X
    Categories: everYทดลองอ่านทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส

ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 

ผู้เขียน :  เหลียงฉาน

แปลโดย : mykLiu

ผลงานเรื่อง : ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง

กล่าวถึงการข่มขืนและการใช้ความรุนแรง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 9 เลือดและไวน์ 09

เซี่ยจื่อจิงลุกขึ้นจากโซฟาอย่างระมัดระวัง

เขาไม่เคยเห็นร่างวิญญาณกระต่ายที่ตัวเล็กขนาดนี้มาก่อน มันดูเหมือนก้อนขนปุกปุยที่ถือไว้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว

ร่างวิญญาณนั้นประสาทสัมผัสเฉียบไว แค่เขาเลื่อนประตูตรงระเบียงออกมาได้เพียงนิดเดียว เจ้ากระต่ายก็หันหัวกลับมาจ้องเขาด้วยดวงตากลมดิก

เซี่ยจื่อจิงอดไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมา ขนของกระต่ายตัวนี้ทั้งหนาทั้งยาว ใบหน้าของมันเหมือนถูกปกคลุมมิดชิดเหลือไว้เพียงจมูกกับดวงตาที่โผล่ออกมาด้านนอก ดูราวกับปลอมตัวเป็นลิงหิมะตัวน้อยขนยาวสีขาว

“ชู่ว…” เซี่ยจื่อจิงกระดิกนิ้วให้มัน “ฉันเป็นคนดีนะ”

เมื่อมองผ่านกระจกที่คั่นกลางออกไปก็เห็นเจ้ากระต่ายเริ่มถอยห่าง อุ้งเท้าทั้งสี่ หาง และหูของมันสั่นเทา ขนหนาสีขาวของก็มันสั่นเทาเช่นกัน

เซี่ยจื่อจิงสงสัยว่าบนใบหน้าของตัวเองเขียนคำว่า ‘นักฆ่ากระต่าย’ เอาไว้หรือเปล่า

เขาไม่คิดว่านอกจากเจ้ากระต่ายนี่จะตัวเล็กแล้วยังขี้อายจนน่าแปลกใจอีกด้วย

หลังจากถอยไปจนสุดระเบียงเจ้ากระต่ายก็พบว่ามันไม่สามารถถอยหลังได้อีกแล้ว ฉับพลันดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็มีน้ำตาไหลออกมา

เซี่ยจื่อจิง “…?”

ทันใดนั้นขนยาวและหูของเจ้ากระต่ายก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง หมอกสีขาวกลุ่มเล็กๆ ลอยขึ้นมาจากตัวมัน ดูเหมือนว่ามันกำลังจะกลับไปหาฉินเกอ เซี่ยจื่อจิงจึงรีบคว้าอูคูเลเล่ที่อยู่ข้างโซฟาขึ้นมาดีดสองที

“ฉันเป็นคนดีนะ เจ้าตัวน้อย” เขาดีดเป็นทำนองเบาๆ และใช้เสียงที่เบามากพูดกับมัน “ถ้าเธอไม่กลัว ฉันจะร้องเพลงให้ฟังนะ”

เมื่อได้ยินเสียงเครื่องดนตรีที่คุ้นเคยเจ้ากระต่ายก็สูดจมูก ดวงตามองไปที่เครื่องดนตรีเล็กๆ นั้น

มือซ้ายของเซี่ยจื่อจิงจับที่หัวของเครื่องดนตรี กดสายไว้แน่น ส่วนมือขวาก็เริ่มดีดจนเกิดเสียงเบาๆ

เขานึกไม่ออกว่าจะร้องเพลงอะไรเลยเริ่มฮัมเพลงมั่วๆ ออกมา “เจ้ากระต่ายน้อยเด็กดี”

เจ้ากระต่ายน้อยหยุดตัวสั่นแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังกลัวอยู่เล็กน้อย มันค่อยๆ เอาอุ้งเท้าที่มีขนหนามาปิดหน้าไว้โดยโผล่ออกมาเพียงดวงตากลมสองข้าง ก่อนจะจ้องไปยังมือที่กำลังดีดอูคูเลเล่ของเซี่ยจื่อจิง

เซี่ยจื่อจิงรู้สึกหนาวเล็กน้อยจากลมเย็นที่พัดเข้ามาผ่านทางประตู เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ค่อนข้างบาง อีกทั้งลมในตอนกลางคืนก็ค่อนข้างเย็น เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องมานั่งยองๆ อยู่ที่ประตูระเบียงเพื่อเล่นอูคูเลเล่อย่างระมัดระวังให้กระต่ายขนยาวฟัง

เขาอยากเข้าไปใกล้มันมากกว่านี้ เขาอยากเข้าไปลูบมัน เขาชอบสิ่งที่ดูอบอุ่นและสามารถส่งความอบอุ่นไปที่หน้าอกของเขาได้ ขนหนาๆ พวกนั้นเหมือนกับทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มของเดือนสุดท้ายในฤดูใบไม้ผลิ

สายตาขี้อายของเจ้าตัวน้อยนั่น เขาดูออกว่ามันยังกลัวเขาอยู่ หากแต่ก็อยากรู้อยากเห็นด้วยเช่นกัน

ร่างวิญญาณสะท้อนถึงภาวะส่วนลึกของเซนติเนลและไกด์ ในแง่หนึ่งเซี่ยจื่อจิงก็นึกขำ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้ว่าอาณาเขตทะเลของฉินเกอนั้นเชื่อมโยงกับเจ้านี่แบบใด

เขากลัวฉัน? สนใจฉัน?…เขาขี้อายขนาดนั้นเลยเหรอ

เขาไม่อยากปลุกฉินเกอให้ตื่นขึ้นมา จึงพึมพำเล็กน้อยหลังจากหยุดดีดอูคูเลเล่ เจ้ากระต่ายดูเหมือนจะไม่พอใจ มันขยับหูไปมา หัวเล็กๆ นั่นเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยจื่อจิง

เซี่ยจื่อจิงยื่นมือออกไปกวักเรียกมันจากตรงประตู

ตอนที่เขายื่นมือออกไปเจ้ากระต่ายก็ตกใจอีกครั้ง แต่มันไม่ได้หายไป กลับรีบยื่นอุ้งเท้าออกมาจับหูแล้วดึงลงมาปิดตาตรงๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่งมันก็ใช้ช่องว่างระหว่างหูแอบมองมาที่เซี่ยจื่อจิง

เซี่ยจื่อจิง “…”

ตอนที่เขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นเซนติเนลคนแรกของเมืองที่ถูกแช่แข็งตายอยู่ตรงระเบียงเพราะมัวแต่เล่นกับร่างวิญญาณในเวลาตีสอง ในที่สุดเจ้ากระต่ายก็ปล่อยหูออกแล้วเคลื่อนตัวมาข้างหน้าหนึ่งเซนติเมตร

 

การมีเซี่ยจื่อจิงซึ่งนับเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจากภายนอกมาอยู่ในห้องนั้น เดิมทีฉินเกอคิดว่ามันจะต้องเป็นคืนที่เขารู้สึกกังวลจนนอนไม่หลับ

แต่ไม่ใช่เลย

ไม่เลยสักนิด เขานอนหลับสนิท แถมยังฝันดีมากด้วย

ในฝันมีคนมาลูบที่ศีรษะของเขาพลางพูดเสียงเบา มือของอีกฝ่ายอุณหภูมิกำลังดี แรงกำลังได้ที่ ทุกสัมผัสนั้นทั้งอ่อนโยนและนุ่มนวล อีกฝ่ายทำให้ฉินเกอรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังยืนอยู่บนเขาสูงที่มีลมแรงพัดผ่านจนตัวโยกไปมา ทว่าไม่ได้ทำให้รำคาญแต่อย่างใด

ฉินเกอยืนอยู่ตรงกลางอาณาเขตทะเลของตัวเอง ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของภูเขา เขาตื่นขึ้นมาตรงบริเวณรากของต้นไม้ต้นหนึ่ง เสียงลมคล้ายกับเสียงคน เสียงแผ่วเบาของเครื่องดนตรีปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ในความฝัน ดวงดาวหลายล้านดวงประดับประดาอยู่เต็มท้องฟ้าสีคราม แสงสีเงินโคจรไปรอบท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ลมพัดผ่านใบไม้ ยอดไม้ เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ ผิวหนัง เส้นผม และปลายนิ้วของเขา ก่อนจะพัดผ่านไปจนถึงขอบฟ้า

กระต่ายของเขาขี้อายมาก มันมีเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณที่ภักดี ซึ่งตอนนี้มันกำลังนอนซบอยู่ที่หน้าอกของเขา ร้อนรุ่มเหมือนกับหัวใจที่รุ่มร้อน

ฉินเกอมองเห็นดวงดาวที่ตกลงมาจากจุดสูงสุดจนดูเหมือนกับฝน

เหล่าดวงดาวที่เปล่งประกายอยู่บนท้องฟ้าตกลงมาบนจุดสูงสุดของยอดเขาอย่างแม่นยำ

ภูเขาทุกลูกมีประกายของเปลวเพลิง ดวงไฟจำนวนนับไม่ถ้วนส่องประกายอยู่ในอาณาเขตทะเล ลมพัดพาเสียงเปียโนจากจุดที่เกิดเปลวไฟลอยเข้ามา

เมื่อลืมตาขึ้นฉินเกอก็พบว่ามันเป็นเพียงความฝันหนึ่ง แต่อารมณ์ของเขาดีมาก สภาพจิตใจเองก็ดีมากเช่นกัน ดีเสียจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน หลังจากลุกขึ้นนั่งเขาก็กางฝ่ามือออกเพื่อปล่อยร่างวิญญาณออกมา

“…เมื่อคืนหนูไปทำอะไรมา ทำไมดูดีใจแบบนี้”

เจ้ากระต่ายขนยาวดึงหูตัวเองลงมา ดูเหมือนกำลังจะหลบตา

ฉินเกองุนงงมากขึ้น “หนูเขินอะไร”

เจ้ากระต่ายโผล่ตาออกมาข้างหนึ่งแล้วกะพริบใส่เขา

ใบหน้าของฉินเกอค่อยๆ ซีดเผือด เขากระโดดลงจากเตียง ไม่แม้แต่จะสวมรองเท้า แล้วเดินตรงออกไปเปิดประตู

เซี่ยจื่อจิงอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เขาสอดตัวอยู่ในผ้าห่มพลางเล่นเกมในโน้ตบุ๊ก ทั้งยังจามออกมาไม่หยุด

“เซี่ยจื่อจิง! คุณจับกระต่ายของผมเหรอ”

ใบหน้าของเซี่ยจื่อจิงมีแต่รอยยิ้ม “จับแล้ว มันอุ่นมากเลย เหมือนกับถือถุงน้ำร้อนเอาไว้มือ เมื่อวานพวกเรายังดูหนังด้วยกัน มันสนใจมากเลย ถึงจะขี้อายมากก็เถอะ ที่สำคัญมันชอบดูหนังซอมบี้”

ฉินเกอถอยหลังไปหนึ่งก้าว เอาตัวไปพิงกับประตูบานเลื่อน

เซี่ยจื่อจิงเพิ่งจะรู้สึกว่าท่าทางของเขาแปลกไป “กระต่ายของนายห้ามจับเหรอ”

“…จับไม่ได้” ฉินเกอกุมหน้าผากพลางถอนหายใจ “คุณจับมันแล้ว มันจะติดคุณ”

เซี่ยจื่อจิงมองมาทางเขาเพียงไม่กี่วินาทีก็นึกขึ้นมาได้

“โอ้! Lucky!” เขาลูบคางพลางเผยรอยยิ้มที่มองดูแล้วคิดดีไม่ได้เลยออกมา “นายเป็นภูมิแพ้ประเภทที่ว่าพอสัมผัสกับร่างวิญญาณก็จะเกิดการตอบสนองต่ออารมณ์ทางเพศเหรอ”

ฉินเกอ “…ไม่ใช่ ในหัวของคุณใส่อะไรไว้เนี่ย ล้างมันให้สะอาดได้ไหม”

เขากางมือออก หมอกสีขาวลอยขึ้นมาจากฝ่ามือ ก่อนจะควบแน่นจนกลายเป็นกระต่ายขนยาวก้อนกลม หลังจากที่เจ้ากระต่ายออกมาเรียบร้อยแล้วมันก็รีบกระโดดลงจากมือของฉินเกอ ก่อนจะยกขาสั้นๆ ทั้งสี่วิ่งไปทางเซี่ยจื่อจิง…หรือจะพูดว่ากลิ้งไปก็คงไม่ผิด

เซี่ยจื่อจิงอุ้มมันขึ้นมากอด รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ขณะนั้นฉินเกอเดินไปทางห้องน้ำแล้วหันกลับมาตะโกนว่า “เจ้ากระต่าย มานี่”

อุ้งเท้าอ่อนนุ่มของกระต่ายขนยาวเหยียบอยู่บนนิ้วมือของเซี่ยจื่อจิง มันไม่ขยับตัวเลยสักนิด ดวงตาทั้งสองข้างจ้องไปที่ซอมบี้กลุ่มหนึ่งกับคำว่า ‘Game Over’ บนหน้าจอโน้ตบุ๊ก

เซี่ยจื่อจิง “…”

หลังฉินเกอล้างหน้าเสร็จก็เดินออกมา ก่อนจะเห็นว่าเจ้ากระต่ายเปลี่ยนตำแหน่งแล้วแต่ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยจื่อจิง

“ก็คือ…หมายถึงแบบนี้” ฉินเกอบอก “มันขี้อายมาก แต่ถ้าใครได้ลูบมันแล้วมันไม่กลัว นั่นแสดงว่ามันชอบคนคนนั้น”

เซี่ยจื่อจิง “งั้นก็แสดงว่านายชอบคนคนนั้น”

ฉินเกอ “กระต่ายคือกระต่าย ผมคือผม”

เซี่ยจื่อจิง “กระต่ายคือนาย นายคิดว่าฉันไม่เคยเรียน ‘ความรู้พื้นฐานของไกด์’ หรือไง”

ฉินเกอหัวเราะออกมา “สหายเซี่ย ที่คุณเรียนน่าจะเป็น ‘ความรู้พื้นฐานของเซนติเนล’ นะ”

เซี่ยจื่อจิง “เนื้อหาไม่ต่างกันมาก เนื้อหาเรื่องปฏิกิริยาตอบกลับของร่างวิญญาณเหมือนกันทุกอย่าง”

ตอนที่เขากำลังพูดจู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่มือขึ้นมา และเมื่อก้มลงไปดูก็พบว่าเจ้ากระต่ายตัวนั้นกำลังกัดนิ้วของเขา

ฟันเล็กๆ นั่นกัดอย่างจริงจังราวกับกำลังแทะหัวไช้เท้า

ฉินเกอหยิบขนมปังนมออกมาวางไว้ตรงหน้าเซี่ยจื่อจิง และในที่สุดก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“คุณบอกว่ามันชอบดูซอมบี้ใช่ไหม งั้นเปิดซอมบี้ให้มันดูแล้วก็ลูบหูกับหลังของมัน” เขาบอก “ทำแบบนี้แล้วมันจะไม่กัดคุณ”

เซี่ยจื่อจิง “…กระต่ายของนายไม่เหมือนใครจริงๆ”

ฉินเกอ “ห้ามหยุด ลูบต่อไป ถ้าหยุดมันจะกัดคุณ”

เซี่ยจื่อจิงลูบไปพลางถามไปพลาง “ว่ากันว่าสัตว์ก็เหมือนกับเจ้าของ แล้วนายล่ะจะกัดฉันไหม”

ฉินเกอตกตะลึงไปสักพัก ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดจาลามกเพื่อแหย่ตนเองหรือไม่ จึงทำได้เพียงเตือนแบบรวมๆ เท่านั้น

“…เซี่ยจื่อจิง คุณเข้าใจไหมว่าอะไรที่เรียกว่าใช้ชีวิตใต้ชายคาของคนอื่นน่ะ”

เซี่ยจื่อจิงปิดปาก

แต่เซี่ยจื่อจิงแหย่ฉินเกอจนติดเป็นนิสัยแล้ว ฉินเกอที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วยืนอยู่หน้าตู้เย็น ขณะที่กำลังหยิบอาการเหลือออกมาก็ชวนเขาคุยอีก

“ฉินเกอ นายแปลกมาก”

ฉินเกอ “…”

เขาคิดในใจ ขอโทษนะ ผมเป็นแค่ลูกน้องของคนแปลกๆ ส่วนคุณเป็นคนแปลกๆ มาตั้งแต่ต้น ไม่มีใครเทียบกับคุณได้หรอก

“นายนอนไม่ปิดไฟ” เซี่ยจื่อจิงพูด “นายกลัวความมืดใช่ไหม ฉันนอนเป็นเพื่อนนายได้นะ”

ฉินเกอเอาอาหารเหลือที่เจี่ยงเล่อหยางให้มาไปอุ่นร้อน ก่อนจะซาวข้าวเพื่อเตรียมหุง

เมื่อไม่ได้รับการตอบกลับจากฉินเกอ เซี่ยจื่อจิงก็ตัดสินใจเปลี่ยนวิธี “ฉินเกอ นายเป็นคนประเภทที่ชอบเก็บสุนัขจรจัดกลับบ้านใช่ไหม”

ฉินเกอ “ไม่ ผมเห็นสุนัขจรจัดก็เดินอ้อมแล้ว”

เซี่ยจื่อจิง “แต่นายถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงเวยป๋อ* หรือเว็บบอร์ดเพื่อช่วยพวกมันหาเจ้าของได้”

ฉินเกอ “…”

ฉินเกอตัดสินใจที่จะไม่สนใจอีกฝ่ายอีกต่อไป แต่สิบวินาทีให้หลังเซี่ยจื่อจิงก็มาตะโกนเสียงดังจากด้านหลังเขา

“อาหารที่นายเอามาเมื่อวานอร่อยมาก ฉันก็อยากเอาไปกินที่ทำงานเหมือนกัน”

ฉินเกอ “คุณไปกินที่โรงอาหารสิ”

“ตั้งแต่ขึ้นมหา’ลัยฉันก็กินอาหารที่โรงอาหารมาตลอด กินมาหลายปีแล้ว นับๆ ดูก็…” เขาพูดต่อแล้วเริ่มยกมือข้างที่ไม่ได้ลูบเจ้ากระต่ายขึ้นมานับ

ฉินเกอ “ไม่ต้องนับแล้ว เดี๋ยวห่อให้!”

หลังจากฉินเกอหุงข้าวเสร็จ เขาก็เอากับข้าวใส่ลงในกล่องข้าวสองกล่องแล้วหันไปมองเซี่ยจื่อจิงที่นอนอยู่บนโซฟา ดูเหมือนว่าตาของเซี่ยจื่อจิงกำลังจะปิด โน้ตบุ๊กที่ถูกเปิดไว้วางอยู่บนโต๊ะ เจ้ากระต่ายที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายกำลังจดจ่ออยู่กับหนังเรต R ที่ซอมบี้และคนกำลังระเบิดศีรษะกัน เซี่ยจื่อจิงใส่หูฟังหลับตานอน แต่มือข้างหนึ่งยังคงวางอยู่ที่หลังของเจ้ากระต่ายและลูบมันเป็นครั้งคราว

เมื่อสัมผัสได้ว่าฉินเกอกำลังเดินเข้ามาใกล้ เซี่ยจื่อจิงก็ลืมตาขึ้นแล้วชี้ไปที่เจ้ากระต่าย “ต้องลูบอีกนานแค่ไหน”

“ลูบไปจนกว่ามันจะไม่อยากให้คุณลูบ”

เซี่ยจื่อจิง “…งั้นนายเอามันกลับไปได้ไหม”

ฉินเกอ “นานแล้วที่ไม่เจอคนที่สามารถเข้ากับมันและเล่นกับมันได้ ผมทนไม่ได้หรอก”

ฉินเกอตั้งใจที่จะไม่เรียกเจ้ากระต่ายกลับเข้าไป แต่ตอนที่กำลังจะก้าวออกไปจากประตูในที่สุดเซี่ยจื่อจิงก็อ้อนวอนขอความเมตตาจากเขา แถมยังเอานิ้วของตนเองที่ถูกกัดให้ฉินเกอดู ฉินเกอจึงรู้ว่าเขาหาทางควบคุมบังคับเซี่ยจื่อจิงได้แล้ว

“งั้นคุณก็ต้องเชื่อฟังผม” ฉินเกอคว้าเจ้ากระต่ายที่กำลังกัดนิ้วก้อยของเซี่ยจื่อจิงขึ้นมา จากนั้นก็จับมันทำท่าทางชี้ไปที่เซี่ยจื่อจิง “ไม่งั้นผมจะปล่อยมันมากัดคุณ”

เซี่ยจื่อจิง “งั้นฉันจะปล่อยสิงโตออกมาเลียนาย”

กระต่ายหายไปแล้ว ฉินเกอหันหลังกลับด้วยความโมโห “คุณยังอยากไปนอนที่ป้อมยามอยู่ไหม”

 

วันนี้เซี่ยจื่อจิงยังคงไปลองกินเจียนปิ่งกั่วจือร้านอื่นๆ ที่อยู่แถวสำนักงานวิกฤตการณ์ ระหว่างนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้เขาสั่งเจียนปิ่งกั่วจือที่ราคาแพงเป็นพิเศษโดยเพิ่มน่องไก่หนึ่งชิ้นและแฮมสองแผ่น ซึ่งมีราคาสูงถึงยี่สิบหยวน แต่ครั้งแรกที่เอาเข้าปากเซี่ยจื่อจิงก็อยากโยนมันทิ้งแล้ว

เขากินมันอย่างฝืนทนเพราะเจ็บใจกับเงินยี่สิบหยวนที่เสียไป

ส่วนฉินเกอที่มาถึงแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชก่อนเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับเหยียนหง

เหยียนหงบอกฉินเกอว่าวันนี้ลูกชายของไช่หมิงเยวี่ยมาที่โรงพยาบาลฯ ที่ 267 อีกทั้งยังระบุว่าต้องการพบฉินเกอด้วย

“ฟังจากความหมายของเขาแล้ว ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าพวกนายเตรียมที่จะสอบสวนไช่หมิงเยวี่ย” เหยียนหงบอก “สีหน้าของเขาดูย่ำแย่มาก”

ไป๋เสี่ยวหยวนยังมาไม่ถึง ฉินเกอเลยรีบร้อนไปทำเรื่องยืมรถด้วยตนเอง แต่เขากลับได้รับแจ้งว่าการยืมรถจะต้องส่งคำร้องล่วงหน้าอย่างน้อยยี่สิบสี่ชั่วโมง

“ครั้งก่อนที่ไป๋เสี่ยวหยวนมายืมก็สามารถยืมได้เลยในวันนั้นนะ” ฉินเกอพยายามอธิบาย

“หัวหน้าฉิน เรื่องพวกนี้วันหลังคุณก็ให้ไป๋เสี่ยวหยวนเป็นคนมาทำก็พอแล้ว ลงทุนน้อยแต่ได้มาก” เสี่ยวหลิวของแผนกธุรการกล่าวกับเขายิ้มๆ “เธอคุ้นเคยกับขั้นตอนแบบนี้ อีกอย่างพวกเราแผนกธุรการทุกคนยังเป็นหนี้บุญคุณกับเธอ ยังต้องใช้เวลาตอบแทนเธออีกนาน”

ฉินเกอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่หลังจากไป๋เสี่ยวหยวนมาถึงเธอก็ยื่นคำร้องขอยืมรถมาได้สำเร็จ ฉินเกอรู้สึกว่านี่มหัศจรรย์มาก แล้วในเวลาเดียวกันเขายังรู้สึกอีกด้วยว่าตัวเขาเองไม่รู้จักวิธีการทำสิ่งต่างๆ ของที่นี่เลย

“ฉันมีประโยชน์ใช่ไหมล่ะ” ไป๋เสี่ยวหยวนนั่งประจำอยู่บนที่นั่งคนขับเช่นเคย เธอกำลังยิ้มอย่างมีความสุข

พวกเขาขับรถตรงไปที่โรงพยาบาลฯ ที่ 267 ขณะที่หนังตาของฉินเกอกระตุกไม่หยุด

เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องร้ายหรือดี

 

การตอบสนองต่ออารมณ์ทางเพศ จะเกิดขึ้นเมื่อเซนติเนลหรือไกด์ถูกฝั่งตรงข้ามหรือร่างวิญญาณของอีกฝ่ายดึงดูด โดยร่างกายจะเกิดการตอบสนองโดยอัตโนมัติ ซึ่งการตอบสนองนี้ไม่สามารถควบคุมและคาดเดาช่วงเวลาที่จะเกิดได้ จึงจำเป็นที่จะต้องกินยาระงับเพื่อควบคุมเอาไว้ ทั้งนี้การตอบสนองทางเพศแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเริ่มต้น ระดับกลาง และระดับสูง เมื่อเกิดการตอบสนองในระดับที่สูงขึ้น การตอบสนองระดับสูงก็จะเข้ามาแทนที่การตอบสนองในระดับที่ต่ำกว่า และการตอบสนองแต่ละระดับจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการตอบสนองทางร่างกายโดยอัตโนมัติไม่ถือว่าเป็นความรัก ดังนั้นแล้วระหว่างการศึกษาและการนำไปใช้จำเป็นที่จะต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน

 

* เวยป๋อ เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างหนึ่งของจีน คล้ายกับเฟซบุ๊ก

บทที่ 10 เลือดและไวน์ 10

ตอนที่กลุ่มคนมาถึงโรงพยาบาลฯ ที่ 267 ไช่อี้ก็รอพวกเขามาพักหนึ่งแล้ว

เขาอายุประมาณสามสิบกว่าๆ ตัวสูง หน้าตาดี เป็นหน้าเป็นตาของคณะกรรมการจัดการพิเศษ และเนื่องจากมีเรื่องที่ต้องดูแลอยู่ในมือไม่น้อยคนส่วนใหญ่จึงไว้หน้าเขาอยู่หลายส่วน นานวันเข้าความเย่อหยิ่งที่ไม่มีที่มาที่ไปก็พอกพูน เวลาที่คนอื่นพูดสายตาของเขาจะหยุดที่ศีรษะของอีกฝ่ายโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าคู่สนทนา

แต่เขาตั้งใจมองฉินเกอตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ผมจำได้ว่าแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เอกสารที่เตรียมมายังขาดไปบางส่วน และสำนักงานวิกฤตการณ์ก็ยังไม่ส่งเพิ่มเติมมา เช่น ข้อตกลงการรักษาความลับที่คุณต้องเซ็นชื่อ” ไช่อี้พูดเสียงเรียบ

ฉินเกอรีบตอบกลับ “จะได้ภายในสัปดาห์นี้แน่นอน”

ไช่อี้ยิ้มบาง “หากพวกคุณยังเตรียมตัวอยู่ก็คงไม่ทันแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมาทำกันตอนนี้ล่ะ คณะกรรมการจัดการพิเศษไม่เคยรับเรื่องคำร้องขอสอบสวน เกาเทียนเยวี่ยสอนพวกคุณมาแบบนี้หรือไง”

ฉินเกอ “ตอนนี้ผมอยู่ในฐานะนักปรับสมดุลทางจิต”

ไช่อี้ “หืม?”

“ผมเป็นนักปรับสมดุลทางจิตของสำนักงานวิกฤตการณ์ ฉินเกอ ตอนนี้อาณาเขตทะเลของคุณหมอท่านหนึ่งในโรงพยาบาลฯ ที่ 267 ผิดปกติ นี่ไม่ใช่การสอบสวนอย่างที่คุณเข้าใจ เพียงแค่นักปรับสมดุลทางจิตมาเยี่ยมเยียนสัมภาษณ์คนเท่านั้น” ฉินเกอมองตรงไปที่ไช่อี้ “เวลาที่นักปรับสมดุลทางจิตทำงานไม่จำเป็นต้องผ่านคณะกรรมการจัดการพิเศษ”

นี่คือข้ออ้างที่ฉินเกอคิดตอนอยู่บนรถ ไช่อี้ตามหาพวกเขา แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไช่หมิงเยวี่ย แผนกปรับสมดุลทางจิตเวชยังไม่ได้จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อไม่ให้การสอบสวนถูกขัดขวางตั้งแต่เริ่มต้นฉินเกอจึงตัดสินใจใช้ตำแหน่งของตนเองแก้ปัญหาการปฏิบัติงานทุกอย่างในตอนนี้

“ในเมื่อผู้ป่วยของคุณตอนนี้มีแค่เผิงหู ถ้างั้นทำไมถึงต้องมาสอบสวนแม่ของผม”

ฉินเกอปฏิเสธ “ผมไม่ได้มาสอบสวนคุณแม่ของคุณ เพียงแต่คุณแม่ของคุณเป็นรุ่นพี่ของเผิงหู มีอิทธิพลกับเผิงหูมาก ผมต้องช่วยเผิงหูแก้ไขปัญหา เลยจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวของเผิงหู ผมแค่อยากได้ข้อมูลอย่างละเอียดของเผิงหูจากคุณแม่ของคุณ”

ฉินเกอพูดไปอย่างนั้น ขณะที่มุมเล็กๆ ภายในใจของเขาก็คิดว่าตัวเองถูกเซี่ยจื่อจิงพาเสียคนแล้ว เขากำลังโกหกโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด

ไช่อี้ยิ้มก่อนจะหัวเราะให้กับคำพูดของเขา

“เอาล่ะ พวกเราไม่ต้องพูดอะไรที่มันน่าเบื่อกันแล้ว ทำไมผมถึงอยากเจอคุณ ทำไมคุณถึงมาที่นี่ ในใจของทุกคนรู้กันดี” ไช่อี้หันไปมองห้องพักผู้ป่วยที่อยู่ด้านข้าง “ความต้องการของผมมีเพียงอย่างเดียว คือให้แม่ของผมทรมานน้อยที่สุด”

ไช่อี้ยืนคุยกับพวกเขาอยู่ที่ด้านนอกประตูของห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ซึ่งไช่หมิงเยวี่ยพักรักษาตัวอยู่ในห้องนั้น

“คุณรู้ไหมครับว่าก่อนหน้านี้คุณหมอไช่ไปเจอกับอะไรมา” ฉินเกอถาม

“ผมไม่ทราบ” ไช่อี้มองมาทางเขา “ผมหวังว่าหลังจากนี้คุณจะสามารถบอกผมได้”

ฉินเกอตอบปฏิเสธเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด “ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้ นักปรับสมดุลทางจิตมีกฎการรักษาความลับ ถึงแม้คุณจะเป็นลูกชายของไช่หมิงเยวี่ย ผมก็ไม่สามารถบอกเล่าเรื่องราวภายในอาณาเขตทะเลของเธอให้ฟังได้”

ไช่อี้ “แต่หลังจากคุณทำรายงานสรุปออกมาผมก็สามารถดูได้”

ฉินเกอ “รายงานของแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชเป็นความลับสูงสุด ท่านรองไช่ คุณไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบในสำนักงานวิกฤตการณ์และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับงานทางด้านจิตเวช ดังนั้นคุณจึงไม่มีสิทธิ์”

ไช่อี้ไม่ได้แสดงออกถึงความผิดหวัง เขาพยักหน้าให้ฉินเกออย่างยกย่อง “ดี อย่างไรก็ตามหลายปีมานี้คุณแม่ของผมท่านผ่านความเจ็บปวดมามาก ท่านมักละเมอเดินไปที่ห้องครัวหรือระเบียง หยิบมีดหรือบางอย่างขึ้นมาแล้วทำท่าทางผ่าตัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนหน้านี้พวกเราคิดว่าเป็นเพราะท่านเพิ่งเกษียณ ทำให้ไม่คุ้นชิน ยังคิดถึงงานที่เคยทำอยู่ แต่หลังจากนั้นก็พบว่ามันไม่ปกติมากขึ้นเรื่อยๆ การพูดการจาก็เพ้อเจ้อ ท่านต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”

ภายในใจของฉินเกอเริ่มตื่นเต้น แต่เขายังสามารถควบคุมใบหน้าให้อยู่ในอาการสงบนิ่งได้อยู่ “คุณอนุญาตให้พวกเราสอบสวนอาณาเขตทะเลของคุณหมอไช่?”

ไช่อี้ “แน่นอน”

สามคนที่อยู่ด้านหลังฉินเกอต่างมองหน้ากันไปมา ถังชั่วที่เก็บความกังวลไว้ไม่อยู่เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า และแล้วสิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุดก็ผ่านพ้นไป

ไช่อี้มองไปทางฉินเกอยิ้มๆ ก่อนจะพูดขึ้นมา “ฉินเกอ ในฐานะที่ผมเป็นลูกชายของไช่หมิงเยวี่ย ผมขอเป็นตัวแทนของแม่มอบความไว้วางใจให้คุณ อาณาเขตทะเลของท่านไม่ปกติมานานมาก ทำให้ท่านใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ขอให้คุณล่องเข้าไปในอาณาเขตทะเลของแม่ผมแล้วช่วยท่านแก้ปัญหานี้”

รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของฉินเกอค่อยๆ เลือนหายไป “อะไรนะครับ”

“ผู้ป่วย คุณแม่ของผม ผู้ป่วยของคุณ นักปรับสมดุลทางจิตฉินเกอ” ไช่อี้เสียงแข็ง “นี่คือความไว้วางใจแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ฉินเกอ ผมขอให้คุณเคารพหลักการรักษาความลับ อย่าได้เอาข้อมูลต่างๆ ของผู้ป่วยของคุณไปบอกคนอื่น”

ฉินเกอตกใจจนพูดไม่ออก

เขาตกลงไปในกับดักของไช่อี้เข้าแล้ว

ตั้งแต่ที่เขาบอกว่าตนเองมาในฐานะนักปรับสมดุลทางจิต เขาก็จำเป็นต้องเคารพหลักการรักษาความลับของนักปรับสมดุลทางจิต

เมื่อไช่หมิงเยวี่ยกลายเป็นผู้ป่วยของเขาก็เท่ากับว่าระหว่างพวกเขาได้ทำข้อตกลงที่มองไม่เห็นขึ้นมาแล้ว โดยหลักการรักษาความลับนี้มีผลบังคับใช้ทันที ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรในอาณาเขตทะเลของไช่หมิงเยวี่ย เขาต้องเก็บมันไว้ภายในใจของตัวเองทั้งหมด

ฉินเกอนึกขึ้นได้ทันทีว่านอกจากจะมีข้อตกลงการรักษาความลับแล้ว ยังมีข้อตกลงการยกเว้นการรักษาความลับด้วย

ข้อตกลงการยกเว้นการรักษาความลับคือการที่เซนติเนลหรือไกด์ได้ทำการฆาตกรรม วางแผนฆาตกรรม ฆ่าตัวตาย หรือก่ออาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ แต่ความลับของไช่หมิงเยวี่ยดำเนินมาจนถึงวันนี้เป็นเวลานานถึงสามสิบปีแล้ว ต่อให้เธอจะฆ่าคนตาย แต่ก็หมดอายุความในการดำเนินคดีแล้ว อีกทั้งนักปรับสมดุลทางจิตยังไม่สามารถเปิดเผยความลับในอดีตของเธอให้กับใครหรือองค์กรใดๆ รับรู้ได้

ไช่อี้ต้องการใช้ประโยชน์จาก ‘หลักการรักษาความลับ’ ของนักปรับสมดุลทางจิตเพื่อเก็บงำความลับของไช่หมิงเยวี่ยเอาไว้ตลอดไป ซึ่งการเก็บความลับไว้กับฉินเกอก็เป็นการรับรองว่าเขาจะไม่แพร่งพรายความลับออกไป

“ถ้าคุณจะไม่ตกลงก็ได้นะครับ” ไช่อี้กระซิบ “พรุ่งนี้แม่ของผมต้องทำการผ่าตัดแล้ว แล้วหลังจากนี้ก็ต้องไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ คุณจะหมดโอกาสในการดำน้ำลึกในอาณาเขตทะเลของแม่ผมตลอดไป และคุณจะไม่มีทางรู้ความจริงตลอดกาล”

มีความคิดหมื่นล้านอย่างไหลเวียนอยู่ภายในใจของฉินเกอ

เขาสามารถปฏิเสธได้ สามารถรออีกสองสามวันเพื่อรอให้เกาเทียนเยวี่ยกลับมา รอแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ พวกเขาอาจจะทำงานได้ราบรื่นกว่านี้…แต่ทั้งหมดนี้ก็แค่ ‘อาจจะ’

หากการผ่าตัดของไช่หมิงเยวี่ยเกิดปัญหาขึ้นล่ะ

หากเกาเทียนเยวี่ยเป็นคนของคณะกรรมการจัดการพิเศษ เขาอาจช่วยไช่อี้เก็บเรื่องราวความลับอันน่ากลัวนี้ไว้ก็เป็นได้

ตัวแปรมากเกินไป ฉินเกอจึงไม่อาจทิ้งขว้างโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่อาจจะสามารถเข้าไปในอาณาเขตทะเลของไช่หมิงเยวี่ยได้

“ผมรับเธอเป็นผู้ป่วยของผม” เขาพูดอย่างหนักแน่น

ไป๋เสี่ยวหยวนที่อยู่ด้านหลังเขากระซิบเสียงเบา “ฉินเกอ…”

“สามารถเริ่มตอนนี้ได้เลยครับ” ฉินเกอมองไช่อี้

ไช่อี้ยินดีเป็นอย่างมากกับการตัดสินใจของเขา จากนั้นฉินเกอก็เปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้าไปอย่างมีมารยาท

“ล่องเรือหนึ่งต่อหนึ่ง แค่คุณกับแม่ของผม”

“กรุณารอก่อนครับ” ฉินเกอพูดอย่างสงบ “สถานการณ์ของคุณแม่คุณค่อนข้างพิเศษ ผมจำเป็นต้องเข้าไปยังทะเลชั้นที่ลึกที่สุด และการล่องเข้าไปในชั้นที่ลึกก็มีแต่อันตราย ผมต้องการเซนติเนลหนึ่งคนที่เข้ากับผมได้เพื่อเรียกผมกลับมาในช่วงเวลาที่อันตรายนั้น”

ไช่อี้ขมวดคิ้ว

“นี่เป็นข้อบังคับที่อยู่ในกฎของนักปรับสมดุลทางจิต ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองตรวจสอบดูก่อนได้”

ไช่อี้ส่งสายตาให้เลขาฯ ตรวจสอบ ครู่หนึ่งก็ได้คำตอบที่แน่ชัด

“คู่หูดำน้ำคือคนที่คอยช่วยเหลือนักปรับสมดุลทางจิตเวลาทำงาน ส่วนใหญ่แล้วคู่หูดำน้ำจะเป็นเซนติเนล พวกเขามีหน้าที่ปกป้องและรับผิดชอบความปลอดภัยของไกด์ในระหว่างล่องเรือ หรือเรียกนักปรับสมดุลทางจิตให้ตื่นขึ้นในเวลาที่เหมาะสม โดยจะตัดการเชื่อมต่อระหว่างนักปรับสมดุลทางจิตกับอาณาเขตทะเลของผู้ป่วยให้ขาดออกจากกัน” เลขาฯ อ่านข้อมูลในมือถือแล้วพูดขึ้น

ไช่อี้กล่าว “เซนติเนลไม่สามารถเข้าไปในอาณาเขตทะเลกับคุณได้ แล้วเขาจะตัดการเชื่อมต่อของคุณกับผู้ป่วยได้ยังไง”

ฉินเกอ “ขออภัยด้วย นี่เป็นความลับในการทำงานของนักปรับสมดุลทางจิต คุณไม่ใช่คู่หูดำน้ำของผม ผมไม่สามารถบอกได้”

เลขาฯ ที่อยู่ด้านข้างแจ้งขึ้น “คู่หูดำน้ำและนักปรับสมดุลทางจิตจำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักการรักษาความลับเหมือนกัน”

“โอเค” ไช่อี้มองประเมินฉินเกอ “ผมเป็นเซนติเนล”

“คุณคือลูกชายของผู้ป่วย ที่ผมต้องการคือผู้ช่วย ไม่ใช่คนที่จะทำให้ความคิดของผู้ป่วยแปรปรวน” ฉินเกอเอ่ยเสียงแข็ง “และผมก็มีคู่หูดำน้ำอยู่แล้ว”

เขาชี้ไปทางเซี่ยจื่อจิง

“แผนกปรับสมดุลทางจิตเวช เซี่ยจื่อจิง” ฉินเกอมองไปที่ไช่อี้ “เขาเป็นคู่หูดำน้ำของผม”

ไช่อี้ใช้สายตาเหลือบมองไปทางเซี่ยจื่อจิง

“เซี่ยจื่อจิง?” เขาเอียงศีรษะราวกับกำลังนึกย้อนไป “นายคือเซนติเนลที่เกาเทียนเยวี่ยลงแรงไปมากเพื่อเอาตัวกลับมาจากสำนักงานภูมิภาคตะวันตก ปีก่อนที่สำนักงานภูมิภาคตะวันตกเกิดคดี 630 ขึ้น นายคือคนที่ได้รับเหรียญแห่งเกียรติยศขั้นที่หนึ่ง?”

“อืม” เซี่ยจื่อจิงตอบกลับเขาอย่างง่ายๆ

ไช่อี้ “ก็แค่เหรียญแห่งเกียรติยศขั้นที่หนึ่ง ผมไม่เข้าใจว่าคุณมีอะไรพิเศษ มันคุ้มค่าสำหรับเกาเทียนเยวี่ยที่ช่วงชิงมาเลยเหรอ”

เซี่ยจื่อจิง “ก่อนอื่นนั่นไม่ใช่เหรียญแห่งเกียรติยศขั้นที่หนึ่งเหรียญแรกที่ผมได้รับ ที่จริงแล้วผมก็มองไม่ออกเหมือนกันว่าคุณมีอะไรดีถึงได้พูดจาไร้มารยาทแบบนี้”

สีหน้าของฉินเกอสงบนิ่ง แต่ภายในใจกำลังจับเซี่ยจื่อจิงเขย่าอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญ ห้ามทำให้ไช่อี้โมโหเด็ดขาด!

แต่ไช่อี้ไม่ได้โกรธ หลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าเซี่ยจื่อจิงคือคนของสำนักงานวิกฤตการณ์ก็เดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย

“พวกคุณมีเวลาแค่หนึ่งชั่วโมง” ไช่อี้บอก

ฉินเกอพยักหน้า

 

ภายในห้องพักผู้ป่วยพิเศษทุกห้องเป็นเตียงเดี่ยว ตกแต่งอย่างเรียบง่าย สะอาด และเรียบร้อย ภายในห้องนอกจากเตียงผู้ป่วยแล้วยังมีโซฟา โต๊ะรับแขก และของอื่นๆ สำหรับรับแขก ตอนนี้ที่โซฟาและโต๊ะรับแขกเต็มไปด้วยผลไม้และดอกไม้ที่ยังสดใหม่

เตียงผู้ป่วยมีม่านบังเอาไว้ ฉินเกอจึงมองไม่เห็นไช่หมิงเยวี่ย

ประตูห้องไม่สามารถล็อกได้ เขาจึงทำได้แค่ปิดมันให้สนิท

ขณะที่เซี่ยจื่อจิงกำลังจะเดินไปข้างหน้า ฉินเกอก็คว้ามือของเขาแล้วดึงมาด้านข้าง

“เซี่ยจื่อจิง คุณตั้งใจฟังผมให้ดี” ฉินเกอกระซิบอย่างรวดเร็ว “คุณยังไม่ถือว่าเป็นคู่หูดำน้ำของผมและยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนการรับเข้าทำงาน ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วไม่ถือว่าเป็นคนของสำนักงานวิกฤตการณ์หรือแผนกปรับสมดุลทางจิตเวช ไม่ว่าจะเป็นหลักการรักษาความลับที่นักปรับสมดุลทางจิตต้องปฏิบัติตามหรือข้อตกลงการรักษาความลับของแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชล้วนไม่มีผลกับคุณ”

เซี่ยจื่อจิงฟังอย่างใจเย็น

“หลังจากนี้ในระหว่างที่ล่องเรือคุณคือคนนอก” ฉินเกอจับเสื้อของเขาไว้ “คุณเข้าใจไหม”

“ถ้างั้นฉันจะต้องปกป้องนายยังไง” เซี่ยจื่อจิงถาม “ฉันไม่เคยเรียนเรื่องการเป็นคู่หูดำน้ำ”

ฉินเกอรีบร้อนเล็กน้อย เขาไม่มีทางเลือกและกระซิบต่อ “ไม่ต้องสนเรื่องการปกป้องผม คุณจำเอาไว้ ทุกอย่างที่เห็นในห้องนี้ สิ่งที่ผมเห็นหรือได้ยินทั้งหมด มีเพียงคุณที่เป็นคนนอกเท่านั้นที่สามารถจดจำและบอกคนอื่นได้ เข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจแล้ว” เซี่ยจื่อจิงมองตาของฉินเกอ “ตอนที่นายบอกว่าฉันคือคู่หูดำน้ำ ฉันก็รู้ว่าไช่อี้หลอกนาย ดังนั้นนายเลยต้องหลอกเขา แต่หลอกยังไงนั้นเมื่อกี้ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว”

ฉินเกอถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะปล่อยมือของเซี่ยจื่อจิง

แต่ทันใดนั้นเซี่ยจื่อจิงก็รีบพลิกมือกลับมาจับฝ่ามือของเขา

“ถ้างั้นฉันจะต้องปกป้องนายยังไง” เซี่ยจื่อจิงขยับเข้าไปใกล้ “การดำน้ำลึกอันตรายขนาดไหน สุดท้ายแล้วนายจะทำอะไร ฉันไม่เข้าใจเลยสักอย่าง”

เขาขยับเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น ทำให้ภายในใจของฉินเกอส่งสัญญาณเตือนอันตรายออกมา

“คุณไม่จำเป็นต้องปกป้องผม” ฉินเกอพยายามเอามือออกจากมือของเซี่ยจื่อจิง ขณะนั้นกลุ่มหมอกก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากบ่าของเขา และไม่นานเจ้ากระต่ายขนยาวก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นที่บ่าของฉินเกอ

เมื่อเจ้ากระต่ายเห็นเซี่ยจื่อจิงก็รีบวิ่งไปหมายจะเกาะตัวเขา แต่ทันใดนั้นฉินเกอก็จับมันไว้แน่นจนไม่สามารถขยับได้

“การดำน้ำลึกยังไงก็มีความเสี่ยง แต่อายุของไช่หมิงเยวี่ยมากแล้ว อาณาเขตทะเลของเธอตามผมไม่ทันแน่”

เซี่ยจื่อจิงอยู่ที่ด้านหลังเขา อีกฝ่ายเดินตรงมาที่เตียงผู้ป่วยซึ่งถูกผ้าม่านล้อมปิดไว้ก่อนจะกระซิบว่า “งั้นฉันก็จะปกป้องกระต่ายด้วย”

เจ้ากระต่ายขยับไปมาอยู่บนบ่าอย่างตื่นเต้น ฉินเกอกดมันไว้แน่นโดยไม่ได้ตอบเซี่ยจื่อจิงกลับไป

เขาเปิดผ้าม่านอย่างระมัดระวัง ก่อนผู้สูงอายุที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยจะค่อยๆ ลืมตาแล้วมองมาที่เขา

ไช่หมิงเยวี่ยอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากอาการเจ็บป่วยและอาณาเขตทะเลที่ผิดปกติมาเป็นเวลานานทำให้เธอผอมเหมือนโครงกระดูกที่ถูกห่อหุ้มด้วยผิวหนัง เธอสวมหน้ากากออกซิเจน ท่าทางอ่อนแอและเคร่งเครียด

ฉินเกอนั่งอยู่ที่ด้านข้างเตียงผู้ป่วย กุมมือของไช่หมิงเยวี่ยเอาไว้

“ผมเป็นนักปรับสมดุลทางจิต ชื่อฉินเกอนะครับ” เขาพูดเสียงเบา “คุณหมอไช่ ผมเป็นคนที่ลูกชายของคุณเชิญมาเพื่อรักษาปัญหาอาณาเขตทะเลของคุณ”

ทันใดนั้นดวงตาของไช่หมิงเยวี่ยก็เบิกกว้าง มือที่ซูบผอมของเธอสั่น แล้วจู่ๆ ก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมา เธอจับนิ้วของฉินเกอไว้แน่น

น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเธอ ก่อนจะกลิ้งไปที่จอนผมแห้งเหี่ยวสีขาว

“ช่วย…ฉัน…” เธออ้าปากกว้างแต่ก็แทบจะไม่มีเสียงหลุดลอดออกมา

 

คดี 630 เป็นคดีการฆาตกรรมมนุษย์กึ่งซอมบี้ที่ใหญ่ที่สุด เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว สำนักงานภูมิภาคตะวันตกจึงเรียกมันว่า ‘ภัยพิบัติฤดูหนาว’ ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้วสำนักงานภูมิภาคตะวันตกได้รับรายงานหลายฉบับเกี่ยวกับการพบศพของมนุษย์กึ่งซอมบี้ในสถานที่ที่แตกต่างกันรวมแล้วหกสิบหกศพ หัวใจและสมองของศพทั้งหมดถูกทำลายอย่างรุนแรง ศพส่วนใหญ่ถูกนำไปทิ้งที่กองขยะตามชานเมืองต่างๆ คดีนี้เป็นคดีที่มุ่งเป้าไปที่มนุษย์กึ่งซอมบี้ อาชญากรใช้วิธีที่เลวร้ายและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมเพื่อต้องการสร้างความเกลียดชังระหว่างมนุษย์ธรรมดากับมนุษย์พิเศษขึ้น การสืบสวนดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งปีโดยทีมสืบสวนทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเซี่ยจื่อจิงอยู่ด้วย แล้วเขาก็ได้รับรางวัลจากคดีดังกล่าวนี้

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: