บทที่ 5
ฉู่เซ่าหลิงเอนตัวอยู่บนตั่งนุ่ม มือถือหนังสืออ่านอย่างใจลอย เมื่อครู่เขาสอบถามหวังกงกง พบว่าลี่เฟยได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นลี่กุ้ยเฟยเมื่อตอนเดือนแปดปีนี้ เวลานี้นางเป็นใหญ่ในฝ่ายในแต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งเจินจยาซินบิดาของลี่กุ้ยเฟยก็เป็นเสนาบดีกรมปกครอง เป็นขุนนางคนสำคัญในสภาขุนนาง ตัวเองได้รับความโปรดปรานแล้ว สกุลเดิมยังมีอำนาจมหาศาล ซ้ำยังมีบุตรชายอยู่ข้างกาย อาศัยเพียงเรื่องนี้การที่ลี่กุ้ยเฟยจะได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาสุดอยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
ทั้งหมดเป็นเพราะฮ่องเต้โปรดปรานอนุภรรยามากจนเกินไป…ฉู่เซ่าหลิงนวดหัวคิ้ว เขากับฮ่องเต้ไม่เคยสนิทสนมกัน ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ฮ่องเต้อภิเษกกับฮองเฮา ต่างฝ่ายต่างให้ความเคารพยกย่องกันราวทหาร ไม่รักแต่ไม่บีบคั้น ทว่าฮ่องเต้กลับหน้ามืดตาลาย โอนอ่อนผ่อนตามสนมคนโปรดมากจนเกินไป ทำให้ฮองเฮาที่อยู่ในวังหลวงต้องวางตัวลำบากหลายครั้ง ตอนนั้นฉู่เซ่าหลิงยังเล็ก ทุกครั้งที่เห็นเสด็จแม่แอบหลั่งน้ำตาลับหลังผู้คนเขาก็รู้สึกเสียใจตาม ฮองเฮาเป็นสตรีที่ถือกำเนิดจากจวนจื่อจวินโหว เป็นบุตรสาวตระกูลขุนนางผู้ทรงอำนาจ ได้รับการยกย่องและเป็นที่รักใคร่เอ็นดูมาตั้งแต่เล็ก ไม่มีทางทำเรื่องแย่งชิงความโปรดปรานใดๆ เบื้องหลังของความงดงามสง่าสูงส่งคือความเดียวดายอันยาวนาน ทุกคืนทุกวันฉู่เซ่าหลิงต้องทนกล้ำกลืนกับความอยุติธรรมของฮ่องเต้ เป็นเหตุให้ฉู่เซ่าหลิงไม่สามารถให้ความเคารพฮ่องเต้ได้จากใจจริง
เรื่องเร่งด่วนในเวลานี้คือการดึงลี่กุ้ยเฟยลงจากหลังม้า เพราะถ้านางอยู่ดีมีสุขเกินไป ตัวเขาย่อมไม่เป็นสุขและจวนจื่อจวินโหวของท่านตาที่อยู่นอกวังเองก็จะพลอยสะเทือนไปด้วย ส่วนเรื่องฉู่เซ่าหยาง เวลานี้ฉู่เซ่าหลิงยังไม่คิดจะทำสิ่งใด มิใช่เพราะเขาเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน แต่เป็นเพราะตราบใดที่เขายังไม่ได้กำจัดอุปสรรคตรงหน้าให้หมดจด น้องชายแสนดีของตนย่อมไม่มีทางทำอะไรตนเด็ดขาด เรื่องนี้ทำให้ฉู่เซ่าหลิงรู้สึกสบายใจอย่างมาก
“องค์ชาย ผู้คุ้มกันเว่ย เว่ยจี่ มาแล้วขอรับ” เมื่อครู่หวังกงกงได้รับคำสั่งจากฉู่เซ่าหลิง เขาจึงพาเว่ยจี่ไปที่สำนักพระราชวังเพื่อสลักป้ายห้อยเอวและรับเสื้อผ้า เวลานี้เว่ยจี่อยู่ในชุดบุนวมของผู้คุ้มกันขั้นสามเรียบร้อย มันช่วยเน้นให้เห็นถึงความหมดจดสดใสมากขึ้น ฉู่เซ่าหลิงมองเครื่องประดับบนตัวของเว่ยจี่แล้วพลันบังเกิดความรู้สึกสงสาร เพราะเมื่อชาติก่อนต้องคอยจนถึงตายเว่ยจี่จึงจะได้สวมชุดนี้
หวังมู่หาน หวังกงกงผู้นี้ทำงานรับใช้อยู่ข้างฉู่เซ่าหลิงมาหลายปี ต่อให้ไม่พูดเขาก็พอจะคาดเดาหรือทำความเข้าใจความคิดของเจ้านายได้บ้าง การที่จู่ๆ ฉู่เซ่าหลิงถามถึงเว่ยจี่นั้นทำให้หวังกงกงเอะใจ ยิ่งกลับมาเห็นสายตาตอนที่ฉู่เซ่าหลิงเจอเว่ยจี่ด้วยแล้ว เมื่อพิศมองใบหน้าของเว่ยจี่ก็ทำให้พอจะเข้าใจได้ราวเจ็ดแปดส่วน เพราะเว่ยจี่มีใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แม้จะไม่ถึงขั้นรูปโฉมงดงามตรึงตราอย่างฉู่เซ่าหลิงแต่ก็นับได้ว่าไม่เลว หวังกงกงส่งสายตาไปให้ผู้รับใช้ฝ่ายในให้ถอยตามเขาออกไป
เว่ยจี่ลูบชุดบนตัวอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เพราะตำแหน่งผู้คุ้มกันขั้นสามเทียบเท่ากับตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นห้าเต็มขั้น ปีนี้เว่ยจี่เพิ่งจะอายุเต็มสิบสี่ ทำงานอยู่ข้างกายฉู่เซ่าหลิงไม่ถึงหนึ่งปีและไม่ค่อยได้พบเจอกับฉู่เซ่าหลิงด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ ผู้เป็นนายกลับให้ความสำคัญ มันทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจอย่างไม่อาจระงับ
ฉู่เซ่าหลิงมองท่าทางระแวดระวังของเว่ยจี่แล้วก็ยิ้ม เขากวักมือเรียกเว่ยจี่ให้เดินเข้าไปใกล้ หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “ตอนแรกว่าจะตั้งเจ้าเป็นผู้คุ้มกันขั้นหนึ่ง เพียงแต่เจ้าอายุน้อยเกินไป ไม่เหมาะสม และกลัวว่าถ้าเลื่อนขั้นเร็วเกินไปจะเป็นการหาเรื่องให้เจ้า เช่นนั้นก็เป็นอย่างนี้ไปก่อนแล้วกัน”
สำหรับเว่ยจี่ ตำแหน่งผู้คุ้มกันขั้นสามนี้เป็นเหมือนขนมเปี๊ยะไส้เนื้อที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ไหนเลยที่เขาจะคิดฝันถึงตำแหน่งผู้คุ้มกันขั้นหนึ่ง เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็รีบบอก “ผู้น้อยมิกล้า ผู้น้อยยังไม่ได้ทำประโยชน์ใดๆ ให้องค์ชาย แค่ตอนนี้ได้เป็นผู้คุ้มกันขั้นสามก็รู้สึกกลัวมากพอแล้ว ผู้น้อย…”
“กลัว?” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นต่อไปเจ้า…ช่างเถอะ ไม่ขู่เจ้าดีกว่า เพราะสิ่งที่ข้าให้ เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับทั้งนั้น”
ฉู่เซ่าหลิงหยิบทะเบียนเรือนของเว่ยจี่ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด พูดเสียงเนิบ “บิดาเจ้าคือแม่ทัพเฟิ่นหย่ง นามเว่ยหมิง พี่ชายคนโตเว่ยจั้นเป็นรองผู้บัญชาการค่ายเซียวฉี ดูจากครอบครัวเจ้า หากเข้าวังก็น่าจะไปอยู่ที่วังเฉิงเฉียนเพื่อจะได้มีหนทางได้ทำงานเป็นราชองครักษ์ เหตุใดจึงมาอยู่กับข้าได้”
คนข้างกายฉู่เซ่าหลิงทำงานรวดเร็วมาก ประวัติครอบครัวของเว่ยจี่จึงถูกจัดเตรียมและถูกส่งมาให้ฉู่เซ่าหลิงนานแล้ว สกุลเว่ยถือเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ ปู่ทวดของเว่ยจี่แต่งงานกับองค์หญิง เพียงแต่หลายสิบปีมานี้สกุลเว่ยค่อยๆ ตกต่ำ บรรดาศักดิ์ที่ถูกส่งต่อให้เว่ยหมิงบิดาของเว่ยจี่จึงเหลือแต่ตำแหน่งทางการทหารขั้นหนึ่ง ไม่มีอำนาจที่แท้จริง ทำให้ครอบครัวค่อนข้างลำบาก
เคยมีคนถามเว่ยจี่ด้วยคำถามเดียวกับฉู่เซ่าหลิง และได้คำตอบว่าเป็นเพราะเว่ยหมิงเห็นว่าบุตรชายไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความในใจของเว่ยจี่ ยิ่งเวลานี้อยู่ต่อหน้าฉู่เซ่าหลิงเขายิ่งพูดออกไปไม่ได้ เว่ยจี่สั่นศีรษะ ตอบเสียงเบา “ผู้น้อยโง่เขลาเบาปัญญา ไม่อาจถวายงานฝ่าบาท ขอเพียงสามารถทำประโยชน์ให้แก่องค์ชายได้ เท่านี้ก็พอใจแล้ว”
ถึงเว่ยจี่ไม่พูด ฉู่เซ่าหลิงก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าการที่เว่ยจี่ไม่ไปถวายงานฝ่าบาท แต่กลับมาทำงานอยู่เงียบๆ ข้างกายเขาเช่นนี้ คิดว่าสกุลเว่ยคงไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เด็กหนุ่มเห็น เวลานี้เว่ยจี่อายุสิบสี่ปี เข้าวังตอนอายุสิบสาม ฉู่เซ่าหลิงคิดถึงความลำบากที่เว่ยจี่ได้รับมาตลอดหนึ่งปีแล้วก็รู้สึกปวดใจ เขาดึงมือเว่ยจี่มาจับไว้และพูดเสียงนุ่ม “ความจงรักภักดีของเจ้าข้ารู้แน่แก่ใจดี ข้าจะไม่ทรยศต่อน้ำใจของเจ้าเป็นอันขาด”
สิ่งที่อยู่ในใจของฉู่เซ่าหลิงคือภาพของเว่ยจี่ที่นอนจมกองเลือดเพื่อเขาในชาติก่อน กับท่าทางที่ต้องทนรับความลำบากเพื่อเขาตั้งแต่ยังเยาว์ในชาตินี้ มันทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวจนต้องรั้งเอวของเว่ยจี่เข้ามากอด พูดเสียงเบาว่า “เจ้าวางใจได้ ต่อไปข้าจะไม่ให้เจ้าต้องลำบากอีก…”
ไหนเลยที่เว่ยจี่จะเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ เขาถึงกับสติแตก ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวไปคุกเข่า พูดเสียงสั่น “องค์ชาย…ผู้น้อย ผู้น้อยมิกล้า…”
แขนของฉู่เซ่าหลิงยังยกค้าง เขามองเว่ยจี่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยอาการชะงักเล็กน้อย เม้มริมฝีปากบาง แต่ยังคงขำ “ข้าเพียงล้อเจ้าเล่น ช่างเถอะ ออกไปได้แล้ว”
เว่ยจี่ยังคงกระสับกระส่าย เขารีบโขกศีรษะให้ฉู่เซ่าหลิงหนึ่งครั้งก่อนถอยออกไป
หวังกงกงเห็นเว่ยจี่ออกจากตำหนักไปอย่างตื่นๆ ก็รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงซอยเท้าเข้าไปด้านใน พบฉู่เซ่าหลิงนั่งหน้านิ่วอยู่บนเก้าอี้จริงตามคาด หวังกงกงมีฐานะเป็นขุนนางคนสนิทของฉู่เซ่าหลิง ย่อมต้องเป็นกังวลแทนนายในเรื่องนี้ หวังกงกงคิดแล้วก็เดินเข้าไปกระซิบถาม “องค์ชาย…เว่ยจี่ไม่รู้ประสีประสาใช่หรือไม่ ถึงได้ไม่ให้เกียรติกันเลย”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ จัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เขาลูบเส้นไหมที่เอวพลางส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เขาดีมาก ข้าใจร้อนไปเอง”
หวังกงกงเห็นฉู่เซ่าหลิงไม่โกรธก็รู้สึกสบายใจ เขาเดินเข้าไปเก็บโต๊ะพลางพูดเสียงเนิบ “องค์ชายก็เห็นว่าแม้เว่ยจี่จะมีตำแหน่งไม่สูง แต่เขาก็เป็นทายาทของขุนนางบรรดาศักดิ์ ค่อนข้างมีความหยิ่งทะนง หากองค์ชายชื่นชอบเขาจริง มิสู้ให้บ่าวไปคุยกับเขา เสนอประโยชน์ให้และข่มขู่สักสองสามประโยค เขาอายุยังน้อย คิดว่าคงไม่กล้าทำสิ่งใด”
ฉู่เซ่าหลิงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้อยากได้เขามาเป็นชายบำเรอ…ช่างเถิด ข้าคิดไม่รอบคอบเอง เจ้าอย่าไปพูดอะไรกับเขามาก ให้คอยดูไป อย่าให้ใครรังแกเขา หากเขาขาดสิ่งใดและตัวข้าคิดไม่ถึงเจ้าก็ช่วยเอาไปเพิ่มให้ อย่างอื่นข้าจะคิดเอง”
ครั้งนี้หวังกงกงอ่านความคิดของฉู่เซ่าหลิงไม่ออก ทำได้เพียงโค้งกายรับคำ “ขอรับ”
หนึ่งราตรีผ่านไปอย่างเงียบงัน เช้าวันที่สอง ตอนฉู่เซ่าหลิงเตรียมไปที่สำนักศึกษาหลวง ฉู่เซ่าหยางก็มา
องค์ชายสี่เป็นแขกประจำของอุทยานปี้เทา ข้างนอกจึงไม่ได้เข้ามาแจ้งก่อน ปล่อยให้ฉู่เซ่าหยางเดินเข้ามาเอง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดเสียงกลั้วหัวเราะว่า “พี่ใหญ่ ข้าได้ยินว่าเมื่อวานท่านไปข่มลี่กุ้ยเฟยที่ตำหนักฉืออัน ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อวานนางเอาแต่บ่นปวดศีรษะ ต้องเชิญหมอหลวงมาจัดยา ทำเอาวุ่นกันไปทั้งคืน”
ฉู่เซ่าหลิงมองหน้าฉู่เซ่าหยางนิ่ง น้องชายของเขายังมีใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์เช่นเดียวกับในความทรงจำ แลดูน่ารักน่าเอ็นดู ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “การข่าวเจ้าเร็วจริง”
ฉู่เซ่าหยางหัวเราะ “ข้าย่อมต้องพอรู้เรื่องของวังหลินจื่อดีอยู่แล้ว ฮ่าๆ พี่ใหญ่ ท่านควรทำเช่นนี้ ฉวยโอกาสเล่นงานลี่กุ้ยเฟยสักตั้ง และถ้าจะดีที่สุดคือทำให้นางปวดศีรษะไม่หายไปเลย!”
ฉู่เซ่าหลิงยิ้มแต่ไม่ตอบ ฉู่เซ่าหยางกลอกตาพลางพูดยิ้มๆ “พี่ใหญ่ จะทำให้ลี่กุ้ยเฟยลำบากคนเดียวคงไม่ได้ ต้องทำให้เสด็จพ่อไม่โปรดพี่รองด้วย ตราบใดที่พี่รองยังอยู่ ต่อให้ล้มลี่กุ้ยเฟยสำเร็จก็ไม่มีประโยชน์”
ฉู่เซ่าหลิงเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อให้นางกำนัลผูกเชือกที่เสื้อคลุมให้ เขาหันไปมองฉู่เซ่าหยางและมอบรอยยิ้มพี่ชายที่แสนดีให้พลางผงกศีรษะ “เรื่องนี้ข้ารู้”
พอฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ทั้งคู่ก็ไปที่สำนักศึกษาหลวงด้วยกัน ระหว่างนั้นฉู่เซ่าหยางยังเอาแต่บ่น “จริงสิ พี่ใหญ่ คราวหน้าตอนท่านไปตำหนักฉืออันพาข้าไปด้วยสิ พวกเราไปคารวะไทเฮาพร้อมกันน่าจะดีกว่า”
ฉู่เซ่าหลิงยิ้มพลางผงกศีรษะ “ได้”
สองพี่น้องสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
ช่วงเที่ยงฉู่เซ่าหลิงกลับไปที่อุทยานปี้เทา เว่ยจี่ยืนอยู่นอกตำหนักกับพวกผู้คุ้มกัน เมื่อเห็นฉู่เซ่าหลิงก็เดินเข้าไปทำความเคารพ ฉู่เซ่าหลิงมองเว่ยจี่แวบหนึ่งโดยไม่เอ่ยคำใด เขาตรงเข้าไปในตำหนักบรรทม แต่พอเข้าไปที่ตำหนักด้านในแล้วเขากลับสั่งหวังกงกงว่าต่อไปอย่าให้เว่ยจี่ไปอยู่เวรที่นอกตำหนักอีก เพราะอากาศช่วงซานจิ่วต่อให้สวมเสื้อผ้ามากกว่านี้ก็ยังแทบจะไม่ไหว
เมื่อคืนหลังเว่ยจี่จากไปฉู่เซ่าหลิงครุ่นคิดอยู่นาน ตามเหตุผลแล้วการที่เว่ยจี่ไม่ไปวังเฉิงเฉียนแต่มาอยู่กับเขาก็น่าจะเป็นเพราะมีใจให้เขา แต่เพราะเหตุใดเวลาที่ตนเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เว่ยจี่จึงผลักตนออกมา แม้ชาติก่อนฉู่เซ่าหลิงจะมีภรรยาและอนุ แต่กลับไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความรักเท่าไรนัก ท่าทีของเว่ยจี่ตอนนี้จึงทำให้เขางวยงง
ชาติก่อนข้างกายของฉู่เซ่าหลิงมีบุรุษหลายคน ดังนั้นการยอมรับบุรุษสักคนสำหรับเขาไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าเว่ยจี่มีความหมายพิเศษต่อเขาไม่น้อย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดเช่นนั้น
ฉู่เซ่าหลิงมีใจทะนุถนอมเขา แต่เว่ยจี่กลับไม่ต้องการ
ฉู่เซ่าหลิงพบว่าตนมีความอดทนต่อเว่ยจี่มากกว่าปกติเพราะเขาไม่อยากบังคับฝืนใจเจ้าตัว อีกอย่างเว่ยจี่อายุยังน้อย ต่อให้รู้จักรักแต่คาดว่าคงยังหวาดกลัวความรัก สิ่งที่ฉู่เซ่าหลิงมีคือเวลา เขาย่อมสามารถคอยให้ผู้คุ้มกันหนุ่มน้อยของตนค่อยๆ เติบโตขึ้นได้
บทที่ 6
นับตั้งแต่วันนั้นฉู่เซ่าหลิงไม่ได้พูดคุยกับเว่ยจี่มาก เพียงแต่ให้เขามาอยู่ข้างกายทุกวัน เว่ยจี่เองก็ว่าง่ายเพราะชื่นชมในตัวฉู่เซ่าหลิงเป็นทุนเดิมและเฝ้าคิดถึงแต่อีกฝ่ายเสมอ ทว่าแม้เว่ยจี่จะได้รับการปฏิบัติจากฉู่เซ่าหลิงเช่นนี้ ตัวเขากลับไม่กล้าแสดงออกนอกหน้า เพราะกลัวว่าจะถูกคนคิดไม่ดีล่วงรู้และเอาเรื่องนี้ไปทำร้ายฉู่เซ่าหลิงได้
“องค์ชาย เช้านี้ซุนหมัวมัวจากตำหนักไทเฮามาขอรับ” หวังมู่หานหรือหวังกงกงวางชามน้ำแกงสีขาววาดลายทองหนึ่งใบลงบนโต๊ะ “นางเอารังนกทองมาให้หลายชาม สั่งให้พวกบ่าวตุ๋นให้องค์ชายดื่มบำรุงทุกเช้าเย็น ชามนี้เพิ่งตุ๋นเสร็จ องค์ชายรีบดื่มตอนร้อนๆ เถิด”
ฉู่เซ่าหลิงเพิ่งกลับมาจากท้องพระโรง เวลานี้เขาเริ่มอายุมากขึ้นแล้วจึงต้องไปฟังข้อราชการและหัดอ่านฎีกาทุกวันทำให้เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ฉู่เซ่าหลิงยื่นมือไปเปิดฝาถ้วยดูแล้วกล่าวยิ้มๆ “เสด็จย่าอุตส่าห์คิดถึงข้า พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ให้เว่ยจี่อยู่”
ระยะนี้ฉู่เซ่าหลิงมักให้เว่ยจี่อยู่รับใช้ตนตามลำพัง หวังมู่หานจึงก้มศีรษะรับคำ โค้งตัวพาเหล่าข้ารับใช้ถอยออกไป
เว่ยจี่ได้ยินคำของฉู่เซ่าหลิงแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วน ทว่าเขายังคงก้มหน้ายืนอยู่ตรงโต๊ะอย่างว่าง่าย ฉู่เซ่าหลิงยกชามน้ำแกงขึ้นมาดมก่อนหันไปมองเว่ยจี่ “ช่วยชิมให้ข้าหนึ่งคำ”
เว่ยจี่ชะงัก ในเมื่อหวังกงกงจะต้องให้คนทดสอบพิษในอาหารของฉู่เซ่าหลิงก่อนส่งเข้ามาอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงต้องชิมอีก
เว่ยจี่ยืนนิ่งไม่ขยับ ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้หรือ แค่ให้ช่วยชิมดูว่าร้อนลวกปากหรือไม่เท่านั้น”
เว่ยจี่ยังมีอาการลังเล เนื่องจากนี่เป็นงานของนางกำนัลแต่กลับจะให้เขาทำ มันหมายความว่าอะไร อีกประการคือของที่เขากินแล้วจะให้องค์ชายกินอีกได้อย่างไร เว่ยจี่ไม่แน่ใจแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของฉู่เซ่าหลิง เขาหยิบชามน้ำแกงมาเปิดฝา รังนกตุ๋นมาข้นมาก กลิ่นหอมกรุ่นยั่วน้ำลาย เว่ยจี่ใช้ช้อนเงินตักชิมคำเล็กๆ หนึ่งคำพบว่าไม่ร้อนไม่เย็นกำลังดี จากนั้นเว่ยจี่ก็เอาผ้าไหมบนถาดฉลุลายที่ไว้ให้ฉู่เซ่าหลิงเช็ดมือมาเช็ดช้อนเงินที่เขาใช้แล้วอย่างดีก่อนเลื่อนชามไปตรงหน้าฉู่เซ่าหลิง ก้มศีรษะพูดว่า “ทูลองค์ชาย กำลังดีขอรับ”
ฉู่เซ่าหลิงเอาแต่อมยิ้ม มองท่าทางของเว่ยจี่ เขาฟังคำรายงานแล้วหัวเราะ ชิมรังนกไปหนึ่งคำก็วาง “รังนกวันนี้คาว ไม่อร่อย เจ้ากินเถอะ”
เว่ยจี่ชะงัก แม้รังนกจะเป็นของหายาก แต่ตอนอยู่บ้านเขาก็เคยกิน เมื่อครู่ถึงจะชิมแค่คำเล็กๆ หนึ่งคำเว่ยจี่ก็รับรู้ได้ว่ารังนกนี้ดีกว่ารังนกบ้านของเขามาก ไม่มีกลิ่นคาวสักนิด
ฉู่เซ่าหลิงสั่งเสร็จก็หยิบหนังสือหนึ่งเล่มมาอ่าน ไม่สนใจเว่ยจี่อีก เว่ยจี่ทำอะไรไม่ได้ น้ำเสียงลังเล “องค์ชาย…”
ฉู่เซ่าหลิงเงยหน้าขึ้นมองเว่ยจี่แวบหนึ่ง “ข้าให้กิน เจ้าก็กินเถอะ” กล่าวจบก็ไม่มองเว่ยจี่อีก ยังคงพลิกหนังสือในมืออ่านช้าๆ เว่ยจี่อับจนหนทาง ทำได้เพียงหยิบช้อนคันเล็กมาตักเข้าปากทีละคำๆ เขาไม่ได้กินอาหารตรงเวลาเพราะต้องทำงาน ทำให้ตอนนี้หิวแล้วจริงๆ รังนกอุ่นๆ หนึ่งชามช่วยให้สบายท้องขึ้นไม่น้อย เว่ยจี่เม้มริมฝีปาก วางถ้วยน้ำแกงว่างเปล่าลงบนโต๊ะหนังสือเบาๆ
หางตาของฉู่เซ่าหลิงคอยมองเว่ยจี่อยู่ตลอด ไม่รู้เหตุใดทุกครั้งที่เห็นเว่ยจี่กินของที่ตนให้ ฉู่เซ่าหลิงจะรู้สึกดีมาก หลังได้อยู่ร่วมกันมาหลายวันฉู่เซ่าหลิงก็พอจะรู้ความชมชอบของเว่ยจี่คร่าวๆ ว่าเขาชอบกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ชอบกินของหวาน ของกินอย่างโจ๊กร้อนๆ ก็ชอบ เว่ยจี่ไม่ใช่คนกินทิ้งกินขว้าง ต่อให้เป็นของกินที่ฉู่เซ่าหลิงกินเหลือครึ่งหนึ่งเขาก็จะค่อยๆ กินจนหมด ไม่มีเหลือทิ้งให้สิ้นเปลือง สักพักฉู่เซ่าหลิงก็ช้อนตาขึ้นมองเว่ยจี่ พูดยิ้มๆ “อิ่มแล้วใช่หรือไม่ เมื่อครู่ตอนเข้ามาข้าได้ยินเสียงท้องเจ้าร้อง!”
เว่ยจี่ได้ยินแล้วหน้าแดง ในใจทั้งอับอายที่ตนทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าองค์ชายและซาบซึ้งใจที่ฉู่เซ่าหลิงอุตส่าห์คิดถึงท้องไส้ของเขา จึงไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง ได้แต่พูดเสียงงึมงำ “ผู้น้อย…”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ แต่พอคิดถึงตอนเข้าประชุมวันนี้เขาก็มีอาการใจลอย เนิ่นนานกว่าจะกล่าวออกมาว่า “พี่ชายเจ้า…คนที่ทำงานอยู่ค่ายเซียวฉีชื่อ…”
เว่ยจี่ก้มศีรษะ “พี่ข้าชื่อเว่ยจั้นขอรับ”
“ใช่ เว่ยจั้น” ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะ “พี่ชายเจ้าอายุเท่าไร”
เว่ยจี่ตอบ “พี่ข้าเกิดปีมะโรง ปีนี้อายุสิบเจ็ดขอรับ”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ “เช่นนั้นก็ปีเดียวกับข้า…” ฉู่เซ่าหลิงเห็นเว่ยจี่มองเขาอย่างงงๆ ก็อธิบาย “ไม่มีอะไร ข้าแค่ถามไปเรื่อยเปื่อย”
ฉู่เซ่าหลิงมีแผนในใจแล้ว แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่ได้วางแผนเรื่องวันข้างหน้าของตนกับเว่ยจี่ แต่จะต้องหาทางยกย่องอีกฝ่ายขึ้นมาแน่ๆ เวลานี้ตำแหน่งของเว่ยจี่ไม่สูง ใช่ว่าอาศัยกำลังของเขาคนเดียวจะยกอีกฝ่ายขึ้นมาไม่ได้ แต่เว่ยจี่เป็นคนคิดมาก ถ้าทำเช่นนั้นเกรงว่าเจ้าตัวจะไม่พอใจ เพราะการเลื่อนขั้นโดยไร้ความชอบจะนำมาซึ่งปัญหา วิธีที่ดีที่สุดคือค่อยๆ ยกตระกูลของเว่ยจี่ขึ้นมา
ฉู่เซ่าหลิงศึกษาเรื่องครอบครัวของเว่ยจี่จนกระจ่างแล้ว บิดาของเว่ยจี่ เว่ยหมิงเป็นคนความสามารถธรรมดาไม่โดดเด่น ได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์มาสิบกว่าปีแล้วยังไม่มีผลงาน ได้แต่แขวนชื่อไว้ในกรมปกครองไม่สามารถยกขึ้นมาได้ เว่ยจี่ไม่มีพี่สาวหรือน้องสาว มีเพียงพี่ชายคนโตคนเดียว เว่ยจั้นคนนี้ฉู่เซ่าหลิงค่อนข้างให้ความสนใจ เนื่องจากค่ายเซียวฉีมิใช่สถานที่ที่จะเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ยิ่งสกุลเว่ยไม่มีคนที่พอจะมีปากเสียงอยู่ในหมู่องครักษ์ด้วย แต่เว่ยจั้นกลับได้ตำแหน่งรองผู้บัญชาการในค่ายเซียวฉีมาตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปี เรียกได้ว่ามิใช่ธรรมดา
ตอนเข้าประชุมวันนี้เสนาบดีกรมทหารรายงานว่าผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีส่งฎีกาลาออก เนื่องจากปีนี้ผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีมีอายุห้าสิบสองปีแล้ว เดิมควรได้เกษียณอายุและตามหลักที่มีมาคือหลังส่งหนังสือลาออกแล้ว เขาจะพ้นสภาพการเป็นขุนนาง ฮ่องเต้ยอมรับฎีกาแจ้งปัญหาฉบับนี้ แต่ยังไม่มีการกำหนดตัวผู้บัญชาการค่ายเซียวฉี
ถ้าเป็นเวลาปกติย่อมต้องเลื่อนรองผู้บัญชาการขึ้นมารับตำแหน่ง เพียงแต่ชาติตระกูลของรองผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีคนปัจจุบันไม่ค่อยดีเพราะถือกำเนิดจากทหารเลว ที่เขาได้รับการยกย่องให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ก็ถือว่าเต็มที่แล้ว ยามนี้ยังไม่รู้ว่าควรจะส่งผู้ใดไป
แต่ไม่ว่าอย่างไรขณะนั้นฉู่เซ่าหลิงก็ยังคงนึกถึงเว่ยจั้น ทว่าเขาไม่สะดวกที่จะยกเว่ยจั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง จะให้ท่านตาช่วยพูดก็เกรงว่าถ้าทำเช่นนั้นฝ่าบาทจะสงสัย แต่ถ้าเป็นคนอื่น…
ฉู่เซ่าหลิงวางแผนในใจช้าๆ หางตาเผลอเหลือบไปมองเว่ยจี่ซึ่งกำลังก้มหน้าเช็ดปาก อากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ นี่กลับดูน่ารักมากสำหรับฉู่เซ่าหลิง พอเว่ยจี่เห็นว่าฉู่เซ่าหลิงมองตนก็รีบวางมือลง ยืนตัวตรง
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ แต่ตอนที่เขาตั้งท่าจะพูด หวังมู่หานกลับเดินเข้ามาแจ้งก่อนว่า “องค์ชาย องค์ชายสี่มาขอรับ”
รอยยิ้มของฉู่เซ่าหลิงแข็งค้างอยู่ที่มุมปาก สักพักเขาถึงเอ่ยปาก “เชิญ” และสั่งให้เว่ยจี่ถอยออกไปก่อน
แต่ไหนแต่ไรมาฉู่เซ่าหยางสามารถเข้าออกวังของฉู่เซ่าหลิงได้ตามใจ เพราะถือว่าพี่ชายรักเอ็นดูเลยได้คืบเอาศอก พอเข้ามาด้านในแล้วเขาก็นั่งลงพูดยิ้มๆ “วันนี้พี่ใหญ่ตื่นเสียเย็น ข้ายังกลัวว่ามาแล้วจะไม่เจอเสียอีก”
“มีที่ใดกัน” ฉู่เซ่าหลิงสั่งให้คนยกน้ำชา พูดเสียงเรียบ “เย็นถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ามาทำอะไร”
ฉู่เซ่าหยางหัวเราะ “ข้าได้ยินว่าวันนี้เสด็จย่าส่งรังนกมาให้พี่ใหญ่ไม่น้อย เลยจะมาขอกินบ้าง”
ฉู่เซ่าหลิงก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าอยากได้ของพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไร ตำหนักเจาหยางไม่มีรังนกหรือ”
“มีน่ะมี ข้าอยากได้ของพี่เสียที่ใดเล่า” ฉู่เซ่าหยางขำ “เพียงแต่เสด็จย่าให้พี่ใหญ่คนเดียว ข้าได้ยินแล้วหงุดหงิด! เพราะพวกชอบค่อนแคะในวังหลินจื่อล้วนน่ารำคาญ ปากเสียกันทั้งนั้น”
ฉู่เซ่าหยางชะโงกตัวเข้ามาหาฉู่เซ่าหลิง พูดเสียงเบาลง “เสด็จย่าน่าจะคอยกำราบลี่กุ้ยเฟยเอาไว้ หากรอให้นางได้เป็นฮองเฮาจริงๆ ถึงเวลานั้นเราสองพี่น้องจะอยู่ในวังต่อไปได้อย่างไร โชคดีที่มีไทเฮา พี่ใหญ่…ข้าหวังว่าต่อไปท่านจะได้เป็นฮ่องเต้”
น้ำเสียงของฉู่เซ่าหลิงเรียบสนิท “อย่าพูดเหลวไหล”
“แค่ปิดประตูคุยกันตามประสาพี่น้อง” ในดวงตาของฉู่เซ่าหยางมีความรักใคร่ชื่นชมต่อพี่ชาย “เวลานี้ไทเฮาดีต่อพี่ใหญ่มาก ถ้าหากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน พี่ใหญ่จะต้องได้ตำแหน่งรัชทายาท ขอเพียงพี่ใหญ่ได้เป็นฮ่องเต้ จะให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น”
ฉู่เซ่าหลิงชะงัก พูดเสียงเบา “เรื่องนี้เจ้าวางใจเถอะ ข้าคิดวิธีจัดการลี่กุ้ยเฟยกับฉู่เซ่าหร่วนไว้นานแล้ว ไม่เกินสามเดือน ทั้งสองคนต้องตาย”
ฉู่เซ่าหยางตื่นเต้น เขากวาดตามองไปรอบๆ จนแน่ใจว่าประตูหน้าต่างปิดสนิทดีจึงเอ่ยถามเสียงเบา “พี่ใหญ่มีวิธีดีๆ อะไรหรือ”
ฉู่เซ่าหลิงยิ้มอ่อนโยน “วิธีนี้ชั่วร้ายเกินไป เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”
“พี่ใหญ่บอกข้ามาเถิด ข้าจะได้ช่วย!” ดวงตาของฉู่เซ่าหยางเป็นประกาย “เป็นวิธีใดหรือ?!”
ฉู่เซ่าหลิงลังเล แต่เพราะทนฉู่เซ่าหยางตื๊อไม่ไหวจึงพูดเสียงค่อย “วิชามาร”
“พี่…พี่ใหญ่” ฉู่เซ่าหยางทำหน้าแปลกๆ “ท่านเชื่อของพวกนี้ได้อย่างไร ที่ผ่านมาท่านบอกว่าวิชามารเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่สามารถทำอะไรใครได้”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่รู้อะไร…หลายวันก่อนฟู่จิงหลุนหาวิชายอดเยี่ยมมาให้ข้าได้วิชาหนึ่ง ขอเพียงเอาวันเดือนปีเกิดแปดอักษรเขียนลงบนกระดาษยันต์ด้วยชาด แล้วเอายันต์นี้ไปเผาตอนกลางดึกทุกคืนเป็นจำนวนหนึ่งร้อยแผ่น ไม่เกินร้อยวัน คนที่โดนคำสาปจะต้องตาย”
ฟู่จิงหลุนคือพระอาจารย์ของรัชทายาท เป็นอาจารย์คนปัจจุบันของฉู่เซ่าหลิง และเป็นที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขา
ฉู่เซ่าหยางย่นหัวคิ้วเล็กน้อย “พี่ใหญ่ทำเช่นนี้ทุกวัน…เกิดถูกจับได้จะทำอย่างไร”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ต่อให้ถูกจับได้แล้วจะอย่างไร ข้าแค่สาปแช่งสนมคนหนึ่ง มีไทเฮาอยู่ เสด็จพ่อไม่มีทางทำอะไรข้าได้ หรือเสด็จพ่อจะประหารข้าเล่า แต่หากสำเร็จ เท่ากับตะปูที่แทงตาเราสองพี่น้องก็จะหายไปหนึ่งตัว”
ฉู่เซ่าหยางยังคงไม่แน่ใจ พูดเสียงงึมงำ “พี่ใหญ่…”
“วางใจเถอะ” ฉู่เซ่าหลิงลุกขึ้นไปตบไหล่ฉู่เซ่าหยาง “เจ้าทำเป็นไม่ได้ยินก็พอ”
ฉู่เซ่าหยางผงกศีรษะ สีหน้าคล้ายกำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่าง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 7-8 ได้ในวันที่ 10 พ.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.