X
    Categories: everYทดลองอ่านทรราชหวนคืน

ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 1-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 1

“ท่านอ๋อง…” นางกำนัลตั้งท่าจะพูดแล้วก็หยุด ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทีลังเลว่า “สามวันแล้ว ท่านอ๋องไม่กินไม่ดื่มเช่นนี้ บ่าวเกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว…”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “เวลานี้ข้าถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ ต่อให้ไม่กินไม่ดื่มแล้วจะอย่างไร ช่างเถิด”

นางกำนัลรู้ว่าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ องค์ชายใหญ่ฉินอ๋องที่เคยเปล่งรัศมีรุ่งโรจน์ต่อหน้าผู้คนถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ มีหลักฐานและพยานพร้อมสรรพโดยที่ฉินอ๋องไม่มีโอกาสได้แก้ต่างแต่อย่างใด นับตั้งแต่วันนั้นฉินอ๋องก็ถูกกักบริเวณโดยที่ฮ่องเต้ไม่เคยซักถามสักประโยค

นางกำนัลพากันทยอยถอยออกไป ฉู่เซ่าหลิงนิ่งอยู่สักพักก็หยิบเอาขนมบนโต๊ะชิ้นหนึ่งมาบิ ก่อนดึงเอาจดหมายหนึ่งฉบับที่ห่ออยู่ในกระดาษน้ำมันออกมา

ฉู่เซ่าหลิงอ่านช้าๆ แล้วหย่อนกระดาษลงในอ่างไฟ

พวกฟู่จิงหลุนกำลังรวบรวมคนเพื่อเตรียมช่วยเขาออกไป

แม้เรื่องซุกซ่อนเสื้อคลุมมังกรจะทำให้ฉู่เซ่าหลิงถูกกักบริเวณอยู่ในวังของตน แต่เส้นสายที่ฉู่เซ่าหลิงบ่มเพาะมาเป็นระยะเวลาหลายปียังอยู่ อำนาจบารมีในราชสำนักของเขายังอยู่ ทหารเดนตายของเขายังอยู่ แมลงร้อยขาตายก็ไม่ล้ม ฉู่เซ่าหลิงทำงานมาหลายปี แน่นอนว่าไม่มีทางล้มเพราะการโจมตีครั้งนี้

เวลานี้สถานการณ์ไม่เป็นผลดีต่อเขาอย่างมาก ในจดหมายบอกไว้อย่างชัดเจนว่าฟู่จิงหลุนและคนอื่นๆ กำลังวางแผนก่อกบฏ ไม่ว่าเรื่องเสื้อคลุมมังกรจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ข้อหากบฏของฉู่เซ่าหลิงก็ไม่มีทางลบล้างได้สะอาด ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกที่ปรึกษาจึงได้แต่ทำการก่อกบฏให้ถึงที่สุด ฉู่เซ่าหลิงเข้าใจดีว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะรักษาชีวิตของเขาไว้ได้

ที่ปรึกษาของฉู่เซ่าหลิงล้วนพร้อมเอาชีวิตเข้าแลก แม้เรื่องจะดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังคงสู้เพื่อเขา ฉู่เซ่าหลิงพลันรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา

ฉู่เซ่าหลิงลุกขึ้นเดินไปที่ห้องหนังสือ หยิบพู่กันมาเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ ร่างรายการจัดแบ่งบ้านที่เขาซื้อไว้เป็นการส่วนตัวกับทรัพย์สินที่เขาเก็บหอมรอมริบไว้ในช่วงหลายปีนี้ให้เป็นการตอบแทนผู้คนที่อยู่ข้างกายเขามายาวนาน และสุดท้ายเขาสั่งพวกที่ปรึกษาและเหล่าทหารเดนตายว่าห้ามเอาชีวิตมาทิ้งเพื่อเขาเป็นอันขาด

ฉู่เซ่าหลิงไม่มีบุตร ชายาอ๋องก็ตายจากไปแล้ว เวลานี้เมื่อสั่งงานคนที่คอยติดตามตนมาตลอดเรียบร้อยเขาก็ไม่มีห่วงอีกแล้วจริงๆ

ฉู่เซ่าหลิงตวัดพู่กันไม่หยุด

 

‘เซ่าหลิงได้รับความช่วยเหลือจากทุกคนมามาก จักขอจดจำใส่ใจ ขุนเขาสูงสายน้ำไกล ขอทุกท่านโปรดถนอมตัว’

 

ครั้งนี้ฉู่เซ่าหลิงไม่ได้ส่งจดหมายผ่านการซ่อนไว้ในเถ้าเครื่องหอม แต่สั่งให้คนส่งจดหมายออกไปป่าวประกาศอย่างเปิดเผย ถึงตอนนี้ฉู่เซ่าหลิงไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดอีกแล้ว

ด้วยความสามารถของบริวารฉู่เซ่าหลิง เรื่องผลัดเปลี่ยนแผ่นดินไม่ใช่แค่เรื่องที่พูดเอาสนุก เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่อยากสู้อีกต่อไป

ถ้าครั้งนี้เป็นสกุลเจินหรือเฉินอ๋องให้ร้ายเขา ฉู่เซ่าหลิงไม่มีทางยอมแพ้เช่นนี้เด็ดขาด ทว่าคนที่ทำร้ายเขาคราวนี้กลับเป็นน้องชายแท้ๆ ของฉู่เซ่าหลิงเอง องค์ชายสี่ฉู่เซ่าหยาง

หลังอดีตฮองเฮาสวรรคต ฉู่เซ่าหลิงกับฉู่เซ่าหยางที่อายุเพียงสิบสองปีต่างต้องประคับประคองช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หลายปีมานี้ฉู่เซ่าหลิงค่อยๆ ดำเนินงานไปทีละก้าวด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดเพื่อให้น้องชายวัยเยาว์ได้มีที่ทางอยู่ในวังหลวง เขาพบเจอการแก่งแย่งชิงดีทั้งในที่ลับและที่แจ้งมากมาย สำหรับพวกเขาที่ไม่มีมารดาคอยปกป้องย่อมจำเป็นต้องต่อสู้แย่งชิง ในที่สุดฉู่เซ่าหลิงก็โค่นองค์ชายรองเซียงอ๋องและองค์ชายสามเฉินอ๋องได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังฆ่าล้างสกุลเจินที่เป็นสกุลของฮองเฮาจนสิ้นซาก แต่ในช่วงที่ฉู่เซ่าหลิงเข้าใจว่าไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรคอีกต่อไป ชายหนุ่มคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่ลากเขาลงจากหลังม้าจะเป็นฉู่เซ่าหยางที่ตนเฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงมาจนเติบใหญ่

ฉู่เซ่าหลิงทุ่มสุดกำลังเพื่อต่อสู้แย่งชิงมานานเพียงเพื่อให้ฉู่เซ่าหยางได้อยู่ดีมีสุข บัดนี้เมื่อฉู่เซ่าหยางเป็นผู้ที่ทำร้ายเขาเสียเอง ฉู่เซ่าหลิงก็ไม่รู้ว่าตนจะแย่งชิงราชบัลลังก์ต่อไปเพื่อสิ่งใด

ฉู่เซ่าหลิงเดินเข้าไปในเรือนชั้นใน วังฉินอ๋องแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างห้าปี ในระหว่างนั้นได้มีการติดตั้งกลไกพิสดารบางอย่างและมีช่องลับที่บรรดาองครักษ์ไม่มีทางหาพบ ฉู่เซ่าหลิงหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่อยู่ในช่องลับออกมาซ่อนไว้ในแขนเสื้อ

ฉู่เซ่าหลิงจัดระเบียบของมีค่าในวังเล็กน้อยแล้วให้พ่อบ้านนำไปแจกจ่าย แม้ทุกคนจะถูกกักบริเวณอยู่ในวังฉินอ๋องเหมือนกัน แต่หลายปีมานี้พวกเขาทำงานรับใช้ฉู่เซ่าหลิง ได้รับความเมตตาไม่น้อย เมื่อเห็นชายหนุ่มเป็นเช่นนี้หลายคนจึงพากันตาแดงๆ นางกำนัลประจำตัวถึงกับร้องไห้โฮออกมาอย่างอดไม่ไหว

จดหมายถูกส่งออกไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก เป็นเสียงปะทะระหว่างชุดเกราะกับอาวุธ ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงเกราะของกองทหารราชองครักษ์ ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ พลางคิดว่ามากันได้เร็วเสียจริง

ฉู่เซ่าหลิงนั่งลงจิบชา ในขณะที่ฉู่เซ่าหยางเดินเข้ามาช้าๆ

สองพี่น้องนั่งประจันหน้า ด้านนอกมีบ่าวรับใช้คนสนิทห้าคนที่ยังอยู่กับฉู่เซ่าหลิงและองครักษ์จำนวนสิบคนที่ฉู่เซ่าหยางพามา ดวงตาของแต่ละฝ่ายฉายแววระแวดระวังปนตื่นตระหนก ฉู่เซ่าหลิงหลุดขำในใจคิดว่าพวกเขาพี่น้องมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

ฉู่เซ่าหยางยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างเบามือ ไม่รู้ว่าควรพูดคำใดไปชั่วขณะหนึ่ง

ฉู่เซ่าหลิงมองใบหน้าของฉู่เซ่าหยางที่ละม้ายคล้ายตนด้วยอาการใจลอยเล็กน้อย นึกสงสัยว่าฉู่เซ่าหยางเริ่มต้นเอาใจออกห่างจากเขาและวางแผนเพื่ออำนาจของตนตั้งแต่เมื่อไร

มิใช่ว่าเขาไม่เคยทำการตรวจสอบ มีหรือที่คนฉลาดอย่างฉู่เซ่าหลิงจะไม่สังเกตเห็นพฤติกรรมของน้องชาย แต่ทุกครั้งฉู่เซ่าหลิงล้วนหลับตาหนึ่งข้าง ลืมตาหนึ่งข้าง เพราะไม่สามารถทำอะไรรุนแรงกับฉู่เซ่าหยางได้เหมือนที่ทำกับคนอื่น การลอบเล่นงานกับการให้ท้ายในแต่ละครั้งได้นำมาซึ่งผลลัพธ์ในวันนี้

ฉู่เซ่าหลิงวางจอกชาลง พูดเสียงเบา “เจ้าเริ่มมีสมัครพรรคพวกตั้งแต่เมื่อใด”

ฉู่เซ่าหยางเงียบไปนาน เขาสั่นศีรษะ “จำไม่ได้แล้ว…”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเสียงหยัน “น้องชายคนดีของข้า แก้วตาดวงใจของข้า…”

สีหน้าของฉู่เซ่าหยางขาวเผือด ดวงตาฉายแววไม่ยอมแพ้ น้ำเสียงแหบพร่า “พี่ใหญ่ ท่านตั้งใจทำทุกสิ่งเพื่อข้าจริงหรือ หากท่านดีต่อข้าจริง เหตุใดจึงไม่ยอมมอบอำนาจอันใดแก่ข้า เหตุใดจึงไม่ยอมสอนอะไรข้าเลย ข้า…ข้าไม่จำเป็นต้องมีท่าน ทั้งอำนาจและราชบัลลังก์ ข้าอยากแย่งชิงเช่นเดียวกัน”

สีหน้าของฉู่เซ่าหลิงนิ่งสนิท ทว่าหัวใจกลับหนาวเยือก

นี่คือน้องชายที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เขาจึงไม่อาจทนให้อีกฝ่ายต้องเจอกับความลำบากแม้แต่น้อยเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะแปดเปื้อน ฉู่เซ่าหลิงจึงเป็นคนทำเรื่องสกปรกต่ำช้าทุกอย่างเองโดยไม่ยอมให้มือของฉู่เซ่าหยางแตะถูกเรื่องพวกนั้น

ฉู่เซ่าหลิงระบายลมหายใจยาว ก่อนหลิงฮองเฮาจะสวรรคต ฉู่เซ่าหลิงได้ให้คำสัตย์หน้าแท่นบรรทมของมารดาว่าจะดูแลน้องสี่ให้ดีและปกป้องเขาไปตลอดชีวิต มิยอมให้เขาต้องแปดเปื้อนไปกับด้านมืดของราชสกุล เติบโตขึ้นอย่างปลอดภัยและมีความสุข

น้องชายที่เขายอมเสี่ยงตายหลายครั้งเพื่อปกป้องจนเติบใหญ่ มาวันนี้กลับถามเขาว่าเหตุใดจึงไม่ยอมมอบอำนาจให้

เหตุใดจึงไม่ยอมมอบอำนาจให้แก่เขา…ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ด้านฉู่เซ่าหยางไม่คิดว่าจะได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ของฉู่เซ่าหลิงจึงเริ่มมีความรู้สึกอับอายและโกรธ แต่ยังคงฝืนข่มตัวเองให้นิ่งไว้ “ท่าน…ท่านเป็นอะไรไป”

ฉู่เซ่าหลิงยิ้มเย็น สั่นศีรษะ “เจ้าไม่มีสิทธิ์ถามเรื่องพวกนี้กับข้า…”

ฉู่เซ่าหยางไม่มีวันรู้ว่าบัลลังก์มังกรฮ่องเต้มิใช่สิ่งที่เขาปรารถนา หากฉู่เซ่าหยางมีใจเดียวกันกับเขา มีหรือที่เขาจะยกราชบัลลังก์นี้ให้น้องชายไม่ได้ ในเมื่อเดิมทีเขาก็ตั้งใจแย่งชิงแผ่นดินมาเพื่อน้องชายอยู่แล้ว ตนเองตั้งใจเป็นโจวกง แต่จนใจที่ฉู่เซ่าหยางขี้ระแวงเสียยิ่งกว่าเฉิงอ๋อง* แน่นอนว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องให้ฉู่เซ่าหยางรับรู้เรื่องพวกนี้

ฉู่เซ่าหยางหน้าซีด ฉู่เซ่าหลิงก็ตัดบทถ้อยคำที่อีกฝ่ายตั้งท่าเตรียมจะพูดด้วยการยิ้มเยาะ “เสื้อคลุมมังกรกับมงกุฎมังกรในวังข้ามาได้อย่างไร เจ้ารู้ดีกว่าข้า ยังมีจดหมายสมคบคิดกับขุนนางพวกนั้น มันมาอยู่ที่ห้องหนังสือของข้าได้อย่างไร เจ้าก็รู้ดีกว่าข้าเช่นกัน”

เมื่อหลายวันก่อนฉู่เซ่าหยางแกล้งป่วย ระหว่างที่เขาดึงตัวฉู่เซ่าหลิงไว้ที่วังหมิงอ๋อง คนที่เขาให้มาเอาของของฉู่เซ่าหลิงที่วังฉินอ๋องก็เอาหลักฐานการกระทำความผิดทั้งหมดมาซุกซ่อนไว้ในวัง แต่ไรมาวังฉินอ๋องไม่เคยขัดขวางหรือระแวดระวังฉู่เซ่าหยาง เป็นเหตุให้ฉู่เซ่าหยางทำงานสำเร็จได้อย่างง่ายดาย

“ข้าเพียงคิดไม่ถึง…ว่าเจ้าจะร่วมมือกับคนสกุลเจินและสมคบกับฮองเฮา…” ฉู่เซ่าหลิงจ้องตาฉู่เซ่าหยาง ถามเน้นเสียงทีละคำ “เหตุใดเจ้าจึงโง่งมเพียงนี้?!”

ใบหน้าของฉู่เซ่าหยางปรากฏสีแดงขึ้นมาทันตา

ฉู่เซ่าหลิงลุกขึ้นยืน จัดแต่งแขนเสื้อเล็กน้อยพลางหัวเราะเสียงเย็น “โง่เขลายังพอว่า แต่ถ้าไม่มีแผนก็ไม่ควรต่อรองเรื่องหนังกับพยัคฆ์* เซียงอ๋องต่างหากที่เป็นโอรสแท้ๆ ของฮองเฮา เจ้าล้มข้าได้เมื่อใด เจินฮองเฮามีหรือจะยอมปล่อยให้เจ้าได้ครองบัลลังก์ ถึงตอนนั้นแค่คำพูดประโยคเดียว เซียงอ๋องย่อมได้รับการอภัยโทษและเดินทางกลับมาจากแคว้นศักดินา! ถึงเวลานั้นสกุลเจินจะแต่งตั้งเซียงอ๋องผู้มีสายเลือดของสกุลเจินหรือจะแต่งตั้งเจ้า?!”

ฉู่เซ่าหยางหน้าซีดหนัก ดวงตาฉายแววอับอายและแค้นเคือง เขาแผดเสียง “ไม่ต้องให้ท่านมาสอน! ข้ารู้อยู่แล้ว…”

ฉู่เซ่าหลิงมองฉู่เซ่าหยางแล้วยิ้มเย็น เขาไม่อยากพูดมากอีกว่าเมื่อไม่มีเขา เรื่องที่ฉู่เซ่าหยางจะถูกคนสกุลเจินให้ร้ายจนตายย่อมเป็นปัญหาที่สุด อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

หลังจากหลิงฮองเฮาจากโลกนี้ไป ฉู่เซ่าหลิงไม่เคยอยู่อย่างสบายใจได้สักอึดใจ มาวันนี้ได้ปลดภาระลง เขารู้สึกเบาตัวเป็นที่สุด ฉู่เซ่าหลิงจึงไม่ปรารถนาสิ่งใดอีก

ฉู่เซ่าหลิงจัดแต่งกวน และอาภรณ์ เขาถือกำเนิดจากฮองเฮาองค์แรก เป็นบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก เป็นองค์ชายผู้มีเกียรติยศสูงสุดในราชวงศ์ฉู่ ต่อให้ต้องฆ่าตัวตายก็ต้องตายอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี

ฉู่เซ่าหลิงปรายตามองฉู่เซ่าหยางแวบหนึ่ง แต่ขณะที่เขากำลังจะชักมีดสั้นในแขนเสื้อออกมา องครักษ์ที่อยู่นอกห้องโถงกลับเฮขึ้นมาทันใด!

ฉู่เซ่าหลิงสติหลุดลอยเล็กน้อย เขาหันไปมองด้านนอก ผู้คุ้มกันคนสนิทเห็นว่าสบโอกาสจึงพุ่งพรวดเข้าไปหาองครักษ์ที่ฉู่เซ่าหยางพามาทันที ผู้คุ้มกันคนนั้นว่องไวเป็นที่สุด เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถยึดตัวองครักษ์ของฉู่เซ่าหยางไว้ได้สำเร็จและแย่งดาบที่เอวของอีกฝ่ายมาได้

“จับมัน!!!” หัวหน้าองครักษ์เพิ่งได้สติ องครักษ์อีกสองสามคนที่อยู่ใกล้ๆ จึงชักดาบโผเข้าไป ดาบที่ผู้คุ้มกันคนนั้นแย่งมาสะบัดออกไปดุจพยัคฆ์ติดปีก เขารับมือกับองครักษ์ที่เป็นยอดฝีมือเก้าคนได้อย่างไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย พอยกดาบได้ก็ฟันฉับ ยังไม่ทันที่เหล่าองครักษ์จะตั้งตัวติด ผู้คุ้มกันก็ชิงความได้เปรียบไปก่อนแล้ว เพียงชั่วพริบตาผู้คุ้มกันคนนั้นก็สังหารองครักษ์ไปหลายคน ก่อนหันหน้าพุ่งตัวเข้ามาในห้องโถง

จังหวะนี้เองที่หัวหน้าองครักษ์เข้าใจว่าผู้คุ้มกันคนนี้มีเป้าหมายอยู่ที่ฉู่เซ่าหยาง เขาจึงตวาดเสียงลั่น “คุ้มกันท่านอ๋อง!” พร้อมก้าวฉับๆ ไปขวางที่หน้าประตู แต่คิดไม่ถึงว่าผู้คุ้มกันคนนี้จะเป็นทหารเดนตาย เขาบุกทะลวงเข้าไปอย่างสุดชีวิต แม้จะโดนฟันอยู่หลายครั้งแต่ก็พาตัวเองเข้ามาในห้องโถงจนได้

สถานการณ์พลิกกลับในชั่วพริบตา ทันทีที่ผู้คุ้มกันคนนั้นเข้ามาในห้องโถงได้สำเร็จเขาก็ปราดเข้าไปจับตัวฉู่เซ่าหยาง ใช้ดาบเล่มใหญ่จ่อคอชายหนุ่ม ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถงไม่กล้าขยับตัวส่งเดชทันที

ผู้คุ้มกันมีโลหิตโซมกาย ใบหน้าเปื้อนเลือดเป็นจุดๆ ดูน่ากลัว ฉู่เซ่าหลิงจ้องมองราวคนสติหลุดครู่หนึ่ง คนผู้นี้…ฟู่จิงหลุนส่งมาหรือ เป็นไปไม่ได้ หากไม่มีคำสั่งจากเขา ฟู่จิงหลุนไม่มีทางกล้าทำอะไรโดยพลการ และพวกฟู่จิงหลุนไม่มีทางยอมเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้วยังจะมีผู้ใดอีก?!

พอผู้คุ้มกันคนนั้นเข้ามาในห้องโถง เขาก็เอาแต่มองจ้องฉู่เซ่าหลิง เสียงพูดปนหอบเล็กน้อยเนื่องจากการต่อสู้ประชิดตัวเมื่อครู่ แต่กลับฟังดูทรงอำนาจอย่างยิ่ง “ยกเว้นฉินอ๋อง…คนอื่นๆ ให้ถอยออกไปข้างนอกให้หมด ส่วนเจ้า!”

ผู้คุ้มกันมองจ้องและตวาดใส่หัวหน้าองครักษ์เสียงดัง “ไปเตรียมรถเทียมม้าสี่ตัว เดี๋ยวนี้!”

ฉู่เซ่าหยางขวัญผวาเพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เอ่ยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าจะทำอะไร?!”

นี่คือการจับองค์ชายสี่เป็นตัวประกัน! ทุกคนตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ หัวหน้าองครักษ์พูดเสียงหนัก “น้องชาย ฟังข้าก่อน…”

“หุบปาก! หากช้าอีกแม้เพียงหนึ่งเค่อ ข้าจะตัดนิ้วของหมิงอ๋องหนึ่งนิ้ว!” เพราะกลัวว่าจะไม่มีคนทำตาม ผู้คุ้มกันคนนั้นจึงกดคมดาบลงไปบนคอของฉู่เซ่าหยางจนมีแผล เลือดสดๆ ไหลรินลงมา

ฉู่เซ่าหยางรับรู้ได้ถึงความเจ็บที่คอ เขาไม่เคยพบเจอเรื่องทำนองนี้มาก่อนจึงรีบร้องตะโกน “ยังจะทำบื้ออะไรอีก รีบไป!”

ทุกคนต่างรีบไปเตรียมรถม้า ผู้คุ้มกันคนนั้นหันมามองฉู่เซ่าหลิง พูดเสียงห้าว “ต้องขอรบกวนท่านอ๋องแล้ว คอยให้ออกจากเมืองหลวงได้เมื่อใด จะหาสถานที่ปล่อยตัวท่านอ๋องให้เป็นอิสระเอง”

ฉู่เซ่าหลิงเดินเข้าไปใกล้จนเห็นใบหน้าของผู้คุ้มกันคนนั้นได้อย่างชัดเจน ใบหน้าที่ต่อให้เปื้อนเลือดก็ยังเรียกได้ว่าหมดจดงดงาม ทว่าเวลานี้กลับมีกลิ่นอายหล่อเหลาน่าเกรงขาม เพียงแต่การเสียเลือดมากทำให้สีหน้าค่อนข้างซีด ฉู่เซ่าหลิงคล้ายว่าจะจำผู้คุ้มกันคนนี้ได้ แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเขาจึงทำเพื่อตนถึงเพียงนี้ ทำให้เขาอดถามไม่ได้ว่า “เจ้า…ผู้ใดให้เจ้ามา”

ผู้คุ้มกันคนนั้นนิ่งไป หลุบสายตาต่ำ พูดเสียงเบา “ไม่…ไม่มีใครส่งผู้น้อยมาขอรับ…”

ฉู่เซ่าหลิงไม่มีทางคาดถึงว่าในเวลาเช่นนี้ จะยังมีคนที่กล้าทำเพื่อเขาถึงเพียงนี้

 

บทที่ 2

เลือดที่คอของฉู่เซ่าหยางยังไหลไม่หยุด พวกองครักษ์จึงไม่กล้าชักช้า รีบจัดเตรียมรถม้าให้พร้อมสรรพทันที ผู้คุ้มกันคนนั้นรัดคอของฉู่เซ่าหยางแน่น ดวงตาวาวโรจน์กวาดมองไปทั้งซ้ายและขวาขณะพูดเสียงหนัก “ท่านอ๋อง โปรดอย่าอยู่ห่างจากผู้น้อย”

เขาพูดพลางคุ้มกันฉู่เซ่าหลิงเดินออกไปข้างนอก ดวงตาทั้งสองข้างจดจ้องรอบตัว และคอยตวาดให้องครักษ์ถอยห่างออกไปเป็นระยะ ฉู่เซ่าหลิงรู้สึกมึนๆ การที่เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้มิใช่ว่าเขาจะไร้ความสามารถในการปกป้องตัวเอง เพียงแต่ไม่อยากทำอะไรอีกต่อไปแล้ว ทว่าการปรากฏตัวของผู้คุ้มกันคนนี้ทำให้ฉู่เซ่าหลิงไม่สามารถทำตามความต้องการของตัวเองได้ ได้แต่เดินตามฝ่ายตรงข้ามออกจากวังฉินอ๋องไปช้าๆ

ผู้คุ้มกันคนนั้นยึดตัวฉู่เซ่าหยางไว้พลางสำรวจดูรถม้าเร็วๆ โชคดีที่หัวหน้าองครักษ์ไม่กล้าทำอะไร ผู้คุ้มกันคนนั้นจึงให้ฉู่เซ่าหลิงขึ้นรถไปก่อน ส่วนตัวเองกวาดตามององครักษ์ที่รายล้อมอยู่รอบตัวแวบหนึ่ง พูดเสียงดัง “ต้องขอล่วงเกินพี่ชายทุกท่าน ข้าไม่มีเจตนาทำร้ายหมิงอ๋อง รับรองได้ว่าพอท่านอ๋องปลอดภัย ข้าจะปล่อยหมิงอ๋องเอง แต่ถ้ามีผู้ใดคิดว่าตัวเองฉลาด ก็อย่าตำหนิที่ข้าจะทำตัวเป็นปลาตายแหขาด!”

กล่าวจบเขาก็ฟาดสันมือลงที่ท้ายทอยของฉู่เซ่าหยาง ทำให้อีกฝ่ายสลบก่อนยัดเข้าไปในรถ ส่วนตัวเองพลิกตัวขึ้นรถ เผ่นหนีด้วยความเร็วราวกับเหาะ

 

ขณะนี้เป็นยามโหย่ว บนท้องถนนไม่มีผู้คน ผู้คุ้มกันคนนั้นอาศัยตอนที่องครักษ์วังฉินอ๋องทำอะไรไม่ถูกห้อตะบึงผ่านสุสานไร้ญาติออกจากตัวเมือง ผู้คนโดยรอบจึงลดน้อยลงกว่าเดิม ฉู่เซ่าหลิงแง้มผ้าม่านรถมองออกไป เห็นสีหน้าของผู้คุ้มกันคนนั้นขาวซีดลงเรื่อยๆ เนื่องจากไม่สามารถใช้ถนนใหญ่ รถจึงกระเด้งกระดอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เชื่อว่าเลือดที่แผลคงไม่มีทางหยุดได้ ฉู่เซ่าหลิงอดรนทนไม่ไหวจึงถามเสียงเบา “เจ้า…เหตุใดจึงทำเช่นนี้”

ผู้คุ้มกันคนนั้นชะงัก แต่มือยังคงเร่งม้าให้เร็วขึ้นอีก เวลาผ่านไปพักใหญ่กว่าที่เขาจะตอบ “ผู้น้อย…ได้รับมอบหมายให้มาทำงานอยู่ข้างกายท่านอ๋องตั้งแต่แปดปีก่อน แต่ผู้น้อยโง่เขลา ไม่คู่ควรอยู่ถวายการอารักขาข้างกายท่านอ๋อง เมื่อสามปีก่อนจึงถูกปลดเนื่องจากกระทำความผิด ตอนนั้น…ท่านอ๋องออกปากขอให้ผู้บังคับบัญชาละเว้นโทษให้ผู้น้อย พระคุณนี้ผู้น้อยไม่เคยลืม มาวันนี้เมื่อท่านอ๋องมีภัย ผู้น้อยจึงพร้อมยอมถวายชีวิตเพื่อปกป้องท่านอ๋อง…”

แค่เรื่องพวกนี้ เขาถึงกับพาตัวเองมาตายเชียวหรือ ฉู่เซ่าหลิงนึกถึงสีหน้าท่าทางเมื่อครู่ของเขาแล้วหัวใจพลันกระตุก ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ดูท่าทางเจ้าคงผ่านพิธีสวมหมวก มาได้สองสามปี ได้…แต่งงานแล้วหรือยัง”

เว่ยจี่ผินหน้ามามองแต่ไม่ตอบ ดวงตาฉายแววขมขื่นบางเบา แต่กลับทำให้ฉู่เซ่าหลิงเข้าใจได้ในทันที

อันที่จริงฉู่เซ่าหลิงไม่เคยลืมเรื่องในวันวานที่เขาเล่า

ฉู่เซ่าหลิงมีนิสัยเย็นชามาตั้งแต่เกิด จึงไม่มีทางล่วงรู้ว่ามีคนคนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างเขาด้วยความจงรักภักดีอย่างเงียบๆ มาเป็นระยะเวลาหลายปีเช่นนี้

ฉู่เซ่าหลิงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เจ้าชื่ออะไร”

ผู้คุ้มกันคนนั้นยิ้มน้อยๆ ใบหน้าหล่อเหลาแลดูอ่อนวัยอยู่บ้าง เขาเองก็ตอบกลับมาเสียงเบา “เว่ยจี่ เว่ยที่แปลว่าพิทักษ์รักษา จี่ที่แปลว่าง้าวขอรับ”

ฉู่เซ่าหลิงทวนคำสองคำนี้เบาๆ พลางผงกศีรษะ “เว่ยจี่ เป็นชื่อที่ดี”

 

ในเมืองหลวงมีราชองครักษ์อยู่นับไม่ถ้วน มีหรือจะยอมปล่อยให้พวกเขาสามคนหนีรอดไปได้ง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดว่านี่เป็นแค่แผนหลบหนีที่มีจุดอ่อนมากมายของผู้คุ้มกันคนหนึ่ง ไม่ถึงยามไฮ่ รถม้าก็ถูกไล่ล่ามาถึงหน้าผาด้านตะวันตกของเมืองหลวงแล้ว ทหารหลายพันนายที่ไล่ตามมาได้ล้อมเอาไว้ ทางเดียวที่ไม่มีทหารคือตรงหน้าผาสูงชัน

ฉู่เซ่าหลิงก้าวลงจากรถอย่างไม่กลัวเกรง ในขณะที่เว่ยจี่ร้อนใจจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแตกตื่น ฉู่เซ่าหลิงยิ้มบางๆ นิ้วเรียวแตะไหล่เว่ยจี่เบาๆ พูดเสียงค่อย “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ต้องขอบใจเจ้าเสียอีกที่ช่วยให้ข้ามีชีวิตอยู่ได้อีกหลายชั่วยาม”

และทำให้เขาได้รับรู้ถึงความอบอุ่นอันน้อยนิดในโลกมนุษย์ก่อนที่จะตายจากไป

ฉู่เซ่าหลิงมองทหารที่ล้อมรอบพวกเขาชนิดไม่ยอมให้มีน้ำรั่วซึมแล้วระบายลมหายใจเบาๆ อย่างเสียดาย ฉู่เซ่าหลิงหันกลับไปมองเว่ยจี่อย่างรู้สึกทนไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายยังเป็นผู้คุ้มกันหนุ่มน้อยเยาว์วัยคนหนึ่งที่ไม่สมควรมาตาย

แต่ตอนนี้พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เหล่าราชองครักษ์รุกคืบเข้ามา ดาบวาววับเปล่งประกาย ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่งามฉายแววเย่อหยิ่งบางเบา เป็นเช่นนี้ก็ไม่เลว เทียบกับการฆ่าตัวตาย การได้ตายด้วยน้ำมือของเหล่าราชองครักษ์พร้อมกับเว่ยจี่เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเป็นสุขมากกว่า ฉู่เซ่าหลิงชักดาบออกมา พวกเขาสองคนมีดาบสองเล่ม การเผชิญกับยอดทหารจำนวนสามพันตรงหน้าช่างเป็นเรื่องน่าขันและน่าเวทนายิ่ง

ฉู่เซ่าหลิงกับเว่ยจี่พุ่งเข้าหากลุ่มราชองครักษ์พร้อมกัน เปิดฉากการประหัตประหาร

เหล่าราชองครักษ์หวาดกลัวฉู่เซ่าหลิงแต่ไม่กลัวเว่ยจี่ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเว่ยจี่ก็ถูกทำร้ายบาดเจ็บทั้งที่เดิมทีก็มีบาดแผลจากคมดาบอยู่บนตัวหลายแห่งอยู่แล้ว เวลานี้เขาไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้อีก ท่ามกลางสติอันรางเลือน เว่ยจี่หันไปมองฉู่เซ่าหลิง อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกันและกำลังจะถูกราชองครักษ์คนหนึ่งฟัน ร่างกายที่เดิมกลายเป็นตะเกียงพร่องน้ำมัน ไปแล้วของเว่ยจี่เกิดมีโลหิตพลุ่งพล่านขึ้นมากะทันหัน เขากระโจนเข้าไปขวางหน้าฉู่เซ่าหลิงเพื่อรับดาบสุดท้ายแทน

มาถึงขั้นนี้บรรดาราชองครักษ์เลิกไล่ตามพวกเขาแล้ว เพียงยืนล้อมกรอบทั้งสองคนห่างออกไปราวหนึ่งจั้ง

เว่ยจี่ที่เลือดโซมกายเพียรพยายามฮึดสู้สุดชีวิตเพื่อยื้อลมหายใจไว้จนถึงตอนนี้ ทว่าบัดนี้เขาทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เว่ยจี่ยกมือดึงดาบที่แทงทะลุอกออกช้าๆ เลือดสดๆ พุ่งพรวดออกมา น้ำเสียงของฉู่เซ่าหลิงที่เรียกชื่อเขาแหบพร่า “เว่ยจี่…”

เว่ยจี่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฉู่เซ่าหลิง เมื่อได้ยินเสียงเรียกเขาจึงหันไปมองฉู่เซ่าหลิงและส่งยิ้มให้อย่างอ่อนแรง บัดนี้เขามองภาพไม่ชัด สติค่อยๆ รางเลือน น้ำเสียงแหบพร่าพูดตะกุกตะกัก “ท่านอ๋อง…เมื่อสิบปีก่อนข้าติดตามท่านพ่อเข้าวัง ได้พบท่านที่อุทยานปี้เทา…”

 

ปีนั้นฮองเฮายังไม่จากโลกนี้ไป จวนจื่อจวินโหว ยังเรืองอำนาจ ฉู่เซ่าหลิงคือโอรสที่เกิดจากภรรยาเอกซึ่งได้รับการยกย่องเชิดชูอย่างที่สุด ทุกอากัปกิริยาของเขาล้วนสูงส่งงามสง่า

ณ อุทยานปี้เทา ใต้ต้นท้อที่ดอกร่วงโรยโปรยปราย ฉู่เซ่าหลิงสวมอาภรณ์หรูหรา เลิกคิ้วแย้มยิ้มงดงามล่มบ้านล่มเมือง

เพียงได้เห็นแวบเดียวก็ติดตาตรึงใจ ภาพนั้นได้ฝังอยู่ในความทรงจำของเว่ยจี่ไปตลอดกาลไม่อาจลืมเลือน

เพื่อฉู่เซ่าหลิง เว่ยจี่มุมานะบากบั่นฝึกฝน เพื่อฉู่เซ่าหลิง เว่ยจี่ยอมเหนื่อยยอมลำบากเพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในวังฉินอ๋อง แปดปีที่ผ่านมาเขาคอยดูแลความปลอดภัยของฉู่เซ่าหลิงด้วยความระมัดระวัง ความผิดพลาดครั้งเดียวเกิดขึ้นในวันวิวาห์ของฉู่เซ่าหลิง เนื่องจากเว่ยจี่ดื่มสุราเมามายตลอดคืน

เว่ยจี่หลับตาลงช้าๆ การเฝ้าดูแลคนผู้นี้อย่างเงียบๆ เป็นระยะเวลาสิบปีบัดนี้ได้สิ้นสุดลง ถือว่าเขาได้ทำในสิ่งที่ตนปรารถนาแล้ว

แม้เว่ยจี่จะไม่ได้พูดอะไรกระทั่งสิ้นใจ แต่ฉู่เซ่าหลิงกลับเข้าใจดี

ฉู่เซ่าหลิงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หัวใจที่ด้านชามาเป็นเวลานานพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวด ทุกก้าวย่างที่เขาเดินมาจนถึงวันนี้ฉู่เซ่าหลิงไม่เคยนึกเสียใจ มีแต่เสียดายว่าเหตุใดเขาถึงเพิ่งมารู้เรื่องพวกนี้ในวันนี้ เหตุใดเขาถึงเพิ่งมารู้ว่าข้างตัวมีคนอย่างเว่ยจี่อยู่ หากได้รู้ก่อน หากได้ย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง เขาจะต้อง…

ใบหน้าของฉู่เซ่าหลิงนิ่งสนิท เขาหยิบดาบยาวในมือของเว่ยจี่ขึ้นมา ลุกขึ้นยืนด้วยอาการซวนเซ ชายหนุ่มกวัดแกว่งดาบทำให้ราชองครักษ์พากันถอยกรูด ฉู่เซ่าหลิงยิ้มเยาะ หมุนตัวอุ้มร่างไร้วิญญาณของเว่ยจี่ที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนก้าวไปที่หน้าผาและกระโดดลงไปทันที!

หน้าผาสูงชันลึกเกินกว่าสามพันฉื่อ ร่างไร้วิญญาณของทั้งคู่จะอยู่เคียงข้างกัน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 3-4 ได้ในวันที่ 5 .. 64

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: