บทที่ 3
นางกำนัลแหวกม่านผ้าไหมปักดิ้นทองก่อนเดินเข้าไปในห้องช้าๆ นางเปิดเตากำยานอย่างเบามือเพื่อใช้ช้อนเงินเติมเครื่องหอมเข้าไป ก่อนถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
กลิ่นหอมบางเบาแต่อบอวลลอยกรุ่นออกมาจากเตากำยานทองคำแกะลายบุปผาเนิ่นนานไม่จางหาย ฉู่เซ่าหลิงอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น สมองคิดเลือนๆ ว่านี่คือไม้กฤษณาที่เขาไม่ได้กลิ่นมานานหลายปี
กลิ่นไม้กฤษณามีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ปรับสมดุลม้ามและกระเพาะ ขับไล่สิ่งไม่เป็นมงคล ทั้งยังรักษาโรคเรื้อรัง หากจุดไว้ภายในห้องจะส่งผลดีต่อร่างกายอย่างที่สุด นับเป็นของล้ำค่าในวังหลวงนอกเหนือจากอำพันทะเล ที่ใช้กัน เป็นสิ่งที่ฮองเฮาโปรดปรานเป็นพิเศษ
ฉู่เซ่าหลิงได้กลิ่นนี้แล้วรู้สึกคิดถึงเรื่องในอดีต สมัยที่เสด็จแม่ของเขายังอยู่ รู้ว่าเขาชอบเครื่องหอมชนิดนี้จึงแบ่งมาให้ที่อุทยานปี้เทาใช้เกินครึ่ง
ต่อมาเมื่อฮองเฮาสวรรคตย่อมไม่มีส่วนแบ่งนี้อีกต่อไป หลังใช้ของที่เหลืออยู่ไม่กี่หีบหมดก็หมดกัน ภายหลังเมื่อฮ่องเต้แต่งตั้งลี่เฟยเป็นฮองเฮา เรื่องพวกนี้ยิ่งต้องสุดแต่ฮองเฮาองค์ใหม่…
ฉู่เซ่าหลิงจมอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ภาพเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนทยอยฉายอยู่ในสมองของเขา…
สมัยเด็กฮองเฮาอุ้มฉู่เซ่าหยางและจูงมือเขาไปชมดอกไม้ เล่นน้ำที่สวนดอกไม้ของวังเฟิ่งหวาด้วยกันสามคน ฉู่เซ่าหลิงที่ยังเป็นเด็กไม่เข้าใจว่าเหตุใดเวลาที่ไม่มีใครเสด็จแม่ถึงร้องไห้เป็นประจำ เขารู้เพียงว่าเสด็จพ่อไม่ได้มาที่วังเฟิ่งหวานานแล้ว แต่ชอบไปอยู่กับลี่เฟยที่วังหลินจื่อมากกว่า และการที่ลี่เฟยเป็นที่โปรดปรานก็ทำให้มีคนทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจทำให้ฮองเฮาวางตัวลำบาก
ต่อมาเมื่อท่านตาจื่อจวินโหวไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ฮองเฮากลับไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากกล่อมให้ท่านตาอย่าทำสิ่งใดออกนอกหน้า ยามนั้นสุขภาพของฮองเฮาทรุดโทรมลงทุกวัน แต่เวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางจะยังคงวางตัวสุขุมเหมือนเก่า จวบจนมรณกาลมาเยือน นางจึงขอร้องฮ่องเต้ให้เห็นแก่ที่นางกับเขาเป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี ประทานความใจกว้างให้แก่สกุลของนาง ตลอดชีวิตของฮองเฮานางไม่เคยวอนขอสิ่งใด ฮ่องเต้ย่อมต้องตอบรับคำขอสุดท้ายนี้…
สกุลเดิมของเหล่าสนมหลายคนในวังล้วนมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในราชสำนัก จำนวนองค์ชายที่เกิดจากอนุภรรยาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สถานภาพของฉู่เซ่าหลิงกับฉู่เซ่าหยางสั่นคลอน แรกๆ พวกเขาไม่ได้รับการยกย่องเชิดชูเหมือนในอดีต ต่อมาถึงขั้นมีคนทำร้ายฉู่เซ่าหลิงและวางยาพิษฉู่เซ่าหยาง…
ฉู่เซ่าหลิงจึงเริ่มต้นคบค้ากับขุนนางใหญ่เพื่อสร้างฐานอำนาจของตน ไม่ว่าจะเป็นขุนนางสายในหรือสายนอก ขอเพียงมีความสามารถช่วยเหลือเขาได้ฉู่เซ่าหลิงล้วนยินดีผูกมิตรด้วย เป็นเหตุให้เขาค่อยๆ มีสมัครพรรคพวกของตนอยู่ในราชสำนัก…
ทางฝ่ายในลี่เฟยก็ครองความเป็นใหญ่ องค์ชายรองฉู่เซ่าหร่วนบุตรชายของลี่เฟยเจินปี้เหอจึงกลายมาเป็นศัตรูตัวฉกาจของฉู่เซ่าหลิง ในช่วงวิกฤตฉู่เซ่าหยางเกิดพลาดพลั้งตกไปอยู่ในมือของสกุลเจิน ฉู่เซ่าหลิงอับจนหนทาง จำต้องช่วยให้ลี่เฟยได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาเพื่อแลกกับชีวิตของน้องชาย องค์ชายสามฉู่เซ่าโม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเฉินอ๋องและร่วมมือกับฉู่เซ่าหร่วน แต่ฉู่เซ่าหลิงวางแผนล้มฉู่เซ่าโม่จนสำเร็จ
หลังเฉินอ๋องต้องโทษ ฉู่เซ่าหลิงก็เริ่มหันไปเล่นงานสกุลเจินกับฉู่เซ่าหร่วน เขาลงมือเล่นงานพวกนั้นอย่างหนักแน่นจริงจังทีละก้าวๆ ไม่ถึงสองปีเขาก็สามารถทำให้ฮ่องเต้ชิงชังและทอดทิ้งฉู่เซ่าหร่วน เป็นเหตุให้สกุลเจินค่อยๆ ตกต่ำลง…
ในที่สุดฉู่เซ่าหลิงก็กำจัดอุปสรรคที่ขวางหน้าได้หมด แต่ตอนที่เขาตั้งใจจะหยุดพักหายใจสักเฮือก ฉู่เซ่าหยางผู้เป็นน้องชายแท้ๆ ของตนกลับใช้ดาบแทงข้างหลังเขาอย่างแรง ทำลายความสัมพันธ์ของสองพี่น้องลงจนสิ้น…
โชคดีที่สุดท้ายมีใครคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา แม้เขาจะเป็นเพียงผู้คุ้มกัน แต่กลับทำให้ฉู่เซ่าหลิงสามารถจากโลกนี้ไปได้อย่างมีความสุข เสียดายอย่างมากที่…ฉู่เซ่าหลิงคิดอย่างสะลึมสะลือ เสียดายอย่างมากที่เขาไม่ได้รู้จักกับเว่ยจี่มาตั้งแต่ต้น…ไม่สิ!
ฉู่เซ่าหลิงเปิดเปลือกตาพรึบ เขาไม่ได้ร่วงลงหน้าผาไปแล้วหรือ เวลานี้…มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ฉู่เซ่าหลิงลุกขึ้นมานั่งและกวาดตามองไปรอบๆ ภาพเบื้องหน้าล้วนเป็นภาพที่เขาคุ้นเคยดี เพราะที่นี่…คืออุทยานปี้เทา!
อุทยานปี้เทาคือสถานที่ที่ฮ่องเต้มอบให้เขาหลังจากที่เขาย้ายออกจากวังเฟิ่งหวาของหลิงฮองเฮาตอนอายุหกขวบ ของตกแต่งทั้งหมดในวังหลิงฮองเฮาเป็นผู้เลือกเฟ้นด้วยตัวเอง จวบจนเขาเข้าพิธีสวมหมวก ออกจากวังหลวงไปสร้างวังของตัวเอง ฉู่เซ่าหลิงก็ไม่เคยได้กลับมาที่นี่อีกเลย
ฉู่เซ่าหลิงก้าวลงจากเตียง เดินเท้าเปล่าอ้อมฉากบังลมปักลวดลายอย่างชาวสู่ เห็นตัวเองในคันฉ่องก็นิ่งอึ้ง ภาพหนุ่มน้อยที่ปรากฏในนั้นอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปี ทว่าอึดใจต่อมาฉู่เซ่าหลิงกลับยิ้ม…สวรรค์ไม่ได้ทอดทิ้งเขาทำให้เขาได้ย้อนกลับมาในอดีต
ฉู่เซ่าหลิงเดินกลับไปที่ห้องชั้นใน เขาเดินไปรื้อค้นโต๊ะหนังสือ ด้านล่างหนังสือเมิ่งจื่อ มีกระดาษหนึ่งแผ่น เขียนด้วยลายมือของฉู่เซ่าหลิงเอง ทั้งหน้ากระดาษเขียนถ้อยคำสดุดีหลิงฮองเฮา ลงท้ายไว้ว่าฤดูเหมันต์ปีที่สิบสามแห่งรัชสมัยเทียนฉี่
วันที่สิบสอง เดือนสิบ ปีที่สิบสามแห่งรัชสมัยเทียนฉี่ คือวันครบรอบวันสวรรคตของหลิงฮองเฮา และปีนี้ฉู่เซ่าหลิงเพิ่งจะมีอายุได้สิบเจ็ดปี
ฉู่เซ่าหลิงหลับตาลงเพื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนี้อย่างละเอียด ใช่แล้ว ปีที่หลิงฮองเฮาจากไปคือช่วงที่ลี่เฟยสกุลเจินและน้องสามฉู่เซ่าโม่คอยจับจ้องตนราวพยัคฆ์จ้องเหยื่อ เขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อคุ้มครองฉู่เซ่าหยางหลายครั้ง ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเสียงเย็น ในเมื่อสวรรค์ให้เขาได้ย้อนเวลากลับมาอีกหน เช่นนั้นเขาต้องไม่ยอมลำบากเหมือนชาติก่อน เขาจะต้องค่อยๆ คิดบัญชีกับคนที่ทำร้ายเขาพวกนั้นทีละคนและแย่งชิงของที่เป็นของเขากลับมาทีละชิ้นๆ รวมถึง…เว่ยจี่
เมื่อชาติก่อน ก่อนตายเว่ยจี่บอกว่าเคยพบเขาเมื่อสิบปีที่แล้ว ฉู่เซ่าหลิงลองคำนวณคร่าวๆ พบว่าเวลานี้เว่ยจี่น่าจะเจอเขามาสองปีแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเว่ยจี่ตอนนี้ได้เข้าวังมาอยู่ข้างกายตนหรือยัง ฉู่เซ่าหลิงแอบนึกเสียใจที่ตนไม่ได้รู้เรื่องของเว่ยจี่มากกว่านี้ รู้เพียงชื่อแซ่ของอีกฝ่าย หากเวลานี้เว่ยจี่ยังไม่ได้เข้าวัง การหาตัวเขาย่อมเป็นเรื่องยาก ทว่าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะถึงตอนนั้นต่อให้ต้องพลิกวังค้นหา ฉู่เซ่าหลิงก็จะหาตัวคนคนนี้จนเจอให้จงได้
ฉู่เซ่าหลิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกเพื่อจัดระเบียบความคิดก่อนหมุนตัวไปเรียกคน บรรดานางกำนัลไม่คิดว่าฉู่เซ่าหลิงจะตื่นแล้ว พอได้ยินเสียงจึงรีบเข้ามาดูแล หวั่นชุ่ยซึ่งเป็นนางกำนัลประจำตัวสวมเสื้อตัวนอกให้ฉู่เซ่าหลิง นางติดกระดุมโมราให้เขาทีละเม็ดๆ พูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดวันนี้องค์ชายจึงตื่นเช้าถึงเพียงนี้ เมื่อคืนกว่าพระองค์จะกลับจากตำหนักเจาหยางก็ดึกแล้ว บ่าวยังนึกว่าวันนี้องค์ชายจะลุกไม่ขึ้นเสียอีก”
ตำหนักเจาหยาง ตำหนักนอนของฉู่เซ่าหยาง
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเสียงเย็นเล็กน้อย เขาจัดแขนเสื้อโดยไม่เอ่ยตอบ หวั่นชุ่ยคุกเข่าเพื่อมัดสายรัดเอวให้ฉู่เซ่าหลิง พูดเสียงค่อย “เมื่อคืนเป็นวันครบรอบของฮองเฮา…บ่าวรู้ว่าองค์ชายอารมณ์ไม่ดี แต่องค์ชายอย่าเอาแต่โศกเศร้าไปเลย บ่าวได้ยินมาว่าหลายวันมานี้สุขภาพของไทเฮาไม่สู้ดีนัก คาดว่าคงเป็นเพราะคิดถึงฮองเฮา ถ้าอย่างไรหลังเลิกเรียนแล้วองค์ชายไปคารวะไทเฮา…”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” ฉู่เซ่าหลิงชะงักเพราะความคาดไม่ถึง ไปคารวะไทเฮา? เห็นอยู่ว่าไทเฮาสิ้นไปตอนปีที่สิบแห่งรัชสมัยเทียนฉี่ แล้วตอนนี้จะให้เขาไปคารวะไทเฮาที่ใด
หวั่นชุ่ยเงยหน้าขึ้นมองฉู่เซ่าหลิงอย่างงงๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงลังเล “บ่าวบอกว่า…ถ้าอย่างไรหลังเลิกเรียนองค์ชายไปคารวะไทเฮาหน่อยดีหรือไม่ ตอนฮองเฮายังมีพระชนม์ชีพ ไทเฮาโปรดปรานพระนางอย่างที่สุด เชื่อว่าหลายวันมานี้ไทเฮาเองก็คงกำลังเสียพระทัยเช่นเดียวกัน…”
ฮองเฮามิได้เป็นแค่สะใภ้ของไทเฮา แต่ยังเป็นหลานสาวที่ไทเฮารักและเอ็นดูเป็นที่สุดด้วย เรื่องการแต่งงานระหว่างฮ่องเต้กับฮองเฮาพระนางก็เป็นผู้สนับสนุน ไทเฮาย่อมต้องพึงใจสะใภ้คนนี้อย่างมาก ทว่า…ฉู่เซ่าหลิงไม่แน่ใจ เนื่องจากชาติที่แล้วไทเฮาจากโลกนี้ไปก่อนฮองเฮาสองปี เหตุใดตอนนี้พระนางจึงยังมีพระชนม์ชีพอยู่
หวั่นชุ่ยไหนเลยจะล่วงรู้ถึงความสับสนในสมองของฉู่เซ่าหลิง พอเห็นฉู่เซ่าหลิงทำหน้าแปลกๆ ก็เข้าใจว่าเมื่อวานเขาคิดถึงหลิงฮองเฮามากเกินไปจนตัวเองปวดใจ หญิงสาวดูแลรับใช้อยู่ข้างกายฉู่เซ่าหลิงมานานหลายปี รู้ว่าเจ้านายเป็นคนคิดมาก นางจึงไม่พูดอะไรยืดยาว
ตอนแรกฉู่เซ่าหลิงเข้าใจว่าตนแค่ต้องเดินไปตามเส้นทางในอดีตชาติอีกครั้ง ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเวลานี้ เหตุการณ์บางอย่างจะแตกต่างจากชาติก่อนอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นเว่ยจี่เล่า…เขายังอยู่หรือไม่
ฉู่เซ่าหลิงหลับตา เขาให้คนไปเรียกหวังกงกง ขันทีผู้ดูแลอุทยานปี้เทามาหา หวังกงกงมาคอยรับใช้อยู่ด้านนอกนานแล้ว พอได้ยินเสียงจึงรีบเข้ามา ก้มหน้ารอรับคำสั่ง
ฉู่เซ่าหลิงหยุดคิดก่อน “เมื่อวานข้าสั่งงานผู้คุ้มกันคนหนึ่งไว้ จำได้ว่าเขาชื่อเว่ยจี่ ไปเรียกเขามาที ข้ามีเรื่องจะสอบถามเขา” สีหน้าของฉู่เซ่าหลิงนิ่งสนิท แต่ในใจกลับกระวนกระวาย เพราะหากเว่ยจี่ยังไม่ได้เข้าวังหรือถูกส่งตัวไปที่อื่น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าชาตินี้เว่ยจี่ไม่เคยได้เจอเขา…
“ทูลองค์ชาย ช่างบังเอิญเหลือเกินขอรับ” หวังกงกงก้มหน้า “ผู้คุ้มกันมีการผลัดเปลี่ยนเวรยาม วันนี้เป็นวันออกจากวังของเว่ยจี่ เมื่อคืนเด็กคนนี้มาขอป้ายห้อยเอวจากบ่าว คิดว่าเช้านี้คงออกจากวังไปแล้ว”
หวังกงกงช้อนตาขึ้นมองสีหน้าของฉู่เซ่าหลิง แม้เขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ฉู่เซ่าหลิงจึงนึกถึงผู้คุ้มกันชั้นผู้น้อยที่ไม่มีตำแหน่งคนหนึ่งขึ้นมา แต่สีหน้าท่าทางของฉู่เซ่าหลิงดูผิดไปจากปกติ เขาจึงพูดอีกว่า “หากองค์ชายมีธุระกับเขา บ่าวจะให้คน…”
“ไม่ต้องหรอก” หัวใจที่แขวนห้อยอยู่กลางอากาศของฉู่เซ่าหลิงค่อยวางลงมาได้ เขาสั่นศีรษะ “ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ในเมื่อได้เปลี่ยนเวรออกไปนอกวัง เช่นนั้นตอนเย็นก็น่าจะกลับเข้ามา ไว้เขากลับมาเมื่อไรให้มาหาข้าทันที”
หวังกงกงก้มศีรษะ “ขอรับ”
ฉู่เซ่าหลิงเล่นป้ายหยกห้อยเอวเงียบๆ พักใหญ่ “ไปบอกสำนักศึกษาหลวงว่าวันนี้ข้าจะไม่ไปเรียน และเปลี่ยนชุดให้ข้า ข้าจะไปตำหนักฉืออันเพื่อคารวะไทเฮา”
บทที่ 4
ตำหนักฉืออันเงียบสงบเหมือนวันวาน พอซุนหมัวมัว ที่อยู่ข้างกายไทเฮาได้ยินว่าฉู่เซ่าหลิงมาก็รีบออกมาต้อนรับ นางประคองฉู่เซ่าหลิงลงจากเกี้ยวพลางพูดยิ้มๆ “อากาศหนาวจัด แต่องค์ชายใหญ่ยังอุตส่าห์มาเช้าถึงเพียงนี้…”
ดูท่าตามปกติตนจะมาที่นี่เป็นประจำ ฉู่เซ่าหลิงเริ่มเบาใจ ซุนหมัวมัวพูดเสียงเบาต่ออีกว่า “เมื่อคืนไทเฮาบรรทมได้ไม่สนิท จะต้องคิดถึงฮองเฮาเป็นแน่…อีกสักครู่ขอองค์ชายใหญ่ได้โปรดช่วยปลอบใจพระนางด้วย พระพลานามัยของไทเฮาไม่สู้ดีนัก ขืนยังเป็นเช่นนี้…”
ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะ “หมัวมัวสบายใจได้”
ซุนหมัวมัวพาฉู่เซ่าหลิงตรงไปที่ตำหนักชั้นใน ด้านในไทเฮาสวมชุดลำลองกำลังเอนตัวอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย เมื่อเห็นฉู่เซ่าหลิงมา พระนางก็รีบยื่นมือเป็นเชิงให้เขาเข้ามาหา ฉู่เซ่าหลิงโขกศีรษะตามธรรมเนียม ไทเฮาหัวเราะเบาๆ “รีบลุกขึ้น มานั่งข้างย่า”
ไทเฮาลุกขึ้นนั่ง ให้ฉู่เซ่าหลิงนั่งข้างพระนางเพื่อพิศดูสีหน้าเขาอย่างละเอียด “ยังดี หลายวันมานี้อากาศเย็นขึ้น อุทยานปี้เทาอบอุ่นดีหรือไม่ ไม่มีเตาใต้ดินจะหนาวหน่อย มิสู้…เจ้ากับหยางเอ๋อร์ย้ายมาอยู่กับย่าที่นี่ดีกว่า คอยให้พ้นช่วงซานจิ่ว ไปแล้วค่อยย้ายกลับ…”
ฉู่เซ่าหลิงรีบปฏิเสธ “มิกล้ารบกวนความสงบของเสด็จย่า แม้อุทยานปี้เทาจะไม่อบอุ่นเหมือนตำหนักฉืออัน แต่ไม่ได้หนาวถึงเพียงนั้น ถ่านไฟยังใช้งานได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาย่อมไม่กลัวหลานชายจะหนาวจนต้องให้คนเข้ามาอยู่ที่ตำหนักฉืออัน แม้ตำหนักขององค์ชายจะไม่มีเตาใต้ดินแต่ก็มีเตากำยานและอ่างไฟคอยให้ความอบอุ่นได้เหมือนฤดูวสันต์ เพียงแต่ระยะนี้ผู้คนในวังต่างไม่ค่อยให้ความเคารพทายาทที่ฮองเฮาเหลือทิ้งไว้ ยิ่งเป็นวันครบรอบของหลิงฮองเฮายิ่งทำให้ไทเฮาอยากช่วยเสริมอำนาจในวังให้พวกเขา ฉู่เซ่าหลิงเข้าใจเรื่องนี้ดี
เห็นสายตาของไทเฮาแล้ว ฉู่เซ่าหลิงพลันรู้สึกอบอุ่นใจ ชาติก่อนไทเฮาเอ็นดูเขามาก เสียดายที่พระนางจากไปเร็ว แต่วันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความรักของไทเฮาจะเป็นตัวช่วยสำคัญของเขา
ระหว่างที่ย่าหลานสองคนกำลังคุยกัน ซุนหมัวมัวก็เข้ามาแจ้งว่า “ไทเฮาเพคะ ลี่กุ้ยเฟย ซูเฟย และบรรดาเหนียงเหนียง จากตำหนักต่างๆ มาขอคารวะเพคะ”
ฉู่เซ่าหลิงได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คุกเข่าลง ไทเฮาก็ชิงบอกก่อน “หลิงเอ๋อร์ไม่ต้องไป พวกนางแค่มาพูดคุยสองสามประโยค อาหารกลางวันมีเป็ดแปดสมบัติที่เจ้าชอบกิน วันนี้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนย่าที่นี่ก่อนนะ”
ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะทั้งที่ยังแคลงใจไม่หายว่าลี่เฟยกลายเป็นลี่กุ้ยเฟยตั้งแต่เมื่อไร ชาติก่อนนางถูกตนกดไว้ตลอด สุดท้ายเพื่อรักษาชีวิตของฉู่เซ่าหยาง เขาจึงจำเป็นต้องช่วยนางให้ขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา ซึ่งในระหว่างนั้นลี่เฟยก็ไม่เคยได้ตำแหน่งลี่กุ้ยเฟยมาก่อน?!
ไทเฮาหันไปมองซุนหมัวมัว นางเข้าใจจึงหมุนตัวไปเชิญบรรดาสนมเข้ามา ทุกคนไม่รู้ว่าฉู่เซ่าหลิงอยู่ที่นี่ด้วย พอทำความเคารพซึ่งกันและกันเสร็จก็นั่งลง ฉู่เซ่าหลิงยังคงถูกไทเฮารั้งไว้ให้นั่งอยู่ข้างกาย
“ตำหนักของไทเฮาอบอุ่น ดอกสุ่ยเซียน จึงบานได้งดงามกว่าที่ตำหนักของหม่อมฉันมากนัก” ลี่กุ้ยเฟยนั่งถัดจากไทเฮาลงไปทางด้านซ้าย นางลูบปิ่นดอกไม้ไหวที่ทำจากปะการังข้างจอนผมเบาๆ ขณะพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรภูมิลักษณ์ที่ตำหนักฉืออันแห่งนี้ย่อมดีที่สุด”
ไทเฮาฟังแล้วหัวเราะเบาๆ “ตำหนักของข้าแค่อุ่นกว่าหน่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกให้หลิงเอ๋อร์ย้ายมาอยู่กับข้าที่นี่ เดือนสิบอากาศหนาว เด็กคนนี้ได้รับการทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก เจ็บออดๆ แอดๆ ไม่ขาด ต้องให้อยู่ในสายตาข้าจึงจะวางใจ”
เหล่าสนมนางในได้ยินแล้วชะงัก ไทเฮาทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร
ฉู่เซ่าหลิงหันไปมองไทเฮาพร้อมกับคนอื่นๆ สีหน้าของลี่กุ้ยเฟยเปลี่ยนสี ทำให้ฉู่เซ่าหลิงแอบยิ้มเย็นในใจ สมัยที่ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ลี่เฟยเป็นผู้ที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด นางจึงอาศัยพระเมตตาแย่งชิงความโดดเด่นไปจากหลิงฮองเฮาไม่น้อยและคอยหาเรื่องมากดศีรษะฮองเฮาไว้ หากฮองเฮามิใช่คนสุขุม รู้จักรักษากิริยา ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องน่าขบขันขึ้นมากน้อยเพียงใด ไทเฮาเป็นน้าแท้ๆ ของหลิงฮองเฮาย่อมต้องเกลียดชังลี่เฟย แต่เพราะเห็นแก่ที่ลี่เฟยให้กำเนิดองค์ชายรองฉู่เซ่าหร่วนและได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ถึงได้ยอมละเว้นนาง ทว่าในเวลานี้หลิงฮองเฮาก็จากไปได้หนึ่งปีแล้ว ทำให้บรรดาสนมนางในกลุ่มนี้พากันกระสับกระส่าย
ลี่กุ้ยเฟยในเวลานี้ยังไม่มีรากฐานที่มั่นคง ในขณะที่ฉู่เซ่าหลิงได้รับการสนับสนุนจากไทเฮา ครั้งนี้เขาจะไม่มีทางยอมให้สตรีนางนี้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาเป็นอันขาด ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ในใจ ตำแหน่งของมารดาแท้ๆ ของเขา ลี่กุ้ยเฟยไม่คู่ควร
บรรดาสนมนางในที่มีตำแหน่งสูงในตอนนี้ นอกจากลี่กุ้ยเฟยแล้วยังมีซูเฟยซึ่งมีโอรสธิดาหนึ่งคู่ องค์หญิงใหญ่ออกเรือนไปเมื่อปีก่อน ส่วนองค์ชายห้าเพิ่งจะอายุเจ็ดปี เพราะซูเฟยมีชาติกำเนิดต่ำต้อยนางจึงอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ดีมาก ไม่เคยคิดเหลวไหลถึงสิ่งที่ไม่ใช่ของตน ฉู่เซ่าหลิงจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจนางมากนัก
มองเลยไปทางด้านหลัง หนิงกุ้ยเหรินที่นั่งอยู่ปลายแถวช้อนสายตาขึ้นมาลอบผงกศีรษะให้ฉู่เซ่าหลิง หนิงกุ้ยเหรินเคยเป็นนางกำนัลกวาดพื้นของวังเฉิงเฉียน เกิดโชคดีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเหริน แต่ไม่นานฮ่องเต้ก็สูญสิ้นความโปรดปรานในตัวนาง พระสนมกุ้ยเหรินตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสกุลเดิมที่มีความเข้มแข็ง ซ้ำยังสูญสิ้นความโปรดปรานแล้วย่อมใช้ชีวิตอยู่ในวังด้วยความยากลำบาก ยามนั้นหนิงกุ้ยเหรินถูกเหล่าสนมนางในในวังกลั่นแกล้งรังแกอย่างหนัก โชคดีที่หลิงฮองเฮาช่วยดูแล ทำให้นางสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ภายหลังนางได้ให้กำเนิดองค์หญิงหนึ่งคนจึงได้มีที่ทางอยู่ในวังหลวง
หนิงกุ้ยเหรินระลึกถึงความเมตตาของหลิงฮองเฮามาโดยตลอดจึงถวายความจงรักภักดีให้แก่พระนางอย่างเต็มที่ หลังจากที่หลิงฮองเฮาจากไป นางยังคงให้ความเคารพยกย่องฉู่เซ่าหลิงกับฉู่เซ่าหยางเช่นเดิม ทำให้ฉู่เซ่าหลิงไว้วางใจนางอย่างมาก
ระหว่างที่ฉู่เซ่าหลิงกำลังคิดนั่นคิดนี่ สายตาของไทเฮาก็กวาดมองไปเห็นสีหน้าของทุกคน พระนางเอ่ยช้าๆ ว่า “เพียงแต่เด็กคนนี้อยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ยิ่ง เกรงว่าจะเป็นการกวนใจข้าจึงไม่ยอมมา…” ไทเฮาลูบหลังฉู่เซ่าหลิงเบาๆ น้ำเสียงเอื้อเอ็นดู “สมกับเป็นโอรสในฮองเฮา รู้จักหนักเบาเป็นที่สุด”
ซูเฟยถวายงานอยู่ในวังมาเป็นระยะเวลาหลายปี ย่อมต้องรู้ว่าไทเฮาอยากพูดสิ่งใด เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จริงด้วย มิใช่หม่อมฉันพูดเอง แต่ในบรรดาพระโอรส องค์ชายใหญ่เป็นบุตรภรรยาเอกและเป็นบุตรคนโต ย่อมมีจรรยามารยาทสมกับราชสกุลเหนือผู้อื่น หม่อมฉันพูดกับสุยเอ๋อร์เป็นประจำว่าให้ดูพี่ใหญ่ไว้เป็นตัวอย่าง เมื่อโตแล้วให้รู้ความเช่นนี้บ้าง”
ฉู่เซ่าสุยคือองค์ชายห้าที่ถือกำเนิดจากซูเฟย ตามปกติเด็กน้อยเป็นที่โปรดปรานของไทเฮาอย่างมาก พระนางจึงหัวเราะเอ่ย “สุยเอ๋อร์ยังเล็ก ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องพวกนี้”
ลี่กุ้ยเฟยค่อนข้างกระสับกระส่าย ปลายนิ้วสีแดงสดใสจิกเข้าไปในผ้าเช็ดหน้า องค์ชายรองฉู่เซ่าหร่วนของนางต้องพ่ายแพ้ให้แก่บุตรคนโตในภรรยาเอก หลังฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ สกุลเจินที่เป็นสกุลเดิมของนางก็ค่อยๆ ยืนหยัดขึ้นมาได้ หลังหลิงฮองเฮาจากไปนางก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นกุ้ยเฟย ถือครองตราหงส์เป็นใหญ่ในฝ่ายใน
ใบหน้าของลี่กุ้ยเฟยเรียบเฉย นางหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ ขอเพียงนางได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ฉู่เซ่าหร่วนของนางย่อมกลายเป็นบุตรภรรยาเอก ตำแหน่งบุตรชายของฮองเฮาคนแรกจะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป และมีโอกาสที่จะได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทมากกว่าฉู่เซ่าหลิงที่ปราศจากมารดาผู้ให้กำเนิด
ลี่กุ้ยเฟยหัวเราะเบาๆ “จะว่าไปแล้วหม่อมฉันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เมื่อวานคนของสำนักพระราชวังมาสอบถามหม่อมฉันว่าไม้กฤษณาที่ได้รับมาเป็นเครื่องบรรณาการปีนี้จะจัดสรรอย่างไรดี
เนื่องจากไทเฮาไม่โปรดเครื่องหอม ที่ผ่านมาเครื่องหอมชนิดนี้จึงถูกส่งไปที่วังเฟิ่งหวาของฮองเฮา ทว่าเวลานี้ เอ่อ…” ลี่กุ้ยเฟยก้มหน้า ขอบตาแดงเรื่อ นางสั่นศีรษะ “สำนักพระราชวังไม่กล้าแบ่งสันไม้กฤษณาเอง ปีนี้หม่อมฉันเป็นคนจัดการเรื่องเหล่านี้ แต่ไม่กล้าถืออภิสิทธิ์ จึงตั้งใจมาทูลถามความคิดเห็นของไทเฮาว่าจะให้เก็บไว้ที่สำนักพระราชวังเพื่อให้ฮองเฮาองค์ใหม่ใช้ หรือ…แบ่งสันให้ผู้อื่นดี?”
ซูเฟยปิดฝาถ้วยชา หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “น้องสาวทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร แบ่งสันให้ผู้อื่น? แต่ไหนแต่ไรมาไม้กฤษณามีใช้อยู่แต่ในวังหลวง จะแบ่งสันให้ผู้ใดได้เล่า หรือจะให้ตัวน้องสาวเอง?”
“พี่สาวล้อเล่นแล้ว น้องเพียงอยากได้ความคิดเห็นจากไทเฮาเท่านั้น” ลี่กุ้ยเฟยไม่โกรธที่ถูกซูเฟยพูดแทงใจ เมื่อเวลานี้นางมีอำนาจมหาศาลอยู่ในวังหลวง ขาดแค่ตำแหน่งเพียงอย่างเดียว ถ้าอยากใช้ไม้กฤษณาก่อนจะมีปัญหาอะไร นางอยากให้ทั้งวังรับรู้เต็มแก่ว่ายามนี้ผู้ใดคือผู้ถือครองตราหงส์ ลี่กุ้ยเฟยหัวเราะเบาๆ “น้องเพียงรู้สึกว่าเวลานี้ฝ่ายในไม่มีผู้ใด หากปล่อยเครื่องหอมล้ำค่าที่ได้รับเข้ามาเป็นบรรณาการทิ้งไว้ให้เสียเปล่าย่อมเป็นความผิด”
ไทเฮามองลี่กุ้ยเฟยกับซูเฟยด้วยสายตาเยือกเย็น พูดช้าๆ “ไม้กฤษณาไม่เพียงให้กลิ่นสุขุมหรูหรา แต่ยังเป็นตัวยาล้ำค่า หากใช้เป็นประจำจะส่งผลดีต่อร่างกาย…”
ไทเฮาหลับตาพลางสูดลมหายใจเข้าปอดลึก พระนางหันไปส่งยิ้มให้ฉู่เซ่าหลิง “ที่เจ้ารมตัวมาวันนี้ก็เป็นเครื่องหอมชนิดนี้ เจ้าไปเอามาจากที่ใดหรือ”
ฉู่เซ่าหลิงก้มหน้า “หลานจะไปเอามาจากที่ใดได้ นี่เป็นของที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ให้ ที่จริงก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว แต่หลานจะจุดทุกครั้งเวลาคิดถึงเสด็จแม่ เมื่อคืน…หลานจุดไปเล็กน้อย ทำให้เวลานี้มีกลิ่นติดตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาระบายลมหายใจ พูดเสียงอ่อน “เมื่อวานเป็นวันครบรอบวันตายมารดาเจ้า คิดถึงก็คิดไปเถอะ เจ้ามีความกตัญญู และของสิ่งนี้ก็เป็นน้ำใจที่เสด็จแม่มีต่อเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ลี่กุ้ยเฟย แจ้งสำนักพระราชวังว่าให้ส่งไม้กฤษณาที่ได้รับมาเป็นบรรณาการของปีนี้ไปที่อุทยานปี้เทา หนึ่งเพื่อทดแทนความคิดถึงมารดาของเขา และสองการรมเครื่องหอมชนิดนี้เป็นประจำย่อมดีต่อสุขภาพของหลิงเอ๋อร์ คอยให้ฮ่องเต้แต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่แล้วเราค่อยมาจัดสรรกันใหม่อีกที”
ไม่ว่าอย่างไรลี่กุ้ยเฟยก็คิดไม่ถึงว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ นางชะงักก่อนฝืนยิ้ม “เรื่องนี้…แต่ไรมาเครื่องหอมชนิดนี้จะใช้กันเฉพาะในวังหลวง มาวันนี้หากมอบให้องค์ชายใหญ่ เกรงว่าจะผิดกฎ…”
“นี่มิใช่เรื่องที่เจ้าจะพูดได้…” ไทเฮาคลึงเตาอุ่นมือเงินแกะลายในมือช้าๆ “หากปล่อยของเหล่านี้ไว้ให้เสียเปล่าย่อมเป็นความผิด ในเมื่อในวังไม่มีคนใช้และองค์ชายใหญ่ก็ใช้มันจนคุ้นชินแล้ว การมอบให้เขาจะมีสิ่งใดไม่เหมาะสมกัน”
ลี่กุ้ยเฟยย่อมไม่กล้าต่อปากต่อคำกับไทเฮา นางรีบก้มหน้าลงพูดยิ้มๆ “เช่นนี้ก็ดี ไทเฮาทรงคิดอ่านได้รอบคอบ หม่อมฉันจะกลับไปแจ้งพวกเขาเพคะ”
ฉู่เซ่าหลิงคุกเข่าขอบพระทัย ไทเฮายิ้มแล้วดึงตัวเขาขึ้นมา ใบหน้าฉายแววเมตตาเช่นเดิม
คลื่นลมขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กภายในตำหนักฉืออันถูกไทเฮาสลายให้หายไปอย่างง่ายดาย ไทเฮาอายุมากแล้ว แต่ยังคงมีความคิดอ่านกระจ่างดุจกระจกว่าความรักใคร่ของฮ่องเต้ทำให้คนบางคนบังเกิดความคิดที่ไม่สมควร ไทเฮามองรอยยิ้มนอบน้อมของลี่กุ้ยเฟยพลางหัวเราะเย็นชาอยู่ในใจ ช่างคิดฝันเหลวไหลเสียจริง
ฉู่เซ่าหลิงได้รับการสนับสนุนจากไทเฮาทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทำให้เขามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ตอนกลางวันชายหนุ่มอยู่กินอาหารเป็นเพื่อนไทเฮาและสนทนากับท่านผู้อาวุโสเป็นนานสองนานกว่าจะออกจากตำหนักฉืออัน บ่าวคนสนิทถามฉู่เซ่าหลิงว่าอยากไปคารวะฮ่องเต้ที่วังเฉิงเฉียนหรือไม่ ฉู่เซ่าหลิงไม่เอ่ยคำใด เพียงสั่งให้กลับวังเพราะเขายังไม่ได้พบกับคนสำคัญคนหนึ่ง
หลังกลับถึงอุทยานปี้เทาตอนยังไม่เลยยามเว่ย ท้องฟ้าขมุกขมัว เริ่มมีหิมะตก หวั่นชุ่ยขอให้ฉู่เซ่าหลิงไปพักผ่อนแต่เขากลับส่ายหน้า ถือร่มเดินไปที่ประตูใหญ่ของอุทยานปี้เทาช้าๆ ตามองทางเดินด้านนอกอย่างเงียบๆ
ฉู่เซ่าหลิงบอกว่าต้องการชมหิมะและยืนอยู่เช่นนั้นถึงสองชั่วยามจนล่วงเข้ายามโหย่ว ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็ย่ำหิมะเข้ามาด้วยท่าทางเดียวกับในความทรงจำ เพียงแต่เขาดูเด็กลงมาก ร่างกายยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดูอายุไม่เกินสิบสามสิบสี่ปี ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เมื่อเห็นฉู่เซ่าหลิงอยู่ที่ประตูก็รีบเดินเข้าไปคุกเข่า พริบตานั้นมือที่ถือร่มของฉู่เซ่าหลิงก็สั่นระริก เขาถามด้วยเสียงแหบพร่า “เจ้าชื่ออะไร”
ผู้คุ้มกันหนุ่มน้อยคิดไม่ถึงว่าองค์ชายใหญ่จะพูดคุยกับเขา หัวใจเต้นรัวเร็วเหมือนตีกลอง เขาตั้งสติก่อนก้มหน้าตอบว่า “เว่ยจี่ เว่ยที่แปลว่าพิทักษ์รักษา จี่ที่แปลว่าง้าวขอรับ”
ฉู่เซ่าหลิงหลับตา “เว่ยจี่ เป็นชื่อที่ดี”
ผู้คุ้มกันน้อยเงยหน้าขึ้นมองฉู่เซ่าหลิงอย่างงงๆ ใบหน้าของฉู่เซ่าหลิงนิ่งสนิท ก่อนพูดช้าๆ “เลื่อนตำแหน่งเว่ยจี่เป็นผู้คุ้มกันขั้นสาม ทำงานรับใช้ประจำตัว”
เว่ยจี่ไม่เคยคิดว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ เขาอายุยังน้อย ความคิดความอ่านใสซื่อ จึงได้แต่คุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่รู้ว่าต้องกล่าวคำขอบคุณ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฉู่เซ่าหลิงอย่างโง่งม ด้านฉู่เซ่าหลิงมองดวงตาดำขลับของเว่ยจี่แล้วฉับพลันนั้นหัวใจที่เฝ้ารออย่างกระสับกระส่ายก็นิ่งสงบลง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 5-6 ได้ในวันที่ 7 พ.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.