ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3
ผู้เขียน : จื้อฉู่ (稚楚)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ
การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต
ความรุนแรง การสะกดรอยตาม มีการกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย
และความหลากหลายของกิจกรรมทางเพศ
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 48 เสียงสะท้อนของจิตวิญญาณ
ทุกอย่างเป็นไปตามคาดคือทางรายการยับยั้งแผนดื่มของพวกเขาเอาไว้ ด้วยเหตุผลว่าไม่เหมาะจะออนแอร์
“ไม่เหมาะก็อย่าออนแอร์สิ” หลี่อินพูดยิ้มๆ “ตัดส่วนนี้ทิ้งให้หมดก็โอเคแล้ว”
“ถ้าไม่ให้เราดื่ม เราไม่ถ่าย” ซุ่ยซุ่ยทิ้งตัวลงนอนบนพื้นเอาดื้อๆ
ฉินอีอวี๋ร่วมผสมโรงด้วย “พวกคุณเบลอภาพเก่งนักไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นพวกเราจะกรอกเบียร์ลงขวดน้ำแร่!”
พอเห็นว่ากำลังจะมีเรื่อง ฉือจือหยางก็เอาศอกกระทุ้งเหยียนจี้
“มีอะไร” เหยียนจี้หันมามองเขาพลางเอ่ยถามเบาๆ
“นายชอบงานไกล่เกลี่ยมากไม่ใช่เหรอ เคลียร์หน่อยสิ” ฉือจือหยางกระซิบ
เหยียนจี้เกือบหลุดขำออกมา เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าใครกันแน่ที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น
มือคีย์บอร์ดหนุ่มกอดอกมองทุกคนโหวกเหวกโวยวายด้วยท่าทางไม่ยี่หระ “รอดูอีกหน่อยเถอะ พอทางรายการหมดหนทางก่อนฉันค่อยไปคุยกับพวกเขาให้”
ฉือจือหยางตาโต ไล่สายตาขึ้นลงเพื่อพิจารณาใบหน้าที่ดูเรียบร้อยจริงจังของอีกฝ่าย “โอเค นายกำลังรอให้ตัวร้ายร้องงิ้วจบก่อน ตัวเองค่อยเข้าไปรับบทคนดีล่ะสิ”
เหยียนจี้ยิ้มน้อยๆ ดวงตาโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว “อาจารย์เสี่ยวหยางฉลาดจริงๆ”
หนานอี่ที่อยู่ด้านข้างเอาแต่นั่งพิงพนักเก้าอี้เพื่อหลับตาพักผ่อนเอาแรง ดูแปลกแยกจากบรรยากาศอึกทึกภายในห้องซ้อม จนมือถือของเขาสั่นติดต่อกันหลายครั้ง ชายหนุ่มถึงค่อยหยิบมือถือออกมาดู พบว่าเป็นสายจากผู้ช่วยตากล้องที่คอยตามถ่ายวงเดอะเกรตโมเมนต์ และมีข้อความส่งมา
ผู้ช่วยเสี่ยวหลิน หมอมาแล้วครับ คุณหนานอี่ออกมาได้ ผมจะรออยู่ที่หน้าประตูลิฟต์ชั้นหกนะครับ
ท่ามกลางความโกลาหล หนานอี่ปลีกตัวออกไปอย่างเงียบเชียบ
ฉินอีอวี๋เป็นคนเดียวที่สังเกตเห็น ตอนแรกนักร้องหนุ่มยังจะงัดเหตุผลขึ้นมาสู้กับทางรายการ แต่พอสังเกตเห็นหนานอี่ผลักประตูเดินออกจากห้องไป เขาก็ลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังจะพูดเรื่องอะไร
จังหวะที่ทีมโปรดิวเซอร์ถูกพวกเขาป่วนจนหัวหมุน เหยียนจี้ก็ลุกขึ้นมาอย่างได้จังหวะเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนเริ่มต้นพูดคุยและหาทางออก ‘อย่างมีเหตุผล’ กับพวกเขา
ครึ่งชั่วโมงต่อมาหนานอี่ที่นั่งอยู่ในห้องพยาบาลได้รับข้อความจากฉือจือหยาง
หยางหยางหยาง เสี่ยวอี่ พวกเราเปลี่ยนสถานที่ เดี๋ยวตอนนายกลับมาจำไว้ว่าให้กลับไปที่ห้องพักของพวกเรา อย่าไปที่ห้องซ้อมล่ะ
ผลคือพวกเขาประท้วงกันสำเร็จ
“คุณมีปัญหาเรื่องตาข้างนี้มาตลอดเลยใช่ไหม” หมอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเขาเอ่ยถาม
หนานอี่ขานรับ “ตั้งแต่เกิดครับ”
หมอผงกศีรษะ “ดวงตาของคุณในตอนนี้อาการค่อนข้างหนัก อาจเพราะถูกแสงจ้า ผมจะจ่ายยาให้คุณก่อน ถ้าคุณไปเช็กม่านตากับเยื่อกระจกตาที่แผนกตาในโรงพยาบาลได้จะดีที่สุด เพราะที่นี่ไม่มีเครื่องมือ”
หนานอี่พยักหน้า “ขอบคุณครับคุณหมอ”
เขามีความจำเป็นต้องออกไปนอกค่ายพอดี และการไปหาหมอก็เป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้น
หลังจากนั้นผู้ช่วยตากล้องขอไปเข้าห้องน้ำ หนานอี่นิ่งไปหนึ่งวินาทีก็บอกว่าเขาอยากเข้าห้องน้ำเหมือนกัน มือเบสหนุ่มจึงเดินตามผู้ช่วยตากล้องไปห้องน้ำ ตากล้องหยุดการบันทึกภาพไว้ชั่วคราวและรอพวกเขาอยู่ที่ห้องพยาบาล
จังหวะที่ล้างมืออยู่ข้างกัน หนานอี่ที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยว่า “เสี่ยวหลิน”
เสี่ยวหลินจึงเงยหน้าขึ้น “มีอะไรเหรอครับ”
“ขอบคุณที่คุณช่วยตามหมอให้ผม การถ่ายทำในช่วงสองสามวันนี้ต้องลำบากคุณแล้ว”
คิดไม่ถึงว่ามือเบสที่เอาแต่วางตัวสูงส่งเย็นชาอย่างยิ่งจะกล่าวคำขอบคุณเขาแบบปุบปับ ใบหน้าของเสี่ยวหลินเลยแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “นี่เป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ”
หนานอี่สังเกตปฏิกิริยาของเขาแล้วเดินหน้าต่อ ด้วยการหยิบยกประเด็นที่เหมาะสมขึ้นมาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดตลก “ทางรายการยังไม่เพิ่มคนให้พวกคุณอีกเหรอ”
เสี่ยวหลินฉวยโอกาสที่ในห้องน้ำไม่มีกล้องบ่นอุบ “เพิ่มน่ะเพิ่มแล้วครับ ทุกฝ่ายได้คนเพิ่มมาเยอะเลย แต่พอคนเยอะการประสานงานระหว่างผู้ช่วยอย่างพวกเราก็กดดันมากขึ้น อย่างตอนเตรียมงานสัมภาษณ์เมื่อวาน คนในทีมฉากคุยกันว่าพวกเขาได้ผู้เชี่ยวชาญด้านฉากเพิ่มเข้ามาสองคน แต่กลับไม่มีใครบอกพวกเรา เลยไม่มีการนัดแนะเรื่องตำแหน่งกล้องกับตำแหน่งไฟกันล่วงหน้า ทำเอาตากล้องวีนแตก”
หนานอี่ฟังแล้วขำ “แบบนั้นมันก็ยุ่งจริงๆ นั่นแหละ เพราะทีมกล้องของพวกคุณน่าจะต้องดีลกับไฟเยอะที่สุด ถ้าพวกเขาได้คนมาเพิ่มแล้วปรับเปลี่ยนไฟใหม่ ทีมกล้องของพวกคุณก็ต้องปรับตัวตาม”
คำนี้ทำให้เสี่ยวหลินเหมือนค้นพบหนทางระบายความอัดอั้นเลยพูดออกมาอย่างหมดเปลือก “จริงครับ พอทีมไฟได้นักออกแบบไฟมาใหม่สองคนก็เปลี่ยนแผน ทีมไฟต้องประชุมเรื่องการปรับเปลี่ยนกับพวกเขาทั้งคืน ไม่งั้นตอนรายการออนแอร์มีสิทธิ์จอดับ เฮ้อ…” เสี่ยวหลินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”
“เขาเป็นนักออกแบบไฟคนดังหรือไง ถึงนึกจะเปลี่ยนแผนก็เปลี่ยน” หนานอี่ดึงกระดาษมาเช็ดน้ำบนมือให้แห้งพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ
การพูดคุยกับเสี่ยวหลินในช่วงที่ผ่านมาทำให้หนานอี่รู้ว่าถ้าเสี่ยวหลินได้เปิดปากพูด เขาจะไม่แค่เล่าเรื่องให้ฟังอย่างเดียว แต่จะหยิบมือถือมาเปิดภาพ เปิดคลิป เปิดเว็บ อะไรต่อมิอะไรด้วย เพราะเสี่ยวหลินติดการเล่าเรื่องพร้อมเปิดภาพให้คนอื่นดูเพื่อคอนเฟิร์มเรื่องที่ตัวเองเล่าว่าเป็นเรื่องจริง
“ใช่ครับ เขามีแฟนคลับเพียบ”
พอเสี่ยวหลินที่เช็ดมือแห้งก็หยิบมือถือออกมาตามที่หนานอี่คาด ผู้ช่วยหนุ่มค้นเพจเวยป๋อของนักออกแบบไฟคนนั้นขึ้นมาให้หนานอี่ดู
“อ๋อ คนนี้นี่เอง ดูเหมือนเขาจะเคยทำรายการใหญ่รายการอื่น ถึงได้มีประสบการณ์ มิน่าพวกคุณถึงต้องปรับแก้แผนงานตามเขา…”
เสียงของตากล้องดังมาเร่งพวกเขาจากหน้าประตู ตัดบทการพูดคุยของทั้งคู่ พอเสี่ยวหลินได้ยินเสียงก็ขานรับว่า “ครับ” ทันที เขาเก็บมือถือและแลบลิ้นให้หนานอี่
“ไปกันเถอะ”
นาทีที่เห็นผู้ช่วยตากล้องเดินออกนอกประตูไป หนานอี่ที่เดินตามหลังก็หุบยิ้ม ฉวยโอกาสตอนที่ตากล้องคุยกับผู้ช่วยเปิดมือถือ ล็อกอินเวยป๋อเข้าไปในแอ็กเคานต์ที่เห็นเมื่อกี้และกดปุ่มติดตาม ข้อมูลในนั้นทำให้เขาได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพนักงานของบริษัทเฉิงหงเอ็นเตอร์เทนเมนต์ และเป็นพี่น้องที่สนิทกับเฉินอวิ้นมาก
เป็นจริงตามคาด
นาทีนั้นสิ่งที่หนานอี่คิดคือเฉินอวิ้นเองก็มีสมองอยู่เหมือนกัน
หนานอี่เข้ารอบมาถึงขั้นนี้แล้ว แค่คิดดูก็รู้ว่าตอนนี้เฉินอวิ้นต้องเดือดดาลมากแค่ไหนที่ต้องเห็นคนที่ตัวเองเคยเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้ากำลังปีนป่ายสูงขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่ทุกคนสามารถมองเห็น ได้รับเสียงปรบมือ ดอกไม้ และเสียงกรี๊ดอย่างเทิดทูนบูชา สิ่งเหล่านี้คงบีบให้เฉินอวิ้นเป็นบ้าได้แล้ว
แต่แค่นี้มันยังไม่พอจะทำให้เฉินอวิ้นเสียสติ เพราะสิ่งที่สามารถทำให้เขาคลั่งได้จริงๆ น่ากลัวว่าคงจะมีแต่พ่อผู้ต่อต้านสังคมของเขา ถ้าอยากจะดึงความสนใจจากอีกฝ่าย หนานอี่รู้ว่าตัวเองยังขาดปัจจัยอีกข้อหนึ่ง
เพราะเหตุนี้หนานอี่จึงอดทนต่อแสงจ้าและเชือกสลิงที่แกว่งไกวอยู่ใต้ฝ่าเท้า
“หนานอี่ พร้อมจะถ่ายใหม่แล้วใช่ไหม”
ชายหนุ่มปิดมือถือ ยิ้มน้อยๆ พลางผงกศีรษะ “ครับ”
อีกด้านหนึ่ง นับตั้งแต่กลับมาถึงห้องพักฉินอีอวี๋ก็เริ่มกระสับกระส่าย เขาถือขวดเบียร์นอนหงายอยู่บนบีนแบ็ก ตามองจ้องโคมไฟสีเหลืองบนเพดานจนแสบตาจึงปิดเปลือกตาลง นึกภาพว่าเวลาหนานอี่เจ็บตา อีกฝ่ายเป็นแบบนี้เองเหรอ
ภายในห้องรับแขกเต็มไปด้วยเสียงสรวลเสเฮฮา พอมีช่วงเว้นวรรคการพูดคุยก็จะมีเสียงดนตรีจากลำโพงเข้ามาเติมเต็ม เป็นเพลงแนวชูเกซ* ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการเพลงร็อก
เสียงกีตาร์แตกๆ ดังกระหึ่มยาวนานซ้ำไปซ้ำมา ก่อตัวเป็นกำแพงล่องหน เสียงนักร้องนำอู้อี้เหมือนกำลังละเมอ ในวินาทีหนึ่งฉินอีอวี๋เหมือนได้ย้อนกลับไปบนเวที เขาก้มหน้าลงมองแป้นเหยียบซาวนด์เอฟเฟ็กต์ของตัวเองที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟเจิดจ้า
แอ๊ด
เสียงเปิดประตูขับไล่ภาพมายาให้หายไป ฉินอีอวี๋ลืมตาแล้วเลื่อนสายตาจากเพดานกับโคมไฟมาที่โถงหน้าของห้องพัก เนื่องจากเขาจ้องไฟนานมากจนมองเห็นดาว ทำให้ร่างสีดำที่คมชัดเสมอ ตอนนี้กลับดูอ่อนละมุน
พอหนานอี่เปลี่ยนรองเท้าเสร็จก็เงยหน้าขึ้น ฉินอีอวี๋ลุกพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่าบนหน้าของหนานอี่มีที่ปิดตาสีขาวปิดตาซ้ายไว้ มีสายรัดเส้นบางพาดจมูกกับโหนกคิ้วไปคล้องที่หลังหู ซึ่งทำให้หนานอี่ดูผิดไปจากปกติมาก คล้ายดูอ่อนแอเปราะบาง
ฉินอีอวี๋นิ่วหน้า เพราะเขารู้สึกคุ้นตากับภาพนี้อย่างไม่มีเหตุผล
ในวงล้อมกำแพงเสียงกีตาร์ ความทรงจำถูกขุดลึกลงไปมากกว่าเดิม ฉินอีอวี๋อดคิดไม่ได้ว่าเขาเคยเห็นใครสักคนที่ใส่ผ้าปิดตาข้างเดียวแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า
“เสี่ยวอี่กลับมาแล้วเหรอ รีบมาเร็ว!”
ทุกคนกำลังเป็นห่วงตาของหนานอี่ ในขณะที่ฉินอีอวี๋ดูนิ่งกว่าคนอื่นๆ เขาบ่นกับตัวเองที่ความจำของตนย่ำแย่ เบียร์ในมือก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย
“พวกเราเพิ่งคุยกันว่านายจะกลับมาเมื่อไหร่” หลี่อินหยิบเบียร์สองแบบส่งให้หนานอี่ “นายจะดื่มแบบไหน”
ตอนแรกหนานอี่ไม่อยากดื่ม เหมือนกับตอนแรกที่เขาไม่อยากให้หมอใส่ที่ปิดตา เพราะห่วงว่าจะถูกฉินอีอวี๋จับได้
เนื่องจากตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก ตนเองก็ใส่ที่ปิดตาแบบนี้ แค่เป็นสีดำ
แต่เพราะหมอขอร้อง เขาเลยต้องยอม พอคิดดูดีๆ ฉินอีอวี๋ไม่น่าจะจำได้ เนื่องจากตอนนั้นฉินอีอวี๋แค่ผ่านมาช่วยเขาไว้ เรื่องเล็กน้อยแบบนั้นคนคนนี้คงทำมาไม่รู้เท่าไหร่ ไม่มีทางเก็บเอาไปใส่ใจ
เดิมทีเขามั่นใจในเรื่องนี้ถึงเชื่อว่าตัวเองสามารถเก็บซ่อนเรื่องนี้จากฉินอีอวี๋ได้อย่างมิดชิด
แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีกแล้วล่ะ
หนานอี่ไม่เข้าใจและขี้เกียจคิดต่อ พอเห็นฉินอีอวี๋ดื่มเบียร์อย่างสงบก็ยอมอ่อนข้อ เขาเลื่อนสายตามามองเบียร์สองขวดที่อยู่ในมือของหลี่อินแล้วเลือกมาขวดหนึ่งโดยไม่คิดมาก จากนั้นก็ก้มหน้าไปหยิบที่เปิดขวดจากพื้น
เป๊าะ
ฉินอีอวี๋ปรายตาไปมองหนานอี่ที่กำลังแหงนหน้าขึ้นดื่มเบียร์ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง
หนานอี่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่เหรอ
ฉินอีอวี๋ดึงสายตากลับมาด้วยจิตใจว้าวุ่น เขาส่งขวดเบียร์เปล่าให้อาซวิ่นที่รอเก็บขวดอยู่ก่อนแล้วเปลี่ยนขวดใหม่มา
ซิ่วเหยี่ยนดื่มเบียร์จนหน้าแดงแจ๋ ตามองจ้องป้ายชื่อที่หน้าอกของซุ่ยซุ่ย ซิ่วเหยี่ยนขยับเข้าไปใกล้เธอจนเกือบหน้าทิ่มเข้าไปในวงแขนของซุ่ยซุ่ย
“ชื่อวงของพวกเธอยาวจริงๆ…ฉันเห็นคนเขียนผิดอยู่บ่อยๆ”
ซุ่ยซุ่ยเห็นซิ่วเหยี่ยนตาลอยก็โอบเธอไว้และตบหลัง
“เฮ้อ…” หลี่กุยถอนหายใจยาวเหยียดออกมาเฮือกหนึ่ง “ต้องโทษที่ตอนนั้นพวกเราทำอะไรชุ่ยๆ ไม่น่าตั้งชื่อมั่วซั่วเลย”
“ตั้งชื่อมั่วซั่ว?” เหยียนจี้แปลกใจ “ยูลิสซีส* เป็นชื่อนิยายเรื่องหนึ่งไม่ใช่เหรอ”
“รู้ด้วยเหรอ!” ซุ่ยซุ่ยเซอร์ไพรส์ เธอเขย่าตัวซิ่วเหยี่ยนไปมา “ความจริงเราสามคนเป็นเพื่อนร่วมคณะ รู้จักกันในคลาสวิชาเลือก สุนทรียภาพทางวรรณกรรมวิชานั้นต้องแบ่งกลุ่มไปอ่านและชมนิยายต่างประเทศชื่อดัง ผลคือพวกเราสามคนแย่งหนังสือที่ตัวเองชอบมาไม่ได้เลยถูกจับไปอ่านนิยายเรื่องยูลิสซีส”
อาซวิ่นผงกศีรษะ เขาพูดกับเหยียนจี้แบบความรู้สึกช้าว่า “…เป็นผลงานมาสเตอร์พีซเกี่ยวกับกระแสสำนึก”
หลี่กุยพูดต่อ “เพราะการแบ่งกลุ่มทำให้พวกเราได้คุยกัน แล้วก็ต้องประหลาดใจที่ได้รู้ว่าทุกคนชอบดนตรีกันมากๆ แถมยังเล่นกีตาร์ เขียนเพลงกันได้ เลยฟอร์มวงกันขึ้นมา”
“ใช่ พวกเรารู้สึกว่านี่เป็นการชี้นำจากนิยายเรื่องยูลิสซีสเลยเอาชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อวง”
ฉือจือหยางเพิ่งเก็ต “เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง!”
ทันใดนั้นหมิ่นหมิ่นก็ฉุกคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้เลยหันไปมองฉินอีอวี๋ “เรื่องนี้คล้ายๆ กับวงดิสออเดอร์คอร์เนอร์หรือเปล่า”
คำนี้ทำให้ห้องเงียบไปสองวินาที
หมิ่นหมิ่นที่เป็นคนเพี้ยนๆ ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองเหยียบเข้าไปในโซนระเบิดซะแล้ว แถมยังพูดต่อ “เมื่อก่อนฉันเคยซื้ออัลบั้มของวงดิสออเดอร์คอร์เนอร์ ในอัลบั้มเล่าเรื่องที่มาของชื่อวงที่พวกคุณตั้ง ฉันจำได้ว่าเป็นเพราะพวกคุณทำผิด ถูกอาจารย์จับได้เลยถูกทำโทษให้ยืนอยู่ในมุมหนึ่งของอาคารเรียน ทำให้พวกคุณรู้จักกัน กลายเป็นที่มาของชื่อวงดิสออเดอร์คอร์เนอร์”
ฉินอีอวี๋พิงโซฟาหัวเราะ “หมิ่นหมิ่นความจำดีจริงๆ มิน่าเธอถึงจำไพ่ทาโรต์เยอะขนาดนั้นได้”
หนานอี่ไม่พูดเลยสักคำ เป็นเรื่องจริงที่ชื่อวงดิสออเดอร์คอร์เนอร์มีที่มาจากวงดนตรีในสถาบันการศึกษาเหมือนวงยูลิสซีสไกแดนซ์ ตอนนั้นหนานอี่ที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นในโรงเรียนเดียวกับฉินอีอวี๋ได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทว่าเรื่องพวกนั้นกลับไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเขา
ต่อมาเรื่องทะเลาะวิวาททำให้หนานอี่ถูกทำโทษให้ไปยืนอยู่ในมุมนั้นเหมือนกัน เด็กชายในตอนนั้นคิดว่าแดดตรงนี้แรงมากจริงๆ ฉินอีอวี๋ทำยังไงถึงรักษาใบหน้าทะเล้นและชักชวนเพื่อนๆ ให้มาฟอร์มวงด้วยกันได้ง่ายๆ แบบนั้น
การที่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกันแต่คนละช่วงเวลาทำให้เขายิ้มไม่ออก
เมื่อก่อนหนานอี่ไม่เคยคิดถึงเรื่องของวงดิสออเดอร์คอร์เนอร์ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง แต่ช่วงนี้เขากลับคิดถึงคนกลุ่มนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ คิดถึงการซ้อมครั้งแรกของฉินอีอวี๋ การแสดงสดครั้งแรก การทำอัลบั้มครั้งแรก…
เนื่องจากในโมเมนต์เหล่านั้นล้วนไม่มีเขาอยู่ด้วย
“พูดถึงชื่อวง ฉันล่ะโคตรอยากรู้เลย” ฉือจือหยางเอ่ยถามหมิ่นหมิ่น “ว่าชื่อวงของพวกเธอมันแปลว่าอะไร พูดถึงอะไรเหรอ”
หมิ่นหมิ่นกับหลี่อินหันไปมองซิ่วเหยี่ยนเป็นการบอกให้เธอเล่า ซิ่วเหยี่ยนเลยยันตัวจากวงแขนของซุ่ยซุ่ยขึ้นมานั่งอธิบายช้าๆ “ยายฉันเป็นมือสังหารหญิง…ของงิ้วปักกิ่ง ซึ่งความจริงมันเป็นสายหนึ่งในบทละครดั้งเดิม หรือไม่คุณยายก็จะรับบทเป็นนางร้ายจิตใจอำมหิตหรือผู้กล้าหญิงที่ไปลอบสังหารศัตรูเพื่อแก้แค้น…”
ฉือจือหยางเลิกคิ้ว “เท่โคตร”
“ใช่” หมิ่นหมิ่นปักหลอดใส่แก้วที่เธอเอาโค้กผสมกับไวน์แดง “ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มันก็เป็นคาแร็กเตอร์ที่ผิดไปจากผู้หญิงที่ถูกอบรมขึ้นมาตามแนวอนุรักษนิยม ตอนนั้นซิ่วเหยี่ยนเป็นคนเสนอชื่อนี้ขึ้นมา พวกเรารู้สึกว่ามันเหมาะมากเลยเคาะชื่อนี้กันออกมาทันที”
นี่สิน่าสนใจ หนานอี่ดื่มเบียร์หมดขวดอย่างไม่ทันรู้สึกตัว เขาผลักขวดเบียร์ไปตรงหน้าอาซวิ่นก่อนเปิดขวดใหม่ “แนวดนตรีของพวกเธอเข้ากับชื่อนี้มากเลยนะ”
“จริงเหรอ” ซิ่วเหยี่ยนยิ้มซื่อๆ ออกมา “ดันมั่วถูกซะงั้น”
“สมัยเรียนฉันเป็นคนนิสัยร่าเริง เพื่อนเยอะ เลยถูกคนว่าลับหลังว่าไม่เอาการเอางาน ขี้อ่อย ไม่ได้มีภาพลักษณ์แบบผู้หญิงดีๆ อย่างที่ควรจะเป็น” หลี่อินหัวเราะอย่างไม่แคร์ “ฉันเลยเป็นนางร้ายมันซะเลย เพราะต่อให้ฉันได้เป็นนางเอก ฉันก็จะเป็นนางเอกที่หลุดกรอบที่สุดเหมือนกัน”
ฉินอีอวี๋ชื่นชมในคาแร็กเตอร์แบบนี้เลยปรบมือแบบเกียจคร้าน
“ตอนเด็กเธอถูกคนรังแกเหมือนกันเหรอ” หลี่กุยหันไปมองหลี่อิน “คิดไม่ถึงเลย”
“ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหนก็มีสิทธิ์ถูกบูลลี่ได้ทั้งนั้น” เสียงของหลี่อินเบามาก แต่สิ่งที่พูดกลับเป็นเรื่องจริง
หลี่กุยเงียบไปสักพักแล้วอยู่ดีๆ ก็ยิ้ม เขาเปิดปากพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พวกเธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไว้ผมยาวขนาดนี้”
ฉือจือหยางเดาไม่ถูก ถึงยังไงก็คงไม่ใช่เหตุผลเดียวกับตัวเขา
“ตอนตีกลองจะได้สะบัดผมเท่ๆ เหรอ”
หลี่กุยหัวเราะที่ถูกล้อ แต่กลับส่ายหน้า “เพราะเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉัน เราเป็นเพื่อนกันสมัยมัธยมต้น ฉันหน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงมาตั้งแต่เล็กเลยถูกนักเรียนชายในห้องล้อว่าเป็นแต๋ว…เขาเลยกลายเป็นเพื่อนคนเดียวของฉัน”
หลี่กุยจมดิ่งเข้าสู่ภวังค์แห่งความทรงจำ เขาถ่ายทอดเรื่องในอดีตออกมาช้าๆ ราวกับกำลังสาวไหมจากรัง “สุขภาพเขาไม่ดีเลยป่วยบ่อย ในขณะที่พ่อแม่ไปทำงานที่อื่นทั้งคู่เลยมีแต่ปู่ที่คอยดูแล แต่ปู่กลับเป็นพวกงมงายเชื่อที่หมอดูบอกว่าดวงเขาอ่อนแอมาก การตัดผมบ่อยจะทำให้อายุสั้น ปู่เลยให้เขาไว้ผม…”
หลี่กุยยิ้มระหว่างที่เล่า “ความจริงฉันกับเขาคิดเหมือนกันว่าหมอดูเป็นพวกหลอกเอาเงิน แต่ปู่เขาดันเชื่อเอามากๆ เพื่อไม่ให้ปู่ต้องเป็นห่วง เพื่อนฉันเลยยอมไว้ผม พอครูบอกให้ตัด ปู่เขาก็โทรหาครู เพราะเขากับฉันสนิทกัน พวกผู้ชายที่ชอบล้อเลียนฉันเลยหันไปเล่นงานเขาด้วย ด่าว่าที่เขาไว้ผมยาวเพราะเป็นแต๋วเหมือนกัน แถมยังชอบขังเขาไว้ในห้องน้ำ ถามเขาว่าทำไมถึงไม่ใส่ชุดนักเรียนหญิงมาเรียนซะเลย”
น้ำเสียงจริงจังของหลี่กุยทำให้เสียงหายใจภายในห้องเงียบกริบ เหลือแต่เสียงดนตรีที่ดังออกมาจากลำโพงที่กลายเป็นสะพานเพียงหนึ่งเดียวที่เชื่อมโยงความรู้สึกของทุกคนที่กำลังรับฟังอยู่เงียบๆ
ฉินอีอวี๋มองข้ามผู้คนกับขวดเบียร์ที่เกลื่อนเต็มพื้นไปยังหนานอี่ตลอดเวลา
เขาอยากรู้ว่าตอนนี้หนานอี่กำลังคิดเรื่องอะไรและจะอินไปกับเรื่องเหล่านี้ไหม
กำแพงเสียงกีตาร์แตกๆ ได้สร้างพื้นที่ปลอดภัยอันแข็งแกร่งแห่งหนึ่งขึ้นมา ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ถ้อยคำต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากภายในร่างกาย คล้ายลูกบอลเด้งได้ ลูกบอลกระเด้งไปมาอยู่ภายในห้อง จากคนนี้ไปที่คนนั้น ก่อให้เกิดระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ
“แล้วไงต่อ” เหยียนจี้ถามหลี่กุย
“หลังจากนั้น…” หลี่กุยผ่อนลมหายใจยาวเหยียดออกมาเฮือกหนึ่ง หน้าเริ่มแดง “เพื่อนฉันป่วยเลยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลในเมือง พอกลับมาเขาบอกฉันว่าเป็นยูรีเมีย* ตอนนั้นในห้องมีการเรี่ยไรเงิน…ฉันนึกว่าพวกคนที่เคยล้อเลียนเขาจะสำนึกเสียใจ”
“ไม่หรอก” หนานอี่พูดโพล่งขึ้น
หลี่กุยหันมามองเขาอย่างอึ้งๆ สองสามวินาทีก่อนผงกศีรษะ “จริง พวกเขาไม่เคยสำนึก แถมหัวเราะกันจนถึงนาทีสุดท้าย”
ชายหนุ่มนิ่งก่อนพูดต่อว่า “เพื่อนฉันจากไปก่อนสอบขึ้นมัธยมปลาย ฉันเสียใจมาก เพราะเขาเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉัน วันที่เขาจากไปฉันเริ่มไว้ผมยาว…หลังจากนั้นก็มีคนนินทา แต่ฉันไม่สน บางครั้งฉันรู้สึกว่าเขาไม่ได้จากไปไหน เขายังอยู่กับฉันเสมอเหมือนเส้นผมของฉัน…” เล่ามาถึงตรงนี้หลี่กุยก็ยิ้มอีก “หลอนไปหน่อยหรือเปล่า ทำพวกนายตกใจกันหมดแล้ว”
ทุกคนหันไปมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ฉือจือหยางเริ่มแสบร้อนดวงตาเลยถือขวดเบียร์เดินเข้าไปกอดหลี่กุยแน่นๆ
“ฉันจะช่วยถักเปียให้!”
คำพูดที่โพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้ทำลายบรรยากาศเศร้าสลดให้หายไป ทุกคนหัวเราะและไปขอหนังยางมัดผมมาจากฉินอีอวี๋กองหนึ่ง จากนั้นฉือจือหยาง ซุ่ยซุ่ย หมิ่นหมิ่น หลี่อิน ซิ่วเหยี่ยน ทั้งห้าคนก็ไปรุมล้อมหลี่กุยเพื่อถักเปียให้เขา
เป็นภาพที่ทั้งตลกและอบอุ่น ทำให้ทั้งห้องรับแขกอบอวลไปด้วยรัศมีอันอบอุ่น
ทันใดนั้นก็มีเสียงเปียโนดังแทรกเพลงชูเกซที่ออกมาจากลำโพง เสียงขาดๆ หายๆ บ่งบอกว่าเป็นการเล่นด้วยมือ
ทุกคนจึงหันไปมองต้นเสียง พบว่าเป็นเหยียนจี้
ไม่รู้ว่าเขาไปนั่งที่หน้าเปียโนตรงมุมห้องรับแขกตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมบนเปียโนยังมีไวน์แดงที่เหยียนจี้ดื่มหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ววางอยู่ด้วย
ภายใต้แสงสายัณห์ที่ดวงตะวันกำลังจะลาลับ เสื้อสเว็ตเตอร์สีเบจที่เขาใส่ถูกอาบไล้ด้วยแสงสีทองอ่อนจาง เหยียนจี้ก้มศีรษะ เวลานี้เรือนผมที่ปกติจะดูเรียบร้อยอยู่เสมอค่อนข้างยุ่ง นิ้วเรียวกำลังพรมอยู่บนแป้นเปียโนทำให้ตัวโน้ตพรั่งพรูออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและกดดัน
“นี่นายด้นสดเลยเหรอ” ฉินอีอวี๋ถือเบียร์เดินไปพิงเปียโนเพื่อฟังอย่างละเอียด
“อืม พอได้ยินทุกคนคุยกันแล้วมีเมโลดี้ผุดขึ้นมาในหัวเลยลองเล่นดู”
“ต่อสิ”
ฉินอีอวี๋วางเบียร์ นั่งลงบนอีกฟากหนึ่งของม้านั่งตัวยาว เขาวางนิ้วลงบนแป้นเปียโนเพื่อลองเล่นประสานกับเหยียนจี้
ท่อนนี้ใช้เป็นท่อนร้องได้ หนานอี่คิด
เขาลองจินตนาการดูว่าเสียงเบสควรจะเป็นแบบไหน ไม่นานก็มีเสียงกีตาร์ดังขึ้นมา เป็นอาซวิ่น
จากนั้นก็ค่อยๆ มีเครื่องดนตรีเพิ่มเติมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ พวกคนเมาหัวทิ่มหัวตำทั้งหลายเปลี่ยนห้องรับแขกให้กลายเป็นห้องซ้อมอีกแห่งหนึ่ง เป็นห้องซ้อมที่ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการแข่งขันเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้อยคำถูกแทนที่ด้วยตัวโน้ต ทุกคนต่างเงียบ แต่เสียงกลับดังกังวานกว่าเดิมและใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
“นี่พวกเรากำลังเขียนเพลงกันอยู่เหรอ” ฉือจือหยางฟังๆ แล้วพลันรู้สึกตัว
“ใช่” หลี่อินหัวเราะ
หลี่กุยรีบถาม “ได้อัดไว้บ้างหรือเปล่า ฉันกลัวว่าพอสร่างจะลืมหมด!”
“พวกเขาช่วยอัดให้เราแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ฮ่าๆๆ!”
“ฉันลืมเลยว่ากำลังถ่ายทำรายการอยู่…”
ทุกคนเล่นดนตรีด้วยกันได้สักพักก็หยุดดื่มเบียร์แล้วก็กลับมาคุยเล่นกันอีก การเขียนเพลงไม่ได้เป็นไปแบบต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นเพราะหัวข้อนี้เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด พวกเขาเลยต้องหยุดหายใจกันก่อนถึงเล่นต่อได้ ซึ่งในเวลาแบบนี้พวกเขาไม่ใช่สามวงดนตรีที่มีสไตล์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่คู่แข่งที่ต้องคิดว่าจะพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่ายหรือไม่ แต่เป็นเพื่อนสนิทที่มารวมตัวกันด้วยดนตรี
ซิ่วเหยี่ยนกับซุ่ยซุ่ยเมาแล้วประคองกันไปเอนตัวนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา หลี่อินห่มผ้าให้พวกเธอ เห็นหลี่กุยเมาอาละวาด สะบัดผม
“ผมนายสวยมากเหมือนกันนะ”
“คอนายแดง ฉันนึกว่าคนที่ชื่อเหยียนจี้จะเมาไม่เป็นซะอีก”
เหยียนจี้พูดยิ้มๆ “ฉันหน้าแดงง่ายแต่ไม่ค่อยเมา”
ฉือจือหยางชะโงกหน้าไปถาม “แล้วนายเคยเมาหรือเปล่า เมาแบบไหน”
เหยียนจี้เอาแต่ยิ้ม ไม่ยอมตอบ เขาใช้มือบีบท้ายทอยฉือจือหยาง “นายลองเดาดูสิ”
ฉินอีอวี๋ที่อยู่ด้านข้างไม่ได้เข้าร่วมวงในหัวข้อนี้ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าตรงหน้าหนานอี่มีขวดเปล่าวางอยู่เป็นสิบขวด แต่มือเบสหนุ่มยังทำหน้าเฉย สีหน้าเป็นปกติดี
ถ้ารู้ว่านายคอแข็งขนาดนี้ รอบก่อนฉันไม่ช่วยดื่มแทนนายก็ดี
ระหว่างที่ทุกคนหยุดพักคุยกัน หนานอี่ลุกขึ้นบอกเสียงเบาว่าตัวเองจะไปห้องน้ำแล้วเดินไปทางห้องนอน
ตอนแรกฉินอีอวี๋ไม่คิดจะตามไป แต่ในลำโพงกลับมีเสียงนักร้องชายกำลังร้องเพลงวนๆ ด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือไม่ชัดเจน
“Mind game, don’t lose me.”
ฉินอีอวี๋ต้องมนตร์สะกดทันที เขาวางขวดเบียร์ในมือลงแล้วลุกขึ้นยืน แอลกอฮอล์ออกฤทธิ์กับสมองส่วนหนึ่งอย่างได้จังหวะ กระตุ้นให้เขาเดินผ่านเสียงสรวลเสเฮฮาในห้องรับแขก ผลักประตูห้องนอน เดินเข้าไปแล้วปิดประตู
พอล็อกประตูเสร็จเขาก็หันไปประจันหน้ากับหนานอี่ที่เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
เวลาหกโมงครึ่งท้องฟ้ากำลังจะมืด ในห้องไม่ได้เปิดไฟ ทุกอย่างดูเป็นสีน้ำเงิน หนานอี่ที่ใส่ที่ปิดตาเหลือดวงตาให้เห็นแค่ข้างเดียว เมื่ออยู่ในความมืดสลัว หนานอี่ก็กลายเป็นรูปศิลาที่ถูกฝังอัญมณีเม็ดหนึ่ง เขาไม่พูด ไม่ขยับตัว เอาแต่มองฉินอีอวี๋เงียบๆ ทำให้อ่านความรู้สึกไม่ออก
ฉินอีอวี๋รู้ว่าตัวเองไม่เมา แต่เขาตั้งใจแกล้งเมา จะได้อ้างว่าเมาแล้วขยับเข้าไปใกล้ จนได้หยุดอยู่ตรงหน้าหนานอี่
“ตานาย ไม่เป็นไรใช่ไหม” ชายหนุ่มยื่นมือออกไป “ขอฉันดูได้หรือเปล่า”
ปลายนิ้วกำลังจะแตะถูกที่ปิดตา ทว่าหนานอี่กลับหลบฉากอย่างรวดเร็ว
วินาทีนั้นฉินอีอวี๋รู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าชนกะทันหัน ความทรงจำหมุนย้อนไปในอดีตอย่างรวดเร็วทำให้ห้องมืดสลัวเปลี่ยนเป็นสว่างจ้าในฉับพลันกลายเป็นวันที่มีพายุหิมะ
เขาช่วยเด็กชายที่ใส่ที่ปิดตาคนหนึ่งไว้ เด็กคนนั้นตัวเล็ก ผอมบาง ไว้ผมปิดหน้า
ใบหน้าอันรางเลือนนั้นค่อยๆ ซ้อนทับกับใบหน้าของหนานอี่ที่อยู่ตรงหน้า แนบสนิทกับร่างที่ดูคล้ายวิญญาณ ทั้งสามคนล้วนเป็นเงาดำที่อยู่ในความทรงจำ
ฉินอีอวี๋ย่นหัวคิ้ว นิ่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่กล้าคิด
หนานอี่เดินแยกตัวไปที่เตียงของฉินอีอวี๋เงียบๆ เขาหยิบผ้าห่มขยุกขยุยเป็นก้อนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สะบัดๆ ก่อนพับอย่างเอาจริงเอาจัง
ฉินอีอวี๋ตกตะลึง ยังไม่ทันจะได้ขบคิดเรื่องเมื่อครู่อย่างละเอียด นักร้องหนุ่มก็ต้องเดินไปคว้าข้อมือของหนานอี่ไว้ “นายทำอะไร รังเกียจที่เตียงฉันเละหรือไง”
หนานอี่ไม่พูด เขาดึงมือออกจากอุ้งมือของฉินอีอวี๋ หมุนตัวเดินไปที่โต๊ะหนังสือของนักร้องหนุ่มแล้วเก็บปากกาที่กระจัดกระจายเต็มโต๊ะไปใส่กระบอกใส่ปากกา ปิดหนังสือและสมุดทั้งหลาย ก่อนจะจัดเรียงให้เป็นระเบียบ
“นายไม่พูดกับฉันแต่เก็บของให้ฉัน มันแปลว่าอะไรกันแน่” ฉินอีอวี๋ไม่เข้าใจจริงๆ เลยเดินไปดึงแขนของหนานอี่
เขาอยากจะถามออกไปตรงๆ ว่า ‘นายชอบฉันหรือเปล่า’ แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปาก เขากลับกล้ำกลืนมันเอาไว้
เพราะหนานอี่เดินหนีเขาไปอีกครั้ง คราวนี้มือเบสหนุ่มเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าของฉินอีอวี๋ หยิบรองเท้าแตะขนฟูสีเหลืองลายเป็ดกับชุดนอนไหมพรมสีเหลืองลายเป็ดแบบครบชุดออกมาม้วนเป็นก้อน พยายามจะยัดเข้าไปในถังขยะข้างโต๊ะหนังสือ
“เรื่องอะไรนายถึงมาทิ้งของของฉัน!” ฉินอีอวี๋รีบปราดเข้ามาเก็บชุดนอนกับรองเท้าแตะที่เขาเพิ่งซื้อใหม่แล้วโยนพวกมันไปไว้ที่มุมห้อง จากนั้นก็ลากหนานอี่ที่ทำตัวแข็งทื่อให้ลุกขึ้น
หนานอี่เหมือนไม่อยากพูดกับเขาเยอะเลยลุกขึ้นอย่างมึนๆ ตั้งท่าจะเดินหนีอีกครั้ง
“อย่าคิดหนีเชียวนะ มองฉัน” ฉินอีอวี๋ใช้มือข้างหนึ่งจับแขนหนานอี่ ใช้มืออีกข้างจับหน้าเขาเพื่อบังคับให้ชายหนุ่มมองตน
ซึ่งหนานอี่ก็มองมาจริงๆ
ทันใดนั้นฉินอีอวี๋ตระหนักได้ว่าไอ้เด็กเวรหนีฉือมันพูดถูกต้อง ดวงตาของหนานอี่เหมือนอำพันมากจริงๆ เป็นอำพันสีอ่อน เปล่งประกายคล้ายลูกกวาด นี่เพราะหนานอี่ดื่มเหล้ามาใช่ไหม เขาถึงทำตัวผิดไปจากเดิม ไม่ได้ร้ายกาจ แต่กลับดูเอ๋อแบบไร้เดียงสา ทั้งยังดื้อรั้น
หนานอี่ไม่ค่อยมองตาเขาตรงๆ พอมือเบสหนุ่มมองเขานิ่งๆ นานเข้าก็ทำให้มวลอากาศพลันเปลี่ยนเป็นเหนียวข้นขึ้น จนฉินอีอวี๋รู้สึกว่าตัวเองขาดออกซิเจนขึ้นมาจริงๆ
“นายไม่ค่อยมองฉันแบบนี้เลยนะ” ตอนที่พูดฉินอีอวี๋ต้องประหลาดใจที่พบว่าเสียงของตัวเองแหบพร่ามาก
หนานอี่ยังคงไม่พูด นี่เขายังโกรธอยู่อีกเหรอ โกรธที่วันนั้นโดนกอดโดยไม่ได้ขอ
ต่อให้คนคนนี้ชอบเขา แต่ถ้าจะกอดก็ต้องขอกันก่อนถูกไหม
“นาย…”
ฉินอีอวี๋ยังไม่ทันได้เปิดปาก หนานอี่ก็พลันยื่นนิ้วชี้ออกมาเกี่ยวคอเสื้อไหมพรมคอเต่าของฉินอีอวี๋
ดึงลงจนตัวอักษรแถวหนึ่งโผล่ออกมา
ฟึ่บ
พอหนานอี่ปล่อยมือ คอเสื้อก็ดีดตัวกลับคืนที่เดิม หนานอี่ช้อนตาขึ้นมองฉินอีอวี๋ตรงๆ
อีกฟากหนึ่งของประตู ในห้องรับแขกเหลือคนที่สติแจ่มใสอยู่น้อยมาก
“เสี่ยวอี่ดื่มไปเยอะขนาดนี้ ฉันว่าเขาคงเมา” ฉือจือหยางกอดเข่าโยกตัวซ้ายขวาเหมือนตุ๊กตาล้มลุก
อาซวิ่นประหลาดใจ “แต่ฉันไม่เห็นหน้าเขาแดงเลยนะ”
“เขาเมาหน้าไม่แดง” ฉือจือหยางเอียงศีรษะ “ต่อให้ดื่มเยอะแค่ไหนหน้าก็ไม่แดง เหมือนคนไม่เป็นอะไร แถมยังพูดจาเป็นปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง เมื่อก่อนฉันก็ดูไม่ออก”
“แสดงว่าเขาไม่เคยเมาเลยเหรอ”
ฉือจือหยางส่ายหน้าหวือจนตัวเองมึน ต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะ
“ถึงเขาจะดูไม่เมา แต่ทำตัวเพี้ยนสุดๆ”
“เรื่องอะไรเหรอ” เหยียนจี้ถาม
ฉือจือหยางคิดๆ แล้วก็หลุดขำ “คราวก่อนเสี่ยวอี่ไปดื่มที่บ้านฉันจนเมาแล้วไม่พูดอะไรเลยสักประโยคก็เดินออกไป ฉันกลัวว่าเขาจะเกิดเรื่องเลยเดินตาม ผลคือ…” มือกลองหนุ่มหัวเราะร่วน “พวกนายลองเดาดูซิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาวิ่งไปบนทางเท้า จัดจักรยานสาธารณะที่จอดเบี้ยวๆ บูดๆ ให้เรียบร้อยทีละคัน เรียงซะเป็นระเบียบ ระยะห่างเท่ากันเป๊ะ ตอนที่ฉันเดินไป เขาจัดจักรยานเกือบเสร็จหมดแล้ว แถมยังบ่นเสียงหงุงหงิงด้วยว่า ‘ฉันขัดหูขัดตาพวกนายมานานแล้ว’ ”
ทุกคนขำกลิ้ง
ฉือจือหยางสรุปเรื่องว่า “หลังจากนั้นฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าพอเขาเมาจะทำเรื่องที่ปกติอยากจะทำแต่ไม่เคยได้ทำ โคตรฮาเลยใช่ไหม”
เรื่องเล่านี้สอดแทรกอยู่ในเสียงดนตรี แถมมีบานประตูกั้น เลยไม่เล็ดลอดเข้าไปในห้องนอน
ฉินอีอวี๋จึงไม่ได้ยินอะไรเลย
ตุบๆๆ
มีเพียงเสียงหัวใจของพวกเขาที่พุ่งเข้าชนกันกับเสียงหายใจที่ทวีความร้อนชื้นและหนักหน่วงมากขึ้น
ผิวของหนานอี่ส่งกลิ่นหอมหวาน ฉินอีอวี๋ใช้เวลาแยกแยะอยู่นาน ก่อนจะค้นพบว่านั่นคือกลิ่นเชอรี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากรู้ว่าเบียร์รสเชอรี่มีรสแบบไหน
ข้อมือของหนานอี่ขาวเหมือนหิมะ แต่พอจับกลับร้อนจัดจนฉินอีอวี๋รู้สึกว่าหิมะก็เดือดได้ ผิวบางๆ ที่กั้นกลางกับเส้นเลือดที่เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง มันดังตุบๆ ทำให้รู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่เขาจับไว้คือลูกนกที่มีชีวิตชีวาตัวหนึ่ง
นิ้วของฉินอีอวี๋ขยับ ปลายนิ้วค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้น แทรกเข้าไปทางแขนเสื้อ ไต่ตามแขนขึ้นไปเหมือนงู ก่อให้เกิดอาการสั่นน้อยๆ จนเกือบมองไม่เห็นตามแนวที่ปลายนิ้วลากผ่าน ฉินอีอวี๋ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งใจจะทำอะไร แต่พอได้สติแขนเสื้อไหมพรมสีดำก็ถูกดันขึ้นไปถึงข้อศอก ม้วนเป็นก้อน
หนานอี่เหมือนจะสังเกตเห็นเลยหลุบตามองแขนที่ถูกสัมผัสนิ่งๆ
“ขอโทษที ฉัน…”
ที่ห้องรับแขกไม่รู้ว่าใครเผลอไปโดนปุ่มปรับเสียงของลำโพงทำให้เสียงเพลงดังขึ้นกะทันหัน เสียงร้องกำกวมคลอเคลียไปกับเนื้อเพลงที่เย้ายวนทะลุบานประตูเข้ามา สาดใส่ทั้งคู่เหมือนน้ำเชื่อม
“Sweet thing, I watch you”
“Burn so fast, It scares me”*
“ฉินอีอวี๋…”
เขาเห็นหนานอี่เงยหน้าขึ้นมามองของเขา ริมฝีปากนุ่มนิ่มแย้มออกเล็กน้อย เห็นเขี้ยวขาวกับลิ้นแดง เมื่อถ้อยคำเบาหวิวค่อยๆ หลั่งไหลออกมาจากภายใน
“ผมมีของที่อยากให้คุณดูเหมือนกัน”
* ชูเกซ (Shoegaze) เป็นแนวเพลงย่อยของอัลเทอร์เนทีฟร็อก (Alternative Rock) เกิดขึ้นในช่วงปลายยุค 80 ถึงต้นยุค 90 จุดเด่นของแนวนี้คือการใช้เสียงกีตาร์ที่มีเอฟเฟ็กต์หนักหน่วงทำให้เวลาแสดงส่วนใหญ่ต้องก้มหน้ามองที่แป้นเหยียบเอฟเฟ็กต์กีตาร์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ‘ชูเกซ (ก้มมองรองเท้า)’
* ยูลิสซีส (Ulysses) คือชื่อภาษาละตินของโอดิสซีอุส (Odysseus) วีรบุรุษในตำนานกรีกโบราณที่โด่งดังจากมหากาพย์โอดิสซีย์ (The Odyssey) ของโฮเมอร์
* ยูรีเมีย (Uremia) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อไตไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้อย่างเหมาะสม ทำให้ของเสียสะสมในเลือดและส่งผลกระทบต่อร่างกาย ของเสียที่สะสมในเลือดนี้มักจะเป็นยูเรียและสารอื่นๆ ที่ไตควรจะขับออก ภาวะนี้เกิดจากโรคไตเรื้อรังหรือไตวายระยะสุดท้าย
* เพลง When the Sun Hits ศิลปิน Slowdive
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.