยั่วโมโหลู่อวี๋ไม่สำเร็จ พริบตาเดี๋ยวบทสนทนานี้ก็ไปต่อไม่ได้ จ้าวเยียนชิงได้แต่เกร็งคอฝืนเปลี่ยนเรื่องอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “พวกเราสองคนรู้จักกันนานแล้ว ถ้าไม่เห็นแก่หน้าเขา ผมก็คงไม่พิจารณาลงทุนกับบริษัทซอมซ่อแบบนั้นหรอก”

พูดถึงตรงนี้ประธานจ้าวก็หาจังหวะได้แล้ว สองมือประสานวางไว้บนโต๊ะ ทำทีเหมือนนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการเจรจา

“อุตสาหกรรมหลักของบริษัทคุณมันเปราะบางเกินไป สมองอัจฉริยะที่ออกมาจากโรงงานพร้อมกับผู้ช่วยอัจฉริยะ ส่วนผู้ช่วยสมองอัจฉริยะส่วนตัวอะไรนั่นเดิมทีก็เป็นแค่สิ่งที่เสริมเติมแต่งขึ้นมาโดยไม่จำเป็น” ว่าจบก็มองลู่อวี๋ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เผยยิ้มยั่วยุออกมา พูดชัดถ้อยชัดคำ “ผมทำเพื่อหมิงเยี่ยนทั้งนั้น”

เวลานั้นปาเอยา* ที่ลู่อวี๋สั่งก็ถูกเสิร์ฟ ลู่อวี๋ยกช้อนขึ้นมาชิมหนึ่งคำ แล้วดวงตาก็เป็นประกาย “อันนี้ไม่เลวเลย…พนักงาน”

เขาเรียกพนักงานเข้ามา แล้วสั่งเพิ่มอีกชุดสำหรับนำกลับไปกินที่บ้าน พร้อมกำชับอย่างละเอียดว่าต้องทำหลังจากเขาจ่ายเงินแล้วเท่านั้น ตอนที่เขารับมาจะได้ยังสดใหม่และร้อนๆ อยู่

ดั่งปล่อยหมัดชกปุยนุ่น ประธานจ้าวรู้สึกไม่ยุติธรรมเลย เขามองลู่อวี๋ก้มหน้าก้มตาโม้เรื่องอาหารตาปริบๆ ไปหลายคำ แล้วอีกฝ่ายถึงหันมาเอ่ยกับเขาหนึ่งประโยค “หลายวันนี้ยุ่งมาก หมิงเยี่ยนเอาแต่กินข้าวในโรงอาหาร มันไม่ค่อยดี ผมว่าจะเอากลับไปให้เขาสักชุด ตอนนั้นประธานจ้าวก็เรียนอยู่ที่ประเทศ F เหมือนกันเหรอ ไม่สิ คุณโตกว่าหมิงเยี่ยนเยอะเลยนี่นา ตอนนั้นน่าจะเรียนจบแล้วไหม”

“ผมแก่กว่าเขาแค่สามปี” จ้าวเยียนชิงกัดกรามเอ่ยเน้นย้ำ “ตอนนั้นผมไปทำธุรกิจทางนั้นนิดหน่อย ได้ยินว่าเขาเรียนออกแบบอยู่ที่นั่นก็ไปเยี่ยมดู ตอนนั้นเขาได้รับโอกาสฝึกงานกับแบรนด์หรูระดับสูงแล้วด้วย เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ จะว่าไปแล้วเมื่อก่อนเราก็น่าจะเคยเจอกันมาก่อนนะครับ ถึงตระกูลเราจะไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกับตระกูลลู่ แต่ก็สามารถเจอกันได้ในหลายๆ งาน”

ลู่อวี๋ที่กำลังกินชะงักเล็กน้อย ก่อนขำเย้ยหยัน “ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งกับกงการของตระกูลลู่ ในเมื่อคุณพูดถึงขนาดนี้ก็น่าจะรู้นะว่าผมไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตระกูลลู่ ส่วนพวกงานของชนชั้นสูงที่คุณหมายถึง เกินครึ่งในนั้นไม่เคยมีผมอยู่ในงาน”

จ้าวเยียนชิงไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรในแวดวงสังคม แค่พอเห็นลู่อวี๋พูดออกมาอย่างเปิดเผยแบบนี้เขาก็ทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย “คุณไม่ไปมาหาสู่กับตระกูลลู่แล้ว แต่หมิงเยี่ยนเขาปล่อยตระกูลหมิงไม่ได้ สถานการณ์ของตระกูลหมิงตอนนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง จำเป็นต้องใช้เงินมาก

ถ้าเกิดได้รับเงินระดมทุนจากชิงฉวีแคปิตอล หมิงเยี่ยนก็สามารถขายหุ้นในมือให้ผมในราคาสูงได้ เขาจะได้รับเงินก้อนใหญ่ไปใช้แก้สถานการณ์จวนตัวตอนนี้ได้ คุณสนแต่ศักดิ์ศรีตัวเอง เคยคิดเพื่อเขาบ้างหรือเปล่า”

คำพูดนี้แทงใจดำมากๆ ลู่อวี๋ถึงกับต้องขมวดคิ้ว

เดิมเรื่องการระดมเงินลงทุนก็เป็นเรื่องปกติของการพัฒนาบริษัท แต่ซีเหมินชิงกลับพูดเหมือนว่าหมิงเยี่ยนจะต้องขายหุ้นแล้วหนีเสียอย่างนั้น

“แน่นอน ไม่ใช่เพื่อหมิงเยี่ยนไปซะทั้งหมดหรอก พอมีเงินทุนแล้วหนี้ของบริษัทคุณก็จะมีทางออก ธุรกิจมันก็เสมือนสงคราม พลาดโอกาสนี้ไปก็หาใหม่ไม่ได้แล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองไม่มีเงินใช้หนี้ตอนที่ถึงกำหนดต้องจ่าย แล้วจุดจบเป็นเหมือนหมิงรื่อวอตช์อินดัสทรี อย่าทำให้หมิงเยี่ยนเสียใจอีกเลย” จ้าวเยียนชิงสรุป แล้วยิ้มอย่างลำพองใจ

ลู่อวี๋จ้วงปาเอยาคำสุดท้ายเข้าปาก ก่อนยกมือขึ้นบอกให้พนักงานเช็กบิลพร้อมเริ่มทำอาหารที่สั่งกลับไปกินให้เขาได้เลย

เขาดื่มน้ำแล้วเช็ดปาก เหลือบสายตาขึ้นมองประธานจ้าว “แผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ถูกระงับไป ผมย่อมยินดีอยู่แล้วที่มีเงินลงทุนเข้ามา พอมีเงินทุนแล้วพวกเราก็ย่อมกดดันน้อยลง แต่ถึงไม่มีการระดมทุนพวกเราก็ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ ถ้าเกิดว่าประธานจ้าวแค่อยากเจรจาธุรกิจก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ถ้าจะลากเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วย นั่นก็เป็นการล้ำเส้นกันแล้วล่ะครับ ปัจจุบันหมิงเยี่ยนยังคงเป็นคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายของผมอยู่”

พูดพล่ามกันมาครึ่งวัน คนแซ่จ้าวก็หลุดข้อมูลออกมาไม่ใช่น้อย ลู่อวี๋นับว่าพึงพอใจกับผลลัพธ์มาก

“ส่วนการระดมทุน” ลู่อวี๋หัวเราะเบาๆ พลันขยับเข้าประชิดประธานจ้าวแล้วกระซิบ “ผมก็แนะนำให้ประธานจ้าวรีบๆ ตัดสินใจนะครับ คุณก็เห็นเครื่องจำลองมาแล้ว ถ้าเกิดว่าไลฟ์จบ ถึงชิงฉวีแคปิตอลจะอยากลงทุนกับเฉินอวี๋เทคโนโลยีแค่ไหน มูลค่าลงทุนจะไม่จบแค่ราคานี้หรอกนะครับ”

จ้าวเยียนชิงนัยน์ตาสั่นไหว ไม่พูดอะไรอีก

ลู่อวี๋ยิ้มเยาะ หิ้วถุงปาเอยาที่ห่อเรียบร้อยแล้วสะบัดก้นเดินจากไป พุ่งตัวออกไปแล้วก็โบกมือลวกๆ เป็นการบอกลาประธานจ้าว แผ่นหลังของเขาดูอยากสง่าผ่าเผยเท่าไหร่ก็ผ่าเผยได้เต็มที่

หลังออกมาจากร้านอาหารเขาก็เลี้ยวไปที่ร้านสเก็ตบอร์ด เขาเลือกซื้อลองบอร์ด* มาหนึ่งตัว ลองทำความคุ้นชินทีสองทีก็สวมหูฟังไถสเก็ตบอร์ดออกไป

ประธานจ้าวที่เห็นทุกอย่างนั้นอยู่ในสายตา “…”

 

ย่านถนนคนเดินตรงนี้อยู่ไม่ห่างจากเฉินอวี๋เทคโนโลยีนัก ระหว่างนั้นมีตรอกซอกซอยเล็กๆ สามารถไถสเก็ตบอร์ดทะลุไปถึงได้โดยตรง การเล่นสเก็ตบอร์ดสามารถฝึกกล้ามเนื้อส่วนเอวได้ เขาต้องรีบเอากล้ามหน้าท้องกลับคืนมาให้ไวที่สุด

สมัยเรียนเขากับเหล่าหยางต่างไม่มีใครอยากไปรับอาหารจากไรเดอร์ที่ประตูมหาวิทยาลัย จึงซื้อสเก็ตบอร์ดไว้ไถไปกัน เพราะว่าสเก็ตบอร์ดเอาไว้เก๊กเท่ เวลาไถในมหาวิทยาลัยก็จะได้รับสายตาจากหนุ่มสาวหน้าตาดี เขาเลยยิ่งกระตือรือร้น ไม่มีเหตุการณ์ที่อาหารถูกทิ้งไว้จนเย็นชืดเป็นหินแล้วค่อยออกไปเอาอีก

แล้วก็กลายเป็นสกิลการไถสเก็ตบอร์ดที่พวกเขาทั้งสองคนต่างช่ำชองไปโดยปริยาย

ลู่อวี๋ไถสเก็ตบอร์ดมาถึงหน้าตึกบริษัท หมุนตัวหยุดอย่างหล่อเท่ไปหนึ่งที พลันเห็นรถสปอร์ตสีแดงสดสะดุดตาคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้า

เขาคุ้นเคยกับรถสปอร์ตคันนี้ดี นั่นก็คือญาติผู้น้องปีศาจน่ารำคาญที่ส่งข้อความมาคุกคามเขาก่อนจะทะลุมิติมายังอนาคต…ลู่เจินนี ไม่คิดเลยว่าสิบปีผ่านไปยัยนี่ยังไม่เปลี่ยนรถคันใหม่อีก ดูไม่ใช่สไตล์ของยัยลู่เจินนีเลยแฮะ

ลู่อวี๋ถือสเก็ตบอร์ดเดินก้าวยาวๆ เข้าล็อบบี้ โยนสเก็ตบอร์ดให้ รปภ. ที่เข้ามาต้อนรับ “ช่วยเอารถฉันไปจอดหน่อย” แล้วตัวเองก็วิ่งขึ้นลิฟต์ไป

ลู่เจินนีเป็นคนเรื่องเยอะ ไม่แน่ว่าอาจจะพูดอะไรไม่น่าฟังกับหมิงเยี่ยนก็ได้ เขาต้องรีบไปถึงให้เร็วที่สุด

รปภ. ยืนอุ้มสเก็ตบอร์ดอย่างนิ่งอึ้ง “ประธานลู่ครับ รถของคุณ ควรเอาไปจอดตรงไหนเหรอครับ”

 

ห้องทำงานของประธานบริษัท

หมิงเยี่ยนมองลู่เจินนีที่นั่งสีหน้าไม่เป็นมิตรอยู่บนโซฟาแล้วก็รู้สึกตลกเล็กน้อย

ลู่เจินนีสวมเดรสเข้ารูปสีแดงฉาน เหยียบส้นสูงสิบสามเซนติเมตรสีแดงแปร๊ด และทาปากสีแดงแจ๋ มองเผินๆ แล้วนึกว่าปีศาจชุดแดงอะไรสักอย่างมาทวงเอาชีวิตเสียอีก

หมิงเยี่ยนก้มหน้า วาดผีสวมชุดสีแดงสดลงบนจอ คิดในใจว่าน่าจะเอาไปใช้ในโลกของลู่ตงตงได้

“ฉันพูดมาครึ่งวันแล้ว ไม่รู้ว่านายจะฟังเข้าหูบ้างหรือเปล่า เมื่อก่อนตระกูลหมิงเคยยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้พังไปแล้ว” ลู่เจินนีก้มหน้า มองเล็บสีแดงสดของเธอ พูดเสียงไม่ช้าไม่เร็ว “ตระกูลลู่ของพวกเราไม่ยอมรับลูกสะใภ้อย่างนายหรอกนะ”

ลู่อวี๋ที่วิ่งมาถึงหน้าประตูได้ยินประโยคนั้นพอดี เขาผลักประตูเข้าไปกระชากคอเสื้อด้านหลังของลู่เจินนี ดึงตัวคนคนนั้นให้ลุกจากโซฟา “เอาเงินมา!”

ลู่เจินนีถูกกระชากขึ้นมาก็มึนงง ถลึงตาใส่ลู่อวี๋ด้วยความโกรธ “นายบ้าไปแล้วหรือไงลู่อวี๋ กล้ากระชากคอเสื้อฉันได้ไง ปล่อยนะ! แล้วเงินอะไร”

ลู่อวี๋วางปาเอยาลงบนโต๊ะ ยื่นมือให้ลู่เจินนี “เอาเงินมาก่อนห้าล้าน เธอถึงจะมีสิทธิ์บอกเขาว่า ‘เอาเงินสกปรกของตระกูลลู่ไปแล้วออกไปจากชีวิตลู่อวี๋ซะ’!”

* เด็กชายขายไม้ขีดไฟ อ้างอิงจากนิทานเรื่อง ‘เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ’ ในนิทานเล่าถึงเด็กหญิงคนหนึ่งที่ชะตาชีวิตรันทด ต้องขายไม้ขีดไฟในคืนวันคริสต์มาส แต่ขายไม่ได้เลยสักกล่อง จึงไม่ได้กินอะไรตลอดทั้งวัน เด็กหญิงทั้งหิวและหนาว เมื่อเธอจุดไม้ขีดไฟก้านที่หนึ่งก็มองเห็นเตาผิงอันอบอุ่น จุดก้านที่สองก็มองเห็นห่านย่างหอมกรุ่น จุดก้านที่สามก็มองเห็นต้นคริสต์มาสสวยงาม จุดก้านที่สี่ก็เห็นคุณยายผู้ล่วงลับไปแล้ว เด็กหญิงกลัวว่าถ้าไม้ขีดไฟดับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเห็นจะหายไปเลยจุดไม้ขีดไฟจนหมด สุดท้ายเด็กหญิงได้จากไปพร้อมรอยยิ้มบางๆ โดยไม่มีใครรู้ว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเธอมองเห็นภาพฉากที่งดงาม

* ปาเอยา (Paella) หรือปาเอ็ลยาดาร์ร็อส เป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติของสเปน มีลักษณะเป็นข้าวสีเหลืองเสิร์ฟในกระทะก้นแบน มักทำเป็นหน้าซีฟู้ด

* ลองบอร์ด (Longboard) คือสเก็ตบอร์ดที่แผ่นกระดานมีความยาวเฉลี่ย 34-40 นิ้ว ตัวล้อจะยื่นออกนอกแผ่นมากกว่าสเก็ตบอร์ดขนาดมาตรฐาน มีท่าเล่นไม่เยอะและควบคุมยากกว่าบอร์ดประเภทอื่น

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ตื่นมารับภารกิจพิชิตหัวใจคุณสามี เล่ม 1

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: