ทดลองอ่าน เรื่อง ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1
ผู้เขียน : เหลียงฉาน
แปลโดย : mykLiu
ผลงานเรื่อง : ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
กล่าวถึงการข่มขืนและการใช้ความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Introduction
การดำน้ำตื้น คือการสำรวจจิตสำนึกในระดับตื้น เป็นศัพท์เฉพาะของการดำน้ำสำหรับการศึกษาวิจัยของอาณาเขตทะเล
การดำน้ำลึก คือการสำรวจจิตสำนึกในระดับลึก เป็นศัพท์เฉพาะของการดำน้ำสำหรับการศึกษาวิจัยของอาณาเขตทะเล
การล่องเรือ คือการออกตระเวนไปยังส่วนต่างๆ หรือทั้งหมดของอาณาเขตทะเลเพื่อตามหาสิ่งที่ผิดปกติ เป็นศัพท์เฉพาะของการดำน้ำสำหรับการศึกษาวิจัยของอาณาเขตทะเล
การสอบปากคำ สำหรับการศึกษาวิจัยของอาณาเขตทะเลนั้นการสอบปากคำ หมายถึงการที่นักปรับสมดุลทางจิตฝืนบุกรุกเข้าไปในอาณาเขตทะเลโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากบุคคลนั้นๆ
บทที่ 1 เลือดและไวน์ 01
เนื่องจากมีพื้นที่สีเขียวน้อยทำให้โรงพยาบาลมณฑลทหารราบที่ 267 ในช่วงปลายฤดูหนาวดูไร้ชีวิตชีวาเป็นพิเศษ
เวลาห้าโมงยี่สิบนาทีเป็นช่วงที่ใกล้เวลาเลิกงาน ทำให้คนในโรงพยาบาลมีไม่มากนัก
จู่ๆ ประตูของอาคารประวัติศาสตร์โรงพยาบาลก็ถูกใครคนหนึ่งผลักออกมาเสียงดังด้วยความรีบร้อน คุณหมอที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวคนหนึ่งวิ่งออกมาจนเกือบชนเข้ากับพนักงานทำความสะอาดที่กำลังกวาดพื้นอยู่ตรงประตู
“คุณหมอเผิง?” พนักงานทำความสะอาดตะโกนเรียก แต่ก็ไร้การตอบกลับ
สายลมในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็น แม้จะไม่มีหิมะแต่ก็ให้ความรู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูก
คุณหมอพุ่งเข้าไปที่ทางออกฉุกเฉินของอาคารผู้ป่วยนอก เขาวิ่งขึ้นไปที่ชั้นบนก่อนสุดท้ายจะผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานของรองผู้อำนวยการที่ชั้นแปด
ขณะนั้นรองผู้อำนวยการกำลังรับแขกอยู่ กลิ่นของชาที่ลอยอบอวลอยู่ทั่วห้องพลันถูกรบกวนขึ้นมากะทันหัน รอยยิ้มของเขาและแขกที่มาเยือนค้างอยู่บนใบหน้า ก่อนจะพากันมองไปยังผู้ที่ไม่ได้รับเชิญด้วยความประหลาดใจ
“พรุ่งนี้มีนัดผ่าตัดสำคัญไม่ใช่เหรอ” สีหน้าของรองผู้อำนวยการขรึมลง “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ!”
ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าสภาพของคุณหมอไม่ค่อยปกติ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากซีดเซียวที่สั่นไม่หยุด ในดวงตากลมโตมีแต่ความหวาดผวา เขากลอกตามองไปมาระหว่างรองผู้อำนวยการและแขกของอีกฝ่าย
“…เผิงหู คุณเป็นอะไร” สีหน้าของรองผู้อำนวยการเปลี่ยนไป “การผ่าตัดเมื่อช่วงบ่ายผิดพลาดงั้นเหรอ”
“ไม่…ไม่ใช่…” จู่ๆ มือของคุณหมอก็จับไปที่บริเวณท้อง เขาร้องอุ๊บออกมาก่อนจะคุกเข่าทรุดลงไปแล้วเริ่มอาเจียน
เขาอาเจียนจนกระทั่งน้ำตาไหลออกมา หลังจากอาเจียนเสร็จเขาก็ไอไปด้วยร้องไห้ไปด้วย
“เลขหก…ห้องผ่าตัดหมายเลขหก…เต็มไปด้วยเลือด…” เสียงของเขาสั่นเครือจนฟังไม่ชัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวหรือรู้สึกไม่สบาย ขณะที่ร่างกายเองสั่นไม่หยุด “ผนังและพื้น…เต็มไปด้วยเลือด…”
รองผู้อำนวยการตกใจจนลุกขึ้น “คุณพูดว่าอะไรนะ”
“เลือดเยอะมาก คนก็เต็มไปหมด…” คุณหมอเงยหน้าขึ้นมองรองผู้อำนวยการพลางพูดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
รอจนกระทั่งหมอและพยาบาลคนอื่นๆ มาพาเผิงหูออกไป แผ่นหลังของรองผู้อำนวยการก็มีเหงื่อเย็นๆ ผุดซึมออกมา เขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะมองหน้าแขกของตนเองอย่างไร รวมถึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
“พรุ่งนี้คุณหมอเผิงจะยังสามารถผ่าตัดได้อยู่ไหมครับ” แขกของรองผู้อำนวยการนั่งอย่างสงบอยู่ที่โซฟามาตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ได้แสดงสีหน้าหงุดหงิดหรือไม่พอใจออกมา แต่การที่เขาพูดอย่างช้าๆ ทีละคำก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาก้อนหินมาทุบที่หัวใจของรองผู้อำนวยการ
“พวกเราอนุญาตให้เขาผ่าตัด คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้”
หลังจากก้มศีรษะโค้งหลังส่งแขกแล้วรองผู้อำนวยการก็เดินวนไปวนมาอยู่คนเดียวที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาล คิ้วของเขาขมวดแน่นไม่คลาย
ความจริงแล้วตอนนี้เขากำลังสับสนกับคำพูดของเผิงหู
เพราะในโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่มีห้องผ่าตัดหมายเลข 6
ต้นซันจูอวี๋* ของสำนักงานวิกฤตการณ์มักเริ่มออกดอกในเดือนสาม
ต้นไม้หลายสิบต้นนี้เป็นไม้ดอกที่ขึ้นชื่อของสำนักงานวิกฤตการณ์ เวลาที่ดอกเริ่มบานจะดูคล้ายกับแม่น้ำสีทองที่ทอดยาวออกไป โดยเชื่อกันว่าการถ่ายรูปคู่กับต้นไม้นี้จะนำความโชคดีทางด้านการเงินมาให้ ดังนั้นพวกมันจึงเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากสำหรับคนในหน่วยงานที่มีฐานะยากจน
ด้านข้างโต๊ะทำงานของฉินเกอเป็นหน้าต่าง ส่วนด้านนอกหน้าต่างคือแนวต้นซันจูอวี๋
ทว่าตอนนี้ฉินเกอไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมมัน กระดาษและอุปกรณ์สำนักงานบนโต๊ะของเขาเละเทะไปหมด ขวดหมึกพลิกคว่ำ ทั้งยังมีหินแปลกๆ สองสามก้อนจมอยู่ในน้ำหมึกยี่ห้อฮีโร่ที่กำลังจะหมดอายุ
ฉินเกออยากจะหยิบกระดาษขึ้นมา แต่น้ำหมึกกลับกลายเป็นเหมือนกาว ทำให้กระดาษติดอยู่กับโต๊ะ
เขาจึงทำได้เพียงค่อยๆ หยิบออกมาทีละแผ่น
‘ประท้วงระบบแต่งงานที่ไม่ยุติธรรม!’
สีหน้าของฉินเกอไร้อารมณ์ขณะที่หยิบกระดาษแผ่นแรกทิ้งลงถังขยะ
‘พวกเราต้องการแต่งงาน!’
กระดาษเละๆ แผ่นที่สองถูกทิ้งตามลงไป
‘ความรักและการแต่งงานเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน!’
ฉินเกอค่อยๆ ดึงกระดาษออกจากโต๊ะด้วยความยากลำบาก
ขณะนั้นไป๋เสี่ยวหยวนที่เดินผ่านมาก็มองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ “มนุษย์ใต้พิภพเป็นคนทำ?”
“อืม” ฉินเกอตอบ
“นายไปทำให้พวกเขาไม่พอใจ?” ไป๋เสี่ยวหยวนอ่านตัวหนังสือบนกระดาษ “หนังสือยื่นขอแต่งงานของพวกเขา?”
“อืม” ฉินเกอตอบอีกครั้ง
“มนุษย์ใต้พิภพเป็นพวกไม่มีเหตุผลเป็นพิเศษหรือไงกัน” ไป๋เสี่ยวหยวนพูดขึ้นอีก “ฉันเห็นพวกแอ็กเคานต์เม้าท์มอยก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”
ครั้งนี้ฉินเกอไม่ตอบเธอ
ในโลกที่มีทั้งมนุษย์ธรรมดาและมนุษย์พิเศษนั้นจำเป็นต้องมีผู้ดูแลรักษากฎ
บทบาทของสำนักงานวิกฤตการณ์ก็คือเรื่องนี้ โดยสำนักงานนี้มีชื่อเต็มว่า ‘สำนักบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินและวิกฤตการณ์’ รับหน้าที่คอยดูแลรวมถึงจัดการเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์พิเศษ ถือเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญมากที่สุด
ทว่าเป็นเพราะที่ตั้งของสำนักงานเป็นพื้นที่เก่าแก่ซึ่งรายล้อมไปด้วยย่านการค้าหนาแน่น เขตที่พักอาศัย และถนนที่เป็นแหล่งของกิน ทั้งยังขาดแคลนเงินทุนประกอบกับการจัดการที่ไม่ดี ส่งผลให้ในปีนี้เพียงปีเดียวก็มีมนุษย์ใต้พิภพและมนุษย์กึ่งซอมบี้บุกมาสร้างปัญหาหลายครั้งแล้ว
ตอนนี้มีโพรงขนาดใหญ่ปรากฏอยู่กลางโถงบริการ นี่เป็นจุดที่มนุษย์ใต้พิภพขุดโพรงเข้ามายังที่แห่งนี้ สร้างความวุ่นวายตลอดทั้งคืน
เกาเทียนเยวี่ย ผู้อำนวยการของสำนักงานวิกฤตการณ์กำลังทะเลาะอยู่กับหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัย
เสียงของหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยดังไม่เท่าเสียงของเกาเทียนเยวี่ย เขากระโดดขึ้นไปนั่งเก้าอี้แล้วโบกมือ
“ผมบอกคุณตั้งนานแล้วว่าใต้ดินด้านล่างของสำนักงานวิกฤตการณ์มันผิดปกติ ถ้าเมื่อปีก่อนคุณเอาเงินทุนมาลงกับตรงนี้ตอนนี้คงไม่เป็นแบบนี้หรอก! เกาเทียนเยวี่ย คุณอมเงินใช่ไหม กระเป๋าเต็มหรือยังล่ะ!”
หน้าผากของเกาเทียนเยวี่ยมีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมา “พูดจาผายลมอะไรของนาย!”
ตรงมุมหนึ่งของโถงบริหารฉินเกอกำลังยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ เหนือศีรษะของเขามีป้ายไฟอิเล็กทรอนิกส์ที่มีตัวอักษรสีแดงวิ่งอยู่ โดยเขียนว่า ‘ปรึกษาการแต่งงาน / ยื่นความจำนงครองคู่’
“ฉันยังไม่เคยเจอมนุษย์ใต้พิภพตัวจริงมาก่อนเลย” ไป๋เสี่ยวหยวนพูด “มนุษย์ใต้พิภพเป็นพวกหัวรั้นหรือไง”
“อืม” ฉินเกอเริ่มใช้กระดาษทิชชูเช็ดโต๊ะ
ไป๋เสี่ยวหยวนรอสักพัก เมื่อเห็นว่าฉินเกอไม่ได้พูดอะไรต่อก็ถามขึ้นอีก “นายมือสั่น? พวกใต้พิภพทำให้นายโกรธใช่ไหม”
“ไม่ใช่” ฉินเกอเงยหน้าขึ้นแล้วชำเลืองมองเธอ ก่อนที่คำสองคำจะหลุดออกมาจากริมฝีปากบาง “รำคาญเธอ”
ไป๋เสี่ยวหยวนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบไม้กวาดแล้ววิ่งออกไปทันที
ดวงตาของฉินเกอพิเศษมาก มันเป็นสีน้ำตาลเข้ม รูม่านตามีสีดำสนิท เวลาที่เขาจ้องมองคนอื่นโดยไม่พูดไม่จาก็จะพาให้รู้สึกเหมือนถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง และถึงแม้เขาจะไม่ได้กำลังอารมณ์เสียอยู่แต่ก็ให้ความรู้สึกไม่น่าคบหาด้วยสักเท่าไร
ถ้าสนิทกับเขาแล้วก็จะรู้ว่าเขาเป็นพวกที่น่าเบื่อ มีเพื่อนน้อย และไร้งานอดิเรก วันทั้งวันของเขาหมดไปกับกองหนังสือเก่าๆ ในห้องเก็บเอกสารของสำนักงานวิกฤตการณ์
แทนที่จะบอกว่าเขาเข้ากับคนยาก สู้บอกว่าหลายคนไม่รู้ว่าจะเข้ากับเขาได้อย่างไรเสียจะดีกว่า
หลังจากฉินเกอจัดระเบียบโต๊ะเสร็จก็พบว่าหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยติดประกาศงดให้บริการหนึ่งวันไว้ที่ด้านนอกประตูเรียบร้อยแล้ว
…วันหยุดที่ไม่ต้องทำอะไร และไม่ต้องให้บริการใคร!
ถึงแม้จะมองไม่ค่อยออก แต่ตอนนี้ฉินเกอกำลังอารมณ์ดีมาก เขาถึงขั้นมองไปที่ดอกตูมของต้นซันจูอวี๋ที่นอกหน้าต่างแล้วยิ้มอยู่ครึ่งวินาทีอย่างสุขใจ
วันนี้คือวันสุดท้ายที่เขาจะทำงานอยู่ที่โถงบริการของสำนักงานวิกฤตการณ์แล้ว วันพรุ่งนี้เขาก็จะสามารถกลับไปทำงานต่อที่ห้องเก็บเอกสารตามเดิมได้
สำหรับฉินเกอไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าการอ่านประวัติความเป็นมาของมนุษย์พิเศษอีกแล้ว
หลังจากโครโมโซมเกิดการกลายพันธุ์หรือติดเชื้อไวรัส มนุษย์ธรรมดาก็จะถูกเรียกว่า ‘มนุษย์พิเศษ’ ซึ่งประกอบไปด้วยมนุษย์ใต้พิภพ มนุษย์กึ่งซอมบี้ เซนติเนล ไกด์ มนุษย์หิมะ มนุษย์ชา เด็กทะเล และมนุษย์หมาป่า…
ในบรรดามนุษย์พิเศษทั้งหมด พวกที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของโครโมโซมซึ่งครองสัดส่วนมากที่สุดคือเซนติเนลและไกด์
นี่คือชื่อเรียกของมนุษย์พิเศษสองประเภทที่มีระดับพลังจิตแข็งแกร่งที่สุด พวกเขาต่างจากคนธรรมดาอย่างสิ้นเชิง แม้แต่กับมนุษย์พิเศษด้วยกันก็ยังถือว่ามีความพิเศษที่เหนือกว่า พวกเขาเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการแปลงพลังจิตของตัวเองให้เป็นรูปธรรมในรูปแบบของความสามารถของสัตว์ต่างๆ ได้
พวกเขาเรียกสิ่งที่แปรสภาพมาจากพลังจิตนี้ว่า ‘ร่างวิญญาณ’
ว่ากันว่าเซนติเนลหรือไกด์ที่แข็งแกร่งจะรักและภาคภูมิใจกับร่างวิญญาณของตนเองมาก ทั้งยังอยากแสดงร่างวิญญาณของตนเองออกมาตลอดเวลา
แต่ฉินเกอไม่ใช่คนแบบนั้น
เขาเป็นไกด์ที่เกลียดการปล่อยร่างวิญญาณของตนออกมาข้างนอก
เจ้าตัวเล็กนั่นขี้ขลาดมากจริงๆ
ฉินเกอไม่เคยพบเจอร่างวิญญาณตนไหนที่ร้องไห้เพราะเสียงทอดปาท่องโก๋มาก่อน เขาเคยคิดถึงขนาดที่ว่าสมองของตนเองอาจจะมีปัญหาถึงได้ทำให้ความกล้าหาญที่มีนั้นเล็กยิ่งกว่าตัวพารามีเซียม* เสียอีก
บนบอร์ดแปะข้อความขนาดใหญ่ไว้ไม่น้อย ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นข้อความที่ด่าว่าฉินเกอ เขาจึงลุกขึ้นไปฉีกมันออก แต่แล้วก็ทำให้เขาเห็นรายชื่อที่ได้รับรางวัลติดอยู่บนบอร์ดประกาศนั้น
ด้านหน้าของรายการต่างเป็นชื่อเดียวกันทั้งหมด ‘เซี่ยจื่อจิง’
มุมปากของฉินเกอกระตุก
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ส่วนที่ต่อท้ายชื่อ ‘เซี่ยจื่อจิง’ ทั้งหมดคือบรรดารางวัลเกียรติยศที่อีกฝ่ายได้รับไม่ว่าจะเป็น ‘เซนติเนลยอดเยี่ยมประจำปีของสำนักงานวิกฤตการณ์ภูมิภาคตะวันตก’ ‘บุคคลตัวอย่าง’ ‘รับเหรียญแห่งเกียรติยศขั้นที่สองเป็นครั้งที่สองแบบบุคคล’ ‘รับเหรียญแห่งเกียรติยศขั้นที่สามเป็นครั้งที่สี่แบบหน่วย’ และอื่นๆ
เซี่ยจื่อจิง…เซนติเนลระดับหนึ่งของภูมิภาคตะวันตก สองสามปีมานี้บ่อยครั้งที่ชื่อของอีกฝ่ายปรากฏอยู่ตามประกาศยกย่องและได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างล้นหลาม ว่ากันว่าวันแรกที่อีกฝ่ายเข้ามาทำงานที่สำนักงานวิกฤตการณ์ก็ไปประจำการอยู่ที่ตีนภูเขาหิมะ นับจากตอนนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
ฉินเกอสนใจเซนติเนลคนนี้เป็นอย่างมาก แต่ถึงแม้เขาจะทำงานอยู่ที่ห้องเก็บเอกสารก็ยังหาภาพของเซี่ยจื่อจิงคนนี้ไม่เจอ
เซนติเนลและไกด์ระดับหนึ่งมักปฏิบัติภารกิจที่อันตรายและเป็นความลับสุดยอด การที่ไม่มีรูปภาพของพวกเขาปรากฏให้เห็นจึงถือเป็นเรื่องปกติ แต่ความอยากรู้ของฉินเกอก็เหมือนกับอารมณ์ที่แปรปรวนของเขา…มาไวและไปไว
ตอนที่ดึงแผ่นข้อความขนาดใหญ่ออกจนหมดฉินเกอก็เห็นไป๋เสี่ยวหยวนที่เพิ่งกวาดพื้นเสร็จวิ่งถือไม้กวาดเข้ามาพอดี
“หัวหน้าเกาตามหานายอยู่” เธอพูด “ตอนนี้รีบไปที่ห้องทำงานของเขาด่วนเลย”
ในใจของฉินเกอพลันตื่นตระหนก เปลือกตาเริ่มกระตุก
เกาเทียนเยวี่ยคือผู้อำนวยการสำนักงานวิกฤตการณ์ เขามีศีรษะกลม หูใหญ่ และมักยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา คงมีเพียงตอนที่ต้องพบปะกับหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยเท่านั้นที่เขาไม่สามารถระงับอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ได้
ว่ากันว่าแต่ก่อนหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยเคยเป็นศัตรูหัวใจกับเกาเทียนเยวี่ย จนถึงตอนนี้แม้ว่าเกาเทียนเยวี่ยจะแต่งงานกับภรรยามาสามสิบปีแล้ว ทว่าเขาก็ยังจดจำไม่มีวันลืม
แต่คนในสำนักงานวิกฤตการณ์ต่างก็รู้ดีว่านี่คือนิสัยของพวกอัจฉริยะ
ฉินเกอเข้ามาในห้องทำงาน หลังจากเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นสีหน้าเห็นอกเห็นใจของเกาเทียนเยวี่ย
“ฉินเกออ่า เรื่องมนุษย์ใต้พิภพนั่นอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ” เกาเทียนเยวี่ยพูด
ฉินเกอพยักหน้า “ผมไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว”
เกาเทียนเยวี่ย “พวกเขายังเขียนคำด่านายไว้ที่นอกกำแพงด้วย”
จู่ๆ ฉินเกอก็อยากรู้ขึ้นมา “ด่าผมเรื่องอะไร”
เกาเทียนเยวี่ยพูดยิ้มๆ “ไม่ใช่คำที่ดีอะไร อย่าไปคิดถึงมันเลย”
ฉินเกอคิดในใจ ถ้าไม่ใช่คำดีๆ แล้วคุณจะพูดมันขึ้นมาทำไม แต่แล้วเขาก็หมดความสนใจไปเสียดื้อๆ “ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไรหรอกครับ ลบแล้วก็พอ”
หลังจากมนุษย์ใต้พิภพติดเชื้อไวรัสที่ทำให้กลายเป็นหิน พวกเขาจะกลายเป็นพาหะของไวรัส ดังนั้นจึงไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับมนุษย์ธรรมดา ทั้งนี้ฉินเกอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ‘ปรึกษาการแต่งงาน / ยื่นความจำนงครองคู่’ มาเป็นเวลาหนึ่งเดือนนั้นได้ปฏิเสธความต้องการของมนุษย์ใต้พิภพไปไม่น้อย ในใจจึงรู้ดีว่าตนจะต้องเป็นที่ขุ่นเคืองใจ
“ฉันเชื่อใจนายนะ เรื่องนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของนาย แต่คราวหลังเวลาทำงานนายช่วยยืดหยุ่นหน่อยนะ ไม่ต้องแข็งจนเกินไป ใครๆ ก็ชอบคนพูดจาดีๆ กันทั้งนั้น พูดกันดีๆ พวกเขาก็เข้าใจแล้ว” เกาเทียนเยวี่ยเลื่อนถ้วยชามาตรงหน้าเขาพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฉินเกอ นายเป็นคนมีความสามารถมาก ทั้งยังสุขุม ในบรรดาคนหนุ่มของสำนักงานวิกฤตการณ์คนที่เหมือนนายมีไม่มาก”
น้ำชาสีทองใส มีวงแหวนสีทองคั่นกลางอยู่ระหว่างน้ำชาและถ้วย
ฉินเกอรู้สึกประหม่าอยู่ในใจ
ซวยแล้ว
นี่เป็นชาจินจวิ้นเหม่ย* ของเกาเทียนเยวี่ยที่หนึ่งปีจะตัดใจเอามาดื่มได้สักหน
เปลือกตาของฉินเกอเหมือนติดสปริง มันกระตุกถี่รัวอย่างบ้าคลั่ง
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาองค์กรก็ให้ความสำคัญกับบุคลากรอายุน้อยที่มีความสามารถโดดเด่นอยู่แล้ว คนที่มีความสามารถก็ต้องไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม จะมาสิ้นเปลืองช่วงวัยเยาว์ที่ดีที่สุดไปได้ยังไง” เกาเทียนเยวี่ยลูบศีรษะพลางปัดผมจากทางซ้ายไปทางขวาเพื่อปกปิดส่วนที่ล้านบนศีรษะ
ฉินเกอนั่งฟังอยู่สิบกว่านาทีโดยที่ไม่พูดอะไร จนกระทั่งเกาเทียนเยวี่ยเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาออกมา
“แผนกปรับสมดุลทางจิตเวช?” เขาคิดว่าตนเองฟังผิด “องค์กรของพวกเรามีแผนกนี้ด้วยเหรอครับ”
“ก่อนหน้านี้ไม่มี แต่เดือนหน้าจะมีแล้ว” เกาเทียนเยวี่ยลุกกลับไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะขยับมือพลิกกองเอกสารไปมา “คิดไปคิดมาก็มีแค่นายที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าไกด์ในสำนักงานวิกฤตการณ์จะมีเยอะ แต่ไม่มีเลยสักคนที่มีความสามารถพิเศษแบบนาย”
จากพนักงานธรรมดาคนหนึ่งในห้องเก็บเอกสาร จู่ๆ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นหัวหน้าแผนกปรับสมดุลทางจิตเวช ฉินเกออดไม่ได้ที่จะนวดตาของตนเอง หนังตาของเขากระตุกแรงมากจนทำให้เขาปวดศีรษะ
“แผนกนี้มีไว้ทำอะไรครับ”
เกาเทียนเยวี่ยหยิบเอกสารส่วนหนึ่งกลับมานั่งตรงหน้าเขา ก่อนจะชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง
“แก้ปัญหาภายในของ ‘อาณาเขตทะเล’ ” เกาเทียนเยวี่ยพูด “ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีสงคราม แต่เรื่องที่อธิบายไม่ได้กลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสมาคมสัญญาณเตือนภัยเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้ยังมีองค์กรที่ต่อต้านเซนติเนลและไกด์อยู่อีกมาก สำนักงานวิกฤตการณ์เป็นหน่วยงานฉุกเฉิน ดังนั้นไกด์และเซนติเนลของเราจะต้องไม่มีปัญหา ‘อาณาเขตทะเล’ ของทุกคนจะต้องสะอาดหมดจด”
ฉินเกอ “นี่เป็นเหตุผลที่คุณต้องการผมในตอนนั้น?”
“ใช่แล้ว” เกาเทียนเยวี่ยพูดยิ้มๆ “ตำแหน่งนักปรับสมดุลทางจิตของนายมีค่ามาก ฉันจะส่งนายให้กับคนอื่นได้ยังไง ปกติแล้วสำนักงานวิกฤตการณ์ไม่มีที่ให้นายได้แสดงศักยภาพ แต่ตอนนี้มีแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดี พวกเบื้องบนกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้”
ฉินเกอรับเอกสารมา แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่านี่ไม่ใช่หนังสือแต่งตั้ง แต่เป็นรายงานส่วนบุคคล
ตรงมุมขวาบนของรายงานส่วนบุคคลมีตัวอักษรสีแดงสดเขียนอยู่สามคำว่า ‘ลับสุดยอด’
นี่คือรายงานส่วนบุคคลของแพทย์คนหนึ่ง เขาอธิบายว่าช่วงหนึ่งเดือนมานี้ตนเองพบกับอาการประสาทหลอนและหูแว่ว รวมทั้งย้ำซ้ำๆ ว่าผนังของห้องผ่าตัดเต็มไปด้วยเลือดและมีคนมากมายเดินเข้าเดินเข้าออก เขากลัวจนนอนไม่หลับ และเมื่อใดที่หยิบมีดผ่าตัดก็จะเริ่มอาเจียนออกมา
ฉินเกอวางรายงานลง ในที่สุดสีหน้าซึ่งเรียบนิ่งอยู่เป็นนิจก็หลุดความกังวลออกมา
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับ ‘อาณาเขตทะเล’ ตรงไหนครับ” เขาพูดเสียงต่ำ “นี่มันคือโรคจิตนะ”
มนุษย์ใต้พิภพจัดเป็นหนึ่งในมนุษย์พิเศษ กล่าวคือเป็นมนุษย์ที่หลังจากติดเชื้อไวรัส 5K2P แล้วจะกลายเป็นหิน ทั้งนี้มนุษย์ใต้พิภพเกิดจากสองสาเหตุด้วยกัน หนึ่งคือการถ่ายทอดทางพันธุกรรม สองคือเกิดจากการติดเชื้อ โดยหลังจากกลายเป็นหินร่างกายก็จะแข็งทื่อและเปราะบาง เป็นเหตุให้ได้รับผลกระทบจากแบคทีเรีย ลม และฝนได้ง่าย ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยลดลงอย่างรวดเร็ว มนุษย์จึงได้ตั้งถิ่นฐานให้กับมนุษย์ใต้พิภพโดยเฉพาะ ทั้งยังมีองค์กรต่างๆ อย่างสถานพยาบาลและสำนักงานธุรการสำหรับมนุษย์ใต้พิภพซึ่งตั้งกระจายอยู่ตามพื้นที่ใต้ดิน
มนุษย์กึ่งซอมบี้จัดเป็นอีกหนึ่งมนุษย์พิเศษ โดยหลังจากติดเชื้อไวรัสซอมบี้ร่างกายจะแสดงอาการต่างๆ ของการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นซอมบี้ ซึ่งอาการการเปลี่ยนเป็นกึ่งซอมบี้นี้สามารถชะลอได้ด้วยยา แต่ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และเมื่อไวรัสเข้าไปถึงสมองก็จะกลายเป็นซอมบี้เต็มตัว ดังนั้นมนุษย์กึ่งซอมบี้จึงต้องตรวจสอบระดับความเข้มข้นของไวรัสในเลือดอยู่เสมอ และหากระดับความเข้มข้นเกินขีดจำกัดก็จะถูกควบคุมตัวทันที
มนุษย์กึ่งซอมบี้และมนุษย์ใต้พิภพจึงเป็นพันธมิตรกันไปโดยปริยายในการต่อสู้เพื่อสิทธิในการสมรสและการมีครอบครัว อย่างไรก็ตามยังคงมีการเลือกปฏิบัติอย่างรุนแรงต่อมนุษย์สองประเภทนี้อยู่ สาเหตุมาจากการที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับรสนิยมทางสุนทรียภาพและรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งนี้คำว่า ‘ปีศาจหิน’ ถือเป็นการเหยียดหยามมนุษย์ใต้พิภพ เช่นเดียวกับคำว่า ‘ซากศพ’ ที่เป็นคำเหยียดหยามมนุษย์กึ่งซอมบี้เช่นกัน
* ซันจูอวี๋ หรือซันซูยู เป็นต้นไม้ที่พบได้ในประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น มีดอกสีเหลือง ผลสีแดง ผลสามารถนำไปทำชาหรือยาได้
* พารามีเซียม (Paramecium) เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายรองเท้าแตะ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พบได้ตามแหล่งน้ำจืดในธรรมชาติ
* ชาจินจวิ้นเหม่ย เป็นหนึ่งในชาแดงคุณภาพสูงซึ่งมีราคาแพง
บทที่ 2 เลือดและไวน์ 02
มีการทำวิจัยในหัวข้อที่เกี่ยวกับเซนติเนลและไกด์มากมาย ซึ่งเรื่องของ ‘อาณาเขตทะเล’ คือหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุด
ผู้ที่เสนอให้ใช้คำว่า ‘อาณาเขตทะเล’ เป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการสำหรับการอธิบายถึงเขตแดนจิตวิญญาณของเซนติเนลและไกด์คือลูอิส หยาง ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ชาวเยอรมัน โดยในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ลูอิสได้ทำการตีพิมพ์งานวิจัยเฉพาะด้านที่มีชื่อว่า ‘การวิจัยอาณาเขตทะเล’ ในเวลานั้นการศึกษาด้านจิตเวชศาสตร์ของประเทศเยอรมนีถือเป็นอันดับหนึ่งของโลก ด้วยเหตุนี้คำว่า ‘อาณาเขตทะเล’ จึงได้กลายมาเป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการไปโดยปริยาย
โดยพื้นฐานเซนติเนลและไกด์มีพลังจิตที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ‘ความเสถียรของอาณาเขตทะเล’ เป็นส่วนสำคัญในการวิจัยอาณาเขตทะเล และสิ่งนี้เองที่ทำให้ต้องมีนักปรับสมดุลทางจิตซึ่งมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและบรรเทาปัญหาของอาณาเขตทะเลขึ้นมา
ฉินเกอพูดว่า “หัวหน้าเกา ผมทำไม่ได้หรอกครับ ถ้าป่วยทางจิตก็ต้องไปหาจิตแพทย์ ผมเป็นนักปรับสมดุลทางจิต ทำได้แค่ให้คำปรึกษากับฟื้นฟูเท่านั้น รักษาอาการเจ็บป่วยไม่ได้”
“นี่ไม่ใช่อาการป่วยทางจิต” เกาเทียนเยวี่ยกระแอมเบาๆ ก่อนจะทำท่าเป็นนัยบอกให้ฉินเกอเปิดไปที่หน้าสุดท้ายของรายงาน
หน้าสุดท้ายเป็นผลการทดสอบต่างๆ หลายรายการ ซึ่งผลลัพธ์ก็แสดงให้เห็นว่าแพทย์ผู้นี้ไม่มีความผิดปกติทางจิตแต่อย่างใด
ฉินเกอ “…”
เกาเทียนเยวี่ย “ถ้าป่วยทางจิตคงจัดการเรียบร้อยไปแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าสภาพจิตของเขาปกติดีทุกอย่าง”
ฉินเกอแทบจะระงับความอยากรู้เอาไว้ไม่ไหว จากนั้นเขาก็หยิบกระดาษสองแผ่นขึ้นมา
สภาพจิตปกติแต่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง ทั้งยังมองเห็นภาพหลอน คุณหมอเผิงหูแห่งโรงพยาบาลมณฑลทหารราบที่ 267 คนนี้เป็นไกด์ และด้วยความที่มีประสบการณ์ทางคลินิกมาหลายปีเขาจึงตัดสินไปว่าอาณาเขตทะเลของตนเองนั้นมีปัญหา
เกาเทียนเยวี่ยลิ้มรสชาอย่างมีความสุข เขามองฉินเกอที่ขมวดคิ้วพร้อมกับอ่านรายงานอย่างตั้งใจ
ผ่านไปสักพักฉินเกอก็วางกระดาษที่อยู่ในมือลง ก่อนจะตัดสินใจหาเหตุผลมาปฏิเสธ “ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ผมทำไม่ได้หรอกครับ”
เกาเทียนเยวี่ยโบกมือราวกับปฏิเสธคำคัดค้านของฉินเกอ
“โรงพยาบาลฯ ที่ 267 เป็นที่แบบไหนพวกเราทุกคนล้วนรู้กัน หากหมอในโรงพยาบาลมีปัญหาก็เป็นปัญหาที่สำนักงานวิกฤตการณ์จะต้องแก้ไข นายเป็นคนของสำนักงานวิกฤตการณ์หรือเปล่า นายใช่นักปรับสมดุลทางจิตเพียงหนึ่งเดียวของสำนักงานวิกฤตการณ์หรือเปล่า”
ฉินเกอ “…”
เกาเทียนเยวี่ย “ถึงแม้ว่าแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชจะยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับนาย ฉันมองนายในแง่ดีมาตลอด ไม่ใช่แค่ฉันนะ คนเบื้องบนก็คาดหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถแก้ไขได้โดยเร็ว เสี่ยวฉิน นายทำได้ไหม”
“ผมยังกลับไปทำงานที่ห้องเก็บเอกสารได้อยู่ไหม” ฉินเกอถาม
เกาเทียนเยวี่ยไม่ได้ตอบตรงๆ “ฉินเกออ่า ฉันรู้จักนายมาหลายปี ฉันรู้ว่านายเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็เก็บไว้ในใจ แต่ตอนนี้เป็นโอกาสที่นายจะได้ออกไป ใช่แล้ว สำหรับคนหนุ่มสาวน่ะข้างนอกนั่นมีโอกาสมากมายให้นายได้ใช้ความสามารถ ถ้านายทำงานอยู่แต่ในห้องเก็บเอกสารจะถือเป็นเรื่องที่เสียเปล่านะ”
ทิศทางของการสนทนาถูกควบคุมโดยเกาเทียนเยวี่ยทั้งหมด ในที่สุดฉินเกอก็เงียบไป เขารู้แล้วว่าตนเองไม่มีทางปฏิเสธได้
“โอเคครับ” ฉินเกอเก็บรายงานส่วนบุคคลของเผิงหูมา “งั้นผมจะไปติดต่อเพื่อนก่อน แล้วจะไปทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ของโรงพยาบาลฯ ที่ 267”
หลังจากที่เขาลุกขึ้นมาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนตอนนี้จะมีแค่ตัวเขาคนเดียว…ไม่มีคนอื่น
“แน่นอนว่ามีลูกน้อง ไม่กี่คนหรอกนะ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคนมีความสามารถ” เกาเทียนเยวี่ยรีบพูดขึ้น
ฉินเกอคิดแล้วคิดอีก “ไม่เอาไป๋เสี่ยวหยวน”
เกาเทียนเยวี่ยดื่มชาไปครึ่งหนึ่ง บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่ดูลึกลับประดับอยู่ “นายคิดว่าไป๋เสี่ยวหยวนเป็นยังไง เป็นเพื่อนร่วมงานที่มีความกระตือรือร้นในการทำงานเป็นทีมไหม ฉันว่าเสี่ยวไป๋ก็น่ารักดีนะ ฉลาดแถมยังคล่องแคล่ว”
ฉินเกอกุมศีรษะอยู่พักหนึ่งแล้วพูดเสริมว่า “โอเค งั้นผมไม่เอาถังชั่ว”
รอยยิ้มของเกาเทียนเยวี่ยแลดูอบอุ่นมากยิ่งขึ้น “เสี่ยวถังกับนายมีปัญหากันเหรอ ฉินเกอ นายต้องพิจารณาตัวเองแล้ว ถังชั่วไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน เขาอัธยาศัยดี ตั้งใจทำงาน ระหว่างพวกนายมีปัญหาอะไรกันล่ะ ลองพูดคุยกันตรงๆ ก็โอเคแล้ว”
ฉินเกอพูดไม่ออก “ยังมีใครอีก หัวหน้าเกา คุณพูดมาให้หมดทีเดียวเลยได้ไหม”
“ยังมีอีกคน เป็นเซนติเนลย้ายมาจากที่อื่น เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก” เกาเทียนเยวี่ยสั่นศีรษะ “จะมารายงานตัววันนี้ตอนบ่าย เดี๋ยวถึงเวลาฉันจะแนะนำให้พวกนายทั้งคู่รู้จักกัน”
ฉินเกอคาดว่าเซนติเนลคนนี้คงเป็นพวกที่ไม่ต่างจากไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วสักเท่าไร เขาจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอนนี้ความคาดหวังในใจของเขามีขนาดเล็กยิ่งกว่าพารามีเซียมเสียอีก
ฉินเกอไม่ได้บาดหมางอะไรกับไป๋เสี่ยวหยวน เพียงแค่รู้สึกว่าเธอน่ารำคาญ ในหนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง นอกจากนอนแปดชั่วโมงแล้วเขาก็สงสัยว่าไป๋เสี่ยวหยวนคงใช้เวลาสิบห้าชั่วโมงไปกับการพูดคุย
ทุกวันฉินเกอจะต้องเผชิญกับเรื่องน่ารำคาญใจร้อยแปดพันอย่าง หากจะให้เพิ่มไป๋เสี่ยวหยวนเข้าไปอีกคนเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ
กับถังชั่วเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จริงๆ แล้วถังชั่วก็เป็นคนอัธยาศัยดีและตั้งใจทำงาน แต่ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวเลยก็คือวงจรสมองของอีกฝ่ายที่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ทำอะไรก็ไม่ได้ดี หลังจากหมุนเวียนไปทำงานตามแผนกต่างๆ ในสำนักงานวิกฤตการณ์ได้สองปีก็ได้มาร่วมทีมแผนกเก็บเอกสารที่ฉินเกอทำงานอยู่ ถังชั่วถึงได้เจอตำแหน่งที่เหมาะกับตัวเองและได้กลายเป็นหนอนหนังสือที่ไม่ถูกรบกวนจากภายนอก
ทุกวันนี้ฉินเกอพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่มีสมองปกติ เขาจึงไม่เต็มใจที่จะเอาถังชั่วมาเพิ่มด้วยอีกคน
เขาไขกุญแจเพื่อปลดล็อกคอของจักรยานไฟฟ้า โดยวางเรื่องของไป๋และถังสองคนนี้ไว้ชั่วคราว ในสมองนึกถึงสิ่งที่ตนเองคุยกับเกาเทียนเยวี่ยอีกรอบอย่างรวดเร็ว
ตัวเขาน่าจะถูกเกาเทียนเยวี่ยฝังทั้งเป็นอย่างแน่แท้แล้ว
แผนกปรับสมดุลทางจิตเวชอะไรนี่น่าจะเป็นแผนกว้างๆ ที่กำหนดขึ้นมาโดยที่ยังไม่ได้ใช้งานอะไร ดูท่าแล้วคงจะเป็นความต้องการของพวกคนเบื้องบน เพราะแบบนั้นเกาเทียนเยวี่ยเลยยัดพวกที่ใช้งานไม่ค่อยได้สองสามคนเข้าไปโดยเอาคนที่ตนเองจัดการไม่ได้มาให้เขาดูแลแทนอย่างง่ายๆ
ถึงแม้เขาจะสอบได้ใบรับรองของนักปรับสมดุลทางจิตแล้ว แต่ฉินเกอก็ไม่เคยใช้มันอย่างเป็นทางการมาก่อน
การสอบเป็นนักปรับสมดุลทางจิตนั้นยากมาก ทั้งประเทศมีการลงทะเบียนไว้ไม่เกินห้าคน ซึ่งฉินเกอคือหนึ่งในนั้น
เขาเป็นไกด์เพียงหนึ่งเดียวของสำนักงานวิกฤตการณ์ที่สามารถเข้าไปดำน้ำตื้น ดำน้ำลึก ล่องเรือ หรือแม้กระทั่งทำการสอบปากคำในอาณาเขตทะเลของผู้อื่นได้
โดยปกติแล้วเซนติเนลในสำนักงานวิกฤตการณ์จะมีไกด์ที่เป็นคู่หูทำงานด้วยอยู่แล้ว ซึ่งตัวไกด์เองก็สามารถจัดการกับตนเองได้ สำหรับฉินเกอนั้นนอกจากการแอบเข้าไปล่องเรือในอาณาเขตทะเลของพวกเขาตามขั้นตอนการปฏิบัติงานเมื่อมีพนักงานใหม่เข้ามาทุกปีแล้วก็ยังไม่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพในบทบาทที่สำคัญเลย
การล่องเรือเข้าไปในอาณาเขตทะเลไม่ใช่เรื่องที่ผู้คนยินยอมพร้อมใจ ฉินเกอรู้สึกมาตลอดว่าการแอบเข้าไปล่องเรือในอาณาเขตทะเลของผู้อื่นเพื่อแอบดูความลับและอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขานั้นเป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง
ดังนั้นแล้วจากการจัดการแบบนี้ของเกาเทียนเยวี่ย เขาจึงทั้งรู้สึกแย่และโมโหเป็นอย่างมาก แต่เรื่องพวกนี้ย่อมไม่สามารถแสดงออกมาทางสีหน้าได้
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือเขายังอ่านสิ่งที่อยู่ในห้องเก็บเอกสารได้ไม่จุใจเลย
ขณะที่เขากำลังขี่จักรยานไฟฟ้าออกจากสำนักงานวิกฤตการณ์ ฉินเกอก็เหลือบไปเห็นชายร่างสูงสวมแจ็กเก็ตหนังสีดำ อีกฝ่ายยืนพิงหน้าต่างและกำลังขอบุหรี่กับคุณลุงที่อยู่ในป้อมยาม ทั้งนี้ฉินเกอเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายกับสันจมูกที่ตั้งตรง
มีสิงโตตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ข้างๆ ประตูป้อมยาม มันกำลังอ้าปากหาว
“เสี่ยวฉิน จะไปแล้วเหรอ” คุณลุงปลีกตัวจากการทำงานมาเอ่ยปากถามเขาหนึ่งประโยค
“ไปทำงานครับ” ฉินเกอตอบ
จักรยานไฟฟ้าสั่นโคลงจากการเร่งความเร็ว ชายคนนั้นหันหน้ามามองโดยที่ฉินเกอไม่ทันเห็น
โรงพยาบาลมณฑลทหารราบที่ 267 เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางของมนุษย์พิเศษ มีพื้นที่ขนาดกลางแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน และยังมีพื้นที่ทางการแพทย์ใต้ดินสำหรับดูแลมนุษย์ใต้พิภพอีกด้วย
โรงพยาบาลมีความเข้มงวดมาก ไม่ว่าจะเป็นใครหากต้องการเข้ามาจำเป็นต้องแสดงบัตรประชาชน และเมื่อระบบแสดงข้อมูลว่าผู้ที่มาเป็นมนุษย์พิเศษ ตามกฎเกณฑ์จะต้องมีการตรวจสอบอีกชั้น ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นเซนติเนลหรือไกด์ก็จะต้องปล่อยร่างวิญญาณของตนเองออกมาเพื่อทำการตรวจสอบ
ฉินเกอเสียเวลาตรงประตูอยู่ไม่กี่นาที เมื่อเข้ามาในโรงพยาบาลได้ก็พบว่าเหยียนหงกำลังรอตนเองอยู่ที่ประตูอาคารผู้ป่วยนอก
เหยียนหงเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของฉินเกอ ตอนนี้ทำงานธุรการอยู่ในโรงพยาบาลฯ ที่ 267 ทุกๆ วันภาพที่เขาลงในโมเมนต์* ล้วนไม่ใช่พวกภาพอย่าง ‘ตั้งใจทำงานล่วงเวลากันครับ’ แต่เป็น ‘โรงอาหารเปิดแล้ว สู้’
เขาโอบไหล่ฉินเกออย่างเป็นกันเอง “วันนี้มีประชุมตอนเย็นไหม จะพานายไปกินข้าว”
ฉินเกอ “กินอะไร ที่โรงอาหาร?”
เหยียนหง “โรงอาหารของพวกเราเป็นที่เลื่องลือในโรงพยาบาลมากนะ ญาติผู้ป่วยและผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลไปแล้วยังอดที่จะกลับมากินเซ็ตอาหารประจำวันบ่อยๆ ไม่ได้เลย”
“หลังจากรู้สถานการณ์ทั้งหมดแล้วฉันต้องกลับไปที่สำนักงานอีกรอบ” ฉินเกอปัดมือของอีกฝ่ายออก ไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระ “พูดให้เข้าใจหน่อย สรุปว่าคุณหมอเผิงหูเป็นใครในโรงพยาบาลของนายกันแน่”
“ศัลยแพทย์ทรวงอกที่ดีที่สุดของ 267” เหยียนหงทำมือเป็นท่าผ่าอก “ผู้ป่วยที่รอผ่าตัดกับเขาน่ะเป็นประธานของบริษัทอะไรสักอย่าง เมื่อสองวันก่อนมีอาการเฉียบพลัน หมอที่จะผ่าตัดเขาก็คือเผิงหู ตอนนี้เลยรีบกันไปหมด ทั้งเผิงหู โรงพยาบาล แล้วก็ผู้ป่วย ถ้าปัญหาของเขาไม่ได้รับการแก้ไขหนึ่งวัน เขาก็ไม่สามารถผ่าตัดไปได้อีกหนึ่งวัน”
ฉินเกอเข้าใจแล้ว การที่ให้เขาเริ่มทำงานนี้ก่อนจะมีการจัดตั้งแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชขึ้นเป็นเพราะผู้ป่วยที่รอให้หมอเผิงหูผ่าตัดใช้วิธีการบางอย่างมากดดันสำนักงานวิกฤตการณ์
“ระบบอุปถัมภ์” ฉินเกอพูด
“ใช่ ระบบอุปถัมภ์” เหยียนหงเอาแขนพาดบ่าของฉินเกออย่างสนิทสนม “เดี๋ยวฉันจะพานายไปเยี่ยมชมห้องผ่าตัดของผู้มีอำนาจพวกนี้”
เหยียนหงไม่ได้พาเขาไปที่อาคารผู้ป่วยนอกหรืออาคารผู้ป่วยใน แต่ตรงไปที่อาคารขนาดเล็กสามชั้นซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังอาคารเทคนิคการแพทย์
อาคารโบราณหลังเล็กแห่งนี้ได้รับการบำรุงรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ด้านในถูกปรับให้เป็นห้องจัดแสดงประวัติของโรงพยาบาล ขณะนี้มีผู้ป่วยที่ใช้ไม้ค้ำยันสองสามคนกำลังยืนคุยกันอยู่ตรงบริเวณเครื่องปรับอากาศ
“วันนี้คุณหมอเผิงหูไม่อยู่ นายไปดูห้องผ่าตัดก่อนแล้วกัน” เหยียนหงกล่าว “แผนกของนายยังไม่ได้จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ทำได้แค่ให้ฉันที่มีตำแหน่งเล็กๆ มาต้อนรับหัวหน้าฉินแล้ว”
ฉินเกอแปลกใจมาก “ห้องผ่าตัดอยู่ที่นี่?”
“ห้องผ่าตัดห้องนั้นไม่ได้ใช้นานแล้ว” เหยียนหงพูดขณะที่พาเขาเดินขึ้นไปบนอาคาร “แต่ก่อนโรงพยาบาลมีขนาดเล็ก ที่นี่คืออาคารผู้ป่วยใน ทุกชั้นจะมีห้องผ่าตัดสองห้อง จากนั้นน่าจะเมื่อประมาณสามสิบปีก่อนที่รัฐบาลได้ให้เงินพิเศษมาสำหรับสร้างอาคารใหม่ ตรงนี้เลยกลายเป็นพื้นที่ของแผนกมะเร็งวิทยา แล้วไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ถึงเปลี่ยนมาเป็นอาคารประวัติศาสตร์”
ทั้งสองเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม โถงทางเดินของชั้นนี้ทางขวาเป็นหน้าต่างและระเบียง ส่วนทางซ้ายเป็นห้องที่ประตูและหน้าต่างบางบานปิดสนิทซึ่งมีอยู่หลายห้อง และจากหน้าต่างบางบานที่ปิดไม่สนิทจึงทำให้มองเห็นโต๊ะประชุมที่อยู่ด้านใน
“ชั้นสามเป็นห้องประชุมทั้งหมด ปกติแล้วจะไม่มีใครขึ้นมา” เหยียนหงชี้นิ้วไปด้านหน้า “ด้านหน้าเป็นห้องผ่าตัดหมายเลขหกที่เผิงหูพูดถึง ทุกวันนี้โรงพยาบาลของพวกเราไม่ได้ใช้ลำดับตัวเลขในการตั้งชื่อห้องแล้ว ห้องผ่าตัดใหญ่ทั้งหมดอยู่ที่อาคารผู้ป่วยในและจะตั้งชื่อตามแผนกในแต่ละชั้น เช่น ห้องผ่าตัดแผนกสูติ-นรีเวช 123 ห้องผ่าตัดแผนกศัลยกรรม 123 เพราะงั้นตอนที่เขาพูดว่าห้องผ่าตัดหมายเลขหกมีบางอย่างผิดปกติ รองผู้อำนวยการถึงได้ตกใจสุดขีดเพราะที่นี่ไม่มีห้องผ่าตัดหมายเลขหกที่ว่า”
ขณะที่เขายกฝ่ามือขึ้น นกตัวน้อยที่มีจะงอยปากแหลมสีชมพูก็กระพือปีกขึ้นจากมือเขาก่อนจะบินสูงขึ้นไป
“โฮ่ เจ้านกอ้วน” ฉินเกอทักทายเจ้านกตัวนั้น “ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“น้องชื่อเสี่ยงมี่เลี่ย*!” เหยียนหงพูดแก้ด้วยความโมโห “แม่งเอ๊ย นายตั้งใจใช่ไหม พูดไปสามหมื่นกว่ารอบแล้วนะ ช่วยจำให้มันถูกหน่อย!”
เสี่ยงมี่เลี่ยตัวใหญ่กว่านกกระจอกเล็กน้อย มันจำฉินเกอได้ จึงอ้าปากร้องเรียกฉินเกออย่างสนิทสนม จากนั้นเหยียนหงก็โบกมือให้มันบินไปข้างหน้า
เสี่ยงมี่เลี่ยบินไปจนสุดทางเดินก่อนจะทะลุผ่านเข้าไปในประตูที่ปิดอยู่
ผ่านไปสักพักเจ้านกน้อยก็บินกลับมาที่มือของเหยียนหง มันร้องอย่างกระตือรือร้นก่อนจะสลายกลายเป็นควันจางๆ แล้วหายเข้าไปในมือของเหยียนหงอย่างรวดเร็ว
“โอเค นกของฉันบอกว่าไม่มีปัญหา ไปกัน” เหยียนหงผลักฉินเกอให้ออกเดิน
ฉินเกอหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขารู้ว่าเหยียนหงขี้กลัว แต่ก็ไม่คิดว่าจะกลัวขนาดนี้
“ไม่เป็นไร” เขาปลอบเหยียนหง “ตอนอยู่ชั้นล่างฉันสำรวจแล้ว ไม่พบร่างวิญญาณที่ผันผวนที่นี่”
เหยียนหงทั้งรู้สึกเลื่อมใสและขุ่นเคืองในเวลาเดียวกัน “แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน!”
ฉินเกอหันไปมองอีกฝ่าย “เดี๋ยวนะ นายใช้ร่างวิญญาณตรวจสอบละเอียดแบบนี้เป็นเพราะห้องผ่าตัดมีอะไรแปลกๆ งั้นเหรอ”
เขาแปลกใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าปัญหาคือเผิงหู จากเหตุการณ์ที่หมอคนนั้นพบเห็น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นจริง เมื่อเป็นแบบนี้แล้วทำไมเหยียนหงถึงได้ดูระมัดระวังขนาดนี้ขณะพาเขาไปที่ห้องผ่าตัด
“พออ่านรายงานแล้วก็รู้สึกว่าปัญหาอยู่ที่ตัวหมอเผิงหูแหละ” เหยียนหงหยิบกุญแจออกมา “แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่แปลกน่ะคือห้องผ่าตัดห้องนี้”
กุญแจถูกเสียบเข้าไปในรูกุญแจ
“ฉันเชื่อในลัทธิวัตถุนิยมนะ ฉันเป็นแฟนคลับของมาร์กซ์** แต่เรื่องนี้มันแปลกมากเลย” เหยียนหงเบาเสียงลง “ฉันเป็นคนเก็บรวบรวมรายงานของหมอเผิง มีเนื้อหาบางส่วนที่โรงพยาบาลไม่ให้ฉันเขียนลงไป”
“เนื้อหาอะไร” ฉินเกอที่เหมือนจะติดเชื้อความลึกลับมาจากเขาถามเสียงเบา
“หมอเผิงบอกว่า…บนผนังเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลลงมาจากเพดาน ทำให้พื้นของห้องผ่าตัดนองไปด้วยเลือด” เหยียนหงลังเลอยู่สักพักก่อนจะลดเสียงให้เบาลงยิ่งกว่าเดิม “เขายังเห็นอีกว่าในห้องผ่าตัดมีผู้ป่วยและหมอที่สวมเครื่องแบบเมื่อหลายสิบปีก่อนกำลังผ่าตัดอยู่”
หลังจากส่งเหยียนหงกลับไปที่อาคารผู้ป่วยนอก ฉินเกอก็นั่งลงที่ม้านั่งด้านหน้าอาคารประวัติศาสตร์
ม้านั่งมีอยู่เพียงตัวเดียว รายล้อมไปด้วยต้นหลิวสี่ห้าต้นที่กำลังผลิใบ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ชั้นสามก่อนจะพบว่าจากมุมนี้ไม่สามารถมองเห็นห้องผ่าตัดหมายเลข 6 ได้
ตรงถนนด้านข้างเด็กชายกำลังกอดขาคุณพ่อพลางร้องไห้เสียงดัง โดยมีสุนัขพันธุ์คอลลี่ตัวเล็กๆ หมอบอยู่ข้างๆ เด็กชาย เป็นร่างวิญญาณที่กำลังหวาดกลัว
ในตอนนี้ฉินเกอถึงได้รู้ว่ารอบตัวเขามีแต่เด็กๆ กับร่างวิญญาณตนเล็กๆ ของพวกเขา วันนี้น่าจะเป็นวันตรวจร่างกายของเซนติเนลและไกด์ เด็กบางคนสามารถเล่นกับร่างวิญญาณของตนเองได้อย่างง่ายดาย ทว่าบางคนก็ยังกลัวเจ้าสิ่งที่ตนไม่คุ้นเคยนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แยกจากเพื่อนของตนไปไหน
เขามองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นสิงโตตัวใหญ่ที่กำลังอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้านอยู่บนสนามหญ้าใกล้กับอาคารผู้ป่วยนอก
บริเวณโดยรอบของร่างวิญญาณสิงโตตัวนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ การหาวของสิงโตให้ความรู้สึกเหมือนกับภาพสต็อปโมชั่น
ฉินเกอจ้องมองไปที่สิงโตพลางขบคิดในสมองอย่างรวดเร็ว
วันนี้เนื่องจากหมอเผิงหูไม่อยู่ จึงพูดได้ว่าเป็นการมาเสียเที่ยว แต่เหยียนหงก็ตั้งใจพาเขาไปดูห้องผ่าตัดเป็นพิเศษ ทั้งยังอธิบายถึงอาการประสาทหลอนของหมอเผิงหูอย่างละเอียด
ในห้องผ่าตัดห้องนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของที่ไม่ได้ใช้เต็มไปหมด ทั้งป้ายผ้าคำขวัญที่ใช้แล้วหรือพวกเก้าอี้พังๆ ที่ถูกกองสุมไว้จนสูง บนพื้นเต็มไปด้วยฝุ่น มีรอยเท้าระเกะระกะประปราย เมื่อเหยียนหงเปิดหน้าต่างออกแสงแดดอ่อนของฤดูใบไม้ผลิก็สาดส่องเข้ามาทางช่องว่าง ทำให้เห็นฝุ่นในห้องลอยวนอยู่ในอากาศ
ไม่มีเตียงผ่าตัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลือดและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่เผิงหูเห็น
เผิงหูบอกว่ามีเลือดไหลออกมาจากเพดานลงไปตามผนัง และยังมีคนมากมายทะลุออกมาจากผนังด้วย
แต่ฉินเกอกลับไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติในห้องผ่าตัดเลย
มันเป็นเพียงห้องเก็บของธรรมดาๆ ห้องหนึ่ง
เหยียนหงย้ำกับฉินเกออยู่ตลอดว่าคำอธิบายของหมอเผิงหูนั้นละเอียดมาก คนที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดต่างก็คิดว่าที่เขาเห็นมันไม่ใช่ภาพหลอน แต่เป็นเหตุการณ์จริงๆ ที่เขาเห็นมันต่อหน้าต่อตา แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้ที่หมอเผิงหูจะเคยเห็นห้องผ่าตัดเมื่อหลายสิบปีก่อน เพราะตอนนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่ถ้าไม่ใช่ภาพหลอน แล้วมันคืออะไร
ฉินเกอลุกขึ้นยืน ตอนนี้เขาต้องกลับไปตรวจสอบข้อมูลที่สำนักงานวิกฤตการณ์แล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างที่ไม่ปกติ ซึ่งนั่นก็ทำให้หนังตาของเขาสั่นน้อยๆ เหมือนเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อนที่จะกระตุกราวกับเต้นรำ
เขาใช้ทางลัดเดินไปยังลานจอดรถ แต่ขณะที่กำลังเดินผ่านสิงโตตัวใหญ่ไปก็พบว่ามันกำลังมองมาที่ตน
แม้แต่ในสำนักงานวิกฤตการณ์ก็มีเซนติเนลที่มีร่างวิญญาณเป็นสิงโตอยู่น้อยมาก ฉินเกอจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็นึกออกว่านี่เป็นสิงโตตัวเดียวกับที่เขาเห็นอยู่ตรงป้อมยามของสำนักงานวิกฤตการณ์
ดูเหมือนว่าเซนติเนลที่กำลังยืนขอบุหรี่คนนั้นจะมาที่โรงพยาบาลหลังตนเอง
เขาไม่อาจบอกได้ว่าสนใจไหม ทว่าเขาก็โบกมือให้กับเจ้าสิงโตตัวนั้น
ระหว่างทางจากโรงพยาบาลกลับมายังสำนักงานวิกฤตการณ์ ขณะที่ฉินเกอกำลังรอไฟเขียวอยู่ เขาก็นึกถึงเจ้าของสิงโตตัวนั้นขึ้นมา คนคนนั้นมีจมูกที่สวยมากและใบหน้าด้านข้างก็ไม่เลวเลย
* โมเมนต์ เป็นฟีเจอร์หนึ่งในแอพพลิเคชั่นวีแชต โดยผู้ใช้จะสามารถโพส์ข้อความหรือรูปภาพลงไปได้ คล้ายกับหน้าไทม์ไลน์ของเฟสบุ๊ก
* เสี่ยงมี่เลี่ย หรือนกพรานน้ำผึ้ง (Honeyguides) เป็นนกที่มีทักษะพิเศษนั่นคือการส่งเสียงร้องเพื่อนำทางมนุษย์ไปยังรังผึ้งที่อยู่ในป่า โดยทักษะที่ว่านี้เป็นสิ่งที่มาจากสัญชาตญาณโดยไม่ได้ผ่านการฝึก ทั้งนี้เมื่อไปถึงจุดหมายมันจะหยุดร้องและรอให้มนุษย์จัดการรังผึ้ง เพื่อที่มันจะได้อาศัยประโยชน์ในการกินรวงผึ้ง ตัวอ่อนของผึ้ง และไข่ผึ้งซึ่งเป็นอาหารโปรด
** มาร์กซ์ หรือคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นเจ้าของแนวคิดมาร์กซิสต์ (Marxist) หรือลัทธิมาร์กซ์ (Marxism) อันเป็นรากฐานของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.