บทที่ 11
วันต่อมาเป็นวันหยุดของเว่ยจี่ พอตื่นแล้วเขาก็เปลี่ยนป้ายห้อยเอวย้ายกลับมาลงลายมือชื่อกับหวังมู่หาน หวังมู่หานเพิ่งเก็บสำรับอาหารเช้าของฉู่เซ่าหลิงเสร็จ เมื่อเห็นเว่ยจี่จะออกจากวังก็รีบขวาง พูดเสียงเบา “ใต้เท้าเว่ย องค์ชายบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ขอให้ท่านไปคารวะก่อนออกจากวัง ครั้งนี้ท่านได้หยุดหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ถ้าให้รอสักครู่หนึ่งคงไม่เป็นอะไรกระมัง”
เว่ยจี่เป็นคนหน้าบาง ได้ยินแล้วก็หน้าแดง เขารีบบอก “หวังกงกง…เรียกข้าว่าเว่ยจี่ดีกว่า ข้ารับคำว่าใต้เท้าไม่ไหว”
หวังมู่หานมองเว่ยจี่ที่สวมชุดผู้คุ้มกันขั้นหนึ่งตรงหน้าด้วยความรู้สึกขบขัน เด็กเพิ่งโตคนนี้ได้สวมชุดสีหมึกแล้ว หวังมู่หานหัวเราะ “เหตุใดจึงรับไม่ไหว องค์ชายรออยู่ข้างใน ตรงนี้อากาศเย็น ใต้เท้าเว่ยรีบเข้าไปก่อนเถิด”
ใบหน้าของเว่ยจี่ยิ่งแดงกว่าเดิม เขาเม้มริมฝีปาก เดินเข้าไปที่ตำหนักข้าง พอนางกำนัลข้างในเห็นเว่ยจี่ก็รีบนำความไปบอก ไม่นานนางกำนัลรุ่นใหญ่อีกคนก็เดินมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เชิญใต้เท้าเว่ยทางนี้”
การที่ทั้งตำหนักมีแต่สตรีทำให้เว่ยจี่ค่อนข้างกระอักกระอ่วน เขาเดินตามนางกำนัลรุ่นใหญ่เข้าไปในห้องอุ่น อ้อมฉากกั้นบังลมไม้อูมู่* วาดลายสีทองบานใหญ่ ด้านในฉู่เซ่าหลิงกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้หวงฮวาหลีแปดเหลี่ยม พวกนางกำนัลยกอาหารอย่างสุดท้ายถอยไปเงียบๆ ทำให้ภายในห้องอุ่นเหลือเพียงฉู่เซ่าหลิงกับเว่ยจี่สองคน
เว่ยจี่ค่อนข้างกระวนกระวายใจ เขาเดินเข้าไปคุกเข่าคารวะ แต่ยังไม่ทันได้คุกเข่าลงดีๆ ก็ถูกฉู่เซ่าหลิงประคองให้ลุกขึ้น ฉู่เซ่าหลิงมองชุดสีหมึกเดินลายเงินกับป้ายห้อยเอวประดับเศษหยกที่เว่ยจี่สวมอย่างพึงพอใจ “เจ้าสวมชุดนี้แล้วดูดีมากจริงๆ…ตอนเช้ากินอะไรมาหรือยัง”
เว่ยจี่หน้าเริ่มแดงเล็กน้อย พูดเสียงเบา “ทูลองค์ชาย ยังขอรับ”
ท่าทางระมัดระวังของเว่ยจี่ทำให้ฉู่เซ่าหลิงรู้สึกขบขัน “เช่นนั้นนั่งลงกินขนมเป็นเพื่อนข้าหน่อย กินเสร็จแล้วเจ้าค่อยออกจากวังไปก็ยังไม่สาย”
เว่ยจี่มองอาหารเต็มโต๊ะด้วยอาการลังเล เขาเม้มริมฝีปาก “องค์ชายกินก่อนเถิดขอรับ ไว้องค์ชายกินเสร็จแล้วค่อยมอบให้ผู้น้อยดีกว่า”
“ให้เจ้านั่ง เจ้าก็นั่งเถอะ” ฉู่เซ่าหลิงลดเสียงลงอย่างมีเจตนาข่มขู่ “เห็นว่าข้าตามใจเจ้ามากไปหรือไรถึงได้กล้ามาต่อรองกับข้า”
เว่ยจี่ย่อมไม่กล้า ได้แต่ก้มหน้านั่งลงอย่างอับจนหนทาง ระหว่างมื้ออาหารทุกอย่างต้องคอยให้ฉู่เซ่าหลิงกินก่อนเขาถึงจะกิน เดิมเป็นกฎระเบียบที่สมควร นั่นยิ่งทำให้ฉู่เซ่าหลิงมองแล้วรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ดูๆ ไปเว่ยจี่ก็เป็นคนเข้าใจอะไรๆ ได้ดี ไม่ว่าตนจะยกย่องเขามากเพียงใด เว่ยจี่ก็ไม่เคยอาศัยความเป็นที่โปรดปรานไปวางท่า จะกินจะดื่มล้วนอยู่ในระเบียบ น่าเจริญตาอย่างมาก ฉู่เซ่าหลิงคีบเกี๊ยวนึ่งให้เว่ยจี่หนึ่งตัว กล่าวยิ้มๆ “เจ้าอยู่ในช่วงกำลังโต ต้องกินอาหารให้ครบ ต่อไปเวลาเรียกให้มากินก็ว่าง่ายๆ ข้าไม่เคยกินอาหารทั้งโต๊ะหมด มีคนมากินเป็นเพื่อนทำให้ข้าพลอยเจริญอาหารมากขึ้น”
เว่ยจี่กลืนข้าวลงคอ เขามองฉู่เซ่าหลิงพลางผงกศีรษะอย่างว่าง่าย “ผู้น้อย…ทราบแล้ว”
เว่ยจี่ไม่เขลา อาหารขององค์ชายย่อมเป็นของชั้นเลิศ แต่สิ่งที่ทำให้เขาดีใจมากยิ่งกว่าคือการได้ร่วมกินอาหารกับฉู่เซ่าหลิง เว่ยจี่กระตุกมุมปากอย่างกลัวว่าตัวเองจะเผลอยิ้มออกไป เขาก้มหน้าหยิบซาลาเปาหนึ่งลูกมากิน
ไม่นานทั้งคู่ก็กินเสร็จ นางกำนัลยกน้ำชามา ฉู่เซ่าหลิงจิบหนึ่งคำแล้ววาง ในขณะที่เว่ยจี่ถือจอกชาไว้ไม่ยอมดื่ม
จากนั้นเมื่อไปถึงสำนักศึกษาหลวง ฉู่เซ่าหลิงลูบศีรษะเว่ยจี่แล้วเอ่ยว่า “ไปเถอะ แล้วพรุ่งนี้รีบกลับมา”
เว่ยจี่หน้าแดงเรื่อ คุกเข่าลงโขกศีรษะให้ฉู่เซ่าหลิงหนึ่งครั้ง
จวนสกุลเว่ยรู้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดของเว่ยจี่ รถม้าจึงมาหยุดคอยอยู่บนถนนหลวงนานแล้ว เมื่อวานสกุลเว่ยรู้ว่าเว่ยจี่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้คุ้มกันขั้นหนึ่งแห่งอุทยานปี้เทา พอพ่อบ้านที่มารับเว่ยจี่เห็นเขาจึงรีบเข้ามาคารวะ “ขอแสดงความยินดีต่อคุณชายเจ็ด ไม่ถึงหนึ่งเดือนท่านก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากขั้นสามแล้ว”
เว่ยจี่อมยิ้ม “อย่าพูดให้คนเขาขำกันเลย รีบกลับบ้านเถอะ”
พ่อบ้านหัวเราะ ประคองเว่ยจี่ขึ้นรถม้า ส่วนตัวเองไปนั่งข้างนอกเพื่อสั่งการบ่าวที่ขับรถม้า
ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถเว่ยจี่ยังหน้าแดงอยู่ เมื่อคืนเขาปลาบปลื้มใจอยู่ทั้งคืน มิใช่เพราะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ดีใจเพราะคำพูดของฉู่เซ่าหลิง
ภาพที่ฉู่เซ่าหลิงวาดให้ เว่ยจี่ไม่ได้นำออกมาอวดและไม่ได้เตรียมจะแขวนไว้ในที่สะดุดตา เพียงพับอย่างระมัดระวังแล้ววางเก็บไว้ในกล่องไม้ใบล่างสุดในหีบหนังสือของเขา ซ่อนไว้รวมกับภาพก่อนหน้า
เว่ยจี่นึกย้อนไปถึงทุกอากัปกิริยาและทุกถ้อยวาจาของฉู่เซ่าหลิงเมื่อครู่ก็รู้สึกเบิกบานใจ ใบหน้ายิ่งแดงกว่าเดิม เว่ยจี่ลูบศีรษะตัวเองเบาๆ ตรงจุดที่ฉู่เซ่าหลิงเพิ่งสัมผัส
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจวนสกุลเว่ย เว่ยจี่กระโดดลงจากรถเพื่อเดินเข้าประตู เขาตรงไปที่เรือนหลักเพื่อคารวะฮูหยินผู้เฒ่าก่อน สกุลเว่ยไม่ได้แยกบ้าน ฮูหยินผู้เฒ่าใช้ชีวิตร่วมกับบุตรชายทั้งสาม เว่ยหมิงบิดาของเว่ยจี่เป็นบุตรชายคนโต
ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยรู้เรื่องที่เว่ยจี่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วจึงยิ้มอย่างอารีกว่าเดิม นางโอบกอดลูบหน้าลูบหลังเว่ยจี่เป็นเวลานานพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดี “จี่เอ๋อร์เก่งจริงๆ วันก่อนพี่ชายเจ้าเพิ่งได้เลื่อนเป็นผู้บัญชาการค่ายเซียวฉี ต่อมาเจ้าก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้คุ้มกันขั้นสาม บรรพชนคุ้มครอง ทำให้พวกเจ้าต่างมีความเจริญก้าวหน้า”
“พี่ใหญ่ได้เลื่อนเป็นผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีหรือขอรับ” เว่ยจี่อยู่ที่อุทยานปี้เทาแต่ไม่เคยได้ยิน “เดิมพี่ใหญ่เป็นคนของค่ายเซียวฉีอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่น่าจะเวียนไปถึงพี่ใหญ่…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยยังคงปลื้มปีติยินดี “ถึงได้บอกว่าพวกเจ้าสองพี่น้องต่างมีความเจริญก้าวหน้า ย่าไม่ค่อยรู้เรื่องก่อนหน้านี้หรอกนะ แต่เมื่อวันก่อนพี่ใหญ่เจ้ากลับมา บิดาเจ้ายังไม่ทันได้ตั้งสุราเขาก็ต้องกลับไปที่ค่ายแล้ว ท่าทางรีบร้อนเชียว”
เว่ยจี่นึกเอะใจว่าหรือองค์ชาย…ใบหน้าของเว่ยจี่ร้อนผะผ่าว เขารู้สึกว่าตัวเองคิดมากเกินไป พี่ใหญ่เป็นคนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร การเลื่อนเป็นผู้บัญชาการเป็นเรื่องที่สุดอยู่ที่ช้าหรือเร็ว
“ตอนเย็นมากินข้าวกับย่านะ ตอนนี้เจ้าไปหาแม่ของเจ้าเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยยิ้มพลางตบหลังเว่ยจี่ “ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอก ให้แม่เจ้าดูให้ชื่นใจก่อน”
เว่ยจี่ผงกศีรษะยิ้มๆ ก่อนจากไป
เจียงฮูหยินมารดาของเว่ยจี่คอยบุตรชายคนเล็กอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นท่าทางงามสง่าของเว่ยจี่ ดวงตาที่กำลังยิ้มของนางก็ทวีความโค้งมากขึ้น นางดึงตัวบุตรชายให้นั่งลงและสั่งให้คนไปเตรียมเตาอุ่นเท้า เว่ยจี่หัวเราะ “หลายวันมานี้ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ดีหมดทุกอย่าง” ระยะนี้บุตรชายสองคนของเจียงฮูหยินต่างได้เลื่อนตำแหน่งติดๆ กัน ทำให้นางสบายใจมาก บุตรชายคนโตเว่ยจั้นเป็นคนหนักแน่น ทำงานเก่ง เรื่องเลื่อนตำแหน่งสุดอยู่ที่ช้าหรือเร็ว แต่การที่บุตรชายคนเล็กสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ ทำให้เจียงฮูหยินรู้สึกดีใจอย่างเหนือคาด ทุกอย่างล้วนเกิดจากความรักของมารดา นางกำชับเสียงเบา “ทำงานเป็นผู้คุ้มกันอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่ต้องระมัดระวังในทุกสิ่ง ต่อไปเจ้าต้องคอยติดตามอยู่ข้างกายองค์ชายทุกวัน สิ่งใดควรพูด สิ่งใดควรทำ ตัวเจ้าย่อมรู้ อย่าได้หลงระเริงเพียงเพราะเป็นที่โปรดปราน ต้องคอยระวัง ห้ามทำตัวเด่น เข้าใจหรือไม่”
เว่ยจี่นึกถึงฉู่เซ่าหลิงแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ เขารับฟังพลางผงกศีรษะ “ลูกเข้าใจแล้วขอรับ”
เจียงฮูหยินแย้มยิ้มยามลูบใบหน้าของเว่ยจี่ พูดเสียงค่อย “ตอนแรกพ่อเจ้าตำหนิที่เจ้าจะไปอยู่อุทยานปี้เทา ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าจะสร้างปาฏิหาริย์ มีวาสนาเป็นที่ต้องตาขององค์ชายใหญ่ แม่ได้ยินว่าข้างกายองค์ชายมีผู้คุ้มกันมากมาย แล้วมีผู้คุ้มกันขั้นหนึ่งเช่นเจ้าอยู่กี่คน”
“ข้างกายองค์ชายควรจะมีแปดคน ที่ผ่านมาไม่เคยเต็มจำนวน เวลานี้เมื่อรวมลูกเข้าไปเท่ากับมีเจ็ดคนขอรับ”
เจียงฮูหยินผงกศีรษะ พูดเสียงเบาต่อว่า “ในบรรดาคนเหล่านั้นเจ้าน่าจะอายุน้อยที่สุด ตามปกติเจ้าเป็นคนซื่อๆ จงอย่าได้ทำความผิดให้คนเขาเก็บเอามารังแกได้เชียว…” เจียงฮูหยินยิ่งคิดยิ่งไม่สบายใจ “ผู้คุ้มกันรุ่นใหญ่พวกนั้นขัดหูขัดตาเจ้าหรือไม่ แม่จะให้เงินส่วนตัว เจ้าเอาไปมอบเป็นของขวัญ…”
“ท่านแม่! มิมีผู้ใดรังแกข้าขอรับ” เว่ยจี่กุมมือเจียงฮูหยินไว้ หน้าแดงขึ้นมา “พวกพี่ๆ ผู้คุ้มกันรุ่นใหญ่ล้วนเป็นคนดีมาก” ในอุทยานปี้เทาหวังกงกงได้เกริ่นไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ไหนเลยจะมีคนรังแกเขา
เจียงฮูหยินค่อยสบายใจ นางกอดเว่ยจี่ บ่นพึมพำเป็นเวลานาน จนสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเข้ามาบอกว่านายท่านกลับมาแล้ว ต้องการพบคุณชายเจ็ด เจียงฮูหยินจึงยิ้ม “รีบไปเถอะ”
เว่ยจี่ผงกศีรษะ เขารินน้ำชาให้เจียงฮูหยินหนึ่งถ้วยก่อนจากไป
วันต่อมาเว่ยจี่กลับเข้าวังตอนยามเซิน ตอนอาหารเย็นฉู่เซ่าหลิงเก็บน้ำแกงไก่ดำตุ๋นโสมแก่ไว้ไม่ยอมแตะ และสั่งให้คนนำไปอุ่นบนเตาเพื่อคอยเว่ยจี่กลับมากิน เว่ยจี่เพิ่งจะเข้ามาในอุทยานปี้เทาก็ถูกหวังมู่หานเชิญตัวเข้ามาที่ตำหนักบรรทม
ฉู่เซ่าหลิงมองคนตรงหน้าแล้วหลุดขำ “ไปบ้านแค่วันเดียว เหตุใดสีหน้าจึงย่ำแย่เช่นนี้ หนาวหรือ”
เว่ยจี่ฝืนยิ้ม เขาเดินเข้าไปคารวะฉู่เซ่าหลิงก่อนพูดเสียงเบา “เปล่าขอรับ เมื่อคืนหลับไม่สนิท”
หลังเห็นสีหน้าของเว่ยจี่แล้วฉู่เซ่าหลิงก็รู้สึกปวดใจ เขาให้คนยกน้ำแกงไก่ที่เก็บไว้มา ฉู่เซ่าหลิงไล่นางกำนัลในห้องอุ่นออกไปแล้วดึงตัวเว่ยจี่ให้มานั่งบนเตียง ฉู่เซ่าหลิงลูบศีรษะของเว่ยจี่ดูก็พบว่าไม่ร้อน
น้ำแกงไก่เพิ่งลงจากเตาจึงยังร้อนควันฉุย เว่ยจี่ค่อยๆ ดื่มคำเล็กๆ สีหน้าเริ่มดีขึ้น
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ “ต่อไปจะวางใจปล่อยให้เจ้ากลับบ้านได้อย่างไร ไปทำอะไรมา”
เว่ยจี่สั่นศีรษะ ฉู่เซ่าหลิงเห็นท่าทางอ้ำอึ้งของเขาแล้วรู้สึกขบขัน อดใจไม่ไหว ต้องรั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามากอด หัวเราะเบาๆ “คิดถึงข้าใช่หรือไม่…”
ใบหน้าของเว่ยจี่แดงเห่อ ฉู่เซ่าหลิงหยิบชามเปล่าในมือของเว่ยจี่ไปวางบนโต๊ะเล็กข้างเตียง ตามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหวั่นไหว แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรเว่ยจี่กลับลุกขึ้นยืน ฉู่เซ่าหลิงนึกในใจ เอนตัวลงบนเตียงเพื่อดูว่าเขาจะทำสิ่งใดเพื่อเป็นการหลบเลี่ยง เว่ยจี่ลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วหยิบถุงผ้าปักหนึ่งใบออกมาจากอกเสื้อ ใบหน้าฉายแววรู้สึกผิด “องค์…องค์ชาย นี่ ท่านพ่อ…”
อันที่จริงเว่ยจี่ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร ฉู่เซ่าหลิงยิ้มพลางรับถุงผ้าปักในมือของเว่ยจี่มาเปิดดูแวบหนึ่ง…ตั๋วแลกเงินหนึ่งปึก
ฉู่เซ่าหลิงเข้าใจ หัวเราะเบาๆ “บิดาเจ้าพูดอะไรบ้าง”
เว่ยจี่ไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อนจึงหน้าแดง พูดจาติดขัด “ขอบพระทัย…ในความกรุณาที่องค์ชายมีต่อพี่ชายผู้น้อยและตัวผู้น้อย ต่อไปครอบครัวของผู้น้อยจะ…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจความหมายของบิดาเจ้า” ฉู่เซ่าหลิงสะกดเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ เขาลุกขึ้นยัดตั๋วแลกเงินเข้าไปในอกเสื้อของเว่ยจี่ พูดเสียงเบา “กลับไปคราวหน้า หากบิดาของเจ้าถามก็ให้บอกว่าข้ารับไว้เรียบร้อย ตั๋วแลกเงินพวกนี้เจ้าเก็บไว้เถิด…”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” นี่เป็นครั้งแรกที่เว่ยจี่ทำเรื่องกินสินบาทคาดสินบน ในใจกำลังรู้สึกผิด เขาจึงไม่ยอมรับ ระหว่างที่กำลังยื้อยุดกัน คอเสื้อของเว่ยจี่ก็เปิดออก ฉู่เซ่าหลิงกวาดตามอง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นลงในชั่วพริบตา
เว่ยจี่เหมือนไม่ทันรู้สึกตัว เขากระซิบเสียงร้อนรน “ผู้น้อยไม่…องค์ชายโปรดรับไว้ด้วยเถิด…”
“เว่ยจี่…” ฉู่เซ่าหลิงลูบรอยแผลตรงคอของเว่ยจี่เบาๆ น้ำเสียงน่ากลัว “นี่มันมาได้อย่างไร”
บทที่ 12
รอยแผลที่คอของเว่ยจี่ตกสะเก็ดแล้ว แต่เนื้อหนังรอบๆ ยังบวมแดง เห็นได้ชัดว่าเป็นแผลที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ฉู่เซ่าหลิงสั่งคนให้ยกเตากำยานเข้ามาสองใบ พูดเสียงหนัก “ในห้องไม่หนาว เจ้าถอดเสื้อผ้าออก ให้ข้าดูหน่อย”
ตอนแรกเว่ยจี่ไม่กล้าถอด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฉู่เซ่าหลิงพูดกับเขาด้วยสายตาเช่นนี้ ทำให้เขานึกหวาดจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกอย่างลังเล พอเสื้อนวมหลุดออกไปกลิ่นยาจางๆ ก็โชยออกมา เว่ยจี่ยังสวมเสื้อตัวในเนื้อบาง เขามองฉู่เซ่าหลิงด้วยสายตาลังเล ฉู่เซ่าหลิงเดินเข้ามาเปิดเสื้อตัวในของเว่ยจี่ออก สายตาทวีความเยียบเย็น เพราะร่างบางๆ ตรงหน้าถูกตีจนเป็นแผลหลายสิบแผล แผลหนึ่งบนหลังยังมีเลือดซึม ฉู่เซ่าหลิงใช้ปลายนิ้วแตะยาที่ทาอยู่บนแผลของเว่ยจี่ เม้มริมฝีปากเล็กน้อย พบว่ามันคือผงยาห้ามเลือดทั่วไป
ฉู่เซ่าหลิงสั่งให้คนเอายาสมานแผลมา นางกำนัลก็ยกเข้ามาให้อย่างรวดเร็ว ฉู่เซ่าหลิงให้คนออกไปก่อนหยิบผ้าสะอาดมาเช็ดยาบนตัวของเว่ยจี่ด้วยตัวเอง เว่ยจี่อยากปฏิเสธ แต่พอเห็นสีหน้าน่ากลัวของฉู่เซ่าหลิงแล้ว เขาก็ไม่กล้าพูด
ฉู่เซ่าหลิงพยายามเบามืออย่างเต็มที่ พูดเสียงเบาๆ ว่า “ยาที่เจ้าทามีสรรพคุณแค่ห้ามเลือด แต่ไม่ได้ระงับอาการปวด หากดูแลไม่ดีจะทิ้งรอยแผลเป็น มา…”
ฉู่เซ่าหลิงดึงตัวเว่ยจี่ให้นั่งลงเพื่อทายาให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง เนื้อยาใสให้ความรู้สึกเย็นจนเว่ยจี่ตัวสั่น ฉู่เซ่าหลิงดึงผ้าห่มบนเตียงมาคลุมตัวเว่ยจี่ไว้ ถามเสียงเบา “ผู้ใดตีเจ้า”
เว่ยจี่ก้มหน้า เขาได้ยินแต่กลับสั่นศีรษะ ไม่พูดคำใด
ฉู่เซ่าหลิงไม่คาดคั้น แต่ทายาเบามือกว่าเดิมและดูแลแผลบนร่างของเด็กหนุ่มอย่างละเอียดก่อนถามว่า “ท่อนล่างมีแผลหรือไม่”
เว่ยจี่เปลือยท่อนบน แต่ยังสวมกางเกงท่อนล่างไว้อย่างดี วาจาประโยคนี้ทำให้เขาวางสีหน้าลำบาก รีบสั่นศีรษะ “ไม่มีขอรับ”
ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะ วางยาไว้ที่ด้านข้าง หยิบผ้ามาเช็ดมือ พูดเสียงเบา “ถ้าไม่หนาวก็ตากลมก่อน ขืนใส่เสื้อผ้าจะเช็ดยาออกหมด”
เว่ยจี่ค่อนข้างอึดอัด เขาจับผ้าห่มในมือไว้อย่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ฉู่เซ่าหลิงหลับตาถามอย่างอดทนอีกครั้ง “แผลนี้มาได้อย่างไร”
เว่ยจี่หลุบตา ไม่เอ่ยคำ ฉู่เซ่าหลิงจึงหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าไม่พูดแล้วข้าจะตรวจสอบไม่ได้หรือ เว่ยจี่…นิสัยข้ามิได้ดีนักหรอกนะ”
เว่ยจี่เม้มริมฝีปาก ดวงตาแดงเรื่อ
เมื่อวานเว่ยหมิงเรียกเว่ยจี่ไปพบที่ห้องหนังสือ มอบตั๋วแลกเงินให้เว่ยจี่หนึ่งปึกเพื่อให้เขานำไปมอบให้ฉู่เซ่าหลิง แม้เว่ยจี่จะรู้สึกไม่ค่อยดีแต่ก็ยอมรับคำ เพราะเขาเพิ่งรู้เรื่องของเว่ยจั้น แต่ไม่แน่ใจว่าฉู่เซ่าหลิงมีส่วนช่วยด้วยหรือไม่ ทว่าการที่ตนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเพราะความกรุณาของฉู่เซ่าหลิงล้วนๆ การแสดงความเคารพด้วยการมอบตั๋วแลกเงินจึงเป็นสิ่งที่เว่ยจี่ยอมรับได้ เขาจึงรับมันมาอย่างว่าง่าย
มีหลายเรื่องที่เว่ยจี่คิดไม่ถึง แต่เว่ยหมิงแค่มองก็เข้าใจ ตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีของเว่ยจั้นนั้นจื่อจวินโหวเป็นผู้เสนอ จื่อจวินโหวเป็นท่านตาขององค์ชายใหญ่ฉู่เซ่าหลิง และบุตรชายคนเล็กของเขาเว่ยจี่ก็ทำงานอยู่ในอุทยานปี้เทา ไม่ว่าเว่ยจี่จะเป็นที่โปรดปรานขององค์ชายใหญ่ด้วยสาเหตุใด เวลานี้สกุลเว่ยก็กลายเป็นเครื่องหมายขององค์ชายใหญ่ไปแล้ว
เว่ยหมิงไม่แน่ใจว่าเหตุใดจู่ๆ องค์ชายใหญ่ถึงได้ยกย่องครอบครัวของเขาขึ้นมา สกุลเว่ยเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ที่กำลังค่อยๆ หมดอำนาจ เมื่อบรรดาศักดิ์มาถึงตนก็เหลือเพียงตำแหน่งแม่ทัพขั้นที่หนึ่ง บุตรชายสองคนอายุยังน้อย คนในตระกูลที่รุ่นเดียวกันก็ไม่มีความสามารถโดดเด่น คิดอย่างไรก็ไม่มีค่าคู่ควรให้ฉู่เซ่าหลิงให้ความสำคัญ แต่คิดไม่ออกก็ส่วนคิดไม่ออก เว่ยหมิงยังคงปลื้มปีติยินดีอย่างมาก
หลังปีใหม่ราชสำนักจะส่งขุนนางกลุ่มหนึ่งออกไปตรวจการ นี่เป็นงานที่ดีงานหนึ่ง แค่ออกไปรอบเดียวก็สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ไม่น้อย กลับมาหน้าที่การงานย่อมมีการขยับอีก เว่ยหมิงว่างงานอยู่ในกรมปกครองมาตลอด เขาจึงปรารถนาที่จะได้งานนี้มาหลายปีแล้ว เสียดายที่ไม่มีคนช่วยพูดให้ได้ มาวันนี้เมื่อได้ขึ้นสำเภาใหญ่อย่างฉู่เซ่าหลิงเขาจึงเกิดปัญญา หลังมอบตั๋วแลกเงินจำนวนมหาศาลให้ เว่ยหมิงก็พูดถึงงานตรวจการหลังปีใหม่ เว่ยหมิงสั่งเว่ยจี่ให้หาจังหวะเหมาะคุยกับฉู่เซ่าหลิงเรื่องนี้ เว่ยหมิงไม่กล้าคิดถึงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารระดับมณฑลหรือผู้ว่าการมณฑล แต่เขาได้ยินว่าผู้ว่าการมณฑลซานตงกล่าวว่ายังขาดนักปกครองอีกหลายคน เว่ยหมิงจึงมาดหมายตำแหน่งนี้
เว่ยจี่ไม่มีความทะเยอทะยานในงานของทางการ แต่ในฐานะทายาทตระกูลขุนนาง เขาย่อมพอรู้เรื่องนี้บ้าง
นักปกครองต้องติดต่อกับขุนนางท้องถิ่นโดยตรง ค่าน้ำร้อนน้ำชาที่ได้จึงไม่น้อย ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนที่จดจ้องตำแหน่งนี้ ไม่เพียงเท่านี้เว่ยจี่รู้จักบิดาของตนดีว่าเว่ยหมิงเป็นคนที่มีนิสัยดื้อรั้น ไม่เหมาะกับการทำงานใหญ่ หากเกิดข้อผิดพลาดไม่เพียงจะเดือดร้อนไปถึงฉู่เซ่าหลิง ตัวเว่ยหมิงเองก็ต้องได้รับโทษ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เหมาะสม เว่ยจี่หวังเพียงให้คนในครอบครัวอยู่ดีมีสุข ไม่ปรารถนาความยิ่งใหญ่ เขาจึงพูดกล่อมเว่ยหมิงหลายประโยค แต่ไม่รู้ว่าประโยคใดเกิดไปจี้ใจเว่ยหมิงจนเดือดดาลขึ้นมา เอาแต่บอกว่าเดี๋ยวนี้เว่ยจี่กลายเป็นขุนนางใหญ่ ไม่เห็นบิดาอยู่ในสายตา พอคว้าแส้ปัดได้ก็ฟาด เว่ยจี่พูดไม่เก่งและพูดเอาตัวรอดไม่ออก ได้แต่ยอมรับการตี
โชคดีที่เจียงฮูหยินตามมาได้ยินจึงรีบเข้ามาขวาง นางร่ำไห้อ้อนวอนอยู่พักหนึ่ง เว่ยหมิงเกรงว่าหากฉู่เซ่าหลิงเห็นแผลบนตัวของเว่ยจี่แล้วจะแก้ตัวไม่ขึ้นจึงหยุดมือไว้
เว่ยจี่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางปิดบังเรื่องนี้จากฉู่เซ่าหลิงได้ แต่เพราะยังกลัวเว่ยหมิงจึงต้องมาขอร้องฉู่เซ่าหลิงที่พูดด้วยได้ง่ายกว่า “ขอร้ององค์ชาย…อย่าได้รับปากท่านพ่อ ท่านพ่ออายุมากแล้ว ไม่เคยต้องวิ่งวุ่นไปที่ใด…”
ฉู่เซ่าหลิงระบายลมหายใจ เขาเข้าใจว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ที่แท้ก็เพราะตำแหน่งนักปกครองเป็นเหตุ แม้จะฟังขึ้น แต่การที่เว่ยจี่ถูกตีมันทำให้ฉู่เซ่าหลิงต้องหาคนมาระบายโทสะ ทันทีที่ได้ยินว่าเว่ยหมิงคุยด้วยไม่ง่ายเขาก็เริ่มวางแผนในใจด้วยการตะล่อมเว่ยจี่ “วางใจเถอะ…ข้ามีแผน บิดาเจ้า…ช่างเถอะ”
ฉู่เซ่าหลิงเจ็บปวดที่เว่ยจี่ต้องทนรับความน้อยเนื้อต่ำใจ เขาจึงรั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามากอดอย่างระมัดระวัง พูดเสียงเบา “เหตุใดเจ้าถึงได้ซื่อบื้อเพียงนี้ ทนถูกตีได้อย่างไร วิ่งหนีไม่เป็นหรือ”
เว่ยจี่ถูกห่ออยู่ในผ้านวม โผล่ออกมาแต่ศีรษะ เขาถามเสียงค่อย “ท่านพ่อตีข้า…จะหนีได้อย่างไร”
“หืม?” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “หากข้าตีเจ้าเล่า จะหลบหรือไม่”
ริมฝีปากบางของฉู่เซ่าหลิงปัดผ่านติ่งหูของเว่ยจี่ ทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดง เขาสั่นศีรษะ “ไม่หลบขอรับ”
ฉู่เซ่าหลิงพอใจ เอ่ยอบรมด้วยเสียงแผ่ว “จำไว้นะ ต่อไปห้ามหนีหน้าข้า แต่ไม่ว่าผู้อื่นจะตีหรือแตะต้องเจ้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ให้วิ่งหนีไปซ่อนไกลๆ ได้ยินหรือไม่”
เว่ยจี่อึ้ง คำพูดประโยคนี้ฟังดูแปลกๆ หรือต่อไปหากท่านพ่อจะตีเขาก็ให้หนีไปดื้อๆ เลยเช่นนั้นหรือ จริงอยู่ที่เว่ยหมิงอาจจะไม่ไล่ตามเขา ทว่าการวิ่งหนีไปย่อมทำให้คลี่คลายปัญหาได้ลำบาก แต่เขาต้องเชื่อฟังคำพูดของฉู่เซ่าหลิง เว่ยจี่จึงผงกศีรษะ จดจำใส่ใจ
ฉู่เซ่าหลิงพอใจสีหน้าจริงจังเช่นนี้ของเขา แม้จะดูน่าสนุกน้อยลงแต่นี่คือความน่ารักของเว่ยจี่ ฉู่เซ่าหลิงขำเล็กน้อยก่อนเอ่ย “เมื่อครู่ข้าล้อเจ้าเล่นหรอก ข้าจะตีเจ้าได้อย่างไร หากเจ้าไม่เชื่อฟัง ข้าย่อมมีวิธีอื่นมาทรมานเจ้า…” ฉู่เซ่าหลิงลดเสียงลง เขาจุมพิตติ่งหูของเว่ยจี่ ทำให้แก้มของอีกฝ่ายแดงร้อนขึ้นทันที ได้แต่ทำเสียงอู้อี้
ฉู่เซ่าหลิงอารมณ์ดีขึ้นมาก เขาหัวเราะเบาๆ “ถูกเจ้ากวนจนเกือบลืมเรื่องสำคัญ ข้าเห็นในหีบหนังสือเจ้ามีแต่ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ หนังสือของอู๋ฉี่* เจ้าชอบตำราทหารหรือ”
เว่ยจี่พยักหน้า พูดเสียงค่อย “ชอบขอรับ ตอนเด็กๆ เวลาไม่มีอะไรทำ ข้าจะไปอ่านตำราทหารของพี่ใหญ่ รู้สึกว่า…สนุกมาก”
“หากชอบ ต่อไปเจ้าไปอ่านในห้องหนังสือของข้าได้ ข้ามีหนังสือที่เจ้ายังไม่เคยอ่านอีก” ฉู่เซ่าหลิงเห็นยาบนตัวของเว่ยจี่เริ่มแห้งแล้วก็หยิบเสื้อของตัวเองมาคลุมให้เขา “เมื่อวานข้าไปหาจางลี่เฟิงมา เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่”
เว่ยจี่ผงกศีรษะ “รู้จักขอรับ! แม่ทัพใหญ่จางที่ปราบปรามความไม่สงบทางตะวันตกเฉียงเหนือ”
“สกุลจางมีสายสัมพันธ์กับสกุลของมารดาข้า จางลี่เฟิงจึงเป็นกึ่งๆ อาจารย์ของข้า ข้าไปหาเขาเพื่อขอให้เขามาสอนวิชาการทหารให้แก่เจ้าดีหรือไม่”
เว่ยจี่เบิกตาโต “ให้แม่ทัพจางสอนข้า? จะเป็นไปได้อย่างไร…”
“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ต่อไปเขาจะเข้าวังมาสอนวิชาการทหารให้เจ้าทุกวัน ข้าฟังเรื่องพวกนั้นจนเบื่อแล้ว หากเจ้าชอบก็ตั้งใจเรียนให้ดี รับรองว่าต้องมีประโยชน์ ข้าคุยกับเขาแล้ว”
เว่ยจี่ยังตั้งตัวไม่ทัน ทว่าแววตากลับเปล่งประกายด้วยความสุข “จะเป็นไปได้อย่างไร แม่ทัพใหญ่ผู้เคยทำศึกผู้นั้น…”
ฉู่เซ่าหลิงลูบศีรษะเว่ยจี่ยิ้มๆ ขณะนั้นมีเสียงนางกำนัลดังมาจากนอกห้องอุ่นว่า “องค์ชายเพคะ ยามสอง แล้ว”
ฉู่เซ่าหลิงรับคำก่อนเอ่ยว่า “เปลี่ยนผ้าห่ม”
พอนางกำนัลได้ยินก็รีบออกไปเปิดตู้หยิบผ้าห่มมา แต่ละคนล้วนเป็นนางกำนัลรุ่นใหญ่ที่รับใช้อยู่ข้างกายฉู่เซ่าหลิงมานานหลายปี และได้รับคำสั่งมาจากหวังมู่หานจึงไม่จำเป็นต้องให้ฉู่เซ่าหลิงพูดมาก นางกำนัลสองคนหอบเอาผ้าห่มผืนใหญ่เท่าเตียงกับหมอนใบใหญ่เข้ามา เว่ยจี่คิดไม่ถึงว่านางกำนัลจะตรงเข้ามาเช่นนี้เลยหน้าแดง เขากำลังเปลือยท่อนบน อยากหลบแต่ไม่มีที่ให้หลบ ได้แต่มองฉู่เซ่าหลิงด้วยใบหน้าแดงก่ำ นางกำนัลสองคนทำเหมือนไม่เห็นเว่ยจี่บนเตียง พวกนางเปลี่ยนผ้าห่มวางหมอนอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ก้มศีรษะ ย่อตัวแล้วถอยออกไป
ฉู่เซ่าหลิงมองท่าทีเขินอายของเว่ยจี่แล้วก็หัวเราะ “วันนี้เจ้านอนกับข้า เรือนบริวารของเจ้าทั้งมืดทั้งหนาว ไม่เหมาะกับการรักษาบาดแผล”
“จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร” เว่ยจี่เกรงว่านอกห้องจะยังมีนางกำนัลคอยเฝ้าจึงพูดเสียงเบาอย่างร้อนใจ “เกิดมีคนรู้แล้วเอาองค์ชายไปพูด…”
“เสื้อผ้าเจ้าถูกพวกนางเก็บไปหมดแล้ว เจ้าจะเดินตัวเปล่ากลับไปหรือ” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ในอุทยานปี้เทาไม่มีผู้ใดกล้าเอาเรื่องภายในออกไปพูดข้างนอก อีกอย่าง…ข้าไม่เคยกลัวว่าจะโดนผู้อื่นพูดว่าอะไร”
ทันใดนั้นเว่ยจี่ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าที่ตนถอดออกไปก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้วจริงๆ นอกจากห่อตัวด้วยผ้าห่มทั้งหน้าแดงๆ เขาก็ไม่มีวิธีอื่น ฉู่เซ่าหลิงขำพลางรั้งตัวเว่ยจี่ลงนอน พูดปลอบว่า “เอาล่ะๆ คอยให้แผลเจ้าหายก่อน ข้าจะปล่อยเจ้ากลับ นอนเถอะ…”
หลังหลอกล่อคนขึ้นเตียงมาได้ ฉู่เซ่าหลิงรู้สึกสบายใจมาก ไม่นานก็หลับไป สงสารก็แต่เว่ยจี่ที่เอาแต่หน้าแดง ในอกก็เหมือนมีกระต่ายกระโดดไปมาอยู่ในอกตลอดเวลา จนยามสามเขาถึงทนไม่ไหวค่อยผล็อยหลับไป
วันต่อมาฉู่เซ่าหลิงก็ไปบอกกล่าวคนของกรมปกครองด้วยวาจาเพื่อขอตำแหน่งนักปกครองประจำซานตงให้แก่เว่ยหมิงหนึ่งตำแหน่ง
ในเมื่อเว่ยหมิงอยากออกไปข้างนอก เขาก็จะให้อีกฝ่ายไป เพราะถ้าเจ้าตัวอยู่ในบ้านทั้งวันแล้วเกิดต่อยตีเว่ยจี่ขึ้นมาจะทำอย่างไร ฉู่เซ่าหลิงไม่สามารถเก็บตัวเว่ยจี่ไว้ ไม่ให้กลับบ้านในวันหยุดได้ ส่วนเรื่องที่ว่าจะให้เว่ยหมิงได้กลับมาเมื่อใด เขาไม่มีทางตามใจเว่ยหมิงแน่นอน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 13-14 ได้ในวันที่ 17 พ.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.