ทดลองอ่าน เรื่อง ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1
ผู้เขียน : เหลียงฉาน
แปลโดย : mykLiu
ผลงานเรื่อง : ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
กล่าวถึงการข่มขืนและการใช้ความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3 เลือดและไวน์ 03
ตอนใกล้เลิกงานฉินเกอเพิ่งจะหาห้องทำงานของแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชเจอ
ห้องทำงานที่ว่านี้มีขนาดเล็ก ประมาณยี่สิบตารางเมตร มันซ่อนตัวอยู่ตรงประตูทางเข้าด้านข้างอาคารสำนักงานวิกฤตการณ์ ตอนที่ฉินเกอถามเกาเทียนเยวี่ยว่า ‘ห้องทำงานอยู่ที่ไหน’ เขาก็เริ่มอารมณ์เสียแล้ว พอเดินมาจนถึงประตูห้องทำงานระดับความอารมณ์เสียของเขาก็เกินเกณฑ์ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ห้องทั้งเล็ก ทรุดโทรม อีกทั้งยังทำไม่แล้วเสร็จดี มีหน้าต่างบานเล็กๆ ฝุ่นเกาะหนาบานหนึ่งบนผนัง ข้างในมีโต๊ะอยู่สี่ตัว บนโต๊ะโล่งสะอาด แม้แต่ปากกาสักแท่งก็ยังไม่มี
ไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วขนเก้าอี้เข้ามาในห้องคนละตัว พวกเขานั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่กลางห้องที่ว่างเปล่า ทั้งสองคนช่วยกันจัดระเบียบห้องทำงานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของฉินเกอไปมาก
เขาเคยชินกับห้องเก็บเอกสารที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมายจนแทบจะทำให้คนจมหายไปได้ แวบแรกที่ได้เห็นห้องอันว่างเปล่าเลยทำให้เขาปรับตัวไม่ทัน แต่แล้วสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ได้ยืนยันความคิดของฉินเกออีกครั้ง
เราน่าจะถูกเกาเทียนเยวี่ยจัดฉากเข้าให้แล้ว
“หัวหน้าฉิน” ไป๋เสี่ยวหยวนเห็นฉินเกอเดินเข้ามาหาก็รีบลุกขึ้นอย่างไว “เชิญตรวจสอบผลการทำงานของพวกเราค่ะ!”
ถังชั่วมือไม้อ่อน เขาใช้หัวเข่ารองหนังสือพิมพ์ที่ใส่เปลือกเมล็ดแตงโมไว้ แต่ก็ยังมีเปลือกบางส่วนที่รับไว้ไม่ทันร่วงลงบนพื้น ก่อนที่แมวทรายปากีสถาน* หูใหญ่ตัวหนึ่งจะรีบใช้หางกวาดเปลือกไปไว้อีกทางหนึ่ง
ฉินเกอยังคงเงียบ เขามองไปยังแพนด้าตัวหนึ่งซึ่งอยู่ที่ขาของถังชั่ว มันนั่งทับเปลือกเมล็ดแตงโมเอาไว้เพื่อปกปิดหลักฐานที่กระทำผิด
หนึ่งแมว หนึ่งแพนด้า…เข้ากันได้ดีทีเดียว เมื่อฉินเกอนึกถึงตัวเองในอนาคตที่ต้องทำงานกับไป๋และถังสองคนนี้ก็ราวกับมีพายุระดับสิบพัดถล่มในใจ สถานการณ์ย่ำแย่จนถึงขั้นน่าเวทนา
เขามองไปรอบๆ แล้วถามขึ้น “เซนติเนลอีกคนล่ะ”
“ไม่เห็นนะ ตอนนี้มีแค่ฉันกับถังชั่ว” ไป๋เสี่ยวหยวนตอบ
ฉินเกอมองแมวทรายที่กำลังเดินพันไปพันมาอยู่ตรงข้อเท้าของไป๋เสี่ยวหยวน “สัตว์กินเนื้อ เธอเป็นเซนติเนล”
จากนั้นก็มองไปที่แพนด้าข้างกายของถังชั่วที่กำลังพยายามขยับก้น “แพนด้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืชและสัตว์ ถังชั่ว คุณเป็นไกด์หรือเซนติเนลล่ะ”
เนื่องจากความกังวลและการเป็นคนขี้อาย ใบหน้าขาวใสของถังชั่วจึงมีริ้วสีแดงปรากฏขึ้นมา เขาดันแว่นที่อยู่ตรงสันจมูกขึ้นก่อนตอบ
“กะ…ไกด์ครับ”
ฉินเกอนึกถึงสิ่งที่เกาเทียนเยวี่ยกำชับมา จึงตัดสินใจว่าจะทำให้บรรยากาศในห้องทำงานผ่อนคลายมากขึ้น อย่างเช่นชวนคุยเรื่องแพนด้าของถังชั่ว ถึงอย่างไรร่างวิญญาณที่เป็นแพนด้าก็หาได้ยากมาก หรือว่าจะลองเข้าร่วมบทสนทนาของพวกเขาดีนะ
“ไม่ต้องเรียกผมว่าหัวหน้าฉิน เรียกชื่อผมตามปกติก็พอ พวกคุณสองคนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่” เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานข้างหน้าต่าง ก่อนจะวางกระเป๋าเป้ลงพร้อมกับเอ่ยถามถังชั่ว
“คุยเรื่องแฟนของเสี่ยวหยวน…” ถังชั่วยังคงประหม่า “แล้วก็แฟนของผมครับ”
ไป๋เสี่ยวหยวนลุกขึ้นพลางกอดแมวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน “คุยออนไลน์ไม่นับ”
ถังชั่ว “ไม่…ไม่ใช่คุยออนไลน์ พวกเราเคยเห็นรูปภาพของกันและกันมาแล้ว”
ไป๋เสี่ยวหยวน “แบบนี้ไม่น่าไว้ใจเลยนะถังชั่ว ฉันเคยผ่านมาก่อน ฉันเข้าใจ วันวาเลนไทน์เขาก็ไม่ยอมมาหานาย แบบนี้จะเรียกว่ารักกันได้ยังไง”
ถังชั่วดันแว่นขึ้น “เขายุ่งมาก ฉันเองก็ไม่ได้ไปหาเขาเหมือนกัน”
ไป๋เสี่ยวหยวน “แต่พวกนายไม่ได้คุยกันมาสัปดาห์หนึ่งแล้วนะ ความรักออนไลน์น่ะไม่ได้คุยกันเกินสามวันก็คืออกหักแล้ว”
ดูเหมือนถังชั่วจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเผือด แม้แต่แพนด้าก็ค่อยๆ หายกลับเข้าไปในตัวของเขาทันที
ฉินเกอได้แต่คิดในใจ ผมทำเต็มที่แล้วนะ ผอ.เกา
สำหรับพวกที่ขาดสารอาหารด้านความรักอย่างเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไรนัก “…ช่างมันเถอะ พวกคุณเลิกงานกันได้เลย พรุ่งนี้เช้ามีประชุม ผมจะจัดหน้าที่ให้พวกคุณ”
หลังจากไป๋เสี่ยวหยวนกับถังชั่วกลับไปแล้วห้องทำงานก็เงียบเหงามากกว่าเดิม
ฉินเกอหยิบสมุดและรายงานส่วนบุคคลของเผิงหูออกมา จากนั้นก็เริ่มเขียนข้อมูลที่ได้รับมารวมถึงความคิดเห็นลงไป
แสงสีทองของอาทิตย์ยามอัสดงส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เรียงรายอยู่ตรงบริเวณทางเดินนอกประตูห้องทำงาน ตกกระทบลงบนพื้นเป็นสีทองอร่าม
ฉินเกอเขียนไปได้ครึ่งหนึ่ง แสงสีทองที่พื้นก็ถูกบดบัง
เมื่อฉินเกอเงยหน้าขึ้นก็พบว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่นอกประตู อีกฝ่ายสวมใส่แจ็กเก็ตหนังสีดำที่เขาเคยเห็นมาก่อนและกำลังยืนบังแสงสว่างอยู่
คนคนนี้สูงมาก เส้นผมสีดำแลดูเหมือนถูกมือเสยไปมาหลายครั้ง รูปลักษณ์ของเขาให้ความรู้สึกยุ่งเหยิงสลับกับความเป็นอิสระ ที่คางมีตอหนวดสีเขียวที่เพิ่งถูกโกนออกไป ดูจากตอหนวดที่กระจัดกระจายแล้วเหมือนเขาจะอยากโกนให้มันเกลี้ยงเกลาแต่ไม่สามารถทำได้ ครั้งแรกที่ฉินเกอเห็นคนคนนี้ก็สัมผัสได้ว่าตนเองนั้นรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะเวลาที่เขาหยีตามองมาที่ฉินเกอยิ้มๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหยอกล้ออยู่หน่อยๆ
แต่จมูกของเขาโด่งมากๆ หน้าตาเองก็หล่อเหลาเอาการ
ทว่าไร้เงาของสิงโตตัวนั้น เขาน่าจะไม่ได้ปล่อยมันออกมา
“แผนกปรับสมดุลทางจิตเวช?” สายตาของคนคนนั้นมองไปรอบๆ และสุดท้ายก็มาตกลงบนร่างของฉินเกอ “ฉินเกอ?”
ฉินเกอคิดแล้วคิดอีก เขามั่นใจว่าตนเองไม่เคยรู้จักอีกฝ่ายมาก่อน
“คุณคือใครครับ”
ชายคนนั้นเดินเข้ามาสองก้าวแล้วลากเก้าอี้ออกมานั่งพลางยื่นมือขวาไปหาฉินเกอ “หัวหน้า ผมคือคนของแผนกปรับสมดุลทางจิตเวช เซี่ยจื่อจิงครับ”
ฉินเกอ “…”
เขาประหลาดใจมาก ภายในหัวนึกไปถึงรางวัลเกียรติยศทั้งหลายของเซี่ยจื่อจิง ผ่านไปสักพักเขาก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้
แขนซ้ายของเซี่ยจื่อจิงเท้าคางอยู่บนโต๊ะ ส่วนมือขวายื่นมาที่ด้านหน้าของฉินเกอพร้อมกับมองเขายิ้มๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
หลังจากฉินเกอเริ่มได้สติกลับคืนมา แม้แต่การพูดจาก็ยังติดขัด เขารีบจับมือกับเซี่ยจื่อจิงไว้แน่น “ผม…ผมเคยได้ยินมาว่า…ไม่ใช่ ผมเคยอ่านประวัติของคุณ…ที่ห้องเก็บเอกสาร…คุณสุดยอดมาก เป็นคนที่มีความสามารถ…”
ความกลัดกลุ้มที่เกิดจากความไม่น่าเชื่อถือของไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วพลันสลายกลายเป็นควันไปแล้ว
ทว่าเซี่ยจื่อจิงยังคงไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มอยู่อย่างนั้น
เมื่อมีไป๋และถังสองคนนี้กับความสำเร็จของเซี่ยจื่อจิงที่อยู่ตรงหน้า ฉินเกอก็รู้สึกว่าเซนติเนลที่อยู่ตรงหน้านี้ยิ่งมองยิ่งดูดี จึงยิ้มให้อีกฝ่าย
“หากคุณมีอะไรสามารถพูดได้ตรงๆ เลย ไม่ต้องกลัว ปกติไม่ต้องเรียกผมว่าหัวหน้าฉินนะครับ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ยังต้องทำงานด้วยกัน เรียกชื่อก็พอแล้ว พวกเราเป็นแผนกเล็กๆ ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมา งานมีไม่เยอะ เพื่อนร่วมงานทั้งหมดล้วนเป็นคนหนุ่มสาว คุยกันง่าย”
เมื่อฉินเกอรู้สึกว่าตนเองเริ่มพูดมากเหมือนเกาเทียนเยวี่ย เซี่ยจื่อจิงก็เริ่มพูดขึ้น
“นายจำฉันไม่ได้เหรอ”
ฉินเกอ “…ถึงแม้ว่าบางครั้งจะดูไม่น่าเชื่อถือ…ฮะ?”
เซี่ยจื่อจิง “ฉันไง เซี่ยจื่อจิง”
ฉินเกอนิ่งค้างไปชั่วขณะ ความรู้สึกลำบากใจค่อยๆ แผ่ซ่าน “ผมอาจจะความจำไม่ค่อยดี ขอโทษด้วยครับ…นึกไม่ออกจริงๆ”
เซี่ยจื่อจิง “พวกเราเคยคบกันมาก่อน”
ฉินเกอ “…”
ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งนาทีนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่อีกฝ่ายทำให้เขาประหลาดใจจนพูดไม่ออก
“ฉันเป็นแฟนเก่าของนายไง” เซี่ยจื่อจิงเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ เขาเผยฟันสีขาวพลางจับมือของฉินเกอที่พยายามดึงออก
รอยยิ้มของฉินเกอค่อยๆ หายไป
ในใจของเขาเหมือนกับเถ้าถ่านที่มอดดับ
นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ไม่ปกติ
เนื่องจากเซี่ยจื่อจิงมาถึงค่อนข้างช้า เกาเทียนเยวี่ยและคนของแผนกบุคคลกลับกันไปหมดแล้ว ฉินเกอจึงหาคนที่จะทำเอกสารรับเข้าทำงานไม่ได้
จากคำบอกเล่าของเซี่ยจื่อจิง เขาเพิ่งมาถึงสำนักงานวิกฤตการณ์เมื่อตอนบ่ายเพื่อรายงานตัว แต่คนของแผนกบุคคลบอกเขาว่าจำเป็นจะต้องมีรายงานการตรวจสุขภาพด้วย รอจนเขานำรายงานการตรวจสุขภาพกลับมาจากโรงพยาบาลฯ ที่ 267 เมื่อรวมเวลาไปกลับสำนักงานวิกฤตการณ์ก็เหลือแต่พวกที่ทำงานล่วงเวลาแล้ว
“ช่วยแนะนำองค์กรนี้ให้ฉันได้ไหม” เซี่ยจื่อจิงยืนชิดติดกับแผ่นหลังของฉินเกอ “ทำไมนายไม่ดีใจเลยล่ะ เห็นฉันแล้วไม่ดีใจหรือไง นายไม่คิดว่าฉันในตอนนี้ดูเป็นชายหนุ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเหรอ นายดูสิ ฉันไว้หนวดด้วยนะ หล่อหรือเปล่า”
ฉินเกอทั้งเหนื่อยทั้งรำคาญอย่างถึงที่สุด หากความน่ารำคาญในใจสามารถวัดค่าออกมาได้ ตอนนี้ค่าที่วัดออกมาคงเกินร้อย
ไม่ต้องทำการทดสอบหรือสัมภาษณ์ใดๆ อีกทั้งไม่จำเป็นต้องเข้าไปล่องเรือในอาณาเขตทะเลของเซี่ยจื่อจิง ฉินเกอก็แน่ใจว่าคนคนนี้จะต้องเป็นพวกที่มีอาการเพ้อฝันในความรักเข้าขั้นหนัก
มีเซนติเนลและไกด์มากมายที่ตกอยู่ในอาการเพ้อฝันในความรัก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าอาณาเขตทะเลของพวกเขาอาจไม่ปกติ
คนที่มีอาการเพ้อฝันในความรักส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบปิดมาเป็นเวลานาน ไม่ได้พบเจอโลกภายนอกเพียงพอ ขาดแคลนการสนับสนุนจากคนรอบข้าง รวมถึงการที่ในใจมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าหรือการที่ชีวิตวัยเด็กได้พบกับการจากลา คนเหล่านี้เมื่อโตขึ้นหากไม่ได้รับการเติมเต็มก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดอาการเพ้อฝันในความรัก
พวกเขาจะจินตนาการถึงคนรักที่สมบูรณ์แบบของตนเองโดยทึกทักเอาคนที่ตนได้พบเจอมาเป็นต้นแบบอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งนี้พวกเขายังเชื่อด้วยว่าตนเอง ‘เคยคบ’ หรือ ‘กำลังคบ’ กับอีกฝ่ายอยู่
ลักษณะแบบนี้ฉินเกอคุ้นเคยเป็นพิเศษ เพราะในปีที่เขาสอบเป็นนักปรับสมดุลทางจิต คำถามข้อแรกของข้อสอบข้อเขียนคือเรื่องของอาการเพ้อฝันในความรัก
เขาได้คะแนนเต็มในข้อนั้น
ก่อนหน้านี้ฉินเกอเคยเห็นประวัติของเซี่ยจื่อจิงในห้องเก็บเอกสาร ในเอกสารเผยว่าพ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัย และหลังจากสอบเข้ามาทำงานในสำนักงานวิกฤตการณ์แล้วเขาก็เลือกไปทำงานที่สำนักงานภูมิภาคตะวันตกซึ่งเป็นที่ที่คนน้อยและยากลำบากที่สุด โดยต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิมะเป็นเวลานาน
ดังนั้นแม้ใจหนึ่งเขาจะรู้สึกว่าเซี่ยจื่อจิงนั้นน่ารำคาญ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างน่าสงสาร
ความน่าสงสารนี้ผสมเข้ากับความโกรธและความกังวลของฉินเกอ
แต่จรรยาบรรณของนักปรับสมดุลทางจิตก็คอยเตือนสติเขาอยู่ว่าการจะทำลายอาการเพ้อฝันในความรักของใครสักคนนั้นไม่สามารถทำได้โดยง่าย หากอาการเพ้อฝันในความรักภายในอาณาเขตทะเลของเซนติเนลและไกด์รุนแรงมาก การทำลายโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจทำให้อาณาเขตทะเลของพวกเขาล่มสลายได้
ดังนั้นฉินเกอจึงไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ไม่ได้ตอบรับในสิ่งที่เซี่ยจื่อจิงพูด
เขาเปลี่ยนเป้าหมายโดยเริ่มไปตำหนิเกาเทียนเยวี่ยแทน
“แล้วนายตั้งใจจะพาฉันไปไหนเหรอ” เซี่ยจื่อจิงพบว่าพวกเขามาถึงที่จอดรถแล้ว “ไปบ้านของนาย? ไม่ดีมั้ง เราเพิ่งกลับมาเจอกัน น่าจะเคลียร์ใจกันก่อนนะ แน่นอนว่าฉันไม่ใช่คนสนใจอะไรมากนัก…”
“คุณหาที่พักเอาเองนะ” ฉินเกอก้มหน้าปลดล็อกจักรยานไฟฟ้า “แล้วก็พรุ่งนี้มาที่ห้องทำงานก่อนเจ็ดโมงห้าสิบ ลาก่อน”
เซี่ยจื่อจิงหัวเราะ “นายเขินเหรอ”
ฉินเกออดไม่ได้ที่จะแก้ตัว “ผมไม่ได้เขิน”
เซี่ยจื่อจิงลูบคางของตนเอง “งั้นฉันไปนั่งที่บ้านของนายนะ”
ฉินเกอ “…”
เซี่ยจื่อจิง “นายวางใจได้ ไม่ใช่แบบที่นายคิด”
ฉินเกอ “…ผมคิดอะไร แล้วคุณคิดอะไร!”
คุณลุงที่ป้อมยามโผล่ศีรษะกลมๆ ออกมาจากหน้าต่างพลางจ้องมองไปรอบๆ
ฉินเกอเงียบปาก ภายในใจตอนนี้เหมือนมีพายุเฮอริเคนระดับสามสิบก่อตัวขึ้น ซึ่งหากมีพายุเฮอริเคนระดับสามสิบจริงๆ เขาก็มั่นใจมากว่าเซี่ยจื่อจิงเป็นคนสร้างมันขึ้นมา
“โอเค” เซี่ยจื่อจิงยิ้มก่อนจะพูดว่า “ไม่แกล้งนายแล้ว ฉันจัดการเรื่องที่พักเอง บ๊ายบาย”
ตอนที่ฉินเกอขี่จักรยานผ่านลูกระนาดตรงประตูสำนักงานวิกฤตการณ์ เนื่องจากเขาขี่มาด้วยความเร็วสูง จักรยานไฟฟ้าจึงเหินขึ้นสูงก่อนจะกระแทกเข้ากับก้นของเขาอย่างแรง ทำให้รู้สึกเจ็บมาก
จากความไม่พอใจทุกๆ อย่างในตอนนี้เขาทำได้เพียงโทษว่าเป็นเพราะเกาเทียนเยวี่ย
วันที่สองของการทำงาน สิ่งแรกที่ฉินเกอทำคือการตามหาเกาเทียนเยวี่ย แต่เขากลับพบว่าอีกฝ่ายไปทำงานนอกสถานที่ อีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับมา
เขารู้สึกหดหู่ใจเป็นที่สุด จึงไปที่ห้องเก็บเอกสารก่อนเพื่อสงบสติอารมณ์ หลังจากนั้นจึงรวบรวมความกล้าเดินกลับไปที่ประตูด้านข้างแล้วเข้าไปในห้องทำงานของตนเอง
ตอนที่เพิ่งก้าวผ่านประตูเข้าไปสิ่งที่ต้อนรับเขาเป็นอย่างแรกคือกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วยังคงนั่งกินเมล็ดแตงโมเหมือนกับเมื่อวาน แล้วตอนนี้ภายในห้องทำงานยังมีเซี่ยจื่อจิงที่กำลังเคี้ยวเจียนปิ่งกั่วจือ* เพิ่มเข้ามาอีกคนหนึ่ง
ส่วนกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นมาจากชายแปลกหน้าที่อยู่ด้านหน้าของคนทั้งสาม
เขาโบกหงซิงเอ้อร์กัวโถว** ในมือไปมาพลางสูดดมเข้าจมูก จากนั้นก็ร้องเฮ้อออกมาเสียงดัง “ผมเหรอจะกลัว ถ้าผมกลัวเลือด กลัวคนตาย ผมจะเป็นหมอมาได้ยังไงตั้งหลายปี”
ฉินเกอไม่มีแรงจะโมโหใครแล้ว เขาหันไปมองไป๋เสี่ยวหยวนซึ่งกำลังมองมาทางตนเอง “นี่ใครอีกเนี่ย”
“คุณหมอ” ไป๋เสี่ยวหยวนกระซิบเสียงเบา “เขาบอกว่าเขาชื่อเผิงหู วันนี้ตอนเช้าตรู่ก็มาดื่มเหล้าอยู่ที่หน้าประตูสำนักงานวิกฤตการณ์แล้ว ร้องไห้ไปดื่มไป บอกว่าอยากพบนาย”
ฉินเกอ “…พบฉัน? ทำไม แผนกเล็กๆ อย่างพวกเรามีชื่อเสียงแล้วเหรอ”
ไป๋เสี่ยวหยวน “นี่เป็นนักปรับสมดุลทางจิตเพียงหนึ่งเดียวของสำนักงานวิกฤตการณ์ คุณหมอเผิงบอกว่าอาณาเขตทะเลของเขามีปัญหา ได้ยินมาว่าเมื่อวานนายไปตามหาเขาที่โรงพยาบาลแต่ไม่เจอ เขาเลยมาหาเอง บอกว่าต้องการให้นายช่วยเขา”
ถังชั่วบีบจมูกตัวเองพลางพูด “แต่ที่เขาเห็นมันเป็นภาพหลอน มันเป็นอาการทางจิต…”
กลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ใบหน้าขาวๆ ของเขาแดงผิดปกติ
ใครจะคิดว่าถังชั่วยังไม่ทันพูดจบ เผิงหูก็ลุกขึ้นก่อนยกขวดขึ้นสูงด้วยท่าทีโมโห
เซี่ยจื่อจิงตอบสนองอย่างว่องไว เขารีบยกมือขึ้นจับขวดเหล้าในมือของเผิงหูทันที “ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน ไม่ต้องตื่นตระหนกนะครับ” เขายิ้มพลางพูดกับเผิงหู “ไว้พวกเราคุยกันเสร็จค่อยดื่มต่อ”
“มันไม่ใช่ภาพหลอน ผมเห็นมันจริงๆ ผมไม่ได้ป่วย” ใบหน้าของเผิงหูเป็นสีแดงเนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และความโกรธ “สิ่งที่ทะลุผ่านเข้าออกผนังทั้งหมดคือทารก”
* แมวทรายปากีสถาน (Felis margarita scheffeli) เป็นแมวทรายที่พบได้ในปากีสถาน จัดอยู่ในจำพวกแมวป่าและมีขนาดเล็กที่สุด มักอาศัยอยู่ตามลำพัง และออกหาอาหารในเวลากลางคืน
* เจียนปิ่งกั่วจือ หรือเครปจีน ตัวแป้งมีลักษณะบางนุ่ม ข้างในใส่ไส้คาวต่างๆ
** หงซิงเอ้อร์กัวโถว เป็นยี่ห้อเหล้าชื่อดังของประเทศจีน
บทที่ 4 เลือดและไวน์ 04
ตั้งแต่วันที่เห็น ‘เด็ก’ เผิงหูก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้อาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาล
ตอนนั้นเขาเพิ่งผ่าตัดเสร็จ กำลังดื่มน้ำอยู่ที่ห้องพักของอาคารผู้ป่วยใน จู่ๆ ก็มีประกาศฉุกเฉินจากอาคารผู้ป่วยนอก เกิดอุบัติเหตุรถชนกันอย่างรุนแรงในบริเวณใกล้เคียง หนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักคือเซนติเนลซึ่งถูกส่งมายังโรงพยาบาลฯ ที่ 267 แล้ว
เผิงหูไปที่ห้องผ่าตัดฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยอยู่ในอาการช็อกเนื่องจากเสียเลือดมาก
ผู้ป่วยเป็นเด็กอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบ บริเวณหน้าอกของเสื้อกันหนาวขนเป็ดชุ่มไปด้วยเลือด
จากอุบัติเหตุรถโรงเรียนชนกับรถคันเล็กจนพลิกคว่ำตกลงมาจากสะพาน ส่งผลให้กระดูกซี่โครงหักทิ่มปอด
แพทย์แผนกศัลยกรรมทรวงอกผ่าตัดอยู่นานกว่าสามชั่วโมงจึงสามารถช่วยชีวิตเขากลับมาได้ในที่สุด
บริเวณด้านนอกห้องผ่าตัดเต็มไปด้วยบรรดานักข่าว รวมถึงผู้ใหญ่หลายคนที่กำลังนั่งลงร้องไห้อย่างหนักอยู่ที่พื้น ส่วนเผิงหูนั้นออกมาไกลแล้ว เขาหวาดกลัวต่อเหตุการณ์แบบนี้เป็นอย่างมาก
แม้จะเป็นหมอมาหลายปีแต่เขาก็ไม่เคยได้ยินเสียงร้องไห้ที่ทั้งขมขื่นและน่าสงสารแบบนี้ เด็กคนนั้นอายุพอๆ กับลูกของเขา สิ่งหนึ่งที่เขาอยากทำหลังออกมาจากห้องผ่าตัดแล้วคือติดต่อไปหาภรรยา ในตอนนั้นภรรยาของเขากำลังไปรับลูกกลับบ้าน โดยหลังจากที่พ่อลูกคุยกันสองสามประโยคเผิงหูถึงค่อยๆ ใจเย็นลง
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และขณะที่กำลังเดินออกจากโรงพยาบาลไปได้ไม่ไกลภายในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกเศร้าหมอง สุดท้ายเขาจึงนั่งลงที่ม้านั่งตรงหน้าอาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาล
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลินั้นหนาวมากแม้จะไม่มีหิมะตกลงมา เผิงหูเงยหน้าขึ้นมองกิ่งไม้ที่ไร้สิ่งปกคลุม จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าต่างชั้นสามของอาคารประวัติศาสตร์มีบางอย่างผิดปกติ
นั่นคือห้องผ่าตัดหมายเลข 6 ที่อยู่ตรงสุดทางเดินชั้นสามของอาคารประวัติศาสตร์โรงพยาบาล ห้องนั้นถูกทิ้งร้างมาหลายปีแล้ว ในห้องมีหน้าต่างเพียงหนึ่งบานเท่านั้น มันถูกเจาะตอนที่มีการปรับปรุงตึก ในตอนแรกห้องนั้นจะทำเป็นห้องจัดแสดงอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนหลังถึงไม่ใช้แล้ว หลังจากนั้นก็กลายเป็นห้องเก็บของ
หน้าต่างบานนั้นไม่มีผ้าม่าน เป็นเพียงหน้าต่างโปร่งแสงบานหนึ่ง
ทว่าในตอนนั้นเผิงหูกลับมองเห็นโครงหน้าของเด็กอยู่ตรงหน้าต่าง
“จะบอกว่าเป็นเด็กก็ไม่ถูก” เผิงหูพูดเสียงเบา “นั่นน่าจะเป็นใบหน้าของทารกที่ยังเล็กมาก”
เขาเป็นหมอ มองครั้งเดียวก็ดูออกแล้วว่าใบหน้านั้นผิดปกติ
“หน้าต่างของห้องผ่าตัดหมายเลขหกไม่ได้เตี้ย มันสูงจากพื้นอย่างน้อยหนึ่งจุดสามเมตร” เขาพูดต่อ “หน้าต่างที่สูงจากพื้นหนึ่งจุดสามเมตรทารกจะปีนขึ้นไปได้ยังไงกัน ตอนนั้นผมคิดว่าในห้องผ่าตัดมีคนอยู่แล้วมีคนอุ้มเด็กขึ้นไปที่หน้าต่าง มันค่อนข้างอันตราย ถึงแม้หน้าต่างจะปิดอยู่ แต่ห้องนั้นก็สกปรกมากๆ”
ตอนที่เผิงหูเงยหน้าขึ้นมองเขาก็สร่างเมาขึ้นมาบ้างแล้ว
เซี่ยจื่อจิงเอาเจียนปิ่งกั่วจือของตนเองกับขวดเหล้าไปวางไว้อีกฝั่งหนึ่ง เขามองไปทางฉินเกอโดยไม่รู้ตัว
ฉินเกอไม่เหมือนกับไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วที่ตั้งใจฟังอีกฝ่ายอย่างตึงเครียด เขากำลังใช้สายตาประเมินเผิงหูอย่างละเอียด
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” ฉินเกอถาม
เผิงหูไปเอากุญแจจากคนของอาคารประวัติศาสตร์โรงพยาบาลแล้วรีบไปที่ชั้นสาม หลังจากเปิดประตูห้องผ่าตัดหมายเลข 6 เขาก็พบว่าทั้งห้องเต็มไปด้วยเลือดสีแดง ตรงกลางห้องมีเตียงผ่าตัดตั้งอยู่ ผู้ป่วยกำลังกรีดร้อง รอบๆ เตียงรายล้อมไปด้วยหมอและพยาบาลในชุดผ่าตัด พวกเขากำลังทำการผ่าตัดกันอยู่ มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นเพดาน พื้น หรือผนังทั้งสี่ด้านล้วนเป็นสีแดง ชวนให้รู้สึกอยากอาเจียน
นอกจากผนังที่เป็นสีแดงจนดูผิดปกติแล้วยังมีร่างของทารกทะลุออกจากผนังมาทีละคนๆ แล้วจ้องมองมาที่เผิงหู
ไป๋เสี่ยวหยวนแทบลืมหายใจ เธอยันโต๊ะลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
แม้ถังชั่วแทบจะทนกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ไหว แต่เรื่องราวที่อีกฝ่ายเล่าไม่ได้ทำให้เขามีปฏิกิริยาอะไร
เซี่ยจื่อจิงมองไปทางฉินเกออีกครั้ง เขาพบว่าฉินเกอใจเย็นกว่าถังชั่วมาก
“นอกจากพวกนี้ล่ะ” เขาถาม “มีอะไรที่รู้สึกแปลกอีกไหมครับ ผมได้ยินเหยียนหงบอกว่าตอนนั้นคุณบรรยายเหตุการณ์ไว้ละเอียดมาก ถ้าคุณยังจำได้และบอกกับพวกเราก็จะดีมาก”
“ชุดผ่าตัดที่พวกเขาสวมอยู่ไม่ใช่แบบในปัจจุบัน” เผิงหูเล่าสิ่งที่ตนเองเห็นทั้งหมดอย่างละเอียด แม้กระทั่งชื่อหรือลักษณะเครื่องมือ “รวมถึงเครื่องมือผ่าตัดก็เป็นแบบในสมัยก่อน ทั้งหมอ พยาบาล และสิ่งที่ผมเห็นในห้องผ่าตัดทั้งหมดนั้นอย่างน้อยๆ คงผ่านมาไม่ต่ำกว่าสามสิบปี”
ฉินเกอมองเข้าไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย
นัยน์ตาของเผิงหูไม่มีอาการของคนเมาเลยสักนิด เขามองตรงมาที่ฉินเกอ
“คุณหมอเผิง คุณสะดวกที่จะให้ผมล่องเรือเข้าไปในอาณาเขตทะเลของคุณไหม” ฉินเกอถามเขา “คุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมคือนักปรับสมดุลทางจิตเพียงหนึ่งเดียวของสำนักงานวิกฤตการณ์ หากคุณยินดีผมสามารถช่วยคุณดูอาณาเขตทะเลได้”
เห็นได้ชัดว่าเผิงหูมีอาการลังเลเล็กน้อย “อาณาเขตทะเลของผมไม่ปกติ”
“ปกติหรือไม่ปกติผมจะตัดสินเอง” ฉินเกอบอกเขาอย่างสงบ “คุณมาหาผมแล้ว กรุณาเชื่อมั่นในตัวผมเถอะ”
อาณาเขตทะเลของเผิงหูทำให้ฉินเกอตกใจเป็นอย่างมาก เขาไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นทางเดินยาวสีขาวสายหนึ่ง
ทั้งสองฝั่งมีราวจับ บนพื้นมีทางเดินสำหรับผู้พิการทางสายตา ประตูจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่บนผนัง บางบานเปิดอยู่ บางบานปิดสนิท เมื่อฉินเกอหันกลับไปก็เห็นว่าที่ด้านหลังของตนเองเป็นทางเดินแคบๆ สายยาวสายหนึ่งซึ่งมีราวจับ ประตู พื้น และเพดานที่เหมือนกัน
กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อลอยอบอวลอยู่รอบๆ ฉินเกอยังได้ยินเสียงกริ่งที่ไม่สามารถระบุที่มาได้
นี่เป็นทางเดินของโรงพยาบาลที่ไม่มีจุดจบ
ฉินเกอผลักบานประตูที่อยู่ด้านข้างเข้าไป นี่คือห้องตรวจของแผนกศัลยกรรมทรวงอก ภายในห้องมีคอมพิวเตอร์ถูกเปิดอยู่ ภาพบนหน้าจอขยับไปมา ทว่าไม่มีคน
เขาเดินเข้าไปหลายห้องแล้วก็พบว่าทุกห้องเป็นห้องตรวจของแผนกศัลยกรรมทรวงอก
อาณาเขตทะเลของเซนติเนลและไกด์คือการสะท้อนของสภาพจิตใจและความกังวลภายในใจของพวกเขาที่ซื่อตรงที่สุด แต่ฉินเกอก็ไม่เจออะไรที่ดูผิดปกติในอาณาเขตทะเลของเผิงหู เขาเดินช้าๆ ไปตามทางเดินที่ทอดยาวออกไปข้างหน้า สุดท้ายก็หายไปในระยะทางที่สายตาของฉินเกอไม่สามารถมองเห็นได้
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นอาณาเขตทะเลที่พิเศษมาก แต่ฉินเกอก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่ผิดปกติ
เขาเคยเจออาณาเขตทะเลที่ผิดปกติมาแล้ว ด้านในจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่สามารถใช้ตรรกะมาอธิบายได้ นอกจากนี้พวกมันจะแสดงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจนกับบุคคลภายนอกไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าไปในอาณาเขตทะเล
ตอนที่สอบเป็นนักปรับสมดุลทางจิตเขาเข้าไปสอบในสนามจริงติดต่อกันสิบเอ็ดสนาม ล่องเข้าไปในอาณาเขตทะเลที่ไม่ปกติทั้งหมดสิบเอ็ดแห่ง เขาใช้เวลาสอบยาวนานถึงหกชั่วโมงและถูกทรมานอย่างต่อเนื่องจากอาณาเขตทะเลที่ผิดปกติ ทั้งนี้มีมากกว่าหนึ่งครั้งที่เขามีความคิดอันน่ากลัวว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่ผิดปกติไป
ทั้งความกลัวและความลำบากในตอนนั้น ตอนนี้เมื่อคิดขึ้นมาก็ยังมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ในใจ
แต่อาณาเขตทะเลของเผิงหูนั้นปกติ ถึงแม้ทางเดินที่ทอดยาวจะเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง แต่ฉินเกอก็สัมผัสไม่ได้ถึงความเป็นศัตรูเลยแม้แต่น้อย มันเป็นทางเดินของโรงพยาบาลที่ทั้งสงบและเรียบร้อย ไม่มีสิ่งแปลกปลอม อีกทั้งยังไม่มีสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้
มันสงบและต้อนรับฉินเกอที่เข้ามาอย่างอบอุ่น ฉินเกอรู้ว่าเป็นเพราะเผิงหูเชื่อมั่นในตนเอง
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือน้อยมากที่เขาจะเห็นคนที่มีอาณาเขตทะเลเกี่ยวข้องกับงานที่ตนเองทำมากขนาดนี้
อาณาเขตทะเลเป็นเขตจิตใจหลักของเซนติเนลและไกด์ ภายในนั้นจะมีสิ่งที่พวกเขารักมากหรือสิ่งที่หวาดกลัวเป็นอย่างมากอยู่ โดยสิ่งที่พวกเขารักมักปรากฏขึ้นมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด หากอ้างอิงจากสิ่งที่ฉินเกอเคยเห็นก็เช่นอาณาเขตทะเลที่รายล้อมไปด้วยนักเก็ตไก่จำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนสิ่งที่กลัวนั้นจะถูกเก็บล็อกไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดตรงไหนสักแห่ง
ความกลัวจะไม่หายไปจากชีวิตของคนเรา แต่มันสามารถถูกยับยั้งหรือถูกล็อกเอาไว้ได้เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียกับอาณาเขตทะเล
ฉินเกอไม่รู้ว่าสิ่งที่เผิงหูกลัวคืออะไร อีกฝ่ายอาจเก็บมันไว้ในห้องหลังประตูที่ปิดสนิทบานไหนสักบานท่ามกลางประตูจำนวนนับไม่ถ้วนนี้
แต่ที่เขาเห็นได้อย่างชัดเจนคือสิ่งที่เผิงหูรัก
หลังออกมาจากอาณาเขตทะเลฉินเกอก็มีอาการเวียนศีรษะอยู่สักพักหนึ่ง
เขาหลับตาพลางพยุงตัวเองกับไหล่ของเผิงหู
เผิงหูนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนฉินเกอยืนอยู่ที่ด้านหลังของเผิงหู มือทั้งสองข้างวางอยู่ที่ท้ายทอยของเผิงหู ศีรษะก้มต่ำ จมูกอยู่ใกล้กับศีรษะของอีกฝ่าย
นี่เป็นวิธีที่ฉินเกอใช้ในการเข้าไปในอาณาเขตทะเล โดยเขาจะปล่อยพลังของร่างวิญญาณของตนเองออกมาเพื่อสื่อสารกับร่างวิญญาณของเผิงหู ถือเป็นการขออนุญาตเข้าไปแบบถูกต้อง
ร่างวิญญาณที่แสนขี้ขลาดของเขาไม่ได้แสดงรูปร่างของมันออกมาทั้งหมด มีเพียงมือทั้งสองข้างของเขาที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยขนสีขาวหนานุ่ม
สมาชิกทั้งสามคนของแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชยืนมองอยู่ที่ด้านข้างอย่างตั้งอกตั้งใจ
ฉินเกอชักมือกลับ ก่อนขนสีขาวที่มือของเขาจะค่อยๆ หายไป
“ฉินเกอ ร่างวิญญาณของนายเป็นตัวอะไร” จู่ๆ เซี่ยจื่อจิงก็ถามขึ้น
“คุณช่วยผมได้ไหม” ดูเหมือนว่าเผิงหูจะเปิดปากถามขึ้นพร้อมกับเซี่ยจื่อจิง
ฉินเกอเลือกที่จะตอบคำถามของเผิงหู
“ผมไม่รู้” เขาบอกกับเผิงหู “แต่ผมจะพยายาม”
เผิงหูกุมมือของฉินเกอพลางโค้งตัวขอบคุณ หลังจากนั้นก็เอาหน้าผากไปแนบกับมือของฉินเกอโดยไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยๆ สั่นเทา
“เผิงหูบอกให้ผมช่วยเขา ไม่ใช่แก้ปัญหาในอาณาเขตทะเลของเขา” ฉินเกอบอกกับทั้งสามคน “อาณาเขตทะเลของเผิงหูปกติอย่างแน่นอน”
เขามองไปที่ทั้งสามคนตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ เขาแทบจะควบคุมมุมปากของตนเองเอาไว้ไม่ได้
“พูดตามตรงเขาปกติกว่าผมซะอีก เขารักงานที่ทำมาก”
ไป๋เสี่ยวหยวนตอบกลับมาเป็นคนแรก “อาณาเขตทะเลของนายไม่ปกติเหรอ”
“อาณาเขตทะเลของฉันก็ไม่ปกติเหมือนกัน” จู่ๆ เซี่ยจื่อจิงก็พูดขึ้นมา
ไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาในเวลาเดียวกัน พวกเขาจึงมองไปทางเซี่ยจื่อจิงอย่างพร้อมเพรียง เซี่ยจื่อจิงมองมาที่พวกเขาด้วยความห่วงใยก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“ไม่มีอะไร พอเป็นผู้ใหญ่แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยปกติกันทั้งนั้น”
ฉินเกอ “…”
ผมรู้น่า! ในใจของเขาตะโกนเสียงดัง ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่ปกติ! แต่อย่าไปสอนอะไรผิดๆ ให้ไป๋กับถังในแผนกของเราได้ไหม!
เซี่ยจื่อจิงหันไปมองสีหน้าไม่พอใจของฉินเกอ ก่อนจะรีบทำตัวให้เรียบร้อยด้วยการนั่งหลังตรง “หัวหน้าไม่พอใจแล้ว ประชุมกันๆ”
ฉินเกอไม่เข้าใจว่าต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่ร่วมกับเซี่ยจื่อจิงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังระงับความหงุดหงิดภายในใจเอาไว้ได้ และตัดสินใจจัดการเรื่องที่อยู่ในมือก่อน
หลังเผิงหูออกไปจากสำนักงานวิกฤตการณ์แล้ว ฉินเกอก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่ตนเองได้รู้มาเมื่อวานให้พวกเขาฟัง
ทั้งผนังห้องผ่าตัดที่มีเลือดไหลออกมา ทารกที่ทะลุผนัง และฉากการผ่าตัดเมื่อหลายปีก่อนที่ปรากฏขึ้นต่อหน้า เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะพบเจอได้
อีกทั้งจิตใจของผู้เห็นเหตุการณ์อย่างเผิงหูนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ อาณาเขตทะเลของเขาก็ไม่มีสิ่งผิดปกติเช่นกัน
ฉินเกอคิดว่าเผิงหูกำลังโกหก
แต่คำโกหกของเขาละเอียดและเจาะจงมาก หากไม่ใช่ว่าเขาเคยเห็นด้วยตัวเองก็ต้องเคยมีคนอธิบายกับเขาอย่างละเอียดมาก่อน…นี่ไม่ใช่ ‘ภาพหลอน’ ของเขา แต่เป็นข้อมูลที่เขาได้รับมาจากคนอื่น
“ที่คิดแบบนี้เพราะเขายังพูดโกหกอีกเรื่องหนึ่ง” ฉินเกอบอก “เมื่อวานตอนผมไปที่โรงพยาบาล โชคดีว่าได้นั่งที่ม้านั่งตรงหน้าอาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาลอยู่สักพักหนึ่ง หากว่าเผิงหูนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ เขาไม่มีทางมองเห็นห้องผ่าตัดหมายเลขหกอย่างแน่นอน ยิ่งไม่มีทางมองเห็นหน้าต่างที่มีใบหน้าของทารกปรากฏขึ้นด้วย”
เรื่องนี้แม้แต่ถังชั่วก็ยังรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ “ที่มีปัญหาคือห้องผ่าตัดนั่น…หรือเผิงหูต้องการให้คนสนใจห้องผ่าตัดห้องนั้น?”
ฉินเกอพยักหน้า “คนที่เห็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกตินี้จริงๆ น่าจะไม่ใช่เผิงหู”
ทันใดนั้นถังชั่วก็รู้สึกถึงความน่าสนใจ เขาจับที่หูของตัวเองพลางพูดอย่างระมัดระวัง “จริงๆ แล้วผมก็รู้ความลับที่เกี่ยวข้องกับห้องผ่าตัดนั่นมาไม่น้อย”
ฉินเกอ “หือ?!”
“โรงพยาบาลฯ ที่ 267 มีไว้สำหรับมนุษย์พิเศษ ดังนั้นจึงมีเรื่องเล่าประหลาดมากมายภายในเมืองที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลฯ ที่ 267 ภายในตึกอาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาลมีผู้หญิงสวมชุดสีแดง ผีไม่มีหัว เสียงร้องไห้ตอนกลางคืนในวันสารทจีน ผีหนุ่มมือเดียว ทุกวันที่สี่ของเดือนจะได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กสาวไร้หน้า…” ถังชั่วพูดพลางนับนิ้ว ใบหน้าที่เห่อแดงเพราะแอลกอฮอล์ค่อยๆ จางไป ก่อนที่ความตื่นเต้นในดวงตาจะเข้ามาแทนที่
ดวงตาของเซี่ยจื่อจิงและไป๋เสี่ยวหยวนเป็นประกายตอนได้ฟัง
ฉินเกอรู้สึกหมดแรง “…ถังชั่ว คุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องที่ไม่น่าสนใจเยอะก็ได้นะ”
ถังชั่วปิดปากลงอย่างโมโห
กุญแจสำคัญของปัญหาน่าจะอยู่ที่ห้องผ่าตัด ฉินเกอจึงตัดสินใจที่จะไปโรงพยาบาลพร้อมกับทุกคนอีกรอบ
ระหว่างที่ไป๋เสี่ยวหยวนไปทำเรื่องขอยืมรถยนต์ และถังชั่วยังคงรู้สึกหดหู่กับเรื่องประหลาดของเมืองที่ตนเองยังเล่าไม่จบนั้น ฉินเกอก็ตัดสินใจพาเซี่ยจื่อจิงไปทำเรื่องที่แผนกบุคคลก่อน ขณะที่กำลังรอลิฟต์เซี่ยจื่อจิงก็ขยับเข้าไปใกล้ฉินเกอแล้วถามขึ้น
“นายทำท่าทางแบบนั้นทุกครั้งที่เข้าไปล่องเรือในอาณาเขตทะเลของคนอื่นเหรอ”
ฉินเกอพลิกดูรายงานการตรวจสุขภาพของอีกฝ่าย ก่อนจะพบว่ามีส่วนหนึ่งที่ว่างเปล่า เซี่ยจื่อจิงไม่ได้ไปทดสอบทางจิตวิทยาและจิตเวชที่โรงพยาบาลฯ ที่ 267
เขากำลังจะถามว่าส่วนที่ว่างนี่เกิดอะไรขึ้นก็ถูกเซี่ยจื่อจิงขัดจังหวะเข้าเสียก่อน จึงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย “อะไรนะ”
“เมื่อไรนายจะล่องเรือเพื่อช่วยฉันล่ะ” เซี่ยจื่อจิงยิ้มพลางพูดกับเขาตอนที่เดินเข้าไปในลิฟต์
ในใจของฉินเกอก็มีความคิดแบบนี้อยู่เหมือนกัน ด้วยตอนนี้เกาเทียนเยวี่ยยังไม่กลับมา และอย่างน้อยๆ เซี่ยจื่อจิงก็ต้องตัวติดอยู่กับเขาไปอีกสัปดาห์หนึ่ง ซึ่งการเอาเซนติเนลที่มีอาณาเขตทะเลผิดปกติไว้ข้างกายนั้นย่อมไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
โดยเฉพาะกับคนที่มีอาการเพ้อฝันในความรักกับเขา
พอคิดถึงเรื่องอาการเพ้อฝันในความรักเขาก็เหมือนจะได้ยินเสียงของอาจารย์สมัยเรียนมหาวิทยาลัยดังขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
‘การทดสอบความรู้เกี่ยวกับอาการเพ้อฝันในความรักนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากจินตนาการทั่วไป! ต้องจำไว้ว่าแก่นแท้ของอาการเพ้อฝันในความรักคือความปรารถนาที่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่งดงามของคนเรา จิตใต้สำนึกจึงเติมเต็มความเสียใจส่วนลึกในอดีต ดังนั้นอาการเพ้อฝันในความรักจึงเรียกอีกอย่างได้ว่า?…ใช่แล้ว อาการหลงตัวเอง แบบนาร์ซิสซัส* ต้นกำเนิดของมันคือการปกป้องตนเอง สงสารตนเอง และรักตนเอง ดังนั้นเราจึงไม่สามารถทำลายมันด้วยวิธีการที่รุนแรงได้ ไม่ว่าจะเป็นไกด์หรือนักปรับสมดุลทางจิต…ฉินเกอไม่ต้องอ่านนิยายแล้ว พูดถึงนายนั่นแหละ มองกระดาน…วิธีการเบื้องต้นสำหรับการแก้ปัญหาคือการหาต้นตอของปัญหาที่ทำให้เกิดอาการเพ้อฝันในความรักก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งต้นตอของปัญหาพวกนี้มักเกิดขึ้นตอนที่พวกเขายังเป็นเด็กหรือวัยรุ่น’
ปกป้องตนเอง รักษาตนเอง แล้วหลังจากนั้นก็ใช้ความรักจอมปลอมเติมเต็มช่องว่างของตนเอง เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วสาเหตุของการเกิดอาการเพ้อฝันในความรักนั้นมักทำให้คนเจ็บปวด มันเหมือนกับการสร้างภาพเสมือนบนเปลือกหอยที่เปราะบาง บ่อยครั้งมันจะทำให้อาณาเขตทะเลของไกด์และเซนติเนลพังทลายลงอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว
ฉินเกอหันไปมองเซี่ยจื่อจิง แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายสวมชุดที่เหมือนกับเมื่อวาน แม้แต่ผมก็ดูเหมือนจะมันกว่าเมื่อวานเล็กน้อย นั่นทำให้เขาเกิดความสงสัย
ความสงสารที่มีมากพอๆ กับความกรุ่นโกรธเมื่อวานตอนนี้กลับเพิ่มขึ้น ก่อนจะลดลงอย่างเงียบๆ
ตามขั้นตอนปกติแล้วควรจะสร้างเหตุการณ์บางอย่างในการทำการทดสอบเพื่อดูแนวทางอารมณ์และบุคลิกภาพของเซี่ยจื่อจิงให้ชัดเจนเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยคุยกับอีกฝ่ายอย่างละเอียด…ฉินเกอเริ่มครุ่นคิดถึงวิธีฟื้นฟูอาณาเขตทะเลของเซี่ยจื่อจิงให้กลับมาเป็นปกติ
“ท่าทางแบบนั้นดูกำกวมนะ” เซี่ยจื่อจิงพูดอย่างคลุมเครือ “ฉันชอบนะ”
ฉินเกอ “…”
เซี่ยจื่อจิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขายืนพิงลิฟต์พร้อมกับรอยยิ้มลึกลับ เหมือนกับว่าเขากำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่สนใจ
ฉินเกอรู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
เขานึกไปถึงตอนที่อาจารย์เคาะกระดานอย่างแรงเพื่อต้องการให้พวกเขาจดจำเนื้อหา
…คนที่มีอาการเพ้อฝันในความรัก ภายในอาณาเขตทะเลของพวกเขาล้วนมีแต่เรื่องลามกแบบที่นึกไม่ถึงโดยไม่มีข้อยกเว้น
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.