X
    Categories: everYทดลองอ่านท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว

ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3 บทที่ 49 #นิยายวาย

ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3

ผู้เขียน :  จื้อฉู่ (稚楚)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ

การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต

ความรุนแรง การสะกดรอยตาม มีการกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย

และความหลากหลายของกิจกรรมทางเพศ

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 49 จูบได้กี่ครั้ง

 

หนานอี่พูดจบก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าว หนีออกจากวงแขนของฉินอีอวี๋ที่โอบเขาไว้แบบหลวมๆ เดินช้าๆ ก้าวอย่างมั่นคงไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะหยิบเป้สีดำใบหนึ่งออกมา

ฉินอีอวี๋จำได้ว่ามันคือเป้ที่หนานอี่เอากลับมาจากมหาวิทยาลัยคราวก่อน

ตอนนี้เองที่นักร้องหนุ่มเพิ่งได้สติ และคิดในใจว่าที่แท้หนานอี่ก็มีของให้เขาดูจริงๆ

หนานอี่อยากให้ดูอะไรนะ ฉินอีอวี๋เดินตามไป

ในช่วงสองสามวันมานี้เขาไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้หนานอี่ เหมือนพอได้กอดกันการรักษาระยะห่างก็กลายมาเป็นกฎลับที่รู้กันระหว่างพวกเขาสองคน แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้ถูกทำลาย เพราะฉินอีอวี๋ทนไม่ได้อีกต่อไป ขนาดอยู่ห่างกันแค่ครึ่งห้อง ฉินอีอวี๋ยังติงว่ามันไกลเกินไป

แต่พอเขาเดินเข้าไปใกล้จนเห็นสิ่งที่หนานอี่ดึงออกมาจากเป้ นักร้องหนุ่มกลับอึ้งงันอยู่ที่เดิม

ตอนนี้ฉินอีอวี๋สงสัยจริงๆ ว่าตัวเองอาจจะเมา เพราะไม่งั้นเขาจะฝันได้ยังไง

นักร้องหนุ่มหัวเราะ จากนั้นก็มีเสียงดังแป๊ะเมื่อโคมไฟที่ข้างเตียงถูกเปิด แสงสีเหลืองนวลสาดใส่ตัวกับแขนของหนานอี่ราวกับน้ำผึ้ง รวมถึงเสื้อแจ็กเก็ตเก่าๆ ที่หนานอี่ถือไว้ในมือด้วย

แจ็กเก็ตโรงเรียน

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินอีอวี๋แข็งค้างทันที นักร้องหนุ่มตัวแข็งทื่อ ทั้งช็อก ทั้งประหลาดใจ ทั้งสับสน ทั้งไม่อยากเชื่อ ทั้งสงสัยตัวเอง…ทุกอย่างนี้ล้วนประเดประดังพร้อมกัน ท่วมตัวของเขา

เหมือนถูกจับยัดเข้าไปในไลฟ์เฮ้าส์ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มีอารมณ์เร่าร้อนและพีคแบบสุดๆ ราวกับอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านคล้ายภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิดในพื้นที่ปิด ตัวเขายืนอยู่บนเวที เป็นเด็กใหม่ไร้เดียงสาที่ยังไม่รู้ว่าต้องทำการแสดงแบบไหน ไม่รู้กระทั่งว่าจะวางมือเท้ายังไง ฉินอีอวี๋รู้แค่ว่าตรงหน้ามีคนเยอะมาก พอพวกเขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นใบหน้าของหนานอี่

เป็นใบหน้าของหนานอี่ทั้งหมด

คนที่เขาเคยช่วยไว้ในวันที่มีพายุหิมะ คนที่คอยตามหลังเขา คนที่แอบอยู่ตรงจุดพักบันได คนที่นั่งในห้องทบทวนที่ลือกันว่ามีผีห่างจากเขาไปสองแถว คนที่เอาร่มสีแดงมากางกันฝนให้เขาในวันที่มีฝนตก คนที่เล่นเกมแมวจับหนูกับเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คนที่หายตัวไปแล้วไม่เคยโผล่มาให้เห็นอีก…

คือหนานอี่

คือดวงตาสีอำพันคู่นั้นจริงๆ

แปะ…

ยางไม้แห่งกาลเวลาหยดลงมา ปริศนาในช่วงวัยรุ่นถูกปิดผนึกไว้ในดวงตาคู่นั้นและถูกกลบฝังไว้ จนตอนนี้ถึงได้ออกมาพบกับแสงสว่างอีกครั้ง

หนานอี่วางแจ็กเก็ตโรงเรียนตัวนั้นลงบนเตียงอย่างเรียบร้อย กางแขนเสื้อทั้งสองข้างออกทำให้ฉินอีอวี๋ในสมัยวัยรุ่นถูกตรึงไว้ในท่าที่กำลังจะยื่นแขนออกมากอด

“นี่ไง”

นิ้วของหนานอี่ลูบไล้เนื้อผ้าของเสื้อยูนิฟอร์มอย่างเบามือ แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างแล้วก็ต้องอึ้ง ดวงตาฉายแววฉงน

มือเบสหนุ่มยื่นมือไปลูบแก้มของฉินอีอวี๋อย่างเบามือเหมือนตอนที่เขาลูบเสื้อยูนิฟอร์มเมื่อกี้

“คุณร้องไห้ทำไม”

แปะ

ในห้องมืดๆ ฉินอีอวี๋กะพริบตา น้ำตาเม็ดใหญ่กระจ่างใสกลิ้งลงมาห้อยอยู่ตรงคางก่อนจะหลุดร่วง เปล่งประกายคล้ายเพชร

ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน

ว่าทำไมตัวเองถึงร้องไห้

ฉินอีอวี๋ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ครั้งล่าสุดที่เขาร้องไห้คือเมื่อไหร่นะ ดูเหมือนจะเป็นหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง ระหว่างรอผู้ปกครองนักเรียนมารับ มีคนมารับแล้วแต่เด็กน้อยกลับอาละวาดเพราะอยากได้ของเล่นชิ้นหนึ่ง แม่ของเด็กเลยย่อตัวลงมากอดเขาอย่างอ่อนใจ เธอท่องชื่อเมนูที่เธอทำได้อร่อยออกมารวดเดียวหมด เพื่อปะเหลาะเด็กนิสัยเสียคนนั้น

วันนั้นฉินอีอวี๋ยืนอยู่ข้างถนนที่การจราจรขวักไขว่ มองสองแม่ลูกเดินจากไป อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าหน้าเปียกๆ เลยยกมือขึ้นลูบดู พบว่ามีน้ำ ฉินอีอวี๋เข้าใจว่าฝนตก แต่พอเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าดวงอาทิตย์แผดแสงแรงกล้า…จนเค้นน้ำตามนุษย์ออกมา

ตอนแม่จากไป ฉินอีอวี๋ไม่ได้ร้องไห้ ตอนประกอบพิธีฝังศพเขาก็ไม่ร้องไห้ แต่ในช่วงหลังเลิกเรียนที่ไม่มีเรื่องอะไรเลยนั้น เขากลับร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล

เพราะจู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าแม่จากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้วจริงๆ

ความรู้สึกของเขามักช้ากว่าการกระทำเสมอ ฉินอีอวี๋จึงใช้ชีวิตในแต่ละวันโดยไม่สนใจอะไร และจบวันอันไร้ความหมายทุกวันไปโดยไม่แคร์สิ่งใด ทำให้ความรู้สึกไม่เคยตามเขาทัน

ฉะนั้นที่ตอนนี้เขาร้องไห้ก็เป็นไปได้ว่าเขาตระหนักถึงเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง

พอคนฉลาดเกิดสับสนขึ้นมา พวกเขาจะเจ็บปวดกันอย่างจริงๆ จังๆ

หนานอี่ในตอนนี้เหมือนไม่มีปฏิภาณไหวพริบใดๆ ก็อาจเพราะสับสนเหมือนกันใช่ไหม

นิ้วของหนานอี่ร้อนจัด เขาใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้ฉินอีอวี๋ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แถมยังเกือบเอานิ้วจิ้มตาด้วย

เสร็จกัน ทั้งที่ตั้งใจมาดูหนานอี่ร้องไห้ แต่ฉินอีอวี๋ดันชิงน้ำตาร่วงก่อนซะงั้น

ฉินอีอวี๋ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าให้สะอาดอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นระรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ นักร้องหนุ่มคว้ามือหนานอี่ไว้ สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนเอ่ยคำที่ติดอยู่ในคอออกมา

“ที่แท้นายก็คือ…เจ้าผีน้อย”

สวรรค์ เสียงฉันสั่นขนาดนี้เลย ฉินอีอวี๋ตกใจเสียงตัวเอง

เขากระแอม ตั้งใจจะถามซ้ำอีกครั้ง แต่หนานอี่กลับพยักหน้ารับ

หนานอี่ที่เอาแต่หนีมาตลอดกลับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมาด้วยดวงตาที่ฉายอารมณ์ซับซ้อน หนานอี่ราวกับเป็นหนังสือที่เขียนเสร็จมานานหลายปี แต่ฉินอีอวี๋ไม่เคยอ่านจบเล่มและไม่สามารถเข้าใจได้

“เดิมทีผมไม่คิดจะบอกคุณ เพราะผมไม่รู้ว่าคุณจำผมได้หรือเปล่า…” ริมฝีปากของหนานอี่ขยับเบาๆ “แต่วันนั้นคุณบอกว่าคุณรู้ว่ามีผมอยู่ ผมเลยอยากคืนเสื้อตัวนี้ให้…ผมคืนให้คุณ” หนานอี่ดูว้าวุ่น น้ำเสียงเบาหวิว “ผมขอโทษ”

สมองทำให้ฉินอีอวี๋รู้ว่าสิ่งที่หนานอี่อยากคืนให้เขาคือแจ็กเก็ตโรงเรียน และเรื่องที่กำลังขอโทษคือเรื่องที่เขาปิดบังฉินอีอวี๋ แต่เมื่อคำพวกนี้ถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกัน มันกลับทำให้ฉินอีอวี๋รู้สึกกลัวอย่างไม่มีเหตุผล

สัญชาตญาณทำให้เขาคว้าแขนของหนานอี่ไว้ ไม่ยอมให้มือเบสเดินหนีไป

“เลิกพูดเรื่องพวกนี้เถอะ นาย…นายจำฉันได้มาตลอด ตั้งแต่ตอนที่เราเรียนหนังสือ ตอนฉันเข้าวงการ ออกจากวง จนหายตัวไป นายก็คอย…”

เทิดทูน? ชื่นชอบ? แอบรัก?

ฉินอีอวี๋ยังเลือกคำเหมาะๆ มาเติมไม่ได้ ทว่าหนานอี่กลับผงกศีรษะ

“อืม”

มือเบสหนุ่มพูดซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด “ผมคอยตามคุณ…มาตลอด ผมตามหาคุณเพราะอยากเจอคุณ”

พอหนานอี่พูดจบ อยู่ดีๆ เขาก็ฉีกยิ้มโชว์เขี้ยวเหมือนเด็กๆ มีลักยิ้มอยู่ข้างมุมปากที่โค้งขึ้นเป็นเวลานาน

“ขอบคุณนะ” หนานอี่ย้ำคำกับฉินอีอวี๋เบาๆ “ขอบคุณมาก”

ที่ทำให้ผมมีพลังต่อสู้กับความเจ็บปวดที่แสนทรมาน ทำให้ผมมีเป้าหมายให้โฟกัสในระยะยาว ทำให้ผมค้นพบทางออกจากความโกรธแค้น ออกเดินทีละก้าวๆ มาจนถึงวันนี้ มาอยู่ตรงหน้าคุณ

ขอบคุณที่คุณจำผมได้

และจารึกเรื่องของผมไว้บนผิวของคุณ

หนานอี่แผ่กลิ่นหอมหวานอบอวลออกมาจากทั่วตัวแตกต่างจากปกติอย่างมาก

สมองของฉินอีอวี๋ตีกันยุ่งเหยิง ตามองหนานอี่ยื่นมือมา มือเรียวที่กดสายเบสได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวขยับเข้ามาใกล้ ปลายนิ้วที่หุ้มด้วยผิวหนังด้านหนาแตะคอของฉินอีอวี๋เบาๆ โดยมีไหมพรมกั้นอยู่หนึ่งชั้น

นิ้วของหนานอี่ค่อยๆ เลื่อนจากคอเสื้อไหมพรมไปยังตัวเอสตัวแรก

ฉินอีอวี๋สัมผัสได้ถึงไอร้อนผ่าวที่ตีจากหน้าอกขึ้นมา แอลกอฮอล์ที่ดื่มเหมือนจะตีย้อนกลับทำให้ทุกจุดที่มันไหลผ่านร้อนจัดเหมือนถูกลวก นักร้องหนุ่มเผลอกัดฟัน ทั้งหน้าอก ไหล่ รวมถึงกล้ามเนื้อทั่วร่างเกิดอาการเกร็งขึ้นมาทันที

ผิดกับหนานอี่ที่มีท่าทีสบายๆ ตามองจ้องคอเสื้อพลางใช้นิ้วเขียนช้าๆ จนได้ตัวอักษรครึ่งหนึ่ง หนานอี่เขียนพลางขยับริมฝีปากเล็กน้อย ออกเสียงอ่านตัวอักษรแต่ละตัวอยู่เงียบๆ

กว่าเขาจะเขียนเสร็จแต่ละตัวคือช้ามาก

แต่มันก็ควรจะเป็นแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ฉินอีอวี๋คิด

พวกเขาเจอกันตอนฉินอีอวี๋อายุสิบหก แต่เพิ่งจะมารู้จักกันตอนฉินอีอวี๋อายุยี่สิบสอง ในระยะเวลาสองพันกว่าวันนั้นฉินอีอวี๋ทำวงดนตรี โลดแล่นอยู่บนเส้นทางแห่งความผิดพลาด ช่วงที่อยู่ในจุดสูงสุดเขาได้รับความชื่นชมจากมวลชน จวบจนชีวิตพังไปโดยไม่ได้รู้เรื่องเด็กชายผู้เงียบขรึมคนนั้นเลย

แต่หนานอี่ล่ะ เขาเป็นคนฉลาด หัวไว หนานอี่จะบันทึกภาพทุกค่ำคืนนั้นไว้กับตัวเองเพียงคนเดียวหรือเปล่า ตอนแรกพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก แต่กลับถูกจับแยกไปคนละทิศคนละทาง เดินวนเป็นวงกลม ก่อนจะย้อนกลับมาที่เมืองเดิม ได้อยู่ใกล้ชิดกันอีกครั้ง หนานอี่ต้องทนให้เขาปฏิเสธและหนีหน้าซ้ำๆ

ในคืนก่อนวันพิธีจบการศึกษาที่หนานอี่พยายามรวบรวมความกล้าไปร่วมงานเพื่อนำแจ็กเก็ตไปคืนให้ฉินอีอวี๋ ในใจของหนานอี่คิดอะไร พอคลาดกันหนานอี่ที่เดินอยู่ในงานพิธีจบการศึกษาของชั้นมัธยมปลายปีสามตามลำพังในใจจะคิดเรื่องอะไรอยู่

ตอนหนานอี่ได้ยินเขาเล่าเรื่องสมัยวัยรุ่นกับตอนที่ถูกเขาลากตัวไปที่โรงเรียนมัธยมที่พวกเขาคุ้นเคยกันดีโดยไม่แยแสสนใจอะไร ในใจของหนานอี่คิดอะไร

‘เขาจำฉันไม่ได้จริงๆ เขาจำฉันไม่ได้’

ฉินอีอวี๋คือคนที่ได้รับการเทิดทูน หนีหาย เฝ้ารอให้ใครสักคนมาช่วยฉุดขึ้นจากปลัก แต่หนานอี่ล่ะ

ทันใดนั้นฉินอีอวี๋ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าน้ำตาหยดนั้นมาจากไหน

แต่หนานอี่ยังคงบรรจงเขียนภาษาเยอรมันคำนั้นเงียบๆ ต่อให้มีพายุหรือวังน้ำวนรุนแรงยิ่งกว่านี้ เขาก็สามารถหลบอยู่ในร่างอันนิ่งเฉยนี้ได้อย่างแนบเนียน

ต่อให้ถูกปิดตาทั้งสองข้าง หนานอี่ก็สามารถคัดลอกตัวอักษรบนร่างของฉินอีอวี๋ได้ไม่ผิดเพี้ยน ตกลงว่ารอยสักนี้มันอยู่บนตัวใครกันแน่ ตัวของหนานอี่เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

จนจบตัวอักษรตัวสุดท้าย หนานอี่ก็ทำนิ้วเหมือนตะขออันเล็กๆ เกี่ยวนิ้วของฉินอีอวี๋ ทำให้ฉินอีอวี๋ทิ้งมือข้างนี้ลงไม่ได้

“ของผม” หนานอี่ตอบตัวเองเบาๆ

ลูกกระเดือกที่อยู่ตรงคอเสื้อขยับขึ้นลงพร้อมเส้นเลือดที่กำลังเต้นตุบๆ

ฉับพลันมือของฉินอีอวี๋ก็ถูกรวบ หนานอี่เลื่อนสายตาจากรอยนูนตรงคอมาที่มือข้างนั้น มีรอยแผล เส้นเลือดที่ปูดโปนกับรอยสักรูปกิ่งดอกแม็กโนเลียเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น

“อืม ของนาย” ฉินอีอวี๋เข้าใจผิด คิดว่าหนานอี่กำลังประกาศสิทธิ์เหนือรอยสักนี้

ฉินอีอวี๋ก้มหน้าเอาหน้าผากแนบกับหน้าผากของหนานอี่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อดึงอากาศร้อนระอุ หวานล้ำ และขมขื่นเข้าปอด

หนานอี่ช้อนตาขึ้น ขนตาปัดผิวของฉินอีอวี๋ สมองของชายหนุ่มว่างเปล่าเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กับความปรารถนาที่ไม่สามารถระบุได้ ทำให้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมฉินอีอวี๋ถึงขยับเข้ามาใกล้ แต่ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามสัญชาตญาณ

ตอนที่ฉินอีอวี๋เอียงหน้าเล็กน้อยมาชนสันจมูกของเขา หนานอี่ถอยหลังตามสัญชาตญาณ เอนร่างกายท่อนบนไปด้านหลัง

แต่ฉินอีอวี๋ไม่ยอมปล่อยให้เขาหนี ชายหนุ่มใช้มือประคองหลังเอวของหนานอี่โดยไม่ยอมให้หน้าผากของทั้งคู่แยกจากกัน ลมหายใจเป่ารดแก้มของหนานอี่

ไม่นานหนานอี่ก็ได้สติและเลียนแบบท่าทางของเขาด้วยการยันตัวกลับที่เดิม

พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังพลอดรักกัน โดยใช้วิธีที่เบสิกที่สุดมาสร้างความใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปลายจมูกเคลียคลอและกดแนบทำให้ลมหายใจร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ จนใบหน้าทั้งสองที่กำลังคลอเคลียกันอยู่ร้อนระอุ

หนานอี่เรียกชื่อของฉินอีอวี๋ออกไปตามสัญชาตญาณ ตั้งใจจะห้าม แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเหมือนเป็นการเชิญชวนมากกว่า

“ฉินอีอวี๋…”

ฉินอีอวี๋ไม่ได้ขานรับ เพราะกำลังต่อสู้กับสติเฮือกสุดท้าย

ตั้งแต่เกิดมาในโลกใบนี้ฉินอีอวี๋เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากมาย แต่ไม่มีใครเหมือนหนานอี่ ฉินอีอวี๋คิดว่าตัวเองรู้ใจหนานอี่ดี อาจพูดไม่ได้ว่ารู้ทั้งหมด แต่ก็รู้เยอะมาก

เขาประคองใบหน้าของหนานอี่อย่างระมัดระวัง เหมือนกำลังประคองความรักที่เขาเห็น ความรักแบบที่ลึกซึ้งแต่เงียบสงบ ด้วยความกลัวว่าจะทำมันหลุดรอดนิ้วไป

ใช่ นี่คือความรัก

ฉินอีอวี๋เพิ่งรู้ว่าถ้อยคำที่ตนไม่เคยเข้าใจคำนี้มีหน้าตาแบบใหม่แล้ว เป็นหน้าของหนานอี่ที่ทั้งสวยงามเฉียบคม สะกดวิญญาณ ดูอันตราย นิ่งสงบ เลื่อนลอย

เพียะ

สายกีตาร์เส้นหนึ่งขาดสะบั้น

เขาตกหลุมรักหนานอี่เข้าแล้ว

“ฉินอีอวี๋ ผม…” หนานอี่ที่ถูกฉินอีอวี๋เข้าประชิดหอบหายใจเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง

“ฉันรู้” ฉินอีอวี๋เชื่อมั่นในข้อสรุปของตัวเองว่าในใจของพวกเขาต่างมีกันและกัน เพราะการที่หนานอี่ที่ยังมีสติเป็นฝ่ายเอาเสื้อตัวนี้ออกมา แปลว่าเขาควักหัวใจของตัวเองออกมาให้ฉินอีอวี๋ดูแล้ว ฉินอีอวี๋ไม่จำเป็นต้องปรึกษาใคร ในเมื่อคำตอบมันดูออกได้ง่ายมาก

การจะคบกันควรมีขั้นตอนอะไรบ้าง สำหรับคนสองคนที่สื่อใจถึงกันได้ การสารภาพรักก็เป็นเรื่องเชยๆ แสนยุ่งยาก ตอนนี้สิ่งที่ฉินอีอวี๋อยากทำมีแค่เรื่องเดียวและเขานึกถึงมันจนแทบคลั่ง

ลมหายใจของฉินอีอวี๋ไม่เป็นจังหวะ เขาตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนถามเสียงแหบว่า “ฉันจูบนายได้ไหม”

หนานอี่เหมือนไม่ได้ยินเสียงเลยไม่ตอบ เอาแต่สาละวนอยู่กับการดึงคอเสื้อที่เป็นอุปสรรค

หลังอดทนอยู่สองสามวินาทีฉินอีอวี๋ก็ก้มหน้าลงประทับจูบ ไม่ใช่ที่ริมฝีปาก แต่เป็นที่ดวงตาที่ถูกปิดไว้

จุมพิตแผ่วเบาเหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำ แค่วินาทีเดียวก็ผละออกห่าง ฉินอีอวี๋กลับร้อนเหมือนถูกไฟแผดเผาทั้งตัว หัวใจเกือบจะกระดอนออกมานอกอก

นักร้องหนุ่มยกมือขวาขึ้นปิดปาก ก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว เบิกตากว้าง

นี่มันจูบแรกของฉัน!

ภายในร่างกายมีเสียงหนึ่งกำลังร้องลั่นว่ายังไม่พอ จะเอาอีก ยังไม่พอ…

แต่เขากลับพยายามกดมันเอาไว้ ตั้งใจจะห้ามความคิดพวกนี้ เพราะนี่เพิ่งจะเป็นวันแรก ฉินอีอวี๋ไม่อยากให้ตัวเองดูใจร้อนเกินไป หนานอี่เพิ่งจะเปิดใจกับเขา เขาต้องอดทนเอาไว้หน่อย

แต่ความปรารถนากำลังเพิ่มสูงขึ้นทีละนิด ฉินอีอวี๋มองหนานอี่ที่กำลังอึ้งงันอยู่ที่เดิมอย่างเริ่มรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง

ถ้าไม่จูบที่ปากก็ไม่นับว่าเป็นจูบแรก…

อย่างน้อยก็ต้องแตะๆ นิดนึงหรือเปล่า

ฉินอีอวี๋เดินเข้าไปอย่างรีบร้อน รู้สึกตื่นเต้น เต็มไปด้วยความหวังเหมือนตอนที่ดีดสายกีตาร์ครั้งแรก เขาเชยคางหนานอี่ขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อให้มือเบสหนุ่มเงยหน้าขึ้น

“เสี่ยวอี่ ฉันขอจูบนายอีกนิดนึงได้ไหม” ฉินอีอวี๋เลื่อนนิ้วโป้งที่จับปลายคางอีกฝ่ายขึ้นไปกดริมฝีปากล่างของหนานอี่ พูดเสียงเบาหวิว “จูบตรงนี้”

หนานอี่ยังคงไม่พูด เอาแต่มองจ้องเขา

ทว่าฉินอีอวี๋ชินกับการที่หนานอี่ไม่พูดไม่จาแบบนี้แล้ว เขาจึงตีความว่าอีกฝ่ายตกลง เพราะถึงยังไงหมอนี่ก็ชอบเขา

แมลงปอจึงแตะผิวน้ำอีกครั้ง พูดกันตามหลักคือเขามีประสบการณ์ แต่ฉินอีอวี๋กลับคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะตัวสั่นเทิ้มไปหนึ่งวินาที

ริมฝีปากของหนานอี่นุ่มกว่าที่คิด ต่างจากที่ปิดตา

ตอนที่ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกัน มีเพียงหมุดเจาะปากที่เป็นเม็ดกลมๆ เล็กๆ หนึ่งอันแทรกอยู่ในความนุ่มนิ่ม

ฉินอีอวี๋ไม่เคยคิดเลยว่าการจูบกับคนที่ชอบจะทำให้รู้สึกดีขนาดนี้

ช่วยด้วย ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้ มีความรักให้เร็วกว่านี้ นี่ฉันพลาดโอกาสไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ทั้งที่พวกเราเจอกันตั้งแต่ฉันอายุสิบหก!

ใบหน้าร้อนจัดเหมือนอากาศเปลี่ยนจากฤดูหนาวเป็นฤดูร้อนในหนึ่งวินาที ฮีตเตอร์ในห้องแทบจะย่างเขาเกรียม

ปลายจมูกชนกัน ฉินอีอวี๋สูดกลิ่นเบียร์เชอรี่อย่างหิวกระหาย สายตาคอยจดจ้องใบหน้าของหนานอี่ พบว่าในความนิ่งสงบ ดวงตาคมกริบปนเศร้าที่ตอนนี้ฉ่ำชื้นระคนด้วยความปรารถนา

“โอเค” ฉินอีอวี๋มีอาการติดอ่าง เริ่มพูดจาสับสน “ขอบใจนะ…”

ขอบใจ? ขอบใจเรื่องอะไร มีใครบ้างที่จูบกันแล้วต้องขอบคุณ

“ไม่สิ นี่ฉันกำลังพูดอะไรอยู่ ฉันหมายถึง…อุ๊บ…”

หนานอี่ใช้สองมือจับคอเสื้อของฉินอีอวี๋แล้วแหงนหน้าขึ้นจูบเขา

จูบนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ทำเอาฉินอีอวี๋หน้ามืด คำพูดแปลกๆ ที่ยังไม่ได้เอ่ยล้วนถูกกลืนกลับเข้าไปในคอ

ริมฝีปากที่แย้มออกเล็กน้อยงับหมุดเจาะปากที่อยู่บนกลีบปากล่างของฉินอีอวี๋ ซึ่งหมุดเจาะปากอันนี้เขาเอามาใช้แทนห่วงปากห่วงเดิม

กล้ามเนื้อทุกมัดบนตัวของฉินอีอวี๋เกร็งขึ้นทันที หนานอี่ทั้งลิ้มเลีย ขบกัดจนหมุดเจาะปากหลุด ดึงมันออกจากปากของฉินอีอวี๋อย่างเนิบช้า

หมุดเจาะปากอันเล็กเปล่งประกาย หนานอี่ใช้เขี้ยวคาบหมุดเจาะปากของฉินอีอวี๋ไว้เหมือนตอนคาบปิ๊ก ตามองจ้องเขาขณะคลายฟันออก

ติ๊ง

หมุดเจาะปากตกลงบนพื้น ทำให้จุมพิตครั้งล่าสุดนี้มีแต่ริมฝีปากนุ่มละมุน

ครั้งที่สี่…

ตัวของหนานอี่เกร็งเหมือนสายกีตาร์ที่ตึงแน่น ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องยากมากที่จะรักษาสมดุล เขาจึงทั้งกดทั้งผลักฉินอีอวี๋ไปติดผนัง

มือของชายหนุ่มบีบแน่นมากจนฉินอีอวี๋เกือบหายใจไม่ออก “อืม…เบาหน่อย…”

หนานอี่อาศัยช่วงที่ฉินอีอวี๋พูดสั้นๆ แทรกลิ้นเข้าไปอย่างรุกราน วินาทีที่ฉินอีอวี๋ได้ลิ้มรสเบียร์เชอรี่ เซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างกายก็ระเบิดตูม

หนานอี่จูบแบบดูดดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ มือเลื่อนจากคอเสื้อไปจับที่คอ ฟันของทั้งสองคนกระทบกันอย่างรุนแรง เสียงชื้นแฉะดังขึ้นเรื่อยๆ

“ทำไม…ใจร้อนขนาดนี้…”

หนานอี่คงเก็บกดมานานเกินไป ฉินอีอวี๋คิด ดูเหมือนเด็กหนุ่มที่จมปลักอยู่กับความทุกข์คนนี้จะไม่เคยได้สนุกสุดเหวี่ยงมาก่อน

หากเขาคอยโอบกอดประคับประคองหัวใจดวงนี้ให้ดี ต่อไปหนานอี่จะมีความสุขขึ้นบ้างไหม

แต่ความคิดฟุ้งซ่านพวกนี้ไม่ได้อยู่ในจูบนัวเนียที่หนานอี่แสดงออกมาเลย

เสื้อไหมพรมเสียดสีกันจนเกิดไฟฟ้าสถิต ราวกับมีประกายไฟแลบแปลบปลาบ

ฉินอีอวี๋เลยใช้มือข้างหนึ่งถอดเสื้อไหมพรมที่ราวกับกำลังจะติดไฟออกโยนไปด้านข้าง พอเขาก้มศีรษะลงอีกครั้งก็พบว่าหนานอี่อึ้งงัน

ฉินอีอวี๋หน้าแดง เขาดึงชายเสื้อแขนสั้นที่สวมใต้เสื้อไหมพรมไว้ อธิบายเสียงตะกุกตะกักว่า “ฉันร้อนมาก ไม่ได้คิดจะทำอะไร”

“อืม” หนานอี่กะพริบตา จ้องมองรอยสักที่คอของฉินอีอวี๋ เขาเดินเข้าไปใกล้นักร้องหนุ่ม เอียงหน้าจูบรอยสัก

นาทีที่เขี้ยวของหนานอี่ปัดผ่านคอหอยของฉินอีอวี๋ นักร้องหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะระเบิด

“อย่า…เดี๋ยว” ฉินอีอวี๋จับคางหนานอี่ไว้ จุมพิตริมฝีปากซุกซนของอีกฝ่ายอย่างไม่มีแบบแผน ฉินอีอวี๋กลัวว่าหนานอี่จะทำเรื่องน่ากลัวอะไรขึ้นมาอีก

แต่หนานอี่ดูจะไม่แคร์อะไรเลย เขายกมือขึ้นสอดนิ้วเข้าไปในเส้นผมของฉินอีอวี๋ ใช้ลิ้นเกี่ยวกระหวัดลิ้นของเขา

ในความมืดไม่รู้ว่าพวกเขาผละออกจากผนังสีขาวนั่นกันยังไง ทั้งคู่กอดกันเดินโซซัดโซเซโดยที่ยังจูบกันไม่เลิก จนฉินอีอวี๋ถูกหนานอี่ผลักให้ล้มลงบนเตียงอย่างแรง

เข่าของหนานอี่กดขอบเตียงตรงหว่างขาของฉินอีอวี๋แล้วโน้มตัวลงจ้องหน้าฉินอีอวี๋อย่างถี่ถ้วน

นาทีนั้นฉินอีอวี๋สังเกตเห็นว่าพวกเขาจูบกันจนที่ปิดตาของหนานอี่เบี้ยวไปห้อยอยู่ที่หูขวา

ฉินอีอวี๋เลยยื่นมือออกไปแกล้งดึงสายสีขาวทิ้งทำให้ดวงตาข้างซ้ายเผยโฉมออกมา

ที่ปิดตาห้อยต่องแต่ง จะร่วงแต่ไม่ร่วง ดูยุ่งเหยิงพอๆ กับผมของหนานอี่

ฉินอีอวี๋ใช้มือลูบหางตาของหนานอี่ ถอนหายใจแล้วพูดเสียงเบาหวิว “นายสวยมาก”

หนานอี่ไม่พูด เหมือนเขาไม่อยากฟังคำนี้ ชายหนุ่มจึงก้มตัวเพื่อใช้จุมพิตบังคับปิดปากฉินอีอวี๋อีกครั้ง

นี่มันครั้งที่ห้าหรือครั้งที่หกแล้วนะ

แย่ล่ะสิ นับไม่ถูก

เขารู้แค่ว่ารอบนี้ไม่มีอาการประดักประเดิด ดูเหมือนพวกเขาจะมีพรสวรรค์ด้านนี้เลยตอบรับความปรารถนาของกันและกันอย่างรวดเร็ว ฉินอีอวี๋เลียเขี้ยวของหนานอี่แล้วรับรู้ได้ว่าแผ่นหลังของอีกฝ่ายสั่นเบาๆ

ดูเหมือนตำแหน่งนี้จะเซนซิทีฟมากพอๆ กับเอว และอีกไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ได้รับการตอบสนองจากร่างกายของหนานอี่ แต่นิ้วยังคงกดนวดคลึงผิว ฉินอีอวี๋คอยบอกหนานอี่ว่า “ทำแรงหน่อยแล้วจะไม่จั๊กจี้”

อีกฟากหนึ่งของประตู ฉือจือหยางเมาแล้วร้องเพลงเพี้ยน ทั้งทรมานแก้วหู ทั้งชวนให้ขำขัน เสียงดังอึกทึกที่ถูกบานประตูกั้นให้เบาลงลอดเข้ามาเตือนสติพวกเขาว่าที่นี่ไม่ได้มีแต่พวกเขาสองคน

แต่กลับไม่มีใครได้ยิน เสียงน้ำฉ่ำชื้นผสานกับเสียงหอบหายใจ กลายเป็นตัวปิดกั้นเสียงตามธรรมชาติ

มีวินาทีหนึ่งที่ฉินอีอวี๋ถึงกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ย้อนกลับไปที่ห้องเรียนสว่างไสวด้วยดอกแม็กโนเลีย เขานึกภาพตัวเองหมุนตัวไปคว้าตัวเจ้าผีน้อย ไล่ต้อนอีกฝ่ายเข้าไปในมุม บีบบังคับให้รับจุมพิต

ทำไมต้องหลบด้วย

ฉินอีอวี๋ทั้งสุขสมและทรมาน สวรรค์ควรจะติดตั้งโปรแกรมเสริมเรื่องความรักให้ทุกคน เมื่อเนื้อคู่ปรากฏตัวก็จะมีเสียงเตือนในสมอง แบบนี้ถึงจะยุติธรรมต่อคนหัวทึบที่ไม่รู้จักความรักอย่างพวกเขา

ฉินอีอวี๋จะได้คว้าตัวหนานอี่ไว้ในนาทีแรกที่อีกฝ่ายปรากฏตัว และไม่ปล่อยให้เขาวิ่งหนีไป

พวกเขาจะได้เรียนหนังสือด้วยกัน โดดเรียนด้วยกัน ไปแอบจูบกันบนดาดฟ้า ซ้อมกีตาร์ด้วยกัน ฟอร์มวงดนตรีด้วยกัน น่าเสียดายจริงๆ ที่เขาไม่ได้ฟอร์มวงแรกกับหนานอี่ สมควรตาย คำว่าคลาดกันแค่ปลายนิ้ว เหมือนจะเป็นสิ่งที่ฟ้าลิขิตมาให้เขาจริงๆ

ทำไมคนเราถึงไม่มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งนะ ฉินอีอวี๋อยากจะบ้า จุมพิตลึกซึ้งทวีความดุดันขึ้นมาทันที ใครจะรู้ว่าหนานอี่จะส่งเสียงร้องอู้อี้

เห็นได้ชัดว่าเสียงนี้ทำให้พวกเขาสองคนตกใจ เพราะมันเป็นเสียงที่หนานอี่เปล่งออกมา…

ฉินอีอวี๋อยากจะลองดูอีกครั้งเหมือนคนต้องมนตร์สะกด แต่หนานอี่กลับกัดกรามแน่น ไม่ยอมให้เขาแตะต้อง แถมยังกระถดตัวไปข้างหลังเลยถูกฉินอีอวี๋พลิกตัวขึ้นคร่อมเขาแทน

“อ้าปาก…” ฉินอีอวี๋กระซิบปะเหลาะเขา “ฉันไม่ทำอะไรหรอก”

ดวงตาของหนานอี่ฉายแววแข็งกร้าว ท่าทางตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมถอย

“โอเคๆ” ฉินอีอวี๋เปลี่ยนตำแหน่งจูบไปจูบตรงติ่งหูอีกฝ่ายแทน แล้วเม้มห่วงปากวิบวับ เขาเลียนแบบหนานอี่ด้วยการใช้จุมพิตถอดห่วงปากที่อยู่บนหูของอีกฝ่ายออก

นี่เป็นครั้งที่เจ็ดใช่ไหม ไม่รู้สิ แต่มันเป็นรสโลหะ

เป็นอีกครั้งที่ฉินอีอวี๋ได้ยินเสียงครางที่ชวนให้รู้สึกสุขสมอิ่มเอมใจดังลอดออกมาจากกรามที่กัดแน่น

เขากอดหนานอี่แน่นจนเหมือนจะหลอมรวมอีกฝ่ายเข้ากับตัวเอง

ชอบมากๆ เขาไม่เคยชอบใครอื่นที่มีชีวิตอิสระเป็นของตนเองเท่านี้มาก่อน

ฉินอีอวี๋ซบหน้ากับซอกคออุ่นๆ เพื่อให้กลิ่นหวานๆ นี้โอบล้อมเขาไว้ นักร้องหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่หยุด “หนานอี่ๆ เสี่ยวอี่…มือเบสของฉัน รุ่นน้องของฉัน…เจ้าผีน้อย เพื่อนผี…”

ฉับพลันฉินอีอวี๋ก็ฉุกคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้เลยชะโงกหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของหนานอี่อย่างตื่นเต้น

“ฉันมีของจะให้นาย” แต่ไม่นานก็คิดได้ว่าของชิ้นนั้นไม่ได้อยู่กับตัว ต้องเดินทางกลับไปเอา “ไว้อีกสองสามวันฉันจะเอามาให้นายดู โอเคไหม”

“อืม” หนานอี่หันหน้าไปใช้จุมพิตอ่อนหวานครั้งใหม่ตอบรับเขา

ค่ำคืนยาวนานพวกเขาจูบกันแล้วจูบกันอีก มีช่วงหยุดพักสั้นมาก เพราะแค่สบตาพวกเขาก็ต่างต้องมนตร์รอบใหม่อีกครั้ง

หลังจูบกันเกินสิบครั้งฉินอีอวี๋ก็เลิกนับ เอาแต่กอดหนานอี่เพื่อเกาะเกี่ยวอีกฝ่ายไว้ทั้งตัวและหัวใจ จนหนานอี่เหนื่อย ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของเขา หายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนฝนโปรยปรายหลังเกิดพายุ

ท่านอนของมือเบสหนุ่มไม่ได้ดูเท่เหมือนปกติ ซ้ำยังนิ่งมาก ใบหน้าถูกจูบจนกระเซิง เส้นผมแนบแก้ม ริมฝีปากแดงก่ำ แถมบนสันจมูกมีรอยแดงที่เกิดจากสายคาดของที่ปิดตา

ฉินอีอวี๋ก้มหน้าประทับจุมพิตอย่างระมัดระวังก่อนวกไปสัมผัสเปลือกตาบอบบางอีกครั้ง นักร้องหนุ่มจุมพิตทุกตารางนิ้วบนใบหน้าของหนานอี่อย่างทะนุถนอม กอดเขานอนอย่างสบายใจ

ฉินอีอวี๋กลัวว่าจะทำให้หนานอี่ตื่นเลยใช้มือซ้ายที่กอดเขาทำภาษามือที่หลังเอวของเขา ฉินอีอวี๋ยังไม่ลืมภาษามือที่หัดไว้คราวก่อนจึงได้บอกราตรีสวัสดิ์แบบไม่ต้องใช้เสียง

 

หนานอี่ตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกของตัวเองตอนเจ็ดโมงครึ่ง

เขาไม่ใช่พวกลุกยาก แต่วันนี้สถานการณ์ต่างออกไป หนานอี่ปวดหัวเหมือนจะระเบิด การได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกจึงเป็นความทรมานอย่างที่สุด

มือเบสหนุ่มนิ่วหน้า ยื่นมือไปควานหามือถือ แต่กลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

เป็นมือข้างหนึ่งที่เขาคุ้นเคย

พอสมองทำงาน ความง่วงก็หายวับ หนานอี่ลืมตาพรึบ เห็นใบหน้ายามหลับของฉินอีอวี๋ที่อยู่ใกล้ในระยะเผาขน

ขมับเต้นตุบๆ เมื่อความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือฉินอีอวี๋ละเมออีกแล้วใช่ไหม

แต่ครั้งนี้จะถือว่าล้ำเส้นมากเกินไปหรือเปล่า หนานอี่ยกมือขึ้นแล้วพบว่านิ้วทั้งสิบของตนกำลังประสานกับนิ้วของฉินอีอวี๋แน่น

พวกเราจับมือกันทั้งคืนเลยเหรอ นิ้วถึงได้แข็งค้างแบบนี้

“หนานอี่ นาฬิกาปลุกนาย…” ฉินอีอวี๋พูดเสียงสะลึมสะลือ “ปิดหน่อยสิ…”

นี่มันเรื่องอะไรกัน…

หนานอี่ดิ้นออกจากวงแขนของฉินอีอวี๋อย่างทุลักทุเลไปปิดนาฬิกาปลุกที่ทำให้เขาปวดหัวกว่าเดิม

สมองประมวลผลไม่ได้ไปหลายสิบวินาที แสงอาทิตย์ส่องลอดเข้ามาทางรอยแยกของม่านหน้าต่าง ตกกระทบที่ข้างหมอน จุดแสงเล็กๆ ที่เปล่งประกายดึงดูดความสนใจของหนานอี่ เขาจึงยื่นมือไปหยิบห่วงโลหะนั้นขึ้นมา

มันไม่ได้เป็นแค่ห่วงปาก แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ความทรงจำสาดเทเข้ามาในสมองของเขาเหมือนกระแสน้ำทะเล ทุกรายละเอียดชัดเจนเสียยิ่งกว่าชัด

ตูม…เสียงชีวิตของหนานอี่พินาศวอดวาย

แต่ในช่วงที่เขากำลังจะหน้ามืดและสาบานว่าชาตินี้จะไม่แตะแอลกอฮอล์อีก ไม่รู้ว่ามือข้างที่มีรอยสักดอกแม็กโนเลียยื่นมาหาตัวเขาเจอได้ยังไง อย่างกับมีแม่เหล็กซ่อนไว้ มือข้างนั้นคว้ามือของเขาอย่างแม่นยำแล้วออกแรงแทรกเข้ามาอยู่ในหว่างนิ้วของเขา ทำให้นิ้วทั้งสิบประสานกันอีกครั้ง

“ง่วง นอนเป็นเพื่อนฉันอีกแป๊บนึง…”

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: